แผนลับ นักสืบ
กอหญ้าเพิ่งมาทำงานเป็นนักข่าวได้แค่ไม่ถึงหกเดือน เธอต้องการทำข่าวนายอิทธิกรติดผู้หญิงกับมั่วยาบ่อย ๆ เธอไม่ยอมแพ้ ไปแอบอยู่ข้างบ้านนายอิทธิกรแล้วปีนต้นไม้บ้านข้าง ๆ แต่หมอหนุ่มเห็นเข้าเขาจะเรียกตำรวจ แต่เธอร้องห้ามไป ๆ มา ๆ เลยขอแอบเข้าไปในบ้านหมอหนุ่มเสียเลย
Tags: ึความรัก,นักข่าว,คุณหมอ,ดารา

ตอน: ตอนที่ ๕ ก็แค่เพื่อนกันเท่านั้นเอง

ในที่สุดรสกรก็ไปถึงห้องเสื้อชื่อดังซึ่งจัดเป็นสตูดิโอถ่ายแบบด้วย หญิงสาวบอกว่าเป็นนักข่าวต้องการมาสัมภาษณ์วิน นายแบบของวันนี้ภายในนั้นเซตเป็นฉากสีขาวเพื่อการถ่ายทำ มีโซฟากับเก้าอี้เตรียมไว้ประกอบการถ่ายภาพ แสงไฟสตูดิโอสาดส่องไปที่ฉาก ด้านในนั้นมีนายแบบหนุ่มรูปงามกำลังเตรียมตัวและรอถ่ายแบบอยู่ ทีมช่างทำผมและช่างแต่งหน้าทำงานอย่างรวดเร็ว

แฟชั่นเซตนี้เน้นความแปลกใหม่และความเรียบง่ายของแบบเสื้อผ้า เสื้อผ้าแต่ละชุดใส่สบาย ทำให้นายแบบสามารถทำงานได้ง่ายขึ้น จากนั้นเขาก็เข้าฉากเพื่อถ่ายแบบทันที ด้วยความที่นายแบบมีรูปร่างสูงโปร่ง เสริมให้ดูเหมาะกับชุดที่ถ่ายในวันนี้และโดดเด่นมากยิ่งขึ้น

“หันข้างอีกนิดครับ...อย่างนั้นแหละครับ โอเคเลยครับ”

วินทำหน้าที่ได้ดีสมกับเป็นมืออาชีพ ดวงตาของเขาจับจ้องมาที่กล้องเป็นจุดเดียว

“เชิดหน้าขึ้นอีกนิดหนึ่ง”

รสกรยืนไปหลบอยู่ด้านหลัง สายตาของเธอจ้องมองไปยังนิ้วมือด้านขวาของเธอ แต่ทว่า...

หญิงสาวกลับมองไม่เห็นแหวนที่นิ้วมือของเขาเลย รสกรจำได้ว่าตอนที่เขายื่นมือออกมารับแฟลชไดร์เธอมองเห็นเขาสวมแหวนเงินไว้ที่นิ้วนางข้างขวา ทว่าตอนนั้นเขายืนหลบอยู่ภายใต้เงามืดก็เลยมองไม่เห็นหน้า สิ่งที่เธอต้องการรู้ก็คือเขาใช่คน ๆ เดียวกับคนที่ไปบ้านอิทธิกรหรือเปล่า

“นั่นแหละครับ เอาละ หนึ่ง...สอง สาม” ตากล้องถ่ายภาพต่อมาอีกหลายใบ

นักข่าวสาวนั่งคอยตรงเก้าอี้อยู่นานสองนาน จนกระทั่งมีการพักครู่ใหญ่ วินเดินมาตรงบริเวนโต๊ะที่นั่นเธอนั่งอยู่แล้วเมื่อเขาเดินมา เธอก็ยื่นแก้วส่งให้

“น้ำค่ะ” เธอยิ้มให้เขา

วินเหล่มองอีกฝ่ายก่อนจะเอื้อมมือมาหยิบแก้วน้ำขึ้นดื่ม “ขอบคุณครับ”

“คุณคงจะเหนื่อยมากนะคะ” หญิงสาวชวนคุย

“ก็ไม่เท่าไหร่ ว่าแต่...คุณเป็นช่างแต่งหน้าหรือ ทำไมผมไม่เคยเห็นคุณเลยล่ะ” วินมองเธอตรงๆ รสกรหัวเราะก่อนจะตอบไปว่า

“ฉันเป็นนักข่าวค่ะ แล้ววันนี้ก็จะมาขอสัมภาษณ์คุณโดยเฉพาะ”

วินถอนหายใจยาว “กะแล้วว่าต้องมาไม้นี้”

นักข่าวสาวส่งยิ้มบางไปให้ ว่ากันว่าดารากับสื่อมักจะหนีกันไม่พ้น

“คุณวินไม่สวมพวกสร้อยคอหรือจำพวกแหวนเงินเหรอคะ”

“อะไรนะ” วินขมวดคิ้ว พวกนักข่าวสมัยนี้นิยมถามเรื่องการแต่งตัว เสื้อผ้า หรือแฟชั่นแทนเรื่องราวเกี่ยวกับความรักกันแล้วหรือไง “คุณถามทำไม”

“ก็เห็นคุณแต่งตัวเก่ง น่าจะมีสร้อยคอหรือพวกนาฬิกา...หรือว่าแหวนกันบ้างไงคะ” เธอยิ้มหวาน

“ผมก็เพิ่งรู้นะว่า นักข่าวสมัยนี้นิยมถามเรื่องการแต่งตัวมากกว่าเรื่องอื่นๆเสียอีก ทำไมหรือ หรือคุณรู้มาว่าผมนิยมแต่งตัวแบบไหน”

รสกรหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มกลบเกลื่อนทันที

“เปล่าหรอกค่ะ ฉันแค่แปลกใจเท่านั้น ว่าแต่...เรื่องความรักของคุณล่ะคะ ได้ข่าวว่าคุณเฟล์ตามจีบคุณ ชวนคุณไปทานข้าว คุณไม่สนใจบ้างเหรอคะ” หญิงสาวทำเป็นหยิบสมุดโน้ตขึ้นมาจด เพื่อให้ดูเป็นการสัมภาษณ์เพื่อทำข่าวจริงจัง “หรือว่าคุณมีแฟนอยู่แล้ว”

“ไม่มีหรอก ผมทำแต่งาน”

“ทำแต่งาน หรือว่าไม่สนใจกันแน่คะ” เธอมองเขาตรงๆ

“ก็ทำนองนั้น ผมคบกับใครไม่ค่อยจะยืดยาวสักเท่าไหร่”

“เหรอคะ แต่ว่าก็มีข่าวว่าคุณสนใจผู้ชายด้วยกัน เรื่องนี้จริงหรือเปล่าคะ” เธอเปิดประเด็นถามไปตรงๆ คอยดูว่าเขาจะแก้ตัวยังไง

วินหัวเราะเสียงดัง

“บ้าน่า ผมเป็นผู้ชายทั้งแท่ง จะมีข่าวอย่างนั้นได้ยังไง” น้ำเสียงของเขาเยาะๆ

“แปลว่าคุณปฏิเสธ”

“ในเมื่อผมไม่ได้เป็นแล้วจะให้ยอมรับได้ยังไง แต่ถ้ามีคนอยากพิสูจน์ล่ะก็...บอกให้เขามาลองคบกับผมดูก็ได้ ผมน่ะผู้ชายเต็มร้อย อยากพิสูจน์หรือเปล่าล่ะ” ไม่พูดเปล่า แต่เขายังทำตาเจ้าชู้ใส่เธออีกด้วย รสกรยิ้มเฝื่อน

“แล้วคุณอิทธิกรล่ะคะ คุณสนิทกับเขาหรือเปล่า”

“ถามถึงเขาทำไม” น้ำเสียงของเขาขุ่นลงเล็กน้อย “แปลกจริง ทำไมไม่ถามถึงพวกผู้หญิงล่ะ”

เธอยิ้มหวาน “ฉันเห็นเขาสนิทกับคุณ ก็เลยถามในฐานะที่คุณกับเขาเป็นเพื่อนกัน ว่ายังไงคะ เขากับคุณสนิทกันหรือเปล่า”

“ผมกับเขาเป็นเพื่อนกัน ไม่ได้สนิทอะไรเป็นพิเศษ”

ผู้ชายคนนี้ตอบแบบเลี่ยงๆ เธอคงไม่ได้อะไรมากไปกว่าข้อมูลทั่วๆไป หลังจากนั้นเธอสอบถามเกี่ยวกับเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวของเขาอีกเล็กน้อย ก่อนจัดการเก็บกระดาษกับปากกาใส่กระเป๋า ดวงตากลมโตชำเลืองมองนิ้วมือของวิน

“ขอบคุณค่ะ ที่กรุณาให้สัมภาษณ์”

“ไม่เป็นไรครับ”

“คุณวินเชิญมาถ่ายทำต่อได้แล้วครับ” ตากล้องตะโกนเรียก วินพยักหน้าแล้วขอลาเธอไปถ่ายแบบต่อ รสกรถอนหายใจยาว ดูท่าวันนี้เธอจะมาเสียเที่ยวซะแล้ว หญิงสาวทำท่าจะเก็บกระเป๋า ทว่าสายตาเหลือบไปเห็นกระเป๋าสะพายของวินที่มีเสื้อคลุมทับอยู่ ซึ่งมันอยู่ใกล้เธอแค่เอื้อมเท่านั้น

