วิมานแสงจันทร์ (ชื่อเดิม ดวงใจศิลารัศมิ์) สนพ.คำต่อคำ
ความสุขความรื่นรมย์ในวังศิลารัศมิ์จบสิ้นลงแล้วจริงหรือ
อะไรคือสาเหตุของเรื่องร้ายๆทั้งหมด

เงื่อนงำ และเงามืดดำ ที่แอบแฝงอยู่ในวัง ยังรอทายาทที่แท้จริงกลับมาสะสาง!
Tags: กานต์ญา วิมานใจใต้ม่านดาว ลับลมคมรัก วิมานแสงจันทร์ พีเรียด โรแมนติก ซ่อนเงื่อนด้วยนะ พี่ดิน น้องศศิ

ตอน: บทที่ 2 : ค่ำคืนแห่งปาฏิหาริย์ (รีไรท์)

ดึกสงัด จักรและบังอรยังคงนั่งทอดถอนใจอยู่ริมระเบียง แว่วยินเสียงหรีดหริ่งเรไรร้องระงมอยู่ริมชายป่า ส่วนลูกสาวทั้งสองคนหลับสนิทเพราะฤทธิ์ยาไปแล้วตั้งแต่ช่วงหัวค่ำ ในห้วงคำนึงของคนทั้งคู่ ตอนนี้มีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้นที่ประทับอยู่ในความทรงจำอย่างไม่มีวันลบเลือน

ใช่แล้ว พวกเขาไม่มีวันลืมค่ำคืนนั้นได้เด็ดขาด

ในปี พ.ศ. ๒๔๙๐ ช่วงที่จักรยังรับราชการอยู่จังหวัดพิษณุโลก คืนนั้นมืดมิดไร้แสงจันทราส่องนำทาง เสียงสายฝนเม็ดหนากำลังเทกระหน่ำลงมาราวกับฟ้าถล่ม แต่ก่อนที่ทั้งสองคนจะเข้าห้องนอน พลันปรากฏเสียงกรีดร้องของเด็กดังอยู่แว่วๆ เมื่อเงี่ยหูฟังให้ดี ก็แน่แก่ใจว่าไม่ได้หูแว่ว จักรและบังอรจึงเร่งรุดออกมาสอดส่องมองหาต้นเสียงด้วยความประหลาดใจ

‘เป็นเสียงเด็กร้องไห้อยู่ที่ประตูหน้าบ้านจริงๆด้วยค่ะพี่จักร’

ชายหนุ่มถือปืนด้ามยาวอยู่หลังบานประตู สบตากับภรรยาที่ยืนอยู่เคียงข้าง ก่อนค่อยๆปลดกลอนแล้วดึงบานประตูเข้าสู่ตัว เขาจ่อปลายกระบอกปืนเล็งไปด้านหน้าอย่างระแวดระวัง ทว่าภาพของเด็กหญิงที่กำลังร่ำไห้อยู่เบื้องหน้า กลับทำให้หัวใจของเจ้าบ้านทั้งสองกระตุกวูบ

‘นี่มัน...’

‘คุณหนูศศิ...’ บังอรจดจำใบหน้าของหนูน้อยที่เธอและสามีเพิ่งเดินทางไปเยี่ยมถึงเชียงใหม่เมื่อสองสัปดาห์ก่อนได้ในทันที

ทั้งสองสามีภรรยาเพ่งสายตามองฝ่าความมืด ค้นหาร่องรอยของบุคคลที่นำคุณหนูตัวเล็กมาทิ้งไว้ที่ใต้ชายคารอบบริเวณ แต่ไม่พบแม้เงาผู้ใด มีเพียงจดหมายเปียกฝนที่โผล่พ้นออกมาจากอกเสื้ออันเปียกชื้นของหนูน้อยฉบับหนึ่งเท่านั้น

ชายหนุ่มก้มลงหยิบจดหมาย สายตาของเขากระทบกับแหวนทองคำฝังเพชร หัวแหวนสลักรูปพระอาทิตย์ทรงกลดเหนือแผ่นศิลา ตราประจำราชสกุลศิลารัศมิ์ที่ห้อยติดกับสร้อยคอทองคำของเด็กหญิง เพชรน้ำงามส่องแสงวาววับล้อเล่นแสงไฟ บังอรโน้มตัวลงไปอุ้มหนูน้อยขึ้นมาปลอบโยน พร้อมกับที่จักรอ่านจดหมายสู่ภรรยาฟัง

กราบเรียน คุณจักรที่เคารพ

บัดนี้คุณชายใหญ่และคุณเอื้องคำสิ้นแล้ว ด้วยมีคนประสงค์ร้าย ตัดสายเบรกจนรถเสียหลักพุ่งชนต้นไม้ หาใช่อุบัติเหตุอย่างที่คนอื่นเข้าใจไม่ ก่อนเกิดเหตุผมได้ทราบเบาะแสบางอย่าง จึงเร่งรุดตามไปช่วยเหลือ แต่ก็ไม่ทันกาล ท่านทั้งสองสิ้นใจเสียแล้วเมื่อผมไปถึง พบเพียงคุณหนูศศิที่ยังรอดชีวิตอยู่ในอ้อมกอดของคุณเอื้อง จึงได้นำตัวหลบหนีออกมาก่อนที่พวกมันจะตามมาเก็บกวาดหลักฐานอำพรางคดี

ผมขอความเมตตาคุณจักร โปรดอุปการะคุณหนูศศิเอาไว้ แล้วพาเธอหนีให้ห่างไกลจากคนในวังศิลารัศมิ์ ศัตรูอยู่ในที่มืด ไม่มีใครจะคุ้มภัยให้กับคุณหนูได้แม้แต่หม่อมท่าน หากแม้นคุณหนูเติบใหญ่ เข้มแข็งแล้วในภายหน้า จะหวนกลับไปเรียกร้องความชอบธรรมก็ยังไม่สาย แหวนประจำราชสกุลและตำหนิที่นิ้วก้อยด้านซ้าย จะช่วยยืนยันตัวตนของหม่อมหลวงวรศศิ ศิลารัศมิ์ ส่วนผมไม่อาจหวนกลับไปที่วังศิลารัศมิ์ได้อีกต่อไป จำเป็นต้องหลบหนีไปอีกเส้นทางหนึ่ง ไม่อาจพาคุณหนูมาทุกข์ยากลำบากด้วย

