ตราบสิ้นอสงไขย นวนิยายเรื่องที่๑ ชุด ร้อยรักข้ามเวลา
การถ่ายทำละครเรื่องใหม่ ทำให้เธอต้องเดินทางไปยังจังหวัดเชียงใหม่และถูกทำร้ายจนไม่ได้สติ ทว่ายามนั้นนั่นเองที่ดวงจิตของเอื้องลดาเกิดย้อนรำลึกไปยังปีพ.ศ.๒๐๑๕ อันเป็นรัชสมัยของพญาติโลกราชมหาราชแห่งล้านนาและได้พบกับเขา ...
ผู้ที่เฝ้ารอเธอมาเนิ่นนาน...ร่วมพันปี
เขาที่คอยปกป้อง สองหัตถ์นั้นที่คอยซับน้ำตา
เอื้องลดาเพิ่งรู้ในวันนี้ว่าเพราะเหตุใดเธอจึงฝันถึงการสงครามอยู่เป็นนิจ
และเหตุใดเธอจึงไม่มีใครในหัวใจสักที
หัวใจเธออยู่ตรงนี้...อยู่ที่เขา
รักแรกและรักเดียว...ตลอดกาล
ผู้ที่เฝ้ารอเธอมาเนิ่นนาน...ร่วมพันปี
เขาที่คอยปกป้อง สองหัตถ์นั้นที่คอยซับน้ำตา
เอื้องลดาเพิ่งรู้ในวันนี้ว่าเพราะเหตุใดเธอจึงฝันถึงการสงครามอยู่เป็นนิจ
และเหตุใดเธอจึงไม่มีใครในหัวใจสักที
หัวใจเธออยู่ตรงนี้...อยู่ที่เขา
รักแรกและรักเดียว...ตลอดกาล
Tags: พีเรียด, ย้อนยุค,น้ำฟ้า ,ล้านนา
ตอน: วาระแห่งกรรม
บทที่ ๔
“ต้องขอโทษที่มาช้านะคะคุณนัย เอื้องมัวคุยกับพี่นัทเพลินไปหน่อยน่ะค่ะ”ดาราดังในชุดเดรสสีม่วงพูดออกตัวหลังจากนั่งลงบนเก้าอี้ที่นัยภาคเป็นผู้เลื่อนให้เรียบร้อยแล้ว
แสงแดดยามใกล้พลบส่องลอดกระจกสีใสเข้ามากระทบดวงหน้างามละไมให้ดูยิ่งละมุนตา คนรอจึงเพลินมองด้วยใบหน้าเจือยิ้ม “ไม่เป็นไรเลยนี่ครับ ยังไงผมก็ทำงานในรีสอร์ตอยู่แล้ว”
“แต่เอื้องเกรงใจน่ะค่ะ เพิ่งจะรู้จักกันเมื่อวาน วันนี้ดันมาผิดนัดเสียแล้ว”
“ไม่เป็นไรจริงๆครับ”เขาย้ำอีกครั้งก่อนจะหันไปสั่งพนักงานให้ทยอยยกอาหารมาเสิร์ฟตามที่สั่งเอาไว้ แล้วจึงชวนหญิงสาวคุยต่อ “ช่วงเย็นผมจะมาดูแลห้องอาหารอยู่แล้วครับ ไม่ถือว่าต้องรออะไรเลย”
“แล้วคุณนทีดลล่ะคะ ไม่มาช่วยเลยเหรอ”เธอเสไปถามถึงเจ้าของรีสอร์ตซึ่งได้ยินเพียงแค่ชื่อแต่ไม่เคยได้พบเจอตัวจริงเลยสักครา “พี่ดลต้องดูแลผับในเมืองน่ะครับ จะไปที่นั่นเกือบทุกวันเพราะว่าเพื่อนๆพี่เขาเยอะ จริงๆพี่ดลเขาถนัดไปทางงานผับมากกว่างานรีสอร์ตก็เลยให้ผมคอยดูแลทางนี้แทน”
“ถนัดงานกลางคืนมากกว่างานกลางวัน มิน่าล่ะถึงได้ยินข่าวว่าเจ้าชู้เหลือเกิน”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ เพียงแต่พี่ดลเขามีคนเข้ามาในชีวิตเยอะ”นัยภาคแก้ลำแล้วจึงหยุดพูด ให้พนักงานนำอาหารจานใหญ่มาเสิร์ฟ
หลังจากนั้นเขาจึงผายมือพร้อมทั้งแนะนำอาหาร “นี่เป็นออร์เดิร์ฟเมืองครับคุณเอื้อง จะประกอบด้วยอาหารจำพวกไส้อั่ว จิ๊นส้ม แหนม น้ำพริกหนุ่ม หมูยอ สำหรับทานรองท้อง”
เอื้องลดาห่อปากทำตาโต เนื่องจากไม่ค่อยได้รับประทานอาหารพื้นเมืองทางเหนือบ่อยนัก “น่าอร่อยจังค่ะ”
“เอาไว้วันหลังผมจะพาคุณเอื้องไปทานแบบขันโตกที่ลานล้านนานครของรีสอร์ตเรานะครับ ที่นั่นจะเป็นลานระเบียงเหนือสวนดอกไม้ แต่วันนี้กลางวันฝนตก ผมก็เลยเลือกห้องอมรเชียงใหม่นี่แทน”
“ขอบคุณค่ะคุณนัย แต่จะว่าไปแค่ออร์เดิร์ฟก็เยอะจนเอื้องแทบจะอิ่มก่อนแล้วล่ะค่ะ พอดีช่วงเย็นๆเอื้องทานน้อยด้วย”
“โธ่ คุณเอื้องยังทานได้อีกเยอะครับ ไม่อ้วนหรอก”ผู้จัดการหนุ่มบอกอย่างเอาใจ
เอื้องลดายิ้มให้กับความปากหวานของเขา จากนั้นจึงก้มลงมองอาหารอีกหลายประเภทที่พนักงานเพิ่งนำมาเสิร์ฟบนโต๊ะ พร้อมเลือกรับประทานอย่างละนิดละหน่อยแล้วปิดท้ายด้วยผลไม้ก่อนที่จะถามถึงเรื่องที่ตนเองค้างคาใจ “ทำไมคุณนัยถึงอยากให้เอื้องไปสอบถามเรื่องเมื่อกลางวันนี้กับคุณพ่อของคุณนทีดลล่ะค่ะ”
“คุณลุงชัยพงษ์ท่านเป็นอาจารย์สอนประวัติศาสตร์ล้านนาครับ ที่สำคัญท่านศึกษาธรรมะแล้วก็นั่งวิปัสสนาด้วย ท่านน่าจะพอรู้เรื่องลี้ลับอยู่บ้าง”
“แปลว่าคุณนัยเชื่อมั่น ว่าเด็กผมจุกคนนั้นไม่ใช่คน”หญิงสาวถามพลางจ้องรอคำตอบอย่างจดจ่อ
นัยภาคพยักหน้า “ครับ ความเป็นไปได้มีสูงมาก เพราะไม่ใช่แค่คุณเอื้องคนเดียวที่เคยเห็นเด็กคนนั้น เรื่องเด็กชายหญิงในเมืองเก่าและเสียงสะล้อซอซึงน่ะ มีคนเล่าลือกันมานานแล้วครับ”
“แล้วคุณลุงของคุณเคยเล่าเรื่องนี้ให้คุณฟังบ้างไหมคะ”เอื้องลดาถามอย่างตื่นเต้น
ผู้จัดการหนุ่มหัวเราะแหะๆ ก่อนตอบ “ไม่เคยเล่าครับ แต่ผมเชื่อว่าคนที่เคยบวชจนได้มหาเปรียญอย่างคุณลุงชัยพงษ์จะต้องรู้เรื่องนี้มากกว่าคนทั่วไปอย่างแน่นอน”
หญิงสาวฟังจบจึงพยักหน้าคล้อยตาม “หวังว่าท่านจะกรุณาเอื้องนะคะ สองวันมานี้เอื้องได้ยินเสียงดนตรีพื้นเมืองและได้เห็นเด็กคนนั้นทั้งที่เป็นกลางวันแสกๆ ทำให้อยากรู้ว่าตัวเองทำอะไรไม่เหมาะไม่ควรหรือเปล่า ถึงมีสิ่งเหล่านี้มาหลอกหลอน”
นัคภาคพยักหน้า เขาเชื่อมั่นว่าคุณลุงของตนมีความเมตตากรุณากับทุกคน จึงไม่มีเหตุผลใดที่จะปฏิเสธการให้คำแนะนำแก่หญิงสาว
“ถ้างั้นรีบทานกันดีกว่าค่ะ เอื้องอยากพบท่านเหลือเกินแล้ว”
