จุดชนวนรัก อุบัติเหตุเลิฟ
บางครั้งเราทุกคนก็ต้องยอมรับความจริงในเรื่องของหัวใจ ว่ามันอาจไม่เป็นอย่างที่เราต้องการเสมอไป ฉันเคยคิดว่ารัก ‘พี่เกล’ แต่ฉันกลับได้รู้จักความรักจริงๆ ในวันที่สายไปกับคนที่ได้ตายจากไปแล้ว ฉันไม่มีโอกาสแม้แต่จะบอกความในใจให้เขารู้ด้วยซ้ำ และวันนี้ฉันมีโอกาสจะไปหาเขาแม้ว่าหัวใจของเขาจะนิ่งสงบไปแล้วก็ตามแต่ฉันก็ร้อนใจเหลือเกินที่จะไป ไม่อยากจะช้าสักวินาทีเดียว
Tags: วัยรุ่น

ตอน: บทที่ 4

บทที่ 4
"เออตกลงเมื่อวานไอ้ที่อยู่ในถุง ที่แท้ก็เป็นของเพื่อนเขาเหรอ"
"ก็อย่างที่เล่าให้ฟังนั่นแหละ"
"ค่อยยังชั่วฉันละใจหายหมด เสียดายแย่ถ้าผู้ชายหน้าตาดีๆ แบบนั้นจะเป็นโรคจิต"
"ว่าแต่แกก็ได้บัตรมาแล้ว ทำไมยังทำหน้าเหมือนตูดอีกละจ๊ะ ส่วนยัยหญิงก็อีกคนทำหน้าเหมือนญาติเสียแข่งกับยัยขมิ้นอยู่ได้ "
จริงด้วยฉันมัวแต่สนใจเรื่องของตัวเองจนลืมสังเกตเพื่อนไปเลยตั้งแต่เมื่อวานยัยหญิงก็ดูแปลกๆ ไป "แกเป็นอะไรหรือเปล่าหญิง"
"ฉันรู้สึกเหมือน…กำลังอกหัก"
"อกหัก! "
ทั้งฉันทั้งตาลพูดขึ้นพร้อมกัน ไม่ให้ตกใจได้ไงผู้หญิงที่มีตัวเลือกยิ่งกว่านางพญามดจะถูกหักอกเป็นไปไม่ได้
"ทำหน้าแบบนี้แสดงว่าเชื่อกัน"
"ฉันไม่ตลกนะบอกมาซะดีๆ ว่าใครมันกล้าหักอกดาวมหาลัยอย่างแก ฉันกับตาลจะไปตืบมันเอง" "ใช่ๆ"
ตาลก็ดันเห็นดีเห็นงามไปด้วยอีก ทำไมไม่ห้ามช้านนนน!!! ก็เห็นๆ อยู่ว่าขาฉันใส่เฝือกจะมีปัญญาไปอัดใครแค่ลำพังยืนเฉยๆ ยังลำบาก
"บ้าสิ! พวกแกนี่หลอกง่ายจัง ฉันเนี่ยนะจะโดนหักอก ไปๆ เลิกพูดจาเพ้อเจ้อได้แล้วไปกินข้าวกันหิวจะแย้"
หญิงตอบอึกอักก่อนจะเบี่ยงเบนความสนใจด้วยการลากฉันกับตาลไปหาของกินที่โรงอาหาร พอมาถึงโรงอาหารยัยหญิงก็เดินสั่งแทบทุกเมนู ณ ตอนนี้อาหารได้ยึดครองพื้นที่จนเต็มโต๊ะแล้วจร้า ทั้งๆ ที่มากันแค่สามคน
"กินเยอะๆ มือนี้ฉันเลี้ยงพวกแกเอง"
"อันนี้พูดจริงไม่หลอกใช่ปะ"
"ฮึๆ ยังคิดไม่เลิกอีกเหรอยัยขมิ้น"
"แหมๆ ก็แค่แซวน่ะมันไม่เป็นความจริงอยู่แล้วที่คนอย่างเพื่อนฉันจะอกหักจริงมั้ยตาล…เฮ่ย! ตาลแกกินเงียบเลยเร่อะ"
"ใครช้าอดหมดช่วยไม่ได้เชิญแกสองคนคุยกันต่อไป"
ดูยัยนี่สิไม่สนใจอะไรเลยกินลูกเดียวแล้วฉันจะช้าอยู่ได้ไงมีหวังหมดทุกอย่างแน่ ยัยนี่ยิ่งเป็นญาติกับชูชกอยู่ด้วย
"หยุดเลยๆ ยัยขมิ้นไหงเมื่อกลางวันไม่เป็นอันเรียนเพราะเอาแต่คิดถึงนักร้อง ทีตอนนี้กินลงจนฉันกินไม่ทันแล้วเนี่ย" พอฉันเริ่มจัดการกับอาหารจานโน้นจานนี้จานนั้นที่อยู่ตรงหน้าจนราบ ยัยตาลเห็นท่าจะกินไม่ทันเลยสกัดดาวรุ่งขึ้นซะก่อน
"แหม! มันไม่เห็นจะเกี่ยว" ฉันก็ยังก้มหน้ากินแล้วก็กินต่อไป
"แล้วจะมีเรื่องไหนบ้างเนี่ยที่ทำให้แกหยุดกินได้"
"มี"
"ตอนไหนฟะ"
"ก็ตอนที่ พี่ฟิล์ม ศาลพระภูมิ มีข่าวกับ… ฮือๆๆ ไม่อยากพูดถึงมันยังเจ็บจี๊ดไม่หาย"
"หึ ตลกตายแหละ เอ่อ! พี่ชายคนละยีนของแกไม่ติดต่อมาเลยเหรอ ปกติต้องมาดักรอแกก่อนกลับบ้านทุกเย็นนี่ หรือว่าเขาคิดจะชิ่งทิ้งแก แล้วบินไปเกาหลีเงียบๆ"
อ๊ายยยยยยยยย ยัยหญิงตัวแซบทำไมถึงพูดจาไม่สร้างสรรค์ขนาดนี้นะ ไม่กงไม่กินมันแล้วอารมณ์เสีย!
