แผนลับ นักสืบ
กอหญ้าเพิ่งมาทำงานเป็นนักข่าวได้แค่ไม่ถึงหกเดือน เธอต้องการทำข่าวนายอิทธิกรติดผู้หญิงกับมั่วยาบ่อย ๆ เธอไม่ยอมแพ้ ไปแอบอยู่ข้างบ้านนายอิทธิกรแล้วปีนต้นไม้บ้านข้าง ๆ แต่หมอหนุ่มเห็นเข้าเขาจะเรียกตำรวจ แต่เธอร้องห้ามไป ๆ มา ๆ เลยขอแอบเข้าไปในบ้านหมอหนุ่มเสียเลย
Tags: ึความรัก,นักข่าว,คุณหมอ,ดารา
ตอน: ตอนที่ ๖ ความจริง
ความจริง
แสงแดดอ่อนๆที่ลอดเข้ามาทางหน้าต่างตอนเช้ากับเสียงกระจิบกระจาบของนก พลันทำให้เธอค่อยๆงัวเงียขึ้นมา เธอบิดกายด้วยความเมื่อยขบ และเมื่อสัมผัสถูกอะไรบางอย่างข้างลำตัวเธอ ก็ทำให้หญิงสาวลืมตาขึ้นมองอย่างงงๆ ทำให้เธอมองเห็นใบหน้าหล่อเหลาของคชินทร์ที่กำลังหลับสนิทอยู่บนเก้าอี้โซฟาตัวเดียวกับเธอ ที่น่าตกใจคือเธอนอนทับเขาอยู่ แถมยังโอบกอดอกกว้างของเขาไว้แน่นอีกด้วย
“คุณ...นี่คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” เธออ้าปากค้าง
ชายหนุ่มขยับตัวไปมา ก่อนที่เขาจะลืมตามองเธอ
“ตื่นแล้วหรือ ลงไปสักทีสิ”
“นะ...นี่ ฉันนอนอยู่บนตัวของคุณทั้งคืนเลยเหรอ”
“ก็ใช่น่ะสิ จะบอกอะไรให้นะว่า ตัวคุณน่ะหนักจะตาย”
“อีตาบ้า นี่ๆ” เธอลุกขึ้นนั่งซัดกำปั้นเข้าที่ลำตัวของเขา “นี่หาว่าฉันอ้วนเหรอ”
“โอ้ย เจ็บนะ ทำอะไรของคุณน่ะ”
“คุณนั่นแหละ มาทำอะไรตรงนี้ห้องคุณอยู่ข้างบนไม่ใช่เหรอ” เธอต่อว่าแก้มแดงจัด “แล้วจู่ๆมานอนอยู่ตรงนี้ได้ยังไงกันล่ะ”
“ผมมากกว่าควรจะถามคุณ เมื่อคืนถ้าไม่ใช่เพราะคุณดึงตัวผมเข้าไปกอดไว้ ป่านนี้ผมคงจะหลับสบายไปแล้ว ไม่ต้องมานอนให้คุณนอนกอดอยู่อย่างนี้หรอก” คชินทร์ทำเสียงหงุดหงิดในลำคอ
“อะไรนะ นี่ฉันกอดคุณงั้นเหรอ”
“นี่คุณคงไม่บอกว่าผมฉวยโอกาสกอดคุณหรอกจริงไหม” เขาเอ่ยอย่างรู้เท่าทัน
“แล้วทำไมคุณไม่ปลุกฉันล่ะ” เธอตะโกนลั่น เสียงตะโกนของเธอทำให้พ่อและแม่ของเธอเปิดประตูออกมาดู รสกรรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้โซฟาไปอยู่ห่างๆเขาทันที ในขณะที่ชายหนุ่มก็ขยับตัวลุกขึ้นบิดแขนอย่างเมื่อยขบ พลางถอนหายใจยาว
“เสียดายนะ คุณน่าจะตื่นช้ากว่านี้สักหน่อย” เขายิ้มบางๆ
“เงียบเถอะ”
รสกรกระซิบแผ่ว พยายามทำให้เสียงเบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม่ของเธอเดินเข้ามาหาเธอพลางยื่นมือจับไหล่มนพร้อมกับถามด้วยความเป็นห่วง
“เป็นอะไรหรือเปล่า แม่เห็นลูกส่งเสียงร้องดัง เลยตกใจรีบออกมาดู”
“เปล่าค่ะ ไม่มีอะไรหรอก ว่าแต่พ่อกับแม่ตื่นกันเร็วจังเลยนะคะ” หญิงสาวรีบเปลี่ยนเรื่อง
“ไม่ตื่นได้ยังไงล่ะ แกร้องเสียงดังเสียลั่นบ้าน ใครจะมัวหลับอยู่ได้” เสียงห้าวของพ่อเอ่ยอย่างหงุดหงิด สายตาเหลือบมองไปยังคชินทร์ที่เพิ่งจะตื่นใหม่ “คุณเพิ่งออกมาจากห้องตอนกอหญ้าตื่นด้วยเหมือนกันเหรอ”
“ครับ สงสัยว่านอนแปลกที่ กอหญ้าก็เลยละเมอลั่นบ้านไปหมด” ชายหนุ่มยิ้มน้อยๆ
“เอ่อ...ว่าแต่พ่อกับแม่อยากกินอะไรคะ เมื่อวานนี้หนูเตรียมอาหารไว้เยอะแยะเลย หนูรู้นะว่าพ่อกับแม่ชอบกินแกงป่า เดี๋ยวหนูรีบไปทำให้กินนะคะ”
“ก็ดีเหมือนกัน นานๆที กินฝีมือหนูบ้างก็ดี”
“ค่ะพ่อ” รสกรยิ้มหวานอย่างเอาใจ “เอ๊ะ...นั่นเสียงอะไรคะ”
ดนตรีเบาๆจากโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าเสื้อพ่อดังขึ้น พ่อชำเลืองมองก่อนหยิบขึ้นมาดูเบอร์ แล้วก็กดรับพลางเอ่ยเบาๆว่า
“มีอะไร พ่อกับแม่มาเยี่ยมกอหญ้าที่กรุงเทพฯ”
“น้องเหรอคะแม่” หญิงสาวแอบถามมารดาที่ยืนยิ้มบางๆในหน้า
“ใช่ เห็นว่าช่วงนี้ขยันอ่านหนังสือเพื่อสอบเข้า ดูเขาพูดถึงพี่สาวมากเลย โตขึ้นคงจะเรียนนิเทศฯอย่างกอหญ้าแน่ ๆ” เธอยิ้มแย้ม
“อะไรนะ ไอ้ลูกชั่วนี่ ไปคบเพื่อนคนไหนฉันไม่เคยว่า แต่บอกแล้วว่าอย่าไปคบกับเจ้าลูกชายข้างบ้าน มันน่านักแล้วมันว่ายังไงบ้าง”
เสียงตวาดของพ่อทำให้รสกรสะดุ้งโหยง ส่วนมารดาได้แต่ส่ายหน้าเบาๆ
“เอาอีกแล้วเหรอ”
“เรื่องอะไรคะแม่” เธอถามเสียงเร็วปรื๋อ
“ก็เรื่องคนข้างบ้านที่ไม่ถูกกับพ่อของเรานั่นละ วรยศน้องชายของเราน่ะลูกชายดันไปสนิทกับลูกชายบ้านโน้นเลยชวนกันไปเที่ยวที่บ้านเขาอยู่บ่อยๆ ลุงข้างบ้านก็อ้างว่าน้องชายเราพาลูกชายเขาเสีย การบ้านอะไรก็ไม่ยอมทำ คงจะเกิดเรื่องอีกแล้วมั้ง”
“ตาโอ๋ที่อยู่ม.ปลายน่ะเหรอคะ แล้วมันจริงหรือเปล่า” เธอขมวดคิ้ว
“จริงอะไรล่ะ เรื่องทั้งหมดเป็นเพราะผู้ใหญ่นี่แหละ ที่ทำให้กลายเป็นเรื่องใหญ่”
