พ่ายพรหมลิขิต
พลับพลึงทำงานด้านสถาปัตย์ประจำอยู่ที่เชียงใหม่วันหนึ่งเธอได้รับมอบหมายงานให้ออกแบบบ้านพักของธนดลโดยไม่นึกไม่ฝันว่าวันหนึ่งเธอกลับต้องมารับบทเจ้าสาวของเขาเนื่องจากญาติผู้น้องซึ่งเป็นลูกสาวของป้าหนีออกจากบ้านก่อนวันแต่งงานหนึ่งวัน ด้วยเสียงขอร้องแกมบังคับของป้าและลุงทำให้พลับพลึงไม่สามารถปฏิเสธได้ เพราะหากเธอปฏิเสธป้าก็อ้างว่าหล่อนกับสามีจะต้องถูกอีกฝ่ายฟ้องจนถึงขั้นล้มละลาย เพราะนอกจากธนดลจะเป็นเจ้าบ่าวแล้วยังเป็นเจ้าหนี้อีกด้วย พลับพลึงจำยอมตกเป็นเจ้าสาวสำรองจนกว่าปิติและพิลาวรรณจะนำเงินมาชดใช้หนี้สินได้หมด และนั่นคือจุดเริ่มต้นของความวุ่นวายของคนสองคน....
Tags: รักหวานซึ้ง

ตอน: พ่ายพรหมลิขิต ตอนที่ี่ 9

9

ธนดลต้องการใช้เวลาที่บ้านพักตากอากาศนี้พักผ่อนและเตรียมงานที่ได้วางแผนไว้โดยเรื่องนี้จะต้องไม่รู้ถึงหูของภรรยา สำหรับสาวผมสั้นควรรู้แค่ว่า เธอแต่งงานกับเขาเพราะต้องชดใช้หนี้สินเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว เขาลุกจากโต๊ะอาหารริมระเบียงเดินเลียบๆ เคียงๆ ไปตามระเบียงบ้านมองลงไปยังหน้าบ้านมองรถโฟร์วิววคันกลางเก่ากลางใหม่แล่นออกไปจากโรงรถ รถคันนั้นไม่ใช่รถที่อนุญาตให้หญิงสาวใช้นี่ เขาบอกให้เธอเอารถอีกคันซึ่งใหม่กว่าและทันสมัยกว่าไปใช้แต่หญิงสาวก็ยังขัดคำสั่งเลือกใช้รถคันเก่าที่เกือบจะตกรุ่นไปแล้ว ปกติเขาจะใช้คันนี้ขับขึ้นเขามากกว่าขับเข้าเมือง ธนดลถอนหายใจยาวเมื่อรู้สึกขัดตากับภาพที่เห็นจนต้องดึงสายตากลับมามองที่ระเบียงและวิวของสวนส้มซึ่งอยู่ติดกับบ้านพักไปไม่ไกลนัก ภาพเก่าๆ ก็แล่นเข้ามาในโสต หญิงสาวงดงามผู้มีรอยยิ้มเปิดกว้าง ใบหน้าหยอกล้อยั่วเย้าเขาอยู่ตลอดเวลายืนอยู่ตรงนั้น มุมหนึ่งของระเบียงบ้านซึ่งเป็นมุมโปรดที่เขาและเธอมักจะออกมารับแสงแดดยามเช้าเมื่อยามขึ้นมาพักผ่อนที่นี่ด้วยกัน ระเบียงตรงนี้เคยเป็นสถานที่ดินเนอร์ใต้แสงจันทร์ และนอนกอดก่ายกันที่เก้าอี้ผ้าใบตรงนี้ซึ่งเป็นส่วนที่ยื่นออกไปหาหน้าผาเพื่อดูดาวยามค่ำคืน
คิดผิดหรือเปล่าที่กลับมาที่นี่อีกครั้ง...

“คุณดลคะ”
หญิงชาวเขาชื่อน้อยเป็นแม่บ้านประจำของบ้านพักต่างอากาศของครอบครัวเอ่ยเรียกสามารถดึงสติที่ล่องลอยไปกับอดีตของธนดลหวนกลับคืนมา เขาเอี้ยวตัวมองนิดหนึ่ง

“มีอะไร”
“โทรศัพท์คุณดลดังค่ะ”

ธนดลมองไปที่โต๊ะอาหารซึ่งอยู่ไม่ไกล นี่เขาเหม่อลอยแม้แต่เสียงโทรศัพท์ก็ไม่ได้ยินเชียวหรือ
“อื้ม” เขาตอบรับในลำคอแล้วเดินกลับไปที่โต๊ะอาหาร หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูแล้วพ่นลมหายใจออกอย่างทำใจก่อนจะกดรับก็หันไปบอกกับแม่บ้าน “มีอะไรก็ไปทำเถอะ วันนี้ฉันอยากพักผ่อนไม่ต้องขึ้นมาก็ได้”

“ค่ะ”
น้อยรับคำสั่งอย่างเงื่องหงอย เพราะเจ้านายรู้ทันหล่อน ไม่อยากให้หล่อนได้ยินถ้อยคำสนทนาเสียมากกว่า น้อยรีบเก็บชามข้าวต้มและแก้วกาแฟแล้วก็เดินเลี่ยงออกไปจากตรงนั้น ธนดลมองแม่บ้านแล้วส่ายหน้า แม่บ้านคนนี้ถ้าตัดเรื่องสอดรู้สอดเห็นออกไปได้ก็ถือว่าเป็นคนที่ขยันเอาการเอางานคนหนึ่ง

ธนดลกดรับสายหลังจากที่ปล่อยให้โทรศัพท์ดังอยู่นาน ป่านนี้ปลายสายคงร้อนใจและฮึดฮัดเต็มที่
“ครับแม่”

“ทำไมรับสายช้าจัง ทำอะไรอยู่” ลลนาเสียงเข้มดุ นึกระแวงเป็นทุนเดิมอยู่แล้วด้วยกลัวว่าลูกชายจะเข้าหอกับสาวผมสั้นลูกสะใภ้ฟ้าผ่า จนต้องรีบโทร.หาแต่เช้าหมายจะขัดขวางอะไรได้บ้าง แต่ก็ยิ่งทำให้ร้อนใจมากขึ้นเมื่อลูกชายรับสายช้า
“ผมสั่งงานเด็กๆ อยู่น่ะครับแม่ แล้วแม่มีอะไรหรือเปล่าครับถึงได้โทร.หาผมแต่เช้า”

“อ้อ งั้นหรือ เปล่าหรอก แม่ก็แค่เป็นห่วง”
“แม่ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมให้น้อยมาช่วยดูแลบ้าน แล้วก็ให้นายส่วยมาทำสวนเหมือนทุกครั้ง”

“อย่างนั้นหรือ อ้อ แล้วแม่...เอ่อ...แม่พลับพลึงอะไรนั่นล่ะ” ลลนากลั้นใจกับคำตอบที่ลูกชายกำลังจะตอบอย่างมาก
“เขาไปทำงานแล้วครับ”
“อะไรนะ ไปทำงาน” ลลนาทำเสียงตกใจ หล่อนนึกว่าแม่สาวผมสั้นจะอยู่ยั่วยวนลูกชายเสียอีก

