ภิรมย์รัก
กุลสตรี!

รุจิรดาแอบเบ้ปากด้วยความเบื่อหน่ายปนขุ่นเคือง
หากนับว่าการที่เธอยื่นมือออกไปช่วยเหลือน้องสาวของ หม่อมเจ้าอดุลย์วิทย์ นั้นไม่เป็นกุลสตรี
หญิงสาวก็ยอมรับตามความจริง
แต่เมื่อคนที่ชี้ความจริงข้อนี้ให้เธอรู้เป็นพี่ชายของคนที่เธอช่วยเอาไว้
หญิงสาวจึงรู้สึกเหมือนตนกำลังทำคุณบูชาโทษ
ต่อแต่นี้ไปก็อย่าได้มาเจอะมาเจอกันอีกเลยเป็นดีที่สุด!

หากภาวนาไปไม่พ้นสามวัน
คนที่เธอไม่อยากพบเจออีกในชาตินี้ กลับมาเป็นอาจารย์ของเธอเอง
คราวนี้คงต้องฟังแลกเชอร์ว่าด้วย “ความเป็นกุลสตรี” เสียจนหูชาแน่ๆ
เธอต้องหาทางหนีสถานเดียว!

แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร...
ยิ่งพยายามหนีให้ไกลจากดวงตาสีดำคูคมนั้นเท่าไหร่
กลับยิ่งเหมือนอีกฝ่ายจะไล่ตามมาไม่ปล่อยเสียอย่างนั้น!

Tags: ย้อนยุค,ศิษย์,อาจารย์,ท่านชาย,ท่านหญิง,ความรัก,พีเรียด

ตอน: บทที่ 10 [70%]

“ชายอดุลย์...นั่นชายอดุลย์ใช่หรือเปล่า?”

ท่ามกลางบรรยากาศงานเลี้ยงที่เจ้าของงานบอกกับเพื่อนๆ แค่ ‘เป็นกันเอง’ ทว่าเพราะแขกเหรื่อที่เชิญมานั้นมีทั้งผู้หลักผู้ใหญ่ในทางราชการหลายๆ คน จึงทำให้งานที่บอกว่าจะเป็นกันเองแปรเปลี่ยนเป็นงานกาล่าดินเนอร์กลางสวนได้อย่างไม่ยากเย็นนัก

หม่อมเจ้าอดุลย์วิทย์สีพระพักตร์ไม่แปรเปลี่ยนเลยแม้แต่น้อย ยามที่หันไปทอดพระเนตรเห็นผู้มาใหม่ที่ก้าวยาวๆ เพียงไม่กี่ก้าวก็มาถึงวรองค์สูงสง่าที่กำลังยืนอยู่กับบิดาของมนต์ณัฐ ร่างสูงสง่านั้นอยู่ในสูทสีครีมเกือบขาว ที่ส่งให้ผู้สวมใส่ดูทรงเสน่ห์มากยิ่งขึ้น

“ชายอดุลย์จริงๆ ด้วย ไม่ได้เจอกันนานเลยทีเดียว”

ชายวัยกลางคนผู้เป็นบิดาของมนต์ณัฐรีบทำความเคารพผู้มาใหม่ อีกฝ่ายยิ้มแย้มตอบอย่างยินดี ก่อนจะหันมายื่นมือให้วรองค์สูงที่ยังคงประทับนิ่ง บนริมโอษฐ์มีเพียงรอยแย้มสรวลบางๆ เท่านั้น

หม่อมเจ้าอดุลย์วิทย์ยื่นหัตถ์ไปจับตามมารยาท “ท่านชายพิชญ์ ไม่ได้เจอกันนานจริงๆ เพิ่งกลับมาจากอังกฤษหรือครับ ยังสำราญดีอยู่หรือ?”