“เจ้าบ้า นี่มันถึงกับจะพาตำรวจมาจับแกเลยหรือ หน็อยมันจะมากไปแล้ว รู้จักฉันน้อยไป เดี๋ยวเถอะ รอให้ฉันกลับไปก่อน ฉันจะเอาไม้ตะพดนี่ไปฟาดหัวมัน คอยดูสิ” เสียงตวาดของพ่อลั่นบ้าน จนรสกรถึงกับสะดุ้งโหยง
“เกิดอะไรขึ้นคะพ่อ”
“ก็ไอ้เฒ่าข้างบ้านน่ะสิ มันหาว่าวรยศลูกชายฉันพาลูกชายเขาเที่ยวเตร่ งานการไม่ทำ แถมยังพาตำรวจมาจับเขาอีก หน็อยๆ มันจะมากไปแล้ว เห็นฉันไม่อยู่บ้านเข้าหน่อยทำเป็นจะพาตำรวจมาค้นบ้านหรือ ไปกันคุณ ฉันจะไปฉะกับมัน ไอ้เฒ่าหัวโล้น”
“ใจเย็นๆ หน่อยสิคะคุณ”
“ไม่เย็นแล้ว ฉันจะไปฆ่ามัน”
“พ่อใจเย็นๆก่อนสิคะ เขาอาจจะแกล้งพ่อก็ได้” รสกรร้อง เห็นๆอยู่ว่าเป็นเรื่องของผู้ใหญ่สองคนที่ไม่ถูกกันจึงไม่พอใจที่ลูกชายของตัวเองสนิทกัน ก็เลยจะหาเรื่องทะเลาะกัน
“อ๋อ มันแน่ละ ไอ้โล้นนั่นมันหาเรื่องฉันอยู่แล้ว”
ท่ามกลางเสียงดังเอะอะโวยวาย ในที่สุดรสกรก็อดทนต่อไปไม่ไหว
“หยุดนะคะพ่อ” เธอร้องเสียงดัง ซึ่งก็ได้ผล เพราะทุกคนต่างหยุดชะงัก
“พ่อกับแม่ก็ว่าจะอยู่สักอาทิตย์หนึ่ง เห็นทีคงจะอยู่ได้ไม่นาน” พ่อไว้หนวดของเธอทำเสียงขุ่น “แต่ที่บ้านเกิดเรื่องแบบนี้ เห็นทีคงต้องกลับก่อน คราวหน้าค่อยมาเยี่ยมใหม่ก็แล้วกัน”
“ว่ายังไงนะคะ” เธออ้าปากค้าง จนมารดาอดหัวเราะคิกไม่ได้
“เอาเถอะจ้ะ ขืนปล่อยให้พ่ออยู่อย่างนี้ คงอกแตกตายเสียก่อน ไว้คราวหน้าจะมาอยู่ให้นานกว่านี้หน่อย”
“โธ่ แม่คะ” รสกรอดเสียดายไม่ได้ “อุตส่าห์ได้มาทั้งที แต่กลับเกิดเรื่องขึ้นจนได้”
“เอาละ เห็นทีเราคงต้องรีบเก็บของกันแล้ว จะได้ทันรถทัวร์ตอนเช้า” พ่อของเธอหันไปมองมารดา
“ดีค่ะ แต่ก่อนไปเรามากินแกงป่าฝีมือยายกอหญ้ากันดีกว่า นานๆมาที กินอาหารฝีมือลูกบ้างก็ดีนะคะ”
“จริงด้วยค่ะพ่อ หนูจะทำอาหารรสชาติอร่อยที่สุด ให้แม่กับพ่อทาน รับรองว่าจะต้องชอบแน่ๆ” รสกรยิ้มหวานอย่างเอาใจ “นะคะ”
หลังจากที่ตกลงกันได้เธอก็เข้าไปในครัวโดยมีคชินทร์เดินตามเข้าไปด้วย เธอใส่นำพริกแกงไปผัดกับน้ำมันเล็กน้อยแล้วค่อยๆเติมน้ำผัดจนพริกแกงจนกระทั่งหอม จากนั้นก็ใส่เนื้อลงไปผัดเทน้ำเปล่าใส่ลงไปในกะทะ ใส่มะเขือและผักที่ชอบลงไป จากนั้นก็ปรุงรสด้วยน้ำปลาตามแบบที่ชอบ
หลังจากที่ทำอาหารเสร็จ ทั้งหมดก็กินข้าวด้วยกันอย่างมีความสุข แม้จะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ แต่รสกรกลับรู้สึกได้ถึงไออุ่นของครอบครัว เธอลอบชำเลืองมองคชินทร์ที่นั่งอยู่ริมโต๊ะด้านขวามือ แล้วเขาก็มองกลับมาพร้อมกับรอยยิ้มน้อยๆ และนั่นเป็นครั้งแรกที่เธอยิ้มให้กับเขา เป็นยิ้มขอบคุณที่เขาอุตส่าห์อยู่เป็นเพื่อนเธอจนกว่าพ่อและแม่จะกลับ
เธอเดินไปส่งเขาที่หน้าประตูบ้าน พ่อของเธอโบกรถแท็กซี่มาจอดไว้ พ่อของเธอโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้กับคชินทร์แล้วเอ่ยเป็นเชิงข่มขู่ว่า
“ห้ามเธอทำอะไรลูกสาวฉันเด็ดขาด”
“พ่อคะ” รสกรร้องขึ้น
“มันก็ต้องพูดเผื่อไว้บ้างสิ”
“ครับ ผมจะดูแลกอหญ้าให้ดีที่สุด” คชินทร์เอ่ยเบาๆ
“ดีมาก มันต้องแบบนี้สิ”
พ่ออำนาจของเธอหัวเราะหึๆ รสกรได้แต่เม้มปากแน่นพลางชำเลืองมองไปทางคชินทร์บ่อยๆ เมื่อทั้งพ่อและแม่ของรสกรขึ้นรถแท็กซี่แล้วก็โบกมือลา รสกรและคชินทร์โบกมือให้ทั้งสองจนรถแท็กซี่แล่นออกไปจนลับตา
รสกรถอนหายใจยาว อย่างน้อยเธอก็โล่งใจไปเปราะหนึ่ง หญิงสาวชำเลืองมองไปที่คชินทร์ แล้วก็เห็นริมฝีปากของเขาเหยียดยิ้มเล็กน้อยพลางเอ่ยอย่างขำๆว่า
“เสียดายนะ พ่อของคุณน่าจะอยู่สักอาทิตย์หนึ่ง”
“นั่นน่ะสิ” เธอพูดหน้าตาเฉย “ดีนะ ที่เมื่อเช้าฉันตื่นก่อนที่พ่อกับแม่จะเปิดประตูออกมาพอดี”
“น่าเสียดายแย่” เขาพูด ทำให้รสกรหันมามองทันที
“นี่ เดี๋ยวเหอะ”
“แต่ผมว่าคนที่โดนหนักกว่าผม น่าจะเป็นคุณมากกว่านะ” คชินทร์เหยียดยิ้ม “จริงไหม”
หญิงสาวทำหน้าเง้าหนัก ใช่สิ คนที่จะโดนหนักกว่า ก็คือเธอที่เป็นคนปั้นเรื่องโกหกนั่นเอง
“มันช่วยไม่ได้นี่” เธอบ่นเบาๆ “ขืนบอกความจริงไป มีหวังโดนหนักกว่าเดิมแน่”
“ผมว่าปล่อยให้แกเข้าใจแบบนี้ไปก่อน มันก็ยังดีกว่าการที่ต้องรู้ว่าลูกสาวมานอนค้างบ้านผู้ชายสองต่อสอง ใครรู้เข้าก็คงไม่คิดในแง่ดีแน่ ๆ ถึงแม้ในความจริงแล้ว เราสองคนจะไม่เกี่ยวข้องอะไรกันเลยก็ตาม”
ไม่เกี่ยวข้องอะไรกันเลยเหรอ !?
คชินทร์คงจะพูดคำนี้ โดยไม่รู้สึกอะไรกับเธอเลยสินะ...
“คงอย่างนั้นแหละ” หญิงสาวบอกเบาๆ ก่อนหันหลังกลับเข้าไปบ้าน โดยไม่หันกลับไปมองคชินทร์อีกเลย...
