ไฟรักรัญจวน โดย ภคพร (วางแผงแล้ว)
ซีรีย์นี้ชื่อว่า 5 อสูรคอนเนอร์ค่ะ พระนางเป็นคนธรรมดานะคะ
แต่ฉายาอสูรนี่ได้มาเพราะบุคลิกเฉพาะตัว
สำหรับเรื่องแรกที่จะเปิดตัวคือ
“รัตติกาลรัญจวน”’ เป็นภาคของแวมไพร์นะคะ เรื่องนี้เขียนจบแล้วค่ะ อยู่ในขั้นตอนรีไรท์
ยังไม่ได้ส่งที่ไหน ดังนั้นเลยจะเอามาลงให้อ่าน 70% ก่อนนะคะ
สำหรับ 5 อสูร มีฉายาอะไรบ้าง ขอแนะนำก่อนให้เป็นน้ำจิ้มดังนี้ค่ะ
แวมไพร์
บรุษลึกลับที่ไม่เคยปรากฏโฉมต่อหน้าสื่อ
ชายหนุ่มคือจักรพรรติเงาผู้กุมอำนาจอยู่เบื้องหลังอาณาจักรคอนเนอร์อย่างเงียบๆ
ปมในอดีตทำให้เขาปิดตัวเองและไม่เคยเปิดหัวใจให้ใครเลย
ฟินิกซ์
เพลย์บอยเจ้าเสน่ห์ ผู้สดใสเจิดจ้าราวกับเทพอพอลโล่ เขารักอิสระ เกลียดพันธะ สาวสวยสำหรับเขาคือคนที่เอาไว้ควงเล่น ส่วนคนขี้เหร่แต่มีสมองเอาไว้ช่วยทำงาน แล้วถ้าทั้งสวยและมีสมองล่ะทำยังไง? อย่าหวังเลยว่าจะชายตามอง นั่นน่ะตัวอันตรายชัดๆ
มังกรน้ำแข็ง
ชายหนุ่มผู้งามสง่าราวประติมากรรม เขาเงียบขรึมเย็นชาจนดูเหมือนไร้หัวใจ
แต่เพื่อความรักแล้วผู้ชายคนนี้พร้อมจะเปลี่ยนเป็นเพลิงกัลป์
เพื่อแผดเผาอุปสรรคตรงหน้าให้มอดไหม้
ไลแคนท์
สายเลือดนอกคอกของตระกูลคอนเนอร์ เจ้าของคาสิโนและธุรกิจด้านมืดหลากหลาย
คนว่าเขาเป็นอสูรร้าย แต่ภายในใจอสูรตนี้กลับเต็มไปด้วยความอ้างว้าง
ที่หยั่งรากลึกสุดจะหยั่ง
คราเครน
หญิงสาวหนึ่งเดียวในห้าอสูร เจ้าหล่อนงดงาม เก่งกาจ ฉลาดเฉลียว
สิ่งที่คำนึงถึงมีเพียงอำนาจและเงินตราเท่านั้น
ความรักน่ะหรือ? อารมณ์ไร้ประโยชน์แบบนั้นโยนทิ้งมันไปได้เลย
คำโปรย รัตติกาลรัญจวน
สิ่งที่ “น้ำงาม” รู้เกี่ยวกับเจ้านายคนใหม่คือเขาชื่อ “เควิน โคฮาคุ คอนเนอร์”
หนุ่มลูกครึ่งอเมริกันญี่ปุ่นคนนี้เป็นนักธุรกิจมากความสามารถ
แต่กลับเก็บตัวอยู่ในคฤหาสน์ตลอดเวลา
เขาไม่เคยเปิดเผยโฉมหน้าต่อหน้าสาธารณชนเลย
จนสื่อพากันขนานนามว่า “แวมไพร์”
ใครๆ ก็ว่าปีศาจร้ายตนนี้ไร้หัวใจ
แต่สิ่งที่ปรากฏเบื้องหน้าน้ำงามกลับกลายเป็นชายหนุ่มรูปงามนัยน์ตาโศก
ดวงตาสีอำพันของเขาดูดกลืนจิตวิญญาณของเธอเข้าไปตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็น
น้ำงามหลงรักเควินหมดหัวใจ โดยไม่รู้เลยว่าสำหรับเขาแล้วนี่เป็นเพียงแค่เกม
เธอคือของขวัญที่ญาติตัวแสบส่งมาให้เล่นฆ่าเวลาเท่านั้น
“ถ้าเควินรักน้ำงาม เขาจะแพ้”
ชายหนุ่มเกลียดความพ่ายแพ้
แต่สิ่งที่ชิงชังยิ่งกว่าคือการถูกทรยศ
เขาจะทำเช่นไรเมื่อรู้ว่าคนที่กำลังเผลอมอบใจให้เป็นสปาย
อ่านแล้วถูกใจรบกวนกดไลค์แฟนเพจให้ด้วยนะคะ https://www.facebook.com/nomekaa
แต่ฉายาอสูรนี่ได้มาเพราะบุคลิกเฉพาะตัว
สำหรับเรื่องแรกที่จะเปิดตัวคือ
“รัตติกาลรัญจวน”’ เป็นภาคของแวมไพร์นะคะ เรื่องนี้เขียนจบแล้วค่ะ อยู่ในขั้นตอนรีไรท์
ยังไม่ได้ส่งที่ไหน ดังนั้นเลยจะเอามาลงให้อ่าน 70% ก่อนนะคะ
สำหรับ 5 อสูร มีฉายาอะไรบ้าง ขอแนะนำก่อนให้เป็นน้ำจิ้มดังนี้ค่ะ
แวมไพร์
บรุษลึกลับที่ไม่เคยปรากฏโฉมต่อหน้าสื่อ
ชายหนุ่มคือจักรพรรติเงาผู้กุมอำนาจอยู่เบื้องหลังอาณาจักรคอนเนอร์อย่างเงียบๆ
ปมในอดีตทำให้เขาปิดตัวเองและไม่เคยเปิดหัวใจให้ใครเลย
ฟินิกซ์
เพลย์บอยเจ้าเสน่ห์ ผู้สดใสเจิดจ้าราวกับเทพอพอลโล่ เขารักอิสระ เกลียดพันธะ สาวสวยสำหรับเขาคือคนที่เอาไว้ควงเล่น ส่วนคนขี้เหร่แต่มีสมองเอาไว้ช่วยทำงาน แล้วถ้าทั้งสวยและมีสมองล่ะทำยังไง? อย่าหวังเลยว่าจะชายตามอง นั่นน่ะตัวอันตรายชัดๆ
มังกรน้ำแข็ง
ชายหนุ่มผู้งามสง่าราวประติมากรรม เขาเงียบขรึมเย็นชาจนดูเหมือนไร้หัวใจ
แต่เพื่อความรักแล้วผู้ชายคนนี้พร้อมจะเปลี่ยนเป็นเพลิงกัลป์
เพื่อแผดเผาอุปสรรคตรงหน้าให้มอดไหม้
ไลแคนท์
สายเลือดนอกคอกของตระกูลคอนเนอร์ เจ้าของคาสิโนและธุรกิจด้านมืดหลากหลาย
คนว่าเขาเป็นอสูรร้าย แต่ภายในใจอสูรตนี้กลับเต็มไปด้วยความอ้างว้าง
ที่หยั่งรากลึกสุดจะหยั่ง
คราเครน
หญิงสาวหนึ่งเดียวในห้าอสูร เจ้าหล่อนงดงาม เก่งกาจ ฉลาดเฉลียว
สิ่งที่คำนึงถึงมีเพียงอำนาจและเงินตราเท่านั้น
ความรักน่ะหรือ? อารมณ์ไร้ประโยชน์แบบนั้นโยนทิ้งมันไปได้เลย
คำโปรย รัตติกาลรัญจวน
สิ่งที่ “น้ำงาม” รู้เกี่ยวกับเจ้านายคนใหม่คือเขาชื่อ “เควิน โคฮาคุ คอนเนอร์”
หนุ่มลูกครึ่งอเมริกันญี่ปุ่นคนนี้เป็นนักธุรกิจมากความสามารถ
แต่กลับเก็บตัวอยู่ในคฤหาสน์ตลอดเวลา
เขาไม่เคยเปิดเผยโฉมหน้าต่อหน้าสาธารณชนเลย
จนสื่อพากันขนานนามว่า “แวมไพร์”
ใครๆ ก็ว่าปีศาจร้ายตนนี้ไร้หัวใจ
แต่สิ่งที่ปรากฏเบื้องหน้าน้ำงามกลับกลายเป็นชายหนุ่มรูปงามนัยน์ตาโศก
ดวงตาสีอำพันของเขาดูดกลืนจิตวิญญาณของเธอเข้าไปตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็น
น้ำงามหลงรักเควินหมดหัวใจ โดยไม่รู้เลยว่าสำหรับเขาแล้วนี่เป็นเพียงแค่เกม
เธอคือของขวัญที่ญาติตัวแสบส่งมาให้เล่นฆ่าเวลาเท่านั้น
“ถ้าเควินรักน้ำงาม เขาจะแพ้”
ชายหนุ่มเกลียดความพ่ายแพ้
แต่สิ่งที่ชิงชังยิ่งกว่าคือการถูกทรยศ
เขาจะทำเช่นไรเมื่อรู้ว่าคนที่กำลังเผลอมอบใจให้เป็นสปาย
อ่านแล้วถูกใจรบกวนกดไลค์แฟนเพจให้ด้วยนะคะ https://www.facebook.com/nomekaa
Tags: โรแมนติก ดราม่าเบาๆ โรมานซ์นิดๆ พยาบาลสาว นักธุรกิจหนุ่ม แวมไพร์ โรคแพ้แดด
ตอน: บทที่ 1 เจ้าของที่ว่าง
บทที่ 1 เจ้าของที่ว่าง
คฤหาสน์ไวท์คิง เมืองแฟร์แฟกซ์ รัฐเวอร์จิเนีย
ในห้องโถงใหญ่ที่ประดาประดับไปด้วยของตกแต่งหรูหรา ไม่ไกลจากต้นคริสต์มาสนัก โทมัส คอนเนอร์ ผู้นำตระกูลวัย 87 กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้โยกท่ามกลางวงล้อมของลูกหลานซึ่งมารวมตัวกันอยู่อย่างอุ่นหนาฝาคั่ง
ภาพความสนุกสนานครื้นเครงกับเสียงหัวเราะที่ดังก้อง ทำให้คนที่หลบมุมพิงเสาอยู่อย่างฟินน์นึกถึงฉากครอบครัวสุขสันต์ในภาพยนตร์ขึ้นมา
สมัยที่ยังเด็ก เขาเคยหลงใหลได้ปลื้มงานรวมญาติแบบนี้เป็นอย่างมาก ฟินน์รักคุณตาโทมัสที่ใจดีราวกับซานตาคลอส หลงใหลได้ปลื้มกับขนมและอาหารมากมายที่กินได้ไม่จำกัด ไหนจะมีลูกพี่ลูกน้องวัยเดียวกันเป็นเพื่อนเล่นซุกซนเป็นโขยงอีก
ฟินน์เฝ้ารองานเลี้ยงในคืนวันรวมญาติอย่างนี้ทุกปีและสนุกสนานไปกับมันจวบจนกระทั่งโตพอรู้ความ งานเลี้ยงสุดหรรษาในสายตาก็แปรเปลี่ยนไปกลายเป็นสมรภูมิรบ การแสดงความสามารถเพื่อความสนุกสนานกลายเป็นการแข่งขัน ลูกพี่ลูกน้องที่เคยรักใคร่กันดีเริ่มแสดงความเป็นอริ ทุกคนต้องเลือกข้างไม่อย่างนั้นก็จะถูกกดดันจากทุกฝ่ายและตราหน้าว่าเป็นนกสองหัว
