ฤดูรัก
เขาผิดหวังจากความรัก ส่วนเธอไม่กล้ามีความรัก
อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อหนุ่มสถาปนิกอารมณ์ดี ที่หนีมาเลียแผลใจในชนบทแสนห่างไกล มาเจอคุณหมอสาวมาดขรึมที่ไม่กล้าเริ่มต้นกับใคร

แต่มันช่วยไม่ได้จริงๆ เมื่อลมหนาวพาคนสองคนมาเจอกัน ณ ชนบท อันแสนห่างไกลและหนาวเหน็บ
Tags: หวานแหวว ดราม่า

ตอน: (4)หน้าต่าง



“เอ่อ…ถึงแล้วเหรอคะคุณยาย” น้ำเสียงของฉันบ่งบอกถึงความตกใจได้เป็นอย่างดี เนื่องจากบ้านของคุณยาย ‘อยู่ไม่ไกลจากโรงพยาบาล’ อย่างที่ว่าจริงๆ


บ้านคุณยายอยู่ไหนน่ะเหรอ เอาเป็นว่าออกจากโรงพยาบาลแล้วเลี้ยวซ้าย เดินไปไม่ถึง 10 ก้าว ก็เจอปากซอยทางเข้าแล้ว แถมบ้านคุณยายก็อยู่ในซอยเป็นหลังแรกเสียด้วยสิ


“ใช่จ้ะคุณหมอ” คุณยายตอบง่ายๆ ก่อนจะขอบคุณฉัน ล่ำลาคุณภูผาแล้วเดินเข้าบ้านไป


รั้วไม้เก่าหน้าบ้านค่อยๆปิดลง ขณะที่คุณภูผาหัวเราะอยู่ที่เบาะหลัง


“ผมก็นึกว่าคุณยายอยู่ไกลจนเดินมาไม่ได้เสียอีก”


สายตาฉันยังคงจับจ้องร่างเล็กที่ค่อยๆเดินเข้าบ้าน แล้วในที่สุดก็หลุดขำออกมา “นั่นสิคะ คุณยายไม่ได้โกหกเสียด้วย “


แล้วคุณภูผาก็เปิดประตูรถออกไป ก่อนจะเปลี่ยนที่นั่งมาเบาะหน้าคู่กับคนขับแทน เขาหย่อนตัวลงอย่างคล่องแคล่ว “แต่คุณดาใจดีจังนะครับ”


ฉันเลิกคิ้ว “ไม่หรอกค่ะ ว่าแต่…” แล้วเคาะนิ้วที่พวงมาลัยพลางคิด


“เราจะไปไหนกันต่อดีคะ”


ใช่ว่าฉันอยากจะไปเที่ยว หรือหาเรื่องคุยกับคนที่เพิ่งรู้จักมากนักหรอกนะ แต่ฉัน…ฉันยังไม่อยากกลับไปเจอบดินทร์


“อ้าว ผมนึกว่าเราจะกลับโรงพยาบาลเสียอีก”


ว่าแล้วฉันก็สตาร์ทรถ เปลี่ยนเกียร์ ก่อนจะหันไปยิ้มกับคุณภูผา “ฉันจะพาคุณเที่ยวเองค่ะ”


จากนั้นรถเก๋งสีดำคันเล็กก็ขับเคลื่อนไกลออกไป



ฉันไม่ได้พาเขาไปไกลเป็นพิเศษที่ไหนหรอก แค่พามาวัดที่แสนร่มรื่นไม่ไกลนักจากโรงพยาบาล ซึ่งนอกจากที่นี่จะเขียวครึ้มไปด้วยต้นไม้ใหญ่อายุเกือบร้อยปีแล้ว ยังติดกับแม่น้ำปิงซึ่งถือว่าเป็นเขตอภัยทาน ที่อนุญาติให้คนภายนอกเข้ามาให้อาหารปลาในแม่น้ำใกล้ๆวัดนี้ได้อีกด้วย


ฉันเดินนำชายร่างสูงไปยังแม่ค้าขายอาหารปลา ก่อนเลือกซื้อขนมปังและอาหารเม็ดสำหรับปลา อย่างละ 2 ชุด

“56 บาทจ้ะ” แม่ค้ายื่นถุงพลาสติกให้ก่อนจะบอกราคา


ฉันกำลังหยิบกระเป๋าเงินออกมา แต่แล้วคุณภูผาก็ยื่นเงินตัดหน้าส่งให้คนขายไป

“เดี๋ยวผมจ่ายเองครับ” เขารับของมา ก่อนจะยิ้มให้ฉันที่เบิกตามองอย่างเกรงใจ


“เอ่อ…เดี๋ยวฉันออกครึ่งนึงดีกว่าค่ะ”