ตอนบ่ายเธอไม่มีอะไรทำ รสกรจึงมาอ่านหนังสือกับชิน เพราะอะไรเธอต้องมานั่งอ่านพวกตำรับตำราแบบนี้ด้วยทั้งๆที่เธอก็เรียนจบแล้ว ไอ้วิชาการแพทย์พวกนี้ก็ไม่เห็นจะเกี่ยวกับเธอตรงไหนเลย มิหนำซ้ำ เขาก็มัวแต่นั่งนิ่งเปิดหนังสือ ส่วนเธอได้แต่ก้มหน้าก้มตาอ่านอะไรไปก็ไม่รู้เรื่องเลยบ้านเช่าของคชินทร์ทำไมถึงไม่มีพวกนิตยสารประเภทผู้หญิง ๆ อยู่บ้างเลยก็ไม่รู้ เธอลอบมองดวงตาสีน้ำตาล จมูกโด่งเรียวปากเป็นสัน เส้นผมที่พลิ้วสะบัดกับแว่นตาที่สวมเสื้อเชิ้ตสีเทาหม่นกับกางเกงยีน ดูๆไปแล้วชินก็หล่อเหมือนกันนะ
“ให้มานั่งอ่านหนังสือ ดันมามองหน้าผมซะได้”
หญิงสาวสะดุ้งโหยง
“ก็...มันเบื่อนี่นา”
“นี่คุณ ไอ้วิชาการแพทย์นี่ มันมีประโยชน์นะที่ผมให้คุณอ่าน ก็เพื่อจะได้รู้ว่าอาการอย่างนี้ผิดสำแดงอย่างนี้จะแก้ไขอย่างไรถึงจะถูก”
“พูดเหมือนอาการลงแดงเหล้าเลย” เธอบ่น
“ที่ผมพูดถึงคืออาการโรคไม่ถูกกับยา”
“มีด้วยเหรอ โรคไม่ถูกกับยา”
“มีสิ”
“เป็นยังไงเหรอ เล่าให้ฟังบ้างสิ”
“ไม่ดีกว่า ผมจะอ่านหนังสือ”
“อะไรกัน คุณนี่มันยวนจริงๆเลย”
รสกรนั่งเท้าคาง มองดูเจ้าของใบหน้าคมคายที่นั่งอ่านหนังสือ ดูเขาเป็นพวกจริงจังกับทุกเรื่อง ปากร้าย ผิดกับใจที่ดูอบอุ่นอ่อนโยน เธอรู้ดี...เขามักจะบอกว่าเธอเป็นตัวยุ่ง ดื้อรั้น แต่เขาก็คอยช่วยในเวลาเธอต้องการความช่วยเหลือเสมอ สายตาของเธอเลื่อนต่ำมาบริเวณคอ เรื่อยไปถึงบริเวณอกและช่วงไหล่กว้าง ดูไหล่เขาก็กว้างเหมือนกันนะ
นักข่าวสาวร้องโอดโอยขึ้นมาหลังจากที่เขาหยิบปากกามาโขกหัวเธอ
“โอ้ย มันเจ็บนะ”
“ผมให้คุณมาอ่านหนังสือเป็นเพื่อน แต่คุณกลับเอาแต่จ้องมองอะไรอยู่”
หญิงสาวแก้มร้อนจัดไปถึงใบหู
“มองอะไรล่ะ ฉันเปล่านะ”
“หน้าของผม มันมีตัวหนังสือลอยอยู่หรือยังไงกัน”
“บ้าน่ะสิ ใครจะไปมองคุณกัน”
“ถ้างั้นสายตาของผมก็คงจะมีปัญหา แย่จังเลยเพิ่งตัดแว่นมาใหม่ซะด้วย” คชินทร์ถอนหายใจยาว มือของเขาจับแว่นถอดออกมา และทำให้เธอมองเห็นนัยน์ตาของเขามากยิ่งขึ้น มันเป็นสีน้ำตาล...ลุ่มลึก
...และสวยมาก
“คุณสายตาสั้นเหรอ” เธอเอ่ยถาม
“ใช่ มันมองไม่ค่อยชัด”
“ไม่ชัดยังไง” เธอถามเพราะไม่ค่อยรู้ว่าเวลาที่คนสายตาสั้นเขาต้องดูใกล้ๆ ยังไงถึงจะมองเห็น ชายหนุ่มชำเลืองมองเธอและเหยียดยิ้ม
“คุณถามคนสายตาสั้นว่า มองยังไงถึงจะชัดงั้นหรือ”
“ใช่” เธอเอ่ยตามตรง “เพราะฉันไม่เคยสายตาสั้นนี่นา เขาบอกว่าคนสายตาสั้นต้องมองดูใกล้ๆถึงจะมองเห็นใช่หรือเปล่า”
ถามจบเธอก็ต้องสะดุ้งด้วยความตกใจ แก้มเปลี่ยนเป็นสีแดงจัด เพราะคชินทร์โน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ ใกล้มาก...จนปลายจมูกโด่งของเขาอยู่ห่างจากเธอเพียงปลายนิ้วสัมผัส ดวงตาของเขาก็มีแววอบอุ่นและอ่อนโยน จนทำให้หัวใจของรสกรเต้นตึกตัก เรียวปากของเขาก็อยู่ห่างจากเธอไม่ถึงคืบ
นี่ถ้าเขาตั้งใจจะจูบเธอล่ะก็...เธอคงจะหนีไม่พ้นแน่ๆเลย...
“ต้องอยู่ห่างประมาณนี้ ผมถึงจะมองเห็นหน้าคุณได้”
“อะไรนะ”
“เรื่องจริง เพราะฉะนั้นผมถึงต้องใส่แว่นไง” เขาถอนหายใจยาว โน้มตัวกลับไปหยิบแว่นขึ้นมาสวม
“เหรอ...เพิ่งรู้นะเนี่ย” เธอเอ่ยทั้งๆที่หัวใจยังเต้นแรง
จะว่าไปแล้ว...น้องชายของเธอก็สายตามีปัญหาจนต้องสวมแว่นเหมือนกันนี่นะ
เมื่อคิดถึงความบาดหมางระหว่างพ่อของเธอกับคนข้างบ้านแล้ว ป่านนี้น้องชายของเธอกับเพื่อนสนิทไม่รู้จะเป็นอย่างไรบ้าง ความสัมพันธ์ระหว่างเด็ก ผู้ใหญ่อย่างพวกพ่อของเธอกับลุงข้างบ้านไม่น่าจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยเลย
คชินทร์สังเกตเห็นสีหน้าที่หมองลงของเธอ จึงเอ่ยถามออกมาว่า
“เป็นอะไร เมื่อกี้ยังเห็นหัวเราะอยู่เลย”
“ฉันเป็นห่วงน้องน่ะ”
ชายหนุ่มถอนหายใจยาว
“เขาก็โตแล้วไม่ใช่หรือ เรื่องแค่นี้เขาน่าจะจัดการเองได้ เราไม่ต้องเข้าไปยุ่งอะไรด้วยมากนักหรอก”
“เพิ่งจะอยู่ม.ปลายเนี่ยนะ จะคิดอะไรเป็น”
“ก็ถือว่าเป็นผู้ใหญ่พอที่จะคิดอะไรได้นั่นแหละ...หรือคุณคิดว่าพ่อของคุณเข้าไปช่วยแล้วมันจะดีเหรอ”
“เอ่อ...เรื่องนั้น”
“บางครั้งเด็กน่ะ ต้องปล่อยให้เขามีเวลาส่วนตัวบ้าง จะคบกับใครถ้าไม่ได้เลวร้าย ผู้ใหญ่อย่างเราก็ไม่เห็นต้องห่วงอะไร จริงไหม”
“มันก็จริง แต่ว่าพ่อจะรู้เรื่องนี้หรือเปล่า”
“ไม่ต้องห่วงไปหรอก น้องของคุณแก้ปัญหาเองได้”
“ขอบคุณมากนะ ดูคุณอย่างกับมีน้องชายอีกคน”
“ผมเป็นลูกชายคนเดียว”
“แล้วพูดอย่างกับตัวเองมีน้องชายงั้นแหละ” เธอทำปากย่น แต่คชินทร์ไม่ใส่ใจ เขายังคงจดอะไรลงไปในสมุด เธอชะโงกมองดูเขาแล้วก็เอื้อมมือไปดึงสมุดจดเขาออกมา เป็นการเอาคืนโทษฐานที่คชินทร์ไม่สนใจเธอเลย แบบนี้แหละ มันต้องแกล้งซะให้เข็ด
“เอาคืนมานะ” เขาขมวดคิ้ว
“เรื่องอะไร ไหนเขียนอะไรน่ะ...ตัวเลขเยอะแยะเลย”
“เอามานี่”
“ไม่ให้” เธอร้องเสียงดัง พลางจะเอามือไปไว้ด้านหลัง แต่เขาก็คว้าไปได้ก่อนเพราะตัวสูง เธอเม้มปากตั้งท่าจะแย่งคืน ชายหนุ่มก็แอ่นตัวหลบ เธอจึงโน้มตัวลงไปด้านหน้าเพื่อแย่งสมุดกลับมา จนสะดุดล้มลงไปหน้าอกเบียดกับแผ่นอกเขา ใบหน้าของเธออยู่ห่างจากเขาเพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัส จนปลายจมูกแทบชนกัน
“คุณนี่ถ้าแต่งงานแล้ว คงจะชอบกดขี่สามีนะนี่”
“คนบ้า คนผีทะเล”
รสกรทำท่าจะดันตัวลุกขึ้นนั่ง แต่วงแขนเขากอดรัดเอวบางไว้แน่น จนเธอลุกไม่ขึ้น หญิงสาวขมวดคิ้ว หัวใจเต้นระรัว เพียงปลายนิ้วสัมผัส ดวงตาของเขาก็มองทะลุไปถึงไหนต่อไหน ไม่รวมเรียวปากที่หยัดยิ้มนั่นด้วย
“รู้ตัวบ้างไหม ว่าคุณเป็นผู้หญิงที่ร้ายเอาเรื่องทีเดียว”
“ทำไมล่ะ”
“ก็...คุณนั่งอยู่กับผมสองต่อสอง แล้วชวนเล่นอะไรแนบเนื้อแบบนี้จะให้ผมคิดว่ายังไงล่ะ”
“แนบเนื้ออะไร มันเป็นอุบัติเหตุต่างหาก นี่ปล่อยนะ ไม่อย่างนั้นฉันจะร้องโวยวายจริงๆด้วย”
“เฮ้อ...ก็ได้ ปล่อยก็ปล่อย” พูดจบคชินทร์ก็ปล่อยมือจากเอวบาง จนรสกรยันกายลุกขึ้นแทบไม่ทัน เวลานี้แก้มของเธอแดงปลั่ง จะว่าโกรธก็ไม่ใช่ จะว่าอายก็ไม่เชิง
“พอแล้ว ฉันจะกลับเข้าห้องแล้ว”
“เชิญเลย”
หญิงสาวบ่นพึมพำพลางเดินขึ้นบันไดไปยังห้องของตัวเอง พอเปิดประตูแล้วก็หันมามองเขา พลางคิดว่า
คนอะไรชอบหลอกให้เธอใจเต้นแรงอยู่เรื่อย
เขายิ้มบางๆ ให้เธอ ร่างสูงนั่งชันเข่าข้างหนึ่งมือขวาโบกให้เธอนิดๆ คิดแล้วมันน่าเจ็บใจนัก เธอปิดประตูตามหลังเสียงดังสนั่น
รสกรแอบซุ่มอยู่ที่หน้าต่างเพื่อรอคอยเวลาที่อิทธิกรกลับบ้าน...