ความแตกร้าวนี้เกิดขึ้นเพราะมีอำนาจและเงินทองเป็นตัวชี้นำแต่สิ่งที่ขับเคลื่อนมันจริงๆ คือไฟริษยา คุณตาโทมัสเป็นนักธุรกิจที่เก่งกาจก็เลยคิดว่าสามารถควบคุมทุกอย่างได้ ท่านทำสิ่งที่ชายชาวอเมริกันส่วนใหญ่ไม่นิยมทำกัน นั่นคือการมีภรรยาหลายคนและให้ทุกคนอยู่ร่วมบ้านเดียวกัน แม้จะจัดสรรพื้นที่ให้เป็นส่วนตัวแต่ก็มีกฎเหล็กว่าภรรยาทั้งหลายต้องมารวมตัวกันอย่างพร้อมหน้าเมื่อเวลาท่านเรียกตัว
ฉากหน้าทุกคนจึงสมานฉันท์กันดีเพื่อเอาใจประมุขของบ้าน แต่ลับหลังกลับเต็มไปด้วยความเกลียดชัง แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันตลอดเวลา
ฟินน์โชคดีที่คุณยายมาเรียของเขามีแม่เป็นลูกแค่คนเดียว แล้วคุณยายก็เป็นพวกไม่ชอบแข่งขันกับใครด้วย ภรรยาคนอื่นที่มีลูกชายก็เลยไม่ค่อยมาหาเรื่องเพราะเห็นว่าไม่ใช่คู่แข่ง ยิ่งเขากับบรรดาพี่น้องยังไม่มีใครแต่งงานไม่มีเหลนมาอวดคุณตาให้ชื่นใจ คุณยายก็ยิ่งถูกมองข้ามจนกลายเป็นสายตระกูลที่มีอำนาจน้อยที่สุดไป
นอกจากปัญหาที่เล่ามาแล้ว ฟินน์กับพี่น้องยังถูกญาติดูแคลนเพราะมีพ่อที่บริหารงานไม่ได้เรื่อง พอพ่อแม่แยกทางกันก็ถูกยัดข้อหาใช้เรื่องบ้านแตกเรียกคะแนนสงสารเพิ่มเข้าไปอีก ถูกเหน็บแนมมากเข้าก็เลยกลายเป็นปมในใจว่าสักวันจะเอาคืนให้ได้สักวัน
โอกาสที่รอคอยมาถึงฟินน์เมื่อเขาได้รู้จักกับคนคนหนึ่ง อีกฝ่ายแนะนำให้หันหลังให้ธุรกิจโทรคมนาคมซึ่งบรรพบุรุษเป็นผู้บุกเบิก แล้วไปเอาดีทางด้านอสังหาริมทรัพย์แทน ฟินน์ทำตามเพราะเห็นวิสัยทัศน์และความสามารถของคนคนนี้ ทั้งสองร่วมหุ้นกัน ช่วยกันก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาแล้วก็ทยอยซื้อหุ้นของคอนเนอร์เก็บไว้ จนในที่สุดก็สามารถเข้าไปนั่งเสนอหน้าในการประชุมของกรรมการบริหารได้
ฟินน์สะใจมากทีเดียวตอนเห็นพวกญาติทำหน้าเหวอ บางรายถึงกับโกรธจนตัวสั่นที่เด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างเขาไปเสนอหน้าอยู่ในบอร์ดบริหารได้ จะเสียคือเรื่องเดียวเท่านั้นคือถูกคุณยายบ่นจนหูชาว่าทำอะไรไม่รู้จักคิด
การกระทำของฟินน์นั้นไม่ต่างอะไรกับการกระโดดเข้าไปร่วมศึกสายเลือดอย่างเป็นทางการเลย ถึงตอนนี้จะปฏิเสธว่าไม่สนใจตำแหน่งประมุขคนต่อไปของตระกูลก็ไม่มีใครเชื่อแล้ว คุณยายโซฟีของเขาก็เลยโดนภรรยาคนอื่นของคุณตาทั้งกัดทั้งเหน็บเสียไม่มีดี
ฟินน์เหลือบไปมองผู้เป็นยาย ตอนนี้ใบหน้าท่านเปื้อนยิ้มเพราะสองข้างกายมีหลานสาวหลานชายคนโปรดอย่างเอวาและลอยด์คอยเอาใจ เห็นแล้วก็นึกดีใจที่ไม่ไปเข้าร่วมวงจนทำให้เสียบรรยากาศ
ในค่ำคืนนี้ตัวแสบประจำครอบครัวพอใจที่จะเก็บปากเก็บคำและยืนจิบไวน์หลบมุมเฝ้าสังเกตการณ์เครือญาติอยู่ห่างๆ เวลามองจากระยะไกลแล้วทุกคนหันหลังอย่างนี้ ถ้าไม่สังเกตให้ดีก็ยากที่จะแยกออกว่าใครเป็นใคร เพราะพวกคอนเนอร์ส่วนใหญ่ต่างก็มีรูปร่างสูง ผมบลอนด์ ตาฟ้าเสียเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งฟินน์เองก็เป็นอีกหนึ่งคนที่ได้รับลักษณะเด่นประจำตระกูลมา
ในขณะที่กำลังทอดอารมณ์ไปกับบรรยากาศ หลานสาวตัวน้อยวัยหกขวบก็เข้ามาดึงชายเสื้อ
“คุณลุงฟินน์ อุ้มหนูหน่อยค่ะ” อลิซาเบธอ้อน
เด็กหญิงเป็นลูกของเกรซ ลูกพี่ลูกน้องจากอีกสายตระกูลหนึ่ง เขากับเกรซมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ดังนั้นฟินน์เลยไม่เกี่ยงที่จะช่วยเลี้ยงหลาน ส่วนแม่เด็กเองก็ไม่ว่าที่ลูกสาวตัวน้อยมาข้องแวะกับอาฟินน์ ตราบใดที่คุณลุงจอมป่วนไม่สอนหลานเล่นพิเรนทร์ คนเป็นแม่ก็ยังยิ้มได้อยู่
“ได้เลยครับสาวน้อย”
ฟินน์วางแก้วในมือ เขายกตัวหลานสาวขึ้นมาเหวี่ยงไปมาพอให้หัวเราะคิกคัก เสร็จแล้วจึงค่อยอุ้มดีๆ
“สาวน้อยคนสวยอยากกินอะไรไหม เดี๋ยวคุณลุงสุดหล่อจะพาไปหม่ำ”
“ไม่ค่ะ หนูอิ่มแล้ว” เด็กหญิงส่ายหน้า “แต่...หนูสงสัย”
“สงสัยอะไรฮึ”
เด็กหญิงมองซ้ายมองขวาเหมือนกลัวว่าจะมีคนได้ยิน พอสำรวจดีแล้วว่าไม่มีใครมองก็เอามือป้องปากแล้วกระซิบถาม
“ที่ว่างตรงข้างคุณปู่ทวดคือที่ของใครคะ หนูถามคุณย่าทวดดีๆ แต่กลับถูกดุ” เด็กหญิงเอ่ยเสียงเศร้าในประโยคสุดท้าย
“อลิซตัวน้อยที่น่าสงสาร” ฟินน์พึมพำ
เห็นเด็กหญิงน้องทำหน้าเศร้า เขาก็อดที่จะลูบหัวปลอบไม่ได้
ชายหนุ่มไม่แปลกใจเลยที่คุณยายสเตลล่าจะอารมณ์เสียใส่เหลนเพราะเรื่องนี้ เจ้าหล่อนถือตัวว่าเป็นภรรยาคนแรกของคุณตาทั้งยังให้กำเนิดบุตรชายคนแรกด้วย ก็เลยคิดว่าตัวเองมีความสำคัญและมีอิทธิพลกว่าผู้หญิงของสามีทุกคน แต่นั่นเป็นความคิดที่ผิด คนที่อยู่ในใจของคุณตาและมีอำนาจเหนือใครในตระกูลคือเจ้าของที่นั่งว่างเปล่าทางฝั่งซ้ายและขวาของโทมัส คอนเนอร์ต่างหาก
เก้าอี้สองตัวนั้นถูกเว้นว่างเอาไว้ในทุกงานรวมญาติ ตัวหนึ่งสำหรับคนเป็น ส่วนอีกตัวหนึ่งสำหรับคนตาย ตอนเป็นเด็กเขาก็สงสัยเหมือนกันว่าที่ว่างนั่นเว้นให้ใคร
“คุณลุงบอกหนูได้ไหมคะว่าเป็นที่ของใคร” อลิซาเบธถามซ้ำเพราะคุณลุงไม่มีท่าทีว่าจะตอบคำถามของเธอเสียที
“เสียใจด้วยที่รัก ลุงตอบคำถามหนูไม่ได้”
มันกลายเป็นกฎของตระกูลไปแล้วว่าจะไม่เอ่ยถึงเรื่องของที่ว่างสองที่นั่นไม่ว่ากรณีใดๆ คนครึ่งหนึ่งไม่อยากพูดถึงเพราะมันจะนำความเศร้ามาให้ผู้นำตระกูลอย่างคุณตาโทมัส ในขณะที่อีกครึ่งหนึ่งชิงชังสองนามนี้เป็นอย่างยิ่ง
“ตอบไม่ได้เพราะไม่รู้หรือรู้แต่ไม่ตอบคะ”
มองท่าทางของแกแล้วฟินน์ก็อมยิ้มอย่างเอ็นดู ประโยคนี้เกรซชอบพูดประจำเวลาจะเค้นความลับจากใคร ดูท่าเด็กคนนี้จะได้นิสัยเจ้าเล่ห์ของแม่แกมามากทีเดียว
“นะคะคุณลุง ได้โปรดเถอะค่ะ คุณหนูสัญญาว่าจะไม่บอกใคร”
เด็กหญิงตัวน้อยอ้อนสุดชีวิตส่งผลให้คุณลุงที่กำลังเมาแบบกรึ่มๆ ใจอ่อนในที่สุด เนื่องจากไม่สามารถเผยความลับออกมาเป็นคำพูดได้ ฟินน์เลยแก้ปัญหาด้วยการพาหลานสาวตัวน้อยไปหาคนที่เป็นเจ้าของที่นั่งทางฝั่งซ้ายมือเสียเลย
คฤหาสน์ไวท์คิงประกอบด้วยตัวตึกหลักและส่วนต่อขยายมากมาย ทุกพื้นที่มีทางเดินเชื่อมต่อกันหมดยกเว้นคฤหาสน์สีเทาที่ตั้งอยู่บนเนินเขา บ้านหลังนี้ถูกแยกออกมาอยู่โดดเดี่ยว ทั้งรูปแบบการก่อสร้างและสีสันไม่มีอะไรเข้ากันกับตัวตึกใหญ่เลย บางคนเลยเข้าใจผิดว่าคฤหาสน์หลังนั้นเป็นของคนอื่น
น้อยคนนักที่จะรู้ว่าสถานที่สองแห่งนี้มีทางเดินใต้ดินเชื่อมต่อกันอยู่ พื้นที่พิเศษส่วนนี้ต้องใช้กุญแจเท่านั้นถึงจะเปิดเข้ามาได้ ฟินน์ใช้มือหนึ่งอุ้มหลานสาว ในขณะที่อีกมือไขกุญแจอย่างคล่องแคล่ว ครั้งสุดท้ายที่เขามาที่นี่คือเมื่อครึ่งปีก่อน ถึงกระนั้นก็ยังรู้สึกคุ้นเคยกับกลิ่นอายของสถานที่ สำหรับเขาแล้วคฤหาสน์ลึกลับที่กำลังย่างก้าวเข้าไปไม่ต่างอะไรกับสนามหลังบ้านนักหรอก