แต่เขารีบปฏิเสธ “ไม่เป็นไรหรอกครับคุณดา คุณก็ต้องจ่ายค่าน้ำมันนี่นา ไปกันเถอะครับ ไหนล่ะปลา? ผมเห็นแต่หมาขี้เรื้อนนั่งมองลิ้นห้อยเต็มไปหมด”


คำพูดเขาทำเอาฉันหัวเราะ คุณภูผานี่ก็มีอารมณ์ขันดีนะ ฉันชี้นิ้วไปข้างหน้า “ตรงนั้นค่ะ” แล้วเดินนำเขาไปที่ศาลาริมน้ำ


แม่น้ำปิงกว้างใหญ่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตาผ่านศาลาริมน้ำ ข้ามไปอีกฝั่งคือเรือนบ้านไม้ที่ปลูกเรียงรายอยู่กันอย่างร่มเย็น

อากาศริมศาลามีลมพัดโชยอ่อนๆ เย็นกำลังดี ฉันเลยได้แต่ยืนกอดอกหลับตารับลมหนาว พร้อมกับปล่อยให้ความรู้สึกไม่สบายใจเมื่อกี้ลอยผ่านไป

เสียงน้ำกระเซ็นใต้ศาลาดังซ่าน คงเพราะพวกปลาบิดตัว กระโดด แย่งกันกินอาหารเป็นแน่

“ปลาเยอะจังนะครับ” คุณภูผาเอ่ยขึ้นด้วยเสียงนุ่มๆ ฉันเลยลืมตาขึ้น และเห็นว่าเขามองฉันอย่างยิ้มล้อ


“คุณดาง่วงเหรอครับ”

ฉันหลบตาเขาแล้วหยิบอาหารเม็ดหนึ่งกำมือโปรยลงผิวน้ำ “อากาศเย็นสบายดีน่ะค่ะ คุณคงยังไม่เคยมาวัดนี้ใชไหมคะ”



คุณภูผาบิขนมปังก้อนใหญ่ก่อนจะขว้างไกลๆไปให้ฝูงปลาดีดตัวแย่งกันรับ


“ผมยังไม่เคยไปไหนเลย ได้แต่เล่นกีฬาอยู่กับคนในโรงพยาบาล นี่ก็เป็นครั้งแรกที่ผมออกมาเที่ยว” เขาพูดเรื่อยๆ


ฉันเลยหันมองเขาอย่างมีคำถาม “ไม่เบื่อเลยเหรอคะ”


เขาหันมายิ้ม “ไม่ครับ ผมว่าสบายใจดี”


คำตอบของเขาดูจะสบายใจเกินกว่าปกติ เพราะขนาดตอนแรกๆที่ฉันย้ายมาทำงานที่นี่ ฉันยังรู้สึกเบื่อพอสมควรที่ไม่มีอะไรทำ ฉันเลยอยากรู้ว่าเขาทำงานอะไรถึงมีเวลาว่างมาพักผ่อนนานเพียงนี้ แล้วทำไมต้องเลือกมาชนบทห่างไกลอย่างนี้ด้วย งานหนัก หรือมีปัญหาอย่างอื่นกันแน่


“คุณภูผาทำงานอะไรเหรอคะ ถึงมาพักผ่อนได้นานจัง”

เขาสบตาฉันตรงๆ และนั่นทำให้เห็นว่า เขาเป็นผู้ชายที่หน้าตาดีคนหนึ่ง

“ผมเป็นสถาปนิกครับ รับออกแบบบ้านและอาคารต่างๆ คุณดาเคยเห็นโฆษณาหมู่บ้านชุดใหม่ในทีวีไหมฮะ”

ฉันเลยนึกถึงโฆษณาหมู่บ้านสุดแสนจะเว่อร์และราคาเฉียดหลังละ 20 ล้าน “ที่บอกว่าเป็นสถาปัตยกรรมไทยผสมยุโรป มีเพียง 20 หลัง นั่นหรือเปล่าคะ”

คุณภูผายิ้มกว้างและพยักหน้า แววตาสดใสของเขาออกจะมีประกายวาวอย่างประหลาด ราวกับว่าภาคภูมิใจในผลงานของตัวเองยิ่งนัก


