หวานรักจอมบงการ
พ่อและแม่ของเธอไว้ใจฝากลูกสาวไว้กับลูกชายของเพื่อนสนิทในขณะที่พวกเขาไม่อยู่ หารู้ไม่ว่า คนที่(คิดว่า)ปลอดภัยที่สุด อาจเป็นคนที่อันตรายที่สุดก็เป็นได้!
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ผู้ชายขี้หวง

หวานรักจอมบงการ

ตอนที่ 3 : ผู้ชายขี้หวง

...............................................

"โอ๊ยย!! มันจะเยอะเกินไปไหมยะ!!?" เสียงแหลมแสบแก้วหูดังขึ้นไปยังฉันสองของบ้าน คนที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องนอนถึงกับกรอกตาขึ้นข้างบนอย่างเบื่อหน่าย พลางถอนหายใจ ก่อนจะเดินลงมาหาต้นเสียงบาดแก้วหูที่อยู่ในห้องนั่งเล่นของบ้าน
"เมแกน พี่จะช่วยลดเสียงลงหน่อยไม่ได้หรือไง ดีนะที่พ่อไปดูงานที่ต่างประเทศ ไม่งั้นมีหวังได้ตื่นจากฝันดีแน่" มาลีนบ่นเบาๆ ขณะที่ทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาเนื้อดี และเอ่ยขอบใจแม่บ้านเบาๆที่ยกนํ้าส้มมาให้ดื่ม "พี่จะโวยวายแต่เช้าให้อารมณ์บูดทั้งวันทำไมกัน" คำถามที่ไม่ต้องการคำตอบอย่างจริงจัง แต่สำหรับคนที่อยากระบาย คำตอบจึงหลุดออกมาอย่างนํ้าไหลไฟดับ พร้อมโยนหลักฐานมาให้ดูเสร็จสรรพ
"เธอก็ดูสิเนี่ย! เป็นข่าวกันได้ไม่เว้นแต่ละวัน ฉันละเจ็บใจจริงๆ วันก่อนฉันโทรไปหาคริสโตเฟอร์แต่ยัยคุณหนูเลสลี่ก็เป็นคนรับสายแทน แถมยังพูดจาชวนโมโหอีก จะไม่ให้ฉันอารมณ์เสียได้ไง ฮะ!?"
มาลีนยกนิตยาสารที่พี่สาวกางทิ้งไว้บนโต๊ะขึ้นมาดู ก่อนจะพบว่าเป็นข่าวเดิมๆ ที่ทั้งคริสโตเฟอร์และคุณหนูเลสลี่ไปออกงานคู่กัน และมักจะมีภาพออกมาตามหน้านิตยาสารเป็นประจำ แม้ว่าจะมีแต่ข่าวเดิมๆ แต่ทุกๆคนก็ให้ความสนใจ และติดตามกันอย่างมาก ไม่มีลดลง เพราะคอยลุ้นกันว่าทั้งสองจะประกาศสละโสดกันเมื่อไหร่ และครั้งนี้เจ้าของบทความได้ยกตัวอย่างบทสัมภาษณ์ที่ถามถึงความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ในบางตอนมาลงไว้ในหัวข้อนี้ด้วย แม้คำตอบจะดูกำกวม ไม่ชัดเจน แต่ก็คงชัดเจนพอให้พี่สาวของเธอปรี๊ดแตกขึ้นมาได้เช่นกัน
ตั้งแต่เมแกนกลับมาจากอเมริกา หล่อนก็ชอบซื้อนิตยาสาร และหนังสือพิมพ์รายวันมานั่งอ่านอยู่แทบทุกวันจนผิดวิสัย เพราะถึงแม้ว่าเมแกนจะอ่านพวกนิตยาสารข่าวซุบซิบบ้าง แต่ก็ไม่ได้ถี่ขนาดนี้ มาลีนรู้นิสัยข้อนี้ของพี่สาวดี ก็ได้แต่นึกปลง ไม่อยากจะพูดจาขัดหล่อนมาก ทั้งที่อ่านข่าวไปก็ทำให้อารมณ์เสีย เธอก็ไม่รู้ว่าเมแกนจะอ่านมันให้ได้อะไรขึ้นมา เธอก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน
"นี่พี่ยังไม่เลิกคิดเรื่องนี้อีกเหรอ คราวก่อนฉันบอกไปพี่คงไม่เข้าใจ" มาลีนขมวดคิ้ว พร้อมปิดนิตยาสารแล้ววางลงกับโต๊ะ
"ทำไมฉันต้องเข้าใจ ตราบใดที่คริสโตเฟอร์ยังไม่แต่งงาน ฉันก็มีสิทธิ์" เมแกนเชิดหน้า แม้จะบอกกับตัวเองและคนอื่นอย่างนั้น แต่ความไม่มั่นใจของเมแกนก็สูงพอที่จะทำให้คนมุ่งมั่นอย่างเธอกลัว
"อย่าไประรานเขาเลยเมแกน มันบาป" มาลีนส่ายหน้า ยกแก้วนํ้าส้มขึ้นดื่มให้หมด เพราะอยากจะออกไปจากตรงนี้เสียที เธอยอมรับอย่างไม่ละอายใจเลยว่าบ่อยครั้งที่เธอเอือมระอากับพฤติกรรม และความคิดของพี่สาวที่กำลังเป็นอยู่
"ฉันเป็นพี่เธอนะมาลีน! จะพูดจะจาอะไรหัดระวังปากเสียบ้าง เดี๋ยวแม่จะตบให้ปากฉีก" อุตส่าห์คิดว่ายังมีพวก แต่ยัยน้องสาวตัวดีดันออกโรงปกป้องศัตรูซะนั่น น่าโมโหจริงๆ!!
"พอๆๆ เอาเป็นว่าฉันขอโทษละกัน ฉันไปดูบริษัทแทนพ่อแล้วนะพี่ เพิ่งกลับมาจากอเมริกาก็พักให้หายเหนื่อย แล้วก็คิดเรื่องทำงานให้เป็นชิ้นเป็นอันได้แล้วนะ ไม่ช่วยงานที่บริษัทพ่อ อย่างน้อยก็หางานทำเลี้ยงตัวเองได้แล้ว สงสารพ่อ" พูดจบ มาลีนก็หยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพาย ก่อนจะหันหลังเดินออกมาจากห้องนั่งเล่น ไม่หันไปต่อปากต่อคำกับผู้เป็นพี่ที่ตะโกนโวยวายไล่หลังมาอีก

.................................................................................................................