"อิ่ม!"
"อ่าว! อย่าบอกนะว่าอยู่ๆ ก็เกิดอิ่มทิพย์ขึ้นมา"
อิ่มบ้าบออะไรเล่า ก็แกนั่นแหละพูดแทงใจดำจนฉันกินอะไรไม่ลง แล้วยังไม่รู้ตัวอีก
"ฉันเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าวันนี้มีซิงเกิลใหม่ของ EXO K แบบว่าคือเรวูฟ เนกาวูฟ อวู้~ ซารางเฮโย้…♫ "
"เพลงอะไรของแกฟังไม่เห็นรู้เรื่องสู้…มันแน่นอกต้องยกออก…♫ ของ 3.2.1 ก็ไม่ได้ แต่ช่างเถอะเมื่อกี้แกบอกว่าอิ่มแล้วใช่มั้ย ถ้างั้นตำข้าวโพดจานนั้นฉันขอ"
ยัยตาลลากจานเมนูโปรดของฉันไปต่อหน้าต่อตา โธ่! นี่เหรอคือเพื่อนฉันไม่สนใจอะไรเลยนอกจากกิน ฉันจะเลิกคบพวกแกตอนนี้ยังทันมั้ย ฮือๆ
ระหว่างที่ฉันนั่งรอยัยหญิงกับตาลที่กินอาหารจนเกลี้ยงแถมชวนกันไปซื้อไอศกรีมมากินกันต่อ แง ฉันไม่น่าบอกว่าอิ่มเลยดูสิร้านนั้นหน้ากินด้วย ในขณะที่ฉันกำลังน้ำลายยืดเพราะมัวแต่มองยัยสองคนนั้นสั่งไอศกรีมอยู่ๆ ทั่วทั้งโรงอาหารก็ถูกปกคลุมไปด้วยกลิ่นแปลกๆ เหมือนสัตว์มีนออยู่บนหัวหลุดมาจากสวนสัตว์ซาฟารีแถมกำลังส่งเสียงร้องกรี๊ดกราด ฉันจึงมองไปยังต้นเสียงก็พบผู้ชายคุ้นหน้า พี่เกล! ทันทีที่ฉันเห็นหน้าเขาหัวใจฉันก็กลับมาโลดแล่นอยู่บนหน้ากระดาษอีกครั้ง
เกิดอะไรขึ้นปกติเขาไม่เคยมาโรงอาหารเลยเพราะที่นี่มีตั้งแต่เสือ สิง กระทิง แรด ค้าง บ่าง ชะนี จระเข้ ที่คอยจะงาบ ไม่ให้พี่เกลได้กลับไปครบสามสิบสองส่วน ฉันมองหน้าชายร่างสูงที่กำลังเดินฝ่าปราการสาวแท้สาวเทียมที่กำลังแหกปากแหกคอเรียกความสนใจอย่างงงๆ ถ้าจะมาหาไม่เห็นต้องมาถึงนี่เลย โทรมาก็ได้ เอ๊ะ! หรือว่าแบตฯ หมด
ฉันก้มลงไปหยิบมือถือในกระเป๋ามากดดูแล้วก็จริงๆ ด้วยแบตฯ หมดตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
"พี่โทรหาจนมือแทบหงิก"
"แฮ่! แบตฯ หมดอะ"
"พี่คอบเปอร์ขอลายเซ็นหน่อยคร้า" เอาแล้ว! กลุ่มน้องๆ ปีหนึ่งกำลังวิ่งกรูกันเข้ามา ถึงแม้ว่าพี่เกลจะเรียนอยู่ที่นี่มาตั้งแต่ปีหนึ่ง แต่ด้วยความดังของเขาก็เล่นเอาพี่เกลมาทานข้าวที่โรงอาหารไม่ได้อีกเลยเพราะถ้าเขามาเมื่อไหร่โรงอาหารจะกลายร่างเป็นสนามจัดงานคอนเสิร์ตไปเลยสับสนวุ่นวายตั้งแต่นักศึกษารุ่นเดียวกันที่ได้ลายเซ็นไปติดแทนวอลเปเปอร์ที่บ้านจนเต็มไปหมดแล้ว ก็ยังมีหน้ามาขอกันได้ทุกวี่ทุกวัน ส่วนน้องๆ ปีหนึ่งยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยแทบจะสิงร่างพี่เกลกันไปเลย แล้วที่แย่ยิ่งกว่านั้นพวกผู้ชายที่เอาแต่มองด้วยสายตาอาฆาตที่พี่เกลทำให้แฟนๆ ของพวกเขาแทบจะเป็นบ้าทุกครั้งที่ปรากฏตัวขึ้น นี้ยังไม่ได้นับแม่ค้าแม่ขายที่แทบจะหยุดขายของกันไปเลยเพราะเอาแต่ถือ ตลิวค้าง จ่องหน้าพี่เกลจนน้ำลายยืดหกใส่กับข้าว อี๊! อธิการบดีก็เลยขอร้องเชิงสั่งไม่ให้เขามาทานข้าวที่นี่อีกเลย
"รีบไปเถอะขมิ้น"
"แต่ขมิ้นมากับเพื่อนนะ"
"ไปเถอะก่อนที่พี่จะโดนฉีกเป็นชิ้นๆ"
"หา?"