คืนนี้เธอนั่งอยู่บนเตียงของเขา ส่วนคชินทร์ลงไปอ่านหนังสืออยู่ที่ห้องด้านล่าง เขาจะคอยจนกว่าเธอจะเสร็จ แล้วค่อยขึ้นมาอาบน้ำและเข้านอนทีหลัง รสกรมองความมืดรอบกายอย่างโดดเดี่ยว บางครั้งการไม่มีเขาอยู่ภายในห้อง มันก็ทำให้เธอรู้สึกโดดเดี่ยวอย่างบอกไม่ถูก
“เขาจะอ่านหนังสืออยู่ที่ไหน ก็ไม่ใช่เรื่องของเราซะหน่อย” เธอพึมพำ
หญิงสาวส่ายหน้าไล่เรื่องไร้สาระออกไปจากสมอง
จะว่าไป...หมู่นี้เขาก็ดูเหินห่างกับเธออย่างไรพิกล ดูเหมือนจะหลบเลี่ยงที่อยู่กับเธอตามลำพัง หรือว่าเขาอาจจะเบื่อ หรือรำคาญเธอแล้วก็ได้
“ไม่เห็นเขาจะบ่นเรื่องอะไรเลย” เธอเอ่ยเสียงแผ่ว
ขณะที่เธอกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่นั้น จู่ๆก็มีรถมาจอดที่หน้าประตูบ้านของนายอิทธิกร เธอชะโงกหน้าไปดูจนชิดบานหน้าต่างทันที จากนั้นก็เห็นนายอิทธิกรเดินลงมาจากรถยนต์แล้วเหลียวมองไปรอบตัวคล้ายกับว่าไม่ไว้ใจในบางสิ่ง โดยถือซองเอกสารสีน้ำตาลมาด้วย
“นั่นเขาถือซองอะไรมาน่ะ”
เธอมองเห็นเขาหยิบซองสีน้ำตาลมาด้วย แล้วเข้าไปในบ้านอย่างรวดเร็ว
หญิงสาวพยายามมองตามเขาไป ชายหนุ่มดูระมัดระวังเป็นอย่างมากเดินเข้าไปในบ้าน หลังจากนั้นเธอก็เห็นเขาเดินมาปิดหน้าต่าง แล้วรสกรก็มองไม่เห็นความเคลื่อนไหวใดๆอีก
เธอเม้มปากแน่น ไม่มีประโยชน์อะไรเลยที่เธอจะต้องมานั่งคอยแอบถ่าย ทั้งๆที่มองไม่เห็นหลักฐานหรือได้ข้อมูลอะไรเลย
จริงอยู่...ว่าการเข้าไปยุ่งเรื่องส่วนตัวของดาราหนุ่มอาจจะเป็นเรื่องไม่ดีนัก
แต่ถ้าสิ่งที่เขาพยายามแอบซ่อนไว้เป็นสิ่งผิดกฎหมายล่ะก็ หน้าที่ของนักข่าวอย่างเธอก็คือการตีแผ่ความเลวร้ายให้สังคมรับรู้เช่นกัน
“ซองสีน้ำตาลนั่น จะต้องมีอะไรบางอย่างแน่ๆ” เธอกระซิบบอกตัวเอง
เธอทำอะไรตอนนี้ไม่ได้...อย่างเดียวที่ทำได้คือรอให้นายอิทธกรออกจากบ้านในตอนเช้าเสียก่อน...
และเธอก็คอยอยู่จนเช้า แสงแดดสาดส่องเข้ามาในบ้านอันเป็นช่วงเวลาเช้าที่อิทธิกรต้องออกไปทำงาน เธอคอยเวลาที่เขาขับรถยนต์ออกไปจากบ้าน และเมื่อนายอิทธิกรออกไปแล้ว เธอก็เริ่มแผนการของเธอทันที
หญิงสาวรอให้คชินทร์ออกไปสอนพิเศษที่มหาลัยฯ แล้วเธอก็จะแอบลอบเข้าไปในบ้านของนายอิทธิกรทันที
บนโต๊ะอาหาร รสกรชำเลืองมองชายหนุ่มที่นั่งจิบกาแฟและอ่านหนังสือพิมพ์ไปด้วย
เขาเปิดหนังสือพิมพ์พลางมองอีกฝ่าย “มีอะไรหรือ”
“เปล่าค่ะ” เธอปฏิเสธอย่างรวดเร็ว “แค่กำลังคิดว่า คุณจะออกไปทำงานพิเศษข้างนอกหรือเปล่า”
“วันนี้ไม่มีสอนหรอก ผมลาหยุดน่ะ” เขาตอบเสียงเรียบ
“ลาหยุด?” หญิงสาวทวนคำเสียงสูงเพราะผิดคาด “ทำไมล่ะ”
“อยากหยุดก็หยุด งานที่ผมทำก็เรียบร้อยแล้วด้วย ทำไมรึ...คุณถามทำไม”
“เปล่า ก็แค่อยากรู้ว่า วันนี้คุณจะออกไปไหนหรือเปล่า” เธอก้มหน้าก้มตาดื่มกาแฟ พยายามทำเป็นไม่สนใจเขา หมอหนุ่มหรี่ตามองเธออย่างสงสัย
“จะว่าไป...ก็มีเหมือนกัน ผมว่าจะออกไปซื้อของใช้ส่วนตัวแล้วก็เดินเล่นที่ข้างนอกหน่อย”
“งั้นเหรอคะ งั้นก็ดีเลย...เอ้ย ไม่ใช่สิ หวังว่าคุณจะเที่ยวให้สนุกนะคะ”
“เที่ยวให้สนุก หรือไปนานๆแล้วค่อยกลับกันแน่”
“เอ่อ...เปล่านะ ก็แค่อยากให้คุณออกไปเที่ยวข้างนอกบ้าง อยู่ในแต่บ้านทนอุดอู้อ่านหนังสือตลอดทั้งวันอย่างนี้ มีหวังคงเบื่อกันพอดี” เธอรีบเปลี่ยนเรื่อง และกลบเกลื่อนด้วยรอยยิ้ม “ไปเที่ยวให้สนุกนะคะ”
“ดูคุณอยากให้ผมออกไปข้างนอกเหลือเกินนะ ทำไมเหรอ...หรือคุณวางแผนการอะไรไว้”
“วางแผนอะไร เปล่าซะหน่อย ฉันแค่อยากจะพักผ่อนอยู่บ้านเท่านั้นเอง นานๆทีคุณจะไม่อยู่บ้าน ฉันจะได้พักผ่อนอ่านหนังสือตามสบายเสียที”
คชินทร์หรี่ตามองเธออย่างรู้ทัน แต่รสกรก็ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ก้มลงจิบกาแฟบนโต๊ะ ประมาณครึ่งชั่วโมงต่อมาชินจึงออกจากบ้านไป เธอตามไปส่งและโบกมือให้เขาที่หน้าบ้านด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
รอจนกระทั่งเขาลับหายไปจากสายตาแล้ว รสกรจึงค่อยๆแอบปีนต้นไม้เข้าไปในรั้วบ้านของอิทธิกร หน้าบ้านเต็มไปด้วยต้นไม้ที่เธอจะใช้ซ่อนตัวได้เป็นอย่างดี บ้านของเขาทาด้วยสีน้ำตาลอ่อนสองชั้น มีหน้าต่างชั้นสองที่ตรงกับห้องนอนของคชินทร์พอดี รสกรเม้มปากแน่น
เธอแค่อยากรู้ว่าอะไรอยู่ในซองนั้น