ท่านชายพิชญ์ หรือหม่อมเจ้าพิชญวรรธ วัฒนา สรวลไม่ดังนัก “สำราญกาย แต่ไม่สำราญใจ ชายอดุลย์ก็รู้นี่ว่าตำแหน่งเลขานุการทูตชั้นเอกมีงานยุ่งมากขนาดไหน ที่กลับมานี่เพราะลาหยุดพาหญิงวรรณกลับมาเยี่ยมเสด็จพ่อของหญิงเขา มางานนี้ได้ก็เพราะคุณมนูญเธอเชิญผมมา พอดีว่าตอนที่เธออยู่ลอนดอน เราได้พบปะกันบ้าง จริงๆ ชายอดุลย์ก็น่าจะรู้จักคุณมนูญนี่นะ ลูกชายท่านรัฐมนตรีคนนี้ไปเรียนต่อตั้งแต่ชายเป็นเลขาฯ อยู่นี่”

สุรเสียงกลั้วเสียงสรวลคล้ายเรื่องที่รับสั่งไม่มีอะไรพิเศษ หากแววเนตรขุ่นเคืองที่วาบขึ้นเพียงชั่วครู่ ทำให้คนมองจับสังเกตอะไรบางอย่างได้

หาก ‘อดีต’ เลขานุการทูตชั้นเอกกลับมิได้แสดงกิริยาใด เพียงรับสั่งถามต่อด้วยสุรเสียงอ่อนโยนเช่นเดิม

“แล้วท่านทูตกับคุณหญิงภริยาเล่า เป็นอย่างไรบ้าง ตั้งแต่ผมลาออก ก็ไม่ได้เมล์ติดต่อกับคนในสถานทูตเลย ได้แต่หวังว่าคงสำราญกันอยู่เหมือนเดิมทุกคน”

“ก็สบายดี มีความสุขกันดีนะ ทุกคนฝากความระลึกถึงมาให้ชายด้วย” หม่อมเจ้าพิชญวรรธแย้มโอษฐ์จนเห็นไรทนต์เป็นระเบียบงาม ยามรับสั่ง “ไม่มีใครลืมอดีตเลขานุการเอกที่มีความสามารถเป็นเลิศอย่างชายได้หรอก ขนาดพี่มารับตำแหน่งต่อจากชาย ก็ยังมีเสียงเยินยอ ‘ท่านชายอดุลย์’ ให้ได้ยินอยู่บ่อยครั้งไป”

สุรเสียงเล่านั้นฟังดูสนุกสนาน หากกับคนที่เคยมี ‘คดี’ ต่อกันแล้ว...

...คล้ายอีกฝ่ายกำลังจะกรีดเปิดลงบนบาดแผลเก่าอย่างสนุกสนานเสียอย่างนั้น!

หม่อมเจ้าอดุลย์วิทย์สีพระพักตร์ไม่เปลี่ยนเลยซักนิดยามรับสั่งตอบกลับด้วยสุรเสียงกลั้วเสียงสรวลน้อยๆ “งานนั้นจำต้องมีทั้งทักษะ ความสามารถ และประสบการณ์กอปรเข้าด้วยกัน ดังนั้นอย่าเพิ่งปริวิตกไปเลยท่านชาย เวลาผ่านไปอีกหน่อยก็คงเข้าที่เข้าทางกันเองล่ะครับ”

ท่านรัฐมนตรีสุชาติยืนนิ่ง ถือแก้วไวน์ในมือด้วยท่าทางสบายๆ ยามมองดู ‘นักการทูต’ ทั้งสองฝ่ายโต้ตอบกันด้วยวาจาคนละประโยคสองประโยค จนถึงประโยคท้ายที่หม่อมเจ้าอดุลย์วิทย์รับสั่ง ชายวัยกลางคนจึงเกือบยิ้มออกมา หากระงับอาการตนเองไว้ได้ทันท่วงที

...เมื่อก่อนท่านมีโอกาสได้รู้จักกับหม่อมเจ้าอดุลย์วิทย์ ได้พบและได้สนทนากันไม่กี่ครั้ง ทว่าด้วย ‘วงใน’ ของท่าน จึงทำให้ทราบเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับวรองค์สูงสง่าตรงหน้านี้พอสมควร