ผู้จัดการหนุ่มลงมือตักอาหารใส่จานของหญิงสาวแทนคำตอบรับ ด้วยหน้าที่ของผู้จัดการรีสอร์ตเขาพร้อมที่จะให้บริการดาราสาวอย่างเต็มที่ อีกทั้งนัยภาคนั้นรู้สึกเป็นมิตรกับเธอเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงทำให้การเทคแคร์แขกวีไอพีของรีสอร์ตในครั้งนี้เกิดขึ้นด้วยความเต็มใจ
-------------------------------------------------------------------------
รถเก๋งสีขาวจอดสนิทด้านหน้าเรือนไม้หลังใหญ่แล้วฝ่ายเจ้าของรถจึงเดินอ้อมมาเปิดประตูรถให้หญิงสาวชุดสีม่วงที่กำลังมองทัศนียภาพรอบกายอย่างตื่นตะลึง เปล่าหรอก...เอื้องลดาไม่ได้ตกใจกับความร่ำรวยของคนในคุ้มเวียงพิงค์ ทว่าสิ่งที่ทำให้เธออดตื่นเต้นไม่ได้ก็คือ ภาพบรรยากาศอันคล้ายกับหลุดมาจากยุคอดีตซึ่งหลอมรวมกันเป็นคุ้มแห่งนี้ จะว่าไปแม้เธอจะเคยถ่ายละครย้อนอดีตมาหลายต่อหลายเรื่อง แต่กลับไม่เคยมีสถานที่ใดดูมีมนตร์ขลังมากเท่ากับที่ได้เห็นกับตาในเวลานี้เลย
หญิงสาวสัมผัสได้ถึงไหนจะกลิ่นหอมอ่อนๆที่รวยรินมาตามสายลม เสียงดนตรีพื้นเมืองซึ่งเข้าใจว่าดังมาจากมุมใดมุมหนึ่งของบ้าน แล้วไหนจะของตกแต่งอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเกวียนซึ่งตั้งอยู่ด้านหน้าเรือนไทย ประทีปซึ่งแขวนอยู่ตามชายคา ธงสี่เหลี่ยมผืนผ้าซึ่งเรียกกันว่าตุงไจยก็ล้วนประดับประดาอยู่ทั่วอาณาบริเวณดูเข้มขลังสมกับเป็นคุ้มของสายเลือดเจ้าผู้ครองนครล้านนาอันยิ่งใหญ่
“กลิ่นดอกไม้แถวนี้หอมจังเลยนะคะ”หญิงสาวเอ่ยชมอย่างอดใจไม่อยู่
นัยภาคยังคงยิ้มน้อยๆตามแบบฉบับของเขาก่อนจะตอบ “กลิ่นดอกเอื้องน่ะครับ ย่างเข้าฤดูร้อนแล้วดอกเอื้องก็เริ่มบาน”
“สวย หอมอย่างนี้นี่เล่า เขาถึงได้บอกว่าดอกเอื้องเป็นสัญลักษณ์ของสาวเหนือ”เอื้องลดาเสริมขณะก้าวขึ้นบันไดไม้ตามหลานชายเจ้าของบ้าน
ร่างระหงก้าวพ้นธรณีประตูเข้ามาด้วยสีหน้าสดใส เอื้องลดารู้สึกประทับใจทุกสิ่งบนเรือนนี้อย่างบอกไม่ถูก โลกใหม่ที่ยังคงความโบร่ำโบราณเอาไว้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ช่างเป็นเสน่ห์ที่แสนจะตรึงตราตรึงใจอย่างเหลือเกิน
จังหวะเดียวกันนั้นถ้ามีใครสักคนสังเกตด้านล่างของเรือน คงมองเห็นดวงไฟสีเงินสองดวงพุ่งวาบลงมาที่ต้นมะม่วงแก้วข้างบันได และไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นดวงไฟดังกล่าวก็แปรสภาพเป็นร่างเล็กจ้อยของหมากแก้วและหมากคำ
“จะดีกาหมากคำ ถ้าพ่อปู่รู้เฮาสองคนจะต้องถูกลงโทษแน่ๆเลย”พี่ชายกังวล เพราะรู้ถึงความเด็ดขาดของพ่อปู่ของตนดี
“ดีกะเจ้าอ้ายหมากแก้ว ข้าเจ้าว่าพ่อพญาน่าจะจำน้าเอื้องของเฮาได้พ่องแล้ว ข้าเจ้าว่าเป็นโอกาสเหมาะแล้วที่จะช่วยให้เพิ่นได้ใกล้ชิดกัน “
หมากแก้วถอนใจขึ้นเฮือกใหญ่ และย่นคิ้วขณะถามน้องสาวอีกครั้ง “ใช้วิธีการอื่นบ่ได้กา การตะแหลงเป็นคนอื่นนี่มันยากนา”
หมากคำจึงส่งยิ้มฟันขาว ยกนิ้วชี้ข้างขวาขึ้นมาแกว่งเบาๆ “บ่ได้เจ้า นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว”
-------------------------------------------------------------------------
“คุณนทีดลสั่งไว้ว่า ถ้าคุณเอื้องมาถึงให้เชิญไปที่ห้องอาหารได้เลยเจ้า” สาวใช้วัยกลางคนเดินเข้ามาเชิญดาราสาวด้วยกิริยาสุภาพ “อ้อ คุณนัยก็มาโตย อย่างนั้นก็เชิญทั้งสองท่านเลยเจ้า”
“นี่หมายความว่า...”เอื้องลดาเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวเอาเองในใจ ว่านาถนรีคงจะลืมโทร.กลับมาปฏิเสธนทีดลให้เธอเป็นแน่ ทุกคนในบ้านจึงทำราวกับเธอมาตามที่นัดกับชายหนุ่มเอาไว้แบบนี้
“คุณดลรอคุณเอื้องเมินแล้วเจ้า ข้าเจ้าจะตักข้าวให้ก็บอกว่าให้รอคุณเอื้องมาถึงก่อน”สาวใช้สาธยาย “เชิญเจ้าเชิญ ทั้งคุณนัยและคุณเอื้องเลยเจ้า”
แต่ก่อนที่นัยภาคจะพาเอื้องลดาเดินเข้าไปตามคำเชื้อเชิญนั้น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นด้านล่าง
“คุณนัยครับ มีแขกต่อยกันที่ห้องอาหารของรีสอร์ตครับ”
นัยภาคจึงพรวดพราดเดินไปชะเง้อชะแง้อยู่เหนือประตูเรือน ก่อนตะโกนตอบเสียงดังระดับเดียวกันกับผู้ที่ยืนรออยู่ “แล้วตอนนี้เป็นยังไงบ้าง”
“รีบไปดูก่อนเต๊อะครับ จะใดค่อยว่ากัน”ชายกลางคนร่างใหญ่ตัดบท
ผู้จัดการหนุ่มจึงหันมามองเอื้องลดาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “คุณเอื้องตามนวลเข้าไปก่อนนะครับ ถ้าผมเคลียร์ปัญหาเสร็จแล้วจะรีบกลับมา”
“ได้ค่ะ”หญิงสาวรับคำด้วยความเข้าใจ จากนั้นจึงหันไปหาสาวใช้ชื่อนวล “จริงๆฉันมีธุระกับอาจารย์ชัยพงษ์จ๊ะ ท่านอยู่ไหม”
นวลส่ายหน้า “ท่านบ่อยู่เจ้า มีงานเลี้ยงที่มหาวิทยาลัย”
“อ้อ ถ้างั้นก็พาฉันไปพบคุณดลได้แล้วล่ะ”เอื้องลดาสั่งเสียงเรียบ
--------------------------------------------------------------------------------
ทันทีที่ร่างระหงก้าวผ่านกรอบประตูห้องอาหารเข้าไป ชายหนุ่มเจ้าของบ้านก็รีบกุลีกุจอลุกขึ้นต้อนรับ “เชิญครับคุณเอื้อง”
