แผนลับ นักสืบ
กอหญ้าเพิ่งมาทำงานเป็นนักข่าวได้แค่ไม่ถึงหกเดือน เธอต้องการทำข่าวนายอิทธิกรติดผู้หญิงกับมั่วยาบ่อย ๆ เธอไม่ยอมแพ้ ไปแอบอยู่ข้างบ้านนายอิทธิกรแล้วปีนต้นไม้บ้านข้าง ๆ แต่หมอหนุ่มเห็นเข้าเขาจะเรียกตำรวจ แต่เธอร้องห้ามไป ๆ มา ๆ เลยขอแอบเข้าไปในบ้านหมอหนุ่มเสียเลย
Tags: ึความรัก,นักข่าว,คุณหมอ,ดารา

ตอน: ตอนที่ ๗ ซองสีน้ำตาล

ซองสีน้ำตาล

รสกรหยิบกิ๊บหนีบผมสีดำออกมาจากเส้นผม จากนั้นก็ค่อยๆแหย่มันเข้าไปในลูกบิดประตู พยายามสะเดาะกลอน เธอพยายามทำอยู่หลายครั้ง แต่ไม่สำเร็จ เธอลองแหย่กิ๊บลงลึกขึ้นไปอีกและพยายามงัดมันขึ้นมา จากนั้นก็มีเสียงดังแกร๊ก ก่อนที่เธอจะบิดลูกบิดประตูเปิดเข้าไป หญิงสาวถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก ภายในบ้านเต็มไปด้วยเครื่องใช้หลายอย่างที่จัดวางอย่างเป็นระเบียบและมีรสนิยม แต่ค่อนข้างจะสกปรกนิดหน่อยตามประสาคนโสด

นักข่าวสาวชำเลืองมองเสื้อของเขาที่วางไว้บนเก้าอี้โซฟาแล้วหยิบขึ้นมาดู แก้วเหล้าวางเกลื่อนกลาดอยู่บนโต๊ะ รสกรพยายามค้นหาเอกสารที่เธอเห็นเมื่อคืน เธอเดินไปที่ลิ้นชักตัวหนึ่งแล้วเปิดออกเพื่อหาซองเอกสารนั้น แต่ก็ไม่พบอะไร

“ซองสีน้ำตาลนั่นอยู่ที่ไหนนะ” เธอกัดริมฝีปากแน่น แล้วขึ้นไปยังห้องนอนของเขา แล้วลองเปิดประตูห้องนอนของดาราหนุ่ม ก็พบว่ามันไม่ได้ล็อค สงสัยจะลืมล็อคแฮะ แต่เมื่อเข้าไปแล้วก็ต้องเบ้หน้าเนื่องจากความรกของห้องชายหนุ่มโสด “รกจังเลย”

รสกรคิดว่าตัวเองโชคดีมากที่ได้อยู่บ้านของผู้ชายรักความสะอาด

หญิงสาวเห็นตู้ลิ้นชักใต้โต๊ะทำงานของนายอิทธิกร จึงเดินไปเปิดมันออกแล้วค้นหา แต่ก็ไม่พบซองเอกสารดังกล่าว เธอใช้ปลายนิ้วเปิดแฟ้มเอกสารดู แต่ก็ไม่พบอะไร จากนั้นจึงเปิดลิ้นชักข้างบนสุด แต่แล้วสิ่งที่เธอพบก็มีเพียงความว่างเปล่า

“หรือว่า...เขาจะเอาติดรถไปด้วย”

นักข่าวสาวขมวดคิ้ว ซองนั่นต้องเป็นซองสำคัญแน่ ไม่อย่างนั้นเขาไม่เอาติดรถไปด้วยหรอก

หญิงสาวเปิดลิ้นชักตู้เสื้อผ้า แล้วเธอก็ต้องชะงักกึก เมื่อเห็นอุปกรณ์บางอย่างที่อยู่ในนั้น เธอขมวดคิ้วแล้วหยิบมันขึ้นมาดู จึงรู้ว่าเป็นอุปกรณ์สำหรับเสพยา

รสกรหน้าซีดเผือดลงทันที ใช่แล้วนี่เป็นเครื่องมือสำหรับเสพยาที่อิทธิกรใช้ เธออึ้งจนทำอะไรไม่ถูกอยู่พักใหญ่ ดูเหมือนว่าการที่เธอเข้ามาค้นซองเอกสารสีน้ำตาลอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ กลับกลายเป็นเจอหลักฐานะในการเสพยาของอิทธิกรไปซะได้

“นี่จะต้องเป็นข่าวใหญ่แน่ๆ” เธอกระซิบแผ่ว

หญิงสาวรีบคว้ากล้องถ่ายรูปของเธอขึ้นมาจะถ่ายหลักฐานไว้ แต่ต้องชะงักกึก เพราะหากมีคนถามว่า ได้รูปนี้มาจากไหน เธอก็ตอบไม่ได้ว่า แอบถ่ายจากในห้องนอนของนายอิทธิกร แถมเจ้าของยังไม่อนุญาตอีกด้วย เธอกัดริมฝีปากล่างแน่น จะทำยังไงดีนะ ไม่ได้เป็นสายสืบของตำรวจมาทำคดีนี้ซะด้วยสิ

“จะเอายังไงดี ถ้าเรื่องออกไปครั้งนี้ คนต้องถามแน่ๆว่า ไปเอาข่าวนี้มาจากไหน โอ้ย...ทำยังไงดีล่ะ”

ขณะที่เธอกำลังจะตัดสินใจถ่ายภาพก็มีเสียงรถยนต์มาจอดที่หน้าบ้าน เมื่อเธอแอบมองที่หน้าต่างห้องนอนก็ต้องหายใจวาบ เมื่อเห็นว่าเจ้าของรถคือนายอิทธิกรที่เพิ่งขับรถกลับบ้าน และกำลังเปิดประตูรถลงมายืนข้างล่างแล้ว นักข่าวสาวถึงกับหน้าซีดเผือด

