หวานเล่ห์เสน่หา (เปลี่ยนชื่อเรื่องจากมนต์รักไผทค่ะ)
เรื่องราวของวิศวกรสาวกับชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของเกาะ เส้นทางของทั้งคู่ไม่น่าจะมาพบกันได้ แต่กามเทพก็แผลงศรให้คนที่ไม่รู้จักมักคุ้นกันเลย ต้องมามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งอย่างไม่ตั้งใจ เรื่องราวทุกอย่างจบลงเพียงแค่คืนนั้น...หากเมื่อคู่กันแล้วต่อให้ห่างไกลกันสักเพียงไหน เมื่อถึงเวลาคนสองคนก็ต้องโคจรกลับมาพบกันอยู่ดี และการพบกันในครั้งนี้จะสร้างความรักให้เกิดขึ้นได้หรือไม่ ไปช่วยกันลุ้นค่ะ
Tags: เกาะ

ตอน: บทที่ 6

บทที่ 6

“ใจดำงั้นหรือ เขาน่ะหรือใจดำ คนที่ใจดำน่ะ น่าจะเป็นยัยเมียเก็บตกของเขามากกว่า นอกจากได้ตัวเขาแล้วไม่คิดจะรับผิดชอบ ยังปกปิดเรื่องลูก แถมยังคิดจะพาลูกหนีไปจากเกาะอีก” ไผทบ่นพึมพำอย่างไม่พอใจเมื่อนึกถึงคำพูดของนายทหารเรือ

ชายหนุ่มก้มมองกีตาร์ในมือ ของที่ระลึกจากเมียเก็บตกที่เขาไม่ได้ใส่ใจนัก แค่เห็นมันอยู่ในรถ เขาก็นำมันขึ้นไปเก็บบนคอนโด ปล่อยมันตามยถากรรม จนกระทั่งคณิตามาทำงานที่เกาะ ความสงสัยใคร่รู้เรื่องราวต่างๆ โดยเฉพาะเด็กหญิงที่คาดว่าน่าจะเป็นลูกสาวของเขา นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการสืบประวัติ รวมถึงการนำเครื่องดนตรีราคาไม่แพงกลับมาที่เกาะเช่นเดียวกัน เพียงแต่มันยังไม่ได้คืนกลับสู่อ้อมกอดของผู้เป็นเจ้าของ

สามปีกว่ากับการห่างลูกห่างเมีย มันนานเกินไปแล้ว ต่อไปนี้เขาจะเดินหน้าตามแบบฉบับของเขา ดูสิยัยเมียเก็บตกจะหนีพ้นหรือเปล่า ความรักมันอาจจะยังไม่ได้เกิด แต่ก็คงไม่ยากที่จะเกิด ในเมื่อเขายังไม่มีใครที่หมายปอง ในขณะที่เธอก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่อะไร ความสามารถก็มีอยู่พอตัว ผู้หญิงแกร่ง ผู้หญิงเก่ง ไม่มีข้อด้อยกว่าผู้หญิงคนอื่นเลยแม้แต่น้อย และที่สำคัญเธอเป็นแม่ของลูก ไม่จำเป็นต้องตรวจดีเอ็นเอ ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์อะไรอีก ในเมื่อประวัติของเธอในช่วงเวลาตั้งแต่เจอกันครั้งแรกจวบจนวันนี้ ไม่มีใครสักคนที่จะเป็นพ่อของเด็กน้อยคนนั้นได้นอกจากเขา ดังนั้นปฏิบัติการล่าหัวใจสองแม่ลูกควรเริ่มต้นได้แล้ว และงานนี้ต้องทำสำเร็จเท่านั้น

ไผทวางกีตาร์บนเตียงนอน ส่วนตัวเองก็ลุกเดินมารับลมที่ระเบียงห้องนอนฝั่งหน้าบ้าน ในบริเวณรั้วรอบขอบชิด กินพื้นที่เกือบสองไร่ เป็นที่ตั้งของบ้านห้าหลัง บ้านสองชั้นสามหลังเรียงเป็นระนาบเดียวกัน ส่วนบ้านชั้นเดียวสองหลังปลูกต่อกันเป็นแนวตั้งฉากกับบ้านสองชั้น บ้านของเขาตั้งอยู่ฝั่งซ้าย บ้านของน้องสาวอยู่ตรงกลาง ตามด้วยบ้านของน้องชาย ส่วนบ้านชั้นเดียวสองหลัง เขาปลูกไว้รับรองเพื่อนสนิทมิตรสหาย ยามมาเยี่ยมเยือนถึงถิ่น แต่บัดนี้บ้านที่ติดกับบ้านของน้องชายถูกจับจองโดยเมียเก็บตกกับลูกสาวตกสำรวจของเขาเรียบร้อยแล้ว

ชายหนุ่มยืนมองบ้านหลังที่สี่ที่ไร้แสงไฟอยู่ครู่ใหญ่ ก็ตัดสินใจกลับเข้าไปด้านใน พรุ่งนี้เขายังมีหน้าที่รับรองแขกกิตติมศักดิ์อีกหนึ่งวัน จัดการเรื่องงานเสร็จเรียบร้อยเมื่อไหร่ เขาจะปฏิบัติการล่ารักในทันที ส่วนเวลานี้คงต้องนอนพักผ่อนเก็บแรงเอาไว้เผชิญกับสิ่งจะเกิดขึ้นในอนาคต


แสงของวันใหม่ค่อยๆ ลามเลียไปทั่วท้องฟ้า เริ่มจากริมขอบฟ้าฝั่งตะวันออก แสงสีทองทยอยกลืนกินท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้มเหลือบดำ นกน้อยที่อาศัยร่มเงาไม้ใหญ่ภายในอาณาเขตส่วนตัวของพี่น้องสกุลหยางลิ่วเจริญวงศ์ เริ่มส่งเสียงจอแจ ปลุกคนทุกบ้านให้ตื่นจากนินทา