โดยเฉพาะเรื่องที่ว่า เหตุใดจึงทรงลาออกจากตำแหน่งเลขานุการทูตเอก ทั้งๆ ที่ใกล้จะได้เลื่อนตำแหน่งเป็นราชทูตแล้ว เหตุใดหม่อมเจ้าพิชญวรรธจึงทรงได้รับตำแหน่งต่อ ทั้งๆ ที่ในยามนั้นมีผู้มีคุณสมบัติเหมาะสมกับตำแหน่งรออยู่แล้ว

รวมทั้งเรื่องที่จู่ๆ หม่อมเจ้าอดุลย์วิทย์ก็ทรงถอนหมั้นจากพระคู่หมั้น และพระคู่หมั้นก็กลับไปหมั้นกับ ‘เลขานุการทูตชั้นเอก’ คนใหม่ ที่กำลังประทับยืนอยู่ตรงหน้าท่าน ณ ตอนนี้!

สีพระพักตร์ของหม่อมเจ้าพิชญวรรธกระด้างขึ้นเล็กน้อย ทว่าเพียงชั่วขณะเดียวก็แย้มสรวลออกมาอย่างทรงเสน่ห์อีกครั้ง ก่อนจะรับสั่งด้วยสุรเสียงสบายๆ

ทว่าท่านรัฐมนตรีสุชาติกลับรับรู้ถึงคลื่นใต้น้ำที่หมุนวนอยู่เงียบๆ ระหว่างราชนิกูลทั้งสอง

“อ้อ ลืมไป หญิงวรรณก็มางานนี้ด้วยนะ ชายอดุลย์ก็ไม่ได้พบเธอนานเหมือนกันนี่”

“ครับ” ท่านชายอดุลย์วิทย์ตรัสรับด้วยรอยแย้มสรวลบางๆ “ก็ตั้งแต่วันที่ท่านหญิงเข้าพิธีพระราชทานหมั้นกับท่านชายนั่นล่ะครับ หลังจากนั้นก็ไม่ได้เจอกันอีก”

“วันนี้หญิงวรรณเขาก็มาด้วย ถ้าเจอเธอ จะทักทายกันหน่อยก็ได้นะ”

คนรับสั่งทำสุรเสียงสบายๆ เหมือนประโยคนั้นมิได้มีนัยแฝงอะไร หากรัฐมนตรีสุชาติถึงกับกลืนน้ำลายลงอย่างฝืดคอ พลางหันไปมองหม่อมเจ้าอดุลย์วิทย์อย่างเกรงว่าจะกริ้วขึ้นมา

หม่อมเจ้าพิชญวรรธรับสั่งเหมือนปกติ แต่นัยยะการแสดงออกถึง ‘ความเป็นเจ้าของ’ นั้นเด่นชัด
มันก็คงไม่มีอะไรมากหรอก หากพระคู่หมั้นของหม่อมเจ้าพิชญวรรธ...

...จะมิใช่ ‘อดีต’ พระคู่หมั้นของหม่อมเจ้าอดุลย์วิทย์!



“ไฮ น้องหญิงอร ไม่ได้เจอกันเสียนาน สวยขึ้นมากเลยนะเนี่ย”

เรือนร่างสูงโปร่งก้าวเนิบๆ หากสง่างามตรงมาที่หญิงสาวทั้งคู่ยืนอยู่ ท่านหญิงอรกัญญาพนมหัตถ์ทำความเคารพคนตรงหน้าด้วยสีพระพักตร์ค่อนข้างว้าวุ่น

“พี่หญิงสำราญดีอยู่หรือคะ”

“ก็ตามประสานั่นล่ะจ้ะ ที่ลอนดอนมีแต่ฝน เทียบกับบ้านเราไม่ได้หรอก” สำเนียงภาษาอังกฤษของร่างระหงไพเราะราวเจ้าของภาษา ก่อนจะหันมาทางรุจิรดาที่ยืนเงียบอยู่ด้านข้างพลางเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงเต็มเปี่ยมด้วยมารยาท “เพื่อนหรือจะน้องหญิง”