“แย่แล้ว” เธอกระซิบแผ่ว แล้วปิดลิ้นชักเก็บหลักฐานไว้ จากนั้นก็รีบเดินออกจากห้อง ขณะที่นายอิทธิกรเดินเข้ามาถึงประตูบ้านพอดี ทำเอาเธอหลบเข้าไปในห้องนอนอีกแทบไม่ทัน

“เอ๊ะ...เราลืมล็อคประตูอย่างนั้นหรือ”

อิทธิกรขมวดคิ้วมุ่น ค่อยๆเปิดประตูเข้ามาสำรวจในบ้านราวกับตาเหยี่ยว จนรสกรที่แอบอยู่ในห้องนอนถึงกับยกมือขึ้นปิดปากด้วยความตกใจ หัวใจของเธอเต้นระรัวจนแทบหลุดออกมานอกอก

เสียงฝีเท้าของอิทธิกรดังใกล้เข้ามา เธอถึงกับหลับตาแน่น...จะทำยังไงดี ทำยังไงถึงจะหลุดรอดไปจากเงื้อมมือของเขาได้

อิทธิกรชำเลืองมองไปยังเสื้อสูทของเขาที่วางพาดไว้บนเก้าอี้โซฟา เขาจำได้ว่าเมื่อเช้านี้มันไม่ได้อยู่ในสภาพนี้ เหมือนกับว่ามีใครหยิบมันขึ้นมาแล้ววางผิดตำแหน่ง ใบหน้าคมคายมองดูเสื้อในมือของเขาแล้วขบกรามแน่น พลางชำเลืองมองขึ้นไปยังห้องนอนของตัวเอง แล้วก้าวเข้ามาช้าๆ

รสกรเผลอขยับปลายเท้าไปถูกโต๊ะที่วางหนังสือจนทำมันตกลงพื้นเกิดเป็นเสียงดัง ทันใดนั้นเธอก็เห็นซองสีน้ำตาลตกลงมา และมีรูปกระจายเกลื่อนออกมาด้วย หญิงสาวตกใจจนหน้าซีดเผือดราวกับกระดาษ

“ใครน่ะ...” อิทธิกรหันมามองมอง “ใครอยู่ในห้องนอนของฉัน”

เสียงกร้าวของอิทธิกรดังสนั่นจนรสกรสะดุ้งโหยง หัวใจเธอเต้นแรง แต่ก็พยายามคิดหาทางออกโดยเร็วที่สุด ขณะที่เธอกำลังจะหนีเขาออกไปทางประตู เสียงกริ่งก็ดังขึ้นจากทางหน้าบ้าน ทำให้อิทธิกรที่กำลังจะเดินเข้าไปในห้องนอนหันกลับไปมองทันที

“ใครมาตอนนี้นะ” อิทธิกรคำราม แล้วเดินกลับออกไปที่หน้าบ้านทันที

รสกรถอนหายใจยาว เธอไม่รอให้เขาย้อนกลับมา เมื่อได้โอกาสเธอก็รีบวิ่งออกจากห้องนอนของเขาแล้วเปิดประตูหลังบ้านออกไปได้อย่างปลอดภัยด้วยหัวใจอันเต้นแรง

อิทธิกรขมวดคิ้วพลางเดินตรงมายังประตูหน้าบ้าน ที่นั่นเขามองเห็นใบหน้าหล่อเหลาสวมแว่นตาของชายหนุ่มคนหนึ่งที่ยืนรออยู่นอกประตูรั้วพร้อมซองจดหมายจำนวนหนึ่ง อิทธิกรจำได้ว่าเคยเห็นหมอนี่อยู่บ้านข้างๆ

“สวัสดีครับ พอดีบุรุษไปรษณีย์มาส่งจดหมายให้ผมน่ะครับ เขาบอกว่าบ้านอยู่ใกล้กันก็เลยฝากส่งให้กับคุณด้วย”

“ชาติชาย เอ๊ะ...นี่มันไม่ใช่ชื่อผมนี่” อิทธิกลขมวดคิ้ว “หนี้บัตรเครดิตอะไรกัน นี่มันไม่ใช่ของผมนะ”

“อ้าว คุณชื่อคุณชาติชาย พงศกรณ์ไม่ใช่หรือครับ” คชินทร์เลิกคิ้วแสร้งทำเป็นเซ่อ

“ผมชื่ออิทธิกร ไม่ใช่คุณชาติชายอะไรนั่น” เสียงของเขาเริ่มโกรธ “ไปรษณีย์ท่าจะส่งผิดคนแล้ว”

“แปลกจัง เห็นบุรุษไปรษณีย์บอกว่าให้ช่วยส่งให้บ้านติดกัน”

“ติดกันอาจจะเป็นฝั่งทางซ้ายมือ ไม่ใช่ฝั่งทางขวา”

“ขอโทษนะครับ ผมอ่านผิดไปหน่อย” คชินทร์ยิ้มกว้าง ดวงตาสีน้ำตาลชำเลืองมองไปทางประตูหน้าบ้านของอิทธิกร และเขาก็แน่ใจว่ารสกรออกมาเรียบร้อยแล้ว “งั้นผมไปก่อนนะครับ”

อิทธิกรพยักหน้าอย่างหงุดหงิด เขาอุตส่าห์ออกมากลับต้องมาพบกับจดหมายทวงหนี้บัตรเครดิตเฮงซวยนั่น หลังจากที่รอจนเพื่อนบ้านเดินจากไปแล้ว เขาก็เลื่อนประตูปิดเสียงปังด้วยความหงุดหงิด แล้วอิทธิกรก็รีบเดินเข้าไปในบ้าน

เมื่อเปิดประตูห้องนอนแล้วเขาก็มองดูรอบๆห้องด้วยสายตาราวกับเหยี่ยว จากนั้นเขาก็เดินไปเปิดประตูห้องน้ำแล้วกลับมาเปิดประตูตู้เสื้อผ้า แต่กลับไม่พบใครเลย...

