เพลิงสวาทในรอยทราย
ทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่สมควร ทั้งรู้ดีว่าจะเกิดเรื่องยุ่งยากตามมาภายหลัง แต่ความงามตรงหน้าก็ยากที่จะละสายตาให้ออกห่างจากเอวบางที่ยักย้ายส่ายพลิ้วไปพร้อมกับจังหวะกลอง

เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมที่เขาเคยค่อนแคะ กำลังกลายร่างเป็นนางระบำทรงเสน่ห์ที่ทำให้ใจของชายหนุ่มปั่นป่วน จนกลืนน้ำลายลงคอได้อย่างยากลำบาก

คุณธรรมและความถูกต้องกำลังดึงมูซาให้ออกห่างจากความเย้ายวนตรงหน้า ทว่า...

"ฮาน่า ไม่ว่าเจ้าจะรู้หรือไม่ก็ตามว่าเจ้ากำลังทำให้หัวใจของข้าแทบจะหยุดเต้น เจ้าจะไม่มีทางรอดพ้นอ้อมกอดของข้าในคืนนี้ไปได้"


เล่มนี้เป็นเรื่องราวของชายผู้หายสาบสูญในเรื่องเหลี่ยมรักบัลลังก์ทรายค่ะ ใครยังจำอดีตองค์รัชทายาทมูซาได้มั่งคะ ^^ พบกันหลังปิดต้นฉบับ หวานรักในลมหนาวนะคะ Coming Soon
Tags: ทะเลทราย,มูซา

ตอน: บทที่ 4 ผู้หญิงเข้าใจยาก

บทที่ 4 ผู้หญิงเข้าใจยาก

ร่างบางที่นั่งหลังตรงอยู่หน้ากองไฟกำลังเอาใจใส่อยู่กับตำราในมือ เงาจากแสงสีส้มสาดลงบนแก้มขาวที่เริ่มแดงเพราะถูกความหนาวเย็นกัดกินแต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่ได้ให้ความใส่ใจที่จะหาความอบอุ่นให้กับตัวเอง จนคนที่ลอบมองอยู่รู้สึกขัดใจพิลึกอดไม่ได้ที่จะเข้ามายุ่งทั้งที่รู้ดีว่าผลของการยุ่งจะเป็นเช่นไร

“ข้าว่าเจ้าเข้าไปนอนได้แล้ว มานั่งตากน้ำค้างอยู่ตรงนี้ให้ได้อะไร”

ขนตาหนาเป็นแพกระพือขึ้นพร้อมอาการเหลือบนัยน์ตาคมกริบมองเพื่อนเล่นในวัยเยาว์ด้วยท่าทีเฉยชา
ฟารีดายังถนอมคำพูดที่จะพูดกับคนตรงหน้าเช่นเดิม สิ่งที่เธอทำคือการกระชับเสื้อคลุมหนังแกะเข้าหาตัวเท่านั้นไม่ได้ขยับเขยื้อนไปไหนอย่างที่เตมีต้องการ

“ฟารีดาเจ้าจะเกลียดชังข้าอีกนานแค่ไหน เหตุการณ์วันนั้นเจ้าจะให้ข้าขอโทษและบอกอีกกี่ครั้งว่าข้าไม่ได้ตั้งใจ”

ไม่รู้ว่าคำใดของชายหนุ่มไปกระตุกความรู้สึกขุ่นมัวของหญิงสาว มือที่ถือหนังสืออยู่ปิดฉับเสียงดัง ตวัดสายตาเย็นเหยียบใส่เจ้าของคำพูด

“หยุดพูดได้หรือยังข้าต้องการอ่านตำรา” น้ำเสียงเย็นชาเอ่ยตัดบทขึ้นมาดื้อๆ สายตาหนุ่มๆ ร่วมขบวนที่เฝ้ายามอยู่หลายคู่หันมามองหนุ่มสาวทั้งคู่เป็นตาเดียว ไม่ต้องบอกก็รู้แต่ละคนแสดงอาการสอดรู้สอดเห็นอย่างโจ่งแจ้ง

เตมีขบกรามแน่นจ้องเขม็งไปที่เสี้ยวหน้าด้านข้างของคนที่เอาแต่สนใจตำรา ไม่เห็นค่าในความห่วงใยของเขาแม้แต่นิดเดียว
ผู้หญิงคนนี้จะทำให้เขาเป็นบ้าเข้าสักวัน!