ฉันถูกพี่เกลลากถูลู่ถูกังออกจากบริเวณเขตความรักแรงสูงจนฉันเริ่มเจ็บขาข้างที่ใส่เฝือกขึ้นมาแล้วสิ
"ขมิ้น!!..."
"คอบเปอร์ คอบเปอร์ อ๊ายยยย คอบเปอร์ อ๊ายๆๆๆๆๆ %$%#%^$&%*(&(&%$&&*"
ฉันมองไปที่กลุ่มนักศึกษาหญิงที่กำลังวิ่งกรูกันเข้ามาหาชนิดที่ว่าถ้ามีแม้แต่ใดโนเสาร์สักตัวตัดหน้าพวกเธอก็พร้อมที่จะเยียบมันให้จมดินไปเลยรวมทั้งฉันด้วย
เพราะเพียงพริบตาเดียวพวกชีก็เบียดเอาซะฉันกระเด็นเถงเต้ง ทำหน้าเอ๋อเหรอ ทนดูพี่เกลกำลังถูกดึง ทึ้งลูบ คลำ กระทำเหมือนกับว่าพี่เกลของฉันเป็นต้นตะเคียนทอง ที่เอาไว้ขูดเลขเด็ดยังไงยังงั้น
หน็อย! ยัยพวกบ้าขนาดต่อหน้าต่อตายังไม่มีความเกรงใจกันบ้างไม่รู้รึไงว่าฉันเป็นใคร พวกเธอก็แค่แฟนคลับ แต่ฉันน่ะใหญ่โตกว่าเพราะฉันเป็นถึง…แฟนพันธุ์แท้ย่ะ ฮึม! ยังไงวันนี้ฉันก็ต้องเข้าไปเป่าประกาศให้โลกได้รู้ถึงสถานะของฉัน ฉันจะไม่ยอมอยู่แบบหลบๆ ซ่อนๆ ไร้ตัวตนยิ่งกว่าฝุ่นละอองที่มองด้วยสายตาเปล่าไม่เห็นอีกต่อไปแล้ว
ฉันสูดลมหายใจเข้าไปเต็มปอดเพื่อรวบรวมกำลังทั้งหมดที่มีหมายมั่นปั่นมือทำอย่างที่คิดไว้ให้จงได้ และตอนนี้ ฮึ ฮึ! ฉันก็พร้อมแล้วที่จะปฏิบัติภารกิจที่ทั้งโหด และอันตราย โดยไม่ต้องใช้สตันท์ ด้วยกำลังแรงลมสามร้อยห้าสิบไมล์ต่อวินาทีเพื่อจะฝ่าวงล้อมนั่นเข้าไปให้ถึงใจกลางสงครามแย่งชิงชายในครั้งนี้ เอาล่ะ 1…2…3 !!
ผลัก!!!!!!!
แล้วลองนึกถึงภาพสโลว์โมชั่น ตอนที่ฉันโดนเสยคางเข้าไปจังๆ แรงกระแทกของนางใดไม่ทราบเพราะมันเยอะยิ่งกว่ามือทศกัณฑ์ จนฉันกระเด็นไปสามหลาตีลังกาท่าปีนเกลียวไปสามรอบก่อนที่จะเอาหน้าสไลด์กับพื้นเพื่อวัดความหนาของหนังหน้าตัวเองกับพื้นว่าใครมันจะทั้งหนา ทั้งอึด ทั้งถึก ทั้งทน กว่ากัน สุดท้ายก็ต้องมานอนจบชีวิตอ้าปากพะงาบๆ เป็นปลาค๊าบขาดออกซิเจนอยู่ที่รองเท้าชายที่แค่ได้กลิ่นก็รู้ว่าแพงชิบ แต่ความเจ็บรึจะสู้ความอายได้เพราะตอนนี้ด้วยท่าจบที่โคตรจะสวยงามของฉันกำลังดึงดูดสายตาของคนทั้งโรงอาหารให้จ้องมองมาที่ฉัน ก่อนที่ทุกคนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น ใจร้าย! ทำไมไม่มีใครคิดจะช่วยฉันสักคนขาฉันก็ไม่ดีไม้ค้ำยันก็ไม่รู้กระเด็นไปอยู่ที่ไหน แงง
ฉันได้แต่ก้มหน้างุดซ่อนความอายของตัวเองไว้ไม่กล้าสบตากลับใคร ได้แต่แอบน้อยใจในโชคชะตาจิ๊ดๆ ปกติถ้าเป็นในนิยายเวลานางเอกล้มยังไง้ยังไงพระเอกก็ต้องมารับไว้ได้ทัน แม้จะต้องกลิ้งทับกันไปแบบลูกขนุนสามรอบแต่ก็จบด้วยท่าริมฝีปากประกบกันอย่างบังเอิญ แล้วนี่มันอะร่ายยยย ปล่อยให้ฉันนอนสูดดมร้องเท้าคู่สวยนี้อยู่ได้คนแต่งทำอย่างกับฉันไม่ใช่นางเอก (แอบเคือง)
"เธอนี่มันบื่อจริงๆ หาเรื่องใส่ตัวได้ตลอด"
เสียงเจ้าของรองเท้าดังขึ้นอยู่บนหัวฉันแม้มันจะเบาจนคนอื่นไม่ได้ยิน แต่ฉันที่นอนอยู่ตรงนี้ชัดเจนมากถึงขนาดลืมความอายแล้วเปลี่ยนเป็นความโกรธในทันที ไอ้บ้า! นอกจากไม่คิดจะช่วยกันแล้วยังจะมาด่าว่าฉันบื่ออีก
ฉันพยายามขยับตัวลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล แต่แล้วจู่ๆ ร่างกายฉันก็ถูกอุ้มขึ้นด้วยท่อนแขนอันแข็งแรง
เอร๊ย! แค่ช่วยพยุงก็พอไม่ต้องถึงขนาดอุ้มกันก็ได้ฉันไม่ได้พิการเป็นอัมพฤกษ์อัมพาตสักหน่อย
"OoO!!"