“อืม ไม่อยู่ก็ดี ดลแม่ถามจริงๆ เถอะ ลูกคิดจะอยู่กินกับแม่พลับพลึงนี่จริงๆ หรือ”
“ทำไมหรือครับ วันนั้นผมว่าเราคุยกันรู้เรื่องแล้วนะครับ แม่ก็รู้ว่าถ้าผมเลิกกับเธอตอนนี้ครอบครัวเราจะต้องเสียหน้าแค่ไหน”
“ใช่ เรื่องนี้แม่ก็รู้ แม่ก็แค่เป็นห่วง กลัวว่าแม่นั่นจะจับลูกจริงๆ สมบัติของเราอาจจะทำให้แม่นั่นไม่ยอมปล่อยลูก”

อะไรได้ล่ะ ธนดลยิ้มเยาะ ภรรยาออกจะร่ำๆ อยากจะหย่า ถ้าแม่ได้ยินเสียงเธอเมื่อเช้าคงจะไม่โทร.หาเขาเสียงเขียวอย่างนี้
“เรื่องนั้นแม่ไม่ต้องห่วงไปหรอกครับ ผมรู้ว่าผมกำลังทำอะไรอยู่”

“เฮ้อ...เห็นแววตาของแม่นั่นแล้วแม่ล่ะเหนื่อยใจ”
ลลนานึกถึงแววตาแข็งๆ ในดวงตาคู่สวยนั้นมีความซุกซนดื้อรั้นอยู่มาก แถมยังต้องยอมรับว่ายิ่งดูนานๆ ก็ยิ่งมีเสน่ห์ยิ่งกว่าพิมพ์พรรณเสียอีก หากได้พิมพ์พรรณมาเป็นสะใภ้หล่อนยังไม่หนักใจเท่านี้

“แม่ไม่ต้องกังวลไปหรอกครับ เขาเองก็ไม่ได้สนใจใคร่ดีอะไรในตัวผมนักหรอก ผมคิดว่าเมื่อถึงเวลานั้นทุกอย่างก็จะเรียบร้อย”
“งั้นหรือ อืม ได้ยินแบบนี้แม่ก็เบาใจ ว่าแต่ลูกให้หล่อนพักที่ไหนล่ะ”

“ห้องผมครับ”
“ว่าไงนะ!” คราวนี้ลลนาเสียงดังเสียจนธนดลต้องเลื่อนโทรศัพท์ออกห่างจากใบหู นี่เขาพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า “ลูกจะบ้าหรือไง ไฟกับน้ำมันมีหวังลามทุ่ง”

ธนดลชักสีหน้าแม้อีกฝ่ายจะไม่ได้อยู่ตรงหน้าก็เถอะ เขาไม่ชอบใจเลยที่มารดาพูดเหมือนไม่รู้จักลูกชายตัวเอง
“ผมไม่ใช่คนมักง่ายนะครับ อีกอย่างแม่บ้านที่นี่ก็ชอบสอดรู้สอดเห็นขืนแยกห้องกันนอนได้เอาเรื่องนี้ไปโพนทะนา คราวนี้อย่าว่าแต่นักข่าวจะรู้เรื่องเลยครับ ชาวบ้านแถวนี้ก็ไม่เว้น”

ข้อนี้ลลนาเห็นด้วยจึงคิดเสนอ
“ถ้าอย่างนั้นเลิกจ้างแม่น้อยซะสิ”

“ไม่ได้หรอกครับ น้อยดูแลบ้านให้เรามาหลายปี อีกอย่างผมก็ไว้ใจน้อยมากกว่าจะเสี่ยงให้คนอื่นมาดูแล”
ถ้าทำแบบนั้นบิดาต้องต่อว่าเขาแน่ ก็รู้กันอยู่ว่าครอบครัวของน้อยเคยให้ความช่วยเหลือตอนที่บิดาประสบอุบัติเหตุบนดอย หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากน้อยและสามีก็ไม่รู้ว่าวันนั้นบิดาจะรอดชีวิตหรือเปล่า และเพื่อเป็นการตอบแทนจึงให้น้อยและสามีมาทำงานที่บ้านพักตากอากาศ หลายปีที่ผ่านมาน้อยกับนายส่วยก็ทำหน้าที่ได้ดี ซื่อสัตย์ต่อเจ้านาย แต่เสียอยู่อย่าง คือน้อยจะค่อนข้างพูดมากไปซักหน่อย หรือที่คนแถวนี้เรียกว่า ปากโทรโข่ง แต่ก็ไม่ได้มีพิษมีภัยอะไรทุกคนจึงทำเฉยเสีย เพราะปีหนึ่งๆ ก็มาพักผ่อนที่บ้านหลังนี้ไม่กี่ครั้ง

“ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจลูกก็แล้วกัน แต่ก็ระวังตัวด้วยล่ะ บอกตามตรงว่าแม่ไม่ไว้ใจผู้หญิงสมัยนี้เลย”
ยกเว้นคนเดียวเท่านั้นที่นางไว้ใจและยังรอคอยให้หญิงสาวกลับมาหาลูกชาย แต่ก็ไม่รู้ว่าจะต้องรอเก้อหรือเปล่า





รถHONDA CRV 2.0 E ( i-VTEC) ปี 2006 ขับเข้าสู่เขตสำนักงานชั่วคราวซึ่งเป็นไซด์งานในเขตภูเขาขนาดกลางที่อีกไมนานนี้จะกลายเป็นโรงแรมและรีสอร์ทขนาดใหญ่อีกแห่งหนึ่งของจังหวัดเชียงใหม่ งานนี้มีสถาปนิกและวิศวกรผู้ควบคุมงานอยู่หลายคน พลับพลึงก็เป็นหนึ่งในสถาปนิกผู้ออกแบบรีสอร์ทแห่งนี้ เธอค่อนข้างอึดอัดเมื่อขับรถผ่านไซด์งานแล้วทุกสายตาจ้องมองมาที่รถคันหรูสีดำซึ่งมีเธอเป็นคนขับ นี่ขนาดขับรถกลางเก่ากลางใหม่ที่เกือบจะตกรุ่นไปแล้วทุกสายตายังจ้องขนาดนี้ ถ้าเกิดนำรถที่ชายหนุ่มอนุญาตให้ใช้มาขับทุกคนมิตกใจจนตาค้างเลยหรือไงกัน เส้นทางที่ค่อนข้างเละเทะด้วยดินโคลนทำให้รถขับเคลื่อนได้ยากพอสมควรแต่นั่นยังไม่เท่ากับการที่ต้องขับผ่านสายตาหลายๆ คนที่เธอรู้จักและแน่นอนทุกคนจะต้องมีคำถามเกี่ยวกับที่ไปที่มาของรถคันนี้ ใช่ เพราะต่างก็รู้ดีว่า เธอไม่มีทางซื้อรถใหม่ในเร็ววันนี้
“ว้าว! พลับพลึง ออกรถใหม่หรือ มิน่าล่ะ หายไปซะหลายวัน จะออกรถไม่บอกไม่กล่าวกันบ้างเลยนะ”

พลับพลึงที่เพิ่งก้าวลงจากรถหลังจากที่หาที่จอดรถอยู่พักหนึ่ง เธอยิ้มเก้อๆ กับวิศวกรหนุ่มวัยไล่เลี่ยและค่อนข้างสนิทสนมกันมากคนหนึ่ง หญิงสาวยกมือขึ้นลูบท้ายทอยบริเวณปลายผมซอยสั้นอย่างเก้อเขิน ยิ้มแหยๆ ให้วิศวกรหนุ่มแล้วเลี่ยงที่จะไม่ตอบคำถามโดยการเดินนำหน้าเข้าไปในสำนักงานซึ่งคาดว่าคนอื่นๆ คงทยอยมาทำงานกันบ้างแล้ว