“ต้องมีใครสักคนแอบเข้ามาในบ้านของฉันแน่ๆ...” อิทธิกรขบกรามแน่น “อย่าให้รู้นะว่ามันเป็นใคร”

นักข่าวสาวลอบปีนรั้วหลังบ้านของอิทธิกรออกไป ขณะที่กำลังปีนอยู่นั้นหัวใจของเธอเต้นระรัวกลัวว่าเขาจะออกมาเห็นตอนที่เธอกำลังหนี แต่ในที่สุดเธอก็หนีออกมาได้สำเร็จ ชั่วขณะที่เธอกำลังถอนหายใจยาวด้วยความโล่งใจนั้น จู่ๆก็ต้องตกใจ เพราะมือหนาของใครบางคนเข้ามาปิดริมฝีปากของเธอทันที หญิงสาวพยายามดึงมือนั้นออก พลางรองอู้อี้ด้วยความตกใจ ก่อนได้ยินเสียงเบาๆบอกให้เงียบที่ริมหู

หญิงสาวหันหน้าไปมองทันที พอเห็นว่าเป็นใคร คิ้วของเธอก็ขมวดเข้าหากันทันที

“ชู่...อยู่เฉยๆ แล้วไปกับผมทางนี้”

“คุณชิน คุณมาทำอะไรที่นี่” เธออุทานแผ่ว แต่ชายหนุ่มยกมือขึ้นแตะริมฝีปากเป็นเชิงบอกให้เงียบ

“ผมเหรอ ผมก็มาตามคุณน่ะสิ” น้ำเสียงของเขาฟังดูหงุดหงิด

“ไม่ได้บอกให้มาตามเสียหน่อย” ด้วยความดื้อดึงทำให้เธอย้อนถามเสียงไม่เบานัก

“อ๋อเหรอ ถ้างั้นผมบอกให้เจ้าของบ้านเขารู้ดีไหมว่า คนร้ายหนีออกมาทางนี้”

“บ้าเหรอ อย่านะ”

“ตามผมมานี่”

คชินทร์ดึงมือของเธอให้เข้าหลบอยู่ที่หลังพุ่มไม้ เขาชำเลืองมองจนกว่าแน่ใจว่าไม่มีคนเห็นแล้วจึงพาเธอเข้าไปในบ้าน แรงที่ดึงมือเธอทำให้นักข่าวสาวร้องอุทานด้วยความเจ็บ แต่ชายหนุ่มไม่สนใจ เขาขยับเข้ามาใกล้พร้อมกับท้าวเอวมองเธอด้วยสายตาคมปลาบ

“ดีนะที่ผมกลับมาทัน ไม่อย่างนั้นละก็ เห็นทีคุณคงจะเสร็จมันไปแล้ว” เขาถอนหายใจยาว

รสกรหน้าแดงจัดไปถึงใบหู

“พูดให้มันดีๆหน่อยนะ ใครจะไปเสร็จนายอิทธิกรกัน” เธอแหว

“ก็คุณน่ะสิ” หมอหนุ่มยกปลายนิ้วขึ้นแตะกรอบแว่นตา “ดีนะที่ผมไหวตัวทัน เลยกลับมาดูคุณ พอกลับมาบ้านก็เห็นนายอิทธิกรขับรถเข้ามาในบ้านพอดี ก็เลยไปช่วยไว้ทัน”

“ขอบคุณค่ะที่อุตส่าห์ไปช่วย” เธอประชด “แต่ถึงไม่มีคุณ ฉันก็เอาตัวรอดได้อยู่แล้ว”

“เอาตัวรอดในห้องนอนของเขาน่ะหรือ” เขาหัวเราะ

“คุณรู้ได้ยังไงว่าฉันเข้าไปในห้องนอนของเขา”

“เวลาเข้าไปค้นในบ้าน อันดับแรกที่คือห้องนอนของเขาไม่ใช่หรือ” คชินทร์ยิ้มบางๆ “ดีนะ ถ้าไม่ใช่ผมช่วยไว้ ป่านนี้คุณคงโดนจับกดกับที่นอนไปแล้ว”

คำพูดหน้าตาเฉยของเขา ทำเอาเธออ้าปากค้าง

“คนบ้า นี่ๆๆ” เธอทุบกำปั้นใส่ไหล่หนาแรงๆ “พูดบ้าๆ ฉันไม่มีวันยอมหรอก”

“อะไร นี่ผมไม่ได้เป็นคนจับคุณกดนะ ไปทุบกับเจ้าอิทธิกรนั่นสิ” ชายหนุ่มยกมือขึ้นปัดป้อง

“ไม่รู้ละ ก็คุณอยากพูดจาลามกก่อนทำไม”

“ผมพูดจาลามกตรงไหน” คชินทร์ถอนหายใจยาว “ก็เห็นๆอยู่ว่านายอิทธิกรนั่นสงสัยว่ามีใครบางคนแอบอยู่ในห้องนอนของเขา แล้วสมมติว่าเขาเห็นผู้หญิงสาวสวยอย่างคุณอยู่ในห้องนั้น คิดว่าเขาจะยอมปล่อยคุณออกมาง่ายๆหรือไง”

รสกรรู้สึกหนาวเยือกมาถึงสันหลัง

“ฉันต้องคิดหาทางเอาตัวรอดไว้อยู่แล้วละ”

“ทางไหนล่ะ” เขาย้อนถาม “บอกมาดีกว่าว่าคุณจะเข้าไปหาอะไรที่บ้านของเขา”

