เมียทาสสวาท
ขาอาฆาตแค้น ชิงชัง และมุ่งหวังที่จะทำลายชีวิตเธอ
ตั้งแต่วันที่บิดาของเขารับตัวนางบำเรอรุ่นลูกเข้ามาอาศัยอยู่ภายใต้ชายคาบ้าน
ความวุ่นวายที่ตามมาอย่างไม่รู้จักจบสิ้นก็ทำให้ชายหนุ่มนึกเกลียดชังน้ำหน้าเธอมากพอแล้ว
หาก ‘เพชรกล้า ฉัตรมงคลกุล’ นักธุรกิจหนุ่มเสือผู้หญิงต้องเจ็บปวดจนแทบขาดใจ
เมื่อเห็นมารดาต้องกลายมาเป็นคนพิการเพราะอุบัติเหตุที่สืบเนื่องมาจากความแพศยาของผู้หญิงคนนั้น
แม้ว่าเขาจะไม่นิยม ‘กิน’ สวะโสโครกที่เหลือเดนมาจากผู้เป็นพ่อ
แต่ในเมื่อรักที่จะเป็นโสเภณีนัก... เขาก็จะ ‘สนอง’ ให้เธอได้เป็นผู้หญิง ‘หลายผัว’ สมความอยาก
“เธอจะคร่ำครวญทำไม! อีกไม่นานเธอก็จะได้รู้ว่ารสรักของฉันมันล้ำเลิศกว่าของคุณพ่อแค่ไหน
ไม่แน่นะ เธออาจจะเปลี่ยนใจมาจับฉันแทนก็ได้ แต่ยากหน่อยนะ เพราะฉันรู้ไส้นางบำเรออย่างเธอดี”
“ปล่อยฉันนะ!” พิรุณญาดิ้นรนหาอิสระทุกวิถีทาง ทั้งจิกทั้งข่วน ปากก็ร้องขออิสระจากเขา
“เล่นตัวอย่างนี้นี่เอง ค่าตัวถึงได้แพง แต่สำหรับฉันนะ จะจ่ายให้งามๆก็ต่อเมื่อพิสูจน์ได้ว่า
ของของเธอน่ะ มันดีจริงหรือเปล่าเท่านั้น แต่ไม่บอกก็รู้ว่าแหลกเหลวแค่ไหน กี่ปีแล้วล่ะ
ที่นอนประเคนให้พ่อฉันเอาน่ะ นี่เห็นว่าคุณพ่อไม่อยู่หรอกนะ ฉันเลยจะสงเคราะห์ให้
จะได้ไม่อดอยากปากแห้งจนเที่ยวเร่ไปให้ใครต่อใครเอาไง”
เขาพูดเยาะเย้ย พลางระดมจูบเธออย่างรุนแรงเป็นการลงโทษที่ทำให้เขาต้องเหนื่อย
“ปล่อยฉันนะ! ปล่อย! คุณท่านจะต้องเสียใจแน่ๆ ถ้ารู้ว่าคุณทำยังงี้”
เธอร้องบอกเพื่อเตือนสติเขา แต่ไม่เป็นผล เพราะมือนั้นกำลังลูบไล้เรือนร่างเธออย่างมีความสุข
“คุณพ่ออาจจะใช่ แต่คุณแม่จะต้องดีใจที่ฉันช่วยท่านกำจัดเธอได้เสียที
แล้วอย่าคิดแรดไปเกาะพี่พีทอีกล่ะ เพราะเมียเขาไม่ใจดีใจเย็นเหมือนคุณแม่แน่”
ทุกสิ่งที่เขาทำ เธอได้แต่ยอมอดทน กล้ำกลืนความรวดร้าวโดยไม่ปริปาก
แม้เด็กสาวกำพร้าอย่าง ‘พิรุณญา’ จะสำนึกในบุญคุณของครอบครัวฉัตรมงคลกุลมากเพียงใด
แต่เธอก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะต้องตอบแทนบุญคุณด้วยวิธีที่แสนจะทุกข์ทรมานเช่นนี้
ไม่เพียงร่างกายที่ยับเยินจะกลายเป็นเครื่องเล่นบำบัดอารมณ์ใคร่ของเพชรกล้าทุกเวลาที่เขาปรารถนา
แต่หัวใจที่บอบช้ำก็ยังถูกเขาเหยียบย่ำไม่ต่างไปจากเศษผ้าขี้ริ้วสำหรับเช็ดเท้าด้วย
และเธอก็คงจะทนและทนต่อไป หากไม่บังเอิญรู้ว่าภายในท้องกำลังมีชีวิตน้อยๆก่อกำเนิดขึ้นมา
พิรุณญาอาจจะทนความเจ็บช้ำได้ทุกอย่าง
แต่จะไม่ยอมให้ลูกของเธอต้องเกิดมาเผชิญกับเรื่องเลวร้าย
ทางสุดท้ายที่จะทำได้ก็คือหนี... หนีไปจากซาตานใจอำมหิตคนนั้น
และไม่มีวันยอมให้ลูกในท้องเรียกคนใจชั่วว่าพ่อเป็นอันขาด!