จึงขอฝากคุณจักรช่วยดูแลเธอให้พ้นภัย หากคุณชายใหญ่ทราบว่าคุณหนูอยู่ในความคุ้มครองของคนที่ท่านรักและไว้ใจที่สุดแล้ว ท่านคงจะนอนตายตาหลับ โปรดทำเพื่อคุณชายใหญ่ด้วยเถิดครับ

เวก

สิ้นเสียงอ่านจดหมายของจักร บังอรแตะมือลงบนบ่าของสามีแผ่วเบา เข้าใจถึงความรู้สึกในการสูญเสียเพื่อนผู้พี่ที่เขาเคารพรักประหนึ่งพี่ชายแท้ๆได้อย่างเต็มอก

‘เป็นไปได้อย่างไร พี่ชายใหญ่ตะ...ตายแล้ว’ ชายหนุ่มครวญ รู้สึกวูบโหวงในอกระคนปวดแปลบ ยากจะทำใจยอมรับความเป็นจริง ‘เกิดอะไรขึ้นที่วังศิลารัศมิ์กันแน่ เท่าที่พี่รู้จักนายเวกมา เวกเป็นคนซื่อสัตย์ ไม่เคยโป้ปดหรือคิดร้ายกับคนในวังศิลารัศมิ์เลยสักครั้ง เรื่องนี้เห็นทีว่าจะมีเบื้องหลังจริงๆ’

‘แล้วเราจะทำยังไงกับคุณหนูศศิล่ะคะ ถ้าไม่ส่งคืนให้กับญาติที่แท้จริง เราอาจโดนข้อหาลักพาตัวก็ได้นะคะ’

‘เอาเป็นว่า...’ จักรถอนหายใจเฮือกใหญ่ ‘เราไปดูสถานการณ์ในงานศพของพี่ชายใหญ่ที่พระนครกันก่อน ถ้าสถานการณ์เลวร้ายจริงอย่างที่เวกว่า เราค่อยตัดสินใจกันอีกที’

ชายหนุ่มเดินออกไปนอกชายคา กวาดตามองทั่วบริเวณ ก่อนตะโกนแข่งกับเสียงฝน ‘นายเวก! ฉันรู้นะว่านายยังคอยดูคุณหนูของนายอยู่แถวนี้ ฉันรับปากว่าจะทำเพื่อพี่ชายใหญ่ให้ถึงที่สุด และจะปกป้องดูแลชีวิตของคุณหนูศศิให้ถึงที่สุดเช่นกัน นายอย่าห่วงเลย’
สิ้นเสียงของจักร มีเพียงเสียงเม็ดฝนซึ่งยังคงเทกระหน่ำไม่ขาดสาย แต่ไร้สัญญาณหรือการเคลื่อนไหวใดตอบรับกลับมา ภายใต้ความมืดมิดที่ปกคลุมบ้านสวนแห่งนั้น

หลังจากจักรและบังอรรับตัวคุณหนูวรศศิเอาไว้ในคืนนั้น รุ่งขึ้นเด็กน้อยก็ป่วยหนักเพราะตากแดดและฝนสลับกันมาตลอดทั้งวัน ทำให้มีไข้ขึ้นสูง และมีอาการปอดชื้นเข้าแทรกซ้อน ทั้งจักรและบังอรจึงต้องคอยเฝ้าดูแลอย่างใกล้ชิด

ยังนับว่าโชคดีที่เด็กๆถึงแม้จะป่วยง่าย แต่ก็ฟื้นตัวได้เร็วกว่าผู้ใหญ่ ดังนั้นเมื่ออาการของเด็กหญิงเริ่มดีขึ้น สองสามีภรรยาจึงรีบนำวรศศิไปฝากไว้กับคุณย่าน้อม ซึ่งนงนุชในวัยสองขวบเศษพำนักประจำอยู่กับคุณย่าก่อนหน้านั้นแล้ว เนื่องจากหมวดการทางที่จักรประจำการอยู่ในขณะนั้นตั้งอยู่ในถิ่นทุรกันดาร คุณย่าจึงถือโอกาสยึดตัวหลานสาวคนโปรดไว้เลี้ยงดูเสียเองที่บ้านในตัวเมือง

จากนั้นคนทั้งคู่ก็ขับรถลงไปร่วมงานสวดพระอภิธรรมศพคืนสุดท้ายของ ม.ร.ว.วรโชติ ที่พระนคร เพื่อประเมินสถานการณ์ หวังเอาไว้ว่าประจวบเหมาะเคราะห์ดีอย่างไรจะได้นัดส่งตัวคุณหนูศศิกลับคืนให้กับหม่อมประไพโดยตรง และแจ้งข้อมูลที่ได้รับจากนายเวกให้ท่านทราบเสียทีเดียว

ทว่าหม่อมประไพผู้สูญเสียทั้งสามีและลูกชายในเวลาไล่เลี่ยกัน กลับล้มป่วยลงอย่างหนักจนไม่สามารถไปไหนมาไหนเพียงลำพังได้ ประพงษ์สั่งให้คนรับใช้ห้อมล้อมควบคุมตัวท่านอยู่ตลอดเวลา แถมยังเจ้ากี้เจ้าการจัดการงานศพและตัดสินใจทุกอย่างด้วยตนเอง แสดงท่าทางเป็นปรปักษ์กับครอบครัวของหม่อมชื่นอย่างออกนอกหน้า ไม่สนใจใครจะมองอย่างไร