ชายหนุ่มพาหนูน้อยอลิซาเบธเดินมาตามทางลับใต้ดิน จากนั้นก็ขึ้นบันไดยาวเหยียดเพื่อมุ่งสู่ประตูกลซึ่งเชื่อมกับบริเวณชั้นสองของคฤหาสน์
หลังประตูบานนี้คือห้องพักผ่อนส่วนตัวของเจ้าของสถานที่ ในห้องนี้เปิดไฟเอาไว้เพียงสลัว แต่ก็สว่างพอทำให้มองเห็นว่ามีคนยืนตากลมหนาวอยู่ตรงระเบียงในชุดเสื้อผ้าเนื้อบาง
วันนี้อุณหภูมิติดลบแท้ๆ แต่หมอนี่กลับไม่สะท้านสะเทือน พฤติกรรมอย่างนี้มันช่างเหมาะกับคำครหาว่าเป็นพวกเลือดเย็นไร้ความรู้สึกเสียจริง
“มาทำไม”
คนถูกรุกล้ำความเป็นส่วนตัวถามโดยไม่หันมามอง ดูเหมือนว่าชายหนุ่มกำลังให้ความสนใจท้องฟ้าสีหม่นมากกว่าแขกที่ไม่ได้รับเชิญอย่างฟินน์
“ฉันต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายถามว่าทำไมนายถึงไม่ไปร่วมงานเลี้ยง”
เควินยักไหล่แทนคำตอบดังจะบอกว่าเคยใส่ใจเสียที่ไหน หลังจากมารดาเสียชีวิต เขาก็ไปปรากฏตัวในงานเลี้ยงรวมญาติเพียงแค่สองครั้งเท่านั้น จากนั้นก็ไม่ได้ไปอีกเลย ด้วยเหตุผลสองประการคือเกลียดคนจำนวนมากและไม่อยากต้องอารมณ์ขุ่นมัวเพราะคำคน
“คุณคือเจ้าของเก้าอี้ข้างคุณทวดหรือคะ” อลิซาเบธโพล่งออกมา
เสียงใสๆ ของเด็กน้อยดึงความสนใจเควินให้หันมามอง
“ใช่แล้วล่ะ” ฟินน์ตอบคำถามแทน
“คุณเป็นใครคะ”
เด็กหญิงถามชายแปลกหน้าอย่างไม่กลัว ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจเลยเพราะเควินมีรูปลักษณ์ที่ดึงดูดใจผิดกับนิสัยอย่างสิ้นเชิง เขาเป็นคนร่างบางแต่ก็ไม่ผอมแห้งน่าเกลียด ผมดำสนิท นัยน์ตาสีอำพัน ส่วนใบหน้านั้นสวยหวานชนิดที่สตรีโฉมงามยังต้องพ่าย
เควินก้าวอย่างสง่ามาหาเด็กน้อย ริมฝีปากบางยกขึ้นเล็กน้อย แม้จะเป็นเพียงการอมยิ้ม แต่ก็มีเสน่ห์ตรึงสายตา
“หนูคิดว่าฉันเป็นใครล่ะ” เสียงนุ่มน่าฟังดังกังวาน
“เทพธิดาใช่ไหมคะ คุณเป็นเทพธิดาคริสต์มาส คุณทวดถึงเว้นที่ว่างเอาไว้ให้”
ฟินน์ลอบยิ้มเมื่อหลานสาวตัวน้อยใช้คำว่า ‘เทพธิดา’ แทน ‘เทวดา’ ดูท่าแม่หนูจะปักใจเชื่อไปเสียแล้วว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเป็นผู้หญิง
สิ่งที่เควินเกลียดเป็นอันดับต้นๆ คือการถูกเข้าใจผิดอย่างนี้ แต่จะโทษแม่หนูน้อยก็ไม่ถูกนัก ต้องโทษใบหน้าที่สวยเกินมนุษย์ กับผมยาวสลวยนั่นมากกว่า
คนถูกเข้าใจผิดเข้าใจเหตุผลดี กระนั้นปีศาจในร่างเทพบุตรก็ไม่ปรานีเด็กน้อย เขายื่นมือเย็นเฉียบมาแตะที่ข้างแก้มเด็กหญิง ทำเอาเจ้าของแก้มยุ้ยสะดุ้งโหยง
“หนูเข้าใจถูกแล้ว ฉันไม่ใช่มนุษย์หรอก แต่ไม่ใช่เทพธิดาหรอกนะ เคยได้ยินชื่อแวมไพร์ไหม” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงแหบพร่าแล้วโชว์เขี้ยวที่มุมปากให้ดู
‘ให้ตายสิ...รังแกได้แม้กระทั่งเด็ก’ ฟินน์ครวญในใจ
เขายอมรับว่าตัวเองไม่ใช่คนดีเด่อะไร แต่ถ้าเทียบระดับความเหี้ยมกับคนคนนี้แล้ว เขากลายเป็นลูกเจี๊ยบไปเลย ฟินน์เป็นประเภทชอบแหย่ชอบหยอกอาจจะเล่นแรงแต่ก็ไม่ถึงตาย ตรงข้ามกับเควินที่ไม่มีรูปแบบการปฏิบัติตายตัว กระนั้นก็มักจะจบด้วยผลลัพธ์เดียวกันเสมอ นั่นคือเป้าหมายถึงฆาตทุกราย ทั้งที่ตายทั้งเป็นแล้วก็ตายแบบหมดลมหายใจไปจริงๆ
แม่หนูอลิซาเบธนิ่งงันไปเลย แกมองคนที่สวมรอยเป็นปีศาจตาค้าง ฟินน์กลัวว่าสาวน้อยในอ้อมแขนจะเบะปากร้องไห้ก็เลยพาถอยออกมา
“เขาแค่ล้อหนูเล่นเท่านั้นเอง ไม่ต้องกลัวนะ”
“’เขา’ หรือคะ? หมายความว่าคุณไม่ใช่ผู้หญิง” ดวงตาสีฟ้าที่เบิกกว้างอยู่แล้วดูจะกว้างขึ้นไปอีกเมื่อรู้ความจริง
“ถูกต้องแล้วสาวน้อย ฉันเป็นปีศาจหนุ่มที่โปรดปรานเนื้อเด็กมาก”
น้ำเสียงและสีหน้าของเควินตอนนี้เปลี่ยนเป็นชวนขนลุก เด็กปกติได้ยินแบบนี้คงขวัญผวา ทว่าอลิซาเบธกลับร้องว้าวอย่างตื่นเต้น
พูดกันตามจริงสายเลือดของตระกูลคอนเนอร์มักจะไม่ใช่พวกปกติมนุษย์นัก ยิ่งเป็นลูกสาวของผู้หญิงที่ได้ชื่อว่าเป็นเหมือนร่างอวตารของตัวแสบอย่างฟินน์ การปะทะกันครั้งนี้เลยกลายเป็นมวยถูกคู่ไป
“คุณลุงคะ หนูบอกแม่ได้ไหมว่าหนูเจอปีศาจคริสต์มาส” เด็กหญิงเอ่ยอย่างตื่นเต้น แล้วทำท่าจะขอลงไปหาคนที่พยายามขู่ให้เธอกลัว
เควินคิ้วกระตุก เขาไม่ได้ไม่พอใจหนูน้อย แต่หมั่นไส้ผู้ใหญ่ผมทองที่หัวเราะจนตัวโคลง
ฟินน์พยายามหุบยิ้มเมื่อเห็นสายตาพิฆาตของคนที่มีศักดิ์เป็นอา กระนั้นก็ฝืนตัวเองไม่ได้ ภาพแวมไพร์จอมโหดโดนเด็กโต้เสียไปต่อไม่เป็นหาดูได้ง่ายเสียที่ไหน
“คริสต์มาสทั้งที ขอวันหนึ่งเถอะน่า”
เควินพ่นลมหายใจออกมาอย่างรำคาญแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ฟินน์เห็นเป็นโอกาสก็เลยปล่อยหัวเราะที่กลั้นเอาไว้ออกมาเต็มที่
“คุณลุงขำอะไรคะ” อลิซาเบธถามอย่างสงสัย
“ไม่มีอะไรจ้ะสาวน้อย ลุงแค่อารมณ์ดีเป็นพิเศษ”
“หนูก็อารมณ์ดีค่ะ ขอลงหน่อยนะคะ”
ฟินน์ยอมปล่อยตัวเด็กหญิงลงกับพื้น เขายืนคุมไม่ห่างเพื่อดูว่าแกจะทำอะไรเป็นอย่างต่อไป อึดใจสาวน้อยก็ก้าวไปหาเควิน เธอส่งยิ้มหวานไปแล้วกวักมือให้อีกฝ่ายย่อตัวลงมา เมื่อเควินทำตามคำขอสาวน้อยก็โผเข้าไปกอดแล้วจูบที่ข้างแก้มเขา
“เมอร์รีคริสต์มาสค่ะคุณแวมไพร์”
สิ่งที่เควินเกลียดอีกอย่างคือการมีคนมาถือวิสาสะแตะต้องตัวเขา ต่อให้เป็นเด็กชายหนุ่มก็ไม่ปรานี ทว่าวันนี้หัวใจของปีศาจร้ายดูจะอ่อนไหวกว่าปกติมาก ชายหนุ่มก็เลยปล่อยไป อันที่จริงเขาเกือบจะยิ้มออกมาด้วยซ้ำถ้าไม่มีเสียงแซว
“โอ๊ะโอ! แวมไพร์ตัวร้ายโดนขโมยจูบเสียแล้ว”
“กลับไปได้แล้ว ที่นี่อากาศเย็นเกินไปสำหรับเด็ก” เควินทั้งเตือนทั้งไล่ด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์
ถึงห้องนี้เปิดฮีทเตอร์เอาไว้แต่แทบไม่ช่วยอะไรเลย เพราะเจ้าของห้องเปิดประตูระเบียงปล่อยให้ลมหนาวพัดเข้ามา
“ปิดประตูก็สิ้นเรื่อง” ฟินน์โต้พอให้ได้เถียงตามนิสัย
เขาไม่ดื้อดึงนานนักเพราะรู้ตัวดีว่าพาอลิซาเบธออกมาโดยไม่บอกใคร ป่านนี้แม่เด็กคงเป็นห่วงแย่แล้ว ก่อนจะพากลับชายหนุ่มหันไปพูดกับหลานสาวว่าให้เก็บเรื่องที่มาพบเควินวันนี้เป็นความลับ
“ทำไมคะ” แม่หนูจำไมตัวน้อยถามอีก
“เพราะทุกคนจะโกรธน่ะสิ หนูคงไม่อยากเห็นคุณย่าทวดโมโหใช่ไหม แล้วยังมีแม่หนูอีกคน ถ้ามีคนรู้ว่าลุงพาหนูมาที่นี่ไม่ใช่แค่หนูเท่านั้นที่จะโดนดุ ลุงก็จะถูกเกลียดด้วย อลิซเด็กดีคงไม่อยากให้เป็นอย่างนั้นใช่ไหม”
“ไม่ค่ะ ไม่เอา” เด็กหญิงพูดเสียงดัง
“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องสัญญานะว่านี่จะเป็นความลับของเราสองคน”
อลิซาเบธรับปากแต่โดยดี เมื่อเกี่ยวก้อยสัญญากันเรียบร้อยแล้ว ฟินน์ก็จัดการส่งเด็กน้อยกลับด้วยการเรียกชื่อของคนคนหนึ่ง