ฉันถึงกับตาค้างอ้าปากเหวอไปเลยตอนที่รู้ว่าไอ้เจ้าของรองเท้าคู่แพงที่กำลังอุ้มฉันอยู่ คือเซท
"ไงถึงกับอึ้งไปเลยเหรอ"
"ถ้าไม่อยากมีเรื่องฉันคิดว่านายควรจะปล่อยเธอซะ"
"OoO พี่เกล!!"
จู่ๆ พี่เกลก็โผล่มา แล้วนี่เขาหาทางออกจากกลุ่มแฟนคลับได้ยังไง มันแน่นหนาชนิดที่ว่าแมลงวันยังไม่มีช่องให้บินเข้าบินออก
"แล้วทำไมฉันต้องฟังนาย" เซทหันไปพูดกับคนตรงหน้าด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่ฉาบไปด้วยความไม่พอใจ
"เพราะเธอเป็นผู้หญิงของฉัน"
"หึ! ผู้หญิงของนาย"
เซทเลิกคิ้วมองหน้าพี่เกลอย่างกวนๆ
"ใช่!"
"ถ้าอย่างนั้นนายก็ควรจะดูแลเธอให้ดีกว่านี้ ไม่ใช่ให้มานอนเกะกะขวางทางคนอื่น"
เย้ย! ไหงกลายเป็นความผิดฉันไปซะละ
เซทว่าพลางค่อยๆ วางฉันลงโดยมีพี่เกลมาคอยประคองฉันไว้ ก่อนจะอุ้มฉันขึ้นแทน
"ทีหลังถ้านายไม่พอใจก็เดินไปทางอื่นสิ"
"ฉันจะเดินทางนี้มีอะไรมั้ย" พูดจบเซทก็เดินทำหน้าถมึงทึงออกไป
"พี่รู้สึกไม่ถูกชะตากับไอ้หน้าขาวนี่เลยจริงๆ"
ก็ไม่แปลกหรอกค่ะที่จะคิดแบบนั้นเจอกันครั้งแรกก็เห็นต่อยกันจนหน้าเขียวหน้าแดง ดูเหมือนจะพูดกันไม่รู้เรื่องอย่างแรงอีกต่างหาก
สุดท้ายฉันก็ออกมาจากจากเขตความรักแรงสูงจนได้ แม้จะมีอุปสรรค์ไปบ้างแต่ก็ขึ้นมานั่งบนรถพี่เกลได้ อย่างปลอดภัย คิดไปคิดมาฉันก็อึดเหมือนกันแฮะ นี่ขนาดตีลังกาไปหลายรอบทุกส่วนบนร่างกายก็ยังครบสามสิบสองแต่วันต่อไปไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่เพราะตอนที่พี่เกลอุ้มฉันออกมาจากโรงอาหารฉันแอบเหลือบตาไปมองพวกแฟนคลับ ที่กำลังส่งสายตาอาฆาตมาให้ฉันชนิดที่ว่าแค้นฝังหุ่นรอการชำระอีกสิบปีก็ไม่สาย น่ากลัวมากอะ
พี่เกลพาฉันนั้งรถไปเรื่อยๆ จนออกนอกเขตกรุงเทพฯ
"พี่จะพาขมิ้นไปไหน"
"ไปที่ไหนก็ได้ที่ไม่ใช่บ้านพี่"
"หา!"
ตั้งแต่พี่เกลดังฉันก็ต้องย้ายไปอยู่ที่หอตามคำแนะนำของเจ๊เข็มที่เห็นว่าไม่สมควรอย่างยิ่งที่น้องนอกไส้คนละยีนอย่างฉันจะอยู่ชายคาเดียวกันกับเซเลบ ถึงแม้ว่าคุณป้าแม่พี่เกลจะรับฉันมาอุปการะตั้งแต่ฉันอายุได้เก้าขวบก็เถอะ ฉันจึงไม่ค่อยได้กลับไปที่นั้นจะกลับก็ต่อเมื่อคุณป้าบินกลับมาเยี่ยมพี่เกลที่เมืองไทยแต่ก็นานๆ ครั้งเท่านั้นแล้วนี่มันเรื่องอะไรกันทำไมเขาถึงไม่อยากให้ฉันกลับไปทั้งๆ ที่ปกติฉันก็ไม่ค่อยได้ไปที่นั่นอยู่แล้ว
♫ ~ Love you แค่นั้นจริงๆ ที่ใจต้องการ อย่าลืมฉัน หากถึงเวลาที่เราต้องห่าง… อ่า! นี้เป็นเพลงใหม่ของ Monster King เหรอเพราะจัง เสียงมือถือของพี่เกลทั้งร้องทั้งสั่นแต่เจ้าตัวก็ยังไม่ยอมรับสายสักที
"ทำไมไม่รับสายละคะ"
"ไม่อยากรับกลัวเป็นแม่"
"แม่? หมายความว่ายังไง"
"แม่กลับมาเมืองไทย"
"คุณป้ากลับมาแล้วทำไมพี่ถึงไม่ให้ขมิ้นไปหา มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่คะ"
"โกรธพี่บ้างมั้ยที่หายไปไม่ติดต่อมาหาขมิ้นเลย"
"พี่เกลอย่าเปลี่ยนเรื่องสิคะ"
"โกรธหรือไม่โกรธก็ตอบพี่มาก่อนสิ แล้วเดี๋ยวจะเล่าให้ฟังว่ามันเกิดอะไรขึ้น"
ทำไมพี่ต้องใช้มุกนี้ตลอดคิดว่ามันจะได้ผลรึไง ฉันไม่ใช่คนอยากรู้อยากเห็นสักหน่อย
"ไม่โกรธ แต่ก็แค่…" (นี่ขนาดไม่อยากรู้นะยะ)
"…แค่อะไร?"