Tags: เศร้า รันทด พระเอกโหด

ตอน:

จันทภาพยุงร่างกายให้ลุกขึ้นนั่งเอาหลังพิงหัวเตียงแทนการนอน สายตาก็หันไปจ้องมองร่างผอมบาง ที่เดินเข้ามาในห้องพร้อมของว่างเช่นเคย แม้จะประทับใจซาบซึ้งใจในความเสมอต้นเสมอปลายของเด็กสาวอยู่ไม่น้อย แต่จะยังไงจันทภาก็ยังคงเห็นคนตรงหน้าเป็นเสมือนหนามคอยยอกอกมาโดยตลอดอยู่นั่นเอง จากเมื่อแรกที่หวาดระแวงว่าจะเกิดขึ้นกับสามี แต่ตอนนี้กลับกลายมาเป็นเกิดกับลูกชายแทน และจันทภาก็พอจะเดาออกด้วยว่าลูกของตัวเองน่าจะเป็นฝ่ายเริ่ม หรือไม่แน่อาจจะถึงขั้นใช้กำลังเข้าข่มก็เป็นได้ ทว่าหม่อมราชวงศ์ก็ต้องมีภาษีดีกว่าเด็กที่เก็บมาเลี้ยงเป็นล้านเท่าสำหรับตำแหน่งสะใภ้
“ขอบใจนะฝน เฮ้อ! ฉันล่ะรู้สึกผิดจริงๆ เลยที่ดึงฝนมาติดแหงกอยู่กับคนพิการอย่างฉัน ดูสิมีงานดีๆ ก็เลยต้องทิ้งมาตั้งนมนาน คิดๆ แล้วฉันก็ละอายใจไม่น้อยเลย แต่ฝนไม่ต้องห่วงนะพอตาเพชรแต่งงานพาคุณหญิงเข้ามาอยู่ในบ้าน ฉันคงจะต้องปล่อยให้ฝนมีอิสระได้ทำอะไรตามที่ใจคิดซักที จะกลับไปทำงานที่เดิม หรืออยากจะไปทำที่ไหนก็ได้นะ ฉันจะไม่รั้งฝนเอาไว้แล้วล่ะ หรือถ้าอยากจะไปทำงานต่างจังหวัด คราวนี้ฉันสัญญาว่าจะไม่ขัดใจฝนอีกเลย”
หลายครั้งที่พิรุณญาไม่ใคร่จะเข้าใจกับคำพูดที่กำกวมของจันทภานัก แต่สำหรับครั้งนี้อ่านออกได้อย่างแจ่มแจ้ง ว่ากาฝากอย่างเธอหมดความหมายกับคนบ้านนี้แล้ว และถึงเวลาที่เธอจะต้องไปแล้ว ไม่ว่าจะเต็มใจไปหรือไม่แต่เจ้าของบ้านก็ออกปากไล่ทางอ้อมมาแล้ว ซึ่งเป็นการไล่ที่มีชั้นเชิงจนไม่อาจจะปฏิเสธใดๆ ได้ เธอจึงเลือกที่จะนิ่งเงียบเพียงเท่านั้น จันทภาเองก็คงจะอ่านใจออกว่ารู้สึกยังไง แต่ก็คงจะยอมปล่อยให้เมียเก็บของลูกอยู่บ้านเดียวกับสะใภ้ที่กำลังจะตบจะแต่งเข้าไม่ได้อีกเป็นแน่
“แล้วแฟนของฝนล่ะตอนนี้ทำงานที่ไหน ใช่คนที่มากับพวกที่โรงแรมหรือเปล่า ฉันเห็นคุยกันอย่างมีความสุขแทบตลอดงานเลยนะ สงสัยจะรักกันมาก”
“เอกย้ายไปอยู่โรงแรมที่ต่างจังหวัดแล้วค่ะคุณท่าน แต่เราก็เป็นแค่เพื่อนกันเท่านั้นค่ะ” พิรุณญาให้ความกระจ่างด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ขณะนั่งพับเพียบรอให้จันทภาจัดการกับของว่าเสร็จ