“น้องนาฏขา ตื่นได้แล้วค่ะ เช้านี้เรานัดกับน้าน๊อตจะไปทานข้าวต้มปลาไม่ใช่หรือคะ” คณิตาเขย่าตัวลูกสาวเบาๆ หลังจากที่พยายามเรียกแล้ว เด็กหญิงก็หันหน้าหนี ซุกตัวในผ้านวม แก้มยุ้ยๆ เบียดกับหมอนหนุน ปกติเจ้าตัวเล็กไม่ใช่เด็กปลุกยาก หากแต่เมื่อคืนกว่าจะกลับถึงที่พักก็ผิดเวลานอนไปมาก

“แต่หนูง่วงนอน” เด็กหญิงตอบเสียงอู้อี้ กดแก้มลงบนหมอน หลีกหนีเสียงรบกวนของบุพการี

“ถ้าอย่างนั้นแม่โทรบอกน้าน๊อตว่าหนูจะนอน ไม่ไปหาน้าน๊อตแล้ว โอเคไหมคะ”

“ไม่เคค่าป้อ”

“เฮ้อ!” ทั้งที่เธอแทนตัวเองว่า ‘แม่’ ทุกคำ แต่ทำไมลูกสาวกลับไม่ซึมซับคำนี้เลย ยังคงเรียกเธอว่า ‘ป้อ’ ได้ทุกคำเช่นเดียวกัน ไม่เข้าใจจริงๆ เวรกรรมอะไรของเธอล่ะนี่

“ป้อเป็นอะไรคะ” เด็กน้อยขยับตัวลุกขึ้น มือเล็กๆ ถูตาไปมาอย่างงัวเงีย

“เป็นแม่หนูไงคะ เมื่อไหร่หนูจะยอมเรียกแม่ว่าแม่สักที” คณิตาถามลูกไปอย่างนั้นเอง ไม่คิดว่าจะได้คำตอบ หรือคิดว่าลูกจะเข้าใจทุกประโยคที่เธอพูด และเมื่อเห็นลูกมองตาแป๋ว เธอก็ได้แต่ถอนใจ แล้วชักจูงลูกไปเรื่องอื่น สักวันลูกต้องรับรู้ในสิ่งที่ถูกต้อง ไม่จากตัวเธอก็จากโรงเรียนที่ไปอยู่เกือบทุกวัน

“ไปอาบน้ำกันดีกว่าค่ะ ป่านนี้น้าน๊อตรอแย่แล้ว” แล้วคำว่ารอแย่แล้ว ก็ทำให้เจ้าตัวเล็กกระโดดเกาะคอผู้เป็นแม่ เร่งยิกๆ ไม่อยากให้คุณน้าสุดที่รักรอนาน

วันนี้คณิตาถักเปียเก็บผมนุ่มของลูกสาวไว้บนศีรษะทั้งหมด เพื่อไม่ให้ระหน้าระตายามเล่นน้ำทะเล ท่าทางแช่มชื่นบวกกับแววตาตื่นเต้นที่จะได้ลองของใหม่ เนื่องจากวันนี้กรีฑาสัญญาว่าจะพาหลานนั่งเจ็ตสกีและจะพาล่องห่วงยางไปกลางทะเล ดังนั้นเมื่อปิดประตูบ้านเรียบร้อย เด็กหญิงที่อยู่ในชุดเสื้อยืดกระโปรงระบายสามชั้น รองเท้าแตะสวมสบาย กับผู้เป็นแม่ที่สะพายกระเป๋าเป้ซึ่งบรรจุสัมภาระของเจ้าตัวน้อย เดินจูงมือไปตามถนนก่อนจะถึงประตูรั้วกั้นอาณาจักรแห่งนี้

“จะไปไหนกันแต่เช้า” เดินเลยจากหน้าบ้านของตนไม่เกินสามก้าว รถกอล์ฟไฟฟ้าก็จอดเทียบ พร้อมกับเสียงทุ้มเอ่ยถามห้วนๆ

“นัดต้นกลไว้ที่รีสอร์ตค่ะ” คณิตาตอบ

“ฉันจะไปที่รีสอร์ตพอดี ไปด้วยกันสิ” ไผทเอ่ยชวนเสียงเรียบ

“คงไม่รบกวนคุณไผท เดี๋ยวดิฉันกับลูกนั่งรถรางไปสะดวกกว่า” หญิงสาวรีบปฏิเสธ

“อย่าเรื่องมากน่า บอกให้ไปด้วยกันก็ไปด้วยกันสิ หรือต้องให้ฉันออกคำสั่งในฐานะนายจ้าง” ชายหนุ่มออกเสียงกรรโชกนิดๆ

“นี่แน่ะ อย่าดุป้อหนูนะ” เด็กน้อยปล่อยมือจากผู้เป็นแม่ ตรงเข้าไปตีขาของคนที่นั่งอยู่บนรถ ทำหน้ามุ่ยใส่ ภาพนั้นทำเอาคณิตาผวา ลูกจ๋าจะทำแม่ตกงานให้ได้เลยใช่ไหมลูก

“น้องนาฏ ทำแบบนี้ไม่ดีนะคะ ลุงไทยเป็นผู้ใหญ่ หนูตีลุงไทยแบบนั้นไม่ได้ ขอโทษลุงไทยสิคะ” คณิตารีบเข้าไปฉุดลูกสาวที่ยังตีไผทอีกหลายที พร้อมกับสอนอย่างใจเย็น ทั้งๆ ที่ใจร้อนเป็นไฟ กลัวผู้ชายตรงหน้าจะแปลงเป็นยักษ์

“ก็ลุงไทยดุป้อก่อนนี่คะ” เด็กน้อยเถียงหน้ายุ่ง ในขณะที่คนถูกทำร้ายมองคนเป็นลูกด้วยแววตาเอื้อเอ็นดู รักแม่มากเสียด้วย

