วิมานแสงจันทร์ (ชื่อเดิม ดวงใจศิลารัศมิ์) สนพ.คำต่อคำ
ความสุขความรื่นรมย์ในวังศิลารัศมิ์จบสิ้นลงแล้วจริงหรือ
อะไรคือสาเหตุของเรื่องร้ายๆทั้งหมด

เงื่อนงำ และเงามืดดำ ที่แอบแฝงอยู่ในวัง ยังรอทายาทที่แท้จริงกลับมาสะสาง!
Tags: กานต์ญา วิมานใจใต้ม่านดาว ลับลมคมรัก วิมานแสงจันทร์ พีเรียด โรแมนติก ซ่อนเงื่อนด้วยนะ พี่ดิน น้องศศิ

ตอน: บทที่ 3 : แรกพบสบพักตร์นวลน้อง (รีไรท์)


อันว่าเกิดเป็นมนุษย์แล้ว...ไม่เคยสิ้นไร้หนทางฉันใด รั้วต้นไม้ที่เด็กชายดินเคยใช้ลอดผ่านไปยังวังศิลารัศมิ์แม้จะถูกปิดตายไปนานแค่ไหน นายปถวีก็สามารถเจาะรูต้นไม้ได้ใหม่ฉันนั้น

ชายหนุ่มก้มหน้ามองลอดผ่านรูขนาดพอดีตัว บริเวณโคนต้นข่อยหนากว่าสองฟุต และมีความสูงท่วมศีรษะ ซึ่งปลูกกั้นพรมแดนระหว่างบ้านของตนกับสวนด้านหลังของวังศิลารัศมิ์เป็นความยาวกว่าสองร้อยเมตร

เมื่อสามวันก่อนเขาและสมานช่วยกันตัดมันจนเป็นรูกว้างพอจะลอดผ่านไปได้ โดยเลือกทำเลตรงที่มีกลุ่มกระถางต้นไม้ใหญ่ในวังศิลารัศมิ์ตั้งอยู่ปลายทาง บริเวณแถบนี้มีไม้เลื้อยนานาพรรณขึ้นพันกันรกทึบ และยังมีกลุ่มต้นปาล์มปลูกซ้อนเป็นสองแถวกว่ายี่สิบต้น ช่วยบดบังเส้นทางเข้าออกที่สร้างขึ้นใหม่ไม่ให้เป็นที่สงสัยได้อย่างพอดิบพอดี

ครู่หนึ่ง...สมานก็ลอดรั้วผ่านกลับมาจากฝั่งของวังศิลารัศมิ์

“ว่าไงสมาน” เจ้านายหนุ่มถอยหลังหลีกทางให้คนรับใช้คืบตัวผ่านเข้ามา

“เหมือนเดิมครับคุณดิน” สมานลุกขึ้นยืนปัดเศษหญ้าออกจากร่างกาย หน้าตาบ่งบอกถึงความไม่เต็มใจนัก “เวลาบ่ายสี่โมง แม่วาดจะเข็นรถเข็นพาหม่อมประไพออกมาชมสวน จากนั้นหม่อมท่านก็จะนั่งชมนกชมไม้อยู่ในศาลาคนเดียวประมาณสามสิบนาที เป็นอย่างนี้ทั้งสามวันเลยครับ วันนี้ก็วันที่สี่แล้ว ตอนนี้แม่วาดเพิ่งกลับเข้าตำหนักไป หม่อมท่านอยู่คนเดียวแล้วครับ” คนรับใช้หนุ่มรายงาน หลังจากได้รับมอบหมายให้เข้าไปสังเกตสถานการณ์ฝั่งตรงข้าม

“ดีละ มันถึงเวลาแล้วสมาน” ชายหนุ่มมองตรงไปข้างหน้าอย่างแน่วแน่ “ที่ผ่านมา เพราะว่าฉันยังเด็กเกินไป ถึงได้ปล่อยปละละเลยเรื่องนี้ แต่ตอนนี้ฉันโตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้ว ฉันจะต้องรู้ให้ได้ว่าหม่อมย่าเป็นยังไงบ้าง”

“คนโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เขาตัดรั้วต้นไม้ มุดบ้านคนอื่นอย่างนี้เหรอครับ” สมานประท้วง สีหน้าไม่สู้สบายใจ “ถ้าผมเข้าไปสอดแนม แล้วถูกจับได้ยังไม่เท่าไหร่ อ้างว่าไปจีบสาวใช้ก็ยังพอฟัง แต่ถ้าคุณดินถูกคุณประพงษ์จับได้ โอ๊ย...ไม่อยากจะคิด อย่าเข้าไปเลยนะครับคุณดิน”

“ฉันจะไปจีบสาวใช้บ้างไม่ได้หรือไง”

“พุทโธ่! คุณดิน...” คนรับใช้หนุ่มเกาศีรษะแกรกๆ ในขณะเจ้านายกำลังมุดรั้วต้นไม้ข้ามแดนไปฝั่งตรงข้าม เพราะชายหนุ่มตัดเพียงแค่โคนต้นเพียงเล็กน้อย เพื่อไม่ให้เกิดช่องว่างมากจนผิดสังเกต หนทางฝ่าไปจึงยากลำบากพอดู