“สวัสดีค่ะ ต้องขอโทษด้วยนะคะที่หายไปหลายวัน” เธอเอ่ยทักทายเหล่าสถาปนิกทั้งที่อาวุโสกว่าและอายุไล่เลี่ยกัน แต่ทั้งหมดทั้งมวลก็ล้วนแต่เป็นสถาปนิกผู้ชายทั้งนั้น
“เป็นผู้หญิงก็ใช่ว่าจะได้รับอภิสิทธิ์นะสาวน้อย คุณไม่รู้เลยหรือไงว่าเรากำลังเร่งงานกันแค่ไหน”

อาทิตย์สถาปนิกในวัย 40 ปี เอ่ยเสียงเข้มขึงออกอาการไม่พอใจในตัวหญิงสาวอย่างเห็นได้ชัด เขาละมือจากการดูแบบร่วมกับคนอื่นๆ หันมาจ้องเขม็งที่พลับพลึงอย่างเอาเรื่อง จากบันทึกการปฏิบัติงานหญิงสาวขอลางานแค่หนึ่งสัปดาห์แต่นี่กลับหายไปเกือบสองสัปดาห์แล้วจะไม่ให้ต่อว่าเลยได้อย่างไร

“ไม่เอาน่าอาทิตย์ พลับพลึงโทร.แจ้งกับผมแล้วล่ะว่าติดธุระด่วน” หัวหน้าสถาปนิกแก้ตัวแทน ในขณะที่พลับพลึงนั้นหน้าเสียไปมาก
“อ้อ ธุระด่วนของเธอคงจะหมายถึงเรื่องรถใหม่สินะ”

สถาปนิกนามว่าอาทิตย์เหลือบหางตามองผ่านหน้าต่างออกไปด้านนอก เขาเห็นรถซีอาร์วีสีดำขับเคลื่อนเข้ามา เมื่อเห็นว่าเป็นรถของสถาปนิกสาวก็ถึงบางอ้อ ที่ทิ้งงานไปเสียหลายวันก็คงจะเพราะเรื่องรถเห็นจะไม่ผิด

“ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ พลับมีเรื่องด่วนจริงๆ ไม่ได้เกี่ยวกับรถคันนี้ อีกอย่างรถคันนี้ก็ไม่ใช่ของพลับหรอกค่ะ ก็แค่ยืมมา” พลับพลึงหลบตาทุกคน หากอธิบายให้ละเอียดกว่านี้คงไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่นัก “เอาเป็นว่าพลับขอโทษนะคะกับเรื่องที่ลาหลายวัน”
“แค่ขอโทษมันไม่จบหรอก เพราะงานในส่วนของคุณมีหลายส่วนที่ทางเจ้าของเขาต้องการเปลี่ยนแปลง งานของเราจะต้องสะดุดเพราะตามตัวคุณไม่ได้ แล้วนี่เจ้าของงานก็รอที่จะคุยเรื่องแบบกับคุณอยู่ แค่นี้เป็นเรื่องใหญ่พอหรือยัง”

อาทิตย์ต่อว่าอย่างไม่ไว้หน้า พลับพลึงได้แต่ปั้นหน้าเสียใจและยอมรับถ้อยคำต่อว่านั้นอย่างไร้ข้อโต้แย้ง
“ขอโทษจริงๆ ค่ะคุณอาทิตย์ พลับจะรีบจัดการเรื่องนี้โดยด่วนค่ะ”

“มันแน่นอนอยู่แล้ว คุณจะต้องรับผิดชอบ”
อาทิตย์ยกนิ้วขึ้นชี้หน้าหญิงสาวอย่างหัวเสีย เขาต้องโกรธเธอมากแน่ๆ เพราะถ้างานส่วนของหญิงสาวยังไม่ได้รับการแก้ไขงานส่วนต่อไปซึ่งเป็นหน้าที่รับผิดชอบของเขาก็ดำเนินต่อไปไม่ได้

“ต้องแก้ไขตรงไหนบ้างคะ”
พลับพลึงเดินเข้าดูแบบที่กางอยู่บนโต๊ะ และเป็นหน้าที่ของหัวหน้าสถาปนิกเป็นฝ่ายอธิบาย พลับพลึงเองก็ค่อนข้างหนักใจอยู่ไม่น้อย งานส่วนนี้เธอจำได้ว่าแก้มาหลายรอบแล้ว แต่ก็ยังไม่ถูกใจเจ้าของงานซักที

“งานนี้พลับอาจจะต้องไปคุยกับเจ้าของงานเองแล้วล่ะ”
หัวหน้าสถาปนิกแนะนำ ตระการได้พูดคุยกับเจ้าของงานหลายรอบแล้วแต่ก็ดูเหมือนจะสื่อสารกันไม่เข้าใจ บางทีการได้คุยกับสถาปนิกผู้ออกแบบโดยตรงน่าจะดีกว่า
“ไม่มีปัญหาค่ะ แล้วคุณต้นจะให้พลับไปพบเจ้าของงานเมื่อไหร่คะ”

“ผมว่าเร็วหน่อยก็ดีนะ อ้อ ช่วงนี้เจ้าของงานอยู่ที่เชียงใหม่พอดี เลขาฯ ของท่านบอกว่าอยู่บ้านพักตากอากาศบนภูเขาเลยหมู่บ้านแม้วไปหน่อย”
พลับพลึงนึกคิด แล้วพ่นลมหายใจออกมาหนักหน่วง เพราะเส้นทางนั้นค่อนข้างคดเคี้ยว แม้จะเป็นถนนลาดยางแล้วก็เถอะ แต่ก็ยังถือว่าขับรถยากลำบากอยู่ดี

“ได้ค่ะคุณต้น ถ้าอย่างนั้นพลับจะไปพบเจ้าของงานพรุ่งนี้เลย”
“อืม ดี ผมก็ปวดหัวกับการแก้แบบเต็มที” ตระการบ่นพึมพำ

พลับพลึงหัวเราะแกนๆ กับท่าทางเหนื่อยหน่ายของหัวหน้าสถาปนิก แต่ทำอย่างไรได้ล่ะ ทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับความพอใจของเจ้าของงานเป็นหลัก เธอจึงยิ้มเพื่อให้กำลังใจหัวหน้าและได้รับรอยยิ้มปลอบใจกลับมาเรื่องสถาปนิกอาทิตย์เช่นกัน