“อ้าว! เหรอ ฉันก็คิดว่าเป็นแฟนกันซะอีก เอ...ไม่ใช่หนุ่มคนนั้นแล้วจะเป็นใครกันล่ะ อย่าบอกนะว่าเป็นคุณชาย พักนี้เห็นมาหาฝนบ่อยๆ จะมีข่าวดีให้ฉันเร็วๆ นี้กันหรือยังล่ะฝน” จันทภาหันไปมองยังคนที่ยังคงนั่งพับเพียบเรียบร้อยอยู่ โดยไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาก็ถึงกับยิ้มด้วยความมีชัย ก่อนจะเอ่ยต่อ
“ถ้าเป็นคุณชายฉันก็คงจะดีใจกับฝนมากๆ ที่ได้ผู้ชายสูงศักดิ์อย่างนั้นมาไว้เป็นผู้นำชีวิต แต่บอกตามตรงนะฝนว่าฉันกลัวแทน คุณชายน่ะไม่เท่าไหร่หรอก แต่หม่อมเพียงพรนี่คงจะไม่เห็นดีเห็นงามด้วยแน่ มีลูกชายคนเดียวก็คงจะหมายมั่นปั้นมือว่าจะให้ได้คู่ครองที่เหมาะสมกันทุกด้าน คงไม่อยากให้ลูกแหกคอกนอกลู่นอกทางไปคว้าเอาคนที่ไม่ตรงกับใจมาเป็นสะใภ้แน่ ฝนอย่าโกรธนะที่ฉันพูดออกมาตรงๆ แต่ฉันก็หวังดีกับฝนไม่อยากให้ฝนเสียใจทีหลังแค่นั้น
แล้วฝนก็อย่าไปโกรธไปเคืองหม่อมท่านเลยนะ ฉันเองก็เข้าใจหัวอกของคนเป็นแม่เหมือนกัน ดีหน่อยที่ตาเพชรไม่ทำให้ฉันผิดหวัง หาสะใภ้ได้เหมาะและถูกใจฉันทีเดียว ถึงแม้เมื่อก่อนตาเพชรจะมีเบี้ยใบ้รายทางกับผู้หญิงอื่นๆ ตามประสาผู้ชายอยู่บ้าง แต่ยังไงๆ ฉันก็รู้ว่าตาเพชรไม่คิดจะจริงจังด้วยหรอก ก็คงจะแค่ใช้เป็นเครื่องขั้นเวลาหรือเครื่องเอาไว้คลายเหงาเท่านั้นล่ะ
เพราะถ้าคิดจะจริงจังป่านนี้คงจะพามาให้พ่อแม่รู้จักแล้วล่ะ ไม่ปิดบังหรือหลบๆ ซ่อนๆ แบบนี้หรอก คนอย่างตาเพชรถ้าลองอยากได้ใครหรืออะไรก็ไม่คิดจะกลัวพ่อแม่หรอกต้องรีบบอกออกมาแล้ว แต่ที่เห็นๆ ก็มีแค่คนเดียว ก็แปลว่าผู้หญิงที่ตาเพชรหมายตาไว้สำหรับตำแหน่งสะใภ้ของบ้านก็คือคุณหญิงเท่านั้น เพราะรักกันมานานหลายปีตั้งอยู่เมืองนอกโน่น”
น้ำตาแห่งความเสียใจ น้อยเนื้อต่ำใจแทบจะร่วงหล่นลงมาทันที นับตั้งแต่ที่ร่างบอบบางก้าวพ้นจากประตูห้องของจันทภาออกมาได้ และดูเหมือนในทุกครั้งที่พิรุณญาคิดถึงประโยคนี้ ก็จะต้องมีน้ำตาไหลรินออกมาทุกครั้ง แม้ในยามค่ำคืนหลังจากที่ทำหน้าที่เป็นเครื่องคลายเหงาให้ลูกชายของเจ้าของประโยคแล้วก็ตาม มันก็ยังตามติดมาเล่นงานหัวใจอันบอบบางไม่ห่างหายเลย จนเจ้าของร่างเปลือยเปล่าต้องค่อยๆ ขยับออกจากวงแขนแข็งแรงที่โอบกอดเธอไว้ เดินออกไปนั่งลงกับพื้นตรงระเบียงหลังจากคว้าเสื้อคลุมขึ้นมาห่อกายเอาไว้