“เอียงซ้ายอีกนิดครับ เชิดหน้าอย่างนั้นแหละ” เสียงตากล้องดังมาพร้อมกับเสียงชัตเตอร์ หญิงสาวกลืนน้ำลายลงคอ ตอนนี้วินกำลังยุ่งอยู่กับการถ่ายแบบ มือบางค่อยๆเอื้อมไปเปิดกระเป๋าของเขา ดวงตาของเธอชำเลืองมองสัมภาระของเขา และมันก็เปิดออก

อีกนิดเดียว

รสกรเม้มปากแน่น ดวงตาของเธอมองเข้าไปภายในกระเป๋า และปลายนิ้วของเธอก็สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่เป็นของแข็งวงเล็กๆ

“เอ๊ะ..” เธอกระซิบแผ่ว

ภายในนั้นไม่ได้มีแต่เฉพาะแหวนกับสร้อยคอ แต่ยังมีแฟลซไดร์ฟอยู่ภายในนั้นอีกด้วย ดูจากขนาดของมันแล้ววันนั้นน่าจะเป็นอันเดียวกับที่นายอิทธิกรมอบให้แน่ๆ

“คุณคะ คุณ” เสียงทักจากทางด้านหลังทำเอาเธอสะดุ้ง

“เอ่อ...คะ” เธอรีบปิดกระเป๋าทันที

“หมดเวลาสัมภาษณ์แล้วนะคะ คุณวินยังมีคิวต้องถ่ายแบบต่อไปอีก เอาไว้โอกาสหน้านะคะ” ผู้หญิงคนนั้นยิ้มหวานอย่างเป็นกันเองให้เธอ

“ค่ะ ฉันลืมไป มัวแต่มองจนลืมเวลาไปเลย” หญิงสาวเอ่ยแก้ตัว “ฉันไปก่อนนะคะ โอกาสหน้าคงจะได้มีโอกาสมาสัมภาษณ์คุณวินใหม่ ขอตัวก่อนค่ะ”

“เชิญค่ะ”

วินชำเลืองมองนักข่าวสาวที่หันหลังแล้วรีบเดินออกไปจึงหันกลับไปทำงานต่อ ทว่าพอชายหนุ่มหันกลับมาเห็นกระเป๋าถือที่วางแปลกออกไป ชายหนุ่มจึงขอตัวกับตากล้องแล้วเดินมาที่เก้าอี้ที่เขาวางกระเป๋า

เขาเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าถือ แล้วก็ต้องขมวดคิ้วเพราะกระเป๋าด้านหน้ามันเปิดออกมันอ้าอยู่ ทั้งๆที่ตอนแรกเขาปิดไว้เรียบร้อย ภายในยังมีของอยู่ครบถ้วน ดูเหมือนว่าคงมีคนเปิดหาสิ่งของบางอย่าง ดวงตาของเขาหรี่เล็กลง มองรสกรที่เดินออกไปแล้ว ชายหนุ่มขบกรามแน่นจนนูนเป็นสัน...


“เฮ้อ...เกือบไปแล้วไหมล่ะ” รสกรถอนหายใจยาว แล้วเสียงโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าก็ดังขึ้น หญิงสาวเปิดกระเป๋า พอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูหมายเลข คิ้วโก่งสวยก็ขมวดชนกันทันที

“แม่นี่นา” เธอกระซิบแผ่ว แล้วเธอก็กดรับสาย

“แม่เหรอคะ หนูว่าจะโทร.หาอยู่พอดี สบายดีหรือเปล่า” เธอยิ้มหวาน

“สบายดีจ้ะ แล้วหนูล่ะ สบายดีหรือเปล่า”

“สบายดีค่ะ แล้วตาโอ๋เป็นไงบ้างคะ ขยันเรียนหนังสือขึ้นรึเปล่า”

“ก็เรื่อยๆไปตามประสาน่ะ เออนี่ ตอนนี้พ่อหนูน่ะเกิดอยากเห็นหน้าลูกสาวขึ้นมา ยังอยู่ที่เดิมหรือเปล่าล่ะ พ่อกับแม่จะไปหา”

“อะไรนะคะ” รสกรเบิกตาโต “พ่อกับแม่จะมาหาหนูเหรอคะ”

“ใช่แล้ว ว่าจะเอาของฝากไปเยี่ยมด้วย หนูข้าวฟ่างล่ะชอบกินอะไร เดี๋ยวพ่อกับแม่จะซื้อไปฝาก” เสียงของมารดาเจือด้วยไปด้วยความอารี แต่ลูกสาวถึงกับช็อกจนพูดไม่ออก

แม่กับพ่อจะมาหาเธองั้นเหรอ ทำยังไงดีล่ะ ข้าวของเธอก็ขนออกมาหมดแล้ว เธอเองก็ไม่ได้ต่อสัญญาเช่ากับที่นั่น เพราะความงกบวกกับไม่มีคนอยู่ เธอก็เลยคืนห้องไป วางแผนว่าหลังจากจบงานนี้เธอจะไปหาห้องใหม่ใกล้ที่ทำงานอยู่
“กินอะไรก็ได้ค่ะ แต่ว่า...” เธอกลืนน้ำลายเบาๆ “ช่วงนี้หนูงานค่อนข้างเยอะ กลัวว่าจะไม่มีเวลาว่างมาดูแลพ่อกับแม่ เอาไว้คราวหลังค่อยมาใหม่ก็แล้วกันนะคะ”

“ไม่ว่างหรือ”

“ค่ะ ช่วงนี้งานยุ่งมาก ต้องออกไปสัมภาษณ์ข่าวแทบทุกวันจนไม่มีเวลาหยุดพักเลยค่ะ”

“ไม่เป็นไรหรอก เอาไว้หนูเลิกงานมาแล้ว แม่จะทำกับข้าวอร่อยๆไว้ให้กินยังไงล่ะ”

“คือ...ไม่เป็นไรค่ะ หนูไม่อยากรบกวน”

“แม่กับพ่ออยากเห็นหน้าลูกบ้าง ทำงานตั้งนาน ปีใหม่สงกรานต์ถึงจะกลับบ้านสักทีหนึ่ง พ่อกับแม่ก็เลยไปนั่งคุยกันว่า เราจะไปเยี่ยมลูกสาวกัน”

รสกรหน้าซีดเผือด พ่อของเธอขณะนี้อายุห้าสิบกว่าแล้ว แต่ยังหวงเธออย่างกับจงอางหวงไข่ ยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม ถ้าเกิดว่าพ่อของเธอรู้ว่าลูกสาวสุดหวงมาขออาศัยอยู่กับผู้ชายละก็ เธอจะทำยังไงดีนะ ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว

“ไม่ต้องห่วง พ่อกับแม่ไม่ไปกวนหนูหรอก แค่อยากไปเยี่ยมเท่านั้นเอง”

“ไม่ดีกว่าค่ะ อาหารอะไรซื้อเอาแถวนี้ก็ได้ ไม่ต้องถือของมาให้เหนื่อยหรอกค่ะ” เธอยิ้มเจื่อนๆ

“ได้ยังไงล่ะ ซื้อเขากินมันจะไปอิ่มอะไร”

“ค่ะแม่”

“อีกสามวันพ่อกับแม่จะนั่งรถไปนะ แล้วให้ลูกมารับที่สถานีหน่อย...แล้วตอนนี้ลูกอยู่กับใครน่ะ”

“เออ...อยู่กับเพื่อน แต่ตอนนี้เพื่อนไปธุระต่างจังหวัดค่ะ”

“ตายจริง อย่างนี้ก็แย่น่ะสิ แล้วมีใครอยู่เป็นเพื่อนลูกหรือเปล่า”

“มีค่ะ เขาให้แฟนมาอยู่เป็นเพื่อนหนู เขาไม่ได้มาอยู่ประจำนะคะ แค่มาอยู่เป็นเพื่อนเฉย ๆ ตอนกลางคืนก็แยกห้องกันนอน” เธอยิ้มเจื่อน

“อย่างนั้นหรือ เป็นแค่แฟนเพื่อนแน่นะ” น้ำเสียงของแม่ยังไม่ไว้ใจ

“ค่ะ แค่แฟนเพื่อนเท่านั้นเอง”

“ค่อยโล่งหน่อย แค่นี้ก่อนนะ”

“เดี๋ยวค่ะ แม่...”

ทว่าแม่เธอวางสายไปแล้ว รสกรเม้มริมฝีปากแน่น เพราะไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหานี้ยังไงดี...