“ขอบคุณค่ะ”เธอเอ่ยขอบคุณเมื่อเขาเลื่อนเก้าอี้ให้ จากนั้นจึงนั่งลงอย่างระมัดระวังกิริยา
“ขอบคุณนะครับที่มาตามคำเชิญของผม”เขากล่าวพร้อมกับนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามผู้เป็นแขก
ว่าแล้วไหมล่ะ นาถนรีลืมปฏิเสธเขาแทนเธอจริงๆ
หญิงสาวยิ้มเจื่อนๆนึกละอายใจอยู่ไม่น้อย เมื่อรู้ว่าเขารอเธอจนเกือบทุ่ม แต่เมื่อมาถึงขั้นนี้แล้วก็คงต้องเลยตามเลยแล้วล่ะ “ต้องขอโทษที่ช้าค่ะ พอดีเอื้องติดธุระนิดหน่อย”
“ไม่เป็นครับ แค่คุณเอื้องมาผมก็ดีใจแล้ว ทานข้าวกันเลยดีกว่าครับ”เขาผายมือและสั่งสาวแม่บ้านด้วยท่าทางอารมณ์ดี “ตักข้าวได้แล้วนวล”
“เอ่อ คุณนทีดลคะ วันนี้เอื้องไม่ค่อยสบายน่ะค่ะ ไม่ค่อยหิว”
คิ้วเข้มขยับเข้าหากันจนชิด ดวงตาคมกริบมองเธออย่างห่วงใย “เป็นอะไรไปครับ ไปหาหมอก่อนดีไหม”
“ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกค่ะ แค่ปวดหัวนิดหน่อย”เอื้องลดารีบแก้ตัวก่อนเรื่องราวจะลุกลามใหญ่โต พร้อมหลุบตาลงต่ำเพื่อหลบสายตาอาทรของเขา
“ถ้างั้นเดี๋ยวผมให้แม่ครัวทำข้าวต้มให้ทานดีกว่านะครับ”
หญิงสาวส่ายหน้า “อย่าลำบากเลยค่ะ ถ้าคุณนทีดลจะกรุณาเอื้องขอเป็นผลไม้ดีกว่า เพิ่งทานขนมมาก่อนหน้านี้ด้วยน่ะค่ะ ตอนนี้เลยตื้อๆ”
เขายิ้มน้อยๆก่อนหันไปทางนวลที่รอรับใช้อยู่ไม่ไกล “นวลไปหาผลไม้มาให้คุณเอื้องนะ แล้วก็ขอน้ำส้มอีกแก้วนึงด้วย”
นวลรับคำก่อนเดินเร็วๆออกจากห้องไป ชั่วอึดใจนทีดลจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงค่อนข้างเบา “ที่ผมเชิญคุณเอื้องมาทานข้าวเย็นด้วยกันเพราะเหตุผล 2 ประการนะครับ หนึ่งอยากทำความรู้จัก สองผมมีธุระจะคุยด้วย”
ดาราสาวเงยหน้าขึ้นมองเขาตรงๆด้วยท่าทีสงสัยอย่างหนัก “คุยเรื่องอะไรคะ”
“เรื่องเมื่อกลางวันครับ ที่คุณเอื้องมองเห็นเด็กผู้หญิงผิวขาว ตัวเล็กๆหน้าแป้นๆเกล้าผมมวย สวมเสื้อผ้าฝ้ายและนุ่งผ้าซิ่นพื้นเมือง”
เอื้องลดามีท่าทางเกือบจะเรียกได้ว่าอ้าปากค้าง นึกแปลกใจที่เขาบอกลักษณะของเด็กน้อยได้แม่นยำนัก“ทำไมคุณถึงรู้...”
นทีดลหัวเราะในลำคอเบาๆ “ผมเองก็เคยเห็นหมากคำเหมือนคุณนั่นแหละ”
“หมากคำ”หญิงสาวทวน
“ครับ เด็กคนนั้นชื่อหมากคำ”
โทรศัพท์มือถือของนทีดลแผดเสียงลั่นขัดจังหวะ ชายหนุ่มจึงเอ่ยคำขอโทษแล้วลุกขึ้นเลี่ยงไปยืนคุยอยู่มุมหนึ่งของห้อง พร้อมๆกับที่นวลนำผลไม้มาเสิร์ฟพอดี เอื้องลดาจึงให้ความสนใจกับผลไม้ตรงหน้ามากกว่าบุรุษที่กำลังกรอกเสียงทักทายบุคคลในโทรศัพท์ “สวัสดีครับลิลลี่”
“วันนี้พี่ดลไม่มาที่ผับเหรอคะ ลิลลี่มารอตั้งนานแล้ว พอไปถาม ผู้จัดการก็บอกว่าวันนี้พี่จะไม่เข้ามา”น้ำเสียงบอกเล่ายังคงเรียบนิ่งโดยเจ้าตัวพยายามฝังกลบความหงุดหงิดเอาไว้ภายใน
“ครับ วันนี้พี่ติดธุระ ว่าแต่ลิลลี่มีอะไรหรือเปล่าถึงอยากเจอพี่น่ะ”
“ก็ ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ แค่ลิลลี่เบื่อโรงแรม อยากย้ายไปพักที่รีสอร์ตพี่ดลมากกว่า จะได้ใกล้สถานที่ถ่ายทำ ด้วย ลิลลี่เหนื่อยกับการเดินทาง”
“ถ้างั้นพรุ่งนี้พี่จะให้เจ้าหน้าที่จัดเตรียมที่พักไว้ให้”เขารับปากอย่างง่ายดาย ไม่เซ้าซี้ถาม
“ขอบคุณค่ะพี่ดล ถ้างั้นพรุ่งนี้เจอกันนะคะ”บอกสิ่งที่ต้องการเสร็จแล้ว หญิงสาวก็วางสายไป เมรินไม่ต้องการให้เขาเข้าใจว่าเธอเป็นคนจุกจิก น่ารำคาญ ด้วยรู้ว่านทีดลเป็นคนที่รักอิสระและไม่ต้องการให้ใครมาควบคุม
ฝ่ายนทีดลนั้น เมื่อจบธุระส่วนตัวแล้วเขาจึงยัดโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกงและเดินกลับมายังโต๊ะอาหารอีกครั้ง แต่กลับพบว่านัยภาคเองก็กำลังเดินเข้ามาในห้องอาหารด้วยเช่นเดียวกัน
“อ้าว ไปไงมาไงล่ะนัย”
“ผมมารอบนึงแล้วฮะพี่ดล แต่พวกพนักงานมาตามให้ไปจัดการกับแขกที่ทะเลาะกันที่ห้องอาหารน่ะครับ”
“นั่งลงก่อนค่อยเล่า”พี่ชายลากเก้าอี้ให้ผู้มาใหม่และนั่งลงพร้อมๆกัน “แล้วตอนนี้สถานการณ์ทางนั้นเป็นยังไงบ้างล่ะ”
“พอผมไปถึงก็ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้น แถมพนักงานที่มาตามก็หายจ้อยไปเลย ไม่เข้าใจว่าจะโกหกเพื่ออะไร ถ้าจับได้จะเตะให้ขาเดี้ยงเลยเชียว”นัยภาคบ่นด้วยอารมณ์กรุ่นๆ
เอื้องลดามองหน้าคนพูดพลางกลั้นยิ้ม ตั้งแต่พบกัน เธอชื่นชมว่าชายหนุ่มเป็นคนใจเย็นและยังไม่เคยเห็นเขาแสดงอาการหงุดหงิดใส่ใครเลยสักครั้ง เพิ่งจะมีวันนี้แหละ
“แต่แปลกนะฮะ ผมไม่เคยเห็นหน้าพนักงานคนนั้นมาก่อนเลย”
“อ้าว แล้วรู้ได้ยังไงคะว่าเป็นพนักงานของรีสอร์ต”หญิงสาวคนเดียวในห้องเอ่ยถาม
“ก็เจ้านั่นใส่ยูนิฟอร์มของรีสอร์ตเรานี่ฮะ”
“จะเป็นไปได้ไหมคะ ว่าเป็นการอำเล่น”
นทีดลทำท่าคิดก่อนพูดตัดบทเสียดื้อๆ “ทานข้าวกันก่อนลดีกว่าครับ เดี๋ยวอาหารเย็นชืดไปจะเสียรส นัยทานข้าวให้เต็มที่ อย่ามัวหงุดหงิด บางทีอะไรๆมันอาจจะไม่ใช่อย่างที่เราคิดก็ได้”