"ออกไปพบลูกค้าวันแรกก็สายเลยนะ ตัวแสบ" หลังจากที่รถเพิ่งเคลื่อนตัวพ้นประตูรั้วของคฤหาสน์เลสลี่ได้ไม่นาน คริสโตเฟอร์ก็ปล่อยมือข้างหนึ่งจากพวงมาลัยรถขึ้นมายีหัวหญิงสาวข้างกายอย่างเอ็นดู รอยยิ้มฉาบเต็มใบหน้า ไม่ได้มีร่องรอยขุ่นข้องหมองใจ หรือแม้แต่นํ้าเสียงต่อว่าแต่ประการใด
วันนี้คริสโตเฟอร์ออกโรงทำหน้าที่เป็นคนขับรถส่วนตัวให้หญิงสาวเอง โดยไม่พึ่งคนขับรถของเขา ด้วยเห็นว่าเป็นการไปพบลูกค้าครั้งแรงของคริสติน อยากจะทำอะไรให้ดูสบายๆ เหมือนเวลาที่เขาพาเธอไปขับรถเล่น หรือออกไปทำอะไรชิลๆเหมือนวันอื่นๆ
"ไม่ได้สายเสียหน่อย ไหนบอกว่านัดลูดค้าไว้ตอนเที่ยงไง นี่เพิ่งจะสิบเอ็ดโมงครึ่งเอง โด่" คนถูกกล่าวหาทำปากยื่นอย่างขัดใจ
"แต่เรานัดกันสิบเอ็ดโมงนะคริส รู้ทั้งรู้ว่ามีนัดแทนที่จะรีบแต่งตัว แถมรถติดอย่างนี้ขับรถไปก็เกือบครึ่งชั่วโมงละ ไม่สายเลยใช่ไหม หืม?" ร่างสูงส่ายหน้าอย่างปลงๆให้กับคนที่ไม่เคยยอมใคร
"เอางี้ ถ้าไปถึงแล้วลูกค้ายังไม่มาแสดงว่าเค้าชนะ พรุ่งนี้คริสต้องเคลียร์คิวให้ว่างพาเค้าไปช๊อปปิ้งด้วย" คนตัวเล็กกว่ายิ้มกว้าง พลางทำสายตาเจ้าเล่ห์ ร้อยทั้งร้อย ส่วนใหญ่ลูกค้าก็มาช้ากว่าทั้งนั้นแหละ มีหรือเธอจะเสียเปรียบ หญิงสาวกระหยิ่มในใจ
"แล้วถ้าเขาไปถึงก่อนเราล่ะ" ร่างสูงเลิกคิ้วถาม
"ไม่มีทาง แบร่!" คริสตินแลบลิ้นใส่ชายหนุ่มอย่างทะเล้น ก่อนจะโดนทำโทษโดยการที่ริมฝีปากหนาจุ๊บเข้ามาที่จมูกเล็กเต็มๆ ซึ่งคนตัวเล็กก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากจะโวยวายไปตามเรื่องตามราว
"งั้นเอาอย่างนี้ ถ้าเราไปถึงช้ากว่า ขอเป็น..." เห็นแววตาแพรวพราวของคนตรงหน้าแล้ว คริสตินก็รู้สึกเสียงสันหลังขึ้นมาวาบๆ "จูบหวานๆหนึ่งจูบ"
"ฝันไปเถอะ! แล้วก็ไม่ต้องแกล้งขับรถช้าๆด้วย!" คริสตินหน้าบูด ก่อนที่เสียงหัวเราะจากคนข้างๆจะดังตามมาอย่างอารมณ์ดี ชวนให้หงุดหงิดเป็นที่สุด
"แล้วนี่อ่านข้อมูลเข้าใจดีหรือยัง อย่าไปหน้าแตกใส่ลูกค้านะวันนี้" คริสโตเฟอร์เย้าแหย่อย่างคนมีความสุขเสียเต็มประดา จนคนตัวเล็กเริ่มมันไส้ขึ้นมาตะหงิดๆ
"อ่านดีแล้วน่า ว่าแต่ทำไมเค้ารู้สึกคุ้นชื่อโจเซฟ กิลเบิร์ดจังเลย ไหนคุณป๋าบอกเป็นลูกค้ารายใหม่ คริสก็ยังไม่รู้จักด้วยนี่นา ใช่มะ?"
"จะว่าไปก็คุ้นนะ ช่วงนี้ยุ่งๆเลยไม่ได้ขอข้อมูลลูกค้ามาให้คริสศึกษาก่อนเลย ขอโทษนะ"
"ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวไปถึงก็รู้เองแหละ เนอะ" หญิงสาวยิ้มหวานส่งให้คนตัวโต ก่อนที่ทั้งสองจะแหย่กับไปเถียงกันมาไปตลอดทาง จนกระทั่งถึงที่หมาย

สถานที่นัดคือภัตตาคารชั้นห้าสิบแปดในห้องอาหารส่วนตัวของโรงแรมห้าดาวที่มีชั้นกว่าหกสิบชั้นในเครือของเบอร์นาร์ดกรุ๊ป และเลสลี่กรุ๊ปที่หุ้นกันคนละครึ่ง ทั้งสองขึ้นมาถึงทันเวลาพอดี
คริสตินเดินนำไปที่ประชาสัมพันธ์ของห้องอาหารสำหรับแขกวีไอพีเป็นอันดับแรกแรก ก่อนจะแอบกระซิบถามพนักงานต้อนรับเสียงเบา
"นี่ๆ แขกที่ฉันนัดไว้ในห้องอาหารส่วนตัวมาถึงหรือยัง?" คนตัวเล็กป้องปากถาม
"มาถึงเมื่อสักครู่นี่เองค่ะ"
"เห็นไหม ฉันชะ โอ๊ย...!" มือหนารีบกุมปลายคางตัวเองทันที เมื่อได้รับแรงกระแทกจากฝ่ามือเรียวบางเสยเข้าให้อย่างแรง
"ก็เค้าตกใจนี่ อุตส่าห์กระซิบไม่ให้คริสได้ยิน แล้วยังจะโผล่มาข้างหลังอีก" หญิงสาวหน้ามุ่ย แต่ก็ยอมเข้าไปใกล้ร่างสูง มือบางลูบเบาๆตรงตำแหน่งที่เธอประทุษร้ายเขา ก่อนจะเป่าลมใส่ใต้คางชายหนุ่มอย่างที่เขาชอบทำให้เธอบ่อยๆเวลาเธอเจ็บ หรือเป็นแผล
"ไม่รู้ละ เอาเป็นว่าฉันชนะ อย่าลืมข้อตกลงล่ะ"
"โถ่..." ใบหน้าหวานเบะปาก นํ้าตาคลอ จนคริสโตเฟอร์ใจหายวาบ คิดว่าตัวเองเผลอทำอะไรให้หญิงสาวเสียใจอีก
"คริส เป็นอะไรไป!? โอเคๆ ไม่ต้องทำก็ได้" คริสโตเฟอร์บอกออกไปอย่างตะกุกตะกัก แต่แอบน้อยใจ ไม่คิดว่าร่างเล็กจะไม่อยากจูบกับเขาขนาดนั้น "รู้แล้ว ไม่อยากจูบก็ไม่เป็นไร..."
"ไม่ใช่เรื่องนั้นสักหน่อย เค้าแพ้แบบนี้ คริสก็จะไม่พาเค้าไปช้อปปิ้งแล้วเหรอ" ดวงตาหวานช้อนตาขึ้นมองอย่างออดอ้อน
"อ้าว ก็นึกว่าเรื่องอะไร ถึงเธอจะแพ้ฉันก็พาไปอยู่แล้วล่ะน่า" เสียงชายหนุ่มตอบกลับอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะโอบไหล่บางให้เดินไปด้วยกัน "ช่างเรื่องนั้นก่อนเถอะ ลูกค้ารออยู่นะ"
ทั้งสองคนคุยกระหนุงกระหนิงกันไปยังห้องอาหารที่นัดลูกค้าไว้ ทิ้งให้พนักงานต้อนรับมองตามไปทั้งอิจฉาและชื่นชม พลางคิดไว้ว่าตนมีเรื่องเด็ดๆไว้เม้าท์กับเพื่อนแล้วล่ะ!