“ทำยังไงดีล่ะคราวนี้” เธอกระซิบแผ่ว

คชินทร์ชะโงกหน้าขึ้นมาจากหนังสือพิมพ์ตอนเช้าทันทีที่รสกรบอกว่าพ่อกับแม่จะมาเยี่ยมบ้านเธอในอีกสองวัน ข้างหน้า

“พ่อกับแม่คุณจะมาเยี่ยมอีกสองวันข้างหน้า” เขาถามย้ำเพื่อความแน่ใจ

“ใช่” เธอพยักหน้าน้อยๆ “จะทำยังไงดีล่ะ”

“คุณมาถามเจ้าของบ้านอย่างผม แล้วจะให้ผมตอบว่ายังไง”

“คุณช่วยฉันคิดหน่อยสิ ว่าฉันควรทำยังไงดี” รสกรเดินเข้าไปนั่งเก้าอี้โซฟาฝั่งตรงกันข้าม ชายหนุ่มถอนหายใจยาว

“คุณก็เก็บของของคุณออกไปอยู่ที่เดิมสิ”

“ไม่ได้”

“ทำไมจะไม่ได้” ชายหนุ่มขมวดคิ้วอย่างยุ่งยากใจ

“เพราะฉันคืนห้องให้เจ้าของบ้านไปแล้ว ก็มันต้องเสียค่าเช่าตั้งสองเดือนทั้งๆที่ไม่มีคนอยู่ ฉันก็เลยคืนเขาไปแล้วน่ะสิ”

“อะไรนะ นี่คุณคืนห้องให้เจ้าของบ้านไปแล้วเหรอ”

“ใช่ ตอนแรกคิดว่า หลังจบงานนี้จะไปหาห้องใหม่ใกล้ๆที่ทำงานอยู่ แต่ว่าตอนนี้ที่นั่นมันเต็มหมดทุกห้องแล้ว” หญิงสาวกระซิบแผ่ว ใช่ว่าเธอจะไม่คิดแก้ปัญหาเรื่องนี้เอง เธอคิดจนหัวแทบแตกแล้ว แต่คิดไม่ออก ถึงได้มาคุยกับเขาตอนนี้

คชินทร์ถอนหายใจหนักๆ “คุณมีเพื่อนหรือเปล่า ผมหมายถึงเพื่อนที่คุณสามารถไปอาศัยอยู่ชั่วคราวน่ะ…บ้านคุณข้าวฟ่างไงล่ะ”

“ตอนแรกฉันก็คิดอยู่เหมือนกัน แต่ตอนนี้สงสัยจะไม่ได้ซะแล้วละ”

“ทำไมล่ะ”

“เพราะพ่อกับแม่ฉัน จะมาค้างด้วยตั้งสองวันแน่ะ” หญิงสาวยิ้มเฝื่อนๆ ดูท่าแล้วแผนการที่เธอกำลังคิดอยู่คงไม่สำเร็จแน่ “บ้านของข้าวฟ่างน่ะมีพ่อกับแม่เขาอยู่ด้วย เราไปอยู่หลายคนคงไม่เหมาะเท่าไหร่”

“ถ้างั้น....ผมจะออกไปอยู่โรงแรมสักสองสามวัน คุณจัดการที่นี่ไปคนเดียวเถอะ” ชายหนุ่มทำท่าจะลุกขึ้น แต่ถูกรสกรดึงแขนไว้ก่อน

“ไม่ได้นะ คุณจะไปไหนไม่ได้”

“อะไรนะ”

“คือ...ฉันบอกพ่อกับแม่ไปแล้วว่าอยู่กับเพื่อน แล้วตอนนี้เพื่อนไปธุระต่างจังหวัด เลยอยู่กับแฟนเขา ฉันบอกไปแบบนี้แหละ” พึมพำเสียงแผ่ว

“ผมเนี่ยนะเป็นแฟนเพื่อนคุณ”

“ก็ใช่น่ะสิ ไม่รู้ละ คุณจะต้องอยู่ที่นี่กับฉันจนกว่าพ่อและแม่จะกลับ”

“ไม่มีทาง คุณเป็นคนผูกก็ต้องเป็นคนแก้ด้วยสิ ผมไม่ว่างมาเล่นด้วยหรอกนะ” เสียงของเขาเข้มจัด

หญิงสาวทำตาเว้าวอน “นะ ขอร้องละ ฉันไม่มีที่พึ่งอีกแล้ว ช่วยฉันหน่อยเถอะ”

คชินทร์ทำหน้าปั้นยาก ให้ตายเถอะ เขาอุตส่าห์ยอมให้เธอมาอยู่บ้านด้วย นี่เจ้าหล่อนยังจะพาพ่อกับแม่มาอยู่ด้วยอีก ไหนจะอ้างว่าเขาเป็นแฟนเพื่อนเธอ

“ขอโทษทีเถอะ ทำไมคุณไม่บอกพ่อกับแม่ไปว่าเราสองคนเป็นแฟนกัน”

“อะไรนะ” รสกรแก้มแดงปลั่ง

“ผมว่ามันยังจะเข้าท่ากว่าการที่บอกว่าผมเป็นแฟนเพื่อนคุณอีกนะ” เขาเสนอความเห็นตรงๆ แต่หญิงสาวรีบส่ายหน้าปฏิเสธ

“ไม่ได้หรอก ขืนทำอย่างนั้นมีหวังคุณตายแน่ๆ”

“ทำไมหรือ”

“ก็ฉันยังไม่ได้แต่งงานกับคุณ แล้วจะให้ฉันอยู่บ้านเดียวกับคุณได้ยังไงล่ะ ไม่มีทางหรอก คุณพ่อของฉันท่านหวงลูกสาวมาก ขืนบอกว่าฉันอยู่กินกับคุณทั้งๆที่ยังไม่ได้แต่งงานกัน มีหวังทั้งฉันและคุณต้องรับศึกหนักแน่ๆ ทั้งพ่อและแม่ของฉันหวงฉันยังกับไข่ในหิน” เธอบ่นอุบอิบ

“แล้วคุณมาอยู่กับแฟนเพื่อนที่เป็นผู้ชายสองต่อสองแบบนี้ พ่อกับแม่คุณจะไม่ยิ่งเล่นงานคุณกับผมแย่กว่าหรือ”

ความเห็นของชายหนุ่ม ทำเอาเธอถึงกับอึ้งไป มันก็จริงนะ

“แล้วจะให้ฉันทำยังไงดีล่ะ ปวดหัวจริงๆ”

“ผมละปวดหัวกับคุณจริงๆ เอาละ ถ้าอย่างนั้นบอกพ่อกับแม่คุณว่าปกติผมอยู่ที่อื่น แต่ต้องมาอยู่กับคุณเพราะแฟนของผมขอร้องให้มาอยู่เป็นเพื่อนคุณ เพราะกลัวว่าคุณอยู่คนเดียวแล้วจะอันตราย แบบนี้ดีกว่าไหม” พูดจบ ใบหน้าคมคายของเขาก็ปรากฏเป็นรอยยิ้มบางๆ

หญิงสาวมีสีหน้าแช่มชื่นขึ้นทันที

“ตกลงค่ะ”

“ถ้างั้นก็ตกลง”

คชินทร์พับหนังสือพิมพ์เก็บ แล้วทำท่าจะลุกขึ้นไปข้างนอกเหมือนอย่างที่เคยทำทุกวัน รสกรจ้องหน้าเขา พลางคิดว่าเขาออกไปไหนได้ทุกวัน

ชายหนุ่มมองสายตาอยากรู้อยากเห็นของเธอ แล้วก็ขมวดคิ้ว

“อะไร”

“เปล่าค่ะ”

“เมื่อกี้ผมเห็นคุณเอาแต่จ้องหน้าผม หน้าผมมีอะไรติดอยู่หรือเปล่า” คชินทร์ยิ้มบางๆ ส่วนรสกรแก้มเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ รีบหันหน้าหนีไปทางอื่นทันที

“เปล่านี่ ฉันก็แค่คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยน่ะ” หญิงสาวปฏิเสธไปแกนๆ “แล้วนี่คุณจะออกไปข้างนอกเหรอ”

“ใช่”

“ไปทำอะไร” เธอถามสวนออกมาทันควัน แต่แล้วก็อ้ำอึ้ง เพราะรู้ว่ามันไม่ใช่ธุระของตัวเอง “เอ่อ...ฉันก็แค่ถามดู เห็นว่าหมู่นี้คุณออกไปข้างนอกบ่อยๆ คงไม่เกี่ยวกับเรื่องเรียนหรอกใช่ไหม”

“คุณเดาถูกอีกนั่นแหละ”

“แล้วเพราะอะไรล่ะ”

ใบหน้าหล่อเหลาเผยรอยยิ้มชวนมองมากยิ่งขึ้น

“อยากรู้เหมือนกันหรือว่าที่ผมหายตัวไปนานๆนั้นเป็นเพราะอะไร นึกว่าที่คุณมาขออาศัยอยู่กับผมที่นี่ แล้วจะสนใจแค่เรื่องงานอย่างเดียวเสียอีก”

นักข่าวสาวเม้มปากแน่น ดูเอาเถอะ มิน่าล่ะ ถึงไม่มีแฟนสักที คนอุตส่าห์เป็นห่วง ดันมายอกย้อนเสียแบบนี้ เธอเองก็ไม่ได้อยากรู้นักหรอกว่าเขาจะไปไหน หรือจะกลับเมื่อไหร่ แต่ว่าคนอาศัยอยู่ด้วยเดียวกันมันก็ย่อมต้องห่วงกันเป็นธรรมดา

“ก็แค่อยากรู้ แต่ถ้าไม่อยากตอบก็ไม่เป็นไร”

“ผมไปสอนพิเศษน่ะ เป็นอาจารย์สอนหลักสูตรการเขียนรายงานวิจัย และบทความปริทัศน์เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารวิชาการให้แก่อาจารย์ในสถาบันอุดมศึกษาน่ะ ถ้าคุณสนใจจะไปด้วยกันก็ได้นะ”