“อยู่แถวนี้ใช่ไหมเกลิค ช่วยพาคุณหนูตัวน้อยไปส่งที่ตึกใหญ่หน่อยสิ”
ยังไม่ทันจบประโยค ชายวัยสามสิบปลายๆ ในชุดเครื่องแบบพ่อบ้านก็ปรากฏตัวออกมาจากเงามืด แล้วเข้ามาประชิดตัวฟินน์ด้วยความเร็วที่น่าตะลึง
เกลิคหันไปสบตาเจ้านายแทนคำถามว่าจะให้จัดการอย่างที่แขกบอกใหม่ พอเควินพยักหน้าเขาก็ค้อมกายให้กับเด็กน้อย
“ผมจะพาคุณหนูกลับไปที่งานเลี้ยงเองครับ เชิญทางนี้”
เด็กน้อยยอมให้คนแปลกหน้าอุ้มโดยง่ายเพราะเห็นว่าเป็นคนรับใช้ มีน้อยคนนักที่จะรู้ว่าหน้าที่ที่แท้จริงของผู้ชายคนนี้ไม่ใช่พ่อบ้านแต่เป็นบอดี้การ์ดส่วนตัวของเควิน
ฟินน์รู้ความลับข้อนี้เพราะเกือบถูกหักแขนตอนแอบย่องเข้ามาหาเควินโดยไม่บอกล่วงหน้า ตอนนั้นเขาพิเรนทร์กว่านี้มาก ตั้งใจจะแกล้งด้วยการหลอกผีสักหน่อย แต่กลับกลายเป็นเขาเองที่ขวัญกระเจิง
ชายหนุ่มสงสัยว่าผู้ชายคนนี้เป็นใครกันแน่ก็เลยลองสืบประวัติดู แล้วก็ต้องตระหนกเมื่อค้นฐานข้อมูลพลเมืองสหรัฐแล้วไม่มีคนชื่อ เกลิค แม็กกี คนไหนที่มีรูปพรรณสัณฐานตรงกับผู้ชายคนนี้เลยสักคน พอสืบลึกลงไปเขาก็พบว่าผู้ชายคนนี้ถือสองสัญชาติทั้งอังกฤษแล้วก็ปาเลสไตน์ ส่วนใบหน้าที่เห็นในตอนนี้ผ่านการทำศัลยกรรมมาแล้วไม่ต่ำกว่าสามครั้ง ที่น่าตกใจไปกว่าคือเกลิคอยู่ในรายชื่อบุคคลที่ต้องเฝ้าระวังของซีไอเอ
สืบได้ถึงตรงนี้ฟินน์ก็ต้องหยุด ไม่ใช่ว่าไม่มีปัญญาจะสาวไส้เกลิคออกมาแต่ไม่กล้าผลีผลามทำอะไรเพราะเจ้าตัวเดินมาพูดเสียงนิ่มๆ ว่า
‘ถ้าอยากรู้เรื่องผมขนาดนั้นก็มาถามกันดีๆ ก็ได้นี่ครับ ไม่เห็นจะต้องเปลืองเงินจ้างนักสืบเลย’
เขาคงกล้าถามไปตามตรงหรอก ถ้าอีกฝ่ายไม่พูดไปพลางเช็ดมีดไปพลาง คิดถึงแววตาของหมอนั่นในตอนนั้นแล้วยังสยองไม่หาย เอาเป็นว่าทั้งเจ้านายและลูกน้องในคฤหาสน์นี้ไม่มีอะไรธรรมดาเลยสักอย่าง
เมื่อเกลิคออกไปจากห้องแล้ว เควินก็เดินไปที่โซฟาหนังสีดำ เขาทิ้งตัวลงนั่งแล้วมองไปทางฟินน์ด้วยสายตาที่บอกว่ามีอะไรก็ว่ามา
“ก็ไม่มีอะไรหรอก แค่มาเยี่ยมเยียนคุณอาตัวน้อยเหมือนทุกที”
‘คุณอาตัวน้อย’ คือคำเรียกที่ฟินน์มักจะใช้กับเควินในยามที่เห็นว่าเจ้าตัวอารมณ์ดี ฟินน์อายุมากกว่าห้าปีแต่มีศักดิ์เป็นหลานเพราะเควินเป็นลูกของคุณตากับภรรยาคนที่สี่
อายากะ มารดาของเควินเสียชีวิตตั้งแต่ยังสาว คุณตาเลยทุ่มเทความรักให้กับลูกชายคนเล็กเป็นอย่างมาก ทว่าสุขภาพของเควินกลับย่ำแย่จนน่าเป็นห่วงว่าจะจากโลกนี้ไปอีกคน เขาป่วยหนักด้วยโรคระบบภูมิคุ้มกัน ทั้งยังแพ้แสงแดดอย่างรุนแรงจนทำให้ต้องหันมาใช้ชีวิตตอนกลางคืนแทน
เด็กน้อยที่น่าสงสารไม่มีโอกาสไปโรงเรียน มีเพียงพ่อผู้ชรากับคนรับใช้คอยเป็นเพื่อนเท่านั้น คุณตากีดกันไม่ให้ลูกหลานหรือเด็กอื่นๆ มาเล่นกับลูกชายเพราะเควินเคยถูกรังแกจนบาดเจ็บและไม่สบายหนักมาก คนที่อยู่ในเหตุการณ์ครั้งนั้นเลยโดนคาดโทษกันทั่วหน้า ทำให้ไม่มีใครกล้ามาข้องแวะด้วยอีก มีเพียงฟินน์เท่านั้นที่ยังเข้าออกที่นี่เป็นประจำอย่างไม่เคยเข็ดหลาบ มิตรภาพของสองอาหลานก็เลยยืนยาวมาจนถึงทุกวันนี้
“มีเรื่องเวรเรื่องกรรมอะไรจะให้จัดการก็รีบบอกมาก่อนที่ฉันจะเสียอารมณ์”
สีหน้าของเควินไม่เชื่อเลยสักนิดว่าหลานชายตัวแสบจะแค่มาเยี่ยม ถ้าไม่มีอะไรจรืงคงไม่หาเรื่องให้เกลิคออกไปจากห้องนี้หรอก
“เลิกสักทีเถอะน่า ไอ้นิสัยมองโลกในแง่ร้ายอย่างนี้” ฟินน์ทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอ
“แล้วมันจริงไหม”
คนที่ถูกมองออกอย่างทะลุปรุโปร่งแสร้งทำเป็นไม่พอใจ
“ไม่คิดหรือไงว่าฉันมานี่เพราะอยากขอบคุณนาย”
“ขอบคุณเรื่องอะไร”
“เรื่องหุ้นคอนเนอร์ไง เรายังไม่ได้ฉลองเลยนะ”
ฟินน์ยอมรับแบบไม่อายเลยว่าถ้าไม่ได้เควิน เขาคงไม่มีวันได้หุ้นของบริษัทคอนเนอร์มาอยู่ในมือได้รวดเร็วขนาดนี้
“ก็แค่เรื่องทำแก้เบื่อ”
คนหลายพันล้านในโลกนี้ต่างก็ดิ้นรนให้ได้มาซึ่งเงินทองและอำนาจ ผิดกับเควินที่เกิดมาท่ามกลางสิ่งเหล่านี้ ก็เลยไม่ค่อยเห็นค่าของมันนัก
เควินเกิดมามีต้นทุนชีวิตที่สูงพอๆ กับมันสมองที่เข้าขั้นอัจฉริยะ ฟินน์เห็นถึงศักยภาพของเควินเลยพยายามที่จะลากคนเก็บตัวออกสู่โลกภายนอก ผลที่ได้คือชื่อเควิน คอนเนอร์เริ่มติดหูคนในแวดวงการลงทุน กระนั้นคุณอาผู้รักความเป็นส่วนตัวอย่างยิ่งยวด ก็ยังไม่ยอมเดินออกมาจากเงามืดเสียที
‘นายไม่อยากครองโลกหรือไงเควิน ถ้าเราร่วมมือกันรับรองว่าทำได้แน่’ เขาในวัยเลือดร้อนเคยลองชักชวนดูครั้งหนึ่ง
‘ทำไมฉันต้องร่วมด้วย ตัวฉันคนเดียวจะขยี้โลกใบนี้เมื่อไรก็ได้’
คำพูดคุยโตนี้ชวนหมั่นไส้ กระนั้นฟินน์ก็ยังเชื่ออย่างไม่แคลงใจว่าหากเจ้าตัวต้องการครองโลกจริงๆ คงมีปัญญาทำได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
‘นายไม่เบื่อโลกมืดของนายบ้างหรือไงนะ ไอ้โรคแพ้แสงของนายถ้ารักษาดีๆ ก็หายได้ไม่ใช่เหรอ’
‘ฉันชอบชีวิตที่เป็นแบบนี้ เหมือนกับนายที่ชอบแสงสว่างนั่นแหละ’
ถึงจะเข้าใจดีแต่ฟินน์ก็ไม่หยุดตื๊อ เควินจึงตัดรำคาญด้วยการยื่นข้อเสนอให้
‘ถ้านายหลงใหลแสงสว่างนัก ก็เป็นดวงอาทิตย์เสียเลยสิ ยิ่งนายสว่างเจิดจ้าเท่าไร ฉันก็จะยิ่งเป็นเงาที่ดำมืดเท่านั้น’
คำพูดของเควินหมายถึงว่าจะคอยสนับสนุนสิ่งที่ฟินน์ทำอยู่เบื้องหลังเอง ประโยคนี้จุดประกายความคิดบางอย่างให้เกิดขึ้น ฟินน์ตัดสินใจเปิดบริษัทใหม่ชื่อเอฟเคแอสเซต (FK asset) โดยมีตัวเองเป็นซีอีโอ ส่วนเควินคือผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ทั้งสองคนช่วยกันบริหารงานจนบริษัทเติบโตและมีกำไรมหาศาล
“ถ้าไม่อยากฉลองเรื่องหุ้น ก็มาฉลองเรื่องกำไรในไตรมาสนี้หน่อยเป็นไง ขึ้นมาตั้งสามเปอร์เซ็นต์เชียวนะ”
“ก็แค่เศษเงิน” เควินกรอกตาทำหน้าหน่าย ประหนึ่งฟินน์เป็นเด็กน้อยที่ดีใจกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง
“เทศกาลทั้งที ช่วยแกล้งดีใจกับเศษเงินร้อยล้านหน่อยเถอะน่า”
ฟินน์ตรงไปที่เคาน์เตอร์บาร์เพื่อหาเครื่องดื่ม อึดใจก็กลับมาพร้อมถาดอาหารว่างกับไวน์ ชายหนุ่มรินไวน์แดงส่งให้เจ้าของบ้านก่อน แล้วค่อยหันมาบริการตัวเอง
“ฉลองให้ความสำเร็จ” ชายหนุ่มยกแก้วขึ้น
เควินยอมชนแก้วด้วยไม่ใช่เพราะเห็นว่ามันเป็นเทศกาล แต่ทำเพื่อตัดรำคาญต่างหาก ชายหนุ่มนั่งจิบไวน์เงียบๆ โดยมีคนช่างจ้อพยายามชวนคุย
ฟินน์พูดเรื่องสัพเพเหระจนกระทั่งไวน์หมดขวดก็ขอตัวกลับ ทำเอาเจ้าของบ้านประหลาดใจที่ตัวป่วนแค่มาทักทายจริงๆ
ในขณะที่ชายหนุ่มมองส่งแขกหน้าประตูลับ ฟินน์ก็เอี้ยวตัวกลับมาเหมือนนึกอะไรได้
“ฉันส่งของขวัญคริสต์มาสมาให้นายแล้วนะ หวังว่าคงชอบ”
‘นั่นไง ในที่สุดหางของไอ้ตัวแสบก็โผล่’
“อะไร?”