“ฉันหาซองกระดาษสีน้ำตาล ฉันเห็นมันหล่นลงมาจากโต๊ะ ก่อนที่เขาจะข้ามาในห้อง ในนั้นมีรูปถ่าย แต่ฉันไม่ทันเห็นว่าเป็นรูปอะไร” รสกรสารภาพเบาๆ “แต่...อย่างน้อยฉันก็มีมีดพกแหละน่า เรื่องแค่นี้ฉันเอาตัวรอดได้อยู่แล้ว”

ว่าแล้ว เธอก็ล้วงมีดพกเล่มเล็กๆขนาดไม่เกินสามนิ้ว คชินทร์มองมีดที่เธอนำออกมาให้ดู แล้วก็อดขำไม่ได้ จนหญิงสาวแก้มแดงจัดด้วยความอาย

“มีอะไรน่าหัวเราะ” เธอร้องถาม

“หัวเราะคุณน่ะสิ คิดจริงๆหรือว่ามีดแค่นี้จะทำอะไรเขาได้ ดูภายนอกคุณก็ออกจะฉลาดนะ แต่ที่จริงโง่ชะมัดยาดเลย” น้ำเสียงของเขาเย้ยหยันเล็กน้อย

“ถึงมันจะใช้แทงเขาไม่ได้ แต่ฉันใช้มันแทงคุณได้ก็แล้วกัน” เธอเม้มปากแน่นทำท่าจะเงื้อมีดเข้าใส่คนปากดี เขาเอี้ยวตัวหลบแล้วจับแขนของเธอเบี่ยงไปทางอื่น จนเธอร้องโอ้ย

“เป็นยังไงล่ะ ถ้าเขาจับคุณแค่นี้คุณจะทำอะไรได้”

หญิงสาวกัดริมฝีปากแน่น สาบานว่าจะฆ่าเขาแน่ถ้าเขาปล่อยมือจากเธอ

“ฉันทำได้ก็แล้วกัน”

“ไหนลองทำดูซิ”

รสกรจับมือของเขาบิดแล้วสะบัดมือที่ถือมีดปลายแหลมออก เธอคิดจะเงื้อมือเข้าใส่คอหอยเขาให้รู้แล้วรู้รอด แต่คชินทร์เบี่ยงกายหลบแล้วจับมือข้างที่ถือมีดปลายแหลมขึ้นสูง แล้วก็หักข้อศอกไขว้หลังเธอทันที หญิงสาวนิ่วหน้าด้วยความเจ็บจากมือที่ไขว้อยู่ด้านหลัง ยิ่งเธอพยายามดิ้นรนก็ดูเหมือนเขาจะจับแน่นขึ้นจนดิ้นไม่หลุด

“ปล่อยนะ” เธอร้องด้วยความโมโห

“คุณบอกว่าจะแทงผมไม่ใช่หรือ”

คชินทร์ก้มหน้าลงมาหาเธอในระยะใกล้ ใบหน้าของทั้งสองอยู่ห่างกันเพียงปลายนิ้วสัมผัส แต่ทว่าอีกคนหนึ่งโกรธจนแทบฆ่าเขาให้ตายด้วยซ้ำไป ดวงตาสีดำกลมโตล้อมกรอบไปด้วยเส้นผมยาวสลวย หญิงสาวอ้าปากเตรียมจะด่าทอเขา แต่เขาขยับตัวของเธอให้เข้าไปในอ้อมแขนเขามากยิ่งขึ้นจนอกนุ่มเบียดชิดกับแผ่นอกแกร่ง ส่งผลให้หญิงสาวตกใจมากยิ่งขึ้น ดวงหน้าของเธอเปลี่ยนเป็นสีแดงจัด

หญิงสาวใจเต้นระรัวมากยิ่งขึ้น เธอพยายามดิ้นรนเพื่อให้เป็นอิสระ แต่มือของเขาก็แข็งแรงราวกับหินผา อีกมือหนึ่งก็โอบเอวบางให้เธอแนบชิดมากยิ่งขึ้น ดวงตาสองคู่ประสานกันในระยะใกล้ สายตาสีน้ำตาลเบื้องหลังแว่นมองเธอโดยปราศจากความรู้สึก แต่เธอกลับในเต้นรัวเหมือนกับว่าตัวเองไม่สามารถที่จะยืนต่อไปได้ ไม่รู้ว่าทำไมขาของเธอจึงอ่อนแรงไปหมด เมื่อมองสบเขาในระยะใกล้เช่นนี้

“เป็นยังไง แทงไม่ลงเลยล่ะสิ” เขาเอ่ยเสียงแผ่วที่ริมหู

รสกรได้แต่เม้มปากแน่น รอคอยจนกว่าเขาจะปล่อยมือจากเธอ

“ใช่สิ ก็คุณเป็นผู้ชายนี่”

“นายอิทธิกรเองก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน”

หญิงสาวอาศัยจังหวะที่เขาคลายมือออกชั่วขณะหนึ่งดันเขาออกแล้วกระทืบปลายเท้าเขาทันที ยังดีนะที่คชินทร์ไหวตัวทัน เขารีบชักปลายเท้าออก รสกรผลักเขาออกห่างก่อนวิ่งขึ้นไปบนห้องของตัวเองแล้วปิดประตูเสียงดังปัง ชั่วขณะหนึ่งหัวใจเธอเต้นรัวไปหมด....

เมื่อกี้...เธอคิดว่าเขาจะจูบเธอ

นี่เธอเป็นอะไรไปแล้ว...