หญิงสาวกระพริบตาถี่ๆ เรื่องรายงานวิจัยกับงานของเธอ มันคนละโลกกันเลย

“เป็นอาจารย์สอนการเขียนรายงานวิจัยเหรอ”

“ใช่”

“มันเกี่ยวอะไรเรื่องอะไรล่ะ”

“การรักษาที่สามารถกำจัดเชื้อโรค เช่น ไวรัสตับอักเสบซี ไวรัสตับอักเสบบี เชื้อไวรัสเอชไอวีที่มีประสิทธิภาพมาก สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคภูมิเพี้ยน เช่น เอสแอลอี โรคข้ออักเสบ โดยใช้กระบวนการแยกเอาส่วนประกอบของเลือดที่เป็นสาเหตุของการเกิดโรค หรือเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆออกจากร่างกาย ทำให้ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นอย่างรวดเร็วน่ะ…”

รสกรยังไม่ทันฟังจบก็รีบยกมือห้ามเสียก่อน

“โอเค ฉันพอรู้แล้ว เอาเป็นว่าเชิญคุณไปคนเดียวเถอะ”

“ไม่สนใจไปด้วยกันหรือ”

“ฉันจบนิเทศศาสตร์นะ ไม่ได้จบแพทย์อย่างคุณนี่” นักข่าวสาวร้องเสียงดัง “เอาเป็นว่าฉันจะทำกับข้าวไว้รอคุณกลับมากินด้วยก็แล้วกัน”

“งั้นผมไปก่อนละ จะไปรับพ่อกับแม่วันไหนก็บอกผมให้รู้ด้วยล่ะ”

“รู้แล้วน่า” เธอซ่อนยิ้ม ก่อนที่เขาจะเดินออกไปตรงประตูหน้าบ้าน รสกรมองตามจนเขาลับสายตาไป ไม่น่าเชื่อเลยว่า นักข่าวอย่างเธอจะได้มาอยู่บ้านเดียวกันกับนายแพทย์อย่างเขาแบบนี้ได้...

บนคอนโดหรูย่านรัชโยธิน

ชายหนุ่มถือแก้วเบียร์ยกขึ้นดื่ม ฟังเพลงเบาสบาย ส่วนใหญ่แล้วอิทธิกรมักเป็นฝ่ายมาหาคู่ขาคนสนิท จิบเบียร์เย็นๆ และคุยกันตามประสาชายโสดแบบนี้สองอาทิตย์ครั้ง

วินเอนหลังบนเก้าอี้โซฟา มือถือขวดเบียร์รินใส่แก้ว ดวงตาสีดำสนิทมองหน้าอิทธิกร แล้วเรียวปากคลี่ยิ้มเย็นเฉียบ

“นายมาแบบนี้ ไม่กลัวว่าจะทำให้เขาโกรธเอาหรือ”

“นายพูดถึงใคร” เขากระดกเบียร์ในแก้วเข้าปาก “ถ้าหมายถึงคุณน้ำค้างนั่น ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก เพราะเขาไม่มีทางรู้ว่าฉันอยู่กับนาย”

“นั่นสินะ นายมันฉลาดจะตาย”

“หึๆ”

“นายไม่กลัวสามีเขาว่าเอารึ เห็นออกไปรับไปส่งคุณน้ำค้างทุกวัน ฉันกลัวว่าสามีเขาจะหึงร้ายกาจกว่าที่นายคิดน่ะสิ”

“หมอนั่นน่ะหรือ ไม่มีทางหรอก เห็นคุณน้ำค้างบอกว่าไปทำงานที่ต่างประเทศนาน ๆ ทีถึงจะกลับ แล้วจะรู้เรื่องที่ฉันออกไปกับคุณน้ำค้างได้ยังไง แต่ถึงเขาจะรู้นะ ฉันก็ไม่เห็นจะสน...เพราะคุณน้ำค้างน่ะมีข้ออ้างตั้งร้อยแปด ผู้ชายโง่ ๆ พรรค์นั้นน่ะตามเธอไม่ทันหรอก รู้เอาไว้ด้วย”” อิทธิกรเหยียดยิ้ม

“นาย...คิดจะยุ่งเกี่ยวกับคุณน้ำค้างไปถึงเมื่อไหร่”

“ก็คงนานพอดู ยายน้ำค้างมีสมบัติให้ฉันปอกลอกอีกเยอะ แถมถ้าเกิดว่าเธอคิดจะเอาเรื่องที่ฉันมาเสพยากับนายขึ้นมาแฉ ฉันก็มีภาพดีๆของยายน้ำค้างที่เก็บเอาไว้แบลคเมล์แล้ว งั้นนายยังจะกลัวอะไรอีก”

“ฉันไม่กลัวหรอก แต่กลัวว่า...ภาพจะถูกขโมยไปเสียก่อน”

อิทธิกรขมวดคิ้ว

“ว่ายังไงนะ”

“จำนักข่าวที่ทำงานอยู่ในหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นได้หรือเปล่า เขามาสัมภาษณ์ฉันเมื่อวานแล้วแอบรื้อกระเป๋าของฉัน ดูเหมือนว่าเขาจะพยายามหาอะไรบางอย่าง ซึ่งฉันก็ไม่รู้ว่าหาอะไรเหมือนกัน แต่เขาคงจะเห็นแฟลชไดร์ฟที่นายเอามาให้ฉันแล้ว”

“มันเป็นใครกัน”

“ผู้หญิง ไม่คุ้นหน้ามาก่อน”

“พวกนักข่าวปาปารัซซี่” อิทธิกรยิ้มเยาะ “พวกนี้เกะกะน่ารำคาญจะตาย แล้วนอกนั้นมีอะไรหายหรือเปล่า”

“ไม่มี แต่ว่า...ฉันแปลกใจว่า ทำไมเขาถึงได้มารื้อค้นของในกระเป๋า หรือว่าเขาจะสงสัยแฟลชไดร์ฟนั่น”

“ที่ฉันให้นายน่ะหรือ” ใบหน้าคมคายชำเลืองมอง “สงสัยแล้วมันทำอะไรได้ล่ะ มันก็ไม่ได้หายไปหรือถูกก็อปปี้ไปไม่ใช่หรือ หรือว่านาย...กำลังสงสัยอะไรอยู่”

“ฉันกำลังสงสัยว่า....ทำไมเขาถึงรู้ว่าฉันมีแฟลชไดร์ฟอยู่ในกระเป๋า เขาตั้งใจมาสืบค้นมันโดยเฉพาะ บางที่เขาอาจอยู่ใกล้ๆกับเราในคืนนั้นก็ได้นะ”

“ไม่มีทาง” อิทธิกรรีบปฏิเสธ “ไม่มีใครอยู่แถวนั้นทั้งคืน เรื่องนี้ฉันยืนยันได้”

วินชำเลืองมองเขา

“จริงหรือ”

“นายพูดอย่างนี้ หมายความยังไง” อิทธิกรขมวดคิ้ว “หรือนายคิดว่าฉันจะเป็นฝ่ายโกหก”

“ฉันยังไม่ได้พูดสักคำ ว่าแต่นายไปลองสืบแถวๆนั้นดูว่ามีใครน่าสงสัยหรือเปล่า ฉันเชื่อว่ายายปาปารัซซี่คนนั้นจะต้องแอบอยู่ใกล้ๆกับบ้านของนาย และคอยสืบข่าวพวกเราอยู่ด้วย”

อิทธิกรขมวดคิ้ว เขาไม่เชื่อหรอกว่าจะมีที่ให้ปาปารัซซี่ซ่อนตัวแอบถ่ายรูปอยู่ หรือถ้ามีเขาก็ต้องรู้ เพราะต้องมีแฟลชออกมาให้เห็นบ้าง ไม่ว่ามันจะซ่อนตัวอยู่ที่ไหนก็ตาม

“นายแน่ใจหรือว่าเราถูกตามแอบถ่ายอยู่”

“แน่ใจ....โชคยังดีนะ ที่ตอนนั้นมีคนเดินไปทัก แม่นั่นเลยรีบเดินหนีไป” วินชำเลืองมองดูแฟลชไดร์ฟแล้วหยิบขึ้นมาดู “เลยยังไม่ทันได้หยิบแฟชไดร์ฟติดมือไปด้วย ไม่อย่างนั้นละก็...ฉันว่านายกับยายน้ำค้างต้องมีเดือดร้อนแน่”

“ฉันไม่กลัวหรอก ตราบใดที่มันยังอยู่กับนาย” อิทธิกรเหยียดยิ้มนัยน์ตาเป็นประกาย “แฟลชไดร์ฟนั่น ใครจะเอาไปทำอะไรก็ได้ เพราะมีแต่รูปยายน้ำค้างคนเดียว ไม่มีรูปฉัน เรื่องนี้นายก็น่าจะรู้ดี แล้วนายยังจะกลัวอะไรอีกล่ะ”

“กลัวว่ายายน้ำค้างจะอับอายก่อนเวลาอันควรน่ะสิ นายอย่าลืมสิว่า ยายนั่นมีเงินถุงเงินถังพอใช้เราใช้ได้อีกนาน รูปพวกนี้น่ะ จะมีราคามากมายสักเท่าไหร่เชียว ถ้าเทียบกับความไว้ใจที่เขามีให้นาย”