แล้วเธอก็ปล่อยให้น้ำตาไหลรินออกมา ด้วยความเจ็บช้ำจิตใจในโชควาสนาหรือชะตาชีวิตอันต่ำต้อย ด้อยศักดินาของตัวเอง อีกทั้งก็ให้สับสนและอับจนหนทางไม่รู้จะพาตัวเองก้าวเดินไปทางทิศไหน ไปอยู่ ณ หนแห่งใด แต่ที่ตรงนั้นก็คงจะไม่ใช่ใต้ชายคาบ้านหลังนี้อีกต่อไปแล้ว ก็ในเมื่อเจ้าของถึงกับเอ่ยปากไล่ทางอ้อมออกมาแล้ว เธอยังจะหน้าด้านหน้าทนอยู่ก็คงจะทำได้ยากเต็มที หรือแม้ตอนนี้เธออยากจะอยู่ ก็ไม่อาจจะทำได้เป็นแน่ เพราะอีกไม่นานลูกในท้องก็คงจะค่อยๆ โตขึ้นมาฟ้องความเป็นคนเนรคุณของตัวเองแล้ว และพร้อมพงษ์ที่เป็นเพียงคนเดียวในบ้านที่รักและเมตตาเธอไม่เสื่อมคลาย ก็คงจะเกลียดชังเธอเหมือนกับคนอื่นๆ เป็นแน่
เจ้าของหยาดหยดใสๆ พยัยามคิดหาหนทางที่จะพาตัวเองกับลูกน้อยในท้อง ก้าวออกจากบ้านนี้ยังไงถึงจะไปรอด เรื่องหางานทำดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยสักนิด เพราะอีกหน่อยท้องก็คงจะกลายเป็นอุปสรรค์สำคัญ ตามติดด้วยความเป็นแม่ลูกอ่อนไม่น้อยกว่าสามเดือนตามกฏหมายแรงงาน คงไม่มีนายจ้างที่ไหนยอมรับเข้าทำงานแน่ หนทางเดียวคือต้องคิดทำมาค้าขาย ก็แล้วจะขายอะไรที่พอจะทำได้ในสภาพท้องโย้หรือในสภาพแม่ลูกอ่อน ที่ต้องคอยดูแลให้นมลูกควบคู่กันไปด้วย
ครั้นจะหวังพึ่งเงินเก็บที่มีเพียงน้อยนิด ก็หวั่นเกรงว่าจะมีให้ใช้ได้ไม่กี่เดือนก็คงจะหมดไป เพราะรู้ดีว่าก้าวขาออกจากบ้านนี้ไปก็ต้องมีคำว่าเงินเข้ามาเกี่ยวข้องในทันที เริ่มตั้งแต่จะต้องหาที่พักพิงและข้าวของเครื่องใช้ แม้แต่พอจำเป็นก็คงต้องควักไม่ต่ำกว่าสองถึงสามหมื่นแน่ ไหนจะต้องเก็บเงินเอาไว้สำหรับคลอดกับซื้อข้าวของให้ลูกน้อยที่จะเกิดมาอีก เพียงแค่นี้เงินที่มีก็แทบจะหมดไปเป็นครึ่งแล้ว

“ไหว้พระเถอะจ้ะฝน ไปยังไงมายังไงถึงมาหาอาจารย์ได้ แล้วหิ้วอะไรมาด้วยล่ะ”
พิรุณญาส่งยิ้มจางๆ ให้อาจารย์เปรมจิตหลังจากยกมือไหว้ด้วยอาการนอบน้อมไม่เสื่อมคลาย แล้วถุงที่บรรจุกล่องพลาสติกเนื้อดีที่ด้านในมีช่อม่วงกุ้งก็ถูกยกส่งให้ผู้เป็นอาจารย์
“อื้ม! รสชาติไม่เปลี่ยนเลยนะฝน ไม่เสียแรงที่อาจารย์ตั้งใจสอนให้”
ผู้เป็นอาจารย์หันไปยิ้มให้ลูกศิษย์รักหลังจากชิมของฝากไปแล้วหนึ่งคำ จากนั้นก็เผื่อแผ่ไปให้เพื่อนอาจารย์โต๊ะข้างๆ ได้ลิ้มลองกันถ้วนหน้า ทุกคนต่างออกปากชมเป็นเสียงเดียวกัน ยังผลให้คนทำยิ้มออกมาน้อยๆ แต่ไม่นานรอยยิ้มนั้นก็จางหายไป แล้วมีความเศร้าใจเข้ามาแทนที่ จนอาจารย์เปรมจิตสังเกตเห็นแต่ก็ไม่ได้ถามไถ่ออกมาตรงนั้น เพราะเห็นว่าไม่เป็นส่วนตัวมากพอ
“อาจารย์จะออกไปหาซื้อของไว้สอนพรุ่งนี้ฝนอยากจะไปช่วยถือด้วยมั้ย”