“สมาน ช่วยเอากระถางต้นไม้มาปิดรูนี้ไว้หน่อยนะ เดี๋ยวฉันกลับมา” ชายหนุ่มยืดตัวตรงเมื่อเข้าสู่เขตวังศิลารัศมิ์ ดวงตาเป็นประกายวาววับ พึมพำอย่างมุ่งมั่น “หม่อมย่าครับ ดินกลับมาแล้ว”

“รีบไปรีบมานะครับ คุณดิน”

ปถวีวิ่งลัดเลาะไปตามสุมทุมพุ่มไม้ซึ่งถูกตัดแต่งทรงเป็นระเบียบสวยงาม รายล้อมสระน้ำขนาดย่อม ในสมัยก่อนเคยมีน้ำพุพวยพุ่งอยู่ตรงกลางในยามที่มีงานจัดเลี้ยงภายในวัง พลางมุ่งตรงไปยังศาลากลางสวน จุดที่หม่อมประไพและเด็กชายดินเคยพาน้องศศิมาเดินเล่นในสวนแห่งนี้เป็นประจำ

แวบแรกที่ชายหนุ่มแลเห็น คือสาวใช้สองคนกำลังนำของว่างและชาร้อนมาวางลงบนโต๊ะกลางศาลา ก่อนถือถาดเปล่าเดินกลับไปด้วยความสุภาพเรียบร้อย ปถวีหันมองซ้ายขวา ค่อยๆย่องเข้าไปในศาลาอย่างเงียบเชียบ มองเห็นด้านหลังของหม่อมประไพซึ่งยังคงไม่รู้ตัว จึงคุกเข่าลงด้านหลังรถเข็นผู้ป่วย พยายามก้มศีรษะให้ต่ำกว่าพนักพิงของศาลาเพื่อกำบังร่างกาย พร้อมกับกระซิบแผ่ว

“หม่อมย่าครับ หม่อมย่า” ชายหนุ่มกระเถิบกายเข้าใกล้ แต่หญิงชรายังคงนั่งมองเหม่อราวกับไม่ได้ยินเสียงใด เขาจึงคลานเข่ามาทางด้านหน้า แหงนเงยขึ้นมองดวงหน้าเรียวเล็กรูปไข่ซีดเซียว เส้นผมขาวโพลนขาดการย้อมสีขมวดทบง่ายๆตรงท้ายทอย ดวงตาว่างเปล่าคู่นั้นมองเหม่อไปแสนไกล “หม่อมย่า ดูสิครับว่าใครมา”

ความอบอุ่นจากอุ้งมือของชายหนุ่มปลุกหญิงชราวัยหกสิบหกปีให้ตื่นจากภวังค์ ก่อนก้มลงเพ่งพินิจคนตรงหน้าครู่หนึ่ง

“เห็นมั้ยครับว่าใคร”

พลันดวงตาอ่อนแสงไหวระริก รอยยิ้มแห่งความปีติค่อยๆคลี่ออก “ชายใหญ่ ชายใหญ่เหรอลูก”

“ไม่ใช่ครับหม่อมย่า ผมดินยังไงล่ะครับ” ปถวีส่งยิ้มอบอุ่น “ดูดีๆสิครับ ดินที่อยู่บ้านข้างๆ และชอบมาเล่นกับหม่อมย่าหลังเลิกเรียนทุกวันยังไงล่ะครับ”

หม่อมประไพชะงัก นึกทบทวนใหม่อีกครั้ง ยกสองมือขึ้นลูบคลำใบหน้าคมสันของชายหนุ่ม จับจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลเข้มอันคุ้นเคย พอสติสัมปชัญญะกลับคืนมา น้ำตาอุ่นๆก็เอ่อล้นดวงตา

“พ่อดิน... พ่อดินจริงๆด้วย”

“ครับหม่อมย่า ดินเอง”

ความทรงจำเก่าๆของหม่อมประไพ ที่บางครั้งเกิดเป็นภาพปรากฏขึ้นดั่งความฝัน แต่บางครั้งก็ดับสนิทวูบลงจนหาร่องรอยไม่พบ บัดนี้กระจ่างชัดเจนขึ้นในห้วงสำนึกอีกครั้ง เมื่อได้พบกับคนเก่าแก่ซึ่งห่างหายจากกันไปนานเช่นเด็กชายดิน

“ดินเรียนจบแล้วนะครับ กลับมาอยู่ใกล้ๆหม่อมย่าเหมือนเดิมแล้ว”

“ดิน ชะ...ช่วยย่า” หญิงชรามีท่าทางลนลาน หันมองซ้ายขวา ดวงตาหวาดระแวง “ตะ... ตามหา...”