สายตาคมเหลือบมองไปด้านหลังเห็นสายตาหลายคู่หลบวูบด้วยความยำเกรง เตมีถอนสายตากลับมาอยู่ที่ร่างบางของอนาคตผู้สืบทอดตำแหน่งแม่หมอประจำเผ่าอีกครั้ง

“ฟารีดาข้าขอสั่งให้เจ้าเข้าไปนอนได้แล้ว”

“ข้ายังไม่ง่วง หากข้าง่วงข้าจะเข้าไปนอนเองไม่ต้องให้ใครมาออกคำสั่ง”

หากข้าไม่กำราบเจ้าเสียบ้าง ต่อไปข้าคงถูกหัวเราะเยาะลับหลังเป็นแน่

ชายหนุ่มขยับกายตรงเข้าไปคว้าเอาข้อมือเล็ก ร่างบางเกร็งขึ้นทันที อาการขัดขืนต่อต้านของฟารีดายิ่งทำให้เตมีอยากเอาชนะจนลืมสัญญาที่ให้ไว้กับเพื่อนรักอย่างฮาน่าและลืมไปว่าการทำแบบนี้ยิ่งทำให้อีกฝ่ายเกลียดเขายิ่งขึ้นไป

ร่างบางผวาตามแรงดึงของชายหนุ่ม ตำราในมือแทบร่วงเมื่อถูกกำลังจากคนตัวโตลากให้เข้าไปในกระโจมที่พัก ทันทีที่ข้อมือเล็กเป็นอิสระเธอก็ใช้มันผลักอกกว้างของคนที่ถือวิสาสะลากเธอเข้ามาข้างในอย่างกรุ่นโกรธ

“ออกไป ข้าไม่อยากเห็นหน้าเจ้า”

“เจ้าจะโกรธข้าทำไม ข้าหวังดีแท้ๆ”

“ข้าไม่ต้องการ และที่เจ้าทำไม่ได้เรียกว่าหวังดีหรอกนะเตมี แต่มันคือการทำตามอำเภอใจ ไม่สนใจว่าใครจะรู้สึกยังไง เจ้าก็แค่ต้องการกำราบข้าต่อหน้าลูกน้องของเจ้าเท่านั้น”

เตมีวางหน้าไม่ถูกเมื่ออีกฝ่ายพูดแทงใจดำ สายตาเขาเหลือบมองใบหน้าเฉยชาไม่แสดงอารมณ์ มีเพียงมือบางที่กำแน่นเท่านั่นที่บ่งบอกได้ว่าขณะนี้เจ้าตัวกำลังโกรธจัด

อา...เขาทำให้นางโกรธอีกแล้ว

“ข้าขอโทษ”

“ออกไป” ฟารีดายังคงยืนยันต้องการให้เขาออกไปจากกระโจมเช่นเดิม

เสียงถอนหายใจที่มาจากร่างสูงไม่ได้ทำให้การตัดสินใจของหญิงสาวสั่นคลอน

“เอาเป็นว่าข้าไม่อยู่กวนใจเจ้าแล้ว หากเจ้าต้องการอะไรก็เรียกข้าแล้วกัน ข้าจะเฝ้าอยู่ที่หน้ากระโจมไม่ไปไหน“

เตมีเหลือบมองใบหน้าบึ้งตึงของคนที่หันข้างให้อีกครั้งก่อนจะถอยออกจากกระโจม ฟารีดาก็ยังคงเป็นฟารีดา ผู้หญิงที่เข้าใจยาก

“เจ้าเหมาะจะเป็นราชินีน้ำแข็งมากกว่าจะเป็นแม่หมอเสียอีกนะ” คำพูดทิ้งท้ายก่อนออกจากกระโจมทำให้หญิงสาวเผลอตวัดสายตาค้อนให้หนึ่งที น่าเสียดายมี่ชายหนุ่มหันหลังให้เสียก่อนเลยไม่ทันได้เห็น


ลูกชายคนเดียวของหัวหน้าเผ่านากา ผู้ที่ต้องสืบทอดตำแหน่งหัวหน้าเผ่าคนต่อไปยามนี้ได้มานั่งหนาวอยู่หน้ากระโจมของเพื่อนรักแทนที่จะได้เข้าไปนอนห่มหนังแกะอุ่นๆ ที่กระโจมกับลูกน้องที่มาออกค่ายฝึก จริงๆ แล้วลูกน้องเขาเอ่ยอาสาจะช่วยเฝ้าให้เพราะอยากให้เขาได้พักผ่อน แต่เป็นเขาเองที่ไม่ไว้ใจผู้ชายหน้าไหน ตัวเองถึงได้มาลำบากอยู่ตอนนี้โดยไม่รู้เลยว่าที่ทำไปทั้งหมดคนที่นอนอยู่ข้างในจะเห็นความดีของเขาหรือเปล่า