พิรุณญายิ้มตอบรับทันที เพราะอยากจะเอ่ยปากปรึกษาปัญหาชีวิต ที่แก้ไม่ตกมาหลายวันเต็มทีเช่นกัน ร้านกาแฟที่ปลอดลูกค้า จึงเป็นที่สำหรับคนทั้งสองเข้าไปจับจองมุมเงียบสงบในเวลาไม่นานนัก ผู้เป็นลูกศิษย์อ้ำอึ้งอยู่หลายนาที เมื่อถูกผู้เป็นอาจารย์เอ่ยถาม แต่สุดท้ายก็ยอมเปิดปากบอกปัญหาพร้อมน้ำตาไหลรินอาบสองแก้ม ด้วยความเสียใจกับเรื่องร้ายๆ ที่เกิดขึ้นไม่จบสิ้น
“เฮ้อ! ทำไมฝนจะต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ด้วยนะ แต่เอาเถอะเรื่องมันเกิดขึ้นแล้วจะไปเอ่ยถึงก็เปล่าประโยชน์ เรามาหาทางแก้ไขปัญหากันดีกว่าว่าจะเอายังไง จะทำมาหากินอะไรถึงจะเลี้ยงตัวกับลูกที่จะเกิดมาได้”
อาจารย์เปรมจิตถอนหายใจออกมาหนักๆ เมื่อรู้ความจริงทุกอย่างแล้ว ก็ไม่ได้คิดจะตำหนิหรือคลางแคลงใจในตัวศิษย์รักเลยสักนิด และเชื่อในสิ่งที่ได้ยินมาโดยไม่ต้องคิดนาน เพราะรู้ดีว่าศิษย์เป็นเด็กดีย่อมไม่ทำเรื่องไม่เหมาะไม่ควรแบบนั้นเองเป็นแน่ หรือถ้าคิดทำป่านนี้ก็คงจะเอาไปบอกผู้ใหญ่ เพื่อเรียกร้องหาความรับผิดชอบไปแล้ว คงไม่มานั่งร้องไห้เสียใจและหาทางหนีออกมาจากคนพวกนั้นเป็นแน่
“ฝนคิดอะไรไม่ออกค่ะอาจารย์ มันมืดไปหมด จะคิดจะหันไปทางไหนก็มีแต่ปัญหา หรือข้อแม้ให้ตัวเองเต็มไปหมด จะทำงานก็คงไม่มีใครจ้าง หรือถ้าทำโดยไม่บอกเขาก็คงจะปิดได้ไม่กี่วันหรอกค่ะ ท้องก็ต้องโตขึ้นเขาก็คงจะไล่ออกแล้ว”
ลูกศิษย์ตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ดวงตาเหม่อลอยและเศร้าหมองอย่างเห็นได้ชัด เพราะพยัยามคิดหาหนทางให้ตัวเองมาหลายวันแล้ว แต่ก็คิดไม่ออกบอกตัวเองไม่ถูกว่าจะต้องทำยังไง ถึงจะพาตัวเองกับลูกไปให้พ้นจากเขา จากคนบ้านนั้น และเลี้ยงตัวกับลูกให้อยู่รอดได้ โดยไม่ลำบากยากเข็นนัก อาจารย์เปรมจิตเองก็เริ่มใช้ความคิดช่วยหาวิธี หรือหาหนทางช่วยอย่างไม่ลังเล ครู่ใหญ่ก็ยิ้มบางๆ ออกมา
“งั้นเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ฝนมาอยู่บ้านอาจารย์ก่อน บ้านหลังเบ่อเร่ออยู่กันสองตายัยเหงาจะแย่”
ผู้เป็นอาจารย์รีบเสนอแนะ แม้จะพอเดาได้ว่าศิษย์คงจะไม่เห็นด้วยสักเท่าไหร่ พิรุณญายกมือไหว้ขอบคุณด้วยความซาบซึ้งใจในความกรุณาครั้งนี้ แต่เธอก็ปรารถนาจะก้าวออกมายืนด้วยลำแข้งของตัวเอง มากกว่าจะไปรบกวนคนอื่น ถึงแม้จะรักใคร่ชอบพอกันมากแค่ไหน แต่ถ้าลองได้ไปอยู่ใกล้ๆ กัน ก็คงจะมีเรื่องบาดหมางคลางแคลงใจกันเข้าสักวัน