"แค่เป็นห่วงน่ะ” จะให้ฉันพูดอะไรได้ละ จะบอกว่าแค่คิดถึงก็ไม่ได้ ทั้งๆ ที่เรื่องจริงฉันรู้สึกแบบนั้นตลอดเวลา
“ว้าแย่จัง นึกว่าคิดถึงกันซะอีก"
พี่เกลหันมาส่งยิ้มหวานๆ โชว์ลักยิ้มที่แก้มข้างซ้าย อ๊ายยยยยยย เท่อะ แม้ว่าตอนนี้ในใจฉันมันอยากจะรู้ใจแทบขาดว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นที่บ้าน แต่พอเห็นรอยยิ้มเขาแบบนี้ ฉันก็ใจเต้นไม่เป็นจังหวะจนลืมเรื่องนั้นไปเลย
"ไม่ต้องมายิ้มแบบนี้เลย"
เดี๋ยวฉันคิดไปไกลใครจะรับผิดชอบ
"ทำไมละ เขินเหรอ" ไม่ใช่แค่เขินแต่มันทำให้ฉันหวั่นไหวเชียวแหละ แต่ไม่ว่าฉันจะรู้สึกหรือคิดอะไรก็ไม่สามารถบอกใครได้แม้แต่กับตัวเองฉันก็ยังต้องคอยห้ามตัวเองว่าอย่าคิดอะไรให้มันเกินตัวก็ฉันเป็นแค่…เด็กกำพร้าที่อาศัยข้าวก้นบาตรของหลวงตาประทังชีวิตไปวันๆ พออายุได้เก้าขวบฉันกลับสูงมากกว่าเพื่อนรุ่นเดียวกัน หลวงตาบอกว่าฉันโตเป็นสาวแล้วจะมาวิ่งเล่นอยู่ในวัดในวาแบบนี้ไม่ได้อีก ก็เลยฝากฉันให้แม่พี่เกลที่เป็นญาติกับหลวงตารับเลี้ยงฉันไว้เอาบุญ
"แล้วขมิ้นเป็นอะไรกับพี่ถึงต้องเขินด้วย"
เอี๊ยด! นี่ฉันพูดอะไรผิดไปอยู่ๆ พี่เกลก็จอดรถเรียบข้างทางกะทันหัน
"-_- ? "
"รู้มั้ยว่าขมิ้นเป็นอะไรสำหรับพี่"
"หา!"
"ขมิ้นก็เป็น…*_* "
"O_O;;" พี่เกลพูดพลางยื่นใบหน้าหล่อๆ เข้ามาใกล้จนฉันรู้สึกว่ารถคันนี้มันแคบขึ้นมาเฉยๆ แคบซะจนฉันได้ยินเสียงหัวใจเขาเต้นโครมครามเหมือนกับมันจะทะลุออกมานอกอกแข่งกับฉัน โดยเฉพาะตอนที่เขามองฉันด้วยสายตาแปลกๆ จนฉันมีความรู้สึกเหมือนเวลากำลังจะหยุดเดินไปชั่วขณะถ้านี่เป็นเหมือนซีรีส์ที่ฉันเคยดู ฉากนี้พระเอกต้องจูบนางเอกแน่ๆ (กรี๊ดอะ) และในตอนนี้เวลานี้คนที่นั่งข้างๆ ฉันก็กำลังจะมีอาการแบบนั้น (กรี๊ดอะ) และหน้าตาแบบนี้ (กรี๊ดอะ) และถ้าฉันต้านทานดวงตาคู่นั้นไม่ไหว (อ๊ายยยยยยยยย) จนเผลอหลับตาเหมือนกับนางเอกละก็….ไม่อยากจะคิดอะว่าฉันจะได้มีโอกาส
" >w< " เฟิร์สคิสกับชายในฝันจริงๆ เหรอเนี่ย จวบๆๆๆๆๆ
"…น้องสาวพี่ไง เอิ๊กๆๆๆ"
"∪︿∪ "
ตุบ!