จักรมีโอกาสสนทนากับคุณชายวรพลตามประสาคนคุ้นเคยอยู่บ้าง คุณชายเล็กผู้นี้มีท่าทางสุขุม เยือกเย็น และเป็นมิตรกับทุกคน เหมือนเช่นสมัยก่อนที่เขาเคยพึ่งใบบุญหม่อมประไพ เข้ามาอาศัยอยู่ในวังศิลารัศมิ์ระหว่างศึกษาชั้นมัธยมปลายจนกระทั่งสำเร็จการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย ตามการฝากฝังของน้อม ซึ่งเป็นเพื่อนรักกับหม่อมประไพ สมัยเป็นนางในรับใช้เสด็จพระองค์หญิงองค์เดียวกัน

นับได้ว่าจักรและคุณชายเล็กเป็นลูกไล่ที่ดีของคุณชายใหญ่ด้วยกันทั้งคู่ ไม่ว่าลูกพี่จะว่าอย่างไร เด็กหนุ่มทั้งสองก็พลอยเห็นดีเห็นงามไปด้วยเสียทุกอย่าง ถึงแม้ผู้ใหญ่ทั้งสองบ้านจะสงวนท่าทีต่อกันอยู่บ้าง แต่คุณชายทั้งสองกลับสนิทสนมดั่งเป็นพี่น้องแท้ๆที่คลานตามกันออกมา

คุณชายใหญ่ จักร และคุณชายวรพล มีอายุห่างกันเพียงหนึ่งปีตามลำดับ จักรจึงถูกนับรวมให้เป็นพี่น้องกับคุณชายทั้งสองนับตั้งแต่นั้นมา
เพราะจดหมายของนายเวกผู้ได้ชื่อว่ามาจากครอบครัวที่มีความจงรักภักดีกับหม่อมประไพมาตั้งแต่รุ่นทวด ซึ่งยังมีฐานะเป็นทาสรับใช้ จนกระทั่งกลายมาเป็นคนสนิทของเจ้านายรุ่นแล้วรุ่นเล่า ระบุว่าฆาตกรอยู่ในวังศิลารัศมิ์ การพูดคุยกับคุณชายเล็กในวันนี้จึงสร้างความประหม่าให้กับจักรต่างจากที่เคย

‘หะ...เหตุการณ์มันเป็นอย่างไรกันแน่ครับคุณชายเล็ก’ ชายหนุ่มถามประหนึ่งว่าไม่เคยรับรู้เรื่องราวอันใดมาก่อน ‘พอทราบข่าว ผมตกใจมากเลยครับ’

‘ใครส่งข่าวให้พี่จักรหรือครับ’

‘อ๋อ...’ จักรอึ้งไปนิด ‘พรรคพวกที่เรียนมหาวิทยาลัยด้วยกันนี่ละครับ เอ...ใครน้า ดูซิ จำชื่อไม่ได้เฉยเลย ติดอยู่ที่ปากเนี่ย’

‘ช่างเถอะครับ ยังไงก็ต้องขอบคุณคนคนนั้นที่ช่วยส่งข่าวให้พี่จักรทราบ ผมนี่แย่จริงๆ มัวแต่ตกใจเลยพลอยทำอะไรไม่ถูกไปหมด ดีใจนะครับที่เห็นพี่ในคืนสวดพระอภิธรรมวันสุดท้าย’

‘ครับ ยังไงพี่ก็ต้องมาให้ได้อยู่แล้ว ว่าแต่เรื่องมันเป็นยังไงกันครับ ทำไมถึงเกิดเหตุร้ายกับพี่ชายใหญ่ได้’

‘คือพี่ชายใหญ่และครอบครัวขับรถขึ้นไปไหว้พระบนเขา วันรุ่งขึ้นก็จะเป็นกำหนดเดินทางย้ายกลับมาพระนครแล้วครับ แต่โชคร้ายรถเสียหลักตกเขาลงมาซะก่อน สภาพรถยับเยินแต่ไม่ระเบิด เราถึงได้รู้ว่ายายหนูศศิหายไป’

‘รถตกเขา…’ จักรพึมพำ ในจดหมายของนายเวกบอกว่ารถชนต้นไม้ ท่าทางว่าพวกมันจะตามมาเก็บกวาดหลักฐานอำพรางคดีจริงอย่างที่คนรับใช้หนุ่มว่า มันจึงทำให้รถตกเขาลงมาด้วย

แต่เดชะบุญหนุนส่ง พวกมันทำไม่สำเร็จ รถไม่ได้ถูกเผาไหม้อย่างที่ควรจะเป็น จึงหลงเหลือหลักฐานที่ทำให้รู้ว่าหม่อมหลวงวรศศิหายตัวไป

‘คนทางเชียงใหม่เร่งระดมหาร่องรอยของยายหนู แต่ก็ยังไม่พบอะไรจนถึงวันนี้ ทุกคนในวังรู้ดีว่าความหวังที่จะได้แกกลับคืนมาเป็นตัวแทนของพี่ชายใหญ่ นับได้ว่า...แทบจะเป็นศูนย์ เพราะสภาพป่าและหุบเขาสูงชันตรงนั้นเต็มไปด้วยสัตว์ป่าดุร้าย กับสภาพรถที่แทบ...ไม่เป็นรูปเป็นร่าง เด็กเล็กขนาดนั้นคง...’ คุณชายวรพลน้ำตาคลอหน่วย

‘ใจเย็นๆนะครับ คุณชายเล็ก’ จักรบีบมือลงบนบ่าผู้เปรียบเสมือนน้องชาย ‘บางทีปาฏิหาริย์อาจจะมีจริงก็ได้นะครับ คุณหนูศศิอาจจะยังปลอดภัยอยู่ที่ไหน...กับใครสักแห่ง’

‘ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดีสิครับ แต่ทำไมเขาถึงไม่พายายหนูกลับมาส่งคนของเราตรงที่เกิดเหตุหรือที่วัง ต่อให้เป็นการเรียกค่าไถ่ ยังไงทางเราก็ยินยอมจ่ายอยู่แล้ว ขอเพียงให้ได้เบาะแสเท่านั้น ผมจะทำทุกอย่างเพื่อเอาตัวยายหนูกลับคืนมา’