“หาใครครับหม่อมย่า น้องศศิอย่างนั้นเหรอครับ”

“ยะ...อย่าให้ใครรู้ว่าดินมาหาย่า” หญิงชรายกสองมือขึ้นกุมขมับที่ปวดหนึบ เกิดความรู้สึกหวาดกลัวกับเรื่องบางอย่างที่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกว่าเป็นเรื่องอะไร หรือเกิดจากใคร เหตุใดจึงเกิดความรู้สึกเช่นนี้ รู้เพียงว่าการปรากฏตัวของพ่อดินหนนี้ จะต้องเก็บเป็นความลับ

“หม่อมย่ากลัวอะไรครับ กลัวคุณประพงษ์เหรอครับหม่อมย่า”

“จักร...ตามหาจักรให้ย่า นายจักร สุรนาถ เพื่อนของชายใหญ่”

“นายจักร สุรนาถ” ชายหนุ่มทวนคำ

“ย่าอยากเจอจักร จักรส่งจดหมาย...” หญิงชราบีบขมับแน่น พยายามนึกทบทวนเหตุการณ์ด้วยความทรมาน

“หม่อมย่าครับ อาการของหม่อมย่าต้องไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลนะครับ หม่อมย่าจะได้ดีขึ้น ผมจะพาหม่อมย่าไปเอง” ชายหนุ่มกุลีกุจอจะยกตัวหญิงชราขึ้นอุ้ม

“ดิน เชื่อย่า ตามหาจักรให้เจอ แล้วอย่าให้ใครรู้ว่าเราเจอกัน นะลูก เชื่อย่า”

“แต่หม่อมย่า” ชายหนุ่มหยุดชะงัก “หม่อมย่าต้องไปหาหมอนะครับ”

“ย่าไม่เหลืออะไร ไม่เสียดายชีวิตอีกแล้ว รอเพียง...ให้เจอจักรอีกสักครั้งเท่านั้น”

“แล้วน้องศศิล่ะครับ หม่อมย่าไม่รอเจอน้องศศิเหรอครับ”

“ศศิ...ก็คงทิ้งย่าไปอีกคนแล้วเหมือนกัน จนป่านนี้แล้ว ย่าไม่มีอะไรให้หวังอีกต่อไป พ่อดิน”

“หม่อมท่านคะ” เสียงของแม่วาดดังแว่วมาจากทางด้านหลัง

“แม่วาดมา! ผมจะรีบไปทำตามที่หม่อมย่าสั่ง แล้วจะกลับมาส่งข่าวนะครับ ขอให้หม่อมย่าดูแลตัวเองดีๆ รอจนกว่าผมจะกลับมานะครับหม่อมย่า” ชายหนุ่มให้คำมั่น ก่อนลอดใต้ศาลาลงไปยังพุ่มไม้ด้านล่าง

“ได้เวลากลับขึ้นตึกแล้วค่ะ นั่งตากลมนานเกินไป จะจับไข้เอาได้นะคะ” คนรับใช้เก่าแก่หมุนรถเข็นกลับมา เหลียวเห็นหยาดน้ำตายังคงเปียกชื้นอยู่บนแพขนตาของเจ้านาย จึงคุกเข่าลงนั่งตรงหน้า “โถ หม่อมท่าน มาศาลานี้ทีไร ร้องไห้ทุกที ทูนหัวของวาด อย่าร้องนะคะ เวรกรรมอะไรนักหนาก็ไม่รู้”

“อีกไม่นาน มันคงจะจบแล้วละแม่วาด”

“หม่อม...หม่อมท่านตอบกลับแม่วาด อาการดีขึ้นแล้วหรือคะ” หญิงชราผู้แก่เดือนกว่าเล็กน้อยมีรอยยิ้มตื้นตัน คุกเข่าลงนั่ง ยกมือของเจ้านายขึ้นแนบแก้มด้วยน้ำตา “หม่อมท่าน...”




เสียงรถไฟกำลังเคลื่อนที่ดังฉึกฉัก ปถวีถือภาพถ่ายขาวดำเมื่อครั้งเรียนมหาวิทยาลัยของนายจักร สุรนาถ ซึ่งไม่ค่อยชัดนักเอาไว้ในมือ ขณะนั่งอยู่บนรถไฟมุ่งหน้าไปยังจังหวัดอุดรธานี ออกตามหาบุคคลที่หม่อมประไพต้องการพบ โดยได้รับข้อมูลจากร้อยตำรวจเอกวฤทธิ์ ผู้กองมือปราบอนาคตไกล ลูกชายเพื่อนสนิทของบิดา

‘ตามข้อมูลแล้วคุณจักรจะย้ายที่อยู่อาศัยทุกๆสามถึงสี่ปี เพื่อไปรับตำแหน่ง และที่น่าแปลกก็คือ แต่ละครั้งที่ย้าย จะยิ่งห่างไกลออกจากพระนครมากขึ้นทุกที’ ผู้กองหนุ่มตั้งข้อสังเกต และให้ความเห็นต่อ