ทำไมฉันถึงได้รู้สึกเหมือนกำลังตกจากต้นไม้สูงๆ นะทั้งๆ ที่ก็นั่งอยู่ตรงนี้แท้ๆ"
“น้องแล้วไง ทำไมต้องหัวเราะขนาดนั้นด้วยเล่า ” ชิ! น้องเหรอไม่เห็นอยากจะเป็นเลย
"ก็จะไม่ให้ขำได้ไงก็ขมิ้นทำหน้า แบบเนี่ย >w< "
" >!!!< "
"โกรธเหรอ"
"พี่เกลก็พูดถูกแล้วขมิ้นจะโกรธพี่ได้ยังไง"
"แต่หน้าขมิ้นมันฟ้องว่ากำลังโกรธพี่"
แล้วมันน่าโกรธมั้ยละ มาทำหน้าชวนให้ฝันหวานแล้วใช้เท้าปลุกให้ตื่น
"ถ้าบอกว่าโกรธแล้วพี่จะทำไม"
"ก็…ให้ขมิ้นลงโทษพี่ไง"
"ลงโทษแบบไหนล่ะ"
"เดี๋ยวก็รู้^^"
"บอกเลยไม่ได้เหรอ" ทำให้อยาก (รู้) แล้วจากไปทุกทีสิน่า
"คาดเข็มขัดแล้วหลับไปได้เลยเพราะต้องนั่งรถอีกไกลกว่าจะถึง^_^"
พี่เกลยิ้มที่มุมปากก่อนที่จะขับรถแล่นออกไปยังท้องถนนด้วยความเร็วสูง แต่ระหว่างทางเขากลับไม่พูดอะไรเลยตลอดทางเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาขับรถอย่างเดียวทั้งๆ เขาบอกเองว่าถ้าฉันตอบคำถามแล้วจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟังว่ามันเกิดอะไรขึ้นทำไมฉันถึงไปหาคุณป้าไม่ได้ แต่เห็นอาการเขาแล้วฉันก็ไม่กล้าเซ้าซี้ได้แต่นั่งเงียบๆ จนกระทั่งเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ได้ยินเสียงคลื้นกระทบกับชายหาด บวกกับกลิ่นเค็มๆของน้ำทะเล
"ขี้เซาเหมือนเดิมนะ"
"นี่ที่ไหนคะ"
ฉันเปิดประตูออกไปนอกรถพร้อมกับกวาดสายตาไปรอบๆ ท้องทะเลยามเย็นช่างสงบนิ่งและเย็นตาด้วยแสงสีทองของพระอาทิตย์ที่กำลังจะลับลาแสงลงจากขอบฟ้า ในขณะที่พี่เกลกำลังเดินตามมายังบริเวณชายหาด โอ้! ช่างเป็นอะไรที่โรแมนติกชวนให้นึกถึงตอนจบของละครหลายเรื่อง ที่พระเอกกับนางเอกจะต้องมาจบบริบูรณ์ที่ฉากยืนกอดกันตอนพระอาทิตย์ตกดินที่ชายหาด
"จำได้มั้ยตอนเด็กๆ เราเคยหนีมาเที่ยวที่นี่กัน"
ฉันพยามทบทวนความจำเมื่อมองไปยังพระอาทิตย์ที่กำลังจะร่ำลาขอบฟ้า ทำให้ฉันนึกถึงสถานที่นี้ได้ ตอนนั้นพี่เกลอายุสิบห้าส่วนฉันก็แค่สิบสาม พี่เกลอยากไปเที่ยวทะเลมากแต่คุณป้ายุ่งกับงานตลอดเดินทางไปต่างประเทศบ่อยแล้วก็นานๆ จะกลับทุกวันนี้ก็ยังเป็นแบบนั้นอยู่ พี่เกลจึงชวนฉันแอบลักหนีมาเที่ยวทะเลกันตามลำพัง ฉันจำได้ว่าตอนนั้นเรานั่งรถไฟกันไปนานมากหลับแล้วหลายตื่นก็ยังไม่ถึงสักที
"ที่นี่ยังสวยเหมือนเดิมเลย"
"เหมือนขมิ้นไงวันแรกสวยยังไงวันนี้ก็ยังสวยไม่เคยเปลี่ยน"
">///<"
แหม…จู่ๆ พี่เกลก็เล่นชมกันโต้งๆ ทำเอาฉันเขินทำหน้าไม่ถูกเลย
"อะไรกันพูดแค่นี้ถึงกับหน้าแดงเชียวเหรอ"
พี่เกลพูดพลางเอามือหยิกแก้มฉันอย่างหมั่นเขี้ยว
"โอ๊ย! เจ็บนะฉันจะโกรธก็ตอนที่พี่ชอบทำเหมือนฉันเป็นเด็กอยู่เรื่อยเลย ฉันโตเป็นสาวแล้วนะมีแฟนได้แล้วด้วย"
ป๊อก!