“ข้าจะทำยังไงดีนะฮาน่า เพื่อนของเจ้าจึงจะเลิกมองข้าเหมือนคนแปลกหน้าเสียที” เตมีเงยหน้ามองดาวที่กระจายเต็มท้องฟ้า ถ้อยคำรำพันที่เอ่ยออกมาเจ้าตัวรู้ดีว่าแม้แต่ฮาน่าก็ไม่สามารถตอบเขาได้

คนที่จะให้คำตอบเขาได้มีเพียงคนเดียวก็คือคนที่ยังคงนอนลืมตาโพล่งในความมืดอยู่ด้านในกระโจมเท่านั้น

ฟารีดาหลับตาลงเมื่อเสียงลมหายใจของคนด้านนอกสม่ำเสมอ เขาคงจะหลับอยู่หน้ากระโจมเธอเฉกเช่นทุกวัน ภายใต้เปลือกตาที่ปดสนิทของว่าที่แม่หมอประจำเผ่าคนต่อไปปรากฏภาพวันวานฉนวนเหตุการณ์ความหมางเมินที่เกิดขึ้นเมื่อ 1 ปีก่อน

ฟารีดาในชุดคลุมกายสีขาวที่เดินอกมาจากระโจมศูนย์ประชุมหลังสิ้นสุดการประชุมภาคีของเผ่าเร่ร่อนประจำปีเพื่อแนะนำผู้นำคนสำคัญและผู้มีบทบาทสำคัญของแต่ละเผ่าให้เป็นที่คุ้นหน้าคุ้นตา เธอเองก็คือ 1 ในคนสำคัญที่ได้เข้าร่วมประชุมในฐานะแม่หมอคนต่อไปของเผ่านากา

“เดี๋ยวก่อน” เสียงทุ้มเอ่ยรั้งหญิงสาวเอาไว้ ชายหนุ่มผิวเข้มที่ฟารีดาจำได้ว่าเขาคือหัวหน้าเผ่าคนต่อไปของเผ่าลี คิ้วเรียวเลิกขึ้นอย่างแปลกใจ แต่ก็ไม่เอ่ยอะไรออกไป ทำเพียงแค่หยุดมองเขาเท่านั้น

“เอ่อ เจ้าจะไปไหนเหรอ”

“ข้ากำลังจะกลับที่พัก ท่านมีอะไรจะคุยกับข้างั้นหรือ”

สีหน้ากระอักกระอ่วนของหนุ่มผิวเข้มทำเอาฟารีดาอดไม่ได้ที่จะยิ้มตาม เพราะอาการแบบนี้ช่างขัดกับบุลคลิกภายนอกที่ดูดุดันนัก
“ข้าคงมาที่นี่ได้ไม่บ่อยนัก เอ่อ หากเมื่อไหร่ที่ข้ามาที่นี่เจ้าจะให้เกียรติข้าโดยการ เอ่อไปเที่ยวกับข้าบ้างได้หรือไม่”

ฟารีดาไม่ใช่หญิงสาวที่อ่อนต่อโลกที่จะไม่เข้าใจว่ากิริยาและคำพูดของหนุ่มตรงหน้าต้องการสื่อถึงสิ่งใด ถึงเธอจะไม่ได้คิดอะไรกับเขาในตอนนี้ แต่การปฏิเสธเขาทันทีทั้งที่เพิ่งประชุมภาคีระหว่างเผ่าไปมันไม่ใช่เรื่องที่ควรทำ ‘การผูกมิตรนั้นย่อมดีกว่าการสร้างศัตรู’ ท่านแม่ของเธอเคยกล่าวเอาไว้ ดังนั้นคำตอบที่ออกจากปากของหญิงสาวจึงมีเพียงคำว่า ตกลง

แต่เธอคิดไม่ถึงว่าการสนทนาสั้นๆ ของเธอกับว่าที่หัวหน้าเผ่าลีนั้นจะกลายเป็นข้อสนทนาที่คนนำไปซุบซิบนินทาสนุกปาก ไม่เว้นแม้แต้เพื่อนที่เห็นกันมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยอย่างเตมี