ฉันเลยตาลุกวาว “นั่นคุณออกแบบเหรอคะ ว้าว…มันเว่อร์ เอ้ย! สวยมากเลยล่ะค่ะ”

คุณภูผาทำท่าภูมิใจเสียเต็มประดา ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงดังฟังชัด “เปล่าครับ”

ฉันยิ้มค้าง มองเขางงๆ

“ผมแค่จะบอกว่า ผมออกแบบบ้านลักษณะอย่างนั้นเฉยๆ” แล้วเขาก็หลุดขำออกมา


ทำเอาฉันระเบิดหัวเราะไปกับความทะเล้นของเขาด้วย ให้ตายสิ ผู้ชายคนนี้นอกจากจะหุงข้าวไม่เป็นแล้วยังตลกอีก

“คุณนี่…” แล้วฉันก็งอตัวหัวเราะไม่หยุด รู้สึกว่าอารมณ์ขุ่นมัวค่อยๆจางหายไป

กว่าฉันจะหยุดหัวเราะได้ คุณภูผาก็ให้อาหารปลาในส่วนของเขาจนหมด ฉันเลยแบ่งอาหารเม็ดของตัวเองให้ ส่วนขนมปังฉันก็บิคำเล็กเข้าปากอย่างที่ทำบ่อยๆ และคิดว่ารสชาติมันก็อร่อยดี

ฉันบิอีกชิ้นส่งให้คุณภูผา เขาเบิกตาโตเหมือนเด็กๆ “กินได้เหรอครับ”

ฉันหัวเราะทั้งๆที่ขนมปังเต็มปาก “ได้สิคะ ฉันกินมาไม่รู้กี่รอบ”

เขามองมันอย่างลังเล ก่อนจะชูมือสองข้างให้ฉันดู “ผมมือเปื้อนแล้วล่ะครับ” แล้วมองฉันด้วยความเกรงใจ

“ถ้าคุณไม่รังเกียจ เอ่อ…”

ฉันจ้องเขา เพราะได้ยินไม่ถนัดว่าพูดอะไร แต่แล้วคุณภูผาที่สูงกว่าฉันมากนัก ก็ก้มหน้าลงมา ก่อนจะจรดฝีปากลงบนขนมปังที่อยู่ในมือฉัน



เขารีบเงยหน้าขึ้นแล้วกลืนมันลงไป


เราสองคนสบตาเพียงเสี้ยววินาที แล้วฉันก็รู้สึกเขิน เลยรีบแก้โดยโยนขนมปังก้อนใหญ่ที่เหลือไปเป็นอาหารของปลา ซึ่งพอดีกับที่ปลาดุกตัวยักษ์สามารถครอบครองขนมปังส่วนมากได้สำเร็จ


“ปลาดุกตัวใหญ่มากเลยนะครับ สงสัยคุณดามาให้อาหารบ่อย” เขารีบแซว


ฉันเลยนึกเรื่องตลกแก้เขินออก “คุณภูผาเคยได้ยินคำว่า ครรภ์ไข่ปลาอุกไหมคะ มันเป็นความผิดปกติในในการตั้งครรภ์อย่างหนึ่งน่ะค่ะ สมัยฉันยังเรียนอยู่ อาจารย์ขึ้นภาพให้นักศึกษาทายว่ารูปนี้คือความผิดปกติอะไร ไม่มีใครตอบได้เลยค่ะ แต่แล้วก็มีคนหนึ่งยกมือตอบ”

เขาลุ้นให้ฉันพูดต่ออย่างสนใจ

“เพื่อนคนนั้นตอบว่า ครรภ์ไข่ปลาดุกค่ะ” แล้วฉันก็หัวเราะลั่นเหมือนคนบ้าอยู่คนเดียวเมื่อนึกถึงความหลังที่ผ่านมานานของตัวเอง ส่วนคุณภูผาได้แต่หัวเราะหึหึ


“แย่เลยนะฮะ คันในไข่ปลาดุกอย่างนี้ จะคันถูกหรือเปล่าก็ไม่รู้” เขาพูดหน้าตาย ทำเอาฉันเพิ่มระดับความดังของเสียงหัวเราะเข้าไปอีก แต่คราวนี้เขาร่วมหัวเราะไปกับฉันด้วย

ลเราพูดคุยเรื่องทั่วไปกันอีกพักหนึ่ง จนฉันรู้สึกสบายใจและคิดว่าผู้ชายคนนี้คงเป็นเพื่อนที่คอยมอบเสียงหัวเราะให้กับฉันได้อย่างวิเศษ