“ช่างเถอะ ฉันคงทำเสียงแข็งไปหน่อย ถ้ายังไม่อยากให้ฉันมีข้อพิพาทกับลูกสาวเธออีกก็รีบขึ้นรถมา ใกล้เวลาที่ฉันนัดคุณกวางเอาไว้แล้ว” ชายหนุ่มบอกกับแม่ของเด็กด้วยสีหน้าเรียบเฉย ดวงตาก็มิได้ส่อแววใดๆ ให้เห็น

“ขอบคุณค่ะ” คณิตาไม่คิดจะปฏิเสธให้เกิดเรื่องอีก รีบขึ้นไปนั่งข้างคนขับ โดยมีลูกสาวนั่งหน้าบูด กอดอกเล็กๆ อย่างขัดใจ

“ไปโรงเรียนหลายเดือนแล้ว ทางโรงเรียนยังสอนให้เด็กลำดับญาติให้ถูกต้องไม่ได้อีกหรือ สงสัยต้องคุยกับยัยพุทธสักหน่อยแล้ว” ไผทเปรยขึ้นแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย แต่คณิตาก็เข้าใจได้ไม่ยาก

“เด็กเตรียมอนุบาลนะคะ สอนอะไรมากก็คงไม่ได้ อีกอย่างดิฉันคิดว่ามันอยู่ในช่วงปรับตัวของลูกสาวค่ะ แกแปลกทั้งถิ่น แปลกทั้งภาษา เด็กส่วนใหญ่ที่คลุกคลีอยู่ด้วย เวลาพูดคุยกันเองก็มักจะใช้ภาษาถิ่น ดิฉันเองยังไม่เข้าใจทุกคำ สำหรับลูกก็คงยากที่จะเข้าใจ แค่แกไม่ถูกรังแกจากเด็กที่โตกว่าเหมือนช่วงแรกๆ ก็ดีแล้วค่ะ” คณิตาลูบศีรษะเล็กๆ ด้วยความรัก

“รังแกงั้นหรือ ใครทำอะไร” ไผทถามอย่างข่มอารมณ์ ใครบังอาจมารังแกลูกสาวเจ้าของเกาะ สงสัยต้องพูดคุยกับน้องสาวให้รู้เรื่อง คุมเด็กยังไงให้ทะเลาะกัน

“เอ่อ...ไม่มีอะไรหรอกค่ะ” คณิตาปฏิเสธไม่เต็มเสียง และนึกโทษตัวเองที่หลุดปากพูดอะไรออกไป

“เธอจะบอกกับฉัน หรือจะให้ฉันไปถามคนอื่น ถ้าฉันรู้เอง เรื่องมันอาจจะไม่จบง่ายๆ นะ” ไผทขู่คนนั่งข้างอีก

“เฮ้อ! ดิฉันคิดว่าเด็กคงได้ยินมาจากพ่อแม่ว่าน้องนาฏเป็นลูกสาวนายศิลป์ จะมาแย่งความรักของน้องเพลง ทำให้คุณเพียงเสียใจและร้องไห้ แรกๆ ก็แค่ล้อว่าน้องนาฏเป็นลูกที่พ่อไม่รัก พ่อไม่ต้องการ แต่คุณก็รู้ว่าน้องนาฏเข้าใจว่าดิฉันเป็นพ่อ ครั้งแรกก็เถียงว่าแกมีพ่อ และพ่อก็รักแกมาก พอเด็กๆ รู้ว่าใครที่แกเรียกว่าพ่อ ก็ล้อแกอีกว่าเป็นเด็กสติไม่ดี บ้างก็แกล้งเอาไม้มาเขี่ย มาแหย่ เห็นตัวแค่นี้เวลาไม่พอใจก็สู้ยิบตาค่ะ ครั้งสุดท้ายนี่แย่หน่อยตรงที่เจ้าตัวเล็กนี่รำคาญกระโดดกัดแขนนักเรียนรุ่นพี่คนหนึ่ง กลายเป็นเรื่องเป็นราว ดิฉันก็คิดว่าคงต้องกลับบ้านแล้ว เพราะพ่อแม่เด็กเอาเรื่อง แต่คุณพุทธก็จัดการเรื่องทุกอย่างให้อย่างยุติธรรม และดิฉันก็เป็นคนบอกคุณพุทธเองว่าให้เรื่องจบแค่นั้น เพราะทางโรงเรียนก็ได้ทำทัณฑ์บนเด็กนักเรียนคนนั้นไปแล้ว ถือว่าเป็นเรื่องเด็กๆ ทะเลาะกัน ถ้าจะมีใครผิดก็คงเป็นน้องนาฏที่บังเอิญหน้าเหมือนน้องเพลงก็เท่านั้น” คณิตาตัดสินใจเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในสัปดาห์แรกที่ลูกสาวไปโรงเรียน แต่หลังจากนั้นทุกอย่างก็เข้าสู่ภาวะปกติ เธอจึงไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้อีก

“ต้นกลเล่าว่าเธอตัวคนเดียว มีบ้านอยู่ที่กรุงเทพ เธอมาทำงานที่นี่ แล้วบ้านล่ะ” ไผทชื่นชมนาฏศิลป์อยู่ในใจ อย่างน้อยลูกสาวเขาก็กล้าหาญชนิดเชื้อไม่ทิ้งแถว ไม่ยอมให้ใครมารังแกง่ายๆ เขาก็จะถือว่าเรื่องนี้จบไป เมื่อจบเรื่องของลูกสาว เขาก็อยากรู้เรื่องเมียเก็บตกบ้าง

“ปิดไว้เฉยๆ ค่ะ จะปล่อยให้เช่าก็กลัวว่าหากต้องกลับไปจะไม่มีที่อยู่”

“สามีของเธอไปไหนเสียล่ะ ทำไมถึงปล่อยให้ลูกเมียอยู่กันตามลำพังแบบนี้” ไผทเหล่ตามอง จับสังเกตคนถูกถามที่ชะงักไปนิดนึ่ง