ข้าวฟ่างมาหารสกรตั้งแต่ตอนเช้าวันเสาร์ เธอกดกริ่งหน้าบ้าน แล้วพอคชินทร์เปิดประตู เธอก็ยิ้มหวานให้กับเขา วันนี้หญิงสาวปล่อยผมยาวสลวยสวมกระโปรงสั้นสีฟ้าอ่อน เธอถือขนมมาฝากเขาด้วย เจ้าของบ้านหนุ่มจึงเชิญเธอให้เข้าไปข้างใน ข้าวฟ่างเหลือบมองหารสกรทันที แล้วก็เห็นเพื่อนกำลังล้างจานอยู่ในครัวหลังบ้าน ข้าวฟ่างย่องเข้าไปหาแล้วก็จับไหล่เพื่อนแรงๆ ทำเอารสกรสะดุ้งโหยง หันกลับมายิ้มให้ทันที

“ว่าไงจ้ะ ทำอะไรน่ะ”

“ทำอะไรน่ะเหรอ เห็นหรือเปล่าว่าฉันกำลังล้างจานอยู่”

“แหม..ว่าแต่วันนี้วันเสาร์เธอไม่ออกไปข้างนอกเหรอ” ข้าวฟ่างยิ้มหวาน ใบหน้าของเธออ่อนเยาว์สมกับเป็นดาวมหา’ลัย

“ฉันทำงานบ้านอยู่ จะออกไปได้ยังไงกันล่ะ ว่าแต่เธอกินข้าวมาหรือยังล่ะ”

“เรียบร้อยแล้วจ้า”

“สรุปว่าที่เธอมาหาฉันนี่ จะชวนออกไปข้างนอกงั้นเหรอ” เธอขมวดคิ้ว

“ก็....” ดวงตาสีดำกลมโตชำเลืองมองออกไปยังคชินทร์ในห้องนั่งเล่น “ฉันก็มาชวนพวกเธอออกไปข้างนอกด้วยกัน หวังว่าเธอคงจะไม่โกรธนะ”

“ฉันเหรอ ฉันจะไปว่าอะไรเธอล่ะ”

“ดีจัง เมื่อกี้ชวนคุณชินเขาก็โอเคแล้วด้วย”

ทันที่ที่ข้าวฟ่างพูดจบ รสกรก็ทำจานร่วงหล่นลงไปบนขอบอ่างทันที นักข่าวสาวหันมามองหน้าเพื่อน และเมื่อเห็นรอยยิ้มของเธอ หญิงสาวถอนหายใจยาว

“เมื่อกี้เธอชวนเขาแล้วเหรอ”

“ฉันชวนเขาไปซื้อต้นไม้ ปรึกษาเขาเรื่องต้นไม้ที่สำหรับปลูกหน้าบ้าน คุณชินก็ให้คำปรึกษาได้ดี แล้วบอกว่าถ้าฉันจะไปซื้อต้นไม้ เขาก็ยินดีจะไปช่วยเลือกให้ เธอไม่สนใจไปด้วยกันเหรอ”

“ไม่เอาละ ฉันไม่ค่อยถูกกับพวกต้นไม้เท่าไหร่ เอาเถอะ ขอให้ซื้อของให้สนุกนะ แล้วอย่าลืมของฝากฉันด้วยละ” เธอยิ้มบางๆ

“ได้สิ”

หลังจากที่คุยกันได้พักใหญ่ รสกรก็ล้างจานเสร็จและเดินออกมาพร้อมกับข้าวฟ่าง เธอแสร้งทำเป็นมองไปที่อื่นไม่ยอมมองหน้าชิน เพราะยังไม่หายโกรธเรื่องเมื่อวาน คชินทร์เหลือบมองเธอ และเขาก็เหมือนจะรู้อยู่แล้วว่าเธอยังโกรธ

ข้าวฟ่างส่งยิ้มให้เขา แล้วบอกว่ารสกรไม่ไป ให้เธอและเขาไปเดินซื้อของด้วยกันสองคน คชินทร์ยิ้มออกมาเล็กน้อย

“แปลว่า...กอหญ้าอยากให้เราไปกันสองคน”

รสกรเมินมองไปทางอื่น รู้ว่าเขากำลังพูดประชด แต่เธอไม่ใส่ใจ

อยากไปไหนก็ช่างเถอะ เธอไม่เห็นจะสนใจเลย

ข้างฟ่างแอบมองเขาสลับกับเพื่อนไปมาก่อนจะยิ้มเฝื่อน ระหว่างสองคนนี้การที่จะให้ไปด้วยกันเหมือนจะเป็นอะไรที่ยากพอดู เธอเดนเข้าไปแตะเขาเบาๆพลางยิ้มละไม

“กอหญ้าเขาไม่ชอบดูต้นไม้น่ะค่ะ ไปกันเถอะค่ะ”

“ครับ” ชายหนุ่มหันไปยิ้มให้เธอ แล้วเขาก็ยื่นแขนออกไปให้อีกฝ่ายจับ ข้าวฟ่างยิ้มหวานก่อนเกาะแขนเขาแล้วพากันเดินออกไปจากบ้าน

รสกรพยายามทำเป็นมองไม่เห็น จนกระทั่งเขาเดินออกไปกับข้าวฟ่างท่ามกลางเสียงหัวเราะอย่างมีความสุข หญิงสาวชำเลืองมองออกไปจนกระทั่งพวกเขาลับไปจากสายตา

“คนบ้า ไปแล้วไม่ต้องกลับมาเลยนะ” เธอพึมพำเสียงแผ่ว

เสียงหัวเราะแผ่วเบาของหญิงสาว ทำให้คชินทร์เลิกคิ้วอย่างสงสัยออกมาทันที

“ไม่อยากรู้เหรอคะว่าฉันกำลังหัวเราะเรื่องอะไร”

“ผมเองก็อยากรู้เหมือนกัน”

“ฉันหัวเราะคุณสองคนค่ะ อยู่บ้านเดียวกันแท้ๆ แต่กลับไม่มองหน้ากัน ทำเหมือนคอยเป็นศัตรูกันอยู่ตลอดเวลา ฉันอยากรู้จริงๆว่าตลอดเวลาที่อยู่บ้านด้วยกันพวกคุณเคยคุยกันดีๆบ้างไหม หรือว่าเอาแต่ทะเลาะกันตลอดเวลา” ข้าวฟ่างหันไปถามคชินทร์ด้วยความสงสัย