---------------------------------------------------------------------------------------------------
ดวงตากลมโตจ้องมองร่างสูงใหญ่ที่หดเล็กลงจนกลายเป็นร่างพี่ชายแล้วจึงหัวเราะด้วยความขำขัน “เมื่อกี้อ้ายหมากแก้วเหมือนผู้ใหญ่มากเลยเจ้า สมควรแล้วที่ข้าเจ้าให้อ้ายไปหลอกน้องชายของพ่อพญา”
“พ่อปู่สั่งอยู่ตลอดว่าบ่ให้เฮาผิดศีล หมากคำก็ยังบ่เชื่อฟัง”คนเป็นพี่บ่นด้วยเสียงดุ หมากแก้วและหมากคำนั้นแม้จะอยู่ในร่างของเด็กน้อยวัยไม่ถึงสิบขวบ ทว่าดวงวิญญาณทั้งสองก็ผ่านวันผ่านกาลมาเนิ่นนานเหลือเกินแล้ว การมองเห็นการเกิดและดับของผู้คนจากรุ่นสู่รุ่น จึงทำให้ความคิดของสองพี่น้องลุ่มลึกมากกว่าเด็กโดยทั่วไป
หลังต่างฝ่ายต่างเงียบ เด็กหญิงก็แสร้งถอนหายใจดังๆ แล้วจึงเงยหน้ามองพี่ชายด้วยแววตาใสแจ๋วประดุจแก้วมณี “น้องแค่ต้องการให้พ่อพญาและน้าเอื้องของเฮาได้ใกล้ชิดกัน เฮาบ่ได้ทำสิ่งเลวร้าย เฮาทำความดีต่างหาก”
สิ้นคำเด็กหญิง สายลมก็พัดกรรโชกแรงขึ้นจนต้นไผ่เสียดสีกันดังเอียดอาด ดอกสีชมพูอ่อนของต้นฉำฉาร่วงหล่นโปรยปรายท่ามกลางความมืด ชั่วครู่ร่างสันทัดของผู้มีหลังไหล่ลู่ค้อมตามวัยก็ปรากฏขึ้น
หมากคำเห็นดังนั้นจึงปรายตามองพี่ชายก่อนจะขยับเข้าไปใกล้ หมากแก้วจึงแก้ไขสถานการณ์ด้วยการยิ้มเผล่ให้ผู้เป็นปู่ ก่อนจะแก้ตัว“หันว่าพ่อปู่นั่งสมาธิอยู่เฮาสองคนก็เลยออกมาแอ่วเล่นเจ้า”
ชายชราในชุดขาวก้มลงมองหลานทั้งสองนิ่ง หมากคำเริ่มร้อนตัวขยับเข้าไปชิดหลังพี่ชายมากยิ่งขึ้น ขณะที่หมากแก้วนั้นยังคงยืนนิ่งทำเป็นทองไม่รู้ร้อน
“สูเจ้าไปไหนมากัน” น้ำเสียงแหบแห้งถามอย่างปกติไร้ร่องรอยแห่งการตำหนิ
หมากคำค่อยใจชื้นขึ้น จึงเดินเข้าไปหาผู้เป็นปู่เพื่อเกาะชายผ้าสีขาวรุ่ยร่ายนั่นไว้เป็นเชิงประจบ “ก็เดินไปเรื่อยๆเจ้า”
พ่อปู่อินถาเปล่งเสียงหัวเราะชอบใจกับคำตอบอ้อมโลกของหลานสาวก่อนดักคอ “เดินวไปเรื่อยๆจนถึงคุ้มของพ่อพญาแม่นก่อหมากคำ”
หมากคำหัวเราะแหะๆ มองพี่ชายตาแป๋วเป็นสัญญาณให้ช่วยแก้ไขสถานการณ์ หมากแก้วจึงยิงคำถามกลบเกลื่อน “พ่อปู่มาโตยหาเฮาสองคนกาเจ้า”
“แม่นละ ปู่มีเรื่องจักสั่งเจ้าทั้งสอง”
“เรื่องใดกันเจ้า”หมากแก้วถาม ดวงตาของเด็กน้อยฉายแววกระตือรือร้นและใคร่รู้ผสมผสานกันไป
“เจ้าทั้งสองคงได้ปะหน้าน้าเอื้องฟ้าของเจ้าแล้ว”
ดวงหน้าเล็กๆของทั้งคู่พยักขึ้นลงหงึกหงัก
“ต่อไปนี้เจ้าทั้งสองจงคอยดูแลน้าเอื้องฟ้าให้ดี”
“แสดงว่าถึงเวลาแล้ว”หมากพูดตามที่เคยได้ฟังมา
ผู้เป็นปู่ถอนหายใจเบาๆก่อนพยักหน้า “เวียนมาถึงวาระอันมีดวงชะตาเป็นตัวกำหนดชีวิตแล้ว แต่ด้วยความผูกพันก่อนเก่า ทำให้หมู่เฮาต้องคอยช่วยเหลือนาง เจ้าสองตนก็มีหน้าที่ของตัวเอง ส่วนปู่ก็มีหน้าที่ของปู่เช่นกัน”
แม้ไม่ค่อยเข้าใจถ้อยคำของผู้ชรานักแต่เด็กน้อยทั้งสองก็รับคำแต่โดยดี น้าเอื้องฟ้าเป็นน้าสาวที่ทั้งสองรักใคร่ คำสั่งของผู้เป็นปู่จึงเป็นเรื่องที่หมากแก้วและหมากคำเต็มใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
ดวงตาภายใต้เปลือกตาอันเหี่ยวย่นเหม่อมองไปยังคุ้มเวียงพิงค์อย่างแน่วแน่
วันเวลาที่เวียนมาบรรจบอาจทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายได้ไม่จบสิ้น ทั้งนี้ก็ล้วนแล้วแต่เกิดจากเวรกรรมที่มนุษย์สั่งสมเอาไว้แต่ก่อนเก่า เหตุการณ์ทุกอย่างจึงเป็นไปตาม วาระแห่งกรรม อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แม้คนผู้นั้นจะสูงส่งเพียงใดก็ตาม
ตอบคอมเมนท์นะคะ (เพิ่งรู่้ว่าต้องมาตอบตอนใหม่ อิอิ)
พันธุ์แตงกวา : ขอบคุณค่า ตามพี่แก้วมาน่ะค่ะ
ดังปัณณ์ : ยังไม่ปรากฎว่าเป็นลูกใคร แต่ต่อไปแล้วแต่คนอ่านจินตนาการเองเลยจ้ะ
วิรัตต์ยา : ขอบคุณค่า มาช่วยเจิม
สาริน : แอบเห็นว่าลงละ เดี๋ยวตามไปอ่าน
nasa : นัยภาคไม่ใช่ตัวโกงค่า
เบญจามินทร์ : เค้าอ่านเป็นละ ขอบคุณค่าพี่เดล
“ต้องขอโทษที่มาช้านะคะคุณนัย เอื้องมัวคุยกับพี่นัทเพลินไปหน่อยน่ะค่ะ”ดาราดังในชุดเดรสสีม่วงพูดออกตัวหลังจากนั่งลงบนเก้าอี้ที่นัยภาคเป็นผู้เลื่อนให้เรียบร้อยแล้ว
แสงแดดยามใกล้พลบส่องลอดกระจกสีใสเข้ามากระทบดวงหน้างามละไมให้ดูยิ่งละมุนตา คนรอจึงเพลินมองด้วยใบหน้าเจือยิ้ม “ไม่เป็นไรเลยนี่ครับ ยังไงผมก็ทำงานในรีสอร์ตอยู่แล้ว”
“แต่เอื้องเกรงใจน่ะค่ะ เพิ่งจะรู้จักกันเมื่อวาน วันนี้ดันมาผิดนัดเสียแล้ว”
“ไม่เป็นไรจริงๆครับ”เขาย้ำอีกครั้งก่อนจะหันไปสั่งพนักงานให้ทยอยยกอาหารมาเสิร์ฟตามที่สั่งเอาไว้ แล้วจึงชวนหญิงสาวคุยต่อ “ช่วงเย็นผมจะมาดูแลห้องอาหารอยู่แล้วครับ ไม่ถือว่าต้องรออะไรเลย”
“แล้วคุณนทีดลล่ะคะ ไม่มาช่วยเลยเหรอ”เธอเสไปถามถึงเจ้าของรีสอร์ตซึ่งได้ยินเพียงแค่ชื่อแต่ไม่เคยได้พบเจอตัวจริงเลยสักครา “พี่ดลต้องดูแลผับในเมืองน่ะครับ จะไปที่นั่นเกือบทุกวันเพราะว่าเพื่อนๆพี่เขาเยอะ จริงๆพี่ดลเขาถนัดไปทางงานผับมากกว่างานรีสอร์ตก็เลยให้ผมคอยดูแลทางนี้แทน”