“ข้าได้ยินว่าลูกชายเผ่าลีเกี้ยวพาราสีเจ้า เป็นเรื่องจริงหรือเปล่า แล้วที่เขาลือว่าเจ้าตกปากรับคำนัดเดทกับเขานี่ก็จริงด้วยหรือเปล่า”

มือบางวางตำราลงเหลือบมองผู้บุกรุกกระโจมแวบหนึ่ง แล้วก็ไม่ได้สนใจเขาอีก แต่กลับลุกขึ้นทำธุระจัดเตรียมของเผื่อไปค้างแรมเข้าค่ายฝึกสมาธิร่วมกับแม่หมอเผ่าอื่นๆ ในภาคี

ท่าทีเสมือนไม่เห็นเขายืนอยู่ตรงนั้นบวกกับการไม่ปฏิเสธของฟารีดาทำให้ผู้ที่กำลังร้อนใจ หงุดหงิด และโกรธอย่างไม่ทราบสาเหตุถึงกับฉุนขาดตรงรี่เข้าไปหาร่างบางที่เก็บเสื้อผ้าเข้ากระเป๋าให้หันมาคุยกับเขาให้รู้เรื่อง

“เจ้ายังไม่ได้ให้คำตอบข้า” น้ำเสียงคุกคามของเตมีทำให้ฝ่ายถูกถามขมวดคิ้วไม่พอใจ

“ปล่อยข้าเดียวนี้นะเตมี” อาการขัดคืนพยายามสะบัดตัวออกจากมือที่แข็งปานคีบเหล็กของเขายิ่งทำให้ชายหนุ่มกรุ่นโกรธขึ้นมาอีก10 ระดับ

“เจ้าก็ตอบข้ามาสิว่าที่ข้าได้ยินมามันจริงหรือเปล่า”

“แล้วเจ้าจะมาคาดคั้นข้าทำไมกัน เรื่องแค่นี้เดี๋ยววันสองวันข้าไม่อยู่ที่นี่คนเขาก็ลืมกันแล้ว มันก็เป็นอย่างนี้ไม่ใช่หรือ”

“เจ้าตอบไม่ตรงคำถามนะฟารีดา”

ว่าที่แม่หมอได้แต่กรอกรตาไปมาอย่างระอา ส่วนอาการขัดขืนนั้นเธอเลิกไปนานแล้ว เพราะดิ้นไปก็มีแต่เจ็บเนื้อเจ็บตัวเปล่าๆ คนอย่างเตมีเองก็ดื้อด้านไม่ต่างจากฮาน่านักหรอก

“ใช่ ข้าตกลงรับคำชวนของเขา”

นัยน์ตาเข้มเบิกโปลง ปล่อยมือจากต้นแขนเรียวอย่างตกตะลึงคาดไม่ถึงกับคำตอบที่ได้รับ

“เจ้าตกลงไปได้ยังไง เจ้าเองก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าด้วยหน้าที่ของเจ้าต้องถือพรหมจรรย์”

“เตมี! เจ้าล้ำเส้นข้าเกินไปแล้วนะ ใช่ข้าต้องรักษาพรหมจรรย์แต่เจ้าคงลืมไปแล้วว่าเมื่อช่วงอายุผ่านพ้นวัยเลขสองข้าต้องลงจากตำแหน่งและเข้าสู่พิธีแต่งงานตามประเพณีกับชายสักคน หากเขายินดีจะรอข้าในอีก 10 ข้างหน้ามันก็ดีไม่ใช่รึไง”

ณ เวลานั้นไม่รู้อะไรเข้าสิงเตมีเขาถึงได้รู้สึกหูตาพร่ามัวยิ่งจินตนาการตามคำบอกเล่าของอีกฝ่ายเขาก็คล้ายจะได้ยินเสียงอื้ออึงอยู่ในแก้วหู

“ถ้างั้นเจ้าไม่ลองฝึกกับข้าก่อนเล่าฟารีดาอย่างน้อยข้าก็เป็นเพื่อนที่เห็นเจ้ามาตั้งแต่เยาว์วัย” จบประโยคเตมีก็ได้ทำในสิ่งที่เลวร้ายที่สุด สิ่งที่ทำให้เขาเสียเพื่อนคนหนึ่งไปตลอด