จักรได้เห็นความทุกข์ใจบนใบหน้าของคุณชายเล็กในคืนนั้น ก็เกือบจะพลั้งปากบอกเรื่องที่ซ่อนตัวของหม่อมหลวงวรศศิออกไปแล้ว ถ้าประพงษ์ไม่หัวเราะหยันขึ้นมาเสียก่อน

‘โถๆๆ คุณชายเล็ก ช่างเป็นห่วงหลานเสียเหลือเกินนะครับ ไม่เหมือนหม่อมแม่เอาเสียเลย รายนั้นดูจะมีความสุขซะด้วยซ้ำละมัง ที่อำนาจการบริหารศิลาพร็อปเพอร์ตีจะได้ตกเป็นของลูกชายตัวเองอย่างถาวร’

‘คุณประพงษ์!’ คุณชายวรพลตวาดลั่น

‘ทำไมครับ พูดแทงใจดำอย่างนั้นสิ ถึงทนไม่ได้’

‘ศพพี่ชายใหญ่ยังไม่ทันจะเผา คนมันก็คิดอกุศลกันได้’ คุณชายเล็กยิ้มหยัน น้ำเสียงเยือกเย็นสุขุม ‘ใช่สินะครับ คนเรามักจะคิดว่าคนอื่นเหมือนตัวเอง คิดชั่วเหมือนตัวเองไปเสียทั้งหมด อันที่จริง...ใครบางคนอาจจะกำลังดีใจจนเนื้อเต้นอยู่ก็ได้ ที่สุดท้ายแล้วจะได้รับมรดกของหม่อมป้าแค่เพียงคนเดียว’

‘หน็อย ไอ้เด็กเมื่อวานซืน แกกล้าย้อนฉันอย่างนั้นเหรอ’ ประพงษ์เต้นเร่า หน้าแดงฉาน

‘ผมพูดความจริงที่ใครๆก็รู้ ผีพนันที่มันเหลือแต่ตัว ไม่มีศาลปักหลัก จนต้องมาอาศัยพี่สาวตัวเองซุกหัวนอน ใครมันจะไปไว้ใจได้’

‘แล้วแกมันดีกว่าฉันนักหรือไง ทำตัวเป็นผู้ดีตีสองหน้า สันดานของแกกับนางละครแม่ของแก นึกว่าฉันรู้ไม่ทันรึ อยากจะได้ศิลาพร็อปเพอร์ตีใจจะขาด แต่ต่อหน้าคนอื่นทำเป็นคิดถึงหลาน ทั้งที่อยากจะให้มันตายๆตามพ่อกับแม่มันไปละไม่ว่า’

‘ช่างพูดคำว่าตายได้เต็มปากเสียเหลือเกินนะครับ ตราบใดที่ยังไม่พบศพของหนูศศิ ห้ามใครพูดคำว่าตายให้ผมได้ยินเด็ดขาด แล้วประทานโทษนะครับ ก่อนจะกล่าวหาหรือต่อว่าใคร โปรดรู้จักสันดานของตัวเองให้ดีซะก่อน’

จักรไม่รู้เลยว่าขาสองข้างพาตัวเขาก้าวออกมาจากตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ คุณชายเล็กผู้เคยสุขุม ใจดี กลับกลายเป็นคนพูดจาก้าวร้าวกับผู้ใหญ่อย่างไม่น่าเชื่อ

เขาพอทราบจากคุณชายใหญ่เมื่อครั้งพบกันที่เชียงใหม่ ว่าประพงษ์ผู้ร่ำรวยและหยิ่งยโส เข้ามาขออาศัยอยู่กับพี่สาวในวังศิลารัศมิ์ได้สองสามปีแล้ว เนื่องจากสิ้นเนื้อประดาตัวจากการพนัน ผลาญสมบัติมหาศาลซึ่งเจ้าคุณพ่อมอบให้จนไม่เหลือแม้แต่ซาก

แม้จะเกิดความพินาศถึงเพียงนี้แล้วก็ยังไม่วาย พอเริ่มมีเงินติดตัวสักหน่อยเป็นไม่ได้ ประพงษ์เป็นต้องแอบเข้าไปเสี่ยงโชคในบ่อนอยู่เป็นนิตย์

ด้วยเหตุนี้กระมังที่ทำให้หม่อมชื่นและคุณชายวรพลถูกรบกวนทางความรู้สึกบ่อยครั้งกว่าแต่ก่อน จึงต้องหันมาตอบโต้เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้ตนเองบ้าง

สถานการณ์เมื่อครู่ทำให้จักรเริ่มเข้าใจหัวอกของนายเวกแล้ว ไม่รู้ว่าในเวลานี้เขายังเหลือใครที่พอให้ไว้ใจได้อีกบ้าง




สภาพอิดโรยไร้กำลัง และใบหน้าอันซูบซีด มองเหม่ออย่างไร้จุดหมายของหม่อมประไพ ทำให้จักรแทบกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ยามมีโอกาสได้พบกับผู้มีพระคุณอย่างใกล้ชิดอีกครั้ง ชายหนุ่มคุกเข่าลงนั่งหน้าเก้าอี้ กราบลงบนตักของหม่อมประไพอย่างนอบน้อม

ทว่าการพบกันของคนทั้งคู่กลับถูกจับตามองจากคนรับใช้ซึ่งรายล้อมอยู่ ด้วยสายตาไม่เป็นมิตรกับจักรนัก ดูเหมือนว่าผู้ชายทั้งสามคนจะเป็นคนรับใช้ที่ประพงษ์จัดหามาใหม่ ยกเว้นก็แต่เพียงแม่วาดพี่สาวนายเวกเท่านั้น ที่เป็นคนเก่าแก่ของหม่อมท่านจริงๆ

‘พ่อจักร...’ หม่อมประไพร่ำไห้ทันทีที่ได้เห็นใบหน้าลูกชายของเพื่อนสนิทซึ่งตนเคยอุปการะเลี้ยงดู จนเป็นคู่หูและเงาตามตัวของคุณชายใหญ่ในอดีต ‘ป้าไม่เหลือใครแล้ว...’