ครึ่งวันแรกพลับพลึงจึงนั่งดูแบบและรอฟังคำอธิบายจากหัวหน้าสถาปนิกเรื่องแบบและความต้องการของเจ้าของงาน เธอยกมือขึ้นลูบหน้าหากว่ากลับมาทำงานตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้วก็คงจะได้เจอเจ้าของงานและงานก็คงจะดำเนินต่อได้รวดเร็วกว่านี้ คงจะไม่ถูกสายตาโกรธขึงปนระอาของเพื่อนสถาปนิกอีกหลายคนซึ่งเป็นพรรคพวกกลุ่มเดียวกับอาทิตย์เยาะ ทุกสายตาทำท่าระอาราวกับเธอเป็นตัวถ่วงของทุกคน อาจเพราะความที่เธอเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวในกลุ่มนี้ก็ได้ มีเพียงหัวหน้าสถาปนิกอย่างตระการเท่านั้นที่เข้าใจและยอมรับในฝีมือการออกแบบของเธอ จึงดึงตัวมาทำงานนี้ด้วยกัน แต่มันก็อาจจะเป็นที่ขุ่นเคืองใจให้แก่สถาปนิกรุ่นพี่อย่างอาทิตย์ไปด้วยในเวลาเดียวกันที่ตระการดูเหมือนว่าจะเชื่อมือและให้ความเป็นกันเองกับเธอมากกว่าสถาปนิกคนอื่นๆ รวมไปถึงวิศวกรโครงการหลายคนก็ค่อนข้างสนิทสนมกับเธอด้วยแล้ว นั่นยิ่งทำให้อาทิตย์และพรรคพวกไม่ชอบหน้าเธอเพิ่มมากขึ้น หลังจากที่ตระการอธิบายถึงจุดหลักๆ ที่เจ้าของงานต้องการให้ปรับเปลี่ยน หนุ่มใหญ่ก็ขอตัวไปทำงานของตนต่อ ในห้องนั้นจึงเหลือแค่พลับพลึงที่นั่งหน้าเครียดมองแบบที่มีหลายจุดที่เธอจะต้องเตรียมอธิบายให้แก่เจ้าของงานฟัง เธอยกมือขึ้นลูบท้ายทอยเพราะเกิดอาการเกร็งและเคร่งเครียด ยอมรับว่าตั้งแต่รับงานนี้เธอไม่เคยพบปะกับเจ้าของงานเลยซักครั้ง ส่วนใหญ่จะรับคำสั่งต่อจากตระการ ซึ่งสถาปนิกส่วนใหญ่ก็เป็นเช่นนั้น อีกเรื่องที่หนักใจเห็นจะไม่พ้นเรื่องการที่จะต้องเดินทางขึ้นดอยไปพบเจ้าของงานนี่แหละ เธอเองยังไม่ค่อยชินทางบนไหล่เขาซักเท่าไหร่ นี่ยังคิดอยู่ว่าจะชวนวุฒิชัยเพื่อนวิศวกรไปเป็นเพื่อนดีหรือเปล่า

“แค่แก้งานถึงกับกลุ้มขนาดนี้เลยหรือคุณสถาปนิก”
พลับพลึงเงยหน้าคุณมองตามเสียงเย้ยเยาะนั้น อาทิตย์นั่นเอง ทำไมเขาถึงได้ตามแขวะเธอนักก็ไม่รู้

“ก็นิดหน่อยค่ะ แต่คิดว่าคงไม่มีปัญหาอะไร ดูเหมือนว่าเจ้าของงานจะยังไม่เข้าใจแบบเท่านั้น”

“งั้นหรือ อืม...ผมก็ลืมไปว่าคุณเป็นผู้หญิง แล้วลูกค้าเป็นผู้ชาย แค่พูดอ้อนนิดๆ หน่อยๆ หว่านล้อมตามประสาผู้หญิ๊ง...ผู้หญิง ก็คงจะเอาใจลูกค้าอยู่หมัด”
“คุณอาทิตย์! คุณกำลังดูถูกฉันอยู่นะคะ” พลับพลึงผุดลุกจากเก้าอี้อย่างไม่ชอบใจ

“ผมดูถูกตรงไหน ผมก็พูดตามเนื้อผ้า โธ่...ผู้หญิง”
อาทิตย์เบ้ปากเย้ยเยาะแล้วก็เดินออกไปจากห้อง ทิ้งให้พลับพลึงยืนกำหมัดหัวเสียอยู่ตรงนั้น ใบหน้าของเธอกำลังร้อนผ่าวๆ จากคำดูถูกดูแคลนในฝีมือและความเป็นเพศตรงข้ามกับอีกฝ่าย

ผู้หญิงแล้วไง พลับพลึงเม้มปากขบกรามเล็กๆ แล้วเธอจะพิสูจน์ให้อาทิตย์ยอมรับให้ได้ว่า ผู้หญิงก็ทำงานใหญ่ได้ไม่แพ้ผู้ชาย…





พลับพลึงทำใจปล่อยวางกับถ้อยคำค่อนแคะของอาทิตย์ เพราะไม่อยากเก็บมาคิดให้ปวดหัวไปมากกว่าที่เป็นอยู่ เธอรวบแบบม้วนเก็บเข้ากล่องทรงกลมยาวแล้วปิดฝาถือออกไปข้างนอกด้วย เพียงแค่ก้าวออกมานอกสำนักงานชั่วคราวหญิงสาวก็ถอนหายใจพรืดเมื่อเห็นรถซีอาร์วีที่ขับมาเมื่อเช้า นึกแล้วว่าต้องเป็นเรื่อง ไหล่เล็กลู่ลงอย่างอ่อนแรงแล้วเดินส่ายหน้าผ่านไปยังไซด์งานมองหาวุฒิชัยและได้รับคำตอบจากคนงานว่าอยู่อีกฟากของพื้นที่ก่อสร้างจึงรีบเดินไปหา แต่ก่อนจะถึงตัววุฒิชัยก็เกิดอาการอะไรบางอย่างขึ้นกับพลับพลึง ใช่ เธอรู้สึกอายที่จะต้องพบกับวุฒิชัยในฐานะภรรยาของคนอื่น พลับพลึงลูบหัวแหวนแต่งงานแล้วตัดสินใจสลับแหวนไปสวมนิ้วชี้ แม้มันจะดูคับไปซักหน่อยแต่ก็ดีกว่าใส่นิ้วนางให้เป็นจุดสังเกต

“ชัย ยุ่งอยู่หรือเปล่า” พลับพลึงเอ่ยทักเมื่อเห็นวิศวกรหนุ่มกำลังง่วนกับการสั่งงาน

“พลับ...มาแล้วหรือ รู้มั้ยว่าชัยคิดถึงแล้วก็เป็นห่วงมากด้วย ไหนบอกว่าไปไม่กี่วันไง นี่ถ้าวันสองวันนี้ไม่มากะจะไปตามอยู่เชียว มีอะไรหรือเปล่าถึงได้มาหาชัยถึงนี่ อย่าบอกนะว่าคิดถึง” ชายหนุ่มหันมาทักทายเต็มตัวแล้วส่งสายตาหวานหยอก “หรือกะจะเซอร์ไพลส์รถใหม่ ไปรวยมาจากไหนถึงซื้อรถคันเป็นล้านได้”

“จะบ้าหรือไง นั่นรถคนอื่น” พลับพลึงตีหัวไหล่วิศวกรหนุ่มเบาๆ
“อ้าว...หรือ แล้วรถใครล่ะ”

วุฒิชัยก็นึกอยู่แล้วว่าคนที่ีมัธยัสอย่างพลับพลึงไม่มีทางซื้อรถคันใหญ่อย่างนั้นมาใช้ ต่อให้เป็นรถมือสองก็เถอะ
“ช่างเถอะๆ อย่าไปสนใจเลย เพราะอีกไม่กี่วันก็จะคืนเขาแล้วล่ะ” พลับพลึงโบกมือไปมาอย่างไม่อยากจะคุยเรื่องนี้อีก
“อืม ก็ได้ แล้วมาหาชัยมีอะไร”

“มีเรื่องให้ช่วย”
วุฒิชัยมองอย่างตั้งใจฟัง
“พรุ่งนี้พลับต้องไปพบลูกค้าหลังหมู่บ้านแม้ว คุณต้นให้แผนที่มาด้วย ชัยว่างไปด้วยกันหรือเปล่า”