คลื่นอ่อนๆกระแทกเสาศาลาอีกครั้ง ฉันยกขาหนีน้ำที่กระเซ็นขึ้นมาจนตัวเอียง แต่คุณภูผาจับแขนรั้งตัวฉันไว้ไม่ให้ล้ม เขายิ้มให้อย่างอารมณ์ดี

“เย็นมากแล้วกลับกันเถอะครับ”


ฉันพยักหน้าเห็นด้วย แล้วเราสองคนก็นั่งรถกลับเข้าโรงพยาบาล



เมื่อรถเก๋งคันเล็กของฉันจอดเข้าซองอย่างสวยงามในโรงพยาบาล คุณภูผาก็ลากลับเข้าบ้านอาถกล ส่วนฉันขอตัวเข้าไปเก็บเอกสารในห้องทำงาน

ฉันเดินมาหยุดยืนอยู่หน้าห้อง รู้สึกได้ถึงความเย็นจากเครื่องปรับอากาศที่ลอดผ่านช่องประตูกระจกสีชาออกมา


เย็นป่านนี้แล้วบดินทร์ยังไม่กลับอีกหรือ


มือฉันเอื้อมออกไปดึงประตู ขณะที่ในใจไม่อยากพบเขาตอนนี้

“อ้าวดา หายไปไหนมาน่ะ” บดินทร์ทักขึ้น แต่ฉันกลับก้มหน้าก้มตาเดินเข้าห้องพักแพทย์แล้วตรงดิ่งไปที่โต๊ะตัวเอง ราวกับว่าไม่ได้ใส่ใจอะไรในคำถามของเขา

“ธุระน่ะ เอ้อ ดิน อาถกลชวนไปทานข้าวด้วยเย็นนี้ เขาอยากให้รู้จักหลานชายที่มาพักอยู่ด้วย”

ฉันแสร้งทำเสียงปกติ ขณะจัดการเก็บเอกสารบนโต๊ะ ครึ่งหนึ่งฉันภาวนาให้เขาตอบรับ แต่อีกครึ่งหนึ่ง ก็อยากให้เขาปฏิเสธ ถ้าบดินทร์ไม่ได้ใจตรงกับฉันมาตลอดสามปีแล้วล่ะก็ ตอนนี้หัวใจของเขาอาจอยู่กับคนอื่นที่เพิ่งเข้ามาในชีวิตของเขา และถ้าเป็นอย่างนั้นฉันก็จำเป็นต้องตัดความรู้สึกของตัวเองให้ได้โดยเร็ว

“เหรอ คือ..” ดินอึกอักแล้วเงียบไป

เขาสาวเท้ามาหยุดที่โต๊ะของฉัน ในมือถือถุงเอกสาร

“ผมมีธุระน่ะวันนี้ ฝากขอโทษอาถกลด้วยนะดา” พูดเสร็จก็ทำท่ารีบร้อนดูนาฬิกาตัวเอง ก่อนจะเดินออกจากห้องทำงานไป

ฉันหยุดเสแสร้งยุ่งกับงานบ้าบอบนโต๊ะนั่น แล้วเหม่อมองออกไปที่ประตูกระจกซึ่งสั่นเล็กน้อยเพราะแรงปิดจากผู้ชายที่ฉันตกหลุมรักมาตลอดสามปี คนที่ฉันมักจะทำอะไรให้เสมอ แม้เขาจะไม่ได้ขอร้อง คนที่ฉันมักเป็นห่วงเป็นใย และรอคอยอยากให้เขาปรับทุกข์ และเป็นคนที่ฉันคิดว่าเรามีความรู้สึกตรงกัน



ฉันคิดว่าบดินทร์ก็รู้สึกกับฉันอย่างที่ฉันรู้สึก เขาสุภาพ ใส่ใจ และห่วงใยฉันเสมอ เขามักโทรมาราตรีสวัสดิ์ก่อนนอน พาฉันไปฉลองวันเกิดกันเพียงสองคน บดินทร์ชอบทานอาหารฝีมือฉันพอๆกับที่ฉันชอบทำให้เขาทาน



ถึงเขาจะไม่เคยบอกตรงๆ ไม่เคยเอ่ยคำหวานๆ เพราะฉันรู้ว่าเขาขี้อาย แต่ฉันรู้สึกมั่นใจลึกๆเหลือเกินว่าก่อนที่ฉันจะใช้ทุนหมดจากที่นี่แล้วกลับไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯเขาคงจะบอกว่ารู้สึกกับฉันอย่างไร