“ถ้าหากลำบากใจไม่ต้องตอบก็ได้ ฉันขอโทษที่ถามอะไรละลาบละล้วงไปหน่อย”

“ไม่เป็นไรค่ะ เราไม่ได้อยู่ด้วยกันค่ะ เขาไม่รู้ว่าดิฉันมีน้อง”

“แล้วเธอไม่คิดจะบอกพ่อของเด็กหรือ หรือว่าไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อของเด็ก” คณิตามองหน้าคนถามตาขุ่นที่เขาดูถูกว่าเธอเป็นผู้หญิงส่ำส่อน
“ดิฉันไม่ใช่ผู้หญิงใจง่าย มั่วไปทั่ว ถึงไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อของลูก แต่ที่คิดว่าไม่บอกน่าจะดีกว่า เรื่องของเรามันเป็นแค่ความผิดพลาดในอดีต และดิฉันคิดว่าดิฉันเลี้ยงลูกให้ดีได้” หญิงสาวตอบเสียงแข็ง คอเชิด วางท่าอย่างไว้ตัว และพยายามกลั้นความรู้สึกเสียใจให้กลับเข้าไปอยู่ในส่วนลึกของจิตใจ

“ถ้าเขารู้ขึ้นมาและอยากจะรับผิดชอบ เธอจะว่ายังไง จะยังยืนยันที่จะเลี้ยงลูกเองหรือเปล่า”

“ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ เพราะดิฉันไม่เคยคิดถึงเรื่องที่มันเป็นไปไม่ได้”

“ดูเธอจะมั่นใจนะว่าพ่อของเด็กจะไม่ปรากฏตัวขึ้น” ไผทกระตุกมุมปากขึ้นเพียงนิด เหมือนยิ้มเยาะ

“ไม่ใช่หรอกค่ะ แค่ดิฉันอยากบอกคุณไผทว่า ไม่ว่าพ่อของน้องนาฏจะปรากฏตัวหรือไม่ มันก็ไม่มีผลกับการเลี้ยงดูลูกของดิฉัน เพราะไม่ว่าจะมีเขาหรือไม่มี ดิฉันก็ตั้งใจจะเลี้ยงลูกให้ดีที่สุด” คณิตาย้ำแต่ละประโยคด้วยความหนักแน่น เธอรับรู้ถึงกลิ่นอายความไม่ชอบมาพากลของคนขับ ปกติเขาแทบจะไม่อยากเสวนากับเธอด้วยซ้ำ แต่วันนี้เขาวนเวียนอยู่กับเรื่องราวของเธอกับลูกจนน่าแปลกใจ

“ฉันขอชื่นชมความคิดของเธอนะ อย่างแรกไม่มีพ่อของเด็ก เธอก็ไม่คิดจะทำลายเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเอง สามปีที่เธอเลี้ยงดูลูกเพียงลำพัง มันเป็นอะไรที่น่ายกย่อง ถึงแม้จะมีบางเรื่องที่ฉันรู้สึกว่าเธอล้มเหลวอย่างแรงในการเลี้ยงเด็ก คงไม่ต้องบอกนะว่าเรื่องอะไร เอาล่ะถึงแล้ว ขากลับถ้าจะกลับพร้อมกันก็มารอแถวนี้ล่ะ” ไผทตัดบทจบการสนทนาง่ายๆ ด้วยการดับเครื่องยนต์ เดินลงจากรถอย่างไม่ใส่ใจแม่ลูก ทำให้คณิตาอึ้งและมึนงง ไม่เข้าใจการกระทำของหัวหน้าเผ่าเลยจริงๆ


ความตั้งใจเดิมมีอันต้องโยนทิ้งไปอีกครั้ง เมื่อแขกกิตติมศักดิ์ของเจ้านายและแขกคนสนิทของเธอ ต้องเดินทางกลับขึ้นฝั่งในเวลาเดียวกัน เป็นเหตุให้ท่านหัวหน้าเผ่าผู้ใจดีอยู่เป็นนิจ ตามคำบอกเล่าของคนบนเกาะ ชักชวนให้นายทหารหนุ่มเดินทางไปพร้อมกัน ทำให้เธอต้องอาศัยรถกอล์ฟเจ้านายเป็นครั้งที่สองของวัน

“ดูแลตัวเองดีๆ ล่ะเลข มีอะไรก็โทรหาฉันได้ตลอด ว่างแล้วฉันจะแวะมาเยี่ยม” กรีฑาบอกลาเพื่อนรัก ก่อนจะรั้งร่างบางของคณิตามากอด ตบบ่าเบาๆ อย่างให้กำลังใจ

“ขอบใจมากน๊อต”

“น้าน๊อตกลับก่อนนะน้องนาฏ” กรีฑาผละจากร่างบางไปอุ้มร่างเล็กๆ ขึ้นมาหอมแก้มลาบ้าง

“ค่ะ ว่างๆ น้าน๊อตมาหาหนูอีกนะคะ” เด็กหญิงยิ้มแฉ่งก่อนจะหอมแก้มซ้ายแก้มขวาของต้นกลเป็นการบอกลา

“น้องนาฏต้องเป็นเด็กดี เชื่อฟังคุณเอ่อ...คุณป้อของหนูนะ อย่าซนรู้ไหมคะ” กรีฑาช่างใจอยู่นานว่าจะใช้สรรพนามใดดี นาฏศิลป์ถึงจะเข้าใจ ในที่สุดก็เลือกคำที่เด็กหญิงจำขึ้นใจ

“รู้ค่า หนูจะเป็นเด็กดี ไม่ดื้อ ไม่ซนค่า” เด็กน้อยรับปากแข็งขัน

“ผมกลับก่อนนะครับคุณไทย ไว้มีโอกาสจะแวะมาอีก ขอบคุณสำหรับการอำนวยความสะดวกครับ อ้อ! ฝากสองแม่ลูกคู่นี้ด้วยนะครับ ถ้ามันทำอะไรให้ไม่พอใจ คุณไทยมองข้ามไปได้ ก็มองนะครับ ถือว่าสงสารเด็ก แม่ตกงาน เด็กจะอดกินด้วย” กรีฑากล่าวยิ้มๆ