"นี่แน่"
"โอ๊ย! อยู่ดีๆ พี่มาดีดหน้าผากฉันทำไมเนี่ย"
ฉันเอามือถูไปมาที่หน้าผากเบาๆ เดี๋ยวหยิกเดี๋ยวดีดหน้าฉันช้ำหมด ไม่สวยใครจะรับผิดชอบหะ
"ใครอนุญาตให้คิดจะมีแฟนไม่ทราบ"
"ขมิ้นก็ไม่ได้บอกว่าจะมี แค่บอกว่ามีได้แล้วต่างหาก"
"นั่นไงความหมายเดียวกัน"
"อะไรของพี่ฟังให้ดีสิ ขมิ้นไม่ได้หมายความแบบนั้นสักหน่อย ขมิ้นหมายถึงโตพอที่จะมีแต่ไม่ได้บอกว่าจะมี"
"จะแบบไหนก็ไม่ได้เป็นเด็กก็ต้องเรียนหนังสือห้ามคิดเรื่องนี้เด็ดขาด ตราบใดที่พี่ยังอยู่อย่าหวังว่าผู้ชายคนไหนจะได้เข้าใกล้เธอ"
"ทำไมพี่ต้องหวงฉันขนาดนั้นด้วยล่ะ"
เพื่อนๆ รุ่นเดียวกันกับฉันเขาเปลี่ยนแฟนไม่ต่ำกว่าครึ่งโหลกันไปแล้ว แต่ดูฉันสิสักคนก็ไม่มีหาว่าเป็นเด็กตลอดกาลฉันไม่ใช่คนแคระสักหน่อย ฉันสูงตั้งร้อยเจ็ดสิบหน้าอกก็คับบี แต่แฟนดันไม่มีแถมใครมาจีบก็ไม่ได้ ขนาดตอนฉันอยู่มอปลายเพื่อนในห้องมาแซวฉันนิดเดียวพี่เกลถึงกับพาพวกไปซ้อมซะจนหมอนั่นมาโรงเรียนไม่ได้หลายอาทิตย์ นี่ดีนะพี่เกลเป็นดาราเลยต้องเลิกนิสัยนักเลงไม่อย่างนั้นวันๆ คงเที่ยวชกชาวบ้านไปทั่วขืนหวงแบบนี้มีหวังฉันขึ้นคานกันพอดี
"ก็บอกแล้วไงเป็นเด็กก็ต้องเรียนหนังสือ"
"พี่หาเหตุผลที่มันฟังเข้าท่ากว่านี้หน่อยสิ"
"ก็พี่.. "
"พี่อะไรล่ะ"
"อย่ามาหลอกถามให้ยากไม่พูดด้วยแล้วห้ามมีก็คือห้ามมีเข้าใจ๊ แล้วไม่ว่าใครหน้าไหนพี่ก็จะไม่ยอมยกเธอให้ใครต่อให้เป็นคำสั่งของแม่…" พี่เกลชะงักไปชั่วครู่แล้วก็ไม่พูดอะไรต่อ
"คุณป้ามาเกี่ยวอะไรด้วยคะ "
"…"
พี่เกลเลี่ยงที่จะตอบคำถามด้วยการเดินลงไปที่ริมชายหาดปล่อยให้คลื่นซัดเข้าที่ขาของเขาครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างเงียบๆ เหมือนกำลังคิดอะไรอยู่
"พี่ยังไม่ตอบฉันสักเรื่องเลยนะ" ฉันตะโกนไล่หลังก่อนที่จะเดินตามไปถึงตัวเขาติดๆ แต่พอเขาหันหน้ามาฉันก็ถึงกับใจหาย เรื่องอะไรกันที่ทำให้ใบหน้าของเขาดูทุกใจขึ้นมากะทันหัน ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ใบหน้าของเขายังเต็มไปด้วยรอยเปื้อนยิ้มอยู่เลย
"พะ…พี่เกลเป็นอะไรไปคะ"
"พี่จะไม่ยอมยกขมิ้นให้ใครไม่มีวัน"
พี่เกลโผเข้ากอดฉันอย่างแรง เหมือนกลัวว่าจะมีใครมาพรากเอาฉันหนีหายไปจากชีวิตของเขาอย่างนั้นแหละ ใครจะมาทำแบบนั้นได้ในเมื่อเขาออกจะหวงฉันขนาดนี้มีแต่เขานั่นแหละที่อีกไม่นานก็จะทิ้งฉันไป
"นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ทำไมจู่ๆ พี่ก็เป็นแบบนี้"
"สัญญากับพี่ก่อนไม่ว่ายังไงขมิ้นก็จะไม่…"
"ปล่อยขมิ้นเดี๋ยวนี้นะตาเกล!"
"แม่!! "
"คุณป้า!! "
ผู้หญิงวัยสี่สิบห้าแต่ก็ยังสวยดูดีไม่เปลี่ยนที่ฉันคุ้นหน้าเป็นอย่างดี แต่ทุกครั้งที่ฉันเจอ เธอมักจะมีรอยยิ้มไม่ต่างไปจากพี่เกลให้ฉันเสมอ แต่วันนี้ทุกอย่างดูแปลกไปคล้ายกับพีระมิดกลับหัวผิดรูปผิดร่าง จริงอยู่แม้ว่าสองคนนี้จะไม่ค่อยลงรอยกันสักเท่าไหร่นัก แต่ฉันก็ไม่เคยเห็นเธอโกรธพี่เกลเท่านี้มาก่อน เธอเดินตรงเข้ามาหาเราทั้งสองก่อนจะง้างฝ่ามือตบพี่เกลจนหน้าหัน
"ทำไมแกถึงทำแบบนี้"
"ผมต่างหากที่สมควรจะถามแม่"
"แล้วทำไมฉันจะทำไม่ได้"
"แต่ขมิ้นเป็นคนนะแม่ เธอมีชีวิตจิตใจไม่ใช่สิ่งของที่แม่จะทำยังไงก็ได้"
"แกก็รู้ว่าฉันจำเป็น ถ้าฉันไม่ทำแบบนี้พวกมันฆ่าฉันแน่"
นี่มันเรื่องอะไรกันฉันงงไปหมดแล้ว (- - ) ( - -) ฉันมองพี่เกลกับคุณป้าสลับกันไปมาคาดหวังจะได้คำตอบจากใครสักคน
"กลับไปกับป้านะขมิ้น แล้วป้าจะเล่าทุกอย่างให้ฟัง"
คุณป้าสาวเท้าเข้ามาใกล้ฉันยิ่งขึ้น แต่ทว่าพี่เกลกับดึงฉันให้เข้าไปหลบอยู่ข้างหลังเขาแทน
"อย่าทำแบบนี้เลยผมขอร้อง"
"แกอย่ายุ่ง…ขมิ้น! หนูต้องช่วยป้านะ ฮือ"
คุณป้าเริ่มสะอื้น ทำให้ฉันถึงกับต้องใช้ความคิดอย่างนัก
"จะให้ขมิ้นช่วยอะไรคะ"
"พวกมันขู่จะฆ่าป้า หากหาเงินไปใช้หนี้มันไม่ได้…" เธอหยุดพูดพลางหลบสายตาก่อนจะพูดต่อว่า "ป้าก็เลยยกขมิ้นใช้หนี้แทน"
"คุณป้า!!"