แต่ทุกอย่างกลับเปลี่ยนไปเมื่อไม่กี่เดือนมานี้ เขาไม่ได้โทรมาเหมือนเดิม และมักจะมีธุระบ่อยๆโดยที่ไม่เคยบอกว่าคืออะไร



อย่างวันนี้เขากลับจากโรงพยาบาลไปโดยที่ไม่ได้รอฉันกลับพร้อมกันอย่างเคย



ฉันเก็บของตัวเองอย่างอ้อยอิ่ง ก่อนจะค่อยๆเดินราวกับคนไร้วิญญาณกลับบ้านพักซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก ระหว่างทางภาพในอดีตของฉันก็ปรากฏขึ้นมาจนแจ่มชัด ถ้าหากครั้งนี้จะเป็นอีกครั้งที่ฉันอกหัก มันก็คงไม่ใช่ครั้งแรก ฉันจะเสียใจทำไม ฉันควรจะชินชาและเรียนรู้อีกครั้งเหมือนกับที่เคยเรียนรู้ตอนมัธยมว่าเพื่อนคนนั้นที่มาคุยกับฉันบ่อยๆ ไม่ใช่เพราะชอบฉัน แต่เพราะชอบเพื่อนที่นั่งติดกับฉันต่างหาก


หรือจะเหมือนกับที่เคยเรียนรู้ตอนเรียนมหาวิทยาลัยว่ารุ่นพี่คนนั้นที่ฉันแอบชอบมาตลอดกลับมาชอบเพื่อนสนิทของฉัน และที่ร้ายกว่านั้นก็คือ ฉันบอกทุกอย่างกับเพื่อนสนิทของฉันทั้งๆที่เธอคบกับรุ่นพี่อยู่แต่ไม่ได้บอกฉัน เพราะกลัวฉันเสียใจ

และใช่แล้ว…เหมือนที่ฉันเคยเรียนรู้ตอนเรียนอยู่ปีห้าว่า ลูกชายเพื่อนสนิทของคุณพ่อที่เพียรมาบ้านฉันบ่อยๆและมักคุยสนุกสนานกับฉันแต่เงียบขรึมกับพี่นิชาลูกพี่ลูกน้องที่อยู่บ้านติดกัน นั่นก็เพราะเขาแอบชอบเธอ พร้อมๆกับที่ฉันชอบเขาไปแล้ว

อืม…ประสบการณ์ทั้งหมดนี้ได้สอนฉันจนเข้าใจได้เป็นอย่างดีว่า ฉัน…คือทางผ่านของทุกคน

เท่านั้นเอง

กว่าฉันจะระงับความรู้สึกและเริ่มทำหัวใจให้ชินชาอีกครั้ง ฉันก็อาบน้ำแต่งตัวเสร็จและกำลังจะเปิดประตูบ้านออกไปหาอาถกล แต่แล้วก็มีเสียงเคาะประตูหน้าบ้านแทรกขึ้นมาเสียก่อน


ฉันเปิดประตูออกแล้วก็ได้เห็นคุณภูผายืนอยู่ตรงหน้า ใบหน้าขาวสะอาด ดวงตาขี้เล่นและใจดี พร้อมกับรอยยิ้มกว้าง ในชุดกางเกงยีนและเสื้อโปโลสีดำธรรมดา แต่เขากลับดูดีจนฉันอดชื่นชมในใจไม่ได้

คุณภูผานี่หล่อแบบไม่ต้องแต่งอะไรจริงๆ


“คุณอาให้ผมมาเรียกน่ะครับ” เขาเอ่ยด้วยเสียงร่าเริงตามปกติ


ฉันยิ้มกว้างตอบ ก่อนจะล็อกประตูบ้านแล้วเดินไปขึ้นรถอาถกลกับเขา


ไปทานข้าวข้างนอกบ้างก็ดี จะได้มีเรื่องอื่นให้คิดบ้าง คุณอาทั้งสองก็คุยสนุก ส่วนคุณภูผาก็ตลกดี ฉันคงรู้สึกดีขึ้นบ้างไม่มากก็น้อย

“เชิญครับคุณผู้หญิง” คุณภูผาเปิดประตูรถจี๊ปสีเขียวแก่ของอาถกลออกแล้วทำท่าผายมือราวกับเป็นพนักงานต้อนรับของโรงแรมเชื้อเชิญให้ฉันเข้าไปนั่ง