“เอ่อ...ก็มีบ้างที่เราคุยกันดีๆ”

“อย่างเช่น”

“ก็หลายเรื่อง แต่สรุปแล้วก็จบที่ทะเลาะกันมากกว่า” น้ำเสียงของชายหนุ่มตอบแบบเรื่อยๆ ไม่ใส่ใจ

“ตลกจริงๆ” ข้าวฟ่างหัวเราะคิก “คุณเคยคิดจะจีบเขาบ้างไหมคะ”

“อะไรนะ”

“ก็คุณอยู่กันสองคน กอหญ้าเองก็สวยแล้วก็น่ารัก คุณอยู่กับเธอไม่คิดจะจีบเพื่อนฉันเป็นแฟนบ้างเลยเหรอคะ”

หมอหนุ่มขมวดคิ้ว สวยและน่ารักเหรอ นั่นเขาไม่เถียงหรอก

“ไม่นี่” ชายหนุ่มตอบสั้นๆ พลางหวนคิดไปถึงใบหน้ายามที่เธอหลับอยู่ในห้องนอนของเขา นี่หากว่าเจ้าของห้องไม่ใช่เขาละก็ เธอจะเป็นยังไงบ้างนะ ชายหนุ่มไม่อยากคิดเลยจริงๆ

“แปลกนะคะ ฉันคุยกับกอหญ้าเรื่องของคุณ เขาเอาแต่ชมคุณเสมอเลย”

“เขาน่ะหรือ” คชินทร์เลิกคิ้ว “เขาชมผมเรื่องอะไร”

“ก็เรื่องที่คุณเป็นอาจารย์สอนพิเศษที่มหา’ลัยน่ะสิคะ เขาบอกว่าคุณเก่ง สามารถสอนอาจารย์ในเรื่องการเขียนรายงานวิจัย และบทความปริทัศน์ คุณเก่งมากเลยนะคะ”

“ผมใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์น่ะ”

“แล้วกอหญ้าก็ยังชมคุณอีกนะคะว่า คุณเก่งงานบ้านงานทุกอย่าง จนกอหญ้าแทบไม่ได้จับงานพวกนี้เลย”

คชินทร์เหยียดยิ้ม “เพราะว่าผมอยู่ตัวคนเดียวนี่ครับ ไม่หวังพึ่งพาผู้หญิงอยู่แล้ว”

ข้างฟ่างหัวเราะคิก ดวงตาเป็นประกาย

“ถ้ากอหญ้ารู้เข้า เขาคงจะโมโหสุดๆไปเลย”

“ผมก็ว่าอย่างนั้น” เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลยิ้มบางๆ

ข้าวฟ่างแอบมองใบหน้าหล่อเหลาที่เดินอยู่ข้างๆ เขาแลดูอบอุ่นและอ่อนโยนกว่าที่เธอคิดไว้มากนัก ยิ่งได้มาพูดคุยอยู่ใกล้ๆ เธอก็ยิ่งมองเห็นถึงความเป็นสุภาพบุรุษ เขาไม่ได้จับมือเธอแม้แต่น้อย เวลาเดินเขาทิ้งระยะห่างไม่น่าเกลียดจนเกินไป

“ฉันชอบกอหญ้านี่นิสัยพูดตรงๆอย่างนี้แหละค่ะ มันทำให้ฉันหัวเราะได้เวลาอยู่กับเขา”

“คนเรามักชอบเพื่อนที่นิสัยตรงกันข้ามกับตัวเองแบบนี้แหละ” ร่างสูงเลื่อนปลายนิ้วขึ้นสัมผัสแว่นตาให้เข้าที่ แต่ข้าวฟ่างมองเขาด้วยนัยน์ตาเป็นประกาย

“ฉันเองก็ชอบคุณค่ะ”

ประโยคตรงๆที่ออกมาจากปากเธอ ทำให้คชินทร์ชะงักกึกแล้วหันไปมองเธอ แต่ข้าวฟ่างไม่รอให้เขาพูด เธอเป็นฝ่ายชิงพูดเองเสียมากกว่า

“ฉันรู้ค่ะว่าไม่ควรพูดว่าชอบกับคนที่เพิ่งเจอหน้ากันแค่ครั้งสองครั้ง แต่สำหรับคุณมันต่างออกไป”

คชินทร์เงียบไปพักใหญ่

“คุณเชื่อในคำว่ารักแรกพบหรือเปล่าคะ สำหรับฉันแล้วการที่ฉันพบกับคุณมันเป็นความรู้สึกนั้นเลย ช่างเถอะค่ะ ฉันอาจพูดเกินเลยไปหน่อย ไปกันดีกว่าค่ะ เดี๋ยวร้านจะปิด”

พูดจบเธอก็คว้าแขนของเขา เดินไปยังถนนที่มีร้านค้าขายต้นไม้อยู่เต็มฝั่งถนน...

ข้าวฟ่างเดินดูร้านดอกกล้วยไม้ มีทั้งกล้วยไม้สีแดงสดและสีขาว ซึ่งเธอชอบมากและอยากซื้อกลับไปที่บ้านหลายๆต้น จนเลือกได้ต้นกล้วยไม้สีชมพูดสดดอกเล็กๆ เธอกะจะซื้อไปห้อยไว้ที่หน้าบ้านเนื่องจากมันดูสวยสบายตา คชินทร์จึงเดินไปเลือกปุ๋ยถุงเล็กๆสามถุงแล้วยื่นส่งให้เธอ แต่ข้าวฟ่างส่ายหน้า

“ที่บ้านของฉันมีคนสวนอยู่แล้วค่ะ เรื่องปุ๋ยเดี๋ยวเขาจัดการเอง”

“มีกี่คน”

“คนเดียวค่ะ”