*****************
แสงแดดอ่อนๆที่ลอดเข้ามาทางหน้าต่างตอนเช้ากับเสียงกระจิบกระจาบของนก พลันทำให้เธอค่อยๆงัวเงียขึ้นมา เธอบิดกายด้วยความเมื่อยขบ และเมื่อสัมผัสถูกอะไรบางอย่างข้างลำตัวเธอ ก็ทำให้หญิงสาวลืมตาขึ้นมองอย่างงงๆ ทำให้เธอมองเห็นใบหน้าหล่อเหลาของคชินทร์ที่กำลังหลับสนิทอยู่บนเก้าอี้โซฟาตัวเดียวกับเธอ ที่น่าตกใจคือเธอนอนทับเขาอยู่ แถมยังโอบกอดอกกว้างของเขาไว้แน่นอีกด้วย
“คุณ...นี่คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” เธออ้าปากค้าง
ชายหนุ่มขยับตัวไปมา ก่อนที่เขาจะลืมตามองเธอ
“ตื่นแล้วหรือ ลงไปสักทีสิ”
“นะ...นี่ ฉันนอนอยู่บนตัวของคุณทั้งคืนเลยเหรอ”
“ก็ใช่น่ะสิ จะบอกอะไรให้นะว่า ตัวคุณน่ะหนักจะตาย”
“อีตาบ้า นี่ๆ” เธอลุกขึ้นนั่งซัดกำปั้นเข้าที่ลำตัวของเขา “นี่หาว่าฉันอ้วนเหรอ”
“โอ้ย เจ็บนะ ทำอะไรของคุณน่ะ”
“คุณนั่นแหละ มาทำอะไรตรงนี้ห้องคุณอยู่ข้างบนไม่ใช่เหรอ” เธอต่อว่าแก้มแดงจัด “แล้วจู่ๆมานอนอยู่ตรงนี้ได้ยังไงกันล่ะ”
“ผมมากกว่าควรจะถามคุณ เมื่อคืนถ้าไม่ใช่เพราะคุณดึงตัวผมเข้าไปกอดไว้ ป่านนี้ผมคงจะหลับสบายไปแล้ว ไม่ต้องมานอนให้คุณนอนกอดอยู่อย่างนี้หรอก” คชินทร์ทำเสียงหงุดหงิดในลำคอ
“อะไรนะ นี่ฉันกอดคุณงั้นเหรอ”
“นี่คุณคงไม่บอกว่าผมฉวยโอกาสกอดคุณหรอกจริงไหม” เขาเอ่ยอย่างรู้เท่าทัน
“แล้วทำไมคุณไม่ปลุกฉันล่ะ” เธอตะโกนลั่น เสียงตะโกนของเธอทำให้พ่อและแม่ของเธอเปิดประตูออกมาดู รสกรรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้โซฟาไปอยู่ห่างๆเขาทันที ในขณะที่ชายหนุ่มก็ขยับตัวลุกขึ้นบิดแขนอย่างเมื่อยขบ พลางถอนหายใจยาว
“เสียดายนะ คุณน่าจะตื่นช้ากว่านี้สักหน่อย” เขายิ้มบางๆ
“เงียบเถอะ”
รสกรกระซิบแผ่ว พยายามทำให้เสียงเบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม่ของเธอเดินเข้ามาหาเธอพลางยื่นมือจับไหล่มนพร้อมกับถามด้วยความเป็นห่วง
“เป็นอะไรหรือเปล่า แม่เห็นลูกส่งเสียงร้องดัง เลยตกใจรีบออกมาดู”
“เปล่าค่ะ ไม่มีอะไรหรอก ว่าแต่พ่อกับแม่ตื่นกันเร็วจังเลยนะคะ” หญิงสาวรีบเปลี่ยนเรื่อง
“ไม่ตื่นได้ยังไงล่ะ แกร้องเสียงดังเสียลั่นบ้าน ใครจะมัวหลับอยู่ได้” เสียงห้าวของพ่อเอ่ยอย่างหงุดหงิด สายตาเหลือบมองไปยังคชินทร์ที่เพิ่งจะตื่นใหม่ “คุณเพิ่งออกมาจากห้องตอนกอหญ้าตื่นด้วยเหมือนกันเหรอ”
“ครับ สงสัยว่านอนแปลกที่ กอหญ้าก็เลยละเมอลั่นบ้านไปหมด” ชายหนุ่มยิ้มน้อยๆ
“เอ่อ...ว่าแต่พ่อกับแม่อยากกินอะไรคะ เมื่อวานนี้หนูเตรียมอาหารไว้เยอะแยะเลย หนูรู้นะว่าพ่อกับแม่ชอบกินแกงป่า เดี๋ยวหนูรีบไปทำให้กินนะคะ”
“ก็ดีเหมือนกัน นานๆที กินฝีมือหนูบ้างก็ดี”
“ค่ะพ่อ” รสกรยิ้มหวานอย่างเอาใจ “เอ๊ะ...นั่นเสียงอะไรคะ”
ดนตรีเบาๆจากโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าเสื้อพ่อดังขึ้น พ่อชำเลืองมองก่อนหยิบขึ้นมาดูเบอร์ แล้วก็กดรับพลางเอ่ยเบาๆว่า
“มีอะไร พ่อกับแม่มาเยี่ยมกอหญ้าที่กรุงเทพฯ”
“น้องเหรอคะแม่” หญิงสาวแอบถามมารดาที่ยืนยิ้มบางๆในหน้า
“ใช่ เห็นว่าช่วงนี้ขยันอ่านหนังสือเพื่อสอบเข้า ดูเขาพูดถึงพี่สาวมากเลย โตขึ้นคงจะเรียนนิเทศฯอย่างกอหญ้าแน่ ๆ” เธอยิ้มแย้ม
“อะไรนะ ไอ้ลูกชั่วนี่ ไปคบเพื่อนคนไหนฉันไม่เคยว่า แต่บอกแล้วว่าอย่าไปคบกับเจ้าลูกชายข้างบ้าน มันน่านักแล้วมันว่ายังไงบ้าง”
เสียงตวาดของพ่อทำให้รสกรสะดุ้งโหยง ส่วนมารดาได้แต่ส่ายหน้าเบาๆ
“เอาอีกแล้วเหรอ”
“เรื่องอะไรคะแม่” เธอถามเสียงเร็วปรื๋อ
“ก็เรื่องคนข้างบ้านที่ไม่ถูกกับพ่อของเรานั่นละ วรยศน้องชายของเราน่ะลูกชายดันไปสนิทกับลูกชายบ้านโน้นเลยชวนกันไปเที่ยวที่บ้านเขาอยู่บ่อยๆ ลุงข้างบ้านก็อ้างว่าน้องชายเราพาลูกชายเขาเสีย การบ้านอะไรก็ไม่ยอมทำ คงจะเกิดเรื่องอีกแล้วมั้ง”
“ตาโอ๋ที่อยู่ม.ปลายน่ะเหรอคะ แล้วมันจริงหรือเปล่า” เธอขมวดคิ้ว
“จริงอะไรล่ะ เรื่องทั้งหมดเป็นเพราะผู้ใหญ่นี่แหละ ที่ทำให้กลายเป็นเรื่องใหญ่”
“เจ้าบ้า นี่มันถึงกับจะพาตำรวจมาจับแกเลยหรือ หน็อยมันจะมากไปแล้ว รู้จักฉันน้อยไป เดี๋ยวเถอะ รอให้ฉันกลับไปก่อน ฉันจะเอาไม้ตะพดนี่ไปฟาดหัวมัน คอยดูสิ” เสียงตวาดของพ่อลั่นบ้าน จนรสกรถึงกับสะดุ้งโหยง