“ถนัดงานกลางคืนมากกว่างานกลางวัน มิน่าล่ะถึงได้ยินข่าวว่าเจ้าชู้เหลือเกิน”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ เพียงแต่พี่ดลเขามีคนเข้ามาในชีวิตเยอะ”นัยภาคแก้ลำแล้วจึงหยุดพูด ให้พนักงานนำอาหารจานใหญ่มาเสิร์ฟ
หลังจากนั้นเขาจึงผายมือพร้อมทั้งแนะนำอาหาร “นี่เป็นออร์เดิร์ฟเมืองครับคุณเอื้อง จะประกอบด้วยอาหารจำพวกไส้อั่ว จิ๊นส้ม แหนม น้ำพริกหนุ่ม หมูยอ สำหรับทานรองท้อง”
เอื้องลดาห่อปากทำตาโต เนื่องจากไม่ค่อยได้รับประทานอาหารพื้นเมืองทางเหนือบ่อยนัก “น่าอร่อยจังค่ะ”
“เอาไว้วันหลังผมจะพาคุณเอื้องไปทานแบบขันโตกที่ลานล้านนานครของรีสอร์ตเรานะครับ ที่นั่นจะเป็นลานระเบียงเหนือสวนดอกไม้ แต่วันนี้กลางวันฝนตก ผมก็เลยเลือกห้องอมรเชียงใหม่นี่แทน”
“ขอบคุณค่ะคุณนัย แต่จะว่าไปแค่ออร์เดิร์ฟก็เยอะจนเอื้องแทบจะอิ่มก่อนแล้วล่ะค่ะ พอดีช่วงเย็นๆเอื้องทานน้อยด้วย”
“โธ่ คุณเอื้องยังทานได้อีกเยอะครับ ไม่อ้วนหรอก”ผู้จัดการหนุ่มบอกอย่างเอาใจ
เอื้องลดายิ้มให้กับความปากหวานของเขา จากนั้นจึงก้มลงมองอาหารอีกหลายประเภทที่พนักงานเพิ่งนำมาเสิร์ฟบนโต๊ะ พร้อมเลือกรับประทานอย่างละนิดละหน่อยแล้วปิดท้ายด้วยผลไม้ก่อนที่จะถามถึงเรื่องที่ตนเองค้างคาใจ “ทำไมคุณนัยถึงอยากให้เอื้องไปสอบถามเรื่องเมื่อกลางวันนี้กับคุณพ่อของคุณนทีดลล่ะค่ะ”
“คุณลุงชัยพงษ์ท่านเป็นอาจารย์สอนประวัติศาสตร์ล้านนาครับ ที่สำคัญท่านศึกษาธรรมะแล้วก็นั่งวิปัสสนาด้วย ท่านน่าจะพอรู้เรื่องลี้ลับอยู่บ้าง”
“แปลว่าคุณนัยเชื่อมั่น ว่าเด็กผมจุกคนนั้นไม่ใช่คน”หญิงสาวถามพลางจ้องรอคำตอบอย่างจดจ่อ
นัยภาคพยักหน้า “ครับ ความเป็นไปได้มีสูงมาก เพราะไม่ใช่แค่คุณเอื้องคนเดียวที่เคยเห็นเด็กคนนั้น เรื่องเด็กชายหญิงในเมืองเก่าและเสียงสะล้อซอซึงน่ะ มีคนเล่าลือกันมานานแล้วครับ”
“แล้วคุณลุงของคุณเคยเล่าเรื่องนี้ให้คุณฟังบ้างไหมคะ”เอื้องลดาถามอย่างตื่นเต้น
ผู้จัดการหนุ่มหัวเราะแหะๆ ก่อนตอบ “ไม่เคยเล่าครับ แต่ผมเชื่อว่าคนที่เคยบวชจนได้มหาเปรียญอย่างคุณลุงชัยพงษ์จะต้องรู้เรื่องนี้มากกว่าคนทั่วไปอย่างแน่นอน”
หญิงสาวฟังจบจึงพยักหน้าคล้อยตาม “หวังว่าท่านจะกรุณาเอื้องนะคะ สองวันมานี้เอื้องได้ยินเสียงดนตรีพื้นเมืองและได้เห็นเด็กคนนั้นทั้งที่เป็นกลางวันแสกๆ ทำให้อยากรู้ว่าตัวเองทำอะไรไม่เหมาะไม่ควรหรือเปล่า ถึงมีสิ่งเหล่านี้มาหลอกหลอน”
นัคภาคพยักหน้า เขาเชื่อมั่นว่าคุณลุงของตนมีความเมตตากรุณากับทุกคน จึงไม่มีเหตุผลใดที่จะปฏิเสธการให้คำแนะนำแก่หญิงสาว
“ถ้างั้นรีบทานกันดีกว่าค่ะ เอื้องอยากพบท่านเหลือเกินแล้ว”
ผู้จัดการหนุ่มลงมือตักอาหารใส่จานของหญิงสาวแทนคำตอบรับ ด้วยหน้าที่ของผู้จัดการรีสอร์ตเขาพร้อมที่จะให้บริการดาราสาวอย่างเต็มที่ อีกทั้งนัยภาคนั้นรู้สึกเป็นมิตรกับเธอเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงทำให้การเทคแคร์แขกวีไอพีของรีสอร์ตในครั้งนี้เกิดขึ้นด้วยความเต็มใจ
-------------------------------------------------------------------------
รถเก๋งสีขาวจอดสนิทด้านหน้าเรือนไม้หลังใหญ่แล้วฝ่ายเจ้าของรถจึงเดินอ้อมมาเปิดประตูรถให้หญิงสาวชุดสีม่วงที่กำลังมองทัศนียภาพรอบกายอย่างตื่นตะลึง เปล่าหรอก...เอื้องลดาไม่ได้ตกใจกับความร่ำรวยของคนในคุ้มเวียงพิงค์ ทว่าสิ่งที่ทำให้เธออดตื่นเต้นไม่ได้ก็คือ ภาพบรรยากาศอันคล้ายกับหลุดมาจากยุคอดีตซึ่งหลอมรวมกันเป็นคุ้มแห่งนี้ จะว่าไปแม้เธอจะเคยถ่ายละครย้อนอดีตมาหลายต่อหลายเรื่อง แต่กลับไม่เคยมีสถานที่ใดดูมีมนตร์ขลังมากเท่ากับที่ได้เห็นกับตาในเวลานี้เลย
หญิงสาวสัมผัสได้ถึงไหนจะกลิ่นหอมอ่อนๆที่รวยรินมาตามสายลม เสียงดนตรีพื้นเมืองซึ่งเข้าใจว่าดังมาจากมุมใดมุมหนึ่งของบ้าน แล้วไหนจะของตกแต่งอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเกวียนซึ่งตั้งอยู่ด้านหน้าเรือนไทย ประทีปซึ่งแขวนอยู่ตามชายคา ธงสี่เหลี่ยมผืนผ้าซึ่งเรียกกันว่าตุงไจยก็ล้วนประดับประดาอยู่ทั่วอาณาบริเวณดูเข้มขลังสมกับเป็นคุ้มของสายเลือดเจ้าผู้ครองนครล้านนาอันยิ่งใหญ่
“กลิ่นดอกไม้แถวนี้หอมจังเลยนะคะ”หญิงสาวเอ่ยชมอย่างอดใจไม่อยู่
นัยภาคยังคงยิ้มน้อยๆตามแบบฉบับของเขาก่อนจะตอบ “กลิ่นดอกเอื้องน่ะครับ ย่างเข้าฤดูร้อนแล้วดอกเอื้องก็เริ่มบาน”
“สวย หอมอย่างนี้นี่เล่า เขาถึงได้บอกว่าดอกเอื้องเป็นสัญลักษณ์ของสาวเหนือ”เอื้องลดาเสริมขณะก้าวขึ้นบันไดไม้ตามหลานชายเจ้าของบ้าน
ร่างระหงก้าวพ้นธรณีประตูเข้ามาด้วยสีหน้าสดใส เอื้องลดารู้สึกประทับใจทุกสิ่งบนเรือนนี้อย่างบอกไม่ถูก โลกใหม่ที่ยังคงความโบร่ำโบราณเอาไว้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ช่างเป็นเสน่ห์ที่แสนจะตรึงตราตรึงใจอย่างเหลือเกิน