ขณะนี้คริสตินกำลังนั่งทำสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก พลางมองหน้าเจ้าของอ้อมแขนที่โอบไหล่เธอไว้แน่น สลับกับลูกค้าหนุ่มคนสำคัญของพ่อที่กำลังนั่งทำสงครามทางสายตากันอยู่โดยไม่มีใครพูดอะไรเลยแม้แต่น้อย เสียงเครื่องปรับอากาศก็เงียบเชียบสมคำโฆษณา จนหญิงสาวไม่รู้จะหาจุดไหนในห้องโฟกัสแทนสงครามตรงหน้าดี
พูดแล้วก็นึกไปถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ระหว่างที่เธอมุ้งมิ้งอยู่กับคริสโตเฟอร์ จนกระทั่งมาถึงหน้าห้องอาหารส่วนตัวที่นัดลูกค้าไว้ ชายหนุ่มเลื่อนมือจากที่โอบไหล่เธออยู่ลงมากุมมือเล็กของเธอเอาไว้พลางบีบกระชับอย่างให้กำลังใจพร้อมกับส่งยิ้มอบอุ่นมาให้ คริสตินยิ้มตอบ ก่อนที่จะเดินตามแรงจูงของคนตัวโตที่เปิดประตูแล้วพาเดินเข้าไป ร่างบางก้มลงมองมือหนาที่กุมเธอไว้แล้วยิ้มบางๆออกมา ก่อนจะต้องนิ่วหน้าเมื่อเจ้าของมือหนาที่เธอลอบมองอยู่หยุดเดินกระทันหันจนใบหน้าหวานชนกับแผ่นหลังกว้างเสียเต็มแรง
เสียงร้องระบายความเจ็บหลุดออกมาจากเรียวปากบางเบาๆ มือบางข้างที่เป็นอิสระยกขึ้นลูบคลำหน้าผากตัวเองพลางย่นจมูกใส่แผ่นหลังหนาๆ ก่อนจะเอียงหน้ามองเลยท่อนแขนแกร่งเข้าไปภายในห้อง
'ไม่ตลกน่า คุณ... คงไม่ใช่ลูกค้าของเลสลี่หรอกใช่ไหม' เสียงเย็นยะเยือกทำเอาคริสตินถึงกับขนลุก พอจะรู้แล้วว่าอะไรทำให้คริสโตเฟอร์มีปฏิกิริยาแบบนี้ ก็'โจเซฟ กิลเบิร์ด' ลูกค้าคนสำคัญของคุณป๋าเป็นคนเดียวกับที่เธอเจอในห้องลองเสื้อ แถมยังเป็นคนเดียวกับที่มีเรื่องกับคริสโตเฟอร์ด้วยน่ะสิ!!

‘ถ้าลูกค้าที่คุณนัดไว้ชื่อ โจเซฟ กิลเบิร์ด ผมว่าก็คงใช่แล้วล่ะครับ’ เห็นยิ้มเย็นของอีกฝ่าย คริสโตเฟอร์ก็ยิ่งหน้าบูดบึ้งไปใหญ่

‘ไม่มีทาง! ผมไม่ตลกนะ!’ แม้จะหงุดหงิด แต่คนตรงหน้าก็อาจจะเป็นลูกค้าจริงๆ คริสโตเฟอร์จึงยังคงเลือกที่จะใช้คำสุภาพ แม้น้ำเสียง ใบหน้า และอารมณ์จะดูดุดัน

‘อะไรกัน ผ่านมาแค่ไม่กี่อาทิตย์ ความจำเลอะเลือนแล้วหรือครับ...คุณเบอร์นาร์ด คราวที่แล้วผมจำได้นะว่าผมแนะนำตัวไปแล้ว’

‘ไม่ได้ลืม แค่ไม่ใส่ใจจะจำต่างหาก!’

‘คริส! ลูกค้านะ’ เสียงหญิงสาวที่ตอนนี้เปลี่ยนตำแหน่งมายืนอยู่ข้างๆชายหนุ่มแล้วพูดขึ้น พร้อมกับกระตุกมือหนาที่กุมเธอไว้แน่นเพื่อเตือนสติ ตอนนั้นเอง คริสโตเฟอร์ถึงจะยอมจูงมือร่างบางเข้ามานั่งฝั่งตรงข้ามของ ‘ลูกค้า’ ที่ทำหน้ายียวนส่งมาให้ โดยจงใจทิ้งร่างของตนลงนั่งประจันหน้าอยู่กับชายหนุ่มอีกคน แล้วฉุดให้ร่างบางนั่งตามข้างๆตัวเอง

..................................