‘ครั้งล่าสุดที่คุณจักรมาพระนคร คืองานสวดศพคืนสุดท้ายของคุณชายวรโชติ ซึ่งวันรุ่งขึ้นเป็นงานฌาปนกิจ แต่กลับไม่มีใครพบคุณจักรมาร่วมงานด้วย เรื่องนี้ค่อนข้างผิดปกติมากตามความเห็นของผม เพราะคุณจักรเติบโตมาในวังศิลารัศมิ์ และมีความสนิทสนมกับคุณชายวรโชติเป็นอย่างมาก จึงน่าจะมีสาเหตุสำคัญบางอย่างที่ทำให้คุณจักรแยกตัวออกจากคนในวังนับตั้งแต่คืนนั้น’

“เพราะอะไรหรือครับ คุณถึงไม่กลับมาหาหม่อมย่า...” ปถวีพึมพำเพียงลำพัง “แล้วจดหมายที่หม่อมย่าพูดถึง คือจดหมายอะไรกันครับ”

รถไฟจอดเทียบท่าชานชาลาอุดรธานี ชายหนุ่มกระชับเป้บนหลังเดินลงจากรถอย่างทะมัดทะแมง ก่อนตัดสินใจเรียกรถสามล้อถีบให้ไปส่งยังโรงแรมใกล้กับตลาดแห่งหนึ่งเพื่ออาบน้ำและผลัดเสื้อผ้า จากนั้นจึงเรียกรถรับจ้างให้ไปส่งยังแขวงการทางจังหวัดอุดรธานี เพื่อขอพบนายจักร สุรนาถ หัวหน้าสำนักงานแห่งนั้น

ทว่าปถวีต้องพบกับความผิดหวัง เมื่อเจ้าหน้าที่ที่ดูไม่ค่อยเต็มใจต้อนรับคนแปลกถิ่นเท่าไหร่นัก แจ้งว่านายจักรออกไปตรวจงานนอกสถานที่ จะกลับเข้าสำนักงานอีกครั้งในวันพรุ่งนี้ และขอจดชื่อ-นามสกุลของชายหนุ่มเอาไว้ด้วยท่าทางเครียดขรึม เขาจึงจำต้องนั่งรถกลับมายังตลาดดังเดิม

แต่แทนที่จะกลับขึ้นไปนอนอุดอู้อยู่บนห้องพักของโรงแรม ปถวีเลือกออกไปเดินเล่นดูสภาพชีวิตของผู้คนต่างถิ่นอยู่แถวตลาดพักใหญ่ ก่อนเข้าไปนั่งทานอาหารพื้นเมืองให้หนักท้องเอาไว้ ในร้านอาหารบรรยากาศดีแห่งหนึ่ง

“เอามะม่วงแช่อิ่มมาส่งจ้า” เสียงเจื้อยแจ้วกังวานใสของนงนุชเรียกความสนใจจากปถวีให้หันมอง พลันสายตาของเขาสะดุดเข้ากับหญิงสาวผู้หนึ่งซึ่งกำลังเดินตามหลังเจ้าของเสียงกังวานใส และหยุดยืนรอตรงหน้าร้าน

เธอมีดวงตาหวานคมโดดเด่นบนวงหน้ารูปไข่ จมูกโด่งเป็นสันงดงาม ผิวพรรณขาวผ่องสะอาดสะอ้านผิดจากคนพื้นเมืองทั่วไป เส้นผมยาวสลวยดุจแพรไหมของเธอปลิวไหวตามแรงลมอย่างเป็นธรรมชาติ

ริมฝีปากสีชมพูระเรื่อผุดรอยยิ้มสดใส ยามแลเห็นละอองดอกหญ้าถูกสายลมโชยพัดปลิวว่อนออกสู่อากาศ ดวงหน้าอ่อนหวานเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและมีชีวิตชีวา ก่อนเอื้อมมือออกไปรองรับปุยสีขาวนั้นอย่างร่าเริง

ความงดงามสดใสนี้ดุจดอกกุหลาบงามเมื่อยามแรกผลิบาน จนปถวียากที่จะละสายตาลงได้ หากใครว่าเธอคือนางฟ้าจำแลงแปลงกายลงมาจากสวรรค์ ชายหนุ่มคงไม่มีความเห็นขัดแย้งแต่อย่างใด

หลังจากได้รับเงินค่ามะม่วงแช่อิ่มเรียบร้อยแล้ว พี่น้องสองสาวก็เดินเตร็ดเตร่ซื้อของใช้ส่วนตัวกะหนุงกะหนิงด้วยกันอยู่ชั่วครู่ จากนั้นนงนุชก็แยกไปซื้อวัตถุดิบปรุงอาหารตามรายการที่ได้รับมอบหมายมาจากมารดา และแบ่งหน้าที่ให้น้องสาวข้ามถนนไปซื้อดอกบัวจากร้านฝั่งตรงข้าม เพื่อจะกลับบ้านให้ทันรถประจำทางเที่ยวต่อไป