ริมฝีปากได้รูปประกบลงริมฝีปากบางสีส้มอ่อนของฟารีดา ร่างสูงปล้ำจูบเพื่อนรักอยู่ครู่ใหญ่ต้องชะงักเมื่อรับรู้ได้ถึงความชื้นที่แก้มสากสัมผัสได้ นั้นแหละสติของชายหนุ่มจึงคืนสู่ร่าง แม้จะผละออกมาแล้วมองคนที่น้ำตาไหลเป็นสายด้วยความรู้สึกผิดแค่ไหนก็ไม่อาจเรียกสิ่งที่ทำลงไปคืนมาได้

ฟารีดาไม่ได้ตบเขาอย่างที่ควรจะทำ เธอเพียงแค่ยืนกันหลังให้และบอกให้เขาออกไปจากกระโจมเท่านั้น แค่เพียงเท่านี้เตมีก็ไม่อาจจะฟืนคำสั่งของอีกฝ่ายได้ เพราะรู้ดีว่าตนเองนั้นได้ทำผิดมหันต์เพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบของคำว่า เป้นครั้งแรกที่ชายหนุ่มได้รู้จักฤทธิ์ของคำว่า ‘หึงจนหน้ามืด’

ริมฝีปากบางยังคงรู้สึกร้อนวูบวาบทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องเมื่อหนึ่งปีก่อน เธอพยายามลืม ทำเหมือนมันไม่เคยเกิดขึ้น แม้มันจะไม่ใช่อุปสรรคในการฝึกสมาธิ แต่ต้องยอมรับว่ามันก่อกวนจิตใจเธอในยามปกติอยู่บ่อยครั้ง ฟารีดาพลิกร่างข่มตานอน สั่งให้ตัวเองหยุดคิดเรื่องผู้ชายที่อยู่นอกกระโจมเสีย

ตอนนี้หน้าที่สืบทอดตำแหน่งแม่หมอสำคัญกับข้าที่สุด ข้าจะไม่คิดเรื่องไร้สาระพวกนี้อีก

เธอยังคงใช้คำพูดที่เคยพูดอยู่เสมอเอามาเตือนสติตัวเอง แต่ไม่วายนึกโทษเพื่อนรักที่ทำให้เธอต้องมาเจอสถานการณ์อึดอัดแบบนี้อีกเป็นครั้งที่สอง

“กลับไปข้าจะไม่ปราณีเจ้าเลยฮาน่า”

ฟารีดาและเตมีไม่คิดเลยว่าการไปออกค่ายล่าสัตว์ของพวกเขาในระยะเวลาเพียง 5 วัน จะเกิดเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงได้มากขนาดนี้ เมื่อวันที่คณะของพวกเขากลับมาถึงเผ่าก็พบว่าผู้คนในเผ่ากำลังตระเตรียมงานมงคลที่ไม่ได้มีมานานเกือบหนึ่งปีเต็ม ที่น่าตกใจคือเจ้าบ่าวเจ้าสาวไม่ใช่ใครที่ไหนล้วนแต่เป็นคนที่เขาคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี

ร่างสูงปลีกตัวออกจากคณะตรงดิ่งไปที่บ้านว่าที่เจ้าสาวในคืนนี้ทันที โดยไม่เห็นสายตาของฟารีดาที่มองตามหลังอย่างผิดหวัง

“ฮาน่า ฮาน่า!” เสียงโหวกเหวกโวยวายมาก่อนตัว ทำเอาเจ้าของชื่อหน้ามุ่ยถอนหายใจอย่างคนที่รู้ชะตาชีวิตดีว่าอีกฝ่ายร้อนรนมาด้วยเรื่องอะไร

เสียงสะบัดกระโจมตามมาด้วยเสียงฝีเท้าตึงตังของเพื่อนรักที่แทบจะหอบเอาฝุ่นตลบเข้ามาในกระโจมของเธอนั้นทำให้คนที่นั่งหันหลังอยู่หลับตาลงตั้งสมาธิสรรหาถ้อยคำที่จะทำให้ตนเองต้องตอบคำถามกับเขาน้อยที่สุด

“ครั้งนี้ทำไมเจ้ากลับมาเร็วนักล่ะ”

“ถ้าท่านพ่อไม่ให้คนไปตาม ข้าก็คงไม่รู้สินะ นี่เจ้าเกิดบ้าอะไรขึ้นมาฮาน่าถึงได้ไปตกลงแต่งงานกับไอ้คนไม่รู้หัวนอนปลายเท้าอย่างเจ้าหมอนั่น”