จังหวะเดียวกันนั้นถ้ามีใครสักคนสังเกตด้านล่างของเรือน คงมองเห็นดวงไฟสีเงินสองดวงพุ่งวาบลงมาที่ต้นมะม่วงแก้วข้างบันได และไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นดวงไฟดังกล่าวก็แปรสภาพเป็นร่างเล็กจ้อยของหมากแก้วและหมากคำ
“จะดีกาหมากคำ ถ้าพ่อปู่รู้เฮาสองคนจะต้องถูกลงโทษแน่ๆเลย”พี่ชายกังวล เพราะรู้ถึงความเด็ดขาดของพ่อปู่ของตนดี
“ดีกะเจ้าอ้ายหมากแก้ว ข้าเจ้าว่าพ่อพญาน่าจะจำน้าเอื้องของเฮาได้พ่องแล้ว ข้าเจ้าว่าเป็นโอกาสเหมาะแล้วที่จะช่วยให้เพิ่นได้ใกล้ชิดกัน “
หมากแก้วถอนใจขึ้นเฮือกใหญ่ และย่นคิ้วขณะถามน้องสาวอีกครั้ง “ใช้วิธีการอื่นบ่ได้กา การตะแหลงเป็นคนอื่นนี่มันยากนา”
หมากคำจึงส่งยิ้มฟันขาว ยกนิ้วชี้ข้างขวาขึ้นมาแกว่งเบาๆ “บ่ได้เจ้า นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว”
-------------------------------------------------------------------------
“คุณนทีดลสั่งไว้ว่า ถ้าคุณเอื้องมาถึงให้เชิญไปที่ห้องอาหารได้เลยเจ้า” สาวใช้วัยกลางคนเดินเข้ามาเชิญดาราสาวด้วยกิริยาสุภาพ “อ้อ คุณนัยก็มาโตย อย่างนั้นก็เชิญทั้งสองท่านเลยเจ้า”
“นี่หมายความว่า...”เอื้องลดาเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวเอาเองในใจ ว่านาถนรีคงจะลืมโทร.กลับมาปฏิเสธนทีดลให้เธอเป็นแน่ ทุกคนในบ้านจึงทำราวกับเธอมาตามที่นัดกับชายหนุ่มเอาไว้แบบนี้
“คุณดลรอคุณเอื้องเมินแล้วเจ้า ข้าเจ้าจะตักข้าวให้ก็บอกว่าให้รอคุณเอื้องมาถึงก่อน”สาวใช้สาธยาย “เชิญเจ้าเชิญ ทั้งคุณนัยและคุณเอื้องเลยเจ้า”
แต่ก่อนที่นัยภาคจะพาเอื้องลดาเดินเข้าไปตามคำเชื้อเชิญนั้น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นด้านล่าง
“คุณนัยครับ มีแขกต่อยกันที่ห้องอาหารของรีสอร์ตครับ”
นัยภาคจึงพรวดพราดเดินไปชะเง้อชะแง้อยู่เหนือประตูเรือน ก่อนตะโกนตอบเสียงดังระดับเดียวกันกับผู้ที่ยืนรออยู่ “แล้วตอนนี้เป็นยังไงบ้าง”
“รีบไปดูก่อนเต๊อะครับ จะใดค่อยว่ากัน”ชายกลางคนร่างใหญ่ตัดบท
ผู้จัดการหนุ่มจึงหันมามองเอื้องลดาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “คุณเอื้องตามนวลเข้าไปก่อนนะครับ ถ้าผมเคลียร์ปัญหาเสร็จแล้วจะรีบกลับมา”
“ได้ค่ะ”หญิงสาวรับคำด้วยความเข้าใจ จากนั้นจึงหันไปหาสาวใช้ชื่อนวล “จริงๆฉันมีธุระกับอาจารย์ชัยพงษ์จ๊ะ ท่านอยู่ไหม”
นวลส่ายหน้า “ท่านบ่อยู่เจ้า มีงานเลี้ยงที่มหาวิทยาลัย”
“อ้อ ถ้างั้นก็พาฉันไปพบคุณดลได้แล้วล่ะ”เอื้องลดาสั่งเสียงเรียบ
--------------------------------------------------------------------------------
ทันทีที่ร่างระหงก้าวผ่านกรอบประตูห้องอาหารเข้าไป ชายหนุ่มเจ้าของบ้านก็รีบกุลีกุจอลุกขึ้นต้อนรับ “เชิญครับคุณเอื้อง”
“ขอบคุณค่ะ”เธอเอ่ยขอบคุณเมื่อเขาเลื่อนเก้าอี้ให้ จากนั้นจึงนั่งลงอย่างระมัดระวังกิริยา
“ขอบคุณนะครับที่มาตามคำเชิญของผม”เขากล่าวพร้อมกับนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามผู้เป็นแขก
ว่าแล้วไหมล่ะ นาถนรีลืมปฏิเสธเขาแทนเธอจริงๆ
หญิงสาวยิ้มเจื่อนๆนึกละอายใจอยู่ไม่น้อย เมื่อรู้ว่าเขารอเธอจนเกือบทุ่ม แต่เมื่อมาถึงขั้นนี้แล้วก็คงต้องเลยตามเลยแล้วล่ะ “ต้องขอโทษที่ช้าค่ะ พอดีเอื้องติดธุระนิดหน่อย”
“ไม่เป็นครับ แค่คุณเอื้องมาผมก็ดีใจแล้ว ทานข้าวกันเลยดีกว่าครับ”เขาผายมือและสั่งสาวแม่บ้านด้วยท่าทางอารมณ์ดี “ตักข้าวได้แล้วนวล”
“เอ่อ คุณนทีดลคะ วันนี้เอื้องไม่ค่อยสบายน่ะค่ะ ไม่ค่อยหิว”
คิ้วเข้มขยับเข้าหากันจนชิด ดวงตาคมกริบมองเธออย่างห่วงใย “เป็นอะไรไปครับ ไปหาหมอก่อนดีไหม”
“ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกค่ะ แค่ปวดหัวนิดหน่อย”เอื้องลดารีบแก้ตัวก่อนเรื่องราวจะลุกลามใหญ่โต พร้อมหลุบตาลงต่ำเพื่อหลบสายตาอาทรของเขา
“ถ้างั้นเดี๋ยวผมให้แม่ครัวทำข้าวต้มให้ทานดีกว่านะครับ”
หญิงสาวส่ายหน้า “อย่าลำบากเลยค่ะ ถ้าคุณนทีดลจะกรุณาเอื้องขอเป็นผลไม้ดีกว่า เพิ่งทานขนมมาก่อนหน้านี้ด้วยน่ะค่ะ ตอนนี้เลยตื้อๆ”
เขายิ้มน้อยๆก่อนหันไปทางนวลที่รอรับใช้อยู่ไม่ไกล “นวลไปหาผลไม้มาให้คุณเอื้องนะ แล้วก็ขอน้ำส้มอีกแก้วนึงด้วย”
นวลรับคำก่อนเดินเร็วๆออกจากห้องไป ชั่วอึดใจนทีดลจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงค่อนข้างเบา “ที่ผมเชิญคุณเอื้องมาทานข้าวเย็นด้วยกันเพราะเหตุผล 2 ประการนะครับ หนึ่งอยากทำความรู้จัก สองผมมีธุระจะคุยด้วย”
ดาราสาวเงยหน้าขึ้นมองเขาตรงๆด้วยท่าทีสงสัยอย่างหนัก “คุยเรื่องอะไรคะ”
“เรื่องเมื่อกลางวันครับ ที่คุณเอื้องมองเห็นเด็กผู้หญิงผิวขาว ตัวเล็กๆหน้าแป้นๆเกล้าผมมวย สวมเสื้อผ้าฝ้ายและนุ่งผ้าซิ่นพื้นเมือง”
เอื้องลดามีท่าทางเกือบจะเรียกได้ว่าอ้าปากค้าง นึกแปลกใจที่เขาบอกลักษณะของเด็กน้อยได้แม่นยำนัก“ทำไมคุณถึงรู้...”