ชายหนุ่มรีบชำระเงินค่าอาหารแล้วออกเดินตามถ่ายภาพนางฟ้าของเขาเก็บไว้ด้วยความเพลิดเพลิน ทว่าเมื่อหญิงสาวรับดอกบัวช่อใหญ่มาโอบอุ้มไว้ สัญชาตญาณบางอย่างทำให้เธอรู้สึกผิดสังเกต หันมองซ้ายขวาด้วยความสงสัย แต่กลับไม่พบพิรุธใด นอกจากชายหนุ่มแต่งกายภูมิฐานผู้หนึ่งกำลังยืนเลือกซื้อหนังสือพิมพ์อยู่ตรงแผงถัดไปเท่านั้น

เพียงเขาชายตามองมาและส่งยิ้มน้อยๆให้ นิชดาก็ตกใจ กลับหลังหันทำท่าจะข้ามถนนไปฝั่งตรงข้ามทันที จังหวะนี้เอง ปถวีแลเห็นรถยนต์คันหนึ่งแล่นเข้ามาด้วยความเร็วสูง ชายหนุ่มจึงวิ่งถลันออกไปรวบตัวหญิงสาวเอาไว้อย่างไม่คิดห่วงชีวิตของตนเอง

แรงพุ่งชนจากคนร่างใหญ่ทำให้หญิงสาวเสียหลักล้มลงบนริมบาทวิถี เพราะความชุลมุนตอนฉุดรั้งทำให้แหวนก้อยวงเล็กครูดลงไปอยู่ตรงครึ่งข้อนิ้วของนิชดา ชายหนุ่มทันได้แลเห็นขี้แมลงวันสีน้ำตาลเข้มตรงโคนนิ้วก้อยของหญิงสาวอย่างไม่ได้ตั้งใจ เขากะพริบตาไล่เลือดอุ่นที่ไหลลงมาจากหน้าผากอยู่สองสามครั้ง แล้วภาพทั้งหมดก็ดับวูบลง




คุณหนูศศิวัยหนึ่งขวบเศษกำลังหัวเราะร่าเริง วิ่งเตาะแตะหนีการคลานเข่าไล่จับของพี่ชายข้างบ้านด้วยความสนุกสนาน เด็กหญิงวิ่งเป็นวงกลมรอบพุ่มไม้กลางสวนของวังศิลารัศมิ์ ท่ามกลางการเอาใจช่วยของผู้ใหญ่ในบริเวณนั้น แต่ไม่ทันไร เด็กน้อยก็เข่าอ่อนล้มแผละลงบนผืนหญ้า เด็กชายดินจึงวิ่งตามเข้าไปตะปบตัวน้องน้อยเอาไว้ด้วยสองมือ

‘พี่ดินจับน้องศศิได้แล้ว คราวนี้ห้ามหนีไปไหนอีกนะครับ’ ดวงตาคมคู่เล็กเหลือบเห็นจุดสีน้ำตาลเข้มเล็กๆที่ตรงโคนนิ้วก้อยของน้อง จึงจับจ้องด้วยความสงสัย แล้วพยายามปัดออกให้ ‘มีอะไรติดที่นิ้วของน้องไม่รู้ครับคุณอา’

เอื้องคำกลั้นยิ้ม พลางตอบกลับด้วยน้ำเสียงนุ่ม ‘เล่นด้วยกันมาเกือบสองวันแล้ว เพิ่งจะสังเกตเห็นเหรอจ๊ะ’ หญิงสาวเดินไปอุ้มลูกสาวขึ้นนั่งบนตัก แล้วยกนิ้วก้อยขึ้นให้ดู ‘น้องศศิมีขี้แมลงวันอยู่ที่นิ้วก้อยข้างซ้ายมาตั้งแต่เกิดแล้วจ้ะ คุณอาวรโชติบอกว่ามันเป็นเครื่องหมายที่เทวดาท่านแต้มเอาไว้ให้ ว่าน้องมาจากบนฟ้า แล้วยิ่งน้องเกิดในคืนพระจันทร์วันเพ็ญด้วยแล้ว คุณอาวรโชติยิ่งเห่อใหญ่ ตั้งชื่อให้น้องว่า “วรศศิ” ที่แปลว่า พระจันทร์อันประเสริฐ เหมือนว่าน้องมาจากบนฟ้าจริงๆอย่างนั้นละจ้ะ’

‘ถ้าน้องมาจากฟ้า น้องก็เป็นนางฟ้าสิครับ’ เด็กชายยิ้มกริ่ม

‘คงอย่างนั้นมั้งจ๊ะ’ เอื้องคำยิ้มเอ็นดู ‘ถ้าน้องเป็นดวงจันทร์ มีหน้าที่ส่องแสงสว่างในยามกลางคืน อาก็ขอให้พ่อดินเป็นผืนดินที่หนักแน่น มั่นคง และเป็นที่พึ่งของคนอื่นๆนะลูก’

‘ครับ คุณอา แต่...’ เด็กชายรับคำหนักแน่น ก่อนครุ่นคิดหนัก ‘ดินไม่ได้มาจากดินเหมือนที่น้องศศิมาจากฟ้านะครับ ดินมาจากบ้านข้างๆต่างหาก’

คำพูดพาซื่อของเด็กชายเรียกเสียงหัวเราะให้กับผู้ใหญ่ได้เป็นนาน ก่อนที่ภาพความสุขเหล่านั้นจะค่อยๆจางหายไปจากความทรงจำซึ่งฝังลึกอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจ

ปถวีที่นอนหลับตานิ่งอยู่บนเตียงของโรงพยาบาล เริ่มส่งเสียงเพ้อ

“น้องศศิ...” อาการกระสับกระส่ายของชายหนุ่มทำให้นิชดารีบชุบผ้าขนหนูบิดหมาดขึ้นซับบนใบหน้าคมสันอย่างเบามือ แต่ก็ถูกชายหนุ่มรวบเอาไว้ “พี่ดินจับตัวน้องศศิได้แล้ว อย่าหนีไปไหนอีกนะครับ”

กระแสความผูกพันที่ประทับอยู่ในจิตใต้สำนึก ส่งผ่านพลังงานบางอย่างออกจากร่างของชายหนุ่มไปสู่อุ้งมือของหญิงสาว ทำให้หัวใจของนิชดากระตุกวูบ พลันเกิดความรู้สึกอบอุ่นซาบซ่านอย่างยากจะหาคำตอบ หญิงสาวจึงเอ่ยถามน้ำเสียงนุ่ม

“คุณคะ คุณรู้สึกตัวแล้วเหรอคะ”

ชายหนุ่มปรือตาขึ้นมองเจ้าของเสียงหวานอย่างยากลำบาก ภาพแรกที่เห็นเมื่อลืมตาคือดวงหน้าอ่อนหวานของนางฟ้า ทำให้เขาอดใจหายวาบขึ้นมาไม่ได้

“นี่ผมตายแล้วจริงๆหรือครับ ที่นี่คือสวรรค์ใช่มั้ย”

“ยังค่ะ คุณยังไม่ตาย คุณได้รับบาดเจ็บเพราะช่วยฉันไม่ให้ถูกรถชน ตอนนี้คุณอยู่ที่โรงพยาบาลนะคะ”

ปถวีนึกทบทวนเหตุการณ์ย้อนหลังก็พบว่าเป็นจริงดังหญิงสาวว่า เขาจึงพยักหน้ารับรู้อย่างอ่อนล้า

“หมอบอกว่าคุณไม่เป็นอะไรมาก พักสักคืนก็คงจะออกจากโรงพยาบาลได้” ไม่น่าเชื่อว่ารอยยิ้มอ่อนหวานสดใสของนางพยาบาลจำเป็น จะช่วยชโลมใจคนเจ็บให้ชุ่มฉ่ำได้ราวกับถูกเจาะน้ำเกลือเข้าเส้นเลือดสองกระปุกพร้อมกัน “เดี๋ยวทานข้าวหน่อยนะคะ จะได้ทานยา ทางโรงพยาบาลนำอาหารมาให้สักครู่แล้วค่ะ แต่...ฉันไม่กล้าปลุกคุณ”

เธอว่าพลางเลื่อนรถเข็นใส่ถาดอาหารมาไว้ตรงหน้า แล้วช่วยประคองชายหนุ่มให้ลุกขึ้นนั่ง กลิ่นหอมอ่อนๆ ดุจกลิ่นดอกไม้โชยมาจากเรือนกายนุ่มชวนชื่นใจ

“แล้วคุณเป็นอะไรหรือเปล่าครับ”

“ฉันปลอดภัยดีค่ะ แค่ถลอกนิดหน่อยเท่านั้น” ดวงตาคู่สวยจับจ้องใบหน้าคมสันด้วยความจริงใจ “ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยชีวิตของฉันเอาไว้ ถ้าไม่ได้คุณ ฉันคงแย่”

“เป็นใครอยู่ตรงนั้น ก็ต้องทำอย่างผมครับ”

“คงจะมีไม่กี่คนหรอกค่ะ ที่ยอมเอาชีวิตของตัวเองเข้าแลก เพื่อช่วยเหลือคนอื่นที่ไม่รู้จักกันมาก่อน คุณคือผู้มีพระคุณของฉัน ถ้ามีอะไรที่ฉันพอจะตอบแทนให้คุณได้บ้าง ฉันยินดีทำทุกอย่างเลยนะคะ”

“ผม...” ปถวีอมยิ้มด้วยความตื้นตัน รู้สึกคุ้นเคยกับแววตาคู่นี้เหลือเกิน ช่างเหมือนกับใครสักคนที่เขาเคยรู้จัก ทันใดนั้นภาพสุดท้ายก่อนจะหมดสติลงก็ผุดขึ้นย้ำเตือนความทรงจำอีกครั้ง ตำหนิเล็กๆตรงโคนนิ้วก้อยนั่น ตกลงว่าเขาเห็นมันจริงๆ หรือเป็นเพราะว่าสติกำลังเลอะเลือนกันแน่ ชายหนุ่มเพ่งมองไปยังนิ้วก้อยซึ่งมีปลาสเตอร์ยาปิดทับแทนแหวนวงเดิมเอาไว้ แล้วเอ่ยถาม