“ข้าต้องรับผิดชอบที่พาเขามา”

“ฮาน่า! นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะ”

“ข้าก็ไม่ได้บอกว่าเป็นเรื่องล้อเล่น อ้าวแล้วนี่เจ้าไปทิ้งเพื่อนรักของข้าไว้ที่ไหน ฟารีดาไม่มาด้วยหรือ”

ชื่อที่อีกฝ่ายเอ่ยถึงสร้างปฏิกิริยาเล็กน้อยให้กับเตมี อย่างน้อยชื่อนี้ก็ช่วยหยุดคำถามจากเพื่อนตัวโตของเธอได้

เตมีเองเพิ่งจะนึกได้ว่าปล่อยคนที่ถูกถามทิ้งเอาไว้กับลูกน้องของเขา ก็จะให้ทำยังไงได้ล่ะในเมื่อตั้งแต่วันนั้นเธอก็ไม่พูดจาพาทีกับเขาอีกเลย เอาแต่หลบเลี่ยงตลอกบุญเท่าไหร่แล้วที่เธอไม่ขอกลับมาก่อน

“นี่อย่าบอกนะว่าไปทำให้ฟารีดาโกรธอีกแล้วน่ะ เจ้านี่น้า ข้าอุตส่าห์คิดว่าคราวนี้พวกเจ้าจะมีเวลาปรับความเข้าใจคืนดีกันแล้วแท้ๆ ว่าแต่ข้าถามจริงๆ เถอะเตมี เจ้าไปทำอะไรให้นางโกรธเหรอ ปกตินางไม่ใช่คนโกรธใครง่ายๆ แสดงว่าสิ่งที่เจ้าทำต้องร้ายแรงมากแน่ๆ”

ใช่ มันร้ายแรงในความรู้สึกนาง แต่กับข้า ข้าอาจเลวที่ไม่รู้สึกเสียใจที่ทำลงไป

ฮาน่ามองเพื่อนรักอย่างสงสัย เธอเคยถามคำถามนี้กับฟารีดาแล้วครั้งหนึ่งแต่นางไม่ตอบอะไร พอมาถามเจ้าตัวต้นเหตุก็ไม่ยอมบอกอีก ครั้งนี้เป็นอีกครั้งที่เธอคงไม่ได้คำตอบจากปากของเตมี

ดูก็รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ตอบแน่ๆ แถมไม่ยอมสบตาเธออีก

“เจ้าไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่อง ข้ามาด้วยเรื่องของเจ้า ไม่ใช่ให้เจ้ามาซักข้านะ ฮาน่านี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมเจ้ายอมให้เกิดเรื่องแบบนี้”

“เรื่องนี้พ่อของเจ้าน่าจะให้คำตอบได้ดีกว่าข้านะเตมี”

“พ่อของข้า? ทำไม เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับพ่อข้า เจ้าอย่าบอกนะว่านี่เป็นคำสั่งของพ่อข้า”

ฮาน่าเม้มปาก นึกละอายอยู่ไม่น้อยหากจะโยนความผิดทั้งหมดให้กับท่านหัวหน้าเผ่าก็ดูจะร้ายกาจเกินไป เพราะเรื่องทั้งหมดเธอเองก็มีส่วนที่ทำให้มันเกิดเรื่องเช่นนี้อยู่เหมือนกัน

“ช่างเถอะ ในไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้ายังไงพิธีก็ต้องเริ่มแล้ว”

“เจ้าเต็มใจกับการแต่งงานครั้งนี้เหรอ เจ้าบอกข้าสิ หากเจ้าไม่ยอมข้าจะไปบอกพ่อข้าเอง”

ว่าที่เจ้าสาวถอนหายใจหน่ายๆ เธอเข้าใจในความหวังดีของเพื่อน แต่เธอเองรู้ดีกว่าใครว่าต่อให้เป็นเตมีก็เถอะ ไม่มีประโยชน์ที่จะไปพูดอะไรตอนนี้

“เจ้าไม่ต้องห่วงข้าหรอก ข้าตัดสินใจดีแล้ว เจ้ากลับไปเถอะ อีกหน่อยพวกเพื่อนเจ้าสาวจะเข้ามากันแล้วคงไม่ดีเท่าไหร่หากเห็นข้าอยู่กับเจ้า”

เตมีทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้วก็ตัดสินใจไม่พูด พร้อมเดินออกจากกระโจมไปทิ้งให้ฮาน่ามองตามอย่างไม่เข้าใจ


ที่กระโจมพยาบาลร่างสูงเอนกายเปลือยท่อนบนอยู่บนเตียงพยาบาล ในมือถือเพชรสีชมพูขึ้นส่องกับแสงไฟ คิ้วเข้มขมวดอย่างพยายามนึกหาที่มาของเจ้าอัญมณีเลอค่าชิ้นนี้แต่ไม่ว่านึกยังไงก็นึกไม่ออก เขาไม่ใช่คนชอบซื้อพวกเครื่องประดับเอาใจสาวๆ ไม่ใช่พวกชอบสะสมของมีค่าเหล่านี้ไว้กับตัว

“หรือว่าจะมาจากสาวๆ คนใดคนหนึ่ง” เขาหมายถึงบรรดาสาวๆ ที่เขาเคยมีความสัมพันธ์ด้วย พอนึกมาถึงตรงนี้ใบหน้างามหยดของสาวคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้น

เป็นไปได้ว่าเจ้าของเพชรสีชมพูชิ้นนี้จะเป็นของอแมนด้าคู่นอนคนล่าสุดที่เขาเพิ่งถอยห่างจากเธอได้ไม่นานก่อนจะโดนตามล่าจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด เมื่อสามีของเธอส่งคนมาตามเก็บเขาถึงที่

ริมฝีปากหยักที่เรียบเนียนไร้รอยแผลแสยะยิ้มอย่างสมเพชในชะตาชีวิตตัวเอง เพราะความเสเพลและใช้ชีวิตเหมือนคนไร้ค่าของเขาเกือบทำให้ชายที่ชื่อมูซาต้องตายไปจากโลกแล้วจริงๆ

“ข้าต้องขอบคุณเจ้าสินะเด็กน้อยที่ช่วยให้ชีวิตใหม่แก่ข้า” มือหนาลดลงข้างลำตัวเอื้อมไปหยิบกล่องไม้ตรงเหนือหัวเตียงเก็บเพชรสีชมพูเม็ดเป้งลงไปข้างใน

ร่างสูงยืดตัวขึ้นสายตาสีน้ำตาลทองเต้นระริกด้วยความสนุกเมื่อมองเห็นชุดเจ้าบ่าวที่ถูกส่งมาให้ตั้งแต่เมื่อเช้า จะว่าไปนับตั้งแต่มีการกำหนดวันแต่งงานอย่างเป็นทางการเขาก็ไม่ได้เห็นใบหน้าดื้อดึงของว่าที่เจ้าสาวมา 3 วันเต็มๆ แล้วสินะ

มือหนาที่กำลังจะแตะชุดชะงักกึกเมื่อถูกผู้บุกรุกตรงเข้ามาผลักอกถึงในกระโจม

“เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่” เตมีถามด้วยน้ำเสียงที่พยายามระงับอารมณ์โกรธอย่างสุดความสามารถ

“โอ๊ะ นี่มันอะไรกัน” มือหนาทำท่าปัดบริเวณที่ถูกอีกฝ่ายผลัก คิ้วหนาเลิกขึ้นนั้นไม่น่าหมั่นไส้เท่าใบหน้ากวนๆ ที่กอดอกมองลูกชายหัวหน้าเผ่านากาอย่างท้าทาย

“เจ้าต้องไม่เข้าพิธีแต่งงานกับฮาน่า เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่ ถึงฮาน่าจะถูกบังคับ แต่เจ้าไม่ใช่คนของนากาพ่อข้าไม่มีทางบังคับเจ้าได้”

“ที่เจ้ามาบอกให้ข้ายกเลิกงานแต่งนี่เพราะว่าเจ้าหลงรักนางอยู่รึไง”

“มันไม่เกี่ยวกับเจ้า”

“งั้นเรื่องที่เจ้ามาขอร้องก็ไม่เกี่ยวกับข้า ไม่มีความจำเป็นที่ข้าต้องปฏิเสธสาวงามนี่”

“ใช่ ข้ารักนาง”

เตมีกำหมัดแน่น เขาไม่อยากให้เพื่อนต้องตกนรกทั้งเป็นแต่งงานกับคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จักมักจี่และที่สำคัญคือเป็นคนที่เขาเกลียดขี้หน้าตั้งแต่แรกพบ ชายหนุ่มจึงยอมโกหกเพราะคิดว่าอีกฝ่ายจะรู้แล้วจะยอมทำตาม แต่เปล่าเลยเจ้าคนแปลกหน้าดันทำเพียงแค่ยักไหล่แล้วยังตอบกวนประสาทเขาอีก