“ไม่ต้องห่วงครับ เดินทางปลอดภัยนะครับต้นกล ผมฝากคุณกวางกับต้นกลด้วย”

“ไม่ต้องห่วงเหมือนกันครับ รับรองว่าคุณกวางถึงฝั่งอย่างปลอดภัยแน่นอนครับ”

“เดินทางปลอดภัยนะครับคุณกวาง ส่วนเรื่องกรุ๊ปทัวร์ หากมีปัญหาอะไรก็ติดต่อผมได้ตลอดเวลานะครับ” ไผทพยักหน้ารับ จากนั้นก็หันไปกล่าวกับหญิงสาวอีกคนบ้าง

“ขอบคุณค่ะ คงได้รบกวนคุณไทยแน่ๆ กวางกลับก่อนนะคะคุณเลข คงมีโอกาสได้พบกันอีกในเร็วๆ นี้” กรรณิการ์หันไปพูดคุยกับหญิงสาวอีกคนบ้าง

“แล้วพบกันค่ะ เดินทางปลอดภัยนะคะคุณกวาง” จากนั้นสองหนุ่มสาวก็เดินจากท่าเทียบเรือไปยังเรือโดยสารที่ใกล้จะได้เวลาออกเรือแล้ว โดยมีสองหนุ่มสาวกับหนึ่งเด็กน้อยยืนโบกมือลาเป็นครั้งสุดท้าย

“กลับกันได้แล้ว” ไผทหันไปบอกคู่หูต่างวัย ก่อนหันหลังให้กับท่าเทียบเรือ เดินไปยังพาหนะของตน โดยไม่ใส่ใจสองแม่ลูกเลยสักนิด

“อึดอัดจังโว้ย” คณิตาบ่นพึมพำเบาๆ

“อะไรคะป้อ” เด็กน้อยที่ถูกจูงมือเงยหน้าถามด้วยความสงสัย

“ไม่มีอะไรค่ะ รีบเดินตามลุงไทยไปดีกว่า ก่อนที่จะถูกดุอีก” เด็กน้อยย่นจมูกด้วยความเคยชิน เวลาไม่ชอบใจใคร คณิตาเห็นแล้วได้แต่ส่ายหน้า ถ้าคนเดินนำหน้าลิ่วๆ นั่นหันมาเห็นไม่รู้จะว่ายังไงอีก แต่ตอนนี้ถ้าขืนชักช้า เธออาจจะโดนเขาดุเอาจริงๆ หญิงสาวจึงย่อตัวลงคว้าเจ้าตัวเล็กขึ้นมาอุ้ม สาวเท้าเร็วๆ เพื่อตามเจ้านายให้ทัน

เมื่อผู้โดยสารนั่งประจำที่เรียบร้อยแล้ว รถกินพลังงานไฟฟ้าก็ได้ฤกษ์เคลื่อนตัวออกจากบริเวณท่าเรือ ตรงไปตามถนนสายหลักของเกาะ ผ่านบ้านเรือนและร้านค้าต่างๆ ที่ชาวเกาะเป็นเจ้าของ ถึงจะไม่ใช่แฟรนชายน์ชื่อดังหลายๆ ตราสินค้าอย่างในเมืองหลวง หากก็มีทุกสิ่งให้เลือกสรร

“ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่เคยไปเที่ยวถ้ำเงาจันทร์หรือยัง” จู่ๆ ไผทก็ถามขึ้นทำลายความเงียบ

“ยังค่ะ ถ้ามีโอกาสก็อยากไปค่ะ” คณิตาตอบ จริงๆ แล้วน้องๆ ของเขาเคยเอ่ยปากชวนเธอไปเที่ยว แต่ติดเจ้าตัวเล็กที่นั่งอยู่บนตัก เนื่องจากปากถ้ำอยู่ใต้ทะเล ต้องรอช่วงเวลาน้ำลงจึงจะสามารถล่องน้ำเข้าไปได้ จากคำบอกเล่าของทิฆัมพรก็ทำให้เธอรู้ว่าภายในถ้ำมีพื้นที่กว้างขวางพอสมควร รอบด้านเป็นหน้าผาสูงชัน เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นท้องฟ้าสีคราม และถ้าเดินสำรวจไปทางทิศตะวันออกก็จะพบความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ นั่นก็คือ น้ำตกที่ตกจากหน้าผาด้านหนึ่ง ไม่ใช่น้ำตกสายเล็กๆ แต่เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ เสียงน้ำกระทบกับโขดหินดังสนั่น ความสวยงามและละอองน้ำจากน้ำตกลอยฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ ให้ความสดชื่นจนแทบลืมเวลา เธอก็อยากลองสัมผัสความรู้สึกนั้นบ้าง

“ห่วงลูกล่ะสิ” ไผทถามอย่างเข้าใจ ขนาดลูกน้ำเค็มอย่างเขาก็ยังไม่เคยประมาทท้องทะเล เพราะไม่ว่าอะไรมันก็เกิดขึ้นได้

“ค่ะ น้องยังเล็ก ถ้าลอยคออย่างเมื่อวานก็ยังพอวางใจได้ แต่ถ้าเป็นพื้นที่ที่อาจเกิดอันตรายได้ก็ไม่อยากเสี่ยง”

“ดีแล้ว เที่ยวเมื่อไหร่ก็เที่ยวได้ ชีวิตลูกให้ได้ครั้งเดียว ให้เขาอีกครั้งไม่ได้” คณิตาเหลือบตาไปมองคนขับ ด้วยน้ำเสียงที่ดูนุ่มนวลและเป็นห่วงเป็นใย ทำให้ไม่แน่ใจว่าหูฟาดหรือเปล่า

“กลับถึงบ้านแล้ว มีธุระจะคุยด้วยหน่อยนะ”