“พรุ่งนี้หรือ” วุฒิชัยย่นคิ้วพึมพำก่อนจะถอนหายใจด้วยความเสียดาย “แย่จริง พรุ่งนี้ชัยมีนัดตรวจงานนะสิ เลื่อนไปวันอื่นได้หรือเปล่า”
พลับพลึงพ่นลมผ่านริมฝีปากบนจนหน้าม้าของเธอลอยละลิ่ว แต่จะให้รอนานกว่านี้เห็นทีจะไม่ควร เพราะตระการย้ำนักย้ำหนาว่า 'งานนี้เร่งด่วน' อีกอย่างมีอาทิตย์จ้องจับผิดอยู่ด้วยหากชักช้าก็อาจจะโดนค่อนแคะไม่เลิก

“งั้นหรือ ถ้างั้นก็ช่างเถอะ เดี๋ยวพลับจะลองชวนคนอื่นดูนะ”
“พลับ”

วุฒิชัยเรียกไว้เมื่อหญิงสาวคอตกจะเดินกลับ พลับพลึงฉีกยิ้มรู้ว่าชายหนุ่มมีน้ำใจและอยากช่วยเหลือแต่ก็ทำให้อีกฝ่ายต้องเสียงานก็เห็นจะไม่ควร

“ไม่เป็นไร ไม่เห็นมีไรน่าห่วงเลย หลังหมู่บ้านแม้วก็แค่ไม่กี่กิโล จริงๆ พลับไปคนเดียวก็ได้สบายอยู่แล้ว ก็แค่อยากจะชวนชัยไปเที่ยวด้วยกันเท่านั้นแหละ” พลับพลึงเอ่ยเพราะไม่อยากให้ชายหนุ่มคิดมาก
“พลับโอ.เค.นะ” ชายหนุ่มเอ่ยถาม ดวงตาของหญิงสาวเหมือนจะมีเรื่องให้คิดมากโข

“โอ.เค.สิ อาจเพราะพลับหยุดงานหลายวันน่ะ งานเลยสุมหัว”
“ไม่หรอกมั้ง เรื่องงานชัยรู้ว่าพลับไม่เคยหวั่น เพราะเรื่องของคุณอาทิตย์ใช่มั้ย”
พลับพลึงหลุบตา แม้แต่วุฒิชัยยังดูออกเลยว่าอาทิตย์ไม่ชอบหน้าเธอ แต่ก็เพียงยิ้มเนือยๆ

“ช่างเถอะ ในส่วนของพลับเหลืออีกไม่มากหรอก อีกหน่อยเขาก็จะไม่เห็นหน้าพลับแล้วล่ะ”
หญิงสาวยักไหล่เรียกรอยยิ้มให้แก่ชายหนุ่มได้บ้าง ข้อดีของพลับพลึงที่วุฒิชัยชอบก็คือ เธอมองโลกในแง่ดีเสมอ

“พลับไปก่อนนะ นี่ว่าจะไปดูงานหน่อย ยังต้องเก็บรายละเอียดอีกหน่อยจะได้ไปคุยกับเจ้าของงานได้”

พลับพลึงยิ้มแย้มมากขึ้นเพราะไม่อยากให้วุฒิชัยเป็นห่วงมากไปกว่านี้ ยังมีอีกหลายส่วนที่จะต้องไปดู รีสอร์ทที่นี่มีหลายโครงการ แต่โดยรวมก็คืออยู่ในมือของบริษัทที่เธอทำงานอยู่ เธอได้รับมอบหมายให้ออกแบบตัวสำนักงานซึ่งเป็นส่วนหน้าสุด อาจจะเพราะเหตุนี้ก็ได้ทำให้อาทิตย์ซึ่งเป็นสถาปนิกที่อายุมากกว่าและทำงานอยู่ในบริษัทก่อนเธอไม่พอใจ เพราะส่วนหน้าคือส่วนที่แขกที่เดินทางมาที่นี่เห็นเป็นส่วนแรก หากทำได้สวยก็จะได้รับคำชื่นชมก่อนใครเพื่อน เธอพอรู้มาว่าอาทิตย์เคยเอ่ยปากขอรับงานในส่วนนี้ แต่ตระการกลับไม่เห็นด้วย เพราะส่วนหน้าเจ้าของงานต้องการแบบสำนักงานแบบล้านนาผสมผสานกลิ่นอายตะวันตกนิดๆ ซึ่งไม่ใช่แนวถนัดของอาทิตย์ อาทิตย์นั้นถนัดแนวโรมันเสียมากกว่า แม้ว่าเธอจะเชื่อว่าหากอาทิตย์ได้รับมอบหมายเขาก็อาจจะออกแบบได้สวยแต่ตระการกลับมองต่างมุมออกไป

หัวหน้าสถาปนิกมองว่างานของอาทิตย์นั้นแข็งเกินไป และที่สำคัญ เป็นเรื่องที่ทำให้หัวใจเธอพองโตคับอกเมื่อหัวหน้าสถาปนิกบอกว่า งานในส่วนนี้เขามั่นใจว่าเธอจะทำได้ดีกว่า เพราะความเป็นผู้หญิงจะมีความละเอียดอ่อนมากกว่าจึงอาจจะเข้าถึงความคิดของเจ้าของงานได้มากกว่า แถมตระการยังเน้นย้ำอีกว่า เจ้าของงานรายนี้จู้จี้อย่าบอกใคร และนี่ก็เป็นอีกเหตุผลที่ไม่มอบงานส่วนนี้ให้อาทิตย์ซึ่งเป็นคนที่

มั่นใจในตัวเองมากเกินไปอาจจะทำให้มีปัญหาตามมา และวันนี้เธอก็เข้าใจแล้วว่าที่หัวหน้าสถาปนิกกลัวนั่นคือเรื่องอะไร ใช่ งานในส่วนนี้เธอแก้มานับไม่ถ้วนแล้ว และหากว่าเป็นอาทิตย์ทำล่ะก็ เธอก็พอเดาออกว่าอาทิตย์จะโวยวายมากแค่ไหน อาจจะถึงขั้นมีปากเสียงกับลูกค้าเสียด้วยซ้ำไป สำหรับงานในส่วนอื่นค่อยๆ ทยอยเสร็จไปบ้างหลายจุด หนักๆ หน่อยที่ยังไม่ได้เริ่มก่อสร้างเลยก็เห็นจะเป็นอาคารสำนักงานซึ่งเจ้าของงานขอเพิ่มเติมจากที่เคยคุยกันไว้ หลังสุดจะเป็นคลับเฮ้าส์และสนามกอล์ฟ

“พลับ...รอด้วย”
วุฒิชัยวิ่งตามมาเมื่อเขาสั่งงานลูกน้องเสร็จ พลับพลึงยิ้มพยักหน้า แน่นอนเวลานี้เธออยากให้วุฒิชัยอยู่ข้างๆ จริงๆ แล้วอยากจะเล่าเรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้นให้ฟังด้วยซ้ำแต่ก็ทำไม่ได้ เรื่องการแต่งงานกำมะลอแบบนี้จะมีซักกี่คนที่ยอมรับได้

“งานแต่งน้องสาวเป็นไงมั่ง”
เป็นคำถามที่พลับพลึงอยากมุดดินหนีมากที่สุดเชียวล่ะ เธอแค่นยิ้มอย่างขมขื่นใจ
“ก็ดี ผ่านไปด้วยดี” เธอตอบไม่เต็มเสียงนัก
“เราก็นึกว่ามีปัญหาอะไรซะอีกเห็นพลับหายไปนาน”