และก็มาถึงเหตุการณ์ปัจจุบันที่ต่างคนต่างนิ่งเงียบ บุรุษทั้งสองจ้องหน้ากันไม่วางตา ส่วนคนตัวเล็กก็แทบจะนั่งตัวลีบ ไม่รู้จะทำอย่างไรกับสถานการณ์แบบนี้ดี หลังจากนั่งดูเชิงกันมาครู่ใหญ่ๆ คริสตินก็เป็นฝ่ายทนไม่ไหว กดปุ่มข้างโต๊ะเรียกพนักงานเข้ามา เพื่อใช้เป็นตัวช่วยทำลายบรรยากาศหน้าอึดอัดนี้ลง

บรรยากาศดูจะผ่อนคลายลงเล็กน้อย ย้ำว่า ‘เล็กน้อย’ เท่านั้น เพราะทั้งคริสโตเฟอร์ และโจเซฟ ต่างก็หันไปสั่งอาหารของตน โดยที่คริสโตเฟอร์สั่งเผื่อคนตัวเล็กที่นั่งข้างๆด้วย หลังจากที่พนักงานเดินออกจากห้องไปได้ไม่เท่าไหร่ หญิงสาวก็ได้ยินเสียงถอนหายใจจากคนข้างๆที่ไม่ดังมากนัก ซึ่งเธอก็ไม่แน่ใจว่าคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามจะได้ยินหรือไม่ เพราะแม้คนตัวโตจะถอนหายใจเสียงเบา แต่บวกกับห้องเงียบแล้ว อาจจะทำให้พอได้ยินกันทุกคนก็ได้

“ผมว่าระหว่างรออาหาร เรามาคุยธุระกันเลยดีกว่า” แล้วก็เป็นเสียงคริสโตเฟอร์ของเธอที่ทำลายความเงียบเมื่อครู่ขึ้นมา ร่างเล็กลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นว่าเจ้าของมือหนาที่กุมเธอไว้ไม่ยอมปล่อยตั้งแต่เข้ามาดูจะเริ่มควบคุมอารมณ์ได้แล้ว

“นึกว่าเราจะนั่งจ้องหน้ากันต่อไปเรื่อยๆเสียอีก จริงๆวันนี้ผมก็ว่างทั้งวันน่ะนะ” โจเซฟยิ้มมุมปากอย่างผู้มีชัย เห็นคริสโตเฟอร์ทำเป็นไม่สนใจ แม้ใบหน้าจะตึงๆอยู่ก็ตาม นับว่าชายหนุ่มตรงหน้าพอจะควบคุมอารมณ์ได้ดีระดับหนึ่งจึงคิดจะเลิกแกล้งยั่วเย้าให้อารมณ์เสีย “ช่างเถอะ เรามาเริ่มคุยงานกันเลยดีกว่า”

ในที่สุด บุรุษทั้งสองก็สงบศึกันชั่วคราว หันมาคุยเรื่องงานกันอย่างจริงจังเสียที คริสตินนึกชื่นชมคนทั้งสองที่แบ่งเรื่องส่วนตัวและเรื่องงานออกจากกันได้อย่างชัดเจน การคุยงานดำเนินต่อไปอย่างปกติ และเรียบร้อย แม้บางครั้งที่เธอแสดงความคิดเห็นจะถูกสายตาปรามมาจากคริสโตเฟอร์ หรือแม้แต่เธออยากจะเข้าวงสนทนาบ้าง ชายหนุ่มจะหันมาพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งๆว่า ‘เธอนั่งเฉยๆไปเถอะ’ ก็ตาม แต่ก็ยังดีกว่าเขาทะเลาะกับลูกค้าน่ะนะ

คริสตินก็ได้แต่นั่งทานอาหารที่อยู่บนโต๊ะไปเงียบๆ แม้ปากเล็กจะขมุบขมิบบ่นคนตัวโตที่นั่งอยู่ข้างๆเธอก็เถอะ หญิงสาวนั่งฟังบทสนทนาการซื้อขายของชายทั้งคู่อย่างสนอกสนใจ พร้อมกับเก็บข้อมูลไปด้วยในตัว ยอมรับว่าวันนี้ได้เรียนรู้อะไรเยอะแยะจากการได้นั่งฟังคริสโตเฟอร์นำเสนองานต่างๆ ต้องยอมรับเลยว่าพ่อรูปหล่อของเธอเจรจาได้มืออาชีพมากๆ เพราะดูเหมือนเขาจะรู้จักใช้จิตวิทยาในการเป็นนักธุรกิจมาชักจูงให้คนคล้อยตามได้อย่างง่ายดาย ขนาดเธอยังพลอมจะคล้อยตามไปด้วยเลย
เป็นเวลาสองชั่วโมงกว่าๆ การเจรจาก็สำเร็จลงไปได้ด้วยดี โจเซฟขอตัวกลับก่อน แถมก่อนจะกลับก็ยังไม่วายทำเธองานเข้าด้วยการหันมาบอกลาก่อนจะขยิบตาให้เธอ ทำเอาคริสโตเฟอร์หันขวับมามองเธอแทบจะในทันที จนหญิงสาวต้องมานั่งเคลียร์หลังจากคุณลูกค้ากลับไปแล้ว ว่าไม่ได้มีลับลมคมในอะไรกันทั้งน้านนน กว่าคริสโตเฟอร์จะคลายความสงสัย ทำเอาเธอต้องทั้งกอด ทั้งอ้อน ทั้งหอมคนตัวโตแต่ขี้ใจน้อยไปไม่รู้กี่ที
"ทำไมถึงเป็นคนแบบนี้นะ" ระหว่างอยู่บนรถ คริสตินก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมา พร้อมทำแก้มป่องอย่างไม่เข้าใจ แต่คนมองกลับคิดว่าปฏิกิริยาแบบนี้มันน่ารักน่าหยอกเอามากๆ
เมื่อคิดแล้วก็อยากหยอกขึ้นมาเสียดื้อๆ ชายหนุ่มจึงชะโงกหน้าเข้าไปหอมคนตัวเล็กเสียฟอดใหญ่พร้อมหัวเราะอย่างอารมณ์ดี เมื่อมือบางทุบเข้ามาเต็มๆที่แขนแกร่งของตนพร้อมทำหน้างอ
"ก็คนมันหวง ห้ามได้ที่ไหนกัน"