ฉันหัวเราะเบาๆ ก่อนจะทำท่าย่อน้อยๆแล้วหย่อนตัวนั่งลงไป “ขอบคุณค่ะ”


แล้วอาถกลกับอามณทิพย์ก็ทักทายฉันอย่างเอ็นดูอย่างเคยก่อนจะออกรถมุ่งหน้าสู่ร้านอาหารที่อาถกลชอบนักชอบหนา บอกว่าไม่ค่อยมีใครรู้จัก อยู่ในซอยเล็กๆ แต่บรรยากาศสงบ ติดริมแม่น้ำปิง และอาหารอร่อยเป็นที่สุด


“หนูดาจำจะกลับกรุงเทพฯวันไหนนะจ๊ะ” อามณถามฉันขณะที่เราทานอาหารไปคุยไปกันอย่างสนุกสนาน บรรยากาศริมแม่น้ำปิงนี่เย็นสบายและเงียบสงบเสียจริง

“อีกสามเดือนน่ะค่ะ หนูได้ทุนเรียนต่อเด็กแล้วล่ะค่ะอา”

ฉันบอกด้วยความดีใจ

“หืม ดีใจด้วยนะหนูดา แล้วนี่ก็จะไม่ได้เจอกันแล้วล่ะสิ อย่าลืมกลับมาเยี่ยมคนแก่ที่บ้านนอกบ้างล่ะลูก” อาถกลพูดด้วยน้ำเสียงหม่นหมองนิดหนึ่ง


อามณตีต้นขาอาถกลโดยแรง “อย่าไปพูดประชดประชันให้หนูดารู้สึกแย่สิคุณ เดี๋ยวหมดรุ่นหนูดากับพ่อดินก็คงมีหมอใช้ทุนรุ่นใหม่มาอยู่ให้เราไม่เหงาเองแหละ”

ฉันขำ แต่ก็แอบน้อยใจเล็กๆ “แหมอาคะ หนูไม่อยากให้ใครมาแทนที่หนูนะคะอา เอาอย่างนี้แล้วกัน หนูจะขับรถมาเยี่ยมอาทุกเสาร์ อาทิตย์เลย”

คุณอาทั้งสองหัวเราะชอบใจ แล้วอามณก็แกล้งทำท่าซุบซิบกับอาถกลว่า “แผนสำเร็จค่ะคุณ”

คราวนี้คุณภูผาหัวเราะดังกว่าใครเพื่อน เขานั่งอยู่ข้างฉันนี่เอง

“คุณอารักคุณดามากเลยนะครับเนี่ย ธาวินรู้คงน้อยใจ”

เขาพูดถึงใครสักคนที่ฉันไม่รู้จัก

แต่อามณคงเข้าใจ เพราะเปลี่ยนจากสีหน้าสบายๆมาเป็นขึงขังทันที “จะไม่ให้รักได้อย่างไร หนูดาเขาน่ารักเรียบร้อยแล้วก็คอยทำอะไรอร่อยๆให้พวกอาทานเสมอ บางครั้งก็พาอากับพวกพยาบาลไปเที่ยวบ่อยๆ ไม่เหมือนตาวิน เอาแต่ยุ่งกับเงินแล้วก็เที่ยวต่างประเทศไม่มาหาอาบ้างเลย ระวังเถอะนะ”

คุณภูผาขำหนักขึ้น “ระวังอะไรครับอา”

“อาจะจดทะเบียนหนูดากับพ่อผาเป็นหลานแท้ๆเสียเลย แล้วเฉดหัวตาวินออกไปไกลๆ ฮึๆ”

แล้วอามณกับอาถกลก็มองหน้ากันแล้วขำเบา ประมาณว่าไม่ได้โกรธจริงจังกับคนชื่อธาวินเท่าไรนัก

แต่ว่าฉันไม่เข้าใจ…จดทะเบียนคุณภูผาเป็นหลานแท้ๆน่ะเหรอ

“อ้าว..” ฉันอุทานอย่างสงสัย มองคุณอาทั้งสองทีหนึ่ง แล้วหันกลับไปมองคุณภูผา

“คุณภูผาไม่ใช่หลานแท้ๆของอามณหรือคะ”

คุณภูผาเลิกคิ้วมองฉันอย่างสงสัยเช่นกัน

“อ้าวคุณดาไม่รู้เหรอครับ”