พลับพลึงยิ้มกลบเกลื่อน นึกขอบใจในความห่วงใยของวุฒิชัย
“ชัย คือพลับ...” พลับพลึงตั้งท่าจะบอกแต่สุดท้ายก็ต้องกลืนความอึดอัดนั้นลงคอ “เอ่อ...ไม่ ไม่มีอะไร”
วุฒิชัยย่นหัวคิ้วเมื่อเห็นอาการผิดปกติ แต่เมื่อหญิงสาวบอกอย่างนั้นก็ไม่อยากเซ้าซี้

“ถ้าพลับมีเรื่องอะไรไม่สบายใจก็บอกชัยได้นะ แต่ถ้ายังไม่พร้อมก็ไม่เป็นไร ชัยรอได้”
“ขอบใจนะชัย พลับดีใจนะที่มีชัยอยู่ข้างๆ”




รถแล่นเข้าจอดในโรงรถธนดลชะโงกหน้าจากระเบียงซึ่งเขาใช้มุมนั้นเป็นโต๊ะทำงาน อ่านเอกสารที่หอบมาด้วยจากกรุงเทพฯ เป็นเอกสารเกี่ยวกับธนาคารสาขาเชียงใหม่ซึ่งดูเหมือนจะมีปัญหานิดหน่อย ธนาคารเป็นกิจการส่วนหนึ่งของครอบครัวซึ่งในไม่ช้าธนดลจะต้องเข้ามารับช่วงต่อทั้งหมด ชายหนุ่มพับแฟ้มเอกสารลงแล้วลุกขึ้นไปยืนริมระเบียงเพื่อมองดูคนข้างล่าง ท่าทางเมื่อยล้าของคนที่ก้าวลงจากรถ ยกมือขึ้นนวดที่ท้ายทอย เอียงคอไปมาเพื่อลดความเมื่อยล้าทำให้เขาปั้นหน้าเคร่งเล็กน้อยแล้วยกนาฬิกาขึ้นดูเวลา

กลับมาซะค่ำ…
หกโมงกว่าแล้วเขาละจากมุมทำงานเดินไปที่หน้าบ้าน ยืนกอดอกปั้นหน้านิ่งรอ พลับพลึงหอบหิ้วกระเป๋าเอกสารและกล่องใส่แบบเดินลากขาเข้าบ้าน วันนี้เธอเดินดูงานหลายจุดเพื่อเก็บรายละเอียด แล้วยังต้องเตรียมตัวอีกมากกับการต้องไปพบลูกค้าพรุ่งนี้แต่เช้า แต่เมื่อเห็นชายหนุ่มยืนหน้าเคร่งอยู่ก็ยิ่งทำให้รู้สึกเหนื่อยล้ามากขึ้นกว่าเดิม

“ฉันขอโทษนะคะที่กลับค่ำ แต่งานฉันยุ่งจริงๆ”
ธนดลที่ตั้งท่าจะหาเรื่องเมื่อเจอถ้อยคำเนือยๆ อย่างนั้นก็เปลี่ยนใจ
“เป็นอะไรหรือเปล่า”

พลับพลึงยิ้มกับน้ำเสียงอาทร
“คุณคงไม่อยากจะรู้หรอกค่ะ”

ธนดลปั้นหน้าขรึม ถามดีๆ ทำไมต้องรวนกันด้วย เกือบจะต่อปากต่อคำแล้วเชียวถ้าไม่สังเกตเห็นว่าหญิงสาวไม่ได้ต้องการจะรวนเขาจริงจังจึงหันไปสั่งสาวใช้แทน

“น้อยตั้งโต๊ะได้แล้ว”
พลับพลึงยกข้อมือขึ้นดูเวลา นี่ก็เกือบจะทุ่มอยู่แล้ว
“ยังไม่ทานข้าวอีกหรือคะ”
“น้อยทำกับข้าวช้าน่ะ ไปอาบน้ำเถอะ จะได้ออกมาทานข้าวด้วยกัน”

เมื่อเจอถ้อยคำห่วงหาอาทรแบบนี้ก็ทำให้คนกลับบ้านช้ารู้สึกผิด จากที่เคยตั้งป้อมจะอยู่ห่างๆ ก็มองธนดลเป็นมิตรมากขึ้น ธนดลเองเหมือนจะกำลังพยายามปรับตัวให้คุ้นเคย แล้วเธอจะไม่ยอมพยายามทำแบบนั้นบ้างเลยหรือ คิดได้อย่างนั้นก็ยิ้มเป็นมิตรตอบแทนน้ำใจที่เขาหยิบยื่นมา

“ถ้าคุณหิวก็ทานก่อนเลยก็ได้นะคะ”
“ไม่เป็นไร ผมรอได้”
เมื่อได้ยินอย่างนั้นพลับพลึงก็รีบเร่งตัวเอง จากที่เคยอาบน้ำหนึ่งชั่วโมงเป็นอย่างน้อยก็เหลือแค่สิบนาที เคยทาครีมบำรุงผิวนวดจนเนื้อครีมแห้งไปก็ทาลวกๆ ด้วยกลัวว่าคนข้างนอกจะรอนาน เขาอุตส่าห์มีน้ำใจรอก็ยิ่งต้องเกรงใจ พลับพลึงออกมาข้างนอกหลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ เธอยิ้มฝืนๆ ให้กับคนนั่งรอและได้รับคำเชื้อเชิญอย่างสุภาพ

“คุณคงหิวแย่”
“ไม่หรอก น้อยเพิ่งตั้งโต๊ะเสร็จเมื่อกี้นี้เอง”
พลับพลึงพยักหน้าหงึกๆ แล้วกวาดตามองอาหารบนโต๊ะซึ่งมีไม่กี่อย่าง แต่หน้าตาและกลิ่นหอมหวนใช้ได้เลย เมนูอาหารวันนี้แตกต่างจากเมื่อวานจนเธอรู้สึกอาย

“น่าทานจังเลยนะคะ”
แล้วเงยหหน้าขึ้นมองแม่บ้านอย่างขอบคุณเมื่อเข้ามาตักข้าวลงจานให้
“ไม่รู้ว่ารสชาติจะเพี้ยนหรือเปล่านะคะ เพราะน้อยเพิ่งอุ่นอีกรอบเสร็จเมื่อกี้เองค่ะ”
“น้อย มีไรก็ไปทำเถอะ”

ธนดลดุเมื่อแม่บ้านพูดมาก แต่นั่นก็มากพอที่จะทำให้พลับพลึงหน้าสลด
“ฉันต้องขอโทษด้วยที่ไม่ได้โทร.บอกคุณก่อนว่าจะกลับค่ำ ฉันไม่นึกว่าคุณจะคอย”

“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้รอ แค่ยังไม่ค่อยหิวเท่าไหร่ อีกอย่างอยู่ในที่บรรยากาศแบบนี้ทานข้าวคนเดียวไม่อร่อยหรอก ทานเถอะ”
นี่เป็นครั้งแรกที่ต่างคนต่างพูดจาดีๆ ไม่ยียวนหรือปั้นหน้าเคร่งขรึมหรือโกรธเกรี้ยวใส่กัน อาจเพราะต่างคนก็ต่างยอมรับในชะตากรรมที่จะต้องอยู่ร่วมกันไปอีกพักใหญ่ พลับพลึงเหมือนจะโล่งใจกว่าทุกวันเมื่อเห็นอากัปกิริยาที่เปลี่ยนไปของธนดล