“ขอบคุณอาจารย์นะคะที่เมตตาฝนมากขนาดนี้ แต่ความจริงฝนอยากจะมีที่อยู่เป็นของตัวเอง อยากจะพึ่งตัวเองมากกว่าค่ะ เพราะฝนคงจะต้องอยู่คนเดียวเลี้ยงลูกคนเดี๋ยวไปตลอด ควรจะหาที่อยู่เป็นหลักแหล่งเอาไว้เลยจะดีกว่าค่ะ”
เป็นอย่างที่อาจารย์เปรมจิตคาดไว้ไม่มีผิด ว่าศิษย์จะต้องปฏิเสธเป็นแน่ จึงพยัยามครุ่นคิดหาทางออกต่อ ครู่ใหญ่ก็คิดออกอีกทาง และคงจะเป็นหนทางที่อีกคนปฏิเสธไม่ได้แน่
“อ้อ! อาจารย์คิดออกแล้ว เมื่อต้นเดือนมีห้องที่อยู่ชั้นล่างมาบอกว่าจะย้ายออกเดือนหน้าพอดี ฝนย้ายมาอยู่อพาร์ทเม้นท์ของอาจารย์ก็แล้วกัน มาอยู่ใกล้กันมีอะไรจะได้คอยช่วยเหลือกัน อีกอย่างจะได้ประหยัดเงินไม่ต้องไปจ่ายค่าเช่าล่วงหน้าหรือค่าประกันเป็นหมื่นเหมือนไปเช่าที่อื่นด้วย อาจารย์เก็บแค่ค่าเช่าพอ เพราะถ้าให้อยู่ฟรีๆ ฝนก็คงไม่ยอมอีก ส่วนลู่ทางทำมาหากินก็ค่อยๆ คิดทีหลัง มันต้องมีทางออกสิน่า คนที่อับจนหนทางไม่มีความรู้ความสามารถเท่าฝน ยังเลี้ยงลูกจนโตตามลำพังมาได้เลย แต่เราโชคดีกว่าตั้งเยอะมีทั้งใบปริญญา ทำข้าวปลาอาหารก็อร่อย จะไม่มีลู่ทางเอาตัวรอดได้ก็ให้มันรู้ไปสิ
หรือถ้าหมดหนทางจริงๆ ก็ทำข้าวแกงแล้วยกมาขายหน้าอพาร์ทเม้นท์ยังได้เลย แต่คงไม่ดีหรอก อีกหน่อยท้องก็จะโต พอคลอดก็ต้องเลี้ยงลูกเล็กๆ อีก ทำแบบนั้นไม่ได้แน่ๆ เอาไงดีนะ อ้อ! คิดออกแล้วอาจารย์ว่าฝนทำช่อม่วงไปส่งตามร้านก็ได้ เดี๋ยวอาจารย์จะถามร้านหน้ามหาลัยกับร้านหน้าปากซอยบ้านให้ว่าเขาจะรับหรือเปล่า แต่คิดว่าคงไม่มีปัญหาหรอก ตกลงตามนี้ก่อนก็แล้วกันนะฝน เอาไว้ถ้าวันไหนว่างฝนก็หาเวลาไปดูห้องก็แล้วกันนะ จำทางไปบ้านอาจารย์ได้ใช่มั้ย”
พิรุณญาอยากจะก้มกราบแทบเท้าผู้เป็นอาจารย์อยู่ตรงนั้น เพราะเหมือนยกภูเขาออกจากอกได้ครึ่งหนึ่งแล้ว จากเมื่อแรกที่คิดว่ากำลังเผชิญหน้ากับปัญหาเพียงลำพัง ก็มีผู้ที่เปรียบเสมือนญาติผู้ใหญ่อีกคนเข้ามาร่วมรับรู้และช่วยชี้แนะทางออกให้ หญิงสาวจึงกลับเข้าบ้านด้วยความเบาใจกว่าตอนที่ออกไปไม่น้อย



กันเกราธัญญรัตน์วรนัน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 8 ม.ค. 2557, 14:40:08 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 8 ม.ค. 2557, 14:40:08 น.

จำนวนการเข้าชม : 2168





<< หวงก้าง   ทาสที่จำต้องจากจร >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account