“ความลับ” ฟินน์เหยียดยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์จับจิต ส่งผลให้สีหน้าของเควินกระด้างขึ้นทันตา
“คงรู้ใช่ไหมว่าถ้าฉันไม่ปลื้มจะเกิดอะไรขึ้น”
ฟินน์หัวเราะร่าแล้วโบกมือลาโดยไม่เหลียวหลังกลับมามอง
“เมอร์รีคริสต์มาส” ญาติตัวแสบเอ่ยทิ้งท้ายก่อนที่บานประตูจะปิดลง
+++++++++++++++++++++++++++
สวัสดีท้ายตอนค่ะ ขอบคุณทุกท่านที่แวะเข้ามาอ่านและทักทายกันนะคะ ขอแจ้งข่าวอีกรอบว่าเปิดให้เล่มเกมชิงของฝากจากเกาหลีค่ะ ใครสนใจไปเล่นได้ที่แฟนเพจโน้มนะคะ https://www.facebook.com/nomekaa อยากแจกมากค่ะ แล้วตอนนี้คนเล่นน้อยกว่าของรางวัล มีลุ้นนะคะขอบอก
สำหรับนิยายเรื่องนี้ มีคนถามด้วยว่าโน้มเขียนแนวนี้ด้วยเหรอ? แลดูซีรีย์นี้จะหื่นนะตัว เอ่อ...คำตอบคือ “ก็ไม่รู้สินะคะ” (แสยะยิ้มเจ้าเล่ห์) ตั้งใจให้เป็นโรมานซ์เบาๆ สนองนี้ด แต่ไม่รู้จะมีปัญญาเขียนได้แค่ไหนนะคะ ถ้ามีวาสนาได้พิมพ์จะเอานิยายมาแจกค่า
หมายเหตุ 1 ใครชอบฟินน์ยกมือขึ้น คนเขียนชอบอ่ะ เดาได้เลยโน้มรักใครภาคของฮีรับรองว่าทั้งน่าเวทนาและฮาแตก 555
หมายเหตุ 2 ใครเคยอ่านชายิกาของเจ้าชายยกมือขึ้น ฟินน์ คือพี่ชายแท้ๆ ของลอยด์ พระเอกในเรื่องชายิกาของเจ้าชายค่ะ อ่านตอนนี้ดูจะเห็นชื่อลอยด์โผล่มาแวบๆ ไม่ต้องงงนะคะว่าทำไมพี่น้องใช้คนละนามสกุลกัน ลอยด์นามสกุล สมิธ ค่ะ เพราะว่าพ่อแม่เขาหย่ากัน
คฤหาสน์ไวท์คิง เมืองแฟร์แฟกซ์ รัฐเวอร์จิเนีย
ในห้องโถงใหญ่ที่ประดาประดับไปด้วยของตกแต่งหรูหรา ไม่ไกลจากต้นคริสต์มาสนัก โทมัส คอนเนอร์ ผู้นำตระกูลวัย 87 กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้โยกท่ามกลางวงล้อมของลูกหลานซึ่งมารวมตัวกันอยู่อย่างอุ่นหนาฝาคั่ง
ภาพความสนุกสนานครื้นเครงกับเสียงหัวเราะที่ดังก้อง ทำให้คนที่หลบมุมพิงเสาอยู่อย่างฟินน์นึกถึงฉากครอบครัวสุขสันต์ในภาพยนตร์ขึ้นมา
สมัยที่ยังเด็ก เขาเคยหลงใหลได้ปลื้มงานรวมญาติแบบนี้เป็นอย่างมาก ฟินน์รักคุณตาโทมัสที่ใจดีราวกับซานตาคลอส หลงใหลได้ปลื้มกับขนมและอาหารมากมายที่กินได้ไม่จำกัด ไหนจะมีลูกพี่ลูกน้องวัยเดียวกันเป็นเพื่อนเล่นซุกซนเป็นโขยงอีก
ฟินน์เฝ้ารองานเลี้ยงในคืนวันรวมญาติอย่างนี้ทุกปีและสนุกสนานไปกับมันจวบจนกระทั่งโตพอรู้ความ งานเลี้ยงสุดหรรษาในสายตาก็แปรเปลี่ยนไปกลายเป็นสมรภูมิรบ การแสดงความสามารถเพื่อความสนุกสนานกลายเป็นการแข่งขัน ลูกพี่ลูกน้องที่เคยรักใคร่กันดีเริ่มแสดงความเป็นอริ ทุกคนต้องเลือกข้างไม่อย่างนั้นก็จะถูกกดดันจากทุกฝ่ายและตราหน้าว่าเป็นนกสองหัว
ความแตกร้าวนี้เกิดขึ้นเพราะมีอำนาจและเงินทองเป็นตัวชี้นำแต่สิ่งที่ขับเคลื่อนมันจริงๆ คือไฟริษยา คุณตาโทมัสเป็นนักธุรกิจที่เก่งกาจก็เลยคิดว่าสามารถควบคุมทุกอย่างได้ ท่านทำสิ่งที่ชายชาวอเมริกันส่วนใหญ่ไม่นิยมทำกัน นั่นคือการมีภรรยาหลายคนและให้ทุกคนอยู่ร่วมบ้านเดียวกัน แม้จะจัดสรรพื้นที่ให้เป็นส่วนตัวแต่ก็มีกฎเหล็กว่าภรรยาทั้งหลายต้องมารวมตัวกันอย่างพร้อมหน้าเมื่อเวลาท่านเรียกตัว
ฉากหน้าทุกคนจึงสมานฉันท์กันดีเพื่อเอาใจประมุขของบ้าน แต่ลับหลังกลับเต็มไปด้วยความเกลียดชัง แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันตลอดเวลา
ฟินน์โชคดีที่คุณยายมาเรียของเขามีแม่เป็นลูกแค่คนเดียว แล้วคุณยายก็เป็นพวกไม่ชอบแข่งขันกับใครด้วย ภรรยาคนอื่นที่มีลูกชายก็เลยไม่ค่อยมาหาเรื่องเพราะเห็นว่าไม่ใช่คู่แข่ง ยิ่งเขากับบรรดาพี่น้องยังไม่มีใครแต่งงานไม่มีเหลนมาอวดคุณตาให้ชื่นใจ คุณยายก็ยิ่งถูกมองข้ามจนกลายเป็นสายตระกูลที่มีอำนาจน้อยที่สุดไป
นอกจากปัญหาที่เล่ามาแล้ว ฟินน์กับพี่น้องยังถูกญาติดูแคลนเพราะมีพ่อที่บริหารงานไม่ได้เรื่อง พอพ่อแม่แยกทางกันก็ถูกยัดข้อหาใช้เรื่องบ้านแตกเรียกคะแนนสงสารเพิ่มเข้าไปอีก ถูกเหน็บแนมมากเข้าก็เลยกลายเป็นปมในใจว่าสักวันจะเอาคืนให้ได้สักวัน
โอกาสที่รอคอยมาถึงฟินน์เมื่อเขาได้รู้จักกับคนคนหนึ่ง อีกฝ่ายแนะนำให้หันหลังให้ธุรกิจโทรคมนาคมซึ่งบรรพบุรุษเป็นผู้บุกเบิก แล้วไปเอาดีทางด้านอสังหาริมทรัพย์แทน ฟินน์ทำตามเพราะเห็นวิสัยทัศน์และความสามารถของคนคนนี้ ทั้งสองร่วมหุ้นกัน ช่วยกันก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาแล้วก็ทยอยซื้อหุ้นของคอนเนอร์เก็บไว้ จนในที่สุดก็สามารถเข้าไปนั่งเสนอหน้าในการประชุมของกรรมการบริหารได้
ฟินน์สะใจมากทีเดียวตอนเห็นพวกญาติทำหน้าเหวอ บางรายถึงกับโกรธจนตัวสั่นที่เด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างเขาไปเสนอหน้าอยู่ในบอร์ดบริหารได้ จะเสียคือเรื่องเดียวเท่านั้นคือถูกคุณยายบ่นจนหูชาว่าทำอะไรไม่รู้จักคิด
การกระทำของฟินน์นั้นไม่ต่างอะไรกับการกระโดดเข้าไปร่วมศึกสายเลือดอย่างเป็นทางการเลย ถึงตอนนี้จะปฏิเสธว่าไม่สนใจตำแหน่งประมุขคนต่อไปของตระกูลก็ไม่มีใครเชื่อแล้ว คุณยายโซฟีของเขาก็เลยโดนภรรยาคนอื่นของคุณตาทั้งกัดทั้งเหน็บเสียไม่มีดี
ฟินน์เหลือบไปมองผู้เป็นยาย ตอนนี้ใบหน้าท่านเปื้อนยิ้มเพราะสองข้างกายมีหลานสาวหลานชายคนโปรดอย่างเอวาและลอยด์คอยเอาใจ เห็นแล้วก็นึกดีใจที่ไม่ไปเข้าร่วมวงจนทำให้เสียบรรยากาศ
ในค่ำคืนนี้ตัวแสบประจำครอบครัวพอใจที่จะเก็บปากเก็บคำและยืนจิบไวน์หลบมุมเฝ้าสังเกตการณ์เครือญาติอยู่ห่างๆ เวลามองจากระยะไกลแล้วทุกคนหันหลังอย่างนี้ ถ้าไม่สังเกตให้ดีก็ยากที่จะแยกออกว่าใครเป็นใคร เพราะพวกคอนเนอร์ส่วนใหญ่ต่างก็มีรูปร่างสูง ผมบลอนด์ ตาฟ้าเสียเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งฟินน์เองก็เป็นอีกหนึ่งคนที่ได้รับลักษณะเด่นประจำตระกูลมา
ในขณะที่กำลังทอดอารมณ์ไปกับบรรยากาศ หลานสาวตัวน้อยวัยหกขวบก็เข้ามาดึงชายเสื้อ
“คุณลุงฟินน์ อุ้มหนูหน่อยค่ะ” อลิซาเบธอ้อน
เด็กหญิงเป็นลูกของเกรซ ลูกพี่ลูกน้องจากอีกสายตระกูลหนึ่ง เขากับเกรซมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ดังนั้นฟินน์เลยไม่เกี่ยงที่จะช่วยเลี้ยงหลาน ส่วนแม่เด็กเองก็ไม่ว่าที่ลูกสาวตัวน้อยมาข้องแวะกับอาฟินน์ ตราบใดที่คุณลุงจอมป่วนไม่สอนหลานเล่นพิเรนทร์ คนเป็นแม่ก็ยังยิ้มได้อยู่
“ได้เลยครับสาวน้อย”