“ค่ะ”


สายน้ำจากบัวรดน้ำ สร้างความชุ่มชื่นให้กับไม้ดอกนานาชนิดในกระถาง ผู้ถือหูบัวรดน้ำใบหน้าก็ระบายไปด้วยรอยยิ้มของความสุข ดำเนินกิจกรรมของตัวเองไปเรื่อยๆ จนกระทั่งรถกอล์ฟคันคุ้นตาเคลื่อนเลยบ้านตนไปจอดที่โรงรถบ้านข้างๆ หากเป็นปกติหญิงสาวคงไม่รู้สึกอะไร แต่วันนี้พี่ชายคนโตไม่ได้กลับมาคนเดียว แถมหนึ่งในสองของผู้โดยสารจำเป็นยังเป็นคู่กรณีต่างวัยของพี่ชายอีกด้วย

“ไปไหนกันมาคะ” ทิฆัมพรวางบัวรดน้ำ แล้วเดินจากบริเวณหน้าบ้านของตนไปหาเจ้าของบ้านอีกหลัง

“พี่ไปส่งคุณกวางที่ท่าเรือ ส่วนคณิตาเขาไปส่งต้นกล พี่ก็เลยให้ติดรถไปด้วยกัน พุทธว่างหรือเปล่า” ตอบคำถามน้องสาวเสร็จ ชายหนุ่มก็ป้อนคำถามของตัวเองต่อ

“มีอะไรหรือเปล่าคะ” น้องสาวคนสวยเอียงคอถาม

“ฝากเจ้าตัวเล็กนี่หน่อย พี่มีธุระจะคุยกับคณิตา” ไผทบอกง่ายๆ ในขณะที่สองสาวขมวดคิ้วอย่างเคลือบแคลงใจ

“ไม่อยากถูกตีอีก ถ้าพูดไม่ถูกหูผู้ยิ่งใหญ่” หนุ่มคนเดียวในกลุ่มเฉลยพร้อมพยักพเยิดไปที่ผู้ยิ่งใหญ่ มารดาของผู้ยิ่งใหญ่ได้แต่ยิ้มแหยๆ ส่วนน้องสาวหัวหน้าเผ่าก็หัวเราะคิกถูกใจ

“โดนน้องนาฏซ้อมมาเมื่อไหร่คะพี่ไทย”

“ไปถามกันเอาเองแล้วกัน ฝากด้วยล่ะ”

“รับรองค่ะ จะไม่ปล่อยให้ผู้ยิ่งใหญ่ไปทำร้ายหัวหน้าเผ่าได้อีก” ทิฆัมพรหัวเราะเสียงใสปิดท้าย โดยมีพี่ชายส่ายหน้าให้อย่างเอ็นดู

“น้องนาฏไปกับอาพุทธนะคะ อาพุทธจะพาไปทานขนม ดีไหมคะ”

“ดีค่า” ได้ยินแค่คำว่าขนมนาฏศิลป์ก็ลืมบุพการีของตัวเองทันที

คณิตายิ้มกว้าง เมื่อลูกสาวปล่อยมือตนแล้ววิ่งไปหาอาสาวคนสวยแถมใจดีอีกต่างหาก จากนั้นก็หันไปมองหน้าเจ้านาย ซึ่งเขาก็พยักหน้าเป็นการตอบรับ แล้วเดินนำเธอเข้าบ้าน ประตูไม้สักถูกเปิดออกเผยให้เห็นความโล่งโปร่งสบาย มีเฟอร์นิเจอร์เท่าที่จำเป็น ทำให้ไม่รู้สึกอึดอัดและคับแคบ ชุดรับแขกก็มีเพียงโซฟาหนังสีน้ำเงินเข้มตัวยาว ขนาบด้วยโซฟาตัวเดี่ยวด้านละตัว ตรงกลางมีโต๊ะกระจกวางอยู่

“ตามสบายนะ อยากดื่มอะไรก็เปิดตู้เย็นเอาก็แล้วกัน ฉันขอตัวไปหยิบของสำคัญสักครู่ ขอโทษด้วยนะที่ทำหน้าที่เจ้าบ้านไม่ดีนัก ปล่อยให้แขกจัดการเองทุกอย่าง”

“ไม่เป็นไรค่ะ เชิญคุณไผทตามสบาย” แล้วเขาก็ตามสบายจริงๆ โดยการเดินหายเข้าไปในตัวบ้าน ซึ่งเธอคาดว่าน่าจะเป็นบันไดขึ้นไปชั้นสอง

เมื่อลับร่างเจ้านาย คณิตาก็ถือโอกาสสำรวจรอบๆ บริเวณ แล้วก็ไปสะดุดตากับตู้โชว์ใบไม่ใหญ่นัก ชั้นบนสุดวางกรอบรูปสามใบ แต่ละใบปรากฏใบหน้าเต็มๆ ของคนหนึ่งคน รูปแรกเป็นภาพเด็กชายนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มยิ้มเพียงแค่มุมปาก รูปที่สองเป็นภาพเด็กผู้หญิงผมยาวผูกแกะสองข้าง ยิ้มหวานจนคนมองอยากยิ้มตามบ้าง รูปสุดท้ายเป็นภาพของเด็กผู้ชายนัยน์ตาสีดำสนิทเปิดรอยยิ้มจนเห็นฟันซี่เล็กๆ ไม่อยากเชื่อเลยว่าพันธุกรรมของตระกูลนี้จะตกทอดมายังลูกสาวของเธอชนิดไม่ขาดตกบกพร่อง นาฏศิลป์ไม่ใช่มีส่วนคล้ายมหาสมุทรกับไผทเท่านั้น หากยังถอดแบบทิฆัมพรมาด้วย ให้ตายสิ! เธอชักไม่แน่ใจแล้วว่าทุกคนเชื่อในสิ่งที่เธอบอก และไม่แน่ใจว่าที่ทุกคนปล่อยเรื่องนี้ให้ผ่านไปโดยไม่ซักไซ้ไล่เลียงกับเธอเป็นเพราะอะไร