‘ยังครับ หม่อมป้ายังมี...’ ชายหนุ่มหันมองซ้ายขวา พบสายตาของเหล่าคนรับใช้กำลังจับจ้องอยู่ ก็เก็บปากเก็บคำเรื่องคุณหนูศศิเอาไว้ ก่อนเฉไฉไปตามเรื่อง ‘ยังมีผมอยู่อีกทั้งคน หม่อมป้าอย่าเพิ่งหมดหวังนะครับ’

‘หม่อมท่านไม่รับอาหาร ไม่นอน เอาแต่ร้องไห้มาหลายวันแล้วค่ะคุณจักร คราวนี้หนักกว่าตอนที่ท่านชายสิ้นเสียอีก’ แม่วาดเอ่ยทั้งน้ำตา
‘แล้วนายเวกไปไหนเสียล่ะครับแม่วาด ตั้งแต่มา ผมยังไม่เห็นเลย’ จักรแสร้งถามหน้าซื่อ

‘มัน...เอ่อ...’ สาวใช้ร่ำไห้หนัก พลางตีอกชกหัว ‘ดิฉันอบรมน้องไม่ดีเอง มันถึงได้ขโมยเครื่องเพชรเครื่องทองของหม่อมท่านหนีออกจากวังไป เจ้าหนี้พนันที่มันไปติดเงินเขาไว้ยังตามมาทวงถึงในวัง นึกแล้วก็เจ็บใจนัก’

คนอย่างนายเวกนั่นหรือจะขโมยของ แล้วเหตุใดจึงโผล่ไปรับตัวหม่อมหลวงวรศศิจากเชียงใหม่ลงมาฝากเขาที่พิษณุโลกได้ทันเวลา จึงน่าจะเป็นข้อกล่าวหาเพราะนายเวกรู้ว่าใครคือฆาตกรมากกว่า ซึ่งเหตุนี้จะทำให้นายเวกไม่อาจหวนกลับมายังวังศิลารัศมิ์ได้ อีกทั้งหากตำรวจตามตัวมันพบเมื่อใด คนร้ายก็จะได้โอกาสลงมือตามไปฆ่าปิดปากพยานให้สิ้นเสียเมื่อนั้น

‘อย่าว่าอย่างนั้นเลยแม่วาด’ หม่อมประไพเอ่ยเสียงเรียบ ‘น้องชายฉันเองต่างหากที่พามันไปติดการพนัน ถ้าฉันไม่ส่งให้นายเวกไปรับใช้น้องชายฉัน มันก็คงไม่เป็นอย่างนี้’

หม่อมประไพผู้มีเมตตา ไม่น่าจะต้องมาตกอยู่ในสภาพของผู้สูญเสียเช่นนี้เลย เพราะอย่างนี้สินะ สวรรค์ท่านจึงปกปักรักษาคุณหนูวรศศิให้รอดพ้นจากอุบัติเหตุไว้อย่างอัศจรรย์ ปกป้องเอาไว้ เพื่อเป็นของขวัญชิ้นสุดท้ายให้กับหม่อมประไพ

จักรล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง กำเศษกระดาษแผ่นเล็กที่เตรียมไว้ แล้วหยิบออกมาพร้อมผ้าเช็ดหน้าผืนบาง ทำทีซับน้ำตาอย่างแนบเนียน

‘หม่อมป้าครับ’ ชายหนุ่มยกมือทั้งสองข้างขึ้นเกาะกุมมือข้างหนึ่งของหม่อมท่านเอาไว้ พลันยัดกระดาษแผ่นเล็กเข้าไปในอุ้งมือเย็นเฉียบนั้น ‘หม่อมป้าหนักแน่นเอาไว้นะครับ อยู่เป็นร่มไม้ใหญ่ให้นกกาอย่างพวกเราได้พึ่งพิงต่อไปนานๆนะครับ’

คิ้วเรียวบางของหม่อมประไพขมวดเข้าหากัน จักรส่ายหน้าส่งสัญญาณไม่ให้หม่อมท่านทำพิรุธจนคนรับใช้ล่วงรู้ ‘หม่อมป้าอย่าท้อแท้นะครับ’

‘จ้ะ’ หม่อมประไพรับปาก ดวงตาฉายแววประหม่า กำจดหมายไว้แน่นพลางเอ่ยเสียงสั่น ‘แม่วาด ฉันอยากจะเข้าห้องน้ำสักหน่อย’




บริเวณหลังวัดอันเปลี่ยวสงัดชวนวังเวง จักรยืนอยู่ใต้ร่มเงาของต้นโพธิ์ใหญ่ที่ผูกผ้าสามสีล้อมเอาไว้เพียงลำพัง หลังจากเขาส่งข้อความผ่านกระดาษแผ่นเล็กไปถึงหม่อมประไพ

“ผมมีเรื่องเกี่ยวกับการเสียชีวิตของพี่ชายใหญ่จะเรียนให้หม่อมป้าทราบ”

หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง เขาก็ได้รับกระดาษแผ่นหนึ่งจากเด็กวัดวัยประถม ด้วยลายมือยุ่งเหยิงแทบไม่เป็นคำ คล้ายกับถูกเขียนขึ้นด้วยความเร่งรีบ

“ไปรอพบป้าที่ใต้ต้นโพธิ์ หลังวัด”

เนื้อความตอบกลับมาเช่นนั้น จะเป็นใครไปได้เล่า หากไม่ใช่จดหมายนัดพบเป็นการส่วนตัวของหม่อมประไพ ชายหนุ่มจึงหลบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ รอคอยการมาปรากฏตัวของผู้มีพระคุณด้วยใจจดจ่อ

เสียงฝีเท้าเหยียบบนใบไม้แห้งดังสวบสาบอย่างระมัดระวัง ทำให้ชายหนุ่มโผล่ศีรษะออกมาสอดส่องมองหาต้นเสียงนั้น แต่กลับมองไม่เห็นผู้ใด เขาจึงค่อยๆก้าวถอยหลังกลับเข้าไปในที่ซ่อนตัว พลันปะทะเข้ากับร่างสูงใหญ่ของใครคนหนึ่ง จักรจึงหมุนกายหันหลังกลับ

สวบ!