“ผมขอรบกวนถามอะไรคุณสักนิดได้มั้ยครับ คือ...ก่อนที่ผมจะหมดสติไป คล้ายกับว่า...ผมเห็นคุณมีขี้แมลงวันเล็กๆอยู่ตรงนิ้วก้อยข้างซ้ายอย่างนั้นใช่มั้ยครับ”

“ขี้แมลงวงแมลงวันอะไรครับ ไม่มี้!” เสียงสูงของจักรแทรกขึ้นมาจากประตูทางเข้า ก่อนเดินตรงมาหาด้วยสีหน้าถมึงทึง “ตาฝาดแล้วละคุณ หนูนิดไม่มีอะไรอย่างนั้นหรอก”

แล้วรีบอธิบายต่อเมื่อชายหนุ่มมีสีหน้างงงัน

“ผมเป็นพ่อของหนูนิดครับ เป็นเจ้าของไข้ของคุณเอง”

หญิงสาวประหลาดใจเล็กน้อยกับคำตอบของบิดา แต่ก็นึกว่าพ่อคงเป็นห่วงไม่อยากให้ใครสังเกตเห็นตำหนิ ซึ่งบุพการีทั้งสองพยายามให้สวมแหวนทับเอาไว้ตั้งแต่ยังเด็ก บอกว่าแก้เคล็ดที่เคยไม่สบายหนัก กลัวว่าแม่ซื้อจะมาเอาตัวลูกรักกลับไป เธอจึงเฉยเสีย

“อ๋อ ขอบคุณครับที่ช่วยดูแลผม” ชายหนุ่มยกมือขึ้นไหว้

“ไม่เป็นไร ไม่ต้องขอบคุณ ผมต่างห่างที่ต้องขอบคุณ คุณช่วยชีวิตลูกสาวผมเอาไว้”

“ด้วยความยินดีครับ ว่าแต่...” ชายหนุ่มยังไม่คลายความสงสัย แต่แสร้งพยักหน้าถอยทัพไปก่อน “ผมอาจจะตาฝาดไปจริงๆก็ได้”

“ตาฝาดแน่นอน เชื่อผมสิ สงสัยจะเป็นรอยแผลจากแหวนมากกว่า” จักรแสร้งเฉไฉเปลี่ยนเรื่อง “แล้วคุณมีญาติที่ไหนมั้ยครับ ผมจะไปรับมาให้ ส่วนค่ารักษาพยาบาลและค่าทำขวัญ ทางเราจะรับผิดชอบอย่างเต็มที่นะครับ คุณไม่ต้องห่วง”

“ขอบคุณครับ แต่ผมขอไม่รับค่าทำขวัญนะครับ ผม...ตั้งใจจะช่วยคุณ...หนูนิดจริงๆ ส่วนญาติพี่น้องผมไม่มี เพราะผมมาจากพระนครครับ”

“โอ ตายจริง แล้วใครจะดูแลคุณล่ะครับ”

“ผมไม่เป็นอะไรมาก คิดว่า...ผมดูแลตัวเองได้ครับ”

จักรชั่งใจอยู่ชั่วครู่ ก่อนเอ่ยจริงจัง “ถ้างั้น...ออกจากโรงพยาบาลแล้วไปพักบ้านผมก่อนนะครับ จนกว่าคุณจะหายดี ในเมื่อค่าทำขวัญคุณก็ไม่เอา พวกเราไม่รู้จะตอบแทนยังไงดี”

ข้อเสนอของเจ้าบ้านทำให้ปถวีมีประกายตาวาววับขึ้นทันที มันคงจะดีไม่น้อยถ้าหากมีคนในพื้นที่ช่วยติดต่อขอพบนายจักร สุรนาถ ด้วยอีกแรง และเป็นโอกาสดียิ่งที่เขาจะมีโอกาสได้พิสูจน์ตำหนิที่นิ้วก้อยของนางฟ้าให้ชัดๆอีกสักครั้ง



***********************************

จบตอนจ้า พบกันอีกทีวันจันทร์นะคะ

ขอเดินเรื่องเร็วนิดนึง ยังมีนักแสดงต่อคิวรอเข้าฉากอีกเยอะเลยค่ะ

ช่วงนี้พยายามมาลงอาทิตย์ละสองตอนนะคะ เพราะจะขออนุญาตคุณผู้อ่านลาพักร้อนกลับเมืองไทยช่วงวันที่ 1-17 ก.พ. ช่วงนี้อาจจะไม่ได้มาอัพนิยายค่ะ

ต้องขออภัยด้วยจริงๆ มันเป็นการตัดสินใจอย่างกะทันหัน เดิมทีว่าจะเดินทางไปช่วงงานสัปดาห์หนังสือ แต่ต้องสลับคิวให้เพื่อนร่วมงานที่มีธุระช่วงนั้นไปแทน

ดังนั้น ที่ติดค้างช็อคโกแลตใครไว้จากเรื่องลับลมคมรัก ใกล้จะได้เอาไปส่งให้แล้วน้า

ขอบคุณมากๆ สำหรับทุกไลค์ คอมเม้นท์ และการติดตตามอ่านค่ะ



พันธุ์แตงกวา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 ม.ค. 2557, 07:12:24 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 15 ก.พ. 2558, 04:36:47 น.