ฟินน์วางแก้วในมือ เขายกตัวหลานสาวขึ้นมาเหวี่ยงไปมาพอให้หัวเราะคิกคัก เสร็จแล้วจึงค่อยอุ้มดีๆ
“สาวน้อยคนสวยอยากกินอะไรไหม เดี๋ยวคุณลุงสุดหล่อจะพาไปหม่ำ”
“ไม่ค่ะ หนูอิ่มแล้ว” เด็กหญิงส่ายหน้า “แต่...หนูสงสัย”
“สงสัยอะไรฮึ”
เด็กหญิงมองซ้ายมองขวาเหมือนกลัวว่าจะมีคนได้ยิน พอสำรวจดีแล้วว่าไม่มีใครมองก็เอามือป้องปากแล้วกระซิบถาม
“ที่ว่างตรงข้างคุณปู่ทวดคือที่ของใครคะ หนูถามคุณย่าทวดดีๆ แต่กลับถูกดุ” เด็กหญิงเอ่ยเสียงเศร้าในประโยคสุดท้าย
“อลิซตัวน้อยที่น่าสงสาร” ฟินน์พึมพำ
เห็นเด็กหญิงน้องทำหน้าเศร้า เขาก็อดที่จะลูบหัวปลอบไม่ได้
ชายหนุ่มไม่แปลกใจเลยที่คุณยายสเตลล่าจะอารมณ์เสียใส่เหลนเพราะเรื่องนี้ เจ้าหล่อนถือตัวว่าเป็นภรรยาคนแรกของคุณตาทั้งยังให้กำเนิดบุตรชายคนแรกด้วย ก็เลยคิดว่าตัวเองมีความสำคัญและมีอิทธิพลกว่าผู้หญิงของสามีทุกคน แต่นั่นเป็นความคิดที่ผิด คนที่อยู่ในใจของคุณตาและมีอำนาจเหนือใครในตระกูลคือเจ้าของที่นั่งว่างเปล่าทางฝั่งซ้ายและขวาของโทมัส คอนเนอร์ต่างหาก
เก้าอี้สองตัวนั้นถูกเว้นว่างเอาไว้ในทุกงานรวมญาติ ตัวหนึ่งสำหรับคนเป็น ส่วนอีกตัวหนึ่งสำหรับคนตาย ตอนเป็นเด็กเขาก็สงสัยเหมือนกันว่าที่ว่างนั่นเว้นให้ใคร
“คุณลุงบอกหนูได้ไหมคะว่าเป็นที่ของใคร” อลิซาเบธถามซ้ำเพราะคุณลุงไม่มีท่าทีว่าจะตอบคำถามของเธอเสียที
“เสียใจด้วยที่รัก ลุงตอบคำถามหนูไม่ได้”
มันกลายเป็นกฎของตระกูลไปแล้วว่าจะไม่เอ่ยถึงเรื่องของที่ว่างสองที่นั่นไม่ว่ากรณีใดๆ คนครึ่งหนึ่งไม่อยากพูดถึงเพราะมันจะนำความเศร้ามาให้ผู้นำตระกูลอย่างคุณตาโทมัส ในขณะที่อีกครึ่งหนึ่งชิงชังสองนามนี้เป็นอย่างยิ่ง
“ตอบไม่ได้เพราะไม่รู้หรือรู้แต่ไม่ตอบคะ”
มองท่าทางของแกแล้วฟินน์ก็อมยิ้มอย่างเอ็นดู ประโยคนี้เกรซชอบพูดประจำเวลาจะเค้นความลับจากใคร ดูท่าเด็กคนนี้จะได้นิสัยเจ้าเล่ห์ของแม่แกมามากทีเดียว
“นะคะคุณลุง ได้โปรดเถอะค่ะ คุณหนูสัญญาว่าจะไม่บอกใคร”
เด็กหญิงตัวน้อยอ้อนสุดชีวิตส่งผลให้คุณลุงที่กำลังเมาแบบกรึ่มๆ ใจอ่อนในที่สุด เนื่องจากไม่สามารถเผยความลับออกมาเป็นคำพูดได้ ฟินน์เลยแก้ปัญหาด้วยการพาหลานสาวตัวน้อยไปหาคนที่เป็นเจ้าของที่นั่งทางฝั่งซ้ายมือเสียเลย
คฤหาสน์ไวท์คิงประกอบด้วยตัวตึกหลักและส่วนต่อขยายมากมาย ทุกพื้นที่มีทางเดินเชื่อมต่อกันหมดยกเว้นคฤหาสน์สีเทาที่ตั้งอยู่บนเนินเขา บ้านหลังนี้ถูกแยกออกมาอยู่โดดเดี่ยว ทั้งรูปแบบการก่อสร้างและสีสันไม่มีอะไรเข้ากันกับตัวตึกใหญ่เลย บางคนเลยเข้าใจผิดว่าคฤหาสน์หลังนั้นเป็นของคนอื่น
น้อยคนนักที่จะรู้ว่าสถานที่สองแห่งนี้มีทางเดินใต้ดินเชื่อมต่อกันอยู่ พื้นที่พิเศษส่วนนี้ต้องใช้กุญแจเท่านั้นถึงจะเปิดเข้ามาได้ ฟินน์ใช้มือหนึ่งอุ้มหลานสาว ในขณะที่อีกมือไขกุญแจอย่างคล่องแคล่ว ครั้งสุดท้ายที่เขามาที่นี่คือเมื่อครึ่งปีก่อน ถึงกระนั้นก็ยังรู้สึกคุ้นเคยกับกลิ่นอายของสถานที่ สำหรับเขาแล้วคฤหาสน์ลึกลับที่กำลังย่างก้าวเข้าไปไม่ต่างอะไรกับสนามหลังบ้านนักหรอก
ชายหนุ่มพาหนูน้อยอลิซาเบธเดินมาตามทางลับใต้ดิน จากนั้นก็ขึ้นบันไดยาวเหยียดเพื่อมุ่งสู่ประตูกลซึ่งเชื่อมกับบริเวณชั้นสองของคฤหาสน์
หลังประตูบานนี้คือห้องพักผ่อนส่วนตัวของเจ้าของสถานที่ ในห้องนี้เปิดไฟเอาไว้เพียงสลัว แต่ก็สว่างพอทำให้มองเห็นว่ามีคนยืนตากลมหนาวอยู่ตรงระเบียงในชุดเสื้อผ้าเนื้อบาง
วันนี้อุณหภูมิติดลบแท้ๆ แต่หมอนี่กลับไม่สะท้านสะเทือน พฤติกรรมอย่างนี้มันช่างเหมาะกับคำครหาว่าเป็นพวกเลือดเย็นไร้ความรู้สึกเสียจริง
“มาทำไม”
คนถูกรุกล้ำความเป็นส่วนตัวถามโดยไม่หันมามอง ดูเหมือนว่าชายหนุ่มกำลังให้ความสนใจท้องฟ้าสีหม่นมากกว่าแขกที่ไม่ได้รับเชิญอย่างฟินน์
“ฉันต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายถามว่าทำไมนายถึงไม่ไปร่วมงานเลี้ยง”
เควินยักไหล่แทนคำตอบดังจะบอกว่าเคยใส่ใจเสียที่ไหน หลังจากมารดาเสียชีวิต เขาก็ไปปรากฏตัวในงานเลี้ยงรวมญาติเพียงแค่สองครั้งเท่านั้น จากนั้นก็ไม่ได้ไปอีกเลย ด้วยเหตุผลสองประการคือเกลียดคนจำนวนมากและไม่อยากต้องอารมณ์ขุ่นมัวเพราะคำคน
“คุณคือเจ้าของเก้าอี้ข้างคุณทวดหรือคะ” อลิซาเบธโพล่งออกมา
เสียงใสๆ ของเด็กน้อยดึงความสนใจเควินให้หันมามอง
“ใช่แล้วล่ะ” ฟินน์ตอบคำถามแทน
“คุณเป็นใครคะ”
เด็กหญิงถามชายแปลกหน้าอย่างไม่กลัว ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจเลยเพราะเควินมีรูปลักษณ์ที่ดึงดูดใจผิดกับนิสัยอย่างสิ้นเชิง เขาเป็นคนร่างบางแต่ก็ไม่ผอมแห้งน่าเกลียด ผมดำสนิท นัยน์ตาสีอำพัน ส่วนใบหน้านั้นสวยหวานชนิดที่สตรีโฉมงามยังต้องพ่าย
เควินก้าวอย่างสง่ามาหาเด็กน้อย ริมฝีปากบางยกขึ้นเล็กน้อย แม้จะเป็นเพียงการอมยิ้ม แต่ก็มีเสน่ห์ตรึงสายตา
“หนูคิดว่าฉันเป็นใครล่ะ” เสียงนุ่มน่าฟังดังกังวาน
“เทพธิดาใช่ไหมคะ คุณเป็นเทพธิดาคริสต์มาส คุณทวดถึงเว้นที่ว่างเอาไว้ให้”
ฟินน์ลอบยิ้มเมื่อหลานสาวตัวน้อยใช้คำว่า ‘เทพธิดา’ แทน ‘เทวดา’ ดูท่าแม่หนูจะปักใจเชื่อไปเสียแล้วว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเป็นผู้หญิง
สิ่งที่เควินเกลียดเป็นอันดับต้นๆ คือการถูกเข้าใจผิดอย่างนี้ แต่จะโทษแม่หนูน้อยก็ไม่ถูกนัก ต้องโทษใบหน้าที่สวยเกินมนุษย์ กับผมยาวสลวยนั่นมากกว่า
คนถูกเข้าใจผิดเข้าใจเหตุผลดี กระนั้นปีศาจในร่างเทพบุตรก็ไม่ปรานีเด็กน้อย เขายื่นมือเย็นเฉียบมาแตะที่ข้างแก้มเด็กหญิง ทำเอาเจ้าของแก้มยุ้ยสะดุ้งโหยง
“หนูเข้าใจถูกแล้ว ฉันไม่ใช่มนุษย์หรอก แต่ไม่ใช่เทพธิดาหรอกนะ เคยได้ยินชื่อแวมไพร์ไหม” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงแหบพร่าแล้วโชว์เขี้ยวที่มุมปากให้ดู
‘ให้ตายสิ...รังแกได้แม้กระทั่งเด็ก’ ฟินน์ครวญในใจ
เขายอมรับว่าตัวเองไม่ใช่คนดีเด่อะไร แต่ถ้าเทียบระดับความเหี้ยมกับคนคนนี้แล้ว เขากลายเป็นลูกเจี๊ยบไปเลย ฟินน์เป็นประเภทชอบแหย่ชอบหยอกอาจจะเล่นแรงแต่ก็ไม่ถึงตาย ตรงข้ามกับเควินที่ไม่มีรูปแบบการปฏิบัติตายตัว กระนั้นก็มักจะจบด้วยผลลัพธ์เดียวกันเสมอ นั่นคือเป้าหมายถึงฆาตทุกราย ทั้งที่ตายทั้งเป็นแล้วก็ตายแบบหมดลมหายใจไปจริงๆ