“งานหนักมากหรือคุณ เห็นหอบหิ้วกลับมาบ้านด้วย”
“ก็นิดหน่อยค่ะ หยุดงานไปหลายวันงานก็เลยค้างเยอะหน่อย คงไม่ได้ทำให้คุณรู้สึกรำคาญหรอกนะคะ อ้อ ส่วนแบบบ้านของคุณฉันกำลังเร่งให้อยู่นะคะ ฉันจะพยายามไม่ให้เกินอาทิตย์หน้า”

รู้สึกเกรงใจคนที่เป็นทั้งสามีนิตินัยและนายจ้างในคราวเดียว ยิ่งเขาไม่เอ่ยถามก็ยิ่งรู้สึกเกรงใจมากขึ้น
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องรีบก็ได้ แค่ให้เสร็จภายในหนึ่งปีนี้ก็พอ อ้อ อีกเรื่อง ผมว่าคุณกลับบ้านเร็วหน่อยก็ดีนะ กลับค่ำๆ มืดๆ มันอันตราย อย่าคิดมาก ผมก็แค่เป็นห่วงรถน่ะ”

พลับพลึงปั้นหน้ายักษ์ นั่นประไร คุยดีได้ไม่ถึงไหนก็เริ่มรวนกันแล้ว อุตส่าห์จะญาติดีด้วยแล้วเชียว
“ถ้าอย่างนั้นฉันคิดว่าไม่รบกวนคุณดีกว่า ฉันคิดว่าฉันควรกลับไปใช้รถของบริษัทดีกว่าค่ะ” พลับพลึงตัดปัญหา
“ทำไม ก็บอกแล้วไงว่า…”

“ค่ะ คุณบอกฉันแล้วว่า อยากให้ฉันใช้รถที่บ้านมากกว่า เพราะเห็นแก่หน้าตาของสุทธิการ แต่ที่นี่ไม่มีใครรู้เรื่องของเราหรอกค่ะ คุณคงหายห่วงได้ อีกอย่างถ้ารถคุณเกิดอะไรขึ้นมาฉันคงรับผิดชอบไม่ไหว ขอตัวนะคะ ฉันอิ่มแล้ว”
พลับพลึงรวบช้อนส้อมแล้วลุกเดินจากไป หากว่าเธอหันกลับมามองคงเห็นสีหน้าไม่พอใจของอีกฝ่าย และเพราะถ้อยคำประชดประชันกันนั้นเองก็ทำให้ธนดลรวบช้อนเช่นกัน





อากาศค่อนข้างเย็นในยามสองทุ่มเศษ บรรยากาศข้างนอกมืดสนิทด้วยบ้านพักหลังนี้อยู่ห่างไกลชุมชน คงมีเพียงแสงสว่างจากหลอดไฟสีเหลืองที่ติดอยู่ตามบริเวณบ้านตามจุดสำคัญไม่กี่ดวงเท่านั้น ธนดลออกมายืนกอดอกในชุดนอนและสวมทับด้วยเสื้อคลุมตัวหนากว่าปกติ ตั้งแต่อาบน้ำเสร็จเขาก็ปลีกตัวออกมาอยู่ข้างนอกเมื่อเห็นว่าหญิงสาวกำลังง่วนอยู่กับโต๊ะทำงานริมหน้าต่าง เขาเหลือบตามองแม่บ้านเมื่อหล่อนเดินเข้ามาหา

“มีอะไรน้อย”
“น้อยจะมาถามคุณดลค่ะว่า มีอะไรให้น้อยทำอีกหรือเปล่าคะ”
ธนดลยกข้อมือขึ้นดูเวลา

“ไปนอนเถอะ ฉันไม่เอาอะไรแล้วล่ะ แล้วปิดบ้านดีหรือยัง”
“เรียบร้อยแล้วค่ะ ถ้าอย่างนั้นน้อยไปนอนนะคะ”

ธนดลพยักหน้าแทนคำตอบ รอจนแม่บ้านออกไปจากตรงนั้นเราถึงมองไปยังห้องนอน จะเข้าไปนอนดีหรือเปล่านะ เขาถามตัวเองอยู่หลายครั้งอย่างลังเล อากาศข้างนอกก็หนาวเหน็บขึ้นเรื่อยๆ เห็นทีจะลังเลไม่ไหวจึงเดินไปเคาะประตูห้องและรอให้อีกฝ่ายได้เอ่ยอนุญาตจึงเปิดประตูเข้าไป
“ยังทำงานอยู่อีกหรือ”

“ค่ะ ยังไม่เสร็จเลยค่ะ คุณจะนอนแล้วหรือคะ ถ้างั้นเดี๋ยวฉันออกไปทำต่อข้างนอกก็ได้ค่ะ เปิดไฟแบบนี้คุณคงไม่ชิน” พลับพลึงตอบทั้งๆ ที่ยังง่วนอยู่กับแบบที่กางอยู่เต็มโต๊ะไปหมด และจัดการเก็บมันเมื่อบอกกล่าวแก่ชายหนุ่มเสร็จ
“คุณจะไปทำที่ไหน”
“ก็ข้างนอกไงคะ”

“อากาศหนาวจะตาย”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันค่อนข้างชิน”

บ้านพักคนงานที่เธออยู่ในสำนักงานชั่วคราวนั้นไม่ได้มิดชิดแน่นหนาเท่านี้หรอก ยังอยู่ได้เกือบปี แค่ใส่เสื้อผ้าหนาๆ หน่อยก็ทำงานได้แล้ว
“ไม่ต้องหรอก ทำในนี้แหละ”

“คุณไม่ต้องฝืนหรอกค่ะ ฉันรู้ว่าคุณไม่ชอบนอนเปิดไฟ ฉันขี้เกียจฟังคุณบ่น อีกอย่าง ฉันคงไม่มีสมาธิทำงานแน่ถ้าขืนจะมัวคอยเกรงใจคุณ กลัวว่าคุณจะตื่น ฉันออกไปทำงานข้างนอกดีกว่า ตามสบายนะคะ” พลับพลึงตัดบทรวบแบบลวกๆ มือหนึ่งเอื้อมไปหยิบกระเป๋าเอกสารแล้วเดินจ้ำๆ ไปที่ประตูโดยไม่รอให้อีกฝ่ายได้เอ่ยห้ามหรืออนุญาต ธนดลแค่นยิ้ม นี่ภรรยาจะแมนเกินไปหรือเปล่า แต่ก็คร้านจะต่อล้อต่อเถียง ปล่อยให้หญิงสาวทำอะไรตามแต่ใจต้องการไปดีกว่า

ธนดลนอนพลิกตัวไปมาแม้จะปิดไฟแต่ก็นอนไม่หลับ ในใจพะว้าภวังค์นึกห่วงใยคนที่ออกไปทำงานข้างนอก นึกเยาะตัวเองว่าทำไมต้องห่วงใยคนข้างนอก การไม่มีภรรยาอยู่ร่วมห้องนั่นน่าจะเป็นสิ่งที่เขาต้องการ ชายหนุ่มเลิกผ้าห่มออกจากตัวแล้วลุกไปหยิบเสื้อคลุมเพื่อออกไปดูคนข้างนอกเสียหน่อย อยากรู้ว่า ดึกดื่นป่านนี้แล้วทำไมถึงยังไม่เข้ามานอนอีก แต่เมื่อเปิดประตูออกไปยังไม่ทันจะเดินไปถึงห้องโถงดีก็ได้ยินเสียงเธอคุยโทรศัพท์จึงหยุดฟัง