"ผมจะไม่ยอมให้แม่ทำร้ายหัวใจผมเด็ดขาด"
"แกหมายถึงอะไรตาเกล หรือว่าแก…"
"ใช่! ผมรักขมิ้น"
สิ้นประโยคนั้นทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบ ทั้งฉันทั้งคุณป้าต่างตกตลึงแทบไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยินโดยเฉพาะฉัน
"ตลอดเวลาผมมีแต่ความกลัว กลัวว่าตัวเองจะไม่สามารถทำหน้าที่ในสถานะอื่นนอกจากพี่ชายได้ เพราะผมเป็นนักร้องถึงมีความรักแต่ก็บอกให้คนทั้งโลกรู้ไม่ได้ แต่แม่เป็นคนสำคัญสมควรที่จะรู้ว่าลูกชายของแม่คนนี้รักใคร แล้วถ้าแม่ยังยืนกรานที่จะทำร้ายหัวใจผม ผมก็จะขอปกป้องเธอจนถึงที่สุด"
"แล้วยังไง แกจะเห็นแก่ตัวแล้วปล่อยให้ฉันตายไปต่อหน้าต่อตาแกอย่างนั้นใช่มั้ย จะเอาแบบนั้นใช่มั้ย!!"
"แม่มีทุกอย่างพร้อมแต่กลับปล่อยให้ผีพนันเข้าสิง ในเมื่อแม่เป็นคนผูกเรื่องทั้งหมด แม่ก็ควรที่จะแก้เอง"
"ไอ้ลูกเนรคุณ แกเห็นผู้หญิงดีกว่าแม่ตัวเองเชียวเหรอ"
"มันไม่ใช่อย่างนั้น แต่สิ่งที่แม่จะทำมันไม่ถูกต้อง"
"แล้วที่ถูกมันเป็นยังไง แกบอกฉันมาสิ ให้ฉันตายใช่มั้ย ฮือๆ ใช่มั้ยตาเกล ฮือ"
คุณป้าทรุดฮวบลงกับพื้นทั้งน้ำตาอย่างหมดหนทางจนฉันถึงกับกลั้นน้ำตาตัวเองไว้ไม่อยู่ ฉันเดินเข้าไปประคองให้เธอลุกขึ้นแล้วพูดกับเธอว่า
"หนูจะช่วยคุณป้าเอง"
"ขมิ้นพูดจริงๆ นะ"
"ค่ะ"
"ป้าคิดไม่ผิดจริงๆ ที่รับขมิ้นมาเลี้ยงดู ไปกับป้านะคุณลีเขาอยากเจอตัวจริง เขาเห็นในรูปแล้วก็ถูกใจขมิ้นมากป้าไม่เคยเห็นเขาจริงจังเท่านี้มาก่อน รับรองได้ว่าขมิ้น…" แต่เธอยังพูดไม่ทันจบพี่เกลก็เข้ามาดึงฉันให้ออกห่างจากเธอเสียก่อน
"พอได้แล้ว! หยุดพูดสักทีแม่ว่าผมเห็นแก่ตัวแล้วสิ่งที่แม่ทำอยู่มันเรียกว่าอะไร"
"แล้วแกมีทางออกให้ฉันงั้นเหรอ หรือว่าแกยังยืนยันจะให้ฉันตายไปซะ"
"ผมมีแม่คนเดียวตั้งแต่เล็ก แล้วผมจะปล่อยให้แม่ต้องเผชิญชะตากรรมอย่างนั้นได้ยังไง ผมรักแม่นะ แต่ผมก็รักขมิ้นเหมือนกัน ถ้าต้องเสียคนใดคนหนึ่งไปขอเป็นผมแทนได้มั้ย"
"ตาเกล!"
"แม่ขายผมแทนเถอะ ให้ใครก็ได้ขออย่างเดียว แม่อย่าพรากขมิ้นไปจากผม อย่าเอาบุญคุณมาทำร้ายเธอให้ต้องตายทั้งเป็น ผมยอมไม่ได้จริงๆ"
"นี่แกรักขมิ้นขนาดนี้เชียวเหรอ หึ! ก็ได้อย่างแกไม่ใช่แค่พอใช้หนี้แต่ฉันยังมีกำไรไปทำทุนต่ออีกต่างหาก ถ้าแกต้องการแบบนั้นก็เตรียมตัวลาออกจากวงการได้เลย"
หลังจากจบประโยคคุณป้าก็เดินออกไปทั้งน้ำตา ฉันรู้ว่าเธอเจ็บปวดขนาดไหนสิ่งเดียวที่มีค่าในชีวิตเธอคือพี่เกล และถ้าเธอต้องเป็นคนทำลายคนที่เธอรักที่สุดด้วยมือตัวเอง เธอคงไม่มีวันให้อภัยตัวเองแน่ๆ





lovezombie
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 25 ม.ค. 2557, 13:43:00 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 25 ม.ค. 2557, 13:43:00 น.

จำนวนการเข้าชม : 1041





<< บทที่ 3   บทที่ 5 >>
หมูโกโก้ 25 ม.ค. 2557, 16:40:25 น.
อย่าลืมรีบเขียนเเล้วเอามาลงนะคะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account