แม่หนูอลิซาเบธนิ่งงันไปเลย แกมองคนที่สวมรอยเป็นปีศาจตาค้าง ฟินน์กลัวว่าสาวน้อยในอ้อมแขนจะเบะปากร้องไห้ก็เลยพาถอยออกมา
“เขาแค่ล้อหนูเล่นเท่านั้นเอง ไม่ต้องกลัวนะ”
“’เขา’ หรือคะ? หมายความว่าคุณไม่ใช่ผู้หญิง” ดวงตาสีฟ้าที่เบิกกว้างอยู่แล้วดูจะกว้างขึ้นไปอีกเมื่อรู้ความจริง
“ถูกต้องแล้วสาวน้อย ฉันเป็นปีศาจหนุ่มที่โปรดปรานเนื้อเด็กมาก”
น้ำเสียงและสีหน้าของเควินตอนนี้เปลี่ยนเป็นชวนขนลุก เด็กปกติได้ยินแบบนี้คงขวัญผวา ทว่าอลิซาเบธกลับร้องว้าวอย่างตื่นเต้น
พูดกันตามจริงสายเลือดของตระกูลคอนเนอร์มักจะไม่ใช่พวกปกติมนุษย์นัก ยิ่งเป็นลูกสาวของผู้หญิงที่ได้ชื่อว่าเป็นเหมือนร่างอวตารของตัวแสบอย่างฟินน์ การปะทะกันครั้งนี้เลยกลายเป็นมวยถูกคู่ไป
“คุณลุงคะ หนูบอกแม่ได้ไหมว่าหนูเจอปีศาจคริสต์มาส” เด็กหญิงเอ่ยอย่างตื่นเต้น แล้วทำท่าจะขอลงไปหาคนที่พยายามขู่ให้เธอกลัว
เควินคิ้วกระตุก เขาไม่ได้ไม่พอใจหนูน้อย แต่หมั่นไส้ผู้ใหญ่ผมทองที่หัวเราะจนตัวโคลง
ฟินน์พยายามหุบยิ้มเมื่อเห็นสายตาพิฆาตของคนที่มีศักดิ์เป็นอา กระนั้นก็ฝืนตัวเองไม่ได้ ภาพแวมไพร์จอมโหดโดนเด็กโต้เสียไปต่อไม่เป็นหาดูได้ง่ายเสียที่ไหน
“คริสต์มาสทั้งที ขอวันหนึ่งเถอะน่า”
เควินพ่นลมหายใจออกมาอย่างรำคาญแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ฟินน์เห็นเป็นโอกาสก็เลยปล่อยหัวเราะที่กลั้นเอาไว้ออกมาเต็มที่
“คุณลุงขำอะไรคะ” อลิซาเบธถามอย่างสงสัย
“ไม่มีอะไรจ้ะสาวน้อย ลุงแค่อารมณ์ดีเป็นพิเศษ”
“หนูก็อารมณ์ดีค่ะ ขอลงหน่อยนะคะ”
ฟินน์ยอมปล่อยตัวเด็กหญิงลงกับพื้น เขายืนคุมไม่ห่างเพื่อดูว่าแกจะทำอะไรเป็นอย่างต่อไป อึดใจสาวน้อยก็ก้าวไปหาเควิน เธอส่งยิ้มหวานไปแล้วกวักมือให้อีกฝ่ายย่อตัวลงมา เมื่อเควินทำตามคำขอสาวน้อยก็โผเข้าไปกอดแล้วจูบที่ข้างแก้มเขา
“เมอร์รีคริสต์มาสค่ะคุณแวมไพร์”
สิ่งที่เควินเกลียดอีกอย่างคือการมีคนมาถือวิสาสะแตะต้องตัวเขา ต่อให้เป็นเด็กชายหนุ่มก็ไม่ปรานี ทว่าวันนี้หัวใจของปีศาจร้ายดูจะอ่อนไหวกว่าปกติมาก ชายหนุ่มก็เลยปล่อยไป อันที่จริงเขาเกือบจะยิ้มออกมาด้วยซ้ำถ้าไม่มีเสียงแซว
“โอ๊ะโอ! แวมไพร์ตัวร้ายโดนขโมยจูบเสียแล้ว”
“กลับไปได้แล้ว ที่นี่อากาศเย็นเกินไปสำหรับเด็ก” เควินทั้งเตือนทั้งไล่ด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์
ถึงห้องนี้เปิดฮีทเตอร์เอาไว้แต่แทบไม่ช่วยอะไรเลย เพราะเจ้าของห้องเปิดประตูระเบียงปล่อยให้ลมหนาวพัดเข้ามา
“ปิดประตูก็สิ้นเรื่อง” ฟินน์โต้พอให้ได้เถียงตามนิสัย
เขาไม่ดื้อดึงนานนักเพราะรู้ตัวดีว่าพาอลิซาเบธออกมาโดยไม่บอกใคร ป่านนี้แม่เด็กคงเป็นห่วงแย่แล้ว ก่อนจะพากลับชายหนุ่มหันไปพูดกับหลานสาวว่าให้เก็บเรื่องที่มาพบเควินวันนี้เป็นความลับ
“ทำไมคะ” แม่หนูจำไมตัวน้อยถามอีก
“เพราะทุกคนจะโกรธน่ะสิ หนูคงไม่อยากเห็นคุณย่าทวดโมโหใช่ไหม แล้วยังมีแม่หนูอีกคน ถ้ามีคนรู้ว่าลุงพาหนูมาที่นี่ไม่ใช่แค่หนูเท่านั้นที่จะโดนดุ ลุงก็จะถูกเกลียดด้วย อลิซเด็กดีคงไม่อยากให้เป็นอย่างนั้นใช่ไหม”
“ไม่ค่ะ ไม่เอา” เด็กหญิงพูดเสียงดัง
“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องสัญญานะว่านี่จะเป็นความลับของเราสองคน”
อลิซาเบธรับปากแต่โดยดี เมื่อเกี่ยวก้อยสัญญากันเรียบร้อยแล้ว ฟินน์ก็จัดการส่งเด็กน้อยกลับด้วยการเรียกชื่อของคนคนหนึ่ง
“อยู่แถวนี้ใช่ไหมเกลิค ช่วยพาคุณหนูตัวน้อยไปส่งที่ตึกใหญ่หน่อยสิ”
ยังไม่ทันจบประโยค ชายวัยสามสิบปลายๆ ในชุดเครื่องแบบพ่อบ้านก็ปรากฏตัวออกมาจากเงามืด แล้วเข้ามาประชิดตัวฟินน์ด้วยความเร็วที่น่าตะลึง
เกลิคหันไปสบตาเจ้านายแทนคำถามว่าจะให้จัดการอย่างที่แขกบอกใหม่ พอเควินพยักหน้าเขาก็ค้อมกายให้กับเด็กน้อย
“ผมจะพาคุณหนูกลับไปที่งานเลี้ยงเองครับ เชิญทางนี้”
เด็กน้อยยอมให้คนแปลกหน้าอุ้มโดยง่ายเพราะเห็นว่าเป็นคนรับใช้ มีน้อยคนนักที่จะรู้ว่าหน้าที่ที่แท้จริงของผู้ชายคนนี้ไม่ใช่พ่อบ้านแต่เป็นบอดี้การ์ดส่วนตัวของเควิน
ฟินน์รู้ความลับข้อนี้เพราะเกือบถูกหักแขนตอนแอบย่องเข้ามาหาเควินโดยไม่บอกล่วงหน้า ตอนนั้นเขาพิเรนทร์กว่านี้มาก ตั้งใจจะแกล้งด้วยการหลอกผีสักหน่อย แต่กลับกลายเป็นเขาเองที่ขวัญกระเจิง
ชายหนุ่มสงสัยว่าผู้ชายคนนี้เป็นใครกันแน่ก็เลยลองสืบประวัติดู แล้วก็ต้องตระหนกเมื่อค้นฐานข้อมูลพลเมืองสหรัฐแล้วไม่มีคนชื่อ เกลิค แม็กกี คนไหนที่มีรูปพรรณสัณฐานตรงกับผู้ชายคนนี้เลยสักคน พอสืบลึกลงไปเขาก็พบว่าผู้ชายคนนี้ถือสองสัญชาติทั้งอังกฤษแล้วก็ปาเลสไตน์ ส่วนใบหน้าที่เห็นในตอนนี้ผ่านการทำศัลยกรรมมาแล้วไม่ต่ำกว่าสามครั้ง ที่น่าตกใจไปกว่าคือเกลิคอยู่ในรายชื่อบุคคลที่ต้องเฝ้าระวังของซีไอเอ
สืบได้ถึงตรงนี้ฟินน์ก็ต้องหยุด ไม่ใช่ว่าไม่มีปัญญาจะสาวไส้เกลิคออกมาแต่ไม่กล้าผลีผลามทำอะไรเพราะเจ้าตัวเดินมาพูดเสียงนิ่มๆ ว่า
‘ถ้าอยากรู้เรื่องผมขนาดนั้นก็มาถามกันดีๆ ก็ได้นี่ครับ ไม่เห็นจะต้องเปลืองเงินจ้างนักสืบเลย’
เขาคงกล้าถามไปตามตรงหรอก ถ้าอีกฝ่ายไม่พูดไปพลางเช็ดมีดไปพลาง คิดถึงแววตาของหมอนั่นในตอนนั้นแล้วยังสยองไม่หาย เอาเป็นว่าทั้งเจ้านายและลูกน้องในคฤหาสน์นี้ไม่มีอะไรธรรมดาเลยสักอย่าง
เมื่อเกลิคออกไปจากห้องแล้ว เควินก็เดินไปที่โซฟาหนังสีดำ เขาทิ้งตัวลงนั่งแล้วมองไปทางฟินน์ด้วยสายตาที่บอกว่ามีอะไรก็ว่ามา
“ก็ไม่มีอะไรหรอก แค่มาเยี่ยมเยียนคุณอาตัวน้อยเหมือนทุกที”
‘คุณอาตัวน้อย’ คือคำเรียกที่ฟินน์มักจะใช้กับเควินในยามที่เห็นว่าเจ้าตัวอารมณ์ดี ฟินน์อายุมากกว่าห้าปีแต่มีศักดิ์เป็นหลานเพราะเควินเป็นลูกของคุณตากับภรรยาคนที่สี่
อายากะ มารดาของเควินเสียชีวิตตั้งแต่ยังสาว คุณตาเลยทุ่มเทความรักให้กับลูกชายคนเล็กเป็นอย่างมาก ทว่าสุขภาพของเควินกลับย่ำแย่จนน่าเป็นห่วงว่าจะจากโลกนี้ไปอีกคน เขาป่วยหนักด้วยโรคระบบภูมิคุ้มกัน ทั้งยังแพ้แสงแดดอย่างรุนแรงจนทำให้ต้องหันมาใช้ชีวิตตอนกลางคืนแทน
เด็กน้อยที่น่าสงสารไม่มีโอกาสไปโรงเรียน มีเพียงพ่อผู้ชรากับคนรับใช้คอยเป็นเพื่อนเท่านั้น คุณตากีดกันไม่ให้ลูกหลานหรือเด็กอื่นๆ มาเล่นกับลูกชายเพราะเควินเคยถูกรังแกจนบาดเจ็บและไม่สบายหนักมาก คนที่อยู่ในเหตุการณ์ครั้งนั้นเลยโดนคาดโทษกันทั่วหน้า ทำให้ไม่มีใครกล้ามาข้องแวะด้วยอีก มีเพียงฟินน์เท่านั้นที่ยังเข้าออกที่นี่เป็นประจำอย่างไม่เคยเข็ดหลาบ มิตรภาพของสองอาหลานก็เลยยืนยาวมาจนถึงทุกวันนี้