นทีดลหัวเราะในลำคอเบาๆ “ผมเองก็เคยเห็นหมากคำเหมือนคุณนั่นแหละ”
“หมากคำ”หญิงสาวทวน
“ครับ เด็กคนนั้นชื่อหมากคำ”
โทรศัพท์มือถือของนทีดลแผดเสียงลั่นขัดจังหวะ ชายหนุ่มจึงเอ่ยคำขอโทษแล้วลุกขึ้นเลี่ยงไปยืนคุยอยู่มุมหนึ่งของห้อง พร้อมๆกับที่นวลนำผลไม้มาเสิร์ฟพอดี เอื้องลดาจึงให้ความสนใจกับผลไม้ตรงหน้ามากกว่าบุรุษที่กำลังกรอกเสียงทักทายบุคคลในโทรศัพท์ “สวัสดีครับลิลลี่”
“วันนี้พี่ดลไม่มาที่ผับเหรอคะ ลิลลี่มารอตั้งนานแล้ว พอไปถาม ผู้จัดการก็บอกว่าวันนี้พี่จะไม่เข้ามา”น้ำเสียงบอกเล่ายังคงเรียบนิ่งโดยเจ้าตัวพยายามฝังกลบความหงุดหงิดเอาไว้ภายใน
“ครับ วันนี้พี่ติดธุระ ว่าแต่ลิลลี่มีอะไรหรือเปล่าถึงอยากเจอพี่น่ะ”
“ก็ ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ แค่ลิลลี่เบื่อโรงแรม อยากย้ายไปพักที่รีสอร์ตพี่ดลมากกว่า จะได้ใกล้สถานที่ถ่ายทำ ด้วย ลิลลี่เหนื่อยกับการเดินทาง”
“ถ้างั้นพรุ่งนี้พี่จะให้เจ้าหน้าที่จัดเตรียมที่พักไว้ให้”เขารับปากอย่างง่ายดาย ไม่เซ้าซี้ถาม
“ขอบคุณค่ะพี่ดล ถ้างั้นพรุ่งนี้เจอกันนะคะ”บอกสิ่งที่ต้องการเสร็จแล้ว หญิงสาวก็วางสายไป เมรินไม่ต้องการให้เขาเข้าใจว่าเธอเป็นคนจุกจิก น่ารำคาญ ด้วยรู้ว่านทีดลเป็นคนที่รักอิสระและไม่ต้องการให้ใครมาควบคุม
ฝ่ายนทีดลนั้น เมื่อจบธุระส่วนตัวแล้วเขาจึงยัดโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกงและเดินกลับมายังโต๊ะอาหารอีกครั้ง แต่กลับพบว่านัยภาคเองก็กำลังเดินเข้ามาในห้องอาหารด้วยเช่นเดียวกัน
“อ้าว ไปไงมาไงล่ะนัย”
“ผมมารอบนึงแล้วฮะพี่ดล แต่พวกพนักงานมาตามให้ไปจัดการกับแขกที่ทะเลาะกันที่ห้องอาหารน่ะครับ”
“นั่งลงก่อนค่อยเล่า”พี่ชายลากเก้าอี้ให้ผู้มาใหม่และนั่งลงพร้อมๆกัน “แล้วตอนนี้สถานการณ์ทางนั้นเป็นยังไงบ้างล่ะ”
“พอผมไปถึงก็ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้น แถมพนักงานที่มาตามก็หายจ้อยไปเลย ไม่เข้าใจว่าจะโกหกเพื่ออะไร ถ้าจับได้จะเตะให้ขาเดี้ยงเลยเชียว”นัยภาคบ่นด้วยอารมณ์กรุ่นๆ
เอื้องลดามองหน้าคนพูดพลางกลั้นยิ้ม ตั้งแต่พบกัน เธอชื่นชมว่าชายหนุ่มเป็นคนใจเย็นและยังไม่เคยเห็นเขาแสดงอาการหงุดหงิดใส่ใครเลยสักครั้ง เพิ่งจะมีวันนี้แหละ
“แต่แปลกนะฮะ ผมไม่เคยเห็นหน้าพนักงานคนนั้นมาก่อนเลย”
“อ้าว แล้วรู้ได้ยังไงคะว่าเป็นพนักงานของรีสอร์ต”หญิงสาวคนเดียวในห้องเอ่ยถาม
“ก็เจ้านั่นใส่ยูนิฟอร์มของรีสอร์ตเรานี่ฮะ”
“จะเป็นไปได้ไหมคะ ว่าเป็นการอำเล่น”
นทีดลทำท่าคิดก่อนพูดตัดบทเสียดื้อๆ “ทานข้าวกันก่อนลดีกว่าครับ เดี๋ยวอาหารเย็นชืดไปจะเสียรส นัยทานข้าวให้เต็มที่ อย่ามัวหงุดหงิด บางทีอะไรๆมันอาจจะไม่ใช่อย่างที่เราคิดก็ได้”
---------------------------------------------------------------------------------------------------
ดวงตากลมโตจ้องมองร่างสูงใหญ่ที่หดเล็กลงจนกลายเป็นร่างพี่ชายแล้วจึงหัวเราะด้วยความขำขัน “เมื่อกี้อ้ายหมากแก้วเหมือนผู้ใหญ่มากเลยเจ้า สมควรแล้วที่ข้าเจ้าให้อ้ายไปหลอกน้องชายของพ่อพญา”
“พ่อปู่สั่งอยู่ตลอดว่าบ่ให้เฮาผิดศีล หมากคำก็ยังบ่เชื่อฟัง”คนเป็นพี่บ่นด้วยเสียงดุ หมากแก้วและหมากคำนั้นแม้จะอยู่ในร่างของเด็กน้อยวัยไม่ถึงสิบขวบ ทว่าดวงวิญญาณทั้งสองก็ผ่านวันผ่านกาลมาเนิ่นนานเหลือเกินแล้ว การมองเห็นการเกิดและดับของผู้คนจากรุ่นสู่รุ่น จึงทำให้ความคิดของสองพี่น้องลุ่มลึกมากกว่าเด็กโดยทั่วไป
หลังต่างฝ่ายต่างเงียบ เด็กหญิงก็แสร้งถอนหายใจดังๆ แล้วจึงเงยหน้ามองพี่ชายด้วยแววตาใสแจ๋วประดุจแก้วมณี “น้องแค่ต้องการให้พ่อพญาและน้าเอื้องของเฮาได้ใกล้ชิดกัน เฮาบ่ได้ทำสิ่งเลวร้าย เฮาทำความดีต่างหาก”
สิ้นคำเด็กหญิง สายลมก็พัดกรรโชกแรงขึ้นจนต้นไผ่เสียดสีกันดังเอียดอาด ดอกสีชมพูอ่อนของต้นฉำฉาร่วงหล่นโปรยปรายท่ามกลางความมืด ชั่วครู่ร่างสันทัดของผู้มีหลังไหล่ลู่ค้อมตามวัยก็ปรากฏขึ้น
หมากคำเห็นดังนั้นจึงปรายตามองพี่ชายก่อนจะขยับเข้าไปใกล้ หมากแก้วจึงแก้ไขสถานการณ์ด้วยการยิ้มเผล่ให้ผู้เป็นปู่ ก่อนจะแก้ตัว“หันว่าพ่อปู่นั่งสมาธิอยู่เฮาสองคนก็เลยออกมาแอ่วเล่นเจ้า”