คณิตาผ่อนลมหายใจช้าๆ หมดความสนใจสิ่งอื่นๆ ที่อยู่ภายในตู้โชว์อีก เธอเลือกเดินไปนั่งรอเจ้านายที่โซฟารับแขก พร้อมกับพยายามคิดว่า เจ้านายมีธุระอันใดที่จะพูดคุยกับเธอตามลำพัง เสียงจรดฝีเท้าเบาๆ กระทบโสตประสาทของคนที่กำลังกังวลโน่นกังวลนี่สารพัด เหลือบตาไปมองอย่างหวั่นใจ เมื่อเห็นสีหน้าที่เรียบเฉยอยู่เป็นนิจ ไม่ส่อเค้าการเกิดพายุ หญิงสาวก็แอบโล่งใจนิดนึง

“ขอโทษที่ให้รอ ฉันมีของจะคืนเธอ” ไผทเดินมาหยุดหลังเก้าอี้โซฟาตัวเดี่ยวด้านติดกับตัวที่คณิตานั่ง

“อะไรคะ” หญิงสาวเลิ่กคิ้วเอียงคอถามอย่างติดนิสัย

“นี่” คำว่า ‘นี่’ มาพร้อมกับกีตาร์โปร่งคุ้นตาที่เขาซ่อนไว้อยู่ด้านหลัง คุณแม่ลูกหนึ่งเบิกตากว้างกระเถิบห่างจากสิ่งนั้นจนชิดอีกฝั่งของโซฟาตัวยาว เปิดโอกาสให้ไผทมีพื้นที่ในการจัดการเหยื่อมากขึ้น สีหน้าที่คุณเธอแสดงออกก็ทำให้เขารู้ว่า เธอจำอุปกรณ์การทำอาชีพเสริมของตัวเองได้

หัวหน้าเผ่าแห่งเกาะเสมือนจันทร์ นั่งลงเคียงข้างก่อนจะต่อประโยคต่อไปว่า “จำมันได้ไหม” คณิตาส่ายหน้าปฏิเสธ

“แปลกที่เธอจำมันไม่ได้ ผิดกับฉันที่จำเจ้าของมันได้ติดตา แม้จะแค่ค่ำคืนเดียวที่มีโอกาสได้เจอกัน แต่ก็เป็นค่ำคืนที่แสนล้ำลึก เธอคิดอย่างนั้นไหม” ไผทถามหน้าตาเฉย ไม่สนใจร่างกายที่เริ่มสั่นน้อยๆ ของอีกฝ่าย

“คุณไทยต้องการอะไรคะ ถ้าต้องการให้ดิฉันไปจากที่นี่ ดิฉันจะไปค่ะ”คณิตาถามเสียงพร่า

“อะไรทำให้เธอคิดว่าฉันต้องการแบบนั้น”

“ปัญหาทุกอย่างที่คลุมเครืออยู่จะได้จบมั้งคะ”

“ถ้าฉันบอกว่าฉันต้องการลูกล่ะ เธอจะยกน้องนาฏให้ฉันหรือเปล่า”

“ไม่” คณิตาปฏิเสธเสียงดัง เธอไม่มีทางยกลูกสาวของเธอให้เขาเด็ดขาด เขามีสิทธิ์อะไรจะมาเอาลูกออกจากอ้อมอกของเธอ

“ถ้าฉันต้องการจริงๆ เธอคิดว่าฉันจัดการไม่ได้เหรอ อย่ามาอ้างสิทธิ์เหนือกว่าว่าเธอเป็นแม่ เพราะหากให้ศาลตัดสิน ระหว่างแม่ที่ตกงานกับพ่อผู้เป็นเจ้าของเกาะ ใครจะสามารถเลี้ยงดูลูกได้ดีกว่ากัน” ไผทกล่าวอย่างเป็นต่อ

“ฉันขอร้อง คุณอย่าทำแบบนั้นเลยนะคะ คุณมีทุกอย่างพร้อมสรรพ มีพี่น้องอยู่ข้างกาย แต่ฉันมีเพียงลูกเท่านั้น” คณิตาไถลตัวนั่งลงกับพื้น พนมมือขึ้น น้ำตานองหน้า ถึงขั้นนี้แล้ว ต่อให้ปฏิเสธยังไง เขาก็คงหาทางทำให้เธอจนมุมจนได้ และถ้าเขาไม่มั่นใจ เขาคงไม่กล้าท้าชนกับเธอแบบนี้

“ฉันให้โอกาสเธอสารภาพแล้ว แต่เธอก็ไม่คิดจะทำ เธอไม่เคยคิดจะบอกความจริงกับฉัน เธอตั้งใจจะไม่ให้ลูกมีโอกาสได้รู้จักพ่อด้วยซ้ำ ใครกันแน่ที่ตั้งใจจะพรากลูกไป”

“ฉันไม่รู้ว่าคุณจำฉันได้ ต่อให้ฉันแน่ใจว่าคุณจำฉันได้ ฉันจะแน่ใจได้อย่างไรว่าคุณไม่คิดว่าการได้พบกันโดยบังเอิญอีกครั้ง ฉันจะไม่ใช้โอกาสนี้จับคุณเพื่อความสุขสบาย คุณอาจจะคิดว่าฉันจะใช้ลูกเป็นเครื่องต่อรอง และคุณอาจจะไม่เชื่อว่าน้องนาฏเป็นลูกของคุณ ฉันไม่ต้องการให้ลูกตรวจดีเอ็นเอ ความแคลงใจที่นำไปสู่ตรงนั้น จะทำให้ลูกเกิดปมด้อย หากลูกรู้ว่าพ่อยอมรับแกเพราะเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ ไม่ได้รักแกจากหัวใจ ไม่ได้เกิดจากสำนึกความเป็นพ่อจริงๆ ถ้าเป็นแบบนั้น ฉันยอมให้ลูกขาดพ่อดีกว่า” เสียงของหญิงสาวขาดเป็นช่วงๆ เพราะพยายามกลั้นเสียงสะอื้นไว้