“เกิดอะไรขึ้นคะพ่อ”
“ก็ไอ้เฒ่าข้างบ้านน่ะสิ มันหาว่าวรยศลูกชายฉันพาลูกชายเขาเที่ยวเตร่ งานการไม่ทำ แถมยังพาตำรวจมาจับเขาอีก หน็อยๆ มันจะมากไปแล้ว เห็นฉันไม่อยู่บ้านเข้าหน่อยทำเป็นจะพาตำรวจมาค้นบ้านหรือ ไปกันคุณ ฉันจะไปฉะกับมัน ไอ้เฒ่าหัวโล้น”
“ใจเย็นๆ หน่อยสิคะคุณ”
“ไม่เย็นแล้ว ฉันจะไปฆ่ามัน”
“พ่อใจเย็นๆก่อนสิคะ เขาอาจจะแกล้งพ่อก็ได้” รสกรร้อง เห็นๆอยู่ว่าเป็นเรื่องของผู้ใหญ่สองคนที่ไม่ถูกกันจึงไม่พอใจที่ลูกชายของตัวเองสนิทกัน ก็เลยจะหาเรื่องทะเลาะกัน
“อ๋อ มันแน่ละ ไอ้โล้นนั่นมันหาเรื่องฉันอยู่แล้ว”
ท่ามกลางเสียงดังเอะอะโวยวาย ในที่สุดรสกรก็อดทนต่อไปไม่ไหว
“หยุดนะคะพ่อ” เธอร้องเสียงดัง ซึ่งก็ได้ผล เพราะทุกคนต่างหยุดชะงัก
“พ่อกับแม่ก็ว่าจะอยู่สักอาทิตย์หนึ่ง เห็นทีคงจะอยู่ได้ไม่นาน” พ่อไว้หนวดของเธอทำเสียงขุ่น “แต่ที่บ้านเกิดเรื่องแบบนี้ เห็นทีคงต้องกลับก่อน คราวหน้าค่อยมาเยี่ยมใหม่ก็แล้วกัน”
“ว่ายังไงนะคะ” เธออ้าปากค้าง จนมารดาอดหัวเราะคิกไม่ได้
“เอาเถอะจ้ะ ขืนปล่อยให้พ่ออยู่อย่างนี้ คงอกแตกตายเสียก่อน ไว้คราวหน้าจะมาอยู่ให้นานกว่านี้หน่อย”
“โธ่ แม่คะ” รสกรอดเสียดายไม่ได้ “อุตส่าห์ได้มาทั้งที แต่กลับเกิดเรื่องขึ้นจนได้”
“เอาละ เห็นทีเราคงต้องรีบเก็บของกันแล้ว จะได้ทันรถทัวร์ตอนเช้า” พ่อของเธอหันไปมองมารดา
“ดีค่ะ แต่ก่อนไปเรามากินแกงป่าฝีมือยายกอหญ้ากันดีกว่า นานๆมาที กินอาหารฝีมือลูกบ้างก็ดีนะคะ”
“จริงด้วยค่ะพ่อ หนูจะทำอาหารรสชาติอร่อยที่สุด ให้แม่กับพ่อทาน รับรองว่าจะต้องชอบแน่ๆ” รสกรยิ้มหวานอย่างเอาใจ “นะคะ”
หลังจากที่ตกลงกันได้เธอก็เข้าไปในครัวโดยมีคชินทร์เดินตามเข้าไปด้วย เธอใส่นำพริกแกงไปผัดกับน้ำมันเล็กน้อยแล้วค่อยๆเติมน้ำผัดจนพริกแกงจนกระทั่งหอม จากนั้นก็ใส่เนื้อลงไปผัดเทน้ำเปล่าใส่ลงไปในกะทะ ใส่มะเขือและผักที่ชอบลงไป จากนั้นก็ปรุงรสด้วยน้ำปลาตามแบบที่ชอบ
หลังจากที่ทำอาหารเสร็จ ทั้งหมดก็กินข้าวด้วยกันอย่างมีความสุข แม้จะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ แต่รสกรกลับรู้สึกได้ถึงไออุ่นของครอบครัว เธอลอบชำเลืองมองคชินทร์ที่นั่งอยู่ริมโต๊ะด้านขวามือ แล้วเขาก็มองกลับมาพร้อมกับรอยยิ้มน้อยๆ และนั่นเป็นครั้งแรกที่เธอยิ้มให้กับเขา เป็นยิ้มขอบคุณที่เขาอุตส่าห์อยู่เป็นเพื่อนเธอจนกว่าพ่อและแม่จะกลับ
เธอเดินไปส่งเขาที่หน้าประตูบ้าน พ่อของเธอโบกรถแท็กซี่มาจอดไว้ พ่อของเธอโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้กับคชินทร์แล้วเอ่ยเป็นเชิงข่มขู่ว่า
“ห้ามเธอทำอะไรลูกสาวฉันเด็ดขาด”
“พ่อคะ” รสกรร้องขึ้น
“มันก็ต้องพูดเผื่อไว้บ้างสิ”
“ครับ ผมจะดูแลกอหญ้าให้ดีที่สุด” คชินทร์เอ่ยเบาๆ
“ดีมาก มันต้องแบบนี้สิ”
พ่ออำนาจของเธอหัวเราะหึๆ รสกรได้แต่เม้มปากแน่นพลางชำเลืองมองไปทางคชินทร์บ่อยๆ เมื่อทั้งพ่อและแม่ของรสกรขึ้นรถแท็กซี่แล้วก็โบกมือลา รสกรและคชินทร์โบกมือให้ทั้งสองจนรถแท็กซี่แล่นออกไปจนลับตา
รสกรถอนหายใจยาว อย่างน้อยเธอก็โล่งใจไปเปราะหนึ่ง หญิงสาวชำเลืองมองไปที่คชินทร์ แล้วก็เห็นริมฝีปากของเขาเหยียดยิ้มเล็กน้อยพลางเอ่ยอย่างขำๆว่า
“เสียดายนะ พ่อของคุณน่าจะอยู่สักอาทิตย์หนึ่ง”
“นั่นน่ะสิ” เธอพูดหน้าตาเฉย “ดีนะ ที่เมื่อเช้าฉันตื่นก่อนที่พ่อกับแม่จะเปิดประตูออกมาพอดี”
“น่าเสียดายแย่” เขาพูด ทำให้รสกรหันมามองทันที
“นี่ เดี๋ยวเหอะ”
“แต่ผมว่าคนที่โดนหนักกว่าผม น่าจะเป็นคุณมากกว่านะ” คชินทร์เหยียดยิ้ม “จริงไหม”
หญิงสาวทำหน้าเง้าหนัก ใช่สิ คนที่จะโดนหนักกว่า ก็คือเธอที่เป็นคนปั้นเรื่องโกหกนั่นเอง
“มันช่วยไม่ได้นี่” เธอบ่นเบาๆ “ขืนบอกความจริงไป มีหวังโดนหนักกว่าเดิมแน่”
“ผมว่าปล่อยให้แกเข้าใจแบบนี้ไปก่อน มันก็ยังดีกว่าการที่ต้องรู้ว่าลูกสาวมานอนค้างบ้านผู้ชายสองต่อสอง ใครรู้เข้าก็คงไม่คิดในแง่ดีแน่ ๆ ถึงแม้ในความจริงแล้ว เราสองคนจะไม่เกี่ยวข้องอะไรกันเลยก็ตาม”
ไม่เกี่ยวข้องอะไรกันเลยเหรอ !?
คชินทร์คงจะพูดคำนี้ โดยไม่รู้สึกอะไรกับเธอเลยสินะ...
“คงอย่างนั้นแหละ” หญิงสาวบอกเบาๆ ก่อนหันหลังกลับเข้าไปบ้าน โดยไม่หันกลับไปมองคชินทร์อีกเลย...