“จากที่คุณเล่าว่าที่บ้านคุณเป็นสวน มีต้นไม้เยอะแยะ ลำพังแค่คนสวนคนเดียวน่ะ คงไม่สามารถดูแลต้นไม้ให้คุณได้หมดทุกต้นหรอก ไหนๆคุณก็ออกมาแล้ว ก็น่าจะซื้อปุ๋ยกลับไปฝากเขาให้ช่วยโรยใส่ต้นกล้วยไม้ให้ อย่างน้อยเขาก็จะได้รู้ว่าคุณใส่ใจนะครับ”

“แต่ว่าฉันก็ให้เงินค่าปุ๋ยกับเขาตลอดนะคะ”

“ไหนๆคุณก็มาที่นี่แล้วปมซื้อไปเลยดีกว่าครับ เกิดคนสวนคุณลืมหรือไม่ว่างมาซื้อจะได้ไม่เสียเวลาอีก”

“ก็จริงของคุณ” เธอกระซิบแผ่ว

“งั้นก็ดีแล้ว หอบกระถางต้นกล้วยไม้พร้อมปุ๋ยกลับบ้านพร้อมกันไปเลย”

ข้าวฟ่างมองดูบรรดาต้นไม้ที่ซื้อ ก่อนมองหน้าเขาแล้วยิ้มเฝื่อนๆ

“ของทั้งหมด ฉันคงเอากลับไม่ไหวหรอกค่ะ”

“ขอโทษที ผมลืมไปว่าคุณเป็นผู้หญิง”

“แต่คุณช่วยไปส่งที่บ้าน ฉันก็พอจะหิ้วไหวอยู่ค่ะ” เธอยิ้มหวาน “ไปหาอะไรกินกันเถอะค่ะ”

รสกรนั่งกอดเข่าดูทีวี กดรีโมตเปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆโดยที่เธอไม่ได้ยินหรือรับรู้ข่าวสารในทีวีเลย ใบหน้าหวานเม้มปากแน่น สมองคิดแต่เรื่องของรอยยิ้มของคชินทร์ และสายตาที่เขาสบตาเธออย่างมีเลศนัย...เธอรู้ว่ามันเป็นเรื่องไม่เป็นเรื่องที่เธอโกรธชิน แต่เขาเองก็ชอบทำให้เธอโมโหอยู่เรื่อย แถมวันนี้เขาก็ออกไปกับข้าวฟ่างอีก และนั่นทำให้เธอนั่งไม่ติด

“บ้าจริง คนบ้าอะไรก็ไม่รู้”

เธอขว้างรีโมตลงพื้นด้วยความโมโห เดินเข้าห้องไปเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า ดีละ ในเมื่อวันนี้เขาออกไปเที่ยวได้เธอก็จะออกไปเที่ยวด้วยเหมือนกัน

หญิงสาวเปลี่ยนชุดเป็นเสื้อแขนยาวกับกางเกงยีน แล้วก็ออกไปเดินเล่นที่ห้างสรรพสินค้า ขณะที่กำลังเดินซื้อของที่แผนกเสื้อผ้าสตรี เธอก็เห็นชายหญิงคู่หนึ่งเดินมาด้วยกัน หันไปคุยกันพร้อมรอยยิ้ม โดยฝ่ายชายใส่หมวกสวมแว่นตา และกำลังเดินลงบันไดเลื่อนไปด้วยกัน

นั่นมันนายปกรณ์ดีเจชื่อดังกับคุณน้ำค้างที่มีข่าวฉาวอยู่ตอนนี้นี่นา

เธอได้ข่าวว่าสามีของน้ำค้างไปทำธุรกิจอยู่ต่างประเทศ แล้วพักนี้สาวไฮโซคนนี้ก็มีข่าวว่าแอบไปไหนมาไหนกับผู้ชายคนอื่นอยู่บ่อยๆ โดยส่วนมากจะดาราหนุ่มรูปงามทั้งหลายและคนในวงการบันเทิง

“สองคนนั้นแอบเป็นกิ๊กกันตั้งแต่เมื่อไหร่” นักข่าวสาวหยิบกล้องถ่ายรูปที่ติดอยู่ในกระเป๋าขึ้นมาถ่าย และลอบตามพวกเขาไป ทั้งสองหัวร่อต่อกระซิกพร้อมทั้งอิงแอบแนบชิดกันอย่างสนิทสนม โชคดีที่ห้างมีร้านค้ามากมายเธอจึงแอบตามไปได้โดยที่ทั้งสองคนไม่รู้ตัว ทั้งคู่เดินเข้าไปทานอาหารในร้านอาหารญี่ปุ่น ดูน้ำค้างคงมีความสุขมากที่มีคนบริการอย่างใกล้ชิด

แล้วนายอิทธิกรล่ะ เธอถามตัวเอง เขาถูกทิ้งไปแล้วหรือ

ดูท่าว่านายอิทธิกรก็คงต้องเสียหน้าที่ถูกหักหลังอย่างนี้

น้ำค้างนั่งท้าวคางพลางยิ้มให้กับดีเจหนุ่ม ทั้งเขาและเธอเพิ่งจะคบกันได้ไม่นาน และเธอเองก็มีความสุขไม่น้อยที่ได้ควงหนุ่มๆในระหว่างที่สามีไปทำธุรกิจที่เมืองนอกอย่างนี้

เธอเอื้อมมือไปจับมือหนาของปกรณ์ และเขาก็เหยียดยิ้มน้อยๆก่อนเลื่อนมือขึ้นมาจับแก้มใสของเธออย่างเสน่หา

ฝ่ายรสกรก็ยกกล้องขึ้นถ่ายรูป ก่อนที่เธอจะทันได้เลื่อนมุมกล้องไปถ่ายที่อื่นต่อ แต่แล้วมือหนาของใครบางคนก็เอื้อมมือมาแตะหลังของเธอ จนนักข่าวสาวสะดุ้งโหยงแล้วหันกลับไปพร้อมกับซ่อนกล้องไว้ข้างหลังทันที