“ถึงวันนั้น ยายน้ำค้างคงจะเจ็บจนพูดไม่ออกเลยล่ะ” อิทธิกรเหยียดยิ้ม

“แล้วก็...อย่าลืมไปตามสืบมาล่ะ ว่าปาปารัซซี่คนนั้นอยู่ที่ไหน” วินเอ่ยพร้อมยิ้มบางๆ แล้วเอามือลูบไล้ลำตัวเขาแผ่วเบา “วันนี้...วันนี้นายเอายาไอซ์มาหรือเปล่า”

“เอามาสิ จะลืมได้ยังไงกันล่ะ”

“นี่แฟนของเพื่อนลูกหรือ”

เสียงแหบๆ ต่ำๆของพ่อรสกรถาม ชายวัยกลางคนใบหน้าดุ ไว้หนวดหรี่ตามองคชินทร์ตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้าอย่างไม่ไว้วางใจ แน่ละ เพราะเวลาคชินทร์อยู่บ้านเขาจะชอบสวมเสื้อยืด กางเกงยีนขายาว รองเท้าแตะ ช่างผิดไปจากเวลาที่เขาสวมเสื้อเชิ้ตผูกไทออกไปสอนหนังสือราวคนละคน รสกรค่อยๆกลืนน้ำลายลงคอ ตอนแรกที่เธอออกไปรับพ่อกับแม่มาที่นี่ พวกเขาแปลกใจที่เธอย้ายที่อยู่ แต่พอเห็นคชินทร์เดินออกมาพร้อมรอยยิ้มกว้าง พ่อของเธอก็คิ้วกระตุกทันที

“ใช่ค่ะ พอดีว่าเพื่อนหนูไม่อยู่ ก็เลยให้คุณชินมาอยู่เป็นเพื่อนแทน”

“สวัสดีครับ พ่อ แม่”

“ใครเป็นพ่อแก” น้ำเสียงของพ่อตวาดกร้าว ทำเอารสกรสะดุ้งโหยง

“พ่อคะ อย่าเสียมารยาทสิคะ เขาก็แค่ไหว้พ่อกับแม่เท่านั้นเอง คุณชินคะ นี่พ่ออำนาจกับแม่เคียงจันทร์ของฉัน พ่อท่านดุนิดหน่อยคงไม่ถือนะคะ”

“ไม่เป็นไรครับ เดินทางมาไกล คงจะเหนื่อยสินะครับ”

“เดินทางมา มันก็ต้องเมื่อยกันหน่อย ว่าแต่....แฟนของเธอไปไหนเสียล่ะ”

คชินทร์ยิ้มบางๆ เหลือบไปมองรสกรเล็กน้อย

“เขาไปทำข่าวต่างจังหวัดสักสองสามวันน่ะครับ”

รสกรยิ้มเฝื่อน บางที่เขาก็ฉลาดตอบเหมือนกันนะ แต่ว่าคำถามของพ่อเธอก็ทำเอาสะดุ้งโหยง

“เพื่อนลูกคนนั้นชื่ออะไรล่ะ”

“เอ่อ...เขาชื่อ” ลูกสาวยังอึกอัก เพราะไม่รู้ว่าจะบอกชื่อใครดี

“ชื่อแพรวาครับ”

“ไม่ยักจะเห็นกอหญ้าเล่าให้ฟังเลย”

“หนูกำลังงานยุ่ง ก็เลยไม่ได้เล่าเรื่องเพื่อนคนนี้ให้ฟังน่ะค่ะ” หญิงสาวตอบเลี่ยงๆไป พลางเชิญให้พ่อและแม่เข้าบ้านก่อน “เชิญคุณพ่อกับแม่เข้าบ้านก่อนนะคะ เดี๋ยวหนูเอาของไปเก็บให้”

รสกรก้มลงไปหิ้วของฝาก ซึ่งเป็นของหนักเพราะพ่อกับแม่ขนซื้อมาฝากลูกสาวเสียมากมาย แม่ของรสกรยิ้มบนใบหน้า แล้วบอกลูกสาวเบาๆว่า

“ไม่เป็นไรหรอก แม่ถือเองได้”

“ไม่เป็นไรค่ะ หนูจะเอาเข้าไปเก็บในครัวเลย พ่อกับแม่จะมาพักอยู่กับหนูสักกี่วันคะ” เธอต้องถามดู เผื่อว่าจะได้วางแผนถูก

“ประมาณอาทิตย์หนึ่งน่ะลูก”

“อาทิตย์หนึ่งเหรอคะ” รสกรตาค้าง จนบิดาสงสัย

“ทำไม อาทิตย์หนึ่งมันน้อยไปรึ หรือว่าจะให้พ่ออยู่สักเดือนหนึ่งล่ะ” ว่าแล้ว เขาหัวเราะหึๆ ทำเอากอหญ้าหน้าเจื่อนไป ทำยังไงดีล่ะ เธอบอกพ่อกับแม่ว่าเพื่อนสาวของเธอไปเพียงสามวัน ถ้าบอกว่าเธอยังไม่กลับตั้งอาทิตย์หนึ่งรับรองได้เลยว่า พ่อกับแม่ของเธอจะต้องสงสัยแน่ๆ

“คุณพ่อคะ....” เธอพ้อ “มันไม่นานไปหน่อยเหรอคะ ห่วงบ้านทางโน้นจะแย่” เธอบอกด้วยน้ำเสียงเจื่อนๆ

“แล้วยังไง พ่อกับแม่มาเยี่ยมหนูทั้งที จะให้อยู่แค่วันสองวันแล้วจะไล่กลับเลยหรือ บอกให้ทำงานอยู่แถวบ้านก็ไม่เชื่อ ดูสิ หนีมาอยู่กรุงเทพฯคนเดียวอย่างนี้ จะไม่ให้พ่อกับแม่เป็นห่วงได้ยังไง” คนเป็นพ่อเริ่มตัดพ้อใส่ลูกสาวบ้าง

“อยู่แถวบ้านจะให้ขายของชำหรือไงคะ” เธอเริ่มฉุนบ้าง หากเธอยังอยู่บ้าน ถ้าไม่ไปสอบเป็นข้าราชการก็ต้องขายของอยู่กับบ้าน บริษัทเล็กๆน้อยๆแถวนั้นน่ะ เขาไม่รับวุฒิปริญญาตรีกันหรอก

“ก็ใช่น่ะสิ อยู่กับบ้านสบายจะตาย อยู่ใกล้พ่อแม่ด้วย” บิดายังยืนยัน

“ไม่เอาดีกว่าค่ะ หนูชอบอยู่แบบนี้ ได้ทำงานที่ชอบด้วย”

“ยายกอหญ้า” คุณพ่อไว้หนวดเริ่มขึ้นเสียง จนแม่ของเธอต้องเข้าไปคล้องแขนอย่างนุ่มนวล

“ไม่เอาน่าพ่อ ลูกโตแล้วนะ เราเข้าบ้านกันดีกว่า”

ฝ่ายลูกสาวที่กำลังหน้าหงิกเป็นหมากรุกก็มองไปยังคชินทร์ที่นั่งปั้นหน้า เพื่อซ่อนรอยยิ้มขบขันไว้ ก่อนที่ทั้งหมดจะเดินเข้าประตูบ้านไป รสกรชงกาแฟมาเสิร์ฟให้พ่อเพียงแก้วเดียว เพราะแม่ไม่ดื่ม พ่อของเธอพอใจไม่น้อยที่บุตรสาวมีความเป็นอยู่ที่ดี แต่ที่ไม่พอใจที่สุดก็คือคชินทร์นี่แหละ

“คุณมาหายายกอหญ้าตลอดเลยหรือ ในช่วงที่แฟนคุณไม่อยู่”

“ครับ” ชินตอบสั้น ๆ

“งั้นหรือ....ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ยายกอหญ้าก็มีพ่อกับแม่มาอยู่ด้วยแล้ว ฉันอยู่กับลูกสาวได้ เชิญคุณกลับไปได้แล้ว”

คำพูดตรงๆ แบบไม่อ้อมค้อมของคุณพ่อไว้หนวด ทำเอากอหญ้าแทบพ่นน้ำออกมาจากปาก เธออ้าปากจะค้านแต่คชินทร์เอ่ยเสียงเรียบขึ้นมาเสียก่อน

“ไม่ได้หรอกครับ เพราะคุณแพรวาเพิ่งสั่งมาเดี๋ยวนี้เอง”

“เขาสั่งว่าอะไร”

“เขาพูดว่ามีพ่อกับแม่ของเพื่อนมาพักอยู่ด้วยหลายวัน กลัวว่าถ้าผมไปอาจจะเกิดเหตุร้ายขึ้น สมัยนี้โจรมันชุกจะตายไป เขาเลยให้ผมคอยอยู่เป็นเพื่อนคุณพ่อคุณแม่ด้วย”

คำตอบของเขาทำเอาพ่อหนวดกระดิก

“นี่เธอคงจะคิดว่าฉันแก่สินะ ไอ้โจรกระจอกอะไรพวกนั้นฉันไม่เห็นจะกลัวเลย” พ่อตวาดกร้าว

“ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นครับ เพราะบ้านข้างๆก็เพิ่งถูกโจรงัดหน้าต่างไป ส่วนบ้านอีกหลังก็ถูกขโมยรถยนต์ ส่วนบ้านข้างหลังอันนั้นยิ่งหนักกว่า มันแอบปีนเข้าบ้านแล้วตีหัวคนแก่ที่เฝ้าบ้านอยู่คนเดียว เลือดไหลเป็นทางยาว โชคดีที่พยาบาลช่วยไว้ทัน ไม่อย่างนั้นผมคงได้ไปงานพิธีศพของเขาแน่ๆ”

คำตอบของคชินทร์ทำให้พ่อของเธอถึงกับอึ้งไปพักใหญ่ แม้การแอบลักเล็กขโมยน้อยจะมีให้เห็นกันบ่อยๆที่บ้านเขา แต่การทำร้ายคนแก่เช่นนี้ชายวัยกลางคนยังไม่เคยเห็นเลยสักครั้ง รสกรชำเลืองมองหน้าหมอหนุ่มพลางซ่อนยิ้ม

“น่าเสียดาย ถ้าคุณไม่อยากให้ผมอยู่ก็ไม่เป็นไร” หมอหนุ่มว่าพลางถอนหายใจยาว

“ถ้าแฟนของเธอให้อยู่ ก็อยู่ไปเถอะ ประเดี๋ยวเขากลับมาจะว่าเธอได้” พ่อของรสกรระบายลมหายใจหนักๆ จำใจบอกให้แฟนเพื่อนลูกอยู่ต่อ ทั้งๆที่ดูจากสายตาแล้ว เขาคงยังไม่ค่อยเชื่อเรื่องขโมยเท่าไหร่

“แล้วนี่จะให้พ่อกับแม่นอนที่ไหนกันล่ะ”

“นอนข้างบนค่ะ มันมีที่นอนเหลืออยู่ห้องหนึ่ง” เธอยิ้มดวงตาเป็นประกาย “หนูนอนคนละห้องกับเพื่อนน่ะค่ะ”

“แล้วคราวนี้ลูกจะไปนอนกับใครล่ะ”

“เอ่อ...ไม่เป็นไรค่ะ หนูนอนข้างล่างนี้ก็ได้ ว่าแต่แม่เอาอะไรมาฝากหนูเหรอคะ ไหนดูซิ...โอ้โหมีขนมหวานให้หนูด้วย แล้วยังมีอะไรอีกน้า” หญิงสาวรีบเปลี่ยนเรื่อง

“มีสิ นี่ไงแม่ทำขนมเทียนเสวยมาให้ด้วย”

“ขอบคุณค่ะแม่”

“เอาเป็นว่าเย็นนี้เชิญคุณพ่อกับคุณแม่ทานอาหารเย็นแล้วก็คุยกันตามสบายนะครับ เดี๋ยวผมออกไปข้างนอกหน่อย” คชินทร์เอ่ยพลางลุกจากเก้าอี้

“คุณจะออกไปข้างนอกเหรอ พอดีซอสถั่วเหลืองมันหมดน่ะ ฉันฝากคุณซื้อหน่อยได้ไหม” รสกรล้วงกระเป๋าส่งเงินให้แล้วคชินทร์ก็รับไว้ เธอมองหน้าเขาพลางพูดอะไรกันอีกสองสามคำ จากนั้นชายหนุ่มก็ออกไปข้างนอกโดยมีรสกรโบกมือลาเบาๆ พ่อของเธอมองภาพนี้แล้วขมวดคิ้ว

“ลูกฝากเขาซื้อของเข้าครัวหรือ”

“ค่ะ” เธอยิ้มพลางก้มลงเก็บแก้วกาแฟ และจะเกือบทำตกพื้นด้วยความตกใจเมื่อได้ยินประโยคต่อมา

“อย่างกับคนเพิ่งแต่งงานกันใหม่ๆเลยนะ”

“อะไรนะคะพ่อ ไม่มีทางหนูไม่มีทางแต่งงานกับเขาหรอก” หน้าตาเธอแดงจัดไปถึงใบหู แม่ของเธอหัวเราะพลางเอ่ยให้ฟังว่า

“พ่อเขาไม่ได้ว่าลูกหรอก เขาหมายถึงคุณแพรวากับคุณชินน่ะ หมายถึงเพิ่งแต่งงานกันใหม่ๆเลยนะ ลูกว่าไหม”

รสกรอ้าปากค้าง หน้าตาของเธอตอนนี้คงดูแย่ถึงแย่มากที่สุดเลย

“ใช่แล้ว ลูกเข้าใจว่ายังไงล่ะ”

“เอ่อ...เปล่าค่ะ หนูขอตัวแก้วกาแฟไปเก็บข้างในก่อนนะคะ” ว่าแล้ว เธอก็รีบเก็บถ้วยกาแฟกลับไปในครัวหลังบ้าน เมื่อมาอยู่คนเดียวเธอก็ถึงกับถอนหายใจยาว “เกือบไปแล้วสิ”

เสียงพูดคุยกับเบาๆกับเสียงหัวเราะของพ่อและแม่ที่อยู่ในห้องรับแขก เต็มไปความสุข พลอยทำให้เธอโล่งใจไปด้วย พลางคิดไปถึงคชินทร์

นี่ก็ตั้งสองชั่วโมงแล้ว แต่เขาก็ยังไม่กลับมา หญิงสาวเผลอชะเง้อมองหาร่างสูงนอกหน้าต่างอยู่บ่อยๆ และก็พบแต่ความว่างเปล่า

“หายไปไหนกันนะ”

“อะไรหรือ”

เสียงทักทายเบาๆเกือบทำให้รสกรทำหม้อร่วงลงกับพื้นด้วยความตกใจ เธอหันควับมาจ้องหน้าคนทักในระยะกระชั้นชิดจนจมูกเกือบจะชนกัน ห่างกันเพียงปลายนิ้ว เมื่อสบดวงตาสีน้ำตาลของเขาก็เหมือนเธอจะถูกสาปให้เป็นหิน ขณะเดียวกันชายหนุ่มก็ส่งรอยยิ้มบางๆไปให้

“คะ...คุณมาตั้งแต่เมื่อไหร่” เธอถามอย่างตะกุกตะกัก

“ผมมาเมื่อสักครู่ เอ้านี่ ซอสถั่วเหลือง”

“แล้วทำไมฉันถึงไม่รู้เลยล่ะ”

“ก็คุณมัวแต่เหม่อ ก็เลยมองไม่เห็นอะไรน่ะสิ” เขายิ้มบางๆ ดวงตาสีน้ำตาลเป็นประกาย

“เหรอ มาก็ดีแล้วนี่ จะได้ไม่โดนข้อหาทิ้งกันเอาตัวรอด” รสกรยอกย้อนพลางหยิบขวดซอสถั่วเหลืองมาเก็บไว้บนชั้น คชินทร์เลิกคิ้ว

“ใครทิ้งกัน”

“คุณนั่นแหละที่ทิ้งฉัน ไปตั้งนานกว่าจะกลับ รู้ไหมฉันต้องตอบคำถามพ่อแม่เกือบตายแน่ะ สองคนนั้นน่ะ เขาอาจจะสงสัยว่าเราเป็นแฟนกันก็ได้นะ”

“ไม่เกี่ยวกับผม ผมแค่ทำตามหน้าที่เจ้าของบ้าน นั่นเป็นปัญหาของคุณไม่เกี่ยวกับผม” คำพูดยอกย้อนของคชินทร์ทำเอาเธอเก็บอารมณ์โกรธไม่อยู่

“นี่คุณจะทิ้งกันเหรอ”

“ผมไปซื้อของ แค่เดินเล่นนิดหน่อย พอกลับมาก็ถูกบ่นแล้วจะให้ทำยังไงอีก” หมอหนุ่มยักไหล่

“ฉันไม่ได้บ่นเรื่องนั้น”

“แล้วคุณบ่นเรื่องอะไรไม่ทราบ”

“ฉัน...กลัวว่าพ่อกับแม่จะรู้น่ะสิ พ่อของฉันบอกว่าเขาจะอยู่อาทิตย์หนึ่ง ฉันเกรงว่าความลับเรื่องแพรวาจะแตกน่ะสิ ทีนี้ฉันจะทำยังไง ช่วยคิดหน่อยสิ”

ชายหนุ่มถอนหายใจยาว รู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้นำความเดือนร้อนมาให้เขาเหลือเกิน

“คุณก็บอกความจริงไปซะสิ บอกเขาว่าคุณมาอยู่ที่นี่เพื่อสืบหาข่าว ส่วนผมก็นอนคนละห้องกับคุณ เรื่องแค่นี้ไม่น่าจะทำให้มันเป็นเรื่องยุ่งยากเลยนี่”

“อะไรนะ” รสกรร้องอุทาน “จะบ้าเหรอ คุณพูดอะไรน่ะ”

“ผมคิดว่าบอกความจริง มันดีกว่าที่เราจะมาโกหกปั้นเรื่องขึ้นซะอีก”

“ไม่มีทางหรอก ขืนบอกว่าฉันอยู่บ้านเดียวกับคุณ พ่อฉันต้องโกรธมาก ขนาดตอนที่เรียนพละตอนม.ต้น แล้วมีเพื่อนผู้ชายขี่จักรยานไปรับที่บ้านเพราะไปทางเดียวกัน พ่อของฉันยังแทบจะถือปืนออกมายิงเพื่อนคนนั้นเลย”

“ผมไม่กลัว”

“คุณไม่กลัว แต่ฉันกลัวนี่นา” รสกรยังคงไม่ยอม “คุณช่วยอยู่เฉยๆ ไปคุยกับพวกท่านแล้วพยายามทำให้เป็นธรรมชาติ เรื่องแบบนี้งานถนัดของคุณแล้วไม่ใช่เหรอ”

“ระวังกระทะไหม้แล้ว” คชินทร์อุทาน เพราะเธอมัวแต่หันมาคุยกับเขา จึงทำให้ปลาทอดไหม้จนเกรียม พอหญิงสาวหันไปมองก็เจอกับควันที่พวยพุ่งออกมาจากกระทะใบใหญ่ เธอสาวตกใจ มัวแต่หันรีหันขวาง คชินทร์จึงรีบใช้ผ้าจับกระทะแล้วรีบยกออก ขณะเดียวกันรสกรก็รีบคว้าหูหิ้วกระทะที่อยู่อีกด้านทันที

“โอ้ย”

“เป็นอะไรหรือเปล่า ใครบอกให้จับมันล่ะ”

“เจ็บมือจัง มันจะลอกหรือเปล่า” หญิงสาวทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ เพราะความปวดแสบปวดร้อนที่มือ คชินทร์รีบจับมือเธอขึ้นมาดูรอยแดงบนฝ่ามือ รสกรเม้มปากแน่น น้ำตาจะไหลออกมาให้ได้ เขามองสีหน้าเธอแวบหนึ่งแล้วก็จับมือของเธอไปจุ่มในกะละมังน้ำเย็นที่เตรียมไว้แช่ผักพอดี

“กระทะยังไม่หายร้อน ใครให้จับล่ะ”

“ก็ฉันลืมตัวนี่”

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ มันแดงและพองขนาดนี้ คงต้องพันมือไว้อีกหลายวันเลยละ”

รสกรเม้มปากแน่น มือเธอพองได้เพราะใคร ถ้าไม่ใช่เพราะมัวแต่เถียงกับนายชิน ไม่อย่างนั้นเธอก็คงไม่ต้องเจ็บตัวอย่างนี้หรอก

“เจ็บได้ก็หายได้ ไม่เห็นจะเป็นไร” เธอทำปากแข็ง เพราะยังพาลโมโห จนคชินทร์แกล้งกดรอยแดงที่มือจนเธอร้องโอย พยายามจะสะบัดมือออก แต่ก็ไม่เป็นผลเพราะเขาจับมือเธอไว้แน่น

“เป็นยังไงล่ะ เจ็บได้แล้วมันหายได้เลยหรือเปล่า” ชายหนุ่มย้อนเข้าให้

“ทำอะไรของคุณน่ะ”

พ่อและแม่ของรสกรก็ได้ยินเสียงร้องก็รีบวิ่งเข้าไปในห้องครัว พอเห็นภาพที่ทั้งคู่กำลังยื้อยุดฉุกกระชากกันอยู่ ยืนห่างกันเพียงปลายนิ้วสัมผัส แถมมือของเธอก็ยังอยู่ในมือของเขาขณะจับไปไว้ใต้น้ำที่รินไหล

รสกรกระพริบตาถี่ๆ แล้วรีบชักมือออกจากการเกาะกุม

“พอดีหนูทำกระทะไหม้น่ะค่ะ เผลอไปหน่อย”

“ตายจริง มือหนูเป็นอะไรหรือเปล่า” แม่เคียงจันทร์ของเธอรีบเดินเข้าไปใกล้ พอเห็นรอยพองบนมือลูกสาวก็ตกใจ “แดงไปหมดเลย หนูไปจับกระทะหรือนี่”

“ค่ะ” รสกรยิ้มเฝื่อน ในเมื่อหลักฐานมันฟ้องชัดอยู่บนมือของเธอขนาดนี้ “หนูตกใจเลยเผลอตัวจับมันเข้า โชคดีนะคะที่คุณชินช่วยไว้ก่อน”

“เป็นอะไรหรือเปล่า” พ่อของหญิงสาวถามบ้าง

“ไม่เป็นไรแล้วค่ะ” รสกรตอบ “ว่าแต่...พ่อเป็นอะไรหรือเปล่าคะ”

สาเหตุที่เธอถามเช่นนี้ ก็เนื่องจากเห็นคิ้วขมวดเครียดของพ่อ ทั้งยังมองมาที่มือของเธอและชำเลืองมองไปยังใบหน้าของคชินทร์ที่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ แล้วสีหน้าของพ่อก็เข้มขึ้นเล็กน้อย เธอลอบกลืนน้ำลายลงไปในลำคอ เมื่อกี้พ่อของเธอคงจะเห็นตอนที่เธอถูกจับมือไว้หรือเปล่านะ

“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว กระทะมันร้อนระวังหน่อยก็แล้วกัน”

หลังจากที่นั่งคุยกันอยู่เกือบสามทุ่มพ่อกับแม่ของเธอก็ขอตัวเข้าไปนอน เธอยกห้องนอนให้พ่อแม่นอน แล้วส่วนตัวเองจะนอนข้างล่าง แม้ว่าทั้งสองจะชวนเธอให้ไปนอนด้วยกันที่ชั้นสอง แต่หญิงสาวปฏิเสธ และบอกพวกท่านว่าไม่ต้องเป็นห่วงเธอ แต่ถึงกระนั้นพ่อของเธอก็มองมายังคชินทร์ด้วยสายตาที่เหมือนจะถามว่า ทำไมเขาไม่สละห้องนอนให้รสกร แล้วให้เขามานอนที่โซฟาแทน

“ไม่ได้หรอกค่ะ เขาเป็นแฟนกัน จะให้หนูไปแย่งห้องนอนของเพื่อนได้ยังไงล่ะคะ”

“ไม่เห็นเป็นไร พ่อไม่เห็นถือ”

“พ่อไม่ถือแต่หนูถือค่ะ” รสกรเอ่ย น้ำเสียงช้าๆชัดๆ “ถึงเพื่อนหนูจะไม่ถือ แต่หนูถือเรื่องนี้มาก เพราะฉะนั้นให้พ่อกับแม่เข้าไปนอนในห้องหนูเถอะค่ะ แค่นี้หนูนอนได้”

“นอนกับแม่ก็ได้นะ เดี๋ยวให้พ่อลงไปนอนที่พื้น”

“ไม่ได้หรอกค่ะ หนูเป็นลูกนะคะ จะให้นอนสูงกว่าพ่อตัวเองได้ยังไง ไปเถอะค่ะ แล้วพรุ่งนี้หนูจะทำอาหารอร่อย ๆให้ทานนะคะ”

“ราตรีสวัสดิ์นะจ๊ะลูกสาวแม่”

“ค่ะ”

หลังจากนั้นทั้งพ่อและแม่ของเธอพากันขึ้นไปบนชั้นสอง ก่อนเข้าห้องพ่อของเธอชำเลืองมายังเธอและคชินทร์ที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่น เหมือนกับจะขู่ว่า ถ้าขืนคชินทร์ทำอะไรเธอล่ะก็ ไม่มีทางตายดีแน่

คชินทร์ซ่อนยิ้มพร้อมโบกมือให้พ่อกับแม่ของเธอก่อนที่ทั้งคู่จะปิดประตูลง รสกรถอนหายใจยาว นี่เพิ่งจะหมดไปแค่วันเดียว ยังเหลือเวลาอีกตั้งอาทิตย์แล้วเธอจะตั้งรับยังไงดีล่ะ

“เป็นคุณพ่อที่ดุน่าดูเลยนะ” ชายหนุ่มโน้มใบหน้าลงมากระซิบข้างหูของเธอ

“ก็เพราะอย่างนี้นี่แหละ ถึงไม่มีใครกล้ามาจีบฉันสักที”

คชินทร์มองเธอพร้อมกับเลิกคิ้วน้อยๆ

“ไม่มีใครกล้ามาจีบเลยรึ”

“นี่ถ้าสมมติว่านายแอบชอบฉัน แล้วถูกพ่อเอาปืนส่อง คุณยังจะกล้ามาไหมล่ะ” นักข่าวสาวเม้มปากแน่น ชายหนุ่มหัวเราะคิก

“ถ้าเป็นผมล่ะก็ พาคุณหนีไปเลยแล้วค่อยกลับมาขอ”

“ใครเขาจะบ้าไปใช้ชีวิตร่วมกับคุณ”

“แล้วตอนนี้ล่ะ ทำไมคุณถึงยังไม่มีแฟน ในเมื่อคุณก็ไม่ได้อยู่กับพ่อนี่ แล้วทำไมคุณถึงอยู่คนเดียวล่ะ”

รสกรส่ายหน้าปฏิเสธ “ก็เพราะฉันยังไม่เจอใครคนนั้นเลยน่ะสิ”

“ทำไมล่ะ สเป็กของคุณสูงมากเลยหรือ”

“ไม่ใช่หรอก...คนที่ฉันคิดจะรัก ไม่ต้องรวยแล้วก็หล่อมากเหมือนที่ใครหลายคนชอบฝันถึง แต่ขอให้เขาไม่เปลี่ยนแปลงความรักที่เคยมีให้กัน ไม่เคยลืมสัญญาแม้จะเป็นเรื่องเล็กๆที่เขาเคยมอบให้ผู้หญิงคนหนึ่ง เอาใจใส่ดูแลกันไปจนชั่วชีวิต แค่นี้ฉันก็พอใจแล้ว”

“ถึงแม้ว่าเขาอาจจะแก่และมีภรรยาหลายคนแล้วน่ะหรือ” ชายหนุ่มแกล้งถามด้วยสีหน้ายิ้มๆ

“ฉันเชื่อว่าคนที่มีความรักลึกซึ้งขนาดนี้ ไม่มีทางที่เขาจะนอกใจภรรยาไปได้หรอก ไม่ต้องมาพูดให้ฉันใจเสียเลย ทั้งชาตินี้ต่อให้ฉันต้องอยู่เป็นโสดไปจนแก่จนเฒ่า แต่ถ้ายังไม่เจอคนที่ใช่ ฉันก็ขออยู่ตัวคนเดียวแบบนี้ดีกว่า”

คำพูดจากใจจริงของหญิงสาวทำให้เขายิ้มออกมา

“คุณพูดเหมือนในโลกนี้ไม่มีผู้ชายที่คุณกำลังตามหาอย่างนั้นแหละ”

“ก็ไม่มีน่ะสิ หรือเป็นเพราะฉันยังไม่ได้ตามหาเขาเองก็ไม่รู้” หญิงสาวถอนหายใจยาว หันไปมองอีกฝ่าย “เอาละ คุณกลับไปนอนห้องตัวเองได้แล้ว ฉันจะนอนตรงโซฟา”

“เดี๋ยวก่อน”

คชินทร์ถือกล่องยากล่องเล็ก พลางคว้าแขนข้างที่เจ็บของเธอไว้ รสกรมองตามเขาก็รู้ว่าสาเหตุที่เขานอนดึกเพราะต้องรอให้พ่อแม่ของเธอหลับก่อนจึงจะใส่ยาให้เธอได้ เธอแอบมองเขาขณะใส่ยาและพันแผลให้เธอ ความรู้สึกแปลกๆ ระคนอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูกเกิดขึ้นภายในใจ

“ขอบคุณค่ะ” เป็นคำขอบคุณครั้งแรกที่ออกมาจากปากเธอ

“ไม่เป็นไร คุณติดค้างบัญชีผมแล้วนะ...ไว้คราวหน้าถึงตาคุณมั่งแล้วละ”

“แค่นี้ก็ถือว่าติดหนี้คุณแล้วเหรอ”

“ใช่” ชายหนุ่มยิ้มบางๆ

ใบหน้าของเขายามนี้ช่างอบอุ่นนัก ดวงสีน้ำตาลก็แสนอ่อนโยน และมันทำให้หัวใจเธอหวั่นไหวแปลกๆ ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ


ค่ำคืนนี้เป็นคืนที่เธอหลับยากที่สุด ไม่ใช่เพราะไม่มีเตียงนอน แต่เพราะความมืดในห้องโถงทำให้เธอรู้สึกเหมือนกับถูกทิ้งให้นอนอยู่ตามลำพังในบ้านหลังใหญ่ แสงสว่างอันน้อยนิดมาจากแสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างเท่านั้น รสกรดึงผ้าห่มขึ้นคลุมโปง

เธอไม่ได้กลัวความมืด แต่กลัวผี กลัวจนถึงที่สุด...

“โอ้ย ไม่คิดเลยว่าการนอนในห้องนั่งเล่นคนเดียวจะน่ากลัวถึงขนาดนี้” นี่ถ้าเกิดว่าตอนดึกๆ มีเงาผีแอบมายืนอยู่ตรงปลายเท้าของเธอล่ะ เธอคงจะกรี๊ดบ้านแตกไปแล้ว

หลังจากที่พยายามนอนให้หลับอยู่ร่วมหนึ่งชั่วโมง ในที่สุดความเพลียและความง่วงก็ทำให้หญิงสาวนอนหลับได้ หลังจากนั้นไม่นาน ประตูห้องบนชั้นสองเปิดออกเบาๆ แล้วใครคนหนึ่งก็เดินลงมา มือหนาคลี่ผ้าห่มหนาคลุมร่างกายของเธอให้เรียบร้อยหลังจากที่หญิงสาวนอนพลิกไปพลิกมา จนผ้าห่มตกลงไปกองกับพื้น ชายหนุ่มมองดวงหน้างามยามหลับสนิท ปลายนิ้วเขี่ยเส้นผมออกจากแก้มใสเบา ๆ

“หลับจริงๆเหรอนี่” เขาพึมพำเสียงแผ่ว

“อืม...”

“นอนคนเดียวข้างล่างแบบนี้ไม่กลัวอะไรเอาซะเสีย นี่คุณ...ไปนอนในห้องของผมเถอะ เดี๋ยวพอรุ่งเช้าผมจะปลุกคุณก่อนที่พ่อกับแม่ของคุณจะตื่น” คชินทร์เอื้อมมือไปคว้าแขนเรียวบาง แต่รสกรขมวดคิ้วด้วยความง่วงงุน

“ไม่เอา จะนอนตรงนี้แหละ”

“คุณมานอนกรนตรงนี้เนี่ยนะ มาเถอะ”

“บอกว่าจะนอนยังไงเล่า ไม่ได้ยินเหรอ”

ขาดคำ หญิงสาวก็นอนกอดแขนของเขา ไม่ว่าชายหนุ่มจะพยายามแกะมือของเธอออกอย่างไร เธอก็ไม่ยอมปล่อย แถมยังนอนยิ้มราวกับได้นอนกอดหมอนข้าง จนคชินทร์หงุดหงิด ให้ตายเถอะ นี่เธอคิดว่าตัวเองนอนกอดอะไรอยู่นะ ถึงได้เกาะแน่นขนาดนี้

“กอหญ้า ปล่อยแขนผมสักทีสิ”

“แขนคุณนิ่มจัง”

ชายหนุ่มขมวดคิ้วมุ่น ไหนบอกว่าไม่เคยเจอผู้ชายคนที่ถูกใจยังไงล่ะ แล้วนี่อะไรมานอนละเมอถึงกันขนาดนี้

คชินทร์ถอนหายใจยาว ตัดสินใจคว้าแขนของเธอพร้อมกับจะออกแรงดึง แต่ว่าช้ากว่า เพราะรสกรได้กอดแขน และดึงเขาเข้าไปกอดแน่น จนเขาล้มลงไปบนโซฟาโดยมีเธอนอนเบียดซุกอยู่ด้านบน หน้าอกนุ่มเบียดชิดกับแผ่นอกหนา ชายหนุ่มถึงกับขมวดคิ้วเข้มด้วยความ

ให้ตายสิ นี่เธอคิดจะนอนกอดเขาอย่างนี้ไปถึงเช้าเลยหรือไง

คชินทร์คว้าแขนทั้งสองข้างของหญิงสาวเพื่อจะดันเธอออกไปจากตัวเขา แต่แล้วเมื่อเห็นแพขนตาหนาบนดวงหน้าเนียนที่กำลังพริ้มหลับ เขาก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไมตัวเองถึงปล่อยมือลงช้าๆ

“คุณกอหญ้า” ชายหนุ่มกระซิบแผ่ว “คุณหลับอยู่จริงๆหรือนี่”

เสียงลมหายใจผะแผ่วจากหญิงสาว เป็นสัญญาณว่าเธอกำลังหลับสนิท

“เฮ้อ...ให้ตายสิ อยากจะอยู่อย่างนี้ไปถึงตอนเช้าก็ช่างปะไร” เขาถอนหายใจยาว

คชินทร์ชำเลืองมองมายังเธอพลางเลื่อนมือขึ้นช้าๆ จังหวะหนึ่งเขาเกือบจะวางมันลงข้างกาย แต่เส้นผมหนาละมุนที่คลอเคลียอยู่บนใบหน้าของเธอ ทำให้ชินอดที่จะลูบเส้นผมหลังศีรษะของเธอไม่ได้ มันเนียนนุ่มละเอียดราวกับเส้นไหม แพขนตาหนาของเธอรับกับจมูกโด่งและเรียวปากอิ่มสวยบนใบหน้า

หมอหนุ่มซ่อนรอยยิ้มน้อยๆ เขาโอบกอดร่างบางในอ้อมแขน เธอขยับตัวเล็กน้อยด้วยความอึดอัด แต่ก็หยุดเคลื่อนไหวลงในที่สุด ชายหนุ่มกอดเธอแน่นขึ้นด้วยสัมผัสอบอุ่นและอ่อนโยนมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อที่เธอจะได้นอนอุ่นสบาย หลับฝันดีบนอ้อมกอดของเขา....

แน่นอนว่า วันพรุ่งนี้เขาจะต้องปลุกเธอ

แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่า ไม่อยากให้พรุ่งนี้มาถึงเลยจริงๆ

**********************







เบลินญา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 24 ม.ค. 2557, 12:48:49 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 24 ม.ค. 2557, 12:48:49 น.

จำนวนการเข้าชม : 1295





<< ตอนที่ ๔ เหตุผลของการแต่งงาน   ตอนที่ ๖ ความจริง >>
เบลินญา 24 ม.ค. 2557, 12:56:52 น.
Zephyr >>> นางเอกเรื่องนี้ทุ่มสุดตัวเลยค่ะ ประมาณว่าถือเป็นงานทีท้าทาย ส่วนเหตุผลในการเสาะหาความจริง จะใช้วิธีอะไรก็ต้องติดตามอ่านบทนี้ดูค่ะ


Zephyr 24 ม.ค. 2557, 16:21:02 น.
นางช่างหาเรื่องเดือดร้อน จริงๆนะ
ซวยแน่พรุ่งนี้ ถ้าตื่นไม่ทันพ่อกะแม่อ่ะนะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account