ปลายมีดแหลมคมเสียบเข้าตรงสีข้างซ้ายของชายหนุ่มอย่างแรง แล้วถูกดึงออกอย่างไม่ปรานี หมายจะจ้วงแทงซ้ำในทันที โชคดีที่จักรร่างเล็กจึงสามารถกระโดดหลบการจ้วงแทงครั้งที่สองได้ทัน แต่กระนั้นชายหนุ่มก็เสียหลักล้มตึงลงอย่างไม่เป็นท่า

‘กะ...แก เป็นใคร ต้องการอะไร’ ชายหนุ่มเริ่มหายใจลำบาก พยายามกระถดกายถอยหลังอย่างช้าๆ รากไทรที่โผล่ขึ้นมาระเกะระกะอยู่บนพื้นดินเป็นอุปสรรคต่อการเคลื่อนที่หลบหนีเป็นอย่างมาก เหงื่อเม็ดเป้งผุดขึ้นเต็มใบหน้าของจักร หัวใจของเขาเต้นโครมครามจวนเจียนระเบิดเต็มที

‘ใครใช้ให้แกมายุ่งกับเรื่องของหม่อมประไพ’ คนร่างใหญ่สวมหมวกโม่งสีดำปกปิดใบหน้า เดินย่างสามขุมเข้าไปหา เหยื่อที่เลื่อนกายถอยกรูดออกไปอย่างลนลาน มีดในมือนั้นมีคราบเลือดเปรอะเปื้อนอยู่

‘ไม่มี...ฉันมาเอง’ จักรละล่ำละลักตอบ

‘โกหก! แกรู้อะไรมา’

‘เรื่องอะไร…’

‘ก็ที่แกบอกว่าเรื่องการตายของคุณชายใหญ่ แกรู้อะไรมา!’

‘ฉันไม่บอกแกให้โง่หรอก บอกไปฉันก็ตายอยู่ดี ตายแบบที่แกยังไม่รู้แบบนี้ดีกว่า สะใจ!’

‘กวนประสาทอย่างนั้นรึ’ คนร้ายกระโจนเข้าใส่คนบนพื้นอย่างเดือดดาล หวังจะสังหารเหยื่อให้ตายคามือ จังหวะนี้เอง จักรกำทรายบนพื้นขึ้นปาเข้าใส่ดวงตาของคนร่างใหญ่จนมันร้องลั่น แต่มันก็ยังไม่ยอมถอดหมวกไอ้โม่งออกมา

ชายหนุ่มไม่มีเวลามากนัก เขาตะเกียกตะกายลุกขึ้นวิ่งหนี รู้สึกเจ็บปวดจนเกินบรรยาย โลกทั้งใบช่างเย็นเยียบและหนาวเหน็บ ขาสองข้างหนักอึ้งราวกับถูกถ่วงไว้ด้วยหินผาขนาดมหึมา

‘ช่วยด้วย! ช่วยด้วยครับ ใครก็ได้ช่วยที’

จักรวิ่งกระหืดกระหอบ เสียงคนร้ายกระเสือกกระสนออกวิ่งไล่ตามมาข้างหลังแล้ว สายลมพัดกระโชกทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกที พลันชายหนุ่มแลเห็นพระภิกษุสงฆ์รูปหนึ่งยืนประสานมือสงบนิ่งอยู่เบื้องหน้า

‘หลวงพ่อครับ ช่วยผะ...ผมด้วย’ ชายหนุ่มทรุดกายลงนั่งคุกเข่าตรงเบื้องหน้าพระสงฆ์รูปนั้น น้ำเสียงทุ้มของท่านจึงเอ่ยปลอบประโลม

‘ไม่เป็นไรนะโยม อย่างไรเสียความดีก็จะชนะความชั่ว ทุกอย่างมีเวลาของมัน จนกว่ากรรมเก่าของแต่ละคนจะหมดลง อย่าดิ้นรน อย่าฝืนชะตากรรมในเรื่องที่กำลังจะทำตอนนี้เลย เชื่ออาตมาเถิด ขอให้รอจนกว่าจะถึงเวลาอันสมควร’

‘หลีกไป!’ คนร้ายที่เพิ่งวิ่งตามมาทันตะโกนลั่น ‘ได้โปรดอย่ายุ่ง’

‘อาตมาขอบิณฑบาตชีวิตของชายหนุ่มผู้นี้เถิดนะโยม’

‘เรื่องนี้ไม่ใช่กิจของสงฆ์! ถอยไป!’

‘ไอ้เลว นรกจะกินหัวมึง คอยดู!’ จักรบันดาลโทสะ

‘งั้นมึงไปรอกูที่นรกก่อนก็แล้วกัน!’ คนร้ายเงื้อปลายมีดหวังจะจ้วงแทงเหยื่อให้ตายคามือ ทันใดนั้นแสงไฟจากรถยนต์คันหนึ่งที่กำลังแล่นเข้ามา สาดส่องเข้าสู่ใบหน้าของผู้ร้าย มันยกสองมือขึ้นป้องสายตา แลเห็นชายฉกรรจ์นั่งมาเต็มคันรถ จึงจำต้องล่าถอยไปด้วยความเสียดาย ก่อนทิ้งท้ายเอาไว้

‘ถ้าไม่อยากตาย ก็อย่ากลับมายุ่งเรื่องของคนในวังศิลารัศม์อีก จำไว้!’ จากนั้นก็วิ่งลับหายเข้าไปในความมืด

‘พี่จักร’ เสียงบังอรกรีดร้องลั่น ถลันลงมาจากรถ เห็นสภาพสามีแล้วก็ถึงกับร่ำไห้ ‘นี่มันเรื่องอะไรกัน’

‘บังอร...ทำไมเธอถึงมาคนเดียว’ ก่อนหน้าที่เขาจะออกมายืนรอหม่อมประไพในจุดนัดหมายเพียงลำพัง จักรรู้สึกสังหรณ์ใจอยู่ครามครัน จึงขอความช่วยเหลือไปยังเพื่อนคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในละแวกนี้ ให้หาคนมาช่วยเสริมกำลังเพิ่มอีกสักสองคน เมื่อนัดหมายได้ความเรียบร้อยแล้ว บังอรจึงไปคอยรับที่ท่าเรือ ทว่า...

‘ก็พวกที่พี่บอกให้ฉันไปคอยรับมาช่วยเราไม่เห็นมาสักที ฉันรู้สึกใจไม่ดี ทนรอไม่ไหว เลยตัดสินใจมาก่อน ไม่นึกเลยว่าจะเป็นแบบนี้’
‘พี่ไม่เป็นไร อย่าร้องไห้เลย โชคดีนะที่ได้พระอาจารย์ท่านช่วยเอาไว้’ จักรเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

‘พระอาจารย์? ไหนล่ะพี่’

‘ก็นี่งะ...’ ชายหนุ่มชะงัก เหลียวมองรอบบริเวณ ไม่พบแม้เงาผู้ใด เกิดความเย็นยะเยือกกระทบหนังศีรษะ คล้ายเส้นผมจะยกตัวขึ้นประท้วงพร้อมกันทั้งหมดทุกเส้น

‘ฉันไม่เห็นใครตั้งแต่มาแล้วนะ เห็นแต่พี่จักรกับโจร’

แทบไม่ต้องนัดหมาย สองสามีภรรยาไม่เสียเวลาเอ่ยคำอธิบายใดต่อกัน ต่างก็เข้าใจความคิดของคู่สมรสได้เป็นอย่างดี หญิงสาวรีบประคองชายหนุ่มให้ลุกขึ้นยืน แล้วพากันวิ่งขึ้นรถ คล่องแคล่วและรวดเร็วกว่าตอนหลบหนีผู้ร้ายเมื่อสักครู่หลายเท่านัก แล้วบึ่งรถออกจากวัดแห่งนั้นไปแบบฝุ่นตลบ

นับจากคืนนั้น ทั้งสองคนก็ไม่เคยคิดที่จะหวนกลับไปข้องเกี่ยวกับผู้คนในวังศิลารัศมิ์อีกเลย พร้อมกับการย้ายถิ่นพำนักออกห่างจากพระนครมากขึ้นเรื่อยๆ แสดงเจตจำนงอันแน่วแน่ให้คนร้ายรู้ว่าพวกเขาจะไม่มีทางกลับไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในวังอีกเป็นอันขาด

และในค่ำคืนวันเดียวกันนั้น ตรงมุมหนึ่งทางตอนใต้ของประเทศ ชายหนุ่มรูปร่างล่ำสัน สวมเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีขาวมอซอ นุ่งกางเกง
ขายาวสีกากี ทรุดกายอันอ่อนล้าลงนั่งคุกเข่าอย่างอาดูร หลังจากต้องจับรถไฟ และลงเรือติดต่อกันมาหลายราตรีกาล เขาแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าทั้งน้ำตานองหน้า ก่อนเอ่ยวิงวอนเสียงแผ่ว

‘คุณชายใหญ่ครับ ผมขอโทษ...ผมขอโทษ! ยกโทษให้ผมด้วยเถิดครับ ผมได้พาคุณหนูไปอยู่ในที่ปลอดภัยแล้ว คุณหนูจะมีชีวิตที่ดีต่อไป คุณชายช่วยคุ้มครองคุณหนูด้วยนะครับ’

เวกนึกถึงภาพที่เขาเฝ้าแอบมองจักรและบังอรโอบอุ้มคุณหนูวรศศิกลับเข้าไปในตัวเรือนด้วยความอุ่นใจ ก่อนกลั้นใจลุกขึ้นเดินอีกครั้ง ทว่า...ดวงตาพร่าเลือนของเขาไม่ทันมองเห็นรถยนต์ซึ่งกำลังพุ่งเข้ามาในระยะประชิด กว่าจะรู้ตัวก็สุดที่จะแก้ไข

เอี๊ยด-ด-ด-ด โครม!

เจ้าของร่างสูงใหญ่นอนแผ่หลาอยู่บนถนนลูกรัง ส่งยิ้มให้กับดวงจันทร์กลมโตบนท้องฟ้าที่กำลังทอแสงเย็นนวลตา สิ้นสุดเสียทีกับความทุกข์ทรมานใจและความเหนื่อยล้าทั้งปวง

‘คุณ...ชายใหญ่ มารับผม...แล้วหรือครับ’

ดวงตาคู่โตปิดสนิทลงสู่ห้วงแห่งความมืดมิด ปลดปล่อยความรู้สึกจากพันธนาการอันรัดรึงจิตใจจนหมดสิ้น คงเหลือเพียงความว่างเปล่า และหนทางทอดยาวไปสู่ดินแดนที่ไม่เคยเหยียบย่างมาก่อน




******************************************

จบตอนจ้า วันพฤหัสพบกันใหม่น๊า ช่วงที่หายตัวไปสามเดือนพอจะมีร่างกักตุนเอาไว้อยู่บ้าง ข่วงแรกๆนี้สามารถลงได้อาทิตย์ละสองวันเลยค่ะ





พันธุ์แตงกวา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 13 ม.ค. 2557, 08:56:18 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 15 ก.พ. 2558, 04:36:20 น.

จำนวนการเข้าชม : 2694





<< บทที่ 1 : ทายาทผู้รอดชีวิต (รีไรท์)   บทที่ 3 : แรกพบสบพักตร์นวลน้อง (รีไรท์) >>
พันธุ์แตงกวา 13 ม.ค. 2557, 09:11:11 น.
ขอตอบคอมเม้นท์

คุณ Tik : คุณดินหล่อขั้นเทพอย่างนั้นเชียวเหรอคะ งานนี้น้องศศิต้องต่อสู้กับมดแมง แมลงที่ไหนด้วยหรือเปล่าน้า

คุณหมีสีชมพู : คราวนี้เฉลยแล้วนะค๊าว่าใครเป็นนางเอก

คุณดังปัณณ์ : อุต๊ะ ดีนี่ ชื่อนี้เท่เป็นบ้าเลย อย่าเพิ่งอิจฉานางเอกของเค้าจิ เค้านะยังแอบอิจฉายายรภัทรลดาอยู่เหมือนกันเนี่ย

คุณ SuKhumvit66 : ตอนนี้เฉลยแล้วนะค๊าว่าใครเป็นหนูศศิ

คุณแว่นใส : ผืนดินนี้เฝ้าภักดีดวงจันทราค่ะ ไว้เข้าพระเข้านางแล้วจะโชว์กลอนนี้นะคะ

คุณเบญจามินทร์ : ดีใจมากเลยค่าที่พี่เดลติดตาม คอยดูฤทธิ์ของผู้ช่วยนางเอกของเราได้เลยค่า

คุณนักอ่านเหนียวหนึบ : ขอบคุณมากๆนะคะที่เข้ามาติดตาม ดีใจๆค่า อย่าเพิ่งงงน้า คราวนี้เฉลยแล้วค้า เค้าผิดเองที่ตั้งใจมาหลอก อ่านคำตอบเรื่องอายุที่ด้านบนนะค๊า

คุณ Wane : ฮ่าๆๆๆ ใจเย็นๆฮับลูกพี่ ขอสารภาพจริงๆว่าตั้งใจมาหลอก ช่วงนี้ทิ้งปมไว้เยอะเลยค่ะ รอติดตามตอนต่อๆไปนะค๊า จุ๊บๆ

คุณ Amarilys : สองพี่น้องรักและผูกพันกันอย่างเหนียวแน่นค่า ผู้ช่วยนางเอกรับรองว่าร้ายไม่เบาทีเดียว^^

คุณน้องปลายสี : ถ้านางเอกพี่มาถ่ายฉากไหนไม่ได้ จะติดต่อแม่ปลายให้มาแสดงแทนน้า ฮ๋าๆๆ


ดวงมาลย์ 13 ม.ค. 2557, 09:23:37 น.
ไลค์ เลิฟ อิอิ


ปลายสี 13 ม.ค. 2557, 11:02:56 น.
มาตามอ่านค้า ตื่นเต้นมากๆ อยากรู้ว่าใครคือไอ้โม่ง พวกของนายประพงษ์ หรือว่าคุณชายวรพล หรือว่าใคร โอยยย ติดตามค้าาาา ปล. ขอให้คุณนางเอกมาเข้าฉากไม่ได้่บ่อยๆ นะคะ ให้หนูเป็นแม่นมก็ได้


tik 13 ม.ค. 2557, 12:00:07 น.
55555 ขำตอนวิ่งหนีผีพระอ่ะค่ะ บรรยายซะเห็นภาพเลย กลัวผีมากกว่าโจรอีก......เรื่องนี้ซับซ้อนซ่อนเงื่อนให้น่าติดตามนะค่ะ โจรรู้ได้ไงว่านัดกันหลังวัด หรือโจรนัดเอง จะเฉลยตอนไหนค่า อยากรู้ๆ


ดังปัณณ์ 13 ม.ค. 2557, 12:05:45 น.
เอิ้ววววววววววววววววววววววว ดีนี่ไม่ออก ฮ่าๆๆๆ พี่แตงค้า ดีนะที่จักกี้รอดมาด้ายยยย แต่อยากรู้ว่าไอ้โม่งเป็นพวกใคร ชายวรพล หรือนายประพงษ์ หรือๆๆๆๆ จะเป็นใครอีกที่ยังไม่รู้ ฮี่ๆๆๆ ว่าแต่เสียบๆๆดีนี่มาหน่อยก็ดีนะคะ กี๊ดตึ้ง อร๊ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย


หมีสีชมพู 13 ม.ค. 2557, 14:26:48 น.


แว่นใส 13 ม.ค. 2557, 15:17:01 น.
ตัวร้ายยังไม่ออกโรง เลยไม่แน่ใจใครดีใครร้าย


wind 13 ม.ค. 2557, 15:20:04 น.
ใครเป็นคนร้ายนะ รู้ความเคลื่อนไหวทุกอย่างเลย


Sukhumvit66 13 ม.ค. 2557, 18:44:55 น.
แอบผิดหวังกับคาแรกเตอร์นางเอก อยากให้นางสู้คนแบบนู๋นุช


wane 14 ม.ค. 2557, 11:09:44 น.
ตอนที่บังอรขับรถมาหาจักรแล้วบอกจักรว่าที่ให้ไปรับใคร ไม่เห็นมีใครมาเลย ตกลงบอกกันตอนไหนคะ

บังอรคงไม่รู้ว่าตัวเองก็บรรทุกผีคนหนุ่มมาเต็มคันรถนะคะ ฉากนี้ตื่นเต้นแบบฮาๆ ดี

ปล. เค้าอยากไลท์ให้ซักร้อยคน จะได้เอาตอนใหม่มาส่งทุกวัน ...แต่ระบบมันไม่อนุญาตอะค๊าาาา


เบญจามินทร์ 14 ม.ค. 2557, 21:46:23 น.
พออ่านย้อนความ ทำให้เห็นภาพเยอะขึ้น เห็นความวุ่นวายในวัง เห็นที่มาที่ไป มาตามต่อว่าศศิจะกลับวังได้ยังไงหนอ ^^


goldensun 23 ม.ค. 2557, 17:37:01 น.
โชคดีของจักร พระคุ้มครอง แถมชายฉกรรจ์เต็มหลังรถ ก็คงปาฏิหาริย์อีกอย่าง เลยทำให้ฆาตกรเผ่นเลย
ว่าแต่ คุณประไพทำไมไม่เก็บจดหมายให้ดีคะ จักรเกือบแย่


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account