ตอนบ่ายเธอไม่มีอะไรทำ รสกรจึงมาอ่านหนังสือกับชิน เพราะอะไรเธอต้องมานั่งอ่านพวกตำรับตำราแบบนี้ด้วยทั้งๆที่เธอก็เรียนจบแล้ว ไอ้วิชาการแพทย์พวกนี้ก็ไม่เห็นจะเกี่ยวกับเธอตรงไหนเลย มิหนำซ้ำ เขาก็มัวแต่นั่งนิ่งเปิดหนังสือ ส่วนเธอได้แต่ก้มหน้าก้มตาอ่านอะไรไปก็ไม่รู้เรื่องเลยบ้านเช่าของคชินทร์ทำไมถึงไม่มีพวกนิตยสารประเภทผู้หญิง ๆ อยู่บ้างเลยก็ไม่รู้ เธอลอบมองดวงตาสีน้ำตาล จมูกโด่งเรียวปากเป็นสัน เส้นผมที่พลิ้วสะบัดกับแว่นตาที่สวมเสื้อเชิ้ตสีเทาหม่นกับกางเกงยีน ดูๆไปแล้วชินก็หล่อเหมือนกันนะ
“ให้มานั่งอ่านหนังสือ ดันมามองหน้าผมซะได้”
หญิงสาวสะดุ้งโหยง
“ก็...มันเบื่อนี่นา”
“นี่คุณ ไอ้วิชาการแพทย์นี่ มันมีประโยชน์นะที่ผมให้คุณอ่าน ก็เพื่อจะได้รู้ว่าอาการอย่างนี้ผิดสำแดงอย่างนี้จะแก้ไขอย่างไรถึงจะถูก”
“พูดเหมือนอาการลงแดงเหล้าเลย” เธอบ่น
“ที่ผมพูดถึงคืออาการโรคไม่ถูกกับยา”
“มีด้วยเหรอ โรคไม่ถูกกับยา”
“มีสิ”
“เป็นยังไงเหรอ เล่าให้ฟังบ้างสิ”
“ไม่ดีกว่า ผมจะอ่านหนังสือ”
“อะไรกัน คุณนี่มันยวนจริงๆเลย”
รสกรนั่งเท้าคาง มองดูเจ้าของใบหน้าคมคายที่นั่งอ่านหนังสือ ดูเขาเป็นพวกจริงจังกับทุกเรื่อง ปากร้าย ผิดกับใจที่ดูอบอุ่นอ่อนโยน เธอรู้ดี...เขามักจะบอกว่าเธอเป็นตัวยุ่ง ดื้อรั้น แต่เขาก็คอยช่วยในเวลาเธอต้องการความช่วยเหลือเสมอ สายตาของเธอเลื่อนต่ำมาบริเวณคอ เรื่อยไปถึงบริเวณอกและช่วงไหล่กว้าง ดูไหล่เขาก็กว้างเหมือนกันนะ
นักข่าวสาวร้องโอดโอยขึ้นมาหลังจากที่เขาหยิบปากกามาโขกหัวเธอ
“โอ้ย มันเจ็บนะ”
“ผมให้คุณมาอ่านหนังสือเป็นเพื่อน แต่คุณกลับเอาแต่จ้องมองอะไรอยู่”
หญิงสาวแก้มร้อนจัดไปถึงใบหู
“มองอะไรล่ะ ฉันเปล่านะ”
“หน้าของผม มันมีตัวหนังสือลอยอยู่หรือยังไงกัน”
“บ้าน่ะสิ ใครจะไปมองคุณกัน”
“ถ้างั้นสายตาของผมก็คงจะมีปัญหา แย่จังเลยเพิ่งตัดแว่นมาใหม่ซะด้วย” คชินทร์ถอนหายใจยาว มือของเขาจับแว่นถอดออกมา และทำให้เธอมองเห็นนัยน์ตาของเขามากยิ่งขึ้น มันเป็นสีน้ำตาล...ลุ่มลึก
...และสวยมาก
“คุณสายตาสั้นเหรอ” เธอเอ่ยถาม
“ใช่ มันมองไม่ค่อยชัด”
“ไม่ชัดยังไง” เธอถามเพราะไม่ค่อยรู้ว่าเวลาที่คนสายตาสั้นเขาต้องดูใกล้ๆ ยังไงถึงจะมองเห็น ชายหนุ่มชำเลืองมองเธอและเหยียดยิ้ม
“คุณถามคนสายตาสั้นว่า มองยังไงถึงจะชัดงั้นหรือ”
“ใช่” เธอเอ่ยตามตรง “เพราะฉันไม่เคยสายตาสั้นนี่นา เขาบอกว่าคนสายตาสั้นต้องมองดูใกล้ๆถึงจะมองเห็นใช่หรือเปล่า”
ถามจบเธอก็ต้องสะดุ้งด้วยความตกใจ แก้มเปลี่ยนเป็นสีแดงจัด เพราะคชินทร์โน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ ใกล้มาก...จนปลายจมูกโด่งของเขาอยู่ห่างจากเธอเพียงปลายนิ้วสัมผัส ดวงตาของเขาก็มีแววอบอุ่นและอ่อนโยน จนทำให้หัวใจของรสกรเต้นตึกตัก เรียวปากของเขาก็อยู่ห่างจากเธอไม่ถึงคืบ
นี่ถ้าเขาตั้งใจจะจูบเธอล่ะก็...เธอคงจะหนีไม่พ้นแน่ๆเลย...
“ต้องอยู่ห่างประมาณนี้ ผมถึงจะมองเห็นหน้าคุณได้”
“อะไรนะ”
“เรื่องจริง เพราะฉะนั้นผมถึงต้องใส่แว่นไง” เขาถอนหายใจยาว โน้มตัวกลับไปหยิบแว่นขึ้นมาสวม
“เหรอ...เพิ่งรู้นะเนี่ย” เธอเอ่ยทั้งๆที่หัวใจยังเต้นแรง
จะว่าไปแล้ว...น้องชายของเธอก็สายตามีปัญหาจนต้องสวมแว่นเหมือนกันนี่นะ
เมื่อคิดถึงความบาดหมางระหว่างพ่อของเธอกับคนข้างบ้านแล้ว ป่านนี้น้องชายของเธอกับเพื่อนสนิทไม่รู้จะเป็นอย่างไรบ้าง ความสัมพันธ์ระหว่างเด็ก ผู้ใหญ่อย่างพวกพ่อของเธอกับลุงข้างบ้านไม่น่าจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยเลย
คชินทร์สังเกตเห็นสีหน้าที่หมองลงของเธอ จึงเอ่ยถามออกมาว่า
“เป็นอะไร เมื่อกี้ยังเห็นหัวเราะอยู่เลย”
“ฉันเป็นห่วงน้องน่ะ”
ชายหนุ่มถอนหายใจยาว
“เขาก็โตแล้วไม่ใช่หรือ เรื่องแค่นี้เขาน่าจะจัดการเองได้ เราไม่ต้องเข้าไปยุ่งอะไรด้วยมากนักหรอก”
“เพิ่งจะอยู่ม.ปลายเนี่ยนะ จะคิดอะไรเป็น”
“ก็ถือว่าเป็นผู้ใหญ่พอที่จะคิดอะไรได้นั่นแหละ...หรือคุณคิดว่าพ่อของคุณเข้าไปช่วยแล้วมันจะดีเหรอ”
“เอ่อ...เรื่องนั้น”
“บางครั้งเด็กน่ะ ต้องปล่อยให้เขามีเวลาส่วนตัวบ้าง จะคบกับใครถ้าไม่ได้เลวร้าย ผู้ใหญ่อย่างเราก็ไม่เห็นต้องห่วงอะไร จริงไหม”
“มันก็จริง แต่ว่าพ่อจะรู้เรื่องนี้หรือเปล่า”
“ไม่ต้องห่วงไปหรอก น้องของคุณแก้ปัญหาเองได้”
“ขอบคุณมากนะ ดูคุณอย่างกับมีน้องชายอีกคน”
“ผมเป็นลูกชายคนเดียว”
“แล้วพูดอย่างกับตัวเองมีน้องชายงั้นแหละ” เธอทำปากย่น แต่คชินทร์ไม่ใส่ใจ เขายังคงจดอะไรลงไปในสมุด เธอชะโงกมองดูเขาแล้วก็เอื้อมมือไปดึงสมุดจดเขาออกมา เป็นการเอาคืนโทษฐานที่คชินทร์ไม่สนใจเธอเลย แบบนี้แหละ มันต้องแกล้งซะให้เข็ด
“เอาคืนมานะ” เขาขมวดคิ้ว
“เรื่องอะไร ไหนเขียนอะไรน่ะ...ตัวเลขเยอะแยะเลย”
“เอามานี่”
“ไม่ให้” เธอร้องเสียงดัง พลางจะเอามือไปไว้ด้านหลัง แต่เขาก็คว้าไปได้ก่อนเพราะตัวสูง เธอเม้มปากตั้งท่าจะแย่งคืน ชายหนุ่มก็แอ่นตัวหลบ เธอจึงโน้มตัวลงไปด้านหน้าเพื่อแย่งสมุดกลับมา จนสะดุดล้มลงไปหน้าอกเบียดกับแผ่นอกเขา ใบหน้าของเธออยู่ห่างจากเขาเพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัส จนปลายจมูกแทบชนกัน
“คุณนี่ถ้าแต่งงานแล้ว คงจะชอบกดขี่สามีนะนี่”
“คนบ้า คนผีทะเล”
รสกรทำท่าจะดันตัวลุกขึ้นนั่ง แต่วงแขนเขากอดรัดเอวบางไว้แน่น จนเธอลุกไม่ขึ้น หญิงสาวขมวดคิ้ว หัวใจเต้นระรัว เพียงปลายนิ้วสัมผัส ดวงตาของเขาก็มองทะลุไปถึงไหนต่อไหน ไม่รวมเรียวปากที่หยัดยิ้มนั่นด้วย
“รู้ตัวบ้างไหม ว่าคุณเป็นผู้หญิงที่ร้ายเอาเรื่องทีเดียว”
“ทำไมล่ะ”
“ก็...คุณนั่งอยู่กับผมสองต่อสอง แล้วชวนเล่นอะไรแนบเนื้อแบบนี้จะให้ผมคิดว่ายังไงล่ะ”
“แนบเนื้ออะไร มันเป็นอุบัติเหตุต่างหาก นี่ปล่อยนะ ไม่อย่างนั้นฉันจะร้องโวยวายจริงๆด้วย”
“เฮ้อ...ก็ได้ ปล่อยก็ปล่อย” พูดจบคชินทร์ก็ปล่อยมือจากเอวบาง จนรสกรยันกายลุกขึ้นแทบไม่ทัน เวลานี้แก้มของเธอแดงปลั่ง จะว่าโกรธก็ไม่ใช่ จะว่าอายก็ไม่เชิง
“พอแล้ว ฉันจะกลับเข้าห้องแล้ว”
“เชิญเลย”
หญิงสาวบ่นพึมพำพลางเดินขึ้นบันไดไปยังห้องของตัวเอง พอเปิดประตูแล้วก็หันมามองเขา พลางคิดว่า
คนอะไรชอบหลอกให้เธอใจเต้นแรงอยู่เรื่อย
เขายิ้มบางๆ ให้เธอ ร่างสูงนั่งชันเข่าข้างหนึ่งมือขวาโบกให้เธอนิดๆ คิดแล้วมันน่าเจ็บใจนัก เธอปิดประตูตามหลังเสียงดังสนั่น
รสกรแอบซุ่มอยู่ที่หน้าต่างเพื่อรอคอยเวลาที่อิทธิกรกลับบ้าน...