“คุณวิน” เธออุทานแผ่ว

“สวัสดีครับ เราได้เจอกันอีกแล้วนะครับ”

“เอ่อ...ค่ะ” เธอยิ้มหวาน “คุณวินมาทำอะไรที่นี่เหรอคะ”

“ผมมาเดินเที่ยวน่ะ ว่าแต่คุณล่ะมาทำอะไรที่นี่” ดวงตาสีดำของเขาเหลือบมองกล้องถ่ายรูปในมือของเธอที่หญิงสาวซ่อนไว้ด้านหลัง พอเห็นน้ำค้างกับดีเจหนุ่มในร้านอาหาร จากนั้นก็ยิ้มออกมา “รู้สึกว่าคุณน้ำค้างนี่ขยันทำงานจังเลยนะครับ”

“ค่ะ” เธอยอมรับอย่างปฏิเสธไม่ได้ “ฉันแค่มาเดินเล่น แล้วก็เห็นเธอพอดี”

“คุณใช้กล่องนั่นถ่ายพวกเขาหรือ”

รสกรเม้มปากแน่น ไม่มีประโยชน์ที่เธอจะซ่อนมันต่อไป

“ห้างสรรพสินค้าไม่ได้ห้ามถ่ายรูปนี่คะ”

“นั่นสินะครับ” วินยิ้มดวงตาเป็นประกาย

“ขอตัวก่อนนะคะ ฉันมีธุระอย่างอื่นต้องไปทำ”

“เดี๋ยวสิ” วินคว้าแขนเธอไว้แล้วออกแรงบีบจนหญิงสาวนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ “คุณคงไม่อยากให้คุณน้ำค้างกับนายปกรณ์นั่นรู้เรื่องที่คุณแอบถ่ายรูปพวกเขาหรอกนะ จริงไหม”

รสกรหันควับไปมองคนพูดด้วยความโมโห

“ถ่ายแล้วทำไมคะ ไม่มีข้อห้ามตรงไหนบอกว่าคนเราไม่มีสิทธิ์ถ่ายรูปดาราที่มาเดินห้างนี้สักหน่อย”

“แล้วถ้าผมบอกว่าคุณเป็นปาปารัซซี่ล่ะ มันจะเป็นยังไง”

ชายคนนี้ดูน่ากลัวกว่านายอิทธิกรมากนัก ช่วงเวลาที่คนพลุกพล่าน วินก็พาเธอเดินอ้อมไปยังทางเดินด้านหลังซึ่งใช้เป็นทางหนีไฟ หญิงสาวพยายามดึงมือออก แต่ก็ไม่ได้ผล ในที่สุดเธอถูกผลักให้เข้าไปอยู่ตรงทางหนีไฟ เผชิญหน้ากับเขาสองต่อสอง

“คุณพาฉันมาทำไมที่นี่” เธอกลืนก้อนแข็งๆลงไปในลำคอ นี่เขาคงไม่ได้คิดจะฆ่าเธอหรอกนะ

“วันที่เธอไปสัมภาษณ์ฉันที่ห้องเสื้อนั้น เธอค้นอะไรไปกระเป๋าของฉัน”

นักข่าวสาวหน้าซีดเผือด ไม่จริงน่า เขาไม่มีทางรู้หรอก ในเมื่อวันนั้นเธอเข้าไปแบบแนบเนียนที่สุดแล้วนะ

“คุณพูดอะไร ฉันไม่เห็นรู้เรื่อง” หญิงสาวทำปากแข็งไว้ก่อน

“เธออาศัยจังหวะที่ฉันถ่ายแบบ แล้วเธอก็แอบเปิดกระเป๋าของฉัน เธอค้นหาอะไรบางอย่างอยู่ใช่ไหม เธอค้นหาอะไร บอกมาเดี๋ยวนี้นะ”

เสียงของเขาตวาดดังจนเธอสะดุ้ง มองดูมือซ้ายของเขาแล้วเห็นชายหนุ่มสวมแหวนเงินไว้ที่นิ้วนาง ซึ่งเป็นตรงกับผู้ชายในคืนนั้น

“เป็นคุณจริงๆด้วย” เธอกระซิบแผ่ว “คุณสินะที่ไปบ้านนายอิทธิกรในคืนนั้น”

“เธอว่ายังไงนะ”

รสกรยกมือขึ้นปิดปากทันทีหน้าซีดเผือดราวกับแผ่นกระดาษที่หลุดปากออกมา

“เธอเองน่ะหรือ ที่เป็นคนแอบถ่ายนายอิทธิกร”

“เปล่านะ ไม่ใช่”

“เธอไปแอบถ่ายที่ตรงไหน แถวบ้านหลังนั้นแทบจะไม่มีมุมอับให้เธอซุ่มตัวเลย บอกมานะ” วินเอื้อมมือมาคว้าไหล่บางของเธอเขย่าแรงๆ

“ปล่อยนะ นี่ปล่อยฉัน” หญิงสาวพยายามดิ้นจนกระทั่งหลุด “ฉันไม่รู้อะไรทั้งนั้น”

“เธอคงจะหาแฟลชไดร์ฟในกระเป๋าฉันสินะ แล้วรู้ไหม พวกรู้มากจะพบกับจุดจบแบบไหน”

รสกรร้องเสียงดัง เมื่อวินก็จับเธอหมุนออกไปทางบันได แล้วทำท่าจะผลักให้ตกที่บันไดที่สูงถึงสามชั้น มือของเขาจับที่คอเสื้อของเธอจนหน้าซีดเผือดราวกับไร้สีเลือด

นี่เขาจะฆ่าเธองั้นเหรอ มือขวาของเธอจับที่แขนเสื้อของเขาไว้แน่น

“อย่านะ ฉันไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น” เธอตื่นตระหนก

“ถึงตอนนี้จะไม่รู้ แต่ฉันว่าสักวันเธอจะตามสืบจนรู้เรื่องราวทั้งหมดนