แผนลับ นักสืบ
กอหญ้าเพิ่งมาทำงานเป็นนักข่าวได้แค่ไม่ถึงหกเดือน เธอต้องการทำข่าวนายอิทธิกรติดผู้หญิงกับมั่วยาบ่อย ๆ เธอไม่ยอมแพ้ ไปแอบอยู่ข้างบ้านนายอิทธิกรแล้วปีนต้นไม้บ้านข้าง ๆ แต่หมอหนุ่มเห็นเข้าเขาจะเรียกตำรวจ แต่เธอร้องห้ามไป ๆ มา ๆ เลยขอแอบเข้าไปในบ้านหมอหนุ่มเสียเลย
Tags: ึความรัก,นักข่าว,คุณหมอ,ดารา
ตอน: ตอนที่ ๔ เหตุผลของการแต่งงาน
๔
เหตุผลของการแต่งงาน
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ” เขายิ้ม
“สวัสดีค่ะ เห็นว่ากอหญ้ามาเช่าบ้านอยู่กับคุณ ก็เลยมาดูสถานที่จริงสักหน่อย”
“ครับ”
“ต้นไม้ข้างนอกนั่น คุณปลูกเองทั้งหมดเลยเหรอคะ” ข้าวฟ่างชวนคุย
“ครับ ผมเอาใจใส่กับมันมาก กว่าจะปลูกได้ขนาดนี้นี่แทบแย่ วันดีคืนดีก็มีคนมาปีนจนกิ่งมันหัก เฮ้อ...ผมละเสียดายจริงๆ”
“ไม่ได้หักย่ะ แค่งอเฉยๆ” รสกรร้องออกมาเสียงดัง ทำเอาข้าวฟ่างกับคชินทร์หันมามองเธอเป็นตาเดียว หญิงสาวแก้มแดงใบถึงใบหู
“ผมยังไม่ได้พูดถึงคุณสักคำ” ชายหนุ่มเหยียดยิ้ม
“นั่นสิจ๊ะ คุณชินยังไม่ได้พูดถึงใครเลย” ข้าวฟ่างเอ่ยยิ้ม
จากนั้นคชินทร์ก็พาข้าวฟ่างไปนั่งที่เก้าอี้โซฟา ทั้งคู่คุยกันราวกับในโลกนี้มีกันอยู่แค่สองคน ทั้งยังหัวเราะกันอย่างมีความสุข รสกรเริ่มจะทนนั่งอยู่ไม่ไหว เพราะไม่รู้ว่าจะพูดอะไร ได้แต่นั่งเงียบเหมือนเป็นใบ้ ผลสุดท้ายก็ลุกขึ้นยืนและขอตัวไปชงกาแฟมาเสิร์ฟ
“ฉันไปชงกาแฟมาให้ดีกว่า”
“ขอบใจจ้ะ”
นักข่าวสาวยิ้มบางๆให้เพื่อน เมื่อมองชายหนุ่มร่วมบ้าน ก็เห็นเขาก็มองมาพอดี
“ฉันไปก่อนนะ ขี้เกียจจะเป็นก-ข-คน่ะ”
หญิงสาวเดินเข้าไปในห้องครัว เสียงพูดคุยหัวเราะกันยังลอยดังมาให้ได้ยิน รสกรหน้าตึงขึ้นทันที จับขวดเปิดฝาออกอย่างแรง แล้วเอาช้อนตักกาแฟใส่แก้ว หญิงสาวนึกอยากจะอยู่ในครัวให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะไม่อยากไปเจอผู้ชายที่ทำตัวเป็นสุภาพบุรุษเป็นพิเศษในวันนี้ ดูเหมือนว่าข้าวฟ่างจะถูกใจคชินทร์เป็นพิเศษ ถึงขนาดชวนคุยอยู่นานสองนาน ให้ตายเถอะ ถ้าข้าวฟ่างรู้ว่าหมอนี่ปากร้ายกับเธอแค่ไหน เธอคงไม่มานั่งเสียเวลานานขนาดนี้หรอก
“แค่ปีนจนกิ่งไม้หักนิดหน่อยทำเป็นมาพูด คอยดูเถอะ วันไหนไม่อยู่ฉันจะเอามีดไปตัดมันซะเลย” รสกรแสร้งบ่น
“จะเอาไปตัดอะไรไม่ทราบ”
เสียงทุ้งนุ่มด้านหลังทำเอาเธอสะดุ้งโหยง
“คุณ...”
“คนเราเวลาทำอะไรผิด แล้วรู้จักขอโทษเสียบ้างก็ยังดีนะ”
“นี่คุณ ฉันก็ขอโท...” หญิงสาวโมโหหันไปมองหน้าเขาทันที ทว่าเมื่อเธอหันกลับไปก็ปะทะร่างหนาของเขาทันที เพราะมัวแต่ทะเลาะกันเธอจึงไม่รูว่าคชินทร์ได้เดินเข้ามาใกล้แล้วโน้มใบหน้าลงเพราะต้องการถาม ดวงตาสองทั้งสองจึงประสานกันในระยะใกล้ ปลายจมูกของทั้งสองอยู่ใกล้กันแค่เอื้อม ดูเหมือนว่าเขากำลังจะจูบเธอ
นักข่าวสาวแก้มเปลี่ยนเป็นสีแดงจัด ขณะที่คชินทร์เองก็ตกใจอยู่ไม่น้อย
“เป็นอะไรน่ะ แก้มคุณแดงแปลกๆชอบกล” คำพูดของเขาทำเอาเธอสะดุ้งโหยง รีบยกมือขึ้น ถอยห่างจนถ้วยกาแฟหดรดเสื้อผ้าเขาทันทีเป็นรอยด่างสีน้ำตาลที่อกเสื้อ
“ตายจริง ขอโทษค่ะฉันไม่ทันได้ดู” เธอร้องอุทาน
“ไม่เป็นไร ตัวนี้เพิ่งใส่ได้ไม่กี่ครั้งเอง”
“ไหน ขอดูสิ ติดแน่นด้วย ทำยังไงดีล่ะ เอาอย่างนี้เดี๋ยวฉันไปซื้อเสื้อมาให้คุณใหม่ บอกยี่ห้อกับราคามาสิ” รสกรทำหน้าเหมือนจะร้องไห้
“ก็บอกว่าไม่เป็นไรไงล่ะ”
“ไม่ได้สิ ฉันเป็นคนทำเสื้อคุณเลอะ ฉันก็ต้องชดใช้ให้คุณ บอกมาสิว่าเสื้อตัวนี้ราคากี่บาท”
“เจ็ดพันห้า” ชินสรุปสั้นๆ ผู้ฟังได้แต่กระพริบตาถี่ๆ
“เจ็ดพันห้า” เธอร้องอุทาน
“ใช่ ว่ายังไงล่ะ ไหนคุณบอกว่าจะชดใช้ให้ผมไง” คุณหมอหนุ่มเลิกคิ้วซ่อนรอยยิ้ม “ผมซื้อตอนไปเดินห้าง ราคาตอนนี้ไม่รู้ว่ายังเท่านี้อยู่อีกหรือเปล่า”
เจ็ดพันห้านั่นมันค่าอาหารของเธอเกือบทั้งเดือนเชียวนะ รสกรยิ้มเฝื่อนๆ พลางคิดไปถึงน้ำยาซักฟอกยี่ห้อดัง มันคงจะดีกว่านี้เยอะ ถ้าเธอจะพยายามซักเอง คิดแล้ว เธอก็ปล่อยเสื้อของเขาทันทีแล้วครางเสียงอ่อย
“ถ้าฉันพยายามซัก มันจะออกหมดหรือเปล่า”
คชินทร์อดหัวเราะไม่ได้ สรุปแล้วเขาต้องการแกล้งเธอเท่านั้นเอง
“ผมล้อเล่นน่ะ เสื้อตัวนี้มันลดห้าสิบเปอร์เซ็นต์ ราคามันแค่สามพันกว่าๆเท่านั้น ถ้าให้คุณเลือก ผมว่าคุณรีบถอดออกไปซักตอนนี้ ก็น่าจะซักให้สะอาดได้” ชายหนุ่มจับเสื้อตัวเอง
“คุณนี่ช่างแกล้งกันนักนะ” เธอเริ่มโมโห
“ว่าแต่ คุณเป็นคนชวนคุณข้าวฟ่างมาที่นี่อย่างนั้นเหรอ” อยู่ๆเขาก็เปลี่ยนเรื่องคุยเสียจนเธอตามไม่ทัน
“ใช่ เขาอยากรู้จักกับคุณน่ะ แล้วเป็นยังไงล่ะ เขาน่ารักใช่หรือเปล่า” รสกรชำเลืองมองเขานิดหนึ่ง
“เขาก็น่ารักดี” เขายิ้ม
“น่ารัก แล้วก็สวยมากด้วย ว่ายังไง ไม่ลองจีบดูหน่อยเหรอ”
คุณหมอหนุ่มเลิกคิ้วสูงมองเธอ
“คุณอยากให้ผมจีบเธอหรือ”
“ก็....ไม่แน่หรอก” รสกรยืนกอดอก แล้วเสมองไปทางอื่น “คุณเองก็เป็นคนโสด การศึกษาก็ดี ไร้พันธะ ส่วนยายข้าวฟ่างก็เป็นเพื่อนฉัน แถมยังสนใจคุณอยู่ ไม่แน่นะ คุณกับเพื่อนฉันอาจเหมาะสมกันก็ได้”
“นั่นเป็นเหตุผลที่คุณจะรักใครสักคนหรือ” เสียงของเขาต่ำลึก จนเธอหันไปมอง
“อะไรนะคะ”
“ผมได้ยินผู้หญิงโสดสมัยนี้นิยมพูดถึงกัน ความรักต้องมีเงินทอง มีฐานะ แล้วก็ต้องจบการศึกษาสูงพอที่จะเทียบกับเธอได้ แต่ผมว่านั่นไม่ใช่เหตุผลที่ผู้หญิงเลือกจะรักใครสักคนหรอก”
หญิงสาวเงียบไปครู่ใหญ่ เหตุผลที่ผู้หญิงจะมีใครสักคนก็ต้องดูเรื่องหน้าตา จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง มีฐานะ ที่สำคัญยังโสด มันยังมีอะไรที่มากไปกว่านี้อีกหรือ
“มันยังมีอะไรที่สำคัญไปกว่านี้อีกเหรอ” เธอเอ่ยถาม
“...ความรักยังไงล่ะ” เสียงของคชินทร์อ่อนโยน
ความรักหรือ เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันหมายความว่าอะไร นักข่าวสาวเคยได้ยินว่าคู่แต่งงานหลายคู่ที่บอกว่าแต่งงานกันเพราะความรัก แต่สุดท้ายก็เลิกรากันไป เธอเคยสงสัยว่าคนที่แต่งงานกัน เขามีความรักต่อกันจริงๆหรือเปล่า หรือว่าดูที่ฐานะ เงินทอง หรือแม้กระทั่งหน้าตาเพียงเท่านั้น
“ดูคุณมั่นใจมากเลยนะคะ ว่าผู้หญิงจะเป็นแบบนั้นกันหมดทุกคน”
“ผมแน่ใจ...มากด้วย” คชินทร์เหยียดยิ้ม เขาชำเลืองมองมือขวาที่เป็นรอยแดงเล็กๆของเธอ เพราะเพิ่งโดนกาแฟลวกเมื่อสักครู่ ชายหนุ่มคว้าข้อมือบางเธอขึ้นมาดูจนรสกรนิ้วหน้าด้วยความเจ็บ
“ทำอะไรของคุณน่ะ”
“คุณบาดเจ็บ” เสียงของเขาเข้มขึ้นเล็กน้อย “รอยถูกน้ำร้อนลวก ตอนทำกาแฟหกเมื่อกี้น่ะเหรอ”
“อืม ไม่เป็นไร เดี๋ยวก็หาย”
เขาดึงมือของรสกรเข้าไปหาตัวอีก ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างเมื่อใบหน้าหล่อเหลาของเขาก้มลงจูบรอยแผลของเธอ หญิงสาวพูดไม่ออก ดูเหมือนสัมผัสอบอุ่นจากรอยจูบได้ส่งผ่านมายังรอยแผลบนมือของเธอ มันทำให้หญิงสาวตัวแข็งไปหมด ไม่กล้าแม้แต่จะดึงมือออกด้วยซ้ำ หัวใจเธอเต้นไม่เป็นจังหวะ แก้มของเธอแดงปลั่งไปถึงใบหู คชินทร์ดึงผ้าเช็ดหน้าผืนสีขาวสะอาดออกมาแล้วพันไว้รอบมือของเธอ
“ผมยกให้คุณชั่วคราว เป็นยังไงดีขึ้นแล้วใช่ไหม” ชายหนุ่มยิ้มบางๆ
รสกรพูดอะไรไม่ออก สงสัยอยู่ว่าตอนนี้หน้าเธอหายแดงแล้วหรือยัง
“กอหญ้ากาแฟได้หรือยังน่ะ” ข้าวฟ่างที่เดินมาถึงในครัวเอ่ยทัก รสกรรีบดึงมือออกจากมือหนาทันที รีบหันไปบอกเพื่อนทันที
“ฉันว่าจะยกออกไปให้เธออยู่พอดี”
“ตายจริง เธอทำกาแฟหกเหรอ” ข้าวฟ่างเดินเข้าไปจับเสื้อของคชินทร์ “เลอะเทอะหมดเลย แล้วนี่เธอเป็นยังไงบ้าง ลวกมือหรือเปล่า”
สายตาของข้าวฟ่างมองดูผ้าเช็ดหน้าผืนสีขาวบนมือของเธอ หญิงสาวจึงรีบเอามือไปซ่อนไว้ด้านหลังพร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงสดใสว่า
“ไม่เป็นไรหรอกน่า”
“เธอไม่เป็นไรจริงๆเหรอ” ข้าวฟ่างรู้สึกผิดที่ทำให้เพื่อนรักต้องเจ็บตั
“อืม ดีขึ้นเยอะแล้ว”
“โล่งอกไปที ถ้าอย่างนั้นวันนี้ฉันขอตัวกลับก่อนนะ มารบกวนตั้งนานแล้ว”
“ทำไมรีบกลับนักล่ะ”
“พอดีฉันมีงานต้องรีบกลับไปทำที่โรงแรมน่ะ เอาไว้คราวหน้าฉันจะมารบกวนคุณชินใหม่นะคะ” ประโยคหลังข้าวฟ่างหันไปหาคชินทณ์พร้อมรอยยิ้ม
“ครับ”
“นี่กอหญ้า ออกไปส่งฉันตรงปากซอยหน่อยสิ รถแท็กซี่มันอยู่ตั้งไกลแน่ะ”
“ได้สิ”
รสกรเดินไปส่งข้าวฟ่างที่หน้าประตูบ้าน คชินทร์เดินตามออกมาแล้วเสนอว่าจะไปส่งให้ก็ได้ แต่ข้าวฟ่างได้แต่ส่ายหน้าบอกว่าไปเองจะสะดวกกว่า สองเพื่อนสาวจึงพากันเดินออกไปรอรถแท็กซี่ที่หน้าปากซอย ทั้งสองคุยกันตามประสาเพื่อนสนิทกัน
“คุณชินเขาเป็นคนดีนะ พูดจากเป็นสุภาพบุรุษ อบอุ่นดีออก”
รสกรขมวดคิ้ว เพราะเธอยังไม่เห็นธาตุแท้ของเขาน่ะสิ ถึงได้พูดแบบนี้”
“คงอย่างนั้นมั้ง”
“ฉันว่าเขาน่าสนใจดีนะ”
นักข่าวสาวฝืนยิ้ม กะแล้วว่าเพื่อนจะต้องพูดอย่างนี้
“เธอชอบคุณชินเหรอ”
“อืม” ข้าวฟ่างยิ้ม “เขาดูดีมากและเป็นสุภาพบุรุษมากกว่าผู้ชายหลายคนที่ฉันเจอมา คุณชินเขาดูอบอุ่น อ่อนโยนนะ ดูเป็นคนละคนกับที่เธอพูดมาเลยละ” ข้าวฟ่างยิ้มมากขึ้นไปอีก “ฉันอยากรู้จักกับเขามากขึ้นจังเลย เออนี่...คุณชินมีแฟนหรือยัง ถ้ายังไม่มีช่วยแนะนำฉันให้เขาด้วยนะ”
“หนุ่มๆที่โรงแรมไม่มีเลยเหรอ พวกหล่อเหลา สุภาพบุรุษทุกระเบียดนิ้วน่ะ ไม่มีมาจีบหญิงสาวน่ารักอย่างเธอเลยเหรอ”
“มีสิ แต่ฉันไม่สนใจ”
“อะไรนะ”
“ฉันชอบที่เขาเป็นคุณหมอที่คร่ำเคร่งกับตำราเรียน พูดจาน่าเชื่อถือ ที่สำคัญคุณชินดูอบอุ่นแล้วก็น่ารักดี” เธอยิ้มหวาน ที่แท้ก็เป็นรักแรกพบนั่นเอง
รสกรเงียบไปพักใหญ่ เธอไม่อยากคิดว่าผู้หญิงสมัยนี้ไม่ต้องการความรัก หากแต่เลือกคบผู้ชายในแบบมีการศึกษาสูง มีอาชีพที่เหมาะสม และมีอนาคตไกลต่างหาก
“งั้นเหรอ” เธอกระซิบแผ่ว
“นี่กอหญ้า คราวหน้าฉันขอมาเยี่ยมเธอที่บ้านอีกนะ แล้วก็อยากให้เธอช่วยนัดคุณชินมาเดตกับฉันหน่อย” เธอยิ้มหวานแล้วกอดแขนเพื่อนสนิท “ถ้าได้ไปเดตกัน ฉันจะทำให้เขารักฉันให้ได้เลย คอยดูสิ”
รสกรหันไปมองหน้าเพื่อนสนิท ใจหล่นวูบ...
“ฉันนี่นะ?”
“ใช่ ช่วยฉันหน่อยสิ”
“เอ่อ...แต่ว่าคุณชินเขาจะยอมเหรอ”
“ลองดูสักครั้งไม่เห็นจะเสียหายตรงไหน หรือว่า....อย่าบอกนะว่า เธอก็แอบชอบคุณชินเหมือนกัน” ข้าวฟ่างชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ จนรสกรแก้มแดงปลั่ง
“บ้าเหรอ ใครจะไปสนคนอย่างนั้นกัน ไม่มีทางซะหรอก ฉันกับเขาเราก็แค่อาศัยอยู่บ้านเดียวกัน ฉันเป็นมาหาข่าว ส่วนเขาก็นั่งอ่านหนังสือเช้ายันค่ำ เจอกันเฉพาะตอนกินข้าวเท่านั้นเองนะ”
“ล้อเล่นน่า ซีเรียสไปได้” ข้าวฟ่างหัวเราะ
รสกรอึ้งไปพักใหญ่ เธอไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงได้รีบปฏิเสธนัก หรือเพราะคนถามเป็นเพื่อนสนิทของเธอกันแน่ หญิงสาวรู้สึกโกรธตัวเองที่เป็นแบบนี้ รวมไปถึงเกลียดตัวเองที่รู้สึกว่าใจหล่นวูบตั้งแต่เมื่อกี้นี้แล้ว...เธอไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน
ภาพถ่ายในโทรศัพท์มือถือเป็นภาพกึ่งเปลือยของหญิงสาวรูปร่างเย้ายวนคนหนึ่ง เธอหลับตาหลับสนิทมีเพียงผ้าห่มคลุมกายอยู่
อิทธิกรถือโทรศัพท์โดยหันกล้องไปทางน้ำค้างที่หลับสนิทอยู่บนเตียง เรียวปากของเขาเหยียดยิ้ม ดาราหนุ่มเก็บภาพทุกท่วงท่าที่หญิงสาวนอนอยู่บนเตียงขาวสะอาดของเขา แน่นอนว่าน้ำค้างไม่มีทางรู้ได้แน่ว่าตัวเองถูกแอบถ่ายโดยชายชู้
“อืม...อิทธิกรคะ” เธอกระพริบตาถี่ๆมองเขา “นั่นอะไรคะ”
“ไม่มีอะไรหรอก” อิทธิกรเก็บโทรศัพท์มือถือไว้ในกระเป๋ากางเกง “คุณตื่นแล้วหรือ”
“เมื่อกี้ฉันเหมือนเห็นคุณทำอะไรสักอย่าง แต่มัน...มึนหัวไปหมด” น้ำค้างกุมศีรษะตัวเองแน่น บนโต๊ะภายในห้องนอนมีอุปกรณ์เสพยาวางเกลื่อน “สงสัยเมื่อคืนเราจะเสพยากันนานไปหน่อย”
“ไม่หรอกน่า”
น้ำค้างลุกขึ้นมาเหยียดยิ้ม เอียงหน้าซบลงบนมือหนา “วันนี้คุณมีคิวไปถ่ายแบบตอนสิบโมงไม่ใช่หรือ”
“ใช่ ทำไมหรือ”
“นี่ก็เกือบสิบโมงแล้ว คุณยังไม่ไปอีกเหรอ...ระวังเจอข้อหาเบี้ยวงานอีกนะคะ คราวนี้น้ำค้างไม่ช่วยแล้วนะ” เธอทำหน้าจริงจัง แต่อิทธิกรหัวเราะ เขาวางมือไว้ข้างกายเธอ พร้อมกับกระซิบแผ่ว
“ผมก็บอกกับเขาว่าเมื่อคืนเสพยากับคุณมากไปหน่อย ไม่เชื่อก็ลองมาดูที่คอนโดก็ได้”
“บ้า” น้ำค้างตีเขาดังเผียะ “อย่ามาล้อเล่นน่า”
“ล้อเล่นตรงไหน ผมพูดจริงต่างหาก”
“พูดจริง แต่ระวังหัวหลุดออกจากบ่า ถ้าพ่อรู้ว่าฉันแอบนัดเจอคุณอีก มีหวังคุณไม่ได้เกิดอีกแน่”
“ผมไม่กลัว ผมกลัวสามีคุณมากกว่า เขาจะกลับมาเมื่อไหร่”
“วันมะรืนนี้ค่ะ ทำไมหรือ”
“ผมจะได้วางแผนฆ่ามัน เพื่อจะให้คุณมาเป็นของผมคนเดียวไงล่ะ” อิทธิกรยิ้มพลางจรดฝีปากลงบนแก้มเนียนของเธอ แล้วหญิงสาวก็หัวเราะคิก
“ถ้างั้นฉันหนีตามคุณดีไหมคะ แล้วเราก็จะอยู่ด้วยกันแค่สองคน”
คำพูดจากปากน้ำค้าง ทำให้อิทธิกรถึงกับคอแข็งไปทันที ก่อนจะหัวเราะแผ่วเบา
“คุณยอมหรือ ว่าจะไปลำบากอยู่กับผม” เขายิ้ม
“ความรักทำให้ฉันยอมได้ทั้งนั้น”
“คุณ....ล้อผมเล่นใช่ไหม”
น้ำค้างหัวเราะคิกๆ นัยน์ตาพราวระยับ เธอสังเกตเห็นสีหน้าของอิทธิกรเคร่งเครียดขึ้นทันที เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้พูดความจริง แต่ที่พูดนั้นเพียงต้องการเอาใจเธอเท่านั้น
“ล้อเล่นหรอกค่ะ ใครจะไปยอมทนลำบากอยู่กับคุณกันล่ะ” เธอซ่อนยิ้มบางๆ อิทธิกรขมวดคิ้ว ถึงรู้ว่ามันเป็นความจริง แต่การถูกผู้หญิงเหยียดหยาม มันเกินจะทนจริงๆ
“คุณฉลาดนี่” เขายิ้มเหยียดหยัน
“จริงหรือเปล่าคะ...คุณอิทธิกร”
เช้านี้รสกรทำอาหารสองสามอย่างวางไว้บนโต๊ะกินข้าว ซึ่งเช้านี้คชินทร์ก็นั่งมานั่งกินด้วย หญิงสาวลอบมองหมอหนุ่มที่เอาแต่คร่ำเคร่งอยู่กับตำราเรียนในมือ เกือบหนึ่งอาทิตย์แล้วที่เธอมาอาศัยอยู่ร่วมบ้านกับคชินทร์ แต่ก็ยังไม่ได้ข่าวอะไรไปเขียนเลยสักอย่าง
เจ้าของใบหน้าคมคายอ่านหนังสือ แต่พอเห็นสายตาที่จ้องใบหน้าของเขาอย่างเผลอไผล จึงเอ่ยถามเบาๆ
“หน้าผมมีอะไรติดอยู่หรือ”
“ปะ...เปล่า ไม่มีอะไรหรอก” นักข่าวสาวรีบก้มหน้าใช้ช้อนเขี่ยกับข้าวในจานเบาๆ
“มีอะไรหรือเปล่า”
“เปล่าค่ะ ฉันสบายดี”
“ถ้าไม่มี แล้วทำไมถึงต้องคอยหลบสายตาผมด้วยล่ะ” คำพูดตรงไปตรงมาของเขาทำให้กอหญ้าสะดุ้งโหยง เงยหน้าขึ้นมองทันที
“ไม่ได้หลบสายตา ฉันแค่มองนู่นมองนี่เท่านั้นเอง”
“แปลว่าคุณแอบมองผมจริงๆน่ะสิ” เขายิ้มเมื่อเธอตกหลุมที่เขาขุดดักไว้จริง รสกรถึงกับอ้าปากค้าง
“เอ่อ...ฉันแค่มีบางอย่างจะถามคุณเท่านั้นเอง”
หญิงสาวเม้มปากแน่น สิ่งที่กำลังจะทำนี่มันยากเย็นกว่าที่คิดจริงๆ
“เรื่องอะไรล่ะ”
“สมมติว่า...บังเอิญคุณไปเจอผู้หญิงสวย น่ารัก ยิ้มเก่งคุณจะทำยังไงคะ” เธอหมายถึงข้าวฟ่าง
“ผมก็จะถามว่าเขาชื่ออะไรน่ะสิ”
“แล้วถ้าคุณรู้ว่าเขาชื่ออะไร รู้จักนิสัยใจคอแล้ว คุณจะชวนเธอออกไปเดตดูไหม” รสกรพยายามทำน้ำเสียงให้เป็นปกติ แม้ว่าหัวใจของตัวเองจะกำลังเต้นรัว
“ไม่รู้สิ ถ้าผมสนใจเธอจริงๆ ผมก็จะลองเดตดูละมัง” คชินทร์มองสบตาเธอตรงๆ
“แล้วถ้าเธอคนนั้นอยากจะชวนคุณออกไปเดตล่ะ คุณจะยอมไปหรือเปล่า”
หญิงสาวมองหน้าคชินทร์ เวลานี้เธออยากรู้จริงๆว่าเขาคิดอะไรอยู่
“ก็ต้องดูก่อนว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร...คุณหมายถึงคุณข้าวฟ่างใช่หรือเปล่า”
คำพูดตรงประเด็นของเขาทำให้เธอนิ่งเงียบไปพักใหญ่
“คุณรู้ด้วยเหรอ” เธอถามเสียงอ้อมแอ้ม
“แค่มองหน้าคุณ ผมก็รู้ว่าคุณหมายถึงใคร” เขาส่งรอยยิ้มบางๆไปให้อีกฝ่าย พร้อมเลื่อนจานออกไปด้านข้าง และโน้มใบหน้าเข้าไปหารสกร “คุณจะชวนให้ผมไปเดตกับคุณข้าวฟ่างหรือ”
คนถูกรู้ทันเม้มปากแน่น รู้แล้วยังจะมาถามอีก
“เรียกว่าช่วยเพื่อนจะดีกว่า”
“อะไรที่ว่าช่วยเพื่อน” เขาย้อนถาม
“ข้าวฟ่างไม่เคยสนใจใคร นอกจากคุณคนเดียว เขาขอร้องฉันให้ช่วยเพราะอยากรู้จักกับคุณมากยิ่งขึ้น เขาอยากชวนคุณไปไหนมาไหนกับเขาบ้าง คุณโอเคหรือเปล่า” รสกรตัดสินใจพูดตรงๆ ซึ่งเธอเองก็ไม่คิดว่าเขาจะปฏิเสธ
“ที่ไหนล่ะ”
รสกรกระพริบตาถี่ๆกับคำถามของเขา
“คุณตกลงเหรอ”
“คุณอุตส่าห์เป็นธุระให้เพื่อน มีเหรอที่ผมจะปฏิเสธ” คชินทร์เอนหลังพิงเก้าอี้ด้วยท่าทางสบายๆ
“คือฉันไม่แน่ใจว่าคุณจะโอเคหรือเหล่า เขาบอกให้ฉันมาถามคุณก่อน” หญิงสาวกระซิบแผ่ว
“ถ้านัดกันแน่นอนแล้วค่อยมาบอกผมอีกทีก็แล้วกัน...เอาละ ผมไปอ่านหนังสือก่อนนะ คืนนี้ประมาณสองทุ่มผมจะอ่านหนังสือรอคุณอยู่ในห้อง” คชินทร์ชำเลืองมองเธอแล้วยิ้ม
นักข่าวสาวเม้มปากแน่น เกือบหนึ่งอาทิตย์แล้วที่เธอเข้าไปลอบสังเกตอยู่ภายในห้องของเขา ทุกวันเธอจะคอยนั่งสังเกตการณ์ไปอยู่บนเตียง แรกๆเขาจะนั่งอ่านอยู่บนโต๊ะอ่านหนังสือในห้อง แต่พอหลังๆเขาก็ขยับมานอนอ่านหนังสืออยู่บนเตียงบ้าง ทำเป็นไม่สนใจเธอว่าจะนั่งอยู่ตรงไหนของเตียง หญิงสาวต้องนั่งอยู่ริมหน้าต่างเพื่อจะได้เห็นความเคลื่อนไหวของนายอิทธิกรได้ชัดๆ ทว่าบ่นไปก็เท่านั้น เพราะวันสองวันมานี้เธอกับเขาแทบจะอยู่ด้วยกันด้วยซ้ำไป...
เวลาเกือบสามทุ่มแล้ว วันนี้เธอโทร.ไปที่บริษัทและได้ข่าวว่านายอิทธิกรจะไปผับชื่อดังแห่งหนึ่ง และจะกลับบ้านพักหลังจากนั้น
นักข้าวสาวนั่งถือกล้องอยู่ริมหน้าต่าง และต้องออกแรงผลักคชินทร์เบาๆ ชายหนุ่มถอนหายใจยาว ยกหนังสือออกห่างใบหน้าแล้วขยับตัวออกห่างเล็กน้อย แต่เพราะขนาดของเตียงเดี่ยวทำให้เธอรู้สึกอัดอัดอย่างบอกไม่ถูก ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงไม่ย้ายออกไป แล้วให้เธอมานอนที่ห้องนี้แทน เขาจะได้อ่านหนังสือได้สบายขึ้น
“นี่คุณ ขยับห่างออกไปอีกหน่อยสิ ตรงนี้มันมองไม่ค่อยเห็น” เธอเริ่มบ่น
“ที่ผมอยู่ตรงนี้ คุณต่างหากควรขยับไปที่อื่น”
“ถ้าฉันทำได้นะ คงไม่ต้องมานั่งอยู่ตรงนี้หรอก”
“งั้นก็นั่งต่อไป”
“นี่คุณ หัดเป็นเจ้าของห้องที่ใจกว้างบ้างได้ไหม เห็นๆอยู่ว่าฉันกำลังทำงาน แต่คุณกลับมานอนขวางแบบนี้” เธอร้องเสียงดัง “ถามจริงๆเถอะ ไอ้การที่คุณนอนอ่านหนังสือกับการนั่งอ่านหนังสืออยู่บนโต๊ะ แบบไหนมันดีกว่ากัน”
รสกรออกแรงผลักคชินทร์ด้วยความโมโห
“ตอนเย็นผมก็นั่งอ่านหนังสือ ส่วนตอนนี้ผมอยากจะนอนอ่านบ้าง มันแปลกตรงไหน” เขาถามพลางเลิกคิ้ว
“แปลกสิ ขอทีเถอะนะ อย่าเพิ่งมานอนอ่านตอนนี้ได้ไหม ต้องเปิดไฟแบบนี้ ฉันแอบมองเขาไม่ถนัด”
“คุณแสบตาหรือ” ชินถาม
“ใช่ แสบมากด้วย” หญิงสาวตอบชัดๆ เธอหวังให้เขาเลิกอ่านหนังสือแล้วเดินไปหาอะไรกินข้างล่างแทน แต่ว่าชายหนุ่มกลับเอื้อมมือมาหาจนเธอต้องถอยห่างด้วยความตกใจ แต่ทว่ามือหนาเอื้อมมาปิดไฟแทน หลังจากนั้นทั้งห้องก็ตกอยู่ในความมืดสลัวจนแทบมองอะไรไม่เห็น
ท่ามกลางความความมืด หญิงสาวรู้สึกได้ถึงลมหายใจแผ่วเบาจากคนที่อยู่เบื้องหน้า ได้กลิ่นหอมจางๆจากครีมโกนหนวด และหัวใจเธอก็เต้นแรงราวกับว่าจะหลุดออก แม้ว่าสายตาของเธอจะยังไม่ชินกับความมืดรอบกาย แต่เธอก็รู้สึกว่าเขาอยู่ใกล้มาก...มากจนเธอแทบจะได้ยินเสียงหัวใจเต้นของเขาด้วยซ้ำไป
“ดีขึ้นหรือเปล่า” เสียงทุ้มนุ่มกระซิบแผ่ว
“อืม” เธอไม่รู้ว่าจะตอบว่ายังดี ขณะนั้นหญิงสาวก็ได้ยินเสียงรถยนต์ค่อยๆแล่นมายังหน้าประตูบ้านของนายอิทธิกร เธอจึงถลันออกไปข้างหน้าต่างแล้วมองออกไปด้านนอก ขณะนั้นเองเธอก็รู้สึกว่ามือหนาของคชินทร์เอื้อมมาเกาะบานหน้าต่างข้างศีรษะของหญิงสาว และไออุ่นจากร่างหนาที่อยู่ทางด้านหลังก็แนบชิดกับแผ่นหลังของเธอ ความอบอุ่นจากร่างกายของเขาส่งผ่านมาให้เธอ ไม่ว่าคชินทร์จะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม แต่ใบหน้าของเธอก็เปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อมากขึ้นทุกทีแล้ว
“เป็นยังไงบ้าง เขามากับใคร”
“ไม่รู้เหมือนกัน ต้องรอดูอีกนิด” รสกรบังคับเสียงให้เป็นปกติ
“งั้นหรือ ดูท่าว่าเขากำลังรอใครอีกคนอยู่นะ” คชินทร์ขยับกายเข้ามาใกล้เธอขึ้นอีก คราวนี้ดูเหมือนว่าเธอจะถูกโอบเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของชายหนุ่มเลยทีเดียว โดยที่วงแขนของเขาขวางกั้นไม่ให้เธอได้ถอยหนี
รสกรเม้มปากแน่น “เขากำลังคอยใครอยู่นะ” เธอกระซิบแผ่ว
ขณะที่ทั้งคู่กำลังรอคอย นายอิทธิกรก็ล้วงบุหรี่ขึ้นมาสูบ จากนั้นเธอก็เห็นผู้ชายสวมเสื้อสีขาวเดินตรงมาหาที่นายอิทธิกรจากมุมมืด เธอเห็นชายผู้นั้นพูดบางอย่างกับดาราหนุ่มอยู่นานสองนาน แล้วชายคนนั้นก็ล่วงบุหรี่ขึ้นมาจากกระเป๋าเสื้อมาคาบไว้ในปาก แล้วยื่นหน้ามาต่อไฟบุหรี่ของนายอิทธิกล เขายืนคุยอีกพักใหญ่ แล้วดาราหนุ่มก็หยิบอะไรบางอย่างยื่นให้กับชายผู้นั้น เสียดายที่ไฟส่องไปไม่ถึง ไม่อย่างนั้นเธออาจจะเห็นว่าเป็นอะไร
“นายอิทธิกรส่งอะไรให้เขา”
“ไม่รู้สิ”
นักข่าวสาวกัดริมฝีปากแน่น ดูเหมือนว่าเรื่องนี้ยิ่งสืบเธอก็ยิ่งเจอเงื่อนงำซ่อนอยู่ เพราะหากว่าเขาทำผิดกฎหมายจริง บางทีเธออาจเอาเรื่องนี้ไปแจ้งกับตำรวจ แต่ว่า...
หลักฐานล่ะ?
“ฉันจะลงไปข้างล่างเพื่อดูให้แน่ใจ” เธอขยับตัวจะถอยห่าง แต่ถูกมือหนาโอบไว้
“คุณจะไปไหน”
“ฉันจะลงไปข้างล่าง ดูตรงนี้มองไม่เห็นอะไรเลย” เธอกระซิบ
“คุณจะบ้าหรือไง ลงไปข้างล่างแล้วเกิดเขาเห็นว่ามีคนแอบดูอยู่ล่ะ” คชินทร์ชินเอ่ยเสียงดัง
“ช่างสิ ฉันไม่เห็นแคร์เลย ถอยไป เดี๋ยวเขาจะกลับไปเสียก่อน”
รสกรสะบัดแขนออก แล้วถอยลงจากเตียงรีบวิ่งลงบันไดไปที่ชั้นล่างทันที ตอนนี้สิ่งที่เธอจะต้องรู้ให้ได้นั่นก็คืออิทธิกลยื่นส่งอะไรให้เพื่อนเขา มองเห็นไกล ๆ เธอมองเห็นไม่ชัดเลยว่ามันคืออะไร คชินทร์ไม่รู้จะทำยังไงดี เขาเป็นฝ่ายวิ่งตามเธอออกมาถึงชั้นล่าง รสกรหันกลับมามองหน้าคชินทร์ ก่อนเปิดประตูออกไปเบา ๆ ข้างนอกมืดสลัวมีเพียงแสงไฟจากริมถนน
นักข่าวสาวกับคชินทร์แอบยืนซุ่มเงียบอยู่บริเวณริมรั้วด้านซ้ายของอิทธิกรที่ติดกับบ้านเช่าของคชินทร์ เธออาศัยความมืดและพุ่มไม้ที่บดบังทำให้รสกรมองผ่านช่องว่างของรั้ว เห็นตอนที่อิทธิกรยื่นแฟลชไดร์ให้กับผู้ชายคนนั้น แฟลชไดร์ที่เก็บข้อมูลสำคัญบางอย่าง
ว่าแต่...ข้อมูลอะไรล่ะ !?
“แฟลชไดร์...มันคือข้อมูลอะไรกันแน่นะ” รสกรกระซิบแผ่ว
“มาทางนี้เถอะ มันอันตรายเกินไปที่เราจะอยู่ตรงนี้”
“เดี๋ยวก่อน ฉันขอดูอีกนิด”
เธอพยายามกระซิบอย่างเบาที่สุด แต่แล้วเสียงก็ได้ยินไปถึงหูอิทธิกรกับชายแปลกหน้าจนได้ พวกเขาหันมามองตรงบริเวณริมรั้วเป็นจุดเดียว รสกรหันหน้าหนีแล้วยกมือขึ้นปิดปากพยายามไม่กระดุกกระดิก และคชินทร์เองก็ก้มลงกระซิบบอกให้เธอเงียบ หญิงสาวใจเต้นตึกตักเกรงว่ามันจะหลุดออกมานอกอก เธอเห็นอิทธิกรหันไปคุยกับชายคนนั้น และชายคนนั้นก็เก็บของนั้นใส่ในกระเป๋ากางเกง แล้วเดินออกไปจากรั้วและเปิดประตูรถก่อนจะเคลื่อนรถออกไปทันที โชคดีที่บริเวณที่เธอกับคชินทร์นั่งแอบอยู่มีพุ่มไม้บังจนมิด ประกอบกับความมืด จึงทำให้ชายหนุ่มปริศนาคนนั้นไม่ทันได้สังเกตเห็น
“เขาไปแล้ว” เธออุทานแผ่ว
“เขาได้ยินคุณพูดก็เลยรีบกลับน่ะสิ” ชายหนุ่มถอนหายใจยาว
กอหญ้ารีบลุกขึ้นมองหาอิทธิกร มองเห็นเขามองซ้ายมองขวาก่อนจะเดินเข้าไปในบ้าน ดึงผ้าม่านปิดบังทางเข้าทั้งหมด จนเธอหมดโอกาสที่จะทำข่าวต่อ คชินทร์ดึงแขนเธอให้ลุกเดินเข้าไปภายในบ้าน เธอไม่รู้จะทำยังไงดีจึงยอมตามไป ทั้งคู่เดินตามกันไปจนถึงห้องนอนบนชั้นสอง รสกรนั่งลงบนเตียงของคชินทร์หน้าบอกบุญไม่รับ
“โธ่ เพราะคุณคนเดียว ถ้าคุณไม่ห้ามฉันไว้ก็คงไม่เป็นแบบนี้หรอก” เมื่อทำอะไรไม่ได้ เธอก็เริ่มพาล
“เพราะผมหรือ ผมช่วยคุณต่างหาก”
“ช่วยยังไงไม่ทราบ”
“ถ้าผมไม่ช่วยคุณ ป่านนี้คุณคงไปนอนอยู่ในโรงพักแล้วละ ข้อหาละเมิดสิทธิส่วนบุคคล แถมมียังแอบถ่ายด้วย” คชินทร์สรุปสั้นๆ
“มีแค่กล้องถ่ายรูป แล้วเขาจะรู้ได้ยังไงว่าฉันแอบถ่าย” เธอยังเถียงไม่ยอมลดละ
“รูปถ่ายที่คุณมีอยู่เต็มกล้องล่ะ จะอธิบายกับเขาว่ายังไง”
“เอ่อ”
“จะบอกเขาว่าเธอบังเอิญถ่ายแล้วติดหน้าเขามา ทั้งๆที่มันมีอยู่หลายสิบภาพเนี่ยนะ”
“พอแล้ว โอเคฉันผิดเองแหละ” เธอเม้มปากแน่น ใช้มือข้างหนึ่งดันหน้าต่างเพื่อจะถอยห่างจากตรงนั้นไป แต่มือหนาของคชินทร์จับมือเธอไว้ หญิงสาวเงยหน้ามองเขาทันที
“อะไร”
“มือของคุณหายหรือยัง” น้ำเสียงของเขาเรียบเฉย
รสกรดูมือของเธอในความมืด เธอไม่รู้หรอกว่ามันหายเมื่อไหร่ แต่ผู้เช็ดหน้าผืนนั้น เธอเก็บไว้เป็นอย่างดีในลิ้นชักภายในห้องนอนของเธอ
“หายแล้วค่ะ” หญิงสาวกระซิบแผ่ว พลางดึงมือออกจากการเกาะกุม
ทว่าฝ่ามือใหญ่ยังไม่ยอมปล่อย หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองเขา และก็เห็นแววตาอ่อนโยนที่ทอดมองมายังเธอ เวลานี้เขาอยู่ใกล้เธอมากจนได้กลิ่นหอมจางๆจากร่างกายของคชินทร์ สีหน้าอบอุ่นและมีรอยยิ้มอยู่เป็นนิจของเขา แม้ตอนนี้เธอจะอยู่กับเขาแค่สองคน ชินก็ไม่ทำให้เธออึดอัดเลยสักนิด
“ผ้าเช็ดหน้าล่ะ คุณเก็บไว้ที่ไหน”
“เอ่อ...ฉันเอาไปซักและเก็บไว้ในลิ้นชักแล้ว” เธอตอบอุบอิบ “ทำไมอยากได้คืนงั้นเหรอ”
คชินทร์หัวเราะแผ่ว
“เปล่าหรอก แค่อยากให้เก็บไว้ใช้ตอนที่จำเป็นต่างหาก ใครจะรู้ว่าคุณจะทำน้ำร้อนลวกมืออีกเมื่อไหร่ หรือว่าจะโดนมีดบาดเวลาทำอาหาร ผมละเป็นห่วงจริงๆ”
“จะเก็บไปให้ข้าวฟ่างใช้ก็ว่ามาเถอะ” พูดแล้วก็นึกโกรธตัวเอง ทำไมเธอต้องเอาเรื่องเพื่อนสนิทมาพูดตอนนี้ด้วยนะ
“ผมให้คุณใช้ ไม่เกี่ยวกับคนอื่น” เสียงของเขานุ่มลึก
“ช่างเถอะ คืนนี้ไม่ได้อะไรแล้ว ฉันไปดีกว่า” รสกรขยับตัวจะลุกออกไป แต่เธอก็ถูกรั้งไว้ด้วยประโยคหนึ่ง
“คุณน่าจะได้ข่าวแล้วนะคืนนี้” คชินทร์นั่งอยู่บนเตียงเขา มือข้างหนึ่งวางอยู่บนขาของตัวเอง “นายอิทธิกรนั่นส่งข้อมูลอะไรบางอย่างให้ชายหนุ่มปริศนาคนนั้น ถ้าเรารู้ว่าเขาส่งอะไรให้กัน ผมว่าคุณน่าจะได้ข่าวแน่ๆ”
นักข่าวสาวครุ่นคิดหนัก จะว่าไปแล้วเธอยังไม่รู้ว่าข้อมูลที่เขาส่งให้ชายคนนั้นคืออะไรกัน
“ผู้ชายคนนั้น อาจเป็นผู้จัดการของเขาก็ได้นะ”
“ผมว่าไม่ใช่หรอก อิทธิกรน่าจะมีเบื้องหลังอะไรมากกว่านั้น”
“หรือจะเป็นนายวิน”
รสกรหันมามองหน้าเขาแบบมีความหวังสุดๆ ใช่แล้วเขาจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากนายวิน แต่ตอนนี้สิ่งที่เธอต้องพิสูจน์ให้ได้ก็คือผู้ชายปริศนนาคนนั้นเป็นใครและของที่นายอิทธิกรส่งให้เขาคืออะไร
“ถ้างั้นพรุ่งนี้ฉันจะลองไปที่ทำงานเขาดู เผื่อว่าจะได้ประโยชน์อะไรดีๆบ้าง”
“ผมจะนอนแล้ว คุณเองก็ไปนอนได้แล้ว” คชินทร์ออกปากไล่แล้วล้มตัวลงนอน หญิงสาวกระพริบตาถี่ๆด้วยความงุนงง
“เดี๋ยวสิ ฉันยังปรึกษาคุณไม่เสร็จเลย” รสกรอุทานลั่น
เธอเขย่าตัวคชินทร์เพื่อปลุกให้เขาลุกขึ้นมาคุยต่อ แต่ชายหนุ่มดูเหมือนจะไม่ยอมลุกขึ้นมาอีกแน่นอน แถมยังเอาหนังสือบังใบหน้าไว้จนมิด จนสุดท้ายเธอก็ยอมแพ้ แล้วออกจากห้องไป
รุ่งเช้ารสกรก็ออกไปข้างนอกแต่เช้า เธอเข้าไปสืบหาข่าวคราวเกี่ยวกับนายวินว่า ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน หญิงสาวเดินเข้าไปในออฟฟิศที่ทำงานของเธอ หญิงสาวยิ้มให้เลขานุการคนใหม่ แล้วเธอก็เดินตรงไปหากระเทยร่างอ้วนที่นั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ เมื่อเขาหันมาเห็นเธอเข้าก็ร้องทักทาย
“อุ้ยตาย เป็นยังไงบ้างยะ ไม่ได้เจอกันตั้งนาน คิดว่าโดนไล่ออกซะแล้ว” วาจาแสบสันของพุดซ้อน ทำให้รสกรเดินเข้าไปตีไหล่หนาเพื่อนร่วมงานร่างใหญ่
“เธอรู้ตารางงานของนายวินบ้างหรือเปล่า” หญิงสาวพูดเข้าเรื่องทันที
“วินเหรอ ทำไมเธอถึงสนใจดาราคนนี้นักล่ะ พระเอกคนอื่นมีตั้งเยอะไม่สนเหรอ”
“อืม เอาเถอะ มีหรือเปล่า บอกมาเร็วๆ”
“มีสิ รอแป๊บนึงนะ” พุดซ้อนค้นหาเอกสารกองพะเนินอยู่บนโต๊ะ หาไปสักพักก็ยื่นเอกสารส่งไปให้เพื่อน “วันนี้เขามีนัดถ่ายแบบขึ้นปกนิตยสารตอนสิบโมงเช้า แหม...หลงเสน่ห์ความหล่อของเขาใช่มั้ยล่ะ”
“เขาไปคนเดียวเหรอ”
“จะให้ไปกับใครล่ะยะ” พุดซ้อนตาคว่ำใส่ “เขายังไม่มีแฟนหรอก เห็นมีแต่นางเอกสาวสวยมาคอยรุมจีบแต่คุณวินก็ไม่สน สงสัยว่าผู้หญิงจะได้กินแห้ว”
กอหญ้าดูตารางงานของวิน ถึงแม้ว่าเขาจะไม่มีชื่อเสียงโด่งดังแต่ก็มีงานเดินแบบ งานอีเว้นท์มากมาย และก็ไม่เคยมีข่าวเสีย ๆ หาย ๆ ทำตัวดีมาตลอด แต่ใครจะเชื่อล่ะว่าผู้ชายคนนั้นเป็นเกย์ กอหญ้ายิ้มเฝื่อนเวลานี้เธอต้องเจอเขา เธอจะต้องรู้ให้ได้ว่าเขาสวมแหวนที่นิ้วชี้อยู่หรือเปล่า แล้วนายอิทธิกรนั่นมอบอะไรให้กับเขากันแน่
“นี่เธอ ได้ข่าวว่าบรรณาธิการเขาขอให้เธอไปทำข่าวอื่น นอกเหนือจากข่าวนายอิทธิกรเหรอ”
“คงอย่างนั้น”
“ข่าวทั่วไปตามหน้าหนังสือพิมพ์ก็มีตั้งเยอะไม่เห็นจะยากเลย แค่จับเอามาเขียน ๆ แค่นี้นิตยสารก็ขายได้สบาย”
“ข่าวทั่ว ๆ ไปตามหน้าหนังสือพิมพ์น่ะเขาไม่การอ่านหรอก คราวนี้แหละที่ฉันต้องทำให้สำเร็จให้ได้คอยดูสิ” กอหญ้าวางตารางข่าวไว้บนโต๊ะและมองหาสถานที่ถ่ายแบบ โชคดีที่มันอยู่ไม่ไกลจากที่นี่มากนัก
“แล้วเธอจะทำยังไง”
“ฉันจะกลับมาพร้อมกับข่าวใหญ่ครึกโครมเลยล่ะ” กอหญ้ายิ้มบาง ๆ มือคว้าจับเอาแผ่นกระดาษตารางงานของนายวินติดมือไปด้วย....
***********************
เหตุผลของการแต่งงาน
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ” เขายิ้ม
“สวัสดีค่ะ เห็นว่ากอหญ้ามาเช่าบ้านอยู่กับคุณ ก็เลยมาดูสถานที่จริงสักหน่อย”
“ครับ”
“ต้นไม้ข้างนอกนั่น คุณปลูกเองทั้งหมดเลยเหรอคะ” ข้าวฟ่างชวนคุย
“ครับ ผมเอาใจใส่กับมันมาก กว่าจะปลูกได้ขนาดนี้นี่แทบแย่ วันดีคืนดีก็มีคนมาปีนจนกิ่งมันหัก เฮ้อ...ผมละเสียดายจริงๆ”
“ไม่ได้หักย่ะ แค่งอเฉยๆ” รสกรร้องออกมาเสียงดัง ทำเอาข้าวฟ่างกับคชินทร์หันมามองเธอเป็นตาเดียว หญิงสาวแก้มแดงใบถึงใบหู
“ผมยังไม่ได้พูดถึงคุณสักคำ” ชายหนุ่มเหยียดยิ้ม
“นั่นสิจ๊ะ คุณชินยังไม่ได้พูดถึงใครเลย” ข้าวฟ่างเอ่ยยิ้ม
จากนั้นคชินทร์ก็พาข้าวฟ่างไปนั่งที่เก้าอี้โซฟา ทั้งคู่คุยกันราวกับในโลกนี้มีกันอยู่แค่สองคน ทั้งยังหัวเราะกันอย่างมีความสุข รสกรเริ่มจะทนนั่งอยู่ไม่ไหว เพราะไม่รู้ว่าจะพูดอะไร ได้แต่นั่งเงียบเหมือนเป็นใบ้ ผลสุดท้ายก็ลุกขึ้นยืนและขอตัวไปชงกาแฟมาเสิร์ฟ
“ฉันไปชงกาแฟมาให้ดีกว่า”
“ขอบใจจ้ะ”
นักข่าวสาวยิ้มบางๆให้เพื่อน เมื่อมองชายหนุ่มร่วมบ้าน ก็เห็นเขาก็มองมาพอดี
“ฉันไปก่อนนะ ขี้เกียจจะเป็นก-ข-คน่ะ”
หญิงสาวเดินเข้าไปในห้องครัว เสียงพูดคุยหัวเราะกันยังลอยดังมาให้ได้ยิน รสกรหน้าตึงขึ้นทันที จับขวดเปิดฝาออกอย่างแรง แล้วเอาช้อนตักกาแฟใส่แก้ว หญิงสาวนึกอยากจะอยู่ในครัวให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะไม่อยากไปเจอผู้ชายที่ทำตัวเป็นสุภาพบุรุษเป็นพิเศษในวันนี้ ดูเหมือนว่าข้าวฟ่างจะถูกใจคชินทร์เป็นพิเศษ ถึงขนาดชวนคุยอยู่นานสองนาน ให้ตายเถอะ ถ้าข้าวฟ่างรู้ว่าหมอนี่ปากร้ายกับเธอแค่ไหน เธอคงไม่มานั่งเสียเวลานานขนาดนี้หรอก
“แค่ปีนจนกิ่งไม้หักนิดหน่อยทำเป็นมาพูด คอยดูเถอะ วันไหนไม่อยู่ฉันจะเอามีดไปตัดมันซะเลย” รสกรแสร้งบ่น
“จะเอาไปตัดอะไรไม่ทราบ”
เสียงทุ้งนุ่มด้านหลังทำเอาเธอสะดุ้งโหยง
“คุณ...”
“คนเราเวลาทำอะไรผิด แล้วรู้จักขอโทษเสียบ้างก็ยังดีนะ”
“นี่คุณ ฉันก็ขอโท...” หญิงสาวโมโหหันไปมองหน้าเขาทันที ทว่าเมื่อเธอหันกลับไปก็ปะทะร่างหนาของเขาทันที เพราะมัวแต่ทะเลาะกันเธอจึงไม่รูว่าคชินทร์ได้เดินเข้ามาใกล้แล้วโน้มใบหน้าลงเพราะต้องการถาม ดวงตาสองทั้งสองจึงประสานกันในระยะใกล้ ปลายจมูกของทั้งสองอยู่ใกล้กันแค่เอื้อม ดูเหมือนว่าเขากำลังจะจูบเธอ
นักข่าวสาวแก้มเปลี่ยนเป็นสีแดงจัด ขณะที่คชินทร์เองก็ตกใจอยู่ไม่น้อย
“เป็นอะไรน่ะ แก้มคุณแดงแปลกๆชอบกล” คำพูดของเขาทำเอาเธอสะดุ้งโหยง รีบยกมือขึ้น ถอยห่างจนถ้วยกาแฟหดรดเสื้อผ้าเขาทันทีเป็นรอยด่างสีน้ำตาลที่อกเสื้อ
“ตายจริง ขอโทษค่ะฉันไม่ทันได้ดู” เธอร้องอุทาน
“ไม่เป็นไร ตัวนี้เพิ่งใส่ได้ไม่กี่ครั้งเอง”
“ไหน ขอดูสิ ติดแน่นด้วย ทำยังไงดีล่ะ เอาอย่างนี้เดี๋ยวฉันไปซื้อเสื้อมาให้คุณใหม่ บอกยี่ห้อกับราคามาสิ” รสกรทำหน้าเหมือนจะร้องไห้
“ก็บอกว่าไม่เป็นไรไงล่ะ”
“ไม่ได้สิ ฉันเป็นคนทำเสื้อคุณเลอะ ฉันก็ต้องชดใช้ให้คุณ บอกมาสิว่าเสื้อตัวนี้ราคากี่บาท”
“เจ็ดพันห้า” ชินสรุปสั้นๆ ผู้ฟังได้แต่กระพริบตาถี่ๆ
“เจ็ดพันห้า” เธอร้องอุทาน
“ใช่ ว่ายังไงล่ะ ไหนคุณบอกว่าจะชดใช้ให้ผมไง” คุณหมอหนุ่มเลิกคิ้วซ่อนรอยยิ้ม “ผมซื้อตอนไปเดินห้าง ราคาตอนนี้ไม่รู้ว่ายังเท่านี้อยู่อีกหรือเปล่า”
เจ็ดพันห้านั่นมันค่าอาหารของเธอเกือบทั้งเดือนเชียวนะ รสกรยิ้มเฝื่อนๆ พลางคิดไปถึงน้ำยาซักฟอกยี่ห้อดัง มันคงจะดีกว่านี้เยอะ ถ้าเธอจะพยายามซักเอง คิดแล้ว เธอก็ปล่อยเสื้อของเขาทันทีแล้วครางเสียงอ่อย
“ถ้าฉันพยายามซัก มันจะออกหมดหรือเปล่า”
คชินทร์อดหัวเราะไม่ได้ สรุปแล้วเขาต้องการแกล้งเธอเท่านั้นเอง
“ผมล้อเล่นน่ะ เสื้อตัวนี้มันลดห้าสิบเปอร์เซ็นต์ ราคามันแค่สามพันกว่าๆเท่านั้น ถ้าให้คุณเลือก ผมว่าคุณรีบถอดออกไปซักตอนนี้ ก็น่าจะซักให้สะอาดได้” ชายหนุ่มจับเสื้อตัวเอง
“คุณนี่ช่างแกล้งกันนักนะ” เธอเริ่มโมโห
“ว่าแต่ คุณเป็นคนชวนคุณข้าวฟ่างมาที่นี่อย่างนั้นเหรอ” อยู่ๆเขาก็เปลี่ยนเรื่องคุยเสียจนเธอตามไม่ทัน
“ใช่ เขาอยากรู้จักกับคุณน่ะ แล้วเป็นยังไงล่ะ เขาน่ารักใช่หรือเปล่า” รสกรชำเลืองมองเขานิดหนึ่ง
“เขาก็น่ารักดี” เขายิ้ม
“น่ารัก แล้วก็สวยมากด้วย ว่ายังไง ไม่ลองจีบดูหน่อยเหรอ”
คุณหมอหนุ่มเลิกคิ้วสูงมองเธอ
“คุณอยากให้ผมจีบเธอหรือ”
“ก็....ไม่แน่หรอก” รสกรยืนกอดอก แล้วเสมองไปทางอื่น “คุณเองก็เป็นคนโสด การศึกษาก็ดี ไร้พันธะ ส่วนยายข้าวฟ่างก็เป็นเพื่อนฉัน แถมยังสนใจคุณอยู่ ไม่แน่นะ คุณกับเพื่อนฉันอาจเหมาะสมกันก็ได้”
“นั่นเป็นเหตุผลที่คุณจะรักใครสักคนหรือ” เสียงของเขาต่ำลึก จนเธอหันไปมอง
“อะไรนะคะ”
“ผมได้ยินผู้หญิงโสดสมัยนี้นิยมพูดถึงกัน ความรักต้องมีเงินทอง มีฐานะ แล้วก็ต้องจบการศึกษาสูงพอที่จะเทียบกับเธอได้ แต่ผมว่านั่นไม่ใช่เหตุผลที่ผู้หญิงเลือกจะรักใครสักคนหรอก”
หญิงสาวเงียบไปครู่ใหญ่ เหตุผลที่ผู้หญิงจะมีใครสักคนก็ต้องดูเรื่องหน้าตา จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง มีฐานะ ที่สำคัญยังโสด มันยังมีอะไรที่มากไปกว่านี้อีกหรือ
“มันยังมีอะไรที่สำคัญไปกว่านี้อีกเหรอ” เธอเอ่ยถาม
“...ความรักยังไงล่ะ” เสียงของคชินทร์อ่อนโยน
ความรักหรือ เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันหมายความว่าอะไร นักข่าวสาวเคยได้ยินว่าคู่แต่งงานหลายคู่ที่บอกว่าแต่งงานกันเพราะความรัก แต่สุดท้ายก็เลิกรากันไป เธอเคยสงสัยว่าคนที่แต่งงานกัน เขามีความรักต่อกันจริงๆหรือเปล่า หรือว่าดูที่ฐานะ เงินทอง หรือแม้กระทั่งหน้าตาเพียงเท่านั้น
“ดูคุณมั่นใจมากเลยนะคะ ว่าผู้หญิงจะเป็นแบบนั้นกันหมดทุกคน”
“ผมแน่ใจ...มากด้วย” คชินทร์เหยียดยิ้ม เขาชำเลืองมองมือขวาที่เป็นรอยแดงเล็กๆของเธอ เพราะเพิ่งโดนกาแฟลวกเมื่อสักครู่ ชายหนุ่มคว้าข้อมือบางเธอขึ้นมาดูจนรสกรนิ้วหน้าด้วยความเจ็บ
“ทำอะไรของคุณน่ะ”
“คุณบาดเจ็บ” เสียงของเขาเข้มขึ้นเล็กน้อย “รอยถูกน้ำร้อนลวก ตอนทำกาแฟหกเมื่อกี้น่ะเหรอ”
“อืม ไม่เป็นไร เดี๋ยวก็หาย”
เขาดึงมือของรสกรเข้าไปหาตัวอีก ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างเมื่อใบหน้าหล่อเหลาของเขาก้มลงจูบรอยแผลของเธอ หญิงสาวพูดไม่ออก ดูเหมือนสัมผัสอบอุ่นจากรอยจูบได้ส่งผ่านมายังรอยแผลบนมือของเธอ มันทำให้หญิงสาวตัวแข็งไปหมด ไม่กล้าแม้แต่จะดึงมือออกด้วยซ้ำ หัวใจเธอเต้นไม่เป็นจังหวะ แก้มของเธอแดงปลั่งไปถึงใบหู คชินทร์ดึงผ้าเช็ดหน้าผืนสีขาวสะอาดออกมาแล้วพันไว้รอบมือของเธอ
“ผมยกให้คุณชั่วคราว เป็นยังไงดีขึ้นแล้วใช่ไหม” ชายหนุ่มยิ้มบางๆ
รสกรพูดอะไรไม่ออก สงสัยอยู่ว่าตอนนี้หน้าเธอหายแดงแล้วหรือยัง
“กอหญ้ากาแฟได้หรือยังน่ะ” ข้าวฟ่างที่เดินมาถึงในครัวเอ่ยทัก รสกรรีบดึงมือออกจากมือหนาทันที รีบหันไปบอกเพื่อนทันที
“ฉันว่าจะยกออกไปให้เธออยู่พอดี”
“ตายจริง เธอทำกาแฟหกเหรอ” ข้าวฟ่างเดินเข้าไปจับเสื้อของคชินทร์ “เลอะเทอะหมดเลย แล้วนี่เธอเป็นยังไงบ้าง ลวกมือหรือเปล่า”
สายตาของข้าวฟ่างมองดูผ้าเช็ดหน้าผืนสีขาวบนมือของเธอ หญิงสาวจึงรีบเอามือไปซ่อนไว้ด้านหลังพร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงสดใสว่า
“ไม่เป็นไรหรอกน่า”
“เธอไม่เป็นไรจริงๆเหรอ” ข้าวฟ่างรู้สึกผิดที่ทำให้เพื่อนรักต้องเจ็บตั
“อืม ดีขึ้นเยอะแล้ว”
“โล่งอกไปที ถ้าอย่างนั้นวันนี้ฉันขอตัวกลับก่อนนะ มารบกวนตั้งนานแล้ว”
“ทำไมรีบกลับนักล่ะ”
“พอดีฉันมีงานต้องรีบกลับไปทำที่โรงแรมน่ะ เอาไว้คราวหน้าฉันจะมารบกวนคุณชินใหม่นะคะ” ประโยคหลังข้าวฟ่างหันไปหาคชินทณ์พร้อมรอยยิ้ม
“ครับ”
“นี่กอหญ้า ออกไปส่งฉันตรงปากซอยหน่อยสิ รถแท็กซี่มันอยู่ตั้งไกลแน่ะ”
“ได้สิ”
รสกรเดินไปส่งข้าวฟ่างที่หน้าประตูบ้าน คชินทร์เดินตามออกมาแล้วเสนอว่าจะไปส่งให้ก็ได้ แต่ข้าวฟ่างได้แต่ส่ายหน้าบอกว่าไปเองจะสะดวกกว่า สองเพื่อนสาวจึงพากันเดินออกไปรอรถแท็กซี่ที่หน้าปากซอย ทั้งสองคุยกันตามประสาเพื่อนสนิทกัน
“คุณชินเขาเป็นคนดีนะ พูดจากเป็นสุภาพบุรุษ อบอุ่นดีออก”
รสกรขมวดคิ้ว เพราะเธอยังไม่เห็นธาตุแท้ของเขาน่ะสิ ถึงได้พูดแบบนี้”
“คงอย่างนั้นมั้ง”
“ฉันว่าเขาน่าสนใจดีนะ”
นักข่าวสาวฝืนยิ้ม กะแล้วว่าเพื่อนจะต้องพูดอย่างนี้
“เธอชอบคุณชินเหรอ”
“อืม” ข้าวฟ่างยิ้ม “เขาดูดีมากและเป็นสุภาพบุรุษมากกว่าผู้ชายหลายคนที่ฉันเจอมา คุณชินเขาดูอบอุ่น อ่อนโยนนะ ดูเป็นคนละคนกับที่เธอพูดมาเลยละ” ข้าวฟ่างยิ้มมากขึ้นไปอีก “ฉันอยากรู้จักกับเขามากขึ้นจังเลย เออนี่...คุณชินมีแฟนหรือยัง ถ้ายังไม่มีช่วยแนะนำฉันให้เขาด้วยนะ”
“หนุ่มๆที่โรงแรมไม่มีเลยเหรอ พวกหล่อเหลา สุภาพบุรุษทุกระเบียดนิ้วน่ะ ไม่มีมาจีบหญิงสาวน่ารักอย่างเธอเลยเหรอ”
“มีสิ แต่ฉันไม่สนใจ”
“อะไรนะ”
“ฉันชอบที่เขาเป็นคุณหมอที่คร่ำเคร่งกับตำราเรียน พูดจาน่าเชื่อถือ ที่สำคัญคุณชินดูอบอุ่นแล้วก็น่ารักดี” เธอยิ้มหวาน ที่แท้ก็เป็นรักแรกพบนั่นเอง
รสกรเงียบไปพักใหญ่ เธอไม่อยากคิดว่าผู้หญิงสมัยนี้ไม่ต้องการความรัก หากแต่เลือกคบผู้ชายในแบบมีการศึกษาสูง มีอาชีพที่เหมาะสม และมีอนาคตไกลต่างหาก
“งั้นเหรอ” เธอกระซิบแผ่ว
“นี่กอหญ้า คราวหน้าฉันขอมาเยี่ยมเธอที่บ้านอีกนะ แล้วก็อยากให้เธอช่วยนัดคุณชินมาเดตกับฉันหน่อย” เธอยิ้มหวานแล้วกอดแขนเพื่อนสนิท “ถ้าได้ไปเดตกัน ฉันจะทำให้เขารักฉันให้ได้เลย คอยดูสิ”
รสกรหันไปมองหน้าเพื่อนสนิท ใจหล่นวูบ...
“ฉันนี่นะ?”
“ใช่ ช่วยฉันหน่อยสิ”
“เอ่อ...แต่ว่าคุณชินเขาจะยอมเหรอ”
“ลองดูสักครั้งไม่เห็นจะเสียหายตรงไหน หรือว่า....อย่าบอกนะว่า เธอก็แอบชอบคุณชินเหมือนกัน” ข้าวฟ่างชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ จนรสกรแก้มแดงปลั่ง
“บ้าเหรอ ใครจะไปสนคนอย่างนั้นกัน ไม่มีทางซะหรอก ฉันกับเขาเราก็แค่อาศัยอยู่บ้านเดียวกัน ฉันเป็นมาหาข่าว ส่วนเขาก็นั่งอ่านหนังสือเช้ายันค่ำ เจอกันเฉพาะตอนกินข้าวเท่านั้นเองนะ”
“ล้อเล่นน่า ซีเรียสไปได้” ข้าวฟ่างหัวเราะ
รสกรอึ้งไปพักใหญ่ เธอไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงได้รีบปฏิเสธนัก หรือเพราะคนถามเป็นเพื่อนสนิทของเธอกันแน่ หญิงสาวรู้สึกโกรธตัวเองที่เป็นแบบนี้ รวมไปถึงเกลียดตัวเองที่รู้สึกว่าใจหล่นวูบตั้งแต่เมื่อกี้นี้แล้ว...เธอไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน
ภาพถ่ายในโทรศัพท์มือถือเป็นภาพกึ่งเปลือยของหญิงสาวรูปร่างเย้ายวนคนหนึ่ง เธอหลับตาหลับสนิทมีเพียงผ้าห่มคลุมกายอยู่
อิทธิกรถือโทรศัพท์โดยหันกล้องไปทางน้ำค้างที่หลับสนิทอยู่บนเตียง เรียวปากของเขาเหยียดยิ้ม ดาราหนุ่มเก็บภาพทุกท่วงท่าที่หญิงสาวนอนอยู่บนเตียงขาวสะอาดของเขา แน่นอนว่าน้ำค้างไม่มีทางรู้ได้แน่ว่าตัวเองถูกแอบถ่ายโดยชายชู้
“อืม...อิทธิกรคะ” เธอกระพริบตาถี่ๆมองเขา “นั่นอะไรคะ”
“ไม่มีอะไรหรอก” อิทธิกรเก็บโทรศัพท์มือถือไว้ในกระเป๋ากางเกง “คุณตื่นแล้วหรือ”
“เมื่อกี้ฉันเหมือนเห็นคุณทำอะไรสักอย่าง แต่มัน...มึนหัวไปหมด” น้ำค้างกุมศีรษะตัวเองแน่น บนโต๊ะภายในห้องนอนมีอุปกรณ์เสพยาวางเกลื่อน “สงสัยเมื่อคืนเราจะเสพยากันนานไปหน่อย”
“ไม่หรอกน่า”
น้ำค้างลุกขึ้นมาเหยียดยิ้ม เอียงหน้าซบลงบนมือหนา “วันนี้คุณมีคิวไปถ่ายแบบตอนสิบโมงไม่ใช่หรือ”
“ใช่ ทำไมหรือ”
“นี่ก็เกือบสิบโมงแล้ว คุณยังไม่ไปอีกเหรอ...ระวังเจอข้อหาเบี้ยวงานอีกนะคะ คราวนี้น้ำค้างไม่ช่วยแล้วนะ” เธอทำหน้าจริงจัง แต่อิทธิกรหัวเราะ เขาวางมือไว้ข้างกายเธอ พร้อมกับกระซิบแผ่ว
“ผมก็บอกกับเขาว่าเมื่อคืนเสพยากับคุณมากไปหน่อย ไม่เชื่อก็ลองมาดูที่คอนโดก็ได้”
“บ้า” น้ำค้างตีเขาดังเผียะ “อย่ามาล้อเล่นน่า”
“ล้อเล่นตรงไหน ผมพูดจริงต่างหาก”
“พูดจริง แต่ระวังหัวหลุดออกจากบ่า ถ้าพ่อรู้ว่าฉันแอบนัดเจอคุณอีก มีหวังคุณไม่ได้เกิดอีกแน่”
“ผมไม่กลัว ผมกลัวสามีคุณมากกว่า เขาจะกลับมาเมื่อไหร่”
“วันมะรืนนี้ค่ะ ทำไมหรือ”
“ผมจะได้วางแผนฆ่ามัน เพื่อจะให้คุณมาเป็นของผมคนเดียวไงล่ะ” อิทธิกรยิ้มพลางจรดฝีปากลงบนแก้มเนียนของเธอ แล้วหญิงสาวก็หัวเราะคิก
“ถ้างั้นฉันหนีตามคุณดีไหมคะ แล้วเราก็จะอยู่ด้วยกันแค่สองคน”
คำพูดจากปากน้ำค้าง ทำให้อิทธิกรถึงกับคอแข็งไปทันที ก่อนจะหัวเราะแผ่วเบา
“คุณยอมหรือ ว่าจะไปลำบากอยู่กับผม” เขายิ้ม
“ความรักทำให้ฉันยอมได้ทั้งนั้น”
“คุณ....ล้อผมเล่นใช่ไหม”
น้ำค้างหัวเราะคิกๆ นัยน์ตาพราวระยับ เธอสังเกตเห็นสีหน้าของอิทธิกรเคร่งเครียดขึ้นทันที เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้พูดความจริง แต่ที่พูดนั้นเพียงต้องการเอาใจเธอเท่านั้น
“ล้อเล่นหรอกค่ะ ใครจะไปยอมทนลำบากอยู่กับคุณกันล่ะ” เธอซ่อนยิ้มบางๆ อิทธิกรขมวดคิ้ว ถึงรู้ว่ามันเป็นความจริง แต่การถูกผู้หญิงเหยียดหยาม มันเกินจะทนจริงๆ
“คุณฉลาดนี่” เขายิ้มเหยียดหยัน
“จริงหรือเปล่าคะ...คุณอิทธิกร”
เช้านี้รสกรทำอาหารสองสามอย่างวางไว้บนโต๊ะกินข้าว ซึ่งเช้านี้คชินทร์ก็นั่งมานั่งกินด้วย หญิงสาวลอบมองหมอหนุ่มที่เอาแต่คร่ำเคร่งอยู่กับตำราเรียนในมือ เกือบหนึ่งอาทิตย์แล้วที่เธอมาอาศัยอยู่ร่วมบ้านกับคชินทร์ แต่ก็ยังไม่ได้ข่าวอะไรไปเขียนเลยสักอย่าง
เจ้าของใบหน้าคมคายอ่านหนังสือ แต่พอเห็นสายตาที่จ้องใบหน้าของเขาอย่างเผลอไผล จึงเอ่ยถามเบาๆ
“หน้าผมมีอะไรติดอยู่หรือ”
“ปะ...เปล่า ไม่มีอะไรหรอก” นักข่าวสาวรีบก้มหน้าใช้ช้อนเขี่ยกับข้าวในจานเบาๆ
“มีอะไรหรือเปล่า”
“เปล่าค่ะ ฉันสบายดี”
“ถ้าไม่มี แล้วทำไมถึงต้องคอยหลบสายตาผมด้วยล่ะ” คำพูดตรงไปตรงมาของเขาทำให้กอหญ้าสะดุ้งโหยง เงยหน้าขึ้นมองทันที
“ไม่ได้หลบสายตา ฉันแค่มองนู่นมองนี่เท่านั้นเอง”
“แปลว่าคุณแอบมองผมจริงๆน่ะสิ” เขายิ้มเมื่อเธอตกหลุมที่เขาขุดดักไว้จริง รสกรถึงกับอ้าปากค้าง
“เอ่อ...ฉันแค่มีบางอย่างจะถามคุณเท่านั้นเอง”
หญิงสาวเม้มปากแน่น สิ่งที่กำลังจะทำนี่มันยากเย็นกว่าที่คิดจริงๆ
“เรื่องอะไรล่ะ”
“สมมติว่า...บังเอิญคุณไปเจอผู้หญิงสวย น่ารัก ยิ้มเก่งคุณจะทำยังไงคะ” เธอหมายถึงข้าวฟ่าง
“ผมก็จะถามว่าเขาชื่ออะไรน่ะสิ”
“แล้วถ้าคุณรู้ว่าเขาชื่ออะไร รู้จักนิสัยใจคอแล้ว คุณจะชวนเธอออกไปเดตดูไหม” รสกรพยายามทำน้ำเสียงให้เป็นปกติ แม้ว่าหัวใจของตัวเองจะกำลังเต้นรัว
“ไม่รู้สิ ถ้าผมสนใจเธอจริงๆ ผมก็จะลองเดตดูละมัง” คชินทร์มองสบตาเธอตรงๆ
“แล้วถ้าเธอคนนั้นอยากจะชวนคุณออกไปเดตล่ะ คุณจะยอมไปหรือเปล่า”
หญิงสาวมองหน้าคชินทร์ เวลานี้เธออยากรู้จริงๆว่าเขาคิดอะไรอยู่
“ก็ต้องดูก่อนว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร...คุณหมายถึงคุณข้าวฟ่างใช่หรือเปล่า”
คำพูดตรงประเด็นของเขาทำให้เธอนิ่งเงียบไปพักใหญ่
“คุณรู้ด้วยเหรอ” เธอถามเสียงอ้อมแอ้ม
“แค่มองหน้าคุณ ผมก็รู้ว่าคุณหมายถึงใคร” เขาส่งรอยยิ้มบางๆไปให้อีกฝ่าย พร้อมเลื่อนจานออกไปด้านข้าง และโน้มใบหน้าเข้าไปหารสกร “คุณจะชวนให้ผมไปเดตกับคุณข้าวฟ่างหรือ”
คนถูกรู้ทันเม้มปากแน่น รู้แล้วยังจะมาถามอีก
“เรียกว่าช่วยเพื่อนจะดีกว่า”
“อะไรที่ว่าช่วยเพื่อน” เขาย้อนถาม
“ข้าวฟ่างไม่เคยสนใจใคร นอกจากคุณคนเดียว เขาขอร้องฉันให้ช่วยเพราะอยากรู้จักกับคุณมากยิ่งขึ้น เขาอยากชวนคุณไปไหนมาไหนกับเขาบ้าง คุณโอเคหรือเปล่า” รสกรตัดสินใจพูดตรงๆ ซึ่งเธอเองก็ไม่คิดว่าเขาจะปฏิเสธ
“ที่ไหนล่ะ”
รสกรกระพริบตาถี่ๆกับคำถามของเขา
“คุณตกลงเหรอ”
“คุณอุตส่าห์เป็นธุระให้เพื่อน มีเหรอที่ผมจะปฏิเสธ” คชินทร์เอนหลังพิงเก้าอี้ด้วยท่าทางสบายๆ
“คือฉันไม่แน่ใจว่าคุณจะโอเคหรือเหล่า เขาบอกให้ฉันมาถามคุณก่อน” หญิงสาวกระซิบแผ่ว
“ถ้านัดกันแน่นอนแล้วค่อยมาบอกผมอีกทีก็แล้วกัน...เอาละ ผมไปอ่านหนังสือก่อนนะ คืนนี้ประมาณสองทุ่มผมจะอ่านหนังสือรอคุณอยู่ในห้อง” คชินทร์ชำเลืองมองเธอแล้วยิ้ม
นักข่าวสาวเม้มปากแน่น เกือบหนึ่งอาทิตย์แล้วที่เธอเข้าไปลอบสังเกตอยู่ภายในห้องของเขา ทุกวันเธอจะคอยนั่งสังเกตการณ์ไปอยู่บนเตียง แรกๆเขาจะนั่งอ่านอยู่บนโต๊ะอ่านหนังสือในห้อง แต่พอหลังๆเขาก็ขยับมานอนอ่านหนังสืออยู่บนเตียงบ้าง ทำเป็นไม่สนใจเธอว่าจะนั่งอยู่ตรงไหนของเตียง หญิงสาวต้องนั่งอยู่ริมหน้าต่างเพื่อจะได้เห็นความเคลื่อนไหวของนายอิทธิกรได้ชัดๆ ทว่าบ่นไปก็เท่านั้น เพราะวันสองวันมานี้เธอกับเขาแทบจะอยู่ด้วยกันด้วยซ้ำไป...
เวลาเกือบสามทุ่มแล้ว วันนี้เธอโทร.ไปที่บริษัทและได้ข่าวว่านายอิทธิกรจะไปผับชื่อดังแห่งหนึ่ง และจะกลับบ้านพักหลังจากนั้น
นักข้าวสาวนั่งถือกล้องอยู่ริมหน้าต่าง และต้องออกแรงผลักคชินทร์เบาๆ ชายหนุ่มถอนหายใจยาว ยกหนังสือออกห่างใบหน้าแล้วขยับตัวออกห่างเล็กน้อย แต่เพราะขนาดของเตียงเดี่ยวทำให้เธอรู้สึกอัดอัดอย่างบอกไม่ถูก ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงไม่ย้ายออกไป แล้วให้เธอมานอนที่ห้องนี้แทน เขาจะได้อ่านหนังสือได้สบายขึ้น
“นี่คุณ ขยับห่างออกไปอีกหน่อยสิ ตรงนี้มันมองไม่ค่อยเห็น” เธอเริ่มบ่น
“ที่ผมอยู่ตรงนี้ คุณต่างหากควรขยับไปที่อื่น”
“ถ้าฉันทำได้นะ คงไม่ต้องมานั่งอยู่ตรงนี้หรอก”
“งั้นก็นั่งต่อไป”
“นี่คุณ หัดเป็นเจ้าของห้องที่ใจกว้างบ้างได้ไหม เห็นๆอยู่ว่าฉันกำลังทำงาน แต่คุณกลับมานอนขวางแบบนี้” เธอร้องเสียงดัง “ถามจริงๆเถอะ ไอ้การที่คุณนอนอ่านหนังสือกับการนั่งอ่านหนังสืออยู่บนโต๊ะ แบบไหนมันดีกว่ากัน”
รสกรออกแรงผลักคชินทร์ด้วยความโมโห
“ตอนเย็นผมก็นั่งอ่านหนังสือ ส่วนตอนนี้ผมอยากจะนอนอ่านบ้าง มันแปลกตรงไหน” เขาถามพลางเลิกคิ้ว
“แปลกสิ ขอทีเถอะนะ อย่าเพิ่งมานอนอ่านตอนนี้ได้ไหม ต้องเปิดไฟแบบนี้ ฉันแอบมองเขาไม่ถนัด”
“คุณแสบตาหรือ” ชินถาม
“ใช่ แสบมากด้วย” หญิงสาวตอบชัดๆ เธอหวังให้เขาเลิกอ่านหนังสือแล้วเดินไปหาอะไรกินข้างล่างแทน แต่ว่าชายหนุ่มกลับเอื้อมมือมาหาจนเธอต้องถอยห่างด้วยความตกใจ แต่ทว่ามือหนาเอื้อมมาปิดไฟแทน หลังจากนั้นทั้งห้องก็ตกอยู่ในความมืดสลัวจนแทบมองอะไรไม่เห็น
ท่ามกลางความความมืด หญิงสาวรู้สึกได้ถึงลมหายใจแผ่วเบาจากคนที่อยู่เบื้องหน้า ได้กลิ่นหอมจางๆจากครีมโกนหนวด และหัวใจเธอก็เต้นแรงราวกับว่าจะหลุดออก แม้ว่าสายตาของเธอจะยังไม่ชินกับความมืดรอบกาย แต่เธอก็รู้สึกว่าเขาอยู่ใกล้มาก...มากจนเธอแทบจะได้ยินเสียงหัวใจเต้นของเขาด้วยซ้ำไป
“ดีขึ้นหรือเปล่า” เสียงทุ้มนุ่มกระซิบแผ่ว
“อืม” เธอไม่รู้ว่าจะตอบว่ายังดี ขณะนั้นหญิงสาวก็ได้ยินเสียงรถยนต์ค่อยๆแล่นมายังหน้าประตูบ้านของนายอิทธิกร เธอจึงถลันออกไปข้างหน้าต่างแล้วมองออกไปด้านนอก ขณะนั้นเองเธอก็รู้สึกว่ามือหนาของคชินทร์เอื้อมมาเกาะบานหน้าต่างข้างศีรษะของหญิงสาว และไออุ่นจากร่างหนาที่อยู่ทางด้านหลังก็แนบชิดกับแผ่นหลังของเธอ ความอบอุ่นจากร่างกายของเขาส่งผ่านมาให้เธอ ไม่ว่าคชินทร์จะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม แต่ใบหน้าของเธอก็เปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อมากขึ้นทุกทีแล้ว
“เป็นยังไงบ้าง เขามากับใคร”
“ไม่รู้เหมือนกัน ต้องรอดูอีกนิด” รสกรบังคับเสียงให้เป็นปกติ
“งั้นหรือ ดูท่าว่าเขากำลังรอใครอีกคนอยู่นะ” คชินทร์ขยับกายเข้ามาใกล้เธอขึ้นอีก คราวนี้ดูเหมือนว่าเธอจะถูกโอบเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของชายหนุ่มเลยทีเดียว โดยที่วงแขนของเขาขวางกั้นไม่ให้เธอได้ถอยหนี
รสกรเม้มปากแน่น “เขากำลังคอยใครอยู่นะ” เธอกระซิบแผ่ว
ขณะที่ทั้งคู่กำลังรอคอย นายอิทธิกรก็ล้วงบุหรี่ขึ้นมาสูบ จากนั้นเธอก็เห็นผู้ชายสวมเสื้อสีขาวเดินตรงมาหาที่นายอิทธิกรจากมุมมืด เธอเห็นชายผู้นั้นพูดบางอย่างกับดาราหนุ่มอยู่นานสองนาน แล้วชายคนนั้นก็ล่วงบุหรี่ขึ้นมาจากกระเป๋าเสื้อมาคาบไว้ในปาก แล้วยื่นหน้ามาต่อไฟบุหรี่ของนายอิทธิกล เขายืนคุยอีกพักใหญ่ แล้วดาราหนุ่มก็หยิบอะไรบางอย่างยื่นให้กับชายผู้นั้น เสียดายที่ไฟส่องไปไม่ถึง ไม่อย่างนั้นเธออาจจะเห็นว่าเป็นอะไร
“นายอิทธิกรส่งอะไรให้เขา”
“ไม่รู้สิ”
นักข่าวสาวกัดริมฝีปากแน่น ดูเหมือนว่าเรื่องนี้ยิ่งสืบเธอก็ยิ่งเจอเงื่อนงำซ่อนอยู่ เพราะหากว่าเขาทำผิดกฎหมายจริง บางทีเธออาจเอาเรื่องนี้ไปแจ้งกับตำรวจ แต่ว่า...
หลักฐานล่ะ?
“ฉันจะลงไปข้างล่างเพื่อดูให้แน่ใจ” เธอขยับตัวจะถอยห่าง แต่ถูกมือหนาโอบไว้
“คุณจะไปไหน”
“ฉันจะลงไปข้างล่าง ดูตรงนี้มองไม่เห็นอะไรเลย” เธอกระซิบ
“คุณจะบ้าหรือไง ลงไปข้างล่างแล้วเกิดเขาเห็นว่ามีคนแอบดูอยู่ล่ะ” คชินทร์ชินเอ่ยเสียงดัง
“ช่างสิ ฉันไม่เห็นแคร์เลย ถอยไป เดี๋ยวเขาจะกลับไปเสียก่อน”
รสกรสะบัดแขนออก แล้วถอยลงจากเตียงรีบวิ่งลงบันไดไปที่ชั้นล่างทันที ตอนนี้สิ่งที่เธอจะต้องรู้ให้ได้นั่นก็คืออิทธิกลยื่นส่งอะไรให้เพื่อนเขา มองเห็นไกล ๆ เธอมองเห็นไม่ชัดเลยว่ามันคืออะไร คชินทร์ไม่รู้จะทำยังไงดี เขาเป็นฝ่ายวิ่งตามเธอออกมาถึงชั้นล่าง รสกรหันกลับมามองหน้าคชินทร์ ก่อนเปิดประตูออกไปเบา ๆ ข้างนอกมืดสลัวมีเพียงแสงไฟจากริมถนน
นักข่าวสาวกับคชินทร์แอบยืนซุ่มเงียบอยู่บริเวณริมรั้วด้านซ้ายของอิทธิกรที่ติดกับบ้านเช่าของคชินทร์ เธออาศัยความมืดและพุ่มไม้ที่บดบังทำให้รสกรมองผ่านช่องว่างของรั้ว เห็นตอนที่อิทธิกรยื่นแฟลชไดร์ให้กับผู้ชายคนนั้น แฟลชไดร์ที่เก็บข้อมูลสำคัญบางอย่าง
ว่าแต่...ข้อมูลอะไรล่ะ !?
“แฟลชไดร์...มันคือข้อมูลอะไรกันแน่นะ” รสกรกระซิบแผ่ว
“มาทางนี้เถอะ มันอันตรายเกินไปที่เราจะอยู่ตรงนี้”
“เดี๋ยวก่อน ฉันขอดูอีกนิด”
เธอพยายามกระซิบอย่างเบาที่สุด แต่แล้วเสียงก็ได้ยินไปถึงหูอิทธิกรกับชายแปลกหน้าจนได้ พวกเขาหันมามองตรงบริเวณริมรั้วเป็นจุดเดียว รสกรหันหน้าหนีแล้วยกมือขึ้นปิดปากพยายามไม่กระดุกกระดิก และคชินทร์เองก็ก้มลงกระซิบบอกให้เธอเงียบ หญิงสาวใจเต้นตึกตักเกรงว่ามันจะหลุดออกมานอกอก เธอเห็นอิทธิกรหันไปคุยกับชายคนนั้น และชายคนนั้นก็เก็บของนั้นใส่ในกระเป๋ากางเกง แล้วเดินออกไปจากรั้วและเปิดประตูรถก่อนจะเคลื่อนรถออกไปทันที โชคดีที่บริเวณที่เธอกับคชินทร์นั่งแอบอยู่มีพุ่มไม้บังจนมิด ประกอบกับความมืด จึงทำให้ชายหนุ่มปริศนาคนนั้นไม่ทันได้สังเกตเห็น
“เขาไปแล้ว” เธออุทานแผ่ว
“เขาได้ยินคุณพูดก็เลยรีบกลับน่ะสิ” ชายหนุ่มถอนหายใจยาว
กอหญ้ารีบลุกขึ้นมองหาอิทธิกร มองเห็นเขามองซ้ายมองขวาก่อนจะเดินเข้าไปในบ้าน ดึงผ้าม่านปิดบังทางเข้าทั้งหมด จนเธอหมดโอกาสที่จะทำข่าวต่อ คชินทร์ดึงแขนเธอให้ลุกเดินเข้าไปภายในบ้าน เธอไม่รู้จะทำยังไงดีจึงยอมตามไป ทั้งคู่เดินตามกันไปจนถึงห้องนอนบนชั้นสอง รสกรนั่งลงบนเตียงของคชินทร์หน้าบอกบุญไม่รับ
“โธ่ เพราะคุณคนเดียว ถ้าคุณไม่ห้ามฉันไว้ก็คงไม่เป็นแบบนี้หรอก” เมื่อทำอะไรไม่ได้ เธอก็เริ่มพาล
“เพราะผมหรือ ผมช่วยคุณต่างหาก”
“ช่วยยังไงไม่ทราบ”
“ถ้าผมไม่ช่วยคุณ ป่านนี้คุณคงไปนอนอยู่ในโรงพักแล้วละ ข้อหาละเมิดสิทธิส่วนบุคคล แถมมียังแอบถ่ายด้วย” คชินทร์สรุปสั้นๆ
“มีแค่กล้องถ่ายรูป แล้วเขาจะรู้ได้ยังไงว่าฉันแอบถ่าย” เธอยังเถียงไม่ยอมลดละ
“รูปถ่ายที่คุณมีอยู่เต็มกล้องล่ะ จะอธิบายกับเขาว่ายังไง”
“เอ่อ”
“จะบอกเขาว่าเธอบังเอิญถ่ายแล้วติดหน้าเขามา ทั้งๆที่มันมีอยู่หลายสิบภาพเนี่ยนะ”
“พอแล้ว โอเคฉันผิดเองแหละ” เธอเม้มปากแน่น ใช้มือข้างหนึ่งดันหน้าต่างเพื่อจะถอยห่างจากตรงนั้นไป แต่มือหนาของคชินทร์จับมือเธอไว้ หญิงสาวเงยหน้ามองเขาทันที
“อะไร”
“มือของคุณหายหรือยัง” น้ำเสียงของเขาเรียบเฉย
รสกรดูมือของเธอในความมืด เธอไม่รู้หรอกว่ามันหายเมื่อไหร่ แต่ผู้เช็ดหน้าผืนนั้น เธอเก็บไว้เป็นอย่างดีในลิ้นชักภายในห้องนอนของเธอ
“หายแล้วค่ะ” หญิงสาวกระซิบแผ่ว พลางดึงมือออกจากการเกาะกุม
ทว่าฝ่ามือใหญ่ยังไม่ยอมปล่อย หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองเขา และก็เห็นแววตาอ่อนโยนที่ทอดมองมายังเธอ เวลานี้เขาอยู่ใกล้เธอมากจนได้กลิ่นหอมจางๆจากร่างกายของคชินทร์ สีหน้าอบอุ่นและมีรอยยิ้มอยู่เป็นนิจของเขา แม้ตอนนี้เธอจะอยู่กับเขาแค่สองคน ชินก็ไม่ทำให้เธออึดอัดเลยสักนิด
“ผ้าเช็ดหน้าล่ะ คุณเก็บไว้ที่ไหน”
“เอ่อ...ฉันเอาไปซักและเก็บไว้ในลิ้นชักแล้ว” เธอตอบอุบอิบ “ทำไมอยากได้คืนงั้นเหรอ”
คชินทร์หัวเราะแผ่ว
“เปล่าหรอก แค่อยากให้เก็บไว้ใช้ตอนที่จำเป็นต่างหาก ใครจะรู้ว่าคุณจะทำน้ำร้อนลวกมืออีกเมื่อไหร่ หรือว่าจะโดนมีดบาดเวลาทำอาหาร ผมละเป็นห่วงจริงๆ”
“จะเก็บไปให้ข้าวฟ่างใช้ก็ว่ามาเถอะ” พูดแล้วก็นึกโกรธตัวเอง ทำไมเธอต้องเอาเรื่องเพื่อนสนิทมาพูดตอนนี้ด้วยนะ
“ผมให้คุณใช้ ไม่เกี่ยวกับคนอื่น” เสียงของเขานุ่มลึก
“ช่างเถอะ คืนนี้ไม่ได้อะไรแล้ว ฉันไปดีกว่า” รสกรขยับตัวจะลุกออกไป แต่เธอก็ถูกรั้งไว้ด้วยประโยคหนึ่ง
“คุณน่าจะได้ข่าวแล้วนะคืนนี้” คชินทร์นั่งอยู่บนเตียงเขา มือข้างหนึ่งวางอยู่บนขาของตัวเอง “นายอิทธิกรนั่นส่งข้อมูลอะไรบางอย่างให้ชายหนุ่มปริศนาคนนั้น ถ้าเรารู้ว่าเขาส่งอะไรให้กัน ผมว่าคุณน่าจะได้ข่าวแน่ๆ”
นักข่าวสาวครุ่นคิดหนัก จะว่าไปแล้วเธอยังไม่รู้ว่าข้อมูลที่เขาส่งให้ชายคนนั้นคืออะไรกัน
“ผู้ชายคนนั้น อาจเป็นผู้จัดการของเขาก็ได้นะ”
“ผมว่าไม่ใช่หรอก อิทธิกรน่าจะมีเบื้องหลังอะไรมากกว่านั้น”
“หรือจะเป็นนายวิน”
รสกรหันมามองหน้าเขาแบบมีความหวังสุดๆ ใช่แล้วเขาจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากนายวิน แต่ตอนนี้สิ่งที่เธอต้องพิสูจน์ให้ได้ก็คือผู้ชายปริศนนาคนนั้นเป็นใครและของที่นายอิทธิกรส่งให้เขาคืออะไร
“ถ้างั้นพรุ่งนี้ฉันจะลองไปที่ทำงานเขาดู เผื่อว่าจะได้ประโยชน์อะไรดีๆบ้าง”
“ผมจะนอนแล้ว คุณเองก็ไปนอนได้แล้ว” คชินทร์ออกปากไล่แล้วล้มตัวลงนอน หญิงสาวกระพริบตาถี่ๆด้วยความงุนงง
“เดี๋ยวสิ ฉันยังปรึกษาคุณไม่เสร็จเลย” รสกรอุทานลั่น
เธอเขย่าตัวคชินทร์เพื่อปลุกให้เขาลุกขึ้นมาคุยต่อ แต่ชายหนุ่มดูเหมือนจะไม่ยอมลุกขึ้นมาอีกแน่นอน แถมยังเอาหนังสือบังใบหน้าไว้จนมิด จนสุดท้ายเธอก็ยอมแพ้ แล้วออกจากห้องไป
รุ่งเช้ารสกรก็ออกไปข้างนอกแต่เช้า เธอเข้าไปสืบหาข่าวคราวเกี่ยวกับนายวินว่า ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน หญิงสาวเดินเข้าไปในออฟฟิศที่ทำงานของเธอ หญิงสาวยิ้มให้เลขานุการคนใหม่ แล้วเธอก็เดินตรงไปหากระเทยร่างอ้วนที่นั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ เมื่อเขาหันมาเห็นเธอเข้าก็ร้องทักทาย
“อุ้ยตาย เป็นยังไงบ้างยะ ไม่ได้เจอกันตั้งนาน คิดว่าโดนไล่ออกซะแล้ว” วาจาแสบสันของพุดซ้อน ทำให้รสกรเดินเข้าไปตีไหล่หนาเพื่อนร่วมงานร่างใหญ่
“เธอรู้ตารางงานของนายวินบ้างหรือเปล่า” หญิงสาวพูดเข้าเรื่องทันที
“วินเหรอ ทำไมเธอถึงสนใจดาราคนนี้นักล่ะ พระเอกคนอื่นมีตั้งเยอะไม่สนเหรอ”
“อืม เอาเถอะ มีหรือเปล่า บอกมาเร็วๆ”
“มีสิ รอแป๊บนึงนะ” พุดซ้อนค้นหาเอกสารกองพะเนินอยู่บนโต๊ะ หาไปสักพักก็ยื่นเอกสารส่งไปให้เพื่อน “วันนี้เขามีนัดถ่ายแบบขึ้นปกนิตยสารตอนสิบโมงเช้า แหม...หลงเสน่ห์ความหล่อของเขาใช่มั้ยล่ะ”
“เขาไปคนเดียวเหรอ”
“จะให้ไปกับใครล่ะยะ” พุดซ้อนตาคว่ำใส่ “เขายังไม่มีแฟนหรอก เห็นมีแต่นางเอกสาวสวยมาคอยรุมจีบแต่คุณวินก็ไม่สน สงสัยว่าผู้หญิงจะได้กินแห้ว”
กอหญ้าดูตารางงานของวิน ถึงแม้ว่าเขาจะไม่มีชื่อเสียงโด่งดังแต่ก็มีงานเดินแบบ งานอีเว้นท์มากมาย และก็ไม่เคยมีข่าวเสีย ๆ หาย ๆ ทำตัวดีมาตลอด แต่ใครจะเชื่อล่ะว่าผู้ชายคนนั้นเป็นเกย์ กอหญ้ายิ้มเฝื่อนเวลานี้เธอต้องเจอเขา เธอจะต้องรู้ให้ได้ว่าเขาสวมแหวนที่นิ้วชี้อยู่หรือเปล่า แล้วนายอิทธิกรนั่นมอบอะไรให้กับเขากันแน่
“นี่เธอ ได้ข่าวว่าบรรณาธิการเขาขอให้เธอไปทำข่าวอื่น นอกเหนือจากข่าวนายอิทธิกรเหรอ”
“คงอย่างนั้น”
“ข่าวทั่วไปตามหน้าหนังสือพิมพ์ก็มีตั้งเยอะไม่เห็นจะยากเลย แค่จับเอามาเขียน ๆ แค่นี้นิตยสารก็ขายได้สบาย”
“ข่าวทั่ว ๆ ไปตามหน้าหนังสือพิมพ์น่ะเขาไม่การอ่านหรอก คราวนี้แหละที่ฉันต้องทำให้สำเร็จให้ได้คอยดูสิ” กอหญ้าวางตารางข่าวไว้บนโต๊ะและมองหาสถานที่ถ่ายแบบ โชคดีที่มันอยู่ไม่ไกลจากที่นี่มากนัก
“แล้วเธอจะทำยังไง”
“ฉันจะกลับมาพร้อมกับข่าวใหญ่ครึกโครมเลยล่ะ” กอหญ้ายิ้มบาง ๆ มือคว้าจับเอาแผ่นกระดาษตารางงานของนายวินติดมือไปด้วย....
***********************

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 23 ม.ค. 2557, 09:53:34 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 23 ม.ค. 2557, 09:53:34 น.
จำนวนการเข้าชม : 1352
<< ตอนที่ ๓ แผนการร้าย | ตอนที่ ๕ ก็แค่เพื่อนกันเท่านั้นเอง >> |

เบลินญา 23 ม.ค. 2557, 12:56:49 น.
ฝากตอนนี้ด้วยนะคะ ^^
ฝากตอนนี้ด้วยนะคะ ^^