โอเค ยอมแล้วค่ะคุณชาย! คริสตินคนนี้ยอมจำนนแต่โดยดีเลยล่ะ แอบมันไส้อยู่ในใจ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเธอรู้สึกดีกับคำพูดของเขา หญิงสาวได้แต่หันไปแอบอมยิ้มกับเงาในกระจก เห็นลางๆว่าหน้าตัวเองแดงก็ได้แต่ย่นจมูกใส่เงาตัวเอง
"ถ้าจะไปแอบยิ้มอยู่คนเดียวก็หันมายิ้มให้ฉันเลยดีกว่า เกร็งหน้าจนจะเมื่อยปากอยู่แล้วมั้งน่ะ" ใครจะรู้ว่าบรรยากาศแสนหวานถูกทำลายลงได้ด้วยประโยคเดียว คริสตินหันไปส่งค้อนให้วงใหญ่ ก่อนจะเถียงกลับไปอย่างคนไม่ยอมแพ้
"ไม่ได้แอบยิ้มเสียหน่อย คริสนี่หลงตัวเองชะมัด" ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอคนตัวโตที่ทำหน้าที่ขับรถอยู่ ก็อยากจะกรี๊ดใส่ให้รู้แล้วรู้รอด มีสิทธิ์มาทำอะไรแบบนี้ใส่เธอกันยะ!
"หยุดๆๆ อย่าอ้าปากมาอีกเชียวนะ ไม่งั้นฉันจะไม่พาเธอไปช้อปปิ้งตามสัญญาจริงๆด้วย แล้วจะหาว่าใจร้าย" คำพูดนั่นทำเอาหญิงสาวหุบปากที่เตรียมจะเถียงออกไปแทบไม่ทัน แค่คำว่า'ช้อปปิ้ง' คำเดียว ผู้หญิงร้อยทั้งร้อยก็ต้องใจอ่อนแหละน่า...


....................................................




“เอ่อ คือ... ฉันไม่ได้อนุญาตให้ทำงานในส่วนนี้น่ะค่ะ... ขอโทษด้วยนะคะ มีอะไรก็ติดต่อทางเลขาฉันได้ตลอดเลยนะคะ” เสียงหวานใสที่พูดเจื้อยแจ่วอยู่กับโทรศัพท์ราคาแพง ทำให้คนที่เพิ่งเดินเข้าห้องทำงานส่วนตัวของหญิงสาวอดถามขึ้นไม่ได้

“ ใครโทรมาน่ะ คริส” ชายหนุ่มถาม พลางเดินอ้อมไปหลังโต๊ะทำงาน พร้อมนั่งลงกับโต๊ะทำงานหน้าเก้าอี้บุนวมตัวใหญ่ที่มีร่างเล็กนั่งคุยโทรศัพท์อยู่

“ ใช่ค่ะ มีอะไรสงสัยโทรมาสอบถามเลขาของฉันได้โดยตรงเลยนะคะ ต้องขอโทษอีกครั้งนะคะ” ร่างเล็กปรายตามองคนตัวโตเล็กน้อย ก่อนจะหมุนเก้าอี้หันหนีชายหนุ่มไปทางอื่นเล็กน้อยแล้วคุยโทรศัพท์ต่อ ไม่สนใจชายหนุ่ม จนเจ้าของคำถามเมื่อครู่ชักสีหน้า มือที่ค้ำไว้กับโต๊ะทำงานเปลี่ยนมาเป็นกอดอกแทน บ่งบอกว่าเริ่มอารมณ์ไม่ค่อยดีที่หญิงสาวเมิน

“ ทำไมไม่ตอบ ชื่อยาวขนาดเสียเวลาไม่ถึงสามวินาทีหันมาบอกกันไม่ได้เลยหรือยังไง!?” คนตัวโตเริ่มโวยวาย ก่อนจะโดนสายตาดุๆตวัดใส่เข้าให้

“อ๋อ ไม่มีอะไรหรอกค่ะ... ฮ่าๆ ค่า รับทราบค่ะ ค่ะๆ สวัสดีค่ะ” หันมาทำหน้าดุใส่เขาไม่ถึงวินาที ยังหันกลับไปหัวเราะใส่โทรศัพท์ได้อีกนะ คนปลายสายมันมีอะไรดีนักหนา!? เหอะ ก็ไม่ได้อยากจะหัวเสียนักหรอก ถ้าเสียงจากปลายสายไม่บังเอิญเล็ดลอดออกมาให้เขาได้ยิน แถมจากที่ฟังแล้วยังเป็นเสียงของผู้ชายวัยหนุ่มอีกเสียด้วยนี่สิ!

“มันเป็นใคร!?” เสียงทุ้ม ทว่าเจือความไม่พอใจแฝงเข้าไปด้วยเอ่ยถามขึ้นทันทีทีร่างเล็กผละโทรศัพท์ออกจากหู

“คริส ไปนั่งตรงโซฟานู่นไป นี่มานั่งทับเอกสารเค้ายับบ้างหรือเปล่าเนี่ย” มือบางตีแขนชายหนุ่มดังเผี๊ยะ ก่อนจะดันขาให้เขาหลบทางของเธอ

“ถามน่ะ ทำไมไม่ตอบ” ไม่ยอมหลบ แถมยังถามเสียงแข็งอีก ปลายเสียงก็สะบัดใส่อย่างไม่รู้ตัว จนคนฟังได้แต่กลอกตาขึ้นข้างบนอย่างเซ็งๆ

“เพราะรู้ว่าถ้าตอบแล้วคริสจะอารมณ์ไม่ดีไงเลยไม่อยากตอบ แต่เพิ่งรู้ว่าก็มีค่าเท่ากัน” หญิงสาวเริ่มกอดอกบ้าง แล้วมองกลับไปอย่างไม่ยอมแพ้

“มันไม่ได้มีค่าเท่ากัน เพราะถ้าเธอไม่ตอบแสดงว่าเธอจงใจปิดบังฉัน แต่ถ้าเธอตอบ ถึงมันจะเป็นเรื่องที่ทำให้ฉันอารมณ์ไม่ดี แต่มันก็คงหายเร็วกว่าการที่เธอปิดบังฉันแล้วฉันไปรู้ทีหลังจากคนอื่นที่ไม่ใช่เธอ คริส” แววตาตัดพ้อน้อยใจของชายหนุ่มส่งมาให้อย่างไม่ปิดบังจนหญิงสาวรู้สึกได้แทบจะในทันที

“…”

“…”

“โจเซฟ... โจเซฟ กิลเบิร์ด ค่ะ” คริสตินยอมตอบออกไปในที่สุด พลางคลายแขนที่กอดอกไว้ลง ก่อนจะมองคนตัวโตตรงหน้าอย่างกล้าๆกลัวๆ