ฉันเลยมองคนทั้งสามด้วยความมืดแปดด้าน

“คืออย่างนี้จ้ะ ตาผาเนี่ยเป็นเพื่อนสนิทกับธาวินที่เป็นหลานแท้ๆของอา แล้วธาวินก็ติดต่ออามาบอกว่าเพื่อนเขาคนหนึ่งอยากมาพักผ่อนต่างจังหวัดไกลๆ อยากให้อาช่วยดูแลด้วย ก็คือภูผานี่แหละ” อามณอธิบาย


ฉันเลยเข้าใจเป็นอย่างดี พยักหน้าตอบรับคนทั้งสาม ก่อนจะเอ่ยถามคุณภูผาด้วยความสงสัยตั้งแต่เย็นแล้วว่า

“ทำไมอยู่ดีดีถึงอยากมาไกลๆล่ะคะ งานคุณหนักเหรอ”

คุณภูผารีบหลบสายตาฉัน ก่อนจะทำหน้าเจื่อนลงเล็กน้อย แต่ก่อนที่เขาจะได้ตอบอะไร อาถกลก็พูดขึ้นแทรกด้วยความประหลาดใจ ทำเอาเราทั้งสามคนหันหลังไปมองตามสายตาของอาถกล

“นั่นคือธุระของหมอบดินทร์ที่ทำให้มากับเราไม่ได้หรือเปล่า”


สิ้นเสียงอา ฉันรู้สึกได้ว่าหน้ากำลังจะชาเมื่อเห็นร่างหญิงกับชายสองคนที่มองแต่ไกลแต่ก็รู้ได้ทันทีว่าคือพยาบาลชื่อเดือนดารากับบดินทร์เดินเข้ามาในร้านก่อนจะนั่งลองในมุมที่ไกลจากพวกเราออกไปนิดหนึ่ง

อาทั้งสองมองหน้าฉันแปลกๆ แต่ฉันกลับทำสีหน้ารื่นเริงตามปกติ และหุบปากไว้ เพราะไม่อยากพูดอะไรที่ทำร้ายจิตใจตัวเอง เพียงแค่นี้ ฉันก็รู้สึกเย็นวาบปทั้งตัว และไม่มีความคิดเหลือต่อที่จะคุยอะไรแล้ว

“นั่นคือหมอบดินทร์เหรอครับ” คุณภูผาผู้ซึ่งไม่รู้อะไรถามขึ้น

อาถกลตอบแบบไม่เต็มปากเต็มคำ “ใช่ ว่าแต่เมื่อกี้หนูดาพูดว่าอะไรนะลูก”

ฉันรู้สึกมึน เลยได้แต่มองหน้าอาถกล แต่ฉันยังพอมีสมองเหลือนิดหน่อยที่จะรับรู้ได้ว่า อาตั้งใจจะเปลี่ยนเรื่อง

“คะ?” ฉันจำไม่ได้ จำไม่ได้แล้วว่าเมื่อกี้พูดอะไร ฉันจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าความรู้สึกที่ดินอาจจะรักฉันบ้างมันสิ้นสุดตอนไหน หรือมันเคยเริ่มต้นขึ้นหรือเปล่า

“หนูดาถามว่าทำไมตาผาถึงมาที่นี่ใช่ไหมจ๊ะ” อามณช่วยฉันตอบ และฉันเริ่มรู้สึกว่าปากหนักขึนและหมดเรี่ยวหมดแรง

ดูเหมือนคุณภูผาจะเงียบลงไปเช่นกัน ก่อนจะเอ่ยสั้นๆว่ามาพักร้อนอะไรทำนองนั้น แล้วก็คุยอะไรต่อไม่รู้ยืดยาว ส่วนฉันนั้นไม่มีสติที่จะฟังได้อีกว่าคนทั้งสามกำลังคุยกันเรื่องอะไร ฉันได้แต่เหม่อลอยและตอบรับคำสองคำเมื่อถูกถาม ตอนนี้ฉันอยากหันหลังไปมองบดินทร์ให้เต็มสองตาชัดๆอีกสักที ว่าเป็นเขาจริงๆใช่ไหม อยากเดินไปถามเขาว่าที่มาทานข้าวกับเดือนดาราก็เพราะแค่ว่าอยากช่วยเหลือค่าอาหารเย็นของพยาบาลจบใหม่เงินเดือนน้อยเท่านั้นหรือเปล่า