“ค่ะ...รดาจ๊ะ นี่พี่หญิง เอ่อ...หม่อมเจ้าหญิงปทมาวรรณ ศศิภักดิ์จ้ะ ส่วนนี่ รุจิรดา เพื่อนของหญิงและคุณมนต์ณัฐค่ะ”
สุรเสียงอ่อนเบาของท่านหญิงอรกัญญาเจือความไม่สบายพระทัยเต็มเปี่ยม รับสั่งแปลกแปร่งทำให้บรรยากาศเริ่มอึดอัดขึ้นทีละน้อย

“หม่อมฉันขอประทานอภัยที่มิได้ถวายความเคารพให้เหมาะสมเพคะ” รุจิรดาย่อตัวลงเล็กน้อย ศีรษะค้อมต่ำยามทำความเคารพ ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมองดวงพักตร์งดงามเต็มตา

หม่อมเจ้าหญิงปทมาวรรณมีใบหน้างดงามประหนึ่งนางสวรรค์ หากแต่เป็นความงามคนละอย่างกับท่านหญิงอรกัญญา ท่านหญิงสหายของเธอนั้นงดงามอ่อนหวาน พักตร์กระจ่างไร้เดียงสาดั่งดอกไม้เพิ่งแย้มบานรับน้ำค้างยามรุ่งอรุณ แต่ท่านหญิงรวิสุดาผู้นี้ ดวงพักตร์สวยงามเต็มไปด้วยเสน่ห์เย้ายวน แลดูสง่าดังนางพญาที่แม้นปรายตามองบุรุษใด ไม่มีที่จะไม่มอบทั้งกายและใจแทบถวายเบื้องบาท อีกทั้งจริตกิริยาชดช้อยนั่นเล่า...แม้จะเรียกไม่ได้ว่าเป็นกุลสตรีที่เรียบร้อย แต่ทรงไว้สง่าอย่างหญิงผู้ดี การรับสั่งและแต่งองค์ที่เรียกได้ว่า ‘เปิ้ดสะก้าด’ ยิ่งกว่าผู้หญิงในพระนครคนใดทำให้รุจิรดาเดาได้ไม่ยากว่าน่าจะทรงผ่านการศึกษาจากเมืองนอกมาแล้ว

หม่อมเจ้าหญิงคนงามเพียงพยักพักตร์เล็กน้อยเป็นเชิงรับทราบ เนตรงามปรายมองหญิงสาวเล็กน้อย รุจิรดาจะเห็นเนตรนั้นเบิกกว้างคล้ายไม่เชื่อสายเนตรองค์เอง ก่อนจะหันไปถามท่านหญิงน้อยด้วยสุรเสียงเย็นเยียบ

“นี่มันหมายความว่าอย่างไรกันหญิงอร?”

ปลายดัชนีเรียวสั่นน้อยๆ ขณะชี้มาทางตัวเธอ รุจิรดายืนนิ่ง ทำได้เพียงมองพักตร์ท่านหญิงคนงามสลับกับสหายของตัวเองอย่างงุนงง สีพระพักตร์ของท่านหญิงอรกัญญาเผือดซีด ริมโอษฐ์สั่นน้อยๆ คล้ายกริ่งเกรง ทว่ากลับทรงก้าวมายืนอยู่ข้างหน้าระหว่างพระสหายกับอีกฝ่ายด้วยท่าทางมั่นคง

“อะไรคะ?” รับสั่งถามสุรเสียงเรียบ ดวงเนตรทอดตรงไปยังวรองค์โปร่งระหงที่วันนี้อยู่ในชุดราตรียาว งดงามจนสะกดสายตาหลายๆ คนในงาน และตอนนี้ก็กลายเป็นจุดสนใจของทุกคนที่อยู่ใกล้พอที่จะได้ยินสุรเสียงไม่เบานักเมื่อสักครู่

แม้จะดูเหมือนไม่ทรงหวาดหวั่น แต่หัตถ์นุ่มที่สอดอยู่ในอุ้งมือของรุจิรดากลับชื้นน้อยๆ

แววเนตรคมปลาบฉายแววกราดเกรี้ยวชัดเจน “หญิงอรไม่น่าจะถามพี่แบบนี้นะ พี่อยากรู้ว่าการที่เด็กคนนั้นใส่สร้อยของพี่หมายความว่าอย่างไรกัน?”

“สร้อยเส้นนี้...” ตุ๊กตาแก้วเจียระไนของรุจิรดาแย้มสรวลบางๆ ก่อนจะสบเนตรกับอีกฝ่ายแล้วรับสั่งชัดเจน “เป็นสร้อยของพี่ชายนะคะ”

“มันเคยเป็นของพี่!”

“ก็แค่ ‘เคย’ นะคะ”

ตลอดเวลาที่ทั้งสอง ‘สนทนา’ กัน รุจิรดาซึ่งพยายามจับใจความพอจะเดาได้เลาๆ ว่า ท่านหญิงปทมวรรณน่าจะเป็น หรือเคยเป็นเจ้าของสร้อยเพชรเส้นงามที่เธอใส่อยู่ในตอนนี้ ทว่าเมื่อทรงอ้างสิทธิ์ในสร้อย ตุ๊กตาแก้วเจียระไนของเธอกลับไม่ยอมง่ายๆ ดูท่าว่าจะเป็นเรื่องที่ขัดแย้งกันพอสมควร เพราะถึงขนาดที่ทำให้ท่านหญิงอรกัญญาผู้อ่อนหวาน อ่อนโยนเป็นนิจแข็งกร้าวได้มากขนาดนี้เลยทีเดียว

อีกทั้งอากัปกิริยาที่คล้ายจะทรง ‘กางปีกปกป้อง’ เธออยู่ ทำให้รุจิรดาสงสัยมากยิ่งขึ้น

“หญิงอร เดี๋ยวนี้เธอหัดก้าวร้าวผู้ใหญ่แล้วหรือ!”

“หญิงไม่ได้ก้าวร้าวนะคะ หญิงเพียงแค่พูดความจริงเท่านั้น หญิงขอตัวก่อนนะคะ”
คล้ายกับว่าวรองค์แบบบางจะหมดความอดทน ท่านหญิงอรกัญญาหันมาหาหญิงสาวก่อนรับสั่งด้วยสุรเสียงที่เธอรับรู้ว่าทรงพยายามสะกดให้เรียบ “ไปเถอะจ้ะรดา”

หญิงสาวพยักหน้าน้อยๆ ก่อนก้าวตามสหายที่ดำเนินค่อนข้างเร็ว ไม่แม้แต่จะเหลือบมองสีพระพักตร์ของผู้ที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังแม้แต่น้อย






ปณัชญา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 27 ม.ค. 2557, 01:57:37 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 20 ก.พ. 2557, 04:05:16 น.

จำนวนการเข้าชม : 2026





<< ตอนที่ 9 [100%]   บทที่ 10 [70%] + บางตอนของนิยายอีกเรื่องค่ะ >>
lovemuay 27 ม.ค. 2557, 05:47:36 น.
ท่าทางหญิงวรรณจะร้ายไม่เบานะคะ เนี่ย


OhLaLa 27 ม.ค. 2557, 07:42:37 น.
จากทิ้งท้ายตอนที่แล้ว นึกว่าท่านหญิงรวิสุดา คืออดีตคู่หมั้นของชายอดุลย์ซะอีก แต่แท้ที่จริงแล้วท่านหญิงปทมาวรรณเป็นอดีตคู่หมั้น ที่ท่าทางจะหวงของที่เคยเป็นเจ้าของนะคะ


ukkanirut 27 ม.ค. 2557, 10:48:41 น.
เริ่มจะมันส์
ปล.ถึงคนเขียน เหมือนจะมีการเปลี่ยนชื่อตัวละคร แต่ใช้ชื่อเก่าสลับใหม่ เลยแอบงงนิดหน่อยนะคะ ^^


Jiab 27 ม.ค. 2557, 10:50:32 น.
ในที่สุด T.T ก็ได้อ่านต่อแล้ววววว


Sukhumvit66 27 ม.ค. 2557, 14:22:39 น.
~___________~
มาติดตามด้วยคนค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account