คืนนี้เธอนั่งอยู่บนเตียงของเขา ส่วนคชินทร์ลงไปอ่านหนังสืออยู่ที่ห้องด้านล่าง เขาจะคอยจนกว่าเธอจะเสร็จ แล้วค่อยขึ้นมาอาบน้ำและเข้านอนทีหลัง รสกรมองความมืดรอบกายอย่างโดดเดี่ยว บางครั้งการไม่มีเขาอยู่ภายในห้อง มันก็ทำให้เธอรู้สึกโดดเดี่ยวอย่างบอกไม่ถูก
“เขาจะอ่านหนังสืออยู่ที่ไหน ก็ไม่ใช่เรื่องของเราซะหน่อย” เธอพึมพำ
หญิงสาวส่ายหน้าไล่เรื่องไร้สาระออกไปจากสมอง
จะว่าไป...หมู่นี้เขาก็ดูเหินห่างกับเธออย่างไรพิกล ดูเหมือนจะหลบเลี่ยงที่อยู่กับเธอตามลำพัง หรือว่าเขาอาจจะเบื่อ หรือรำคาญเธอแล้วก็ได้
“ไม่เห็นเขาจะบ่นเรื่องอะไรเลย” เธอเอ่ยเสียงแผ่ว
ขณะที่เธอกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่นั้น จู่ๆก็มีรถมาจอดที่หน้าประตูบ้านของนายอิทธิกร เธอชะโงกหน้าไปดูจนชิดบานหน้าต่างทันที จากนั้นก็เห็นนายอิทธิกรเดินลงมาจากรถยนต์แล้วเหลียวมองไปรอบตัวคล้ายกับว่าไม่ไว้ใจในบางสิ่ง โดยถือซองเอกสารสีน้ำตาลมาด้วย
“นั่นเขาถือซองอะไรมาน่ะ”
เธอมองเห็นเขาหยิบซองสีน้ำตาลมาด้วย แล้วเข้าไปในบ้านอย่างรวดเร็ว
หญิงสาวพยายามมองตามเขาไป ชายหนุ่มดูระมัดระวังเป็นอย่างมากเดินเข้าไปในบ้าน หลังจากนั้นเธอก็เห็นเขาเดินมาปิดหน้าต่าง แล้วรสกรก็มองไม่เห็นความเคลื่อนไหวใดๆอีก
เธอเม้มปากแน่น ไม่มีประโยชน์อะไรเลยที่เธอจะต้องมานั่งคอยแอบถ่าย ทั้งๆที่มองไม่เห็นหลักฐานหรือได้ข้อมูลอะไรเลย
จริงอยู่...ว่าการเข้าไปยุ่งเรื่องส่วนตัวของดาราหนุ่มอาจจะเป็นเรื่องไม่ดีนัก
แต่ถ้าสิ่งที่เขาพยายามแอบซ่อนไว้เป็นสิ่งผิดกฎหมายล่ะก็ หน้าที่ของนักข่าวอย่างเธอก็คือการตีแผ่ความเลวร้ายให้สังคมรับรู้เช่นกัน
“ซองสีน้ำตาลนั่น จะต้องมีอะไรบางอย่างแน่ๆ” เธอกระซิบบอกตัวเอง
เธอทำอะไรตอนนี้ไม่ได้...อย่างเดียวที่ทำได้คือรอให้นายอิทธกรออกจากบ้านในตอนเช้าเสียก่อน...
และเธอก็คอยอยู่จนเช้า แสงแดดสาดส่องเข้ามาในบ้านอันเป็นช่วงเวลาเช้าที่อิทธิกรต้องออกไปทำงาน เธอคอยเวลาที่เขาขับรถยนต์ออกไปจากบ้าน และเมื่อนายอิทธิกรออกไปแล้ว เธอก็เริ่มแผนการของเธอทันที
หญิงสาวรอให้คชินทร์ออกไปสอนพิเศษที่มหาลัยฯ แล้วเธอก็จะแอบลอบเข้าไปในบ้านของนายอิทธิกรทันที
บนโต๊ะอาหาร รสกรชำเลืองมองชายหนุ่มที่นั่งจิบกาแฟและอ่านหนังสือพิมพ์ไปด้วย
เขาเปิดหนังสือพิมพ์พลางมองอีกฝ่าย “มีอะไรหรือ”
“เปล่าค่ะ” เธอปฏิเสธอย่างรวดเร็ว “แค่กำลังคิดว่า คุณจะออกไปทำงานพิเศษข้างนอกหรือเปล่า”
“วันนี้ไม่มีสอนหรอก ผมลาหยุดน่ะ” เขาตอบเสียงเรียบ
“ลาหยุด?” หญิงสาวทวนคำเสียงสูงเพราะผิดคาด “ทำไมล่ะ”
“อยากหยุดก็หยุด งานที่ผมทำก็เรียบร้อยแล้วด้วย ทำไมรึ...คุณถามทำไม”
“เปล่า ก็แค่อยากรู้ว่า วันนี้คุณจะออกไปไหนหรือเปล่า” เธอก้มหน้าก้มตาดื่มกาแฟ พยายามทำเป็นไม่สนใจเขา หมอหนุ่มหรี่ตามองเธออย่างสงสัย
“จะว่าไป...ก็มีเหมือนกัน ผมว่าจะออกไปซื้อของใช้ส่วนตัวแล้วก็เดินเล่นที่ข้างนอกหน่อย”
“งั้นเหรอคะ งั้นก็ดีเลย...เอ้ย ไม่ใช่สิ หวังว่าคุณจะเที่ยวให้สนุกนะคะ”
“เที่ยวให้สนุก หรือไปนานๆแล้วค่อยกลับกันแน่”
“เอ่อ...เปล่านะ ก็แค่อยากให้คุณออกไปเที่ยวข้างนอกบ้าง อยู่ในแต่บ้านทนอุดอู้อ่านหนังสือตลอดทั้งวันอย่างนี้ มีหวังคงเบื่อกันพอดี” เธอรีบเปลี่ยนเรื่อง และกลบเกลื่อนด้วยรอยยิ้ม “ไปเที่ยวให้สนุกนะคะ”
“ดูคุณอยากให้ผมออกไปข้างนอกเหลือเกินนะ ทำไมเหรอ...หรือคุณวางแผนการอะไรไว้”
“วางแผนอะไร เปล่าซะหน่อย ฉันแค่อยากจะพักผ่อนอยู่บ้านเท่านั้นเอง นานๆทีคุณจะไม่อยู่บ้าน ฉันจะได้พักผ่อนอ่านหนังสือตามสบายเสียที”
คชินทร์หรี่ตามองเธออย่างรู้ทัน แต่รสกรก็ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ก้มลงจิบกาแฟบนโต๊ะ ประมาณครึ่งชั่วโมงต่อมาชินจึงออกจากบ้านไป เธอตามไปส่งและโบกมือให้เขาที่หน้าบ้านด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
รอจนกระทั่งเขาลับหายไปจากสายตาแล้ว รสกรจึงค่อยๆแอบปีนต้นไม้เข้าไปในรั้วบ้านของอิทธิกร หน้าบ้านเต็มไปด้วยต้นไม้ที่เธอจะใช้ซ่อนตัวได้เป็นอย่างดี บ้านของเขาทาด้วยสีน้ำตาลอ่อนสองชั้น มีหน้าต่างชั้นสองที่ตรงกับห้องนอนของคชินทร์พอดี รสกรเม้มปากแน่น
เธอแค่อยากรู้ว่าอะไรอยู่ในซองนั้น
*****************
เบลินญา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 27 ม.ค. 2557, 12:42:20 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 27 ม.ค. 2557, 12:42:20 น.
จำนวนการเข้าชม : 1292
<< ตอนที่ ๕ ก็แค่เพื่อนกันเท่านั้นเอง | ตอนที่ ๗ ซองสีน้ำตาล >> |
เบลินญา 27 ม.ค. 2557, 12:46:19 น.
Zephyr >>> นางเอกของเรายุ่งจริิง ๆ ค่ะ
Zephyr >>> นางเอกของเรายุ่งจริิง ๆ ค่ะ
Zephyr 27 ม.ค. 2557, 19:18:28 น.
นางหาเรื่องอีกละค่า
นางหาเรื่องอีกละค่า