ชายชราในชุดขาวก้มลงมองหลานทั้งสองนิ่ง หมากคำเริ่มร้อนตัวขยับเข้าไปชิดหลังพี่ชายมากยิ่งขึ้น ขณะที่หมากแก้วนั้นยังคงยืนนิ่งทำเป็นทองไม่รู้ร้อน
“สูเจ้าไปไหนมากัน” น้ำเสียงแหบแห้งถามอย่างปกติไร้ร่องรอยแห่งการตำหนิ
หมากคำค่อยใจชื้นขึ้น จึงเดินเข้าไปหาผู้เป็นปู่เพื่อเกาะชายผ้าสีขาวรุ่ยร่ายนั่นไว้เป็นเชิงประจบ “ก็เดินไปเรื่อยๆเจ้า”
พ่อปู่อินถาเปล่งเสียงหัวเราะชอบใจกับคำตอบอ้อมโลกของหลานสาวก่อนดักคอ “เดินวไปเรื่อยๆจนถึงคุ้มของพ่อพญาแม่นก่อหมากคำ”
หมากคำหัวเราะแหะๆ มองพี่ชายตาแป๋วเป็นสัญญาณให้ช่วยแก้ไขสถานการณ์ หมากแก้วจึงยิงคำถามกลบเกลื่อน “พ่อปู่มาโตยหาเฮาสองคนกาเจ้า”
“แม่นละ ปู่มีเรื่องจักสั่งเจ้าทั้งสอง”
“เรื่องใดกันเจ้า”หมากแก้วถาม ดวงตาของเด็กน้อยฉายแววกระตือรือร้นและใคร่รู้ผสมผสานกันไป
“เจ้าทั้งสองคงได้ปะหน้าน้าเอื้องฟ้าของเจ้าแล้ว”
ดวงหน้าเล็กๆของทั้งคู่พยักขึ้นลงหงึกหงัก
“ต่อไปนี้เจ้าทั้งสองจงคอยดูแลน้าเอื้องฟ้าให้ดี”
“แสดงว่าถึงเวลาแล้ว”หมากพูดตามที่เคยได้ฟังมา
ผู้เป็นปู่ถอนหายใจเบาๆก่อนพยักหน้า “เวียนมาถึงวาระอันมีดวงชะตาเป็นตัวกำหนดชีวิตแล้ว แต่ด้วยความผูกพันก่อนเก่า ทำให้หมู่เฮาต้องคอยช่วยเหลือนาง เจ้าสองตนก็มีหน้าที่ของตัวเอง ส่วนปู่ก็มีหน้าที่ของปู่เช่นกัน”
แม้ไม่ค่อยเข้าใจถ้อยคำของผู้ชรานักแต่เด็กน้อยทั้งสองก็รับคำแต่โดยดี น้าเอื้องฟ้าเป็นน้าสาวที่ทั้งสองรักใคร่ คำสั่งของผู้เป็นปู่จึงเป็นเรื่องที่หมากแก้วและหมากคำเต็มใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
ดวงตาภายใต้เปลือกตาอันเหี่ยวย่นเหม่อมองไปยังคุ้มเวียงพิงค์อย่างแน่วแน่
วันเวลาที่เวียนมาบรรจบอาจทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายได้ไม่จบสิ้น ทั้งนี้ก็ล้วนแล้วแต่เกิดจากเวรกรรมที่มนุษย์สั่งสมเอาไว้แต่ก่อนเก่า เหตุการณ์ทุกอย่างจึงเป็นไปตาม วาระแห่งกรรม อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แม้คนผู้นั้นจะสูงส่งเพียงใดก็ตาม
ตอบคอมเมนท์นะคะ (เพิ่งรู่้ว่าต้องมาตอบตอนใหม่ อิอิ)
พันธุ์แตงกวา : ขอบคุณค่า ตามพี่แก้วมาน่ะค่ะ
ดังปัณณ์ : ยังไม่ปรากฎว่าเป็นลูกใคร แต่ต่อไปแล้วแต่คนอ่านจินตนาการเองเลยจ้ะ
วิรัตต์ยา : ขอบคุณค่า มาช่วยเจิม
สาริน : แอบเห็นว่าลงละ เดี๋ยวตามไปอ่าน
nasa : นัยภาคไม่ใช่ตัวโกงค่า
เบญจามินทร์ : เค้าอ่านเป็นละ ขอบคุณค่าพี่เดล
ผู้หญิงเลือดเย็น
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 14 ม.ค. 2557, 07:02:25 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 14 ม.ค. 2557, 07:07:28 น.
จำนวนการเข้าชม : 1542
<< บ่วงสัญญา | คนละภพ >> |
อสิตา 14 ม.ค. 2557, 09:04:12 น.
เพิ่งเห็นว่ามาลงด้วย
ยังจำได้ว่าเรื่องนี้มีกลอนประกอบที่เพราะมาก รอจะอ่านอีกครั้ง
เพิ่งเห็นว่ามาลงด้วย
ยังจำได้ว่าเรื่องนี้มีกลอนประกอบที่เพราะมาก รอจะอ่านอีกครั้ง
ดังปัณณ์ 14 ม.ค. 2557, 12:59:29 น.
อ่ะ ฮั่นแน่ะ คุณดล แอบปิ๊งป๊างแล้วอ่ะดี๊ พี่ฟ้า สองหนูวิญญานนี่ ยังน่ารักเหมือนเคยนะค้า อิๆ
อ่ะ ฮั่นแน่ะ คุณดล แอบปิ๊งป๊างแล้วอ่ะดี๊ พี่ฟ้า สองหนูวิญญานนี่ ยังน่ารักเหมือนเคยนะค้า อิๆ
เบญจามินทร์ 14 ม.ค. 2557, 18:30:33 น.
มีกามเทพน้อยก็ดีอย่างนี้แหล่ะ ไว้เข้าหน้าร้อนดอกเอื้องบานต้องลองไปดมกลิ่นซะหน่อยแล้ว ไม่เคยดมดูว่าหอมขนาดไหน ^^
มีกามเทพน้อยก็ดีอย่างนี้แหล่ะ ไว้เข้าหน้าร้อนดอกเอื้องบานต้องลองไปดมกลิ่นซะหน่อยแล้ว ไม่เคยดมดูว่าหอมขนาดไหน ^^
ผู้หญิงเลือดเย็น 14 ม.ค. 2557, 20:44:55 น.
อยากตอบในกระทู้นี้จัง ต้องไปรอตอบบทหน้า นานไป ๕๕๕
อยากตอบในกระทู้นี้จัง ต้องไปรอตอบบทหน้า นานไป ๕๕๕
nasa 15 ม.ค. 2557, 14:52:51 น.
ดูท่าตัวไม่ดีจะเป็นยัยดาราคนนั้นที่จะมาทำให้คู่เค้าแตกกัน แต่มีกองเสริมดูโอคอยช่วย คงไม่เกิดอะไรร้ายมากมั้ง
ดูท่าตัวไม่ดีจะเป็นยัยดาราคนนั้นที่จะมาทำให้คู่เค้าแตกกัน แต่มีกองเสริมดูโอคอยช่วย คงไม่เกิดอะไรร้ายมากมั้ง