มาคิดๆดูแล้ว มันก็คงดีกว่าการที่เขาได้รู้จากปากคนอื่นจริงๆ แม้เธอจะรู้ว่าไม่ได้ทำอะไรเสียหาย แต่ก็เคยรับปากกับคริสโตเฟอร์เมื่อไม่นานมานี้ว่าจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับโจเซฟ กิลเบิร์ด เพระงานทุกๆอย่างที่เกี่ยวกับเขา คริสโตเฟอร์จะเป็นคนจัดการเองทั้งหมด

แต่จู่ๆวันนี้โจเซฟกับโทรมาหาเธอโดยตรงเพื่อสอบถามเรื่องรายละเอียดที่ทางบริษัทบอกว่าจะส่งไปให้ แล้วจะให้เธอตัดสายเขาไปเฉยๆก็คงเสียมารยาทเอามากๆ เพราะคุณพ่อก็บอกให้ดูแลดีๆ แถมเขายังเป็นลูกค้าคนสำคัญของบริษัท เกิดทำอะไรไม่ดีเข้าก็อาจจะทำให้เสียงานได้

“แล้วคุยอะไรกัน”

“เขาโทรมาถามเรื่องรายละเอียดการจัดส่งก็แค่นั้นเอง แต่เค้าบอกให้คุณกิลเบิร์ดโทรหาเลขาของฉันแทน แล้วก็ตามที่คริสได้ยินนั่นล่ะ” คนตัวเล็กลุกขึ้นจากเก้าอี้ ก่อนจะเดินไปแกะมือหนาที่กอดอกอยู่ให้คลายออก แล้วซบหน้าลงกับอกกว้างที่ทำให้เธอรู้สึกโอบอุ่นปลอดภัยทุกครั้งอย่างออดอ้อนเอาใจ มือก็เกาะเกี่ยวเอวหนาไว้หลวมๆ “ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละน่า สัญญาว่านี้จะเป็นครั้งเดียวและครั้งสุดท้าย คราวหน้าถ้าคุณกิลเบิร์ดโทรมาอีกเค้าจะให้คริสเป็นคนรับสายแทน นะๆ”

เสียงถอนหายใจจากร่างหนาที่เธอซุกซบอยู่ดังออกมา ก่อนอ้อมแขนแข็งแรงจะเลื่อนขึ้นมาโอบกอดเธอตอบอย่างรักใคร่หวงแหน พลางมอบสัมผัสอุ่นจุมพิตเข้าที่กลางกระหม่อมของเธออย่างเอ็นดู คริสตินนี่ช่างรู้วิธีทำให้เขาใจอ่อนได้เร็วเหลือเกิน ชายหนุ่มคิด ก่อนจะก้มมองใบหน้าหวานที่อมยิ้มหลับตาพริ้มอยู่กับอกแกร่งของเขาด้วยสายตาอ่อนโยน ที่ใครเห็นคงต้องบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘อะเมซิ่ง!’

“คราวหน้ามีอะไรก็ขอให้บอกเลยนะ อย่าปิดบังกันอีก เข้าใจใช่ไหม”

“รับทราบแล้วค่ะ ดาร์ลิ่ง” พูดจบ ร่างบางก็หัวเราะคิกคักอยู่กับอกคนตัวโต

“หืม เมื่อกี้เรียกว่าอะไรนะ?” คริสโตเฟอร์ดันร่างบางให้ออกห่างเพื่อจะมองใบหน้าหวานให้ชัดๆ พร้อมกับถามขึ้น

“ก็ดาร์ลิ่งไง ไม่ชอบเหรอ” หญิงสาวทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ตอบกลับไป ก่อนจะเป็นฝ่ายถามกลับบ้างพร้อมแย้มยิ้มหวานจนร่างสูงอยากจะจับมาฟัดให้หายมันเขี้ยวสักทีสองที

“ชอบสิ อยากให้ฉันเรียกเธอบ้างไหมล่ะ แต่ไม่ได้จะเรียกว่าดาร์ลิ่งนะ” ชายหนุ่มอมยิ้มตาพราว ก่อนจะอุ้มร่างบางให้ลอยขึ้นจากพื้นแล้วจับมาวางลงนั่งบนโต๊ะทำงานแทนที่ที่ตนนั่งเมื่อครู่ แล้วใช้แขนกักคนตัวเล็กเอาไว้

“แล้วคริสจะเรียกเค้าว่าอะไรเหรอ” คนตัวเล็กก็ไม่ประสา ยังไม่รู้ความหมายของคนเจ้าเล่ห์ที่สื่อมาทางสายตา ก่อนจะเอื้อมมือทั้งสองข้างขึ้นโอบลอบลำคอแกร่งไว้ พลางถามด้วยน้ำเสียงและใบหน้าตื่นเต้น ซึ่งก็เข้าทางชายหนุ่มพอดี

คริสโตเฟอร์ก้มลงหาริมฝีปากเรียวบางทันที ก่อนจะค่อยๆละเลียดชิมความหวานจากริมฝีปากจิ้มลิ้มที่มีเขาเป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียว รับรู้ถึงแรงสะดุ้งจากคนตัวเล็กก็นึกขำ แต่ก็ไม่คิดหยุด ยังคงไล้ริมฝีปากไปตามเรียวปากบางอย่างเอาแต่ใจ มือข้างหนึ่งเลื่อนขึ้นมาจับท้ายทอยคนตัวเล็กให้เข้าหา และเมื่อคนตัวเล็กเผลอเผยอปากก็รีบใช้จังหวะนี้สอดเรียวลิ้นหนาเข้าไปหยอกล้อกับลิ้นเล็กในโพรงปากหวานทันที

แขนเรียวที่เกาะเกี่ยวอยู่ที่รอบคอแกร่งสั่นน้อยๆด้วยอารมณ์หวามไหว ลองพยายามที่จะเลียนแบบการกระทำของชายหนุ่มดูบ้าง แต่ก็พบว่าตัวเองตามคนเจ้าเล่ห์จอมฉวยโอกาสไม่ทันเลยแม้แต่น้อย เลยได้แต่ยอมปล่อยให้เขาชักจูงไปอย่างว่าง่าย

ครู่ใหญ่ กว่าคนตัวโตจะยอมปล่อยให้ริมฝีปากบางเป็นอิสระ คริสโตเฟอร์มองใบหน้าจิ้มลิ้มที่แดงซ่าน และปากสวยที่แดงไม่แพ้กันจากการถูกบดเบียดเป็นเวลานานอย่างหลงใหล

“รู้หรือยังว่าฉันเรียกเธอว่าอะไร” คริสโตเฟอร์ยกมือขึ้นกอดร่างบางไว้แนบอก ก่อนจะกระซิบที่ข้างหูจนหญิงสาวขนลุกซู่ กว่าจะเรียกสติตัวเองกลับคืนมาได้ และคิดทบทวนว่าเมื่อครู่คริสโตเฟอร์ได้กระซิบอะไรข้างหูก็เสียเวลาไปร่วมนาที

“เรียกอะไรกันเล่า ก็คริส...” ‘เขิน’ คำนี้คงเหมาะกับเธอที่สุดในเวลานี้ เธอเขินจนไม่กล้าพูดมันออกไป

“ฉัน?”