“ทำไมต้องให้หนูถามด้วยละคะ เรื่องนี้ลุงกับป้าน่าจะคุยกับเขาเอง”
พลับพลังเสียงอ่อนระอา นึกว่าแต่งงานกับชายหนุ่มแล้วทุกอย่างจะเรียบร้อยแค่รอคอยเวลานับถอยหลังเท่านั้น แต่ลุงกับป้าดูเหมือนจะไม่คิดเช่นนั้น

“ไม่ค่ะ พลับจะไม่ถามอะไรเขาทั้งนั้น แค่นี้พลับก็รู้สึกแย่มากพอแล้ว ไหนป้าบอกว่าจะบังคับพลับแค่เรื่องแต่งงานเรื่องเดียวไงคะ” เธอตอบโต้ปลายสายอย่างแข็งกร้าว

“ก็ได้ๆ แกไม่ช่วยเรื่องนี้ก็ไม่เป็นไร คิดซะว่าฉันไม่ได้พูดเรื่องนี้กับแกก็แล้วกัน ฮื่อ...มีหลานก็ไม่ได้ดั่งใจคิดเล้ย”
พิลาวรรณบ่นมาตามสาย ก็แค่อยากถามถึงเรื่องหนี้สินที่ธนดลรับปากไว้เท่านั้น งานแต่งงานก็ผ่านมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ทำไมหนี้ของธนาคารยังไม่ได้รับการชดใช้อีกเท่านั้นเอง

“ป้าไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกค่ะ หนูเชื่อว่าคุณดลคงไม่เบี้ยวหรอก”
หน้าตาของธนดลก็ไม่ใช่คนขี้โกงอะไร บวกกับต้องการปลอบใจตัวเองไปด้วย อีกอย่าง ไม่มีเหตุผลซักนิดที่เขาจะต้องทนอยู่กับคนที่ไม่ได้รักไปตลอดชีวิต
“ฉันรู้แล้วน่า แล้วนี่ยายพิมพ์ติดต่อหาแกบ้างหรือเปล่า”

คราวนี้พลับพลึงถอนหายใจยาว ถ้าพิมพ์พรรณติดต่อหาเธอก็ดีนะสิ จะได้ถามไถ่เสียให้รู้เรื่องว่าทำไมต้องหนีงานแต่งงานไปแบบนั้น
“เปล่าค่ะ”

“เฮ้อ...ฉันอยากจะบ้าตายจริงๆ เลย จนป่านนี้ยายพิมพ์ยังไม่ติดต่อมาเลย เป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่รู้” พิลาวรรณบ่นอย่างร้อนใจ
“พลับว่าอีกไม่นานพิมพ์ก็คงจะกลับมาค่ะ ป้าไม่ต้องกังวลไปหรอกค่ะ”
“กังวลสิ นั่นลูกสาวฉันนะยะ” พิลาวรรณตะคอกอย่างลืมตัว “เอ่อ พลับ ป้าขอโทษ”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ พลับเข้าใจ เอาเป็นว่า อยู่ทางนี้พลับก็จะลองพยายามตามหาพิมพ์อีกแรง ป้าไม่ต้องคิดมากไปหรอกค่ะ พลับเชื่อว่าพิมพ์จะยังปลอดภัยดี”

“อืม ขอบใจมากนะพลับ ถ้างั้นป้าไม่กวนแกแล้ว”
“ค่ะ”

พลับพลึงกดวางสายทิ้งร่างกายลงกับเก้าอี้อย่างคนหมดแรง ดูเหมือนว่าทุกเรื่องจะประเดประดังเข้ามาหาราวกับเธอเป็นซุปเปอร์ฮีโร่ที่ทุกคนจะต้องได้รับการช่วยเหลือจากใจ
“พ่อจ๋า...แม่จ๋า...พลับเหนื่อยจังค่ะ”

เธอพึมพำคิดถึงพ่อแม่ที่จากไปตั้งแต่ยังเด็ก แล้วฟุบหน้าลงกับโต๊ะซึ่งมีแบบกางอยู่เต็มโต๊ะอย่างหมดแรง
ธนดลที่แอบได้ยินอย่างนั้นก็ถึงกับเกิดความสงสาร ท่าทางขึงขังเอาเรื่องไม่ยอมคนนั่นคงแค่เปลือกของผู้หญิงผมสั้นคนนี้ เขาแอบมองเธออยู่นานเธอก็ไม่ยอมยกศีรษะขึ้นจากแขนทั้งสองข้างที่พาดอยู่กับโต๊ะเสียทีจึงตัดสินใจเดินเข้าไปหาแล้วเอ่ยเสียงเข้ม
“ถ้าง่วงก็เข้าไปนอนสิ มาฟุบอะไรอยู่ตรงนี้เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก”

พลับพลึงสะดุ้งเด้งตัวนั่งตัวตรง หัวใจแทบวายกับเสียงเข้มๆ ที่ดังอยู่ข้างหลัง เธอกระพริบตาสองสามครั้งแล้วจึงเอี้ยวตัวดู
“คุณดล”
“อ้อ ผมหิวน้ำ ไม่นึกว่าจะเห็นคุณนอนฟุบอยู่ที่นี่”

“เปล่าค่ะ ฉันไม่ได้ฟุบหลับ ก็แค่พักสมอง”
“งานคุณ...เหลือเยอะหรือ” ธนดลบุ้ยปากไปแบบที่กางเต็มโต๊ะอยู่

“ก็ไม่เยอะหรอกค่ะ”
“ถ้าไม่รีบมากผมว่าคุณควรจะพักผ่อนดีกว่านะ เหลือแรงไว้ทำงานต่อพรุ่งนี้บ้าง”
รู้สึกดีจังกับถ้อยคำแข็งๆ นั้น เหมือนเขากำลังห่วงใย พลับพลึงหมุนตัวกลับบนใบหน้ามีรอยยิ้มอย่างไม่รู้ตัว
“ขอบคุณค่ะ แต่ฉันไม่เป็นไร”

“ตามใจ” ธนดลไม่เซ้าซี้เขาหมุนตัวจะเดินกลับห้องแต่ก็ต้องชะงัก
“อ้าว แล้วไม่ดื่มน้ำหรือคะ”
ธนดลเหลอหลาเล็กน้อย กลืนน้ำลายลงคอโชคดีที่หันหลังให้หญิงสาว

“อ้อ ผมลืมไปว่าครัวอยู่ทางโน้น”
“ท่าจะบ๊อง”

พลับพลึงพึมพำแล้วหัวเราะแกนๆ เมื่อชายหนุ่มเดินฉับๆ ตรงไปในส่วนของครัว เธอมองตามเล็กน้อยแล้วก็หันกลับมาให้ความสนใจกับแบบที่ได้รับคอมเม้นต์ให้แก้ไขมาจากหัวหน้าสถาปนิกอีกครั้ง และภาวนาว่านี่ขอให้เป็นการแก้ไขงานครั้งสุดท้ายด้วยเถิด






แก้วมุกดา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 27 ม.ค. 2557, 10:31:05 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 27 ม.ค. 2557, 10:31:05 น.

จำนวนการเข้าชม : 1767





<< พ่ายพรหมลิขิต ตอนที่ 8   พ่ายพรหมลิขิต ตอนที่ 10 >>
Oleang 27 ม.ค. 2557, 12:32:31 น.


แว่นใส 27 ม.ค. 2557, 13:19:21 น.
สู้ ๆ นะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account