“งั้นยิ่งไม่เกี่ยวกับข้าไปกันใหญ่ หมดธุระของเจ้าแล้วก็ขอเชิญเจ้ากลับออกไปด้วย เจ้าบ่าวจำเป็นต้องเตรียมตัวเหมือนกัน”

วินาทีนั้นมือที่กำหมัดแน่นเตรียมจะพุ่งเข้าใส่สีหน้ากวนๆ ของมูซาหากไม่ทันได้ส่งหมัดออกไปก็ถูกเสียงที่คุ้นหูร้องห้ามเสียก่อน

“เตมี! เจ้ามาทำอะไรที่นี่ กลับไปกับข้าเดี๋ยวนี้” บาบาลีสั่งบุตรชายคนเดียวด้วยน้ำเสียงห้วนสั้น ก่อนจะหันไปสบตากับร่างแกร่งที่ยังคงเปลือยท่อนบนอยู่

“ท่านพ่อมาก็ดีแล้ว ข้ามีเรื่อง”

“หุบปาก แล้วกลับไปรอข้าที่กระโจม เตรียมตัวเข้าร่วมพิธีแต่งงานของเพื่อนรักของเจ้าเสีย”

เตมีอ้าปากค้าง เขาทำท่าจะเถียงแต่ถูกสายตาดำขลับของผู้เป็นพ่อจ้องเขม็ง จึงจำใจต้องหันหลังออกจากกระโจมไปด้วยความเจ็บใจที่ช่วยเหลืออะไรเพื่อนรักไม่ได้

พออยู่กันตามลำพัง บาบาลีถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่หันมาสบตากับร่างสูงที่หยิบจับเสื้อผ้าออกมาสวมโดยไม่สนใจเขาที่ยืนอยู่ตรงนั้นแม้แต่น้อยจนเขาต้องกระแอมไอร่างสูงจึงเหลือบสายตามามอง

“ข้าขอบใจเจ้ามากที่ตกลงตอบรับพิธีแต่งงานในวันนี้ เจ้าอย่าได้ถือสาลูกชายข้าเลย”

“ไม่ให้ข้าถือสาทั้งที่ลูกชายท่านมาป่าวประกาศกับข้าว่าหลังรักว่าที่เจ้าสาวของข้างั้นหรือ”

บาบาลีหน้าตาตื่น เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะให้คำตอบแก่เขา “ใช่ ข้ารู้จักลูกชายข้าดี สิ่งที่เตมีรู้สึกกับฮาน่าไม่ใช่ความรักฉันหนุ่มสาว ที่เขาพูดอาจเพราะต้องการให้เจ้าโกรธและยกเลิกงานนี้เท่านั้น เขาคงรู้ว่าฮาน่าเอง เอ่อ ลำบากใจกับการแต่งงานครั้งนี้ เขาก็แค่รักเพื่อนมากเท่านั้นเอง”

ใบหน้าหล่อเหลาที่เหลือรอยแผลจางๆ แสยะยิ้มมุมปากคล้ายไม่เชื่อในสิ่งที่ผู้นำเผ่ากล่าวอ้าง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไปอีก

“ข้ามาที่นี่เผื่อจะมาขอสัญญาจากเจ้า”

มือที่ติดกระดุมด้านหน้าชะงัก หันมามองผู้อาวุโสอย่างเต็มตาด้วยสีหน้าเรียบเฉยแต่แววตาดุดันอย่างเห็นได้ชัด

“อะไร”

“ข้ามาขอสัญญาลูกผู้ชายจากเจ้า มูซา”

สิ่งที่บาบาลีขอไม่ใช่สิ่งที่เขาให้ไม่ได้ เพียงแต่ในอนาคตถ้าย้อนเวลากลับไปได้เชื่อว่าเขาจะไม่ยอมตกลงด้วยเป็นแน่





ลาฌีนุส
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 13 ก.พ. 2557, 21:39:01 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 13 ก.พ. 2557, 21:39:01 น.

จำนวนการเข้าชม : 1299





<< บทที่ 3 เจ้าเป็นใครกันแน่ 100%   บทที่ 5 ตามล่า >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account