“ก็... ก็คริสมัวแต่... มัวแต่จูบไม่เห็นจะพูดอะไรเลย” ร่างบางอึกๆอักๆพูดรัวเร็วติดกัน พร้อมทำท่าโวยวายร่วมด้วยเพื่อกลบเกลื่อนอาการเขิน

“อะไรกัน ฉันเรียกไปแล้วนะ” ร่ายสูงผละออกเล็กน้อยพลางทำหน้าเหลอหลา

“ยังไม่ได้เรียกเสียหน่อย…”

“เรียกไปแล้ว เมื่อกี้ฉัน ‘กระซิบ’ เข้าไปในปากเธอนะ ไม่ได้ยินเหรอ” ตาแก่จอมฉวยโอกาสถามหน้าตาย แต่ไม่วายแอบยิ้มมุมปากอย่างคนเจ้าเล่ห์

คริสตินได้แต่ถลึงตาใส่คนตัวโต แต่ปิดแก้มแดงๆของตัวเองไม่มิด ทำให้คริสโตเฟอร์เอานิ้วมาเกลี่ยๆอยู่ที่แก้มเธอเบาๆอย่างหยอกเย้า ยิ่งทำให้ใบหน้าหญิงสาวร้อนฉ่าขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัว รู้สึกแปลกๆเพียงแค่นิ้วเรียวของเขาเขี่ยแก้มของเธอเบาๆ

“สงสัยคงต้อง ‘กระซิบ’ ให้ฟังใหม่อีกสักรอบสองรอบแล้วล่ะ”

“มะ ไม่เอา...อื้อ!” พูดไม่ทันจบประโยค ปากหนาก็โฉบลงมาทาบทับเธออีกคราจนได้ ชายหนุ่มมอบจุมพิตหวานให้เธอ ซึ่งร่างบางก็รับมันมาอย่างเต็มอกเต็มใจ

ไม่นานนัก คริสโตเฟอร์ก็ผละออกเล็กน้อยเพื่อกระซิบคำที่ทำให้หญิงสาวใจเต้นแรง ก่อนที่ริมฝีปากของเขาจะแนบชิดลงมาอีกครั้ง ไม่ให้เธอมีสิทธิ์ได้ถามอะไรออกไป...

‘มิสซิสเบอร์นาร์ด...'


.....................................................


หลังจากวางสายจากคุณหนูเลสลี่ไป โจเซฟก็หันมาสนใจงานตรงหน้าใหม่อีกครั้ง ยอมรับว่าคริสตินก็น่ารักดี ไม่แปลกเลยที่คริสโตเฟอร์จะทั้งรักทั้งหลง แถมยังขี้หวงถึงขนาดนั้น ใจก็ไม่ได้นึกชอบคริสตินเชิงชู้สาว แต่เห็นแล้วให้ความรู้สึกเอ็นดูเหมือนน้องสาว ยิ่งเขาเป็นลูกชายคนเดียว บางทีก็นึกอยากจะมีน้องสาวกับเขาขึ้นมาบ้างเหมือนกัน

ตอนแรกก็ไม่ได้ตั้งใจว่าจะโทรไปหาคริสตินโดยตรง แต่พอนึกถึงสีหน้าคริสโตเฟอร์แล้ว และก็คิดว่าชายหนุ่มคงจะวนเวียนอยู่ใกล้ๆหญิงสาวเป็นแน่จึงกะจะโทรไปแหย่หนวดเสือเล่นๆ แล้วก็ไม่ผิดหวัง เมื่อได้ยินน้ำเสียงหงุดหงิดเล็ดลอดตามสายเข้ามาด้วย นึกแล้วก็อดขำไม่ได้ รักมากก็หวงมาก คงจะจริงอย่างที่เขาว่า

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“ท่านประธานคะ คุณมาลีนมาขอพบค่ะ”

“อืม ให้เธอเข้ามาเลย” โจเซฟพยักหน้ารับรู้ ก่อนที่จะเคลื่อนตัวจากเก้าอี้ทำงานย้ายมานั่งลงที่โซฟาแทน

“โจเซฟ” เสียงหวานเอ่ยทักทันทีที่เห็นเจ้าของกิจการพันล้านนั่งอยู่ที่โซฟา

“ทำไมจะเข้ามาไม่เห็นบอกล่ะครับ ดีนะที่วันนี้ผมไม่มีประชุม” เจ้าของหุ่นสวยเดินเข้ามานั่งบนโซฟาที่ชายหนุ่มเพิ่งขยับตัวให้เธอนั่งข้างๆ “เป็นอะไรอีกล่ะ หน้าบูดมาเชียว อย่าบอกนะว่าทะเลาะกับเมแกนมาอีกแล้ว” ชายหนุ่มถามกลั้วเสียงหัวเราะไปด้วย

เขากับเมแกนรู้จักกันเมื่อสี่ปีที่แล้วที่เขาไปเรียนต่อปริญญาโทที่อเมริกา เป็นเพื่อนในกลุ่มเดียวกันทำให้ไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ ช่วงวันหยุด มาลีนที่บินมาเยี่ยมพี่สาวเป็นประจำ ทำให้เขารู้จักกับเธอไปด้วย จนเมื่อเขาเรียนจบ เมแกนยังอยู่ที่อเมริกาต่อ ส่วนเขากลับฝรั่งเศสมาช่วยรับช่วงต่อครอบครัวดูแลบริษัท เขายังติดต่อกับคนทั้งคู่ แต่สองปีให้หลังมานี้ เนื่องด้วยได้พบกับมาลีนบ่อยกว่า ทำให้ตอนนี้เขาสนิทกับเธอพอๆกับเมแกนที่เคยเป็นเพื่อนร่วมกลุ่มกันไปแล้ว มีอะไรก็มักจะปรึกษากันตลอด

“คุณก็คิดดูสิ ตอนนี้เมแกนคลั่งไปแล้ว เธอเอาแต่บอกว่าจะแย่งคริสโตเฟอร์มาจากคุณหนูเลสลี่ให้ได้ บ้าชะมัดเลย”