จำนวนการเข้าชม : 2694





<< บทที่ 2 : ค่ำคืนแห่งปาฏิหาริย์ (รีไรท์)   บทที่ 4 : จุดใต้ตำตอ (รีไรท์) >>
พันธุ์แตงกวา 16 ม.ค. 2557, 07:25:26 น.
ขอตอบคอมเม้นท์

คุณดวงมาลย์ : เลิฟ ยู ทู

คุณปลายสี : ตำแหน่งแม่นมไม่ค่อยน่าสนใจ เป็นแม่พระเอกดีกว่ามั้ย ได้กอดได้หอมพระเอกฟรีๆ ก๊ากๆ

คุณ Tik : ขำกลิ้งมาเลยนะคะ เดี๋ยวจะเฉลยเร็วๆนี้ว่าทำไม แต่ก็ยังไม่รู้ว่าใครค่ะต้องรอตอนจบ

คุณดังปัณณ์ : วันนี้มาครบทั้งดีนี่ และจักกี้เลยจ้า ตามคำขอ

คุณหมีสีชมพู : ^_____^ (ทำตัวการ์ตูนหน้าสีเหลืองยิ้มตอบไม่เป็นค่ะ เช้ย เชย)

คุณแว่นใส : ยังจะตามเข้าไปชุลมุลกันในวังอีกค่า ยังมีอีกหลายตัวเลย ไม่รู้ใครดีใครร้าย^^

คุณ Wind : ขนาดคนร้ายยุคก่อนไม่มีเครื่องดักฟัง ยังติดตามความเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็ว แน่มากๆค่า

คุณ Sukhumvit66 : โอ๋ๆๆ อย่าเพิ่งงอนน้า ยังไงหนูนุชก็ยังมีฉากให้เข้าเยอะอยู่ค่า

คุณ Wane : จักรกับบังอรเค้าไปนัดกันอย่างลับๆค่ะ เราเลยไม่รู้ จุ๊ๆๆ อย่าเสียงดังไป ความลับค่ะ

คุณเบญจามินทร์ : คุณหนูศศิใกล้จะได้กลับวังแล้วค่ะ แล้วน้าภีมล่ะคะ จะกลับมาเมื่อไหร่ รออยู่น้า ^^


ดังปัณณ์ 16 ม.ค. 2557, 10:45:03 น.
อร๊ายยยยยยยยยยยยยยย แปะๆๆๆๆ เด่วมาค้าาาาาาาาาาาพี่แตงงงงงงงงงงงง ดีนี่ขาโผล่มาแย้วววววว ฮี่ๆๆๆ


wane 16 ม.ค. 2557, 15:20:17 น.
คุณดินเจ็บตัวคราวนี้คุ้มจริงๆ


แว่นใส 16 ม.ค. 2557, 16:25:54 น.
อย่าใกล้เกลือกินด่างล่ะ


แว่นใส 16 ม.ค. 2557, 16:26:18 น.
หรือว่าเส้นผมบังภูเขาดีนะ


ดังปัณณ์ 16 ม.ค. 2557, 20:50:22 น.
โอ้ววววววววววววววววววววว ดีนี่ เจอจักกี้ว่าที่พ่อตา ฮ่าๆๆๆ ท่าทางจักกี้จะโหดด้วยยยยยย เอ้าๆๆๆ จุดไต้ตำตอกันแระ คราวนี้ก็รอดูดิ จักกี้จะตอบรับดีนี่ไหม


แหมๆๆๆ ว่าแต่พี่แตงค้า ดีนี่ เค้าไม่ธรรมด๊า ฮ่าๆๆๆๆๆ ขนาดเจ็บ ฮียังหยอด ชริๆๆ หมั่นไส้ ท่าจะไม่เบานะเรา ดีนี่!


Sukhumvit66 16 ม.ค. 2557, 22:03:45 น.
พระนางเจอกันแล้วววว......


ปลายสี 16 ม.ค. 2557, 22:18:32 น.
เจอกันแว้วววววววว ให้ไปอยู่บ้านอย่างนี้ก็เข้าทางพ่อดินเลยนะซี่

พี่แตงกวาจะมาไทยยยหรือค้าาาา เดินทางดีๆ นะคะ


tik 16 ม.ค. 2557, 22:31:15 น.
เจอกันเร็วดีจัง อยากรู้จังว่าจะรู้ว่าใครเปนใคร ที่ไหน อย่างไง รอจันทร์นะคร่า อยากให้ถึงวันจันทร์เร็วๆ


เบญจามินทร์ 17 ม.ค. 2557, 09:17:01 น.
อย่างนี้เค้าเรียกบุเพสันนิวาท พรหมลิขิต ^^


ศกุนตลา 17 ม.ค. 2557, 20:17:06 น.
เจอกันจนได้ สนุกค่ะ


goldensun 23 ม.ค. 2557, 17:49:21 น.
จุดไต้ตำตอซะแล้ว


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account