ฉันกำลังทำตัวเป็นคนไข้มะเร็งระยะสุดท้าย นั่นคือ ปฏิเสธความจริง ตรงตามทฤษฎีที่เรียนมาจริงๆ

ฉันไม่รับรู้อะไรอีกเลย ว่าไม่นานนักหลังจากที่บดินทร์เข้ามา พวกอาๆกับคุณภูผาชวนฉันคุยมากมายเพียงไหน และคิดว่าคงไม่ได้ผลเท่าไร เพราะฉันเอาแต่ปากหนัก พวกเขาเลยพาฉันกลับมาที่บ้าน กว่าจะรู้ตัวฉันก็กำลังนั่งร้องไห้อยู่บนเตียงในห้องนอนเสียแล้ว

โถ่ อารดา นี่ไม่ใช่ครั้งแรกสักหน่อย น่าจะชินชา ตายด้าน และหัวเราะดังๆ ก่อนจะพูดว่า อีกแล้วเหรอ เท่านั้นเอง

ฉันร้องไห้หนักขึ้น และถึงแม้จะรู้ว่าเป็นวิธีไร้สมองและไม่ได้ช่วยอะไร แต่ฉันกลับคิดว่าน้ำตาไม่ใช่สิ่งเลวร้ายสำหรับคนเรา

น้ำตาเป็นเครื่องปลอบโยนหัวใจต่างหาก

ฉันนั่งร้องอยู่บนเตียงนานเท่าไรก็ไม่อาจรับรู้ได้ แต่เมื่อเริ่มรู้สึกอึดอัดและร้อนฉันจึงรีบถอดเสื้อเพื่อไปอาบน้ำ ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปหยิบผ้าขนหนูริมหน้าต่างตรงหัวเตียง ซึ่งน่าแปลกว่าจู่ๆก็มีแสงไฟวาบขึ้นด้านหลังหน้าต่าง

ฉันเงยหน้ามอง ก่อนจะปรับสายตาที่ชุ่มไปด้วยคราบน้ำตามองให้ชัด แล้วก็ได้เห็นว่า….เห็นว่า…เห็นว่า…



กะ…กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดด


ฉันตาโตที่สุดในชีวิต อ้าปากร้องดังลั่นราวกับคนเสียสติ ไม่ต่างอะไรกับคนฝั่งตรงข้ามที่เบิกตาตะโกนเสียงหนักราวกับเจอสัตว์ประหลาด


ฉันคว้าผ้าขนหนูมาปิดท่อนบนซึ่งเหลือแต่เสื้อชั้นใน ก่อนจะวิ่งแบบไม่คิดชีวิตเข้าห้องน้ำไปปิดประตูดังลั่นจนบ้านสั่น อายแสนอายเมื่อนึกถึงว่าคุณภูผาเห็นอะไรฉันบ้างจากห้องนอนฝั่งตรงข้าม





ราตรีสวัสดิ์ค่ะ



ภาพพิมพ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 15 ม.ค. 2557, 23:52:27 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 15 ม.ค. 2557, 23:52:27 น.

จำนวนการเข้าชม : 1120





<< (3)ไปด้วย   (5) หายไป >>
LOLIN 19 เม.ย. 2558, 08:09:44 น.
เรื่องนี้ไรเตอร์จะรีไรต์ไหมค่ะ สนุกมากๆเลยค่ะ อยากอ่านต่อ


ภาพพิมพ์ 19 เม.ย. 2558, 14:02:55 น.
จริงๆก็มีตอนต่อไป แต่ลืมลงคะ ฮ๋าๆๆ เดี๋ยวเอามาลงให้คะ


LOLIN 19 เม.ย. 2558, 21:53:30 น.
รอนะคะ^^ ลุ้นว่านางเอกกับพระเอกจะมารักกันยังงัย
ขอถามนอกเรื่องนะคะ ชีวิตจริงไรต์เป็นคุณหมอรึเปล่าค่ะ เห็นแต่งเกี่ยวกับคุณหมอทั้งสองเรื่องได้เรียลดีคะ อ่านแล้วเห็นภาพตามเลย


ภาพพิมพ์ 20 เม.ย. 2558, 00:20:31 น.
ฮ่าๆ ก็ใช่ค่ะ แต่งนิยายให้ชีวิตมีสีสันค่ะ อิอิ ดีใจที่ชอบคะ


LOLIN 20 เม.ย. 2558, 06:50:11 น.
เป็นกำลังใจให้นะคะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account