“อย่าไปคิดมากเลยน่า เธอก็รู้ว่าไม่มีทางเป็นไปได้” คริสโตเฟอร์หลงคริสตินยิ่งกว่าอะไรดี เรื่องที่จะเปลี่ยนใจไปจากคริสตินนั่น ไม่มีทางเสียหรอก ชายหนุ่มคิด

“ฉันรู้ค่ะ แต่ฉันห่วงนิสัยเมแกนต่างหาก มันแก้ไม่หายแล้วนะ อยากเจอเนื้อคู่ของพี่จริงๆ คนที่ทนเมแกนได้ ฉันต้องขอบคุณเขามากๆที่รับพี่สาวฉันได้น่ะ” โจเซฟมองใบหน้าของหญิงสาวที่ไม่มีร่องรอยของการประชดประชันเลยสักนิด เขาพอจะดูออกว่าร่างบางรักและเป็นห่วงพี่สาวขนาดไหน แต่ก็นะ ใครๆก็รู้นิสัยของเมแกน “เมแกนยังไม่รู้เรื่องที่คุณเจรจาธุรกิจกับเลสลี่กรุ๊ปใช่มั๊ยคะ อย่าให้เธอรู้เชียวนะ บริษัทคุณพังแน่” มาลีนพูดติดตลก ซึ่งชายหนุ่มก็หลุดขำออกมาน้อยๆเมื่อจิตนาการตามคำพูดของหญิงสาว

“เอาเป็นว่าผมจะช่วยดูให้อีกแรงแล้วกันนะ” ร่างสูงคลี่ยิ้มบางๆ

“ขอบคุณนะคะ” หญิงสาวยิ้มตอบ “จริงๆแล้วที่ฉันมาหาคุณไม่ใช่เรื่องเมแกนหรอกค่ะ” ร่างเพรียวพูดพลางถอนหายใจ สีหน้าบ่งบอกถึงความเป็นกังวล

“มีอะไรที่ผมพอจะช่วยได้บ้างไหม บอกมาได้เลยนะ ผมพร้อมจะช่วยเต็มที่” มือหนาเอื้อมมาแตะไหล่บางเบาๆเชิงให้กำลังใจ

มาลีนสายหน้า ยิ้มขื่น แววตาเศร้าสร้อยจนร่างแกร่งอดเป็นกังวลไม่ได้ ปกติมาลีนไม่ใช่คนที่ดูท้อแท้แบบนี้ เธอมักจะเป็นคนร่าเริง และชอบยิงมุกตลกให้คนรอบข้างได้หัวเราะอยู่เสมอ เขาคิดว่านั่นเป็นเสน่ห์ของเธอ

“ทำไมล่ะครับ ผมช่วยอะไรบ้างไม่ได้เลยหรือ”

“ช่วยได้สิค่ะ ถ้าคุณช่วยไม่ได้แล้วฉันจะมาหาคุณทำไม แค่คุณรับฟัง ฉันก็ดีใจแล้วค่ะ” ใบหน้าที่สวยงามไม่ต่างจากพี่สาวฝืนยิ้มทั้งที่ขอบตาเริ่มร้อนผ่าว

“มีอะไรระบายมาได้เลยครับ ผมพร้อมฟังเสมอนะ” ชายหนุ่มพูด ก่อนจะเดินไปกดอินเตอร์คอมรายงานเลขาหน้าห้องว่าวันนี้งดรับแขก แล้วเดินกลับมาทรุดตัวนั่งลงที่เดิมข้างๆหญิงสาว

มาลีนก้มลงมองตักตัวเองอยู่ครู่ใหญ่โดยไม่พูดอะไรออกมา ซึ่งชายหนุ่มก็เข้าใจ ไม่ได้เซ้าซี้อะไร นั่งรอจนหญิงสาวเริ่มพูดออกมา

“ตอนนี้... ธุรกิจของครอบครัวฉันมัน มันจะซ้ำรอยเดิมอีกแล้วค่ะ โจเซฟ” โจเซฟนิ่งงันไป ไม่รู้จะสรรหาคำพูดไหนมาปลอบใจเธอดี เขาพอจะรู้เลาๆมาบ้างว่าเมื่อประมาณห้าหกปีที่แล้วครอบครัวมาลีนถึงขั้นเรียกได้ว่าเกือบจะล้มละลาย ถ้าไม่มีเลสลี่กรุ๊ปช่วยซื้อบริษัทไปเทกโอเวอร์ ครอบครัวของมาลีนคงไม่ได้เงินก้อนไปตั้งตัวใหม่เป็นแน่

“ผมช่วยวางการตลาดให้ใหม่ดีไหม ผมว่ายังมีอะไรบกพร่องอีกหลายจุดนะ หรือช่วงนี้จะยืมเงินผมไปสักสิบยี่สิบล้านก่อนก็ได้ กลับไปบอกคุณลุงว่าผมไม่คิดดอก” และก็ได้รับคำตอบเป็นการส่ายหน้ากลับมาอีกเช่นเคย

“คุณพ่อต้องการมากกว่านั้นค่ะ โจเซฟ ท่านต้องการให้ฉันแต่งงานกับเพื่อนนักธุรกิจของท่าน" พูดจบ หญิงสาวร่างเล็กบอบบางก็ยกฝ่ามือทั้งสองขึ้นปิดใบหน้า ไหล่ที่สั่นไหวเป็นการบ่งบอกว่าเธอกำลังร้องไห้อยู่เป็นแน่

เป็นครั้งแรกที่โจเซฟเห็นมาลีนร้องไห้หนักขนาดนี้ ปกติเธอเป็นคนที่ร้องไห้ได้นิ่งมาก แทบไม่มีเสียงสะอื้นเลยก็ว่าได้ จะมีก็เพียงแต่น้ำตาที่ไหลรินลงมาเฉยๆ แต่ครั้งนี้บ่งบอกเลยว่าเธอคงเสียใจมากจริงๆถึงได้ร้องไห้สะอึกสะอื้นขนาดนี้ โจเซฟมองหญิงสาวด้วยความสงสารจับใจ ก่อนจะตัดสินใจยกมือขึ้นโอบไหล่บางให้ซบลงกับอกของเขาไว้


....................................................



เพชรอันดา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 20 ม.ค. 2557, 21:53:00 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 20 ม.ค. 2557, 21:53:00 น.

จำนวนการเข้าชม : 992





<< ใครที่ร้ายกว่ากัน   กินในที่ลับ[1] >>
รรวโรจน์ 21 ม.ค. 2557, 01:47:21 น.
คู่จื่น


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account