“คุณคิดว่าผมเลวขนาดนั้นเลยเหรอ” ชายหนุ่มเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างระงับอารมณ์ที่กำลังพลุ่งพล่าน

“ไม่ใช่ค่ะ ฉันกำลังจะบอกว่า ฉันอาจจะเลวในสายตาคุณ”

“เลข แล้วคุณเคยคิดไหมว่าผมจะเสียใจแค่ไหน ที่ปล่อยให้แม่ของลูกกับลูกลำบากลำบน โดยที่ผมไม่เคยรับรู้มันเลย คุณเคยคิดไหมว่า ทุกครั้งที่ผมเห็นลูกอยู่ในอ้อมกอดของผู้ชายอื่น ไม่ว่าจะเป็นเจ้าศิลป์หรือต้นกล ผมจะรู้สึกอย่างไร เมื่อตัวผมไม่มีโอกาสได้ใกล้ชิดกับลูกแบบนั้น ทั้งๆ ที่ผมอยากจะกอดลูกใจแทบขาด ผมไม่เคยคิดจะให้ลูกตรวจดีเอ็นเอ แค่ลูกหน้าเหมือนน้องเพลงเหมือนยายพุทธตอนเด็กๆ ผมก็เชื่อเต็มร้อยแล้วว่าน้องนาฏเป็นลูกผม” เป็นครั้งแรกที่ชายหนุ่มเรียกเธอด้วยชื่อเล่น พร้อมกับเผยความรู้สึกในใจของตน

“ฉัน...” มาถึงตรงนี้คณิตาพูดต่อไปไม่ถูกจริงๆ

“เรามาเริ่มต้นกันใหม่ได้ไหม” ไผทถามเสียงอ่อน

“ฉันไม่อยากอยู่กับใครเพียงเพราะความรับผิดชอบ ฉันมาจากครอบครัวที่แตกแยก พ่อแม่ที่รักกันยังเลิกรากันไปได้ นับภาษาอะไรกับคนที่ไม่ได้รักกันแต่ต้องมาอยู่ด้วยกันเพียงเพราะหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ”

“คุณจะไม่ให้โอกาสผมและโอกาสตัวเองเลยหรือ”

“ฉันไม่รู้ว่าโอกาสนั้นมันมีอยู่จริงหรือเปล่า แต่คุณไม่ต้องห่วงเรื่องน้องนาฏนะคะ เมื่อคุณเต็มใจรับแกเป็นลูก ฉันก็ไม่คิดจะกีดกัน ไม่ว่าคุณจะเชื่อว่าน้องนาฏเป็นลูกของคุณด้วยเหตุผลใดก็ตาม ฉันก็ขอยืนยันว่า น้องนาฏเป็นลูกของคุณจริงๆ ฉันไม่ใช่ผู้หญิงเหลวแหลก”

“ผมรู้ว่าคุณเป็นผู้หญิงเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวและมีจุดยืนเป็นของตัวเอง ไม่อย่างนั้นคุณคงถามหาความรับผิดชอบจากผมตั้งแต่สามสี่ปีก่อน ไม่หนีหายไปเสียเฉยๆ แบบนั้น” มือใหญ่ยื่นมือไปกุมมือเรียวบางเอาไว้ พร้อมกับตบๆ เป็นการปลอบประโลม

“คุณไทยคะ ฉันขอบคุณที่คุณเอ็นดูน้องนาฏ ไม่คิดผลักไสไปไกลๆ จะได้พ้นความรับผิดชอบ” มือเรียวแต่ไม่นุ่มอย่างมือสาวๆ เพราะต้องอยู่กับเครื่องมือช่างและเส้นสายของกีตาร์ พนมขึ้นและก้มศีรษะจรดนิ้วขอบคุณชายหนุ่มจากใจ

“เอาล่ะ ขึ้นมานั่งข้างบนได้แล้ว ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณอีกหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องราวที่ผ่านมา อ้อ! ผมเรียกคุณว่า เลข เหมือนคนอื่นๆ ได้ใช่ไหม” ไผทยิ้มน้อยๆ เป็นการให้กำลังใจคนเสียขวัญ ไม่คิดว่าแผนจู่โจมแบบไม่ทันให้เหยื่อตั้งตัวจะได้ผลดีขนาดนี้

“ได้ค่ะ” คณิตาตอบรับยิ้มอ่อนๆ ให้เขาเช่นกัน แล้วทฤษฏีความลับไม่มีในโลกก็ถูกพิสูจน์อีกครั้ง จากนั้นความตึงเครียดก็ค่อยๆ คลายลง พร้อมกับเรื่องราวมากมายถูกถ่ายทอดให้บุรุษที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อของลูกฟัง


ตอนหน้ามาลุ้นกันค่ะว่านายไทยจะได้เป็นพ่อหรือแม่กัน ^___^



หนึ่งจันทร์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 18 ม.ค. 2557, 09:17:16 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 18 ม.ค. 2557, 09:22:09 น.

จำนวนการเข้าชม : 1585





<< บทที่ 5   บทที่ 7 >>
จิงโกะ 18 ม.ค. 2557, 10:25:13 น.
คิดว่าลุงไทยคงได้เป็นแม่ต่อไป จนกว่า ผู้ยิ่งใหญ่จะกุมอำนาจเบ็ดสร็จเด็ดขาด อิอิอิ


ปรางขวัญ 18 ม.ค. 2557, 10:57:38 น.
555 ท่านผู้ยิ่งใหญ่คงจะเรียกแม่ไทนะคะ @^_^@ ดูน่ารักดี


ใบบัวน่ารัก 18 ม.ค. 2557, 11:02:51 น.
เป็นพ่อบังเอิญกับแม่หรือเมียเก็บตก
จะดีๆกันได้ไหม


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account