“มีเรื่องเวรเรื่องกรรมอะไรจะให้จัดการก็รีบบอกมาก่อนที่ฉันจะเสียอารมณ์”
สีหน้าของเควินไม่เชื่อเลยสักนิดว่าหลานชายตัวแสบจะแค่มาเยี่ยม ถ้าไม่มีอะไรจรืงคงไม่หาเรื่องให้เกลิคออกไปจากห้องนี้หรอก
“เลิกสักทีเถอะน่า ไอ้นิสัยมองโลกในแง่ร้ายอย่างนี้” ฟินน์ทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอ
“แล้วมันจริงไหม”
คนที่ถูกมองออกอย่างทะลุปรุโปร่งแสร้งทำเป็นไม่พอใจ
“ไม่คิดหรือไงว่าฉันมานี่เพราะอยากขอบคุณนาย”
“ขอบคุณเรื่องอะไร”
“เรื่องหุ้นคอนเนอร์ไง เรายังไม่ได้ฉลองเลยนะ”
ฟินน์ยอมรับแบบไม่อายเลยว่าถ้าไม่ได้เควิน เขาคงไม่มีวันได้หุ้นของบริษัทคอนเนอร์มาอยู่ในมือได้รวดเร็วขนาดนี้
“ก็แค่เรื่องทำแก้เบื่อ”
คนหลายพันล้านในโลกนี้ต่างก็ดิ้นรนให้ได้มาซึ่งเงินทองและอำนาจ ผิดกับเควินที่เกิดมาท่ามกลางสิ่งเหล่านี้ ก็เลยไม่ค่อยเห็นค่าของมันนัก
เควินเกิดมามีต้นทุนชีวิตที่สูงพอๆ กับมันสมองที่เข้าขั้นอัจฉริยะ ฟินน์เห็นถึงศักยภาพของเควินเลยพยายามที่จะลากคนเก็บตัวออกสู่โลกภายนอก ผลที่ได้คือชื่อเควิน คอนเนอร์เริ่มติดหูคนในแวดวงการลงทุน กระนั้นคุณอาผู้รักความเป็นส่วนตัวอย่างยิ่งยวด ก็ยังไม่ยอมเดินออกมาจากเงามืดเสียที
‘นายไม่อยากครองโลกหรือไงเควิน ถ้าเราร่วมมือกันรับรองว่าทำได้แน่’ เขาในวัยเลือดร้อนเคยลองชักชวนดูครั้งหนึ่ง
‘ทำไมฉันต้องร่วมด้วย ตัวฉันคนเดียวจะขยี้โลกใบนี้เมื่อไรก็ได้’
คำพูดคุยโตนี้ชวนหมั่นไส้ กระนั้นฟินน์ก็ยังเชื่ออย่างไม่แคลงใจว่าหากเจ้าตัวต้องการครองโลกจริงๆ คงมีปัญญาทำได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
‘นายไม่เบื่อโลกมืดของนายบ้างหรือไงนะ ไอ้โรคแพ้แสงของนายถ้ารักษาดีๆ ก็หายได้ไม่ใช่เหรอ’
‘ฉันชอบชีวิตที่เป็นแบบนี้ เหมือนกับนายที่ชอบแสงสว่างนั่นแหละ’
ถึงจะเข้าใจดีแต่ฟินน์ก็ไม่หยุดตื๊อ เควินจึงตัดรำคาญด้วยการยื่นข้อเสนอให้
‘ถ้านายหลงใหลแสงสว่างนัก ก็เป็นดวงอาทิตย์เสียเลยสิ ยิ่งนายสว่างเจิดจ้าเท่าไร ฉันก็จะยิ่งเป็นเงาที่ดำมืดเท่านั้น’
คำพูดของเควินหมายถึงว่าจะคอยสนับสนุนสิ่งที่ฟินน์ทำอยู่เบื้องหลังเอง ประโยคนี้จุดประกายความคิดบางอย่างให้เกิดขึ้น ฟินน์ตัดสินใจเปิดบริษัทใหม่ชื่อเอฟเคแอสเซต (FK asset) โดยมีตัวเองเป็นซีอีโอ ส่วนเควินคือผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ทั้งสองคนช่วยกันบริหารงานจนบริษัทเติบโตและมีกำไรมหาศาล
“ถ้าไม่อยากฉลองเรื่องหุ้น ก็มาฉลองเรื่องกำไรในไตรมาสนี้หน่อยเป็นไง ขึ้นมาตั้งสามเปอร์เซ็นต์เชียวนะ”
“ก็แค่เศษเงิน” เควินกรอกตาทำหน้าหน่าย ประหนึ่งฟินน์เป็นเด็กน้อยที่ดีใจกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง
“เทศกาลทั้งที ช่วยแกล้งดีใจกับเศษเงินร้อยล้านหน่อยเถอะน่า”
ฟินน์ตรงไปที่เคาน์เตอร์บาร์เพื่อหาเครื่องดื่ม อึดใจก็กลับมาพร้อมถาดอาหารว่างกับไวน์ ชายหนุ่มรินไวน์แดงส่งให้เจ้าของบ้านก่อน แล้วค่อยหันมาบริการตัวเอง
“ฉลองให้ความสำเร็จ” ชายหนุ่มยกแก้วขึ้น
เควินยอมชนแก้วด้วยไม่ใช่เพราะเห็นว่ามันเป็นเทศกาล แต่ทำเพื่อตัดรำคาญต่างหาก ชายหนุ่มนั่งจิบไวน์เงียบๆ โดยมีคนช่างจ้อพยายามชวนคุย
ฟินน์พูดเรื่องสัพเพเหระจนกระทั่งไวน์หมดขวดก็ขอตัวกลับ ทำเอาเจ้าของบ้านประหลาดใจที่ตัวป่วนแค่มาทักทายจริงๆ
ในขณะที่ชายหนุ่มมองส่งแขกหน้าประตูลับ ฟินน์ก็เอี้ยวตัวกลับมาเหมือนนึกอะไรได้
“ฉันส่งของขวัญคริสต์มาสมาให้นายแล้วนะ หวังว่าคงชอบ”
‘นั่นไง ในที่สุดหางของไอ้ตัวแสบก็โผล่’
“อะไร?”
“ความลับ” ฟินน์เหยียดยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์จับจิต ส่งผลให้สีหน้าของเควินกระด้างขึ้นทันตา
“คงรู้ใช่ไหมว่าถ้าฉันไม่ปลื้มจะเกิดอะไรขึ้น”
ฟินน์หัวเราะร่าแล้วโบกมือลาโดยไม่เหลียวหลังกลับมามอง
“เมอร์รีคริสต์มาส” ญาติตัวแสบเอ่ยทิ้งท้ายก่อนที่บานประตูจะปิดลง
+++++++++++++++++++++++++++
สวัสดีท้ายตอนค่ะ ขอบคุณทุกท่านที่แวะเข้ามาอ่านและทักทายกันนะคะ ขอแจ้งข่าวอีกรอบว่าเปิดให้เล่มเกมชิงของฝากจากเกาหลีค่ะ ใครสนใจไปเล่นได้ที่แฟนเพจโน้มนะคะ https://www.facebook.com/nomekaa อยากแจกมากค่ะ แล้วตอนนี้คนเล่นน้อยกว่าของรางวัล มีลุ้นนะคะขอบอก
สำหรับนิยายเรื่องนี้ มีคนถามด้วยว่าโน้มเขียนแนวนี้ด้วยเหรอ? แลดูซีรีย์นี้จะหื่นนะตัว เอ่อ...คำตอบคือ “ก็ไม่รู้สินะคะ” (แสยะยิ้มเจ้าเล่ห์) ตั้งใจให้เป็นโรมานซ์เบาๆ สนองนี้ด แต่ไม่รู้จะมีปัญญาเขียนได้แค่ไหนนะคะ ถ้ามีวาสนาได้พิมพ์จะเอานิยายมาแจกค่า
หมายเหตุ 1 ใครชอบฟินน์ยกมือขึ้น คนเขียนชอบอ่ะ เดาได้เลยโน้มรักใครภาคของฮีรับรองว่าทั้งน่าเวทนาและฮาแตก 555
หมายเหตุ 2 ใครเคยอ่านชายิกาของเจ้าชายยกมือขึ้น ฟินน์ คือพี่ชายแท้ๆ ของลอยด์ พระเอกในเรื่องชายิกาของเจ้าชายค่ะ อ่านตอนนี้ดูจะเห็นชื่อลอยด์โผล่มาแวบๆ ไม่ต้องงงนะคะว่าทำไมพี่น้องใช้คนละนามสกุลกัน ลอยด์นามสกุล สมิธ ค่ะ เพราะว่าพ่อแม่เขาหย่ากัน

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 20 ม.ค. 2557, 17:06:30 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 20 ม.ค. 2557, 17:06:30 น.
จำนวนการเข้าชม : 2179
<< บทนำ | บทที่ 2 ท่ามกลางสายลม >> |

Zephyr 20 ม.ค. 2557, 18:18:29 น.
หง่ะ เอาซะแบบ บุคลิกเหมือนเชียว
ฮ่าๆๆๆ ให้เควินกินเลือดด้วยสิ แบบเป็นโลหิตจาง อิอิ
รึฮีจะเป็น พอร์ไฟเรีย โรคกลัวแสง ครุคริ
น่าสนอ่า เฟอร์ชอบแวมไพร์ สวยๆ อุอุ
หง่ะ เอาซะแบบ บุคลิกเหมือนเชียว
ฮ่าๆๆๆ ให้เควินกินเลือดด้วยสิ แบบเป็นโลหิตจาง อิอิ
รึฮีจะเป็น พอร์ไฟเรีย โรคกลัวแสง ครุคริ
น่าสนอ่า เฟอร์ชอบแวมไพร์ สวยๆ อุอุ


คิมหันตุ์ 20 ม.ค. 2557, 22:39:52 น.
ลงชื่อ ปูเสื่อติดตามจ่ะ
ลงชื่อ ปูเสื่อติดตามจ่ะ


goldensun 21 ม.ค. 2557, 20:20:45 น.
ชอบค่ะ สนุกดี ฟินน์กับเควินแตกต่าง แต่เข้ากันดีค่ะ ชอบทั้งคู่
ชอบค่ะ สนุกดี ฟินน์กับเควินแตกต่าง แต่เข้ากันดีค่ะ ชอบทั้งคู่

pkka 22 ม.ค. 2557, 21:30:44 น.
รอตามยาววว แน่^^
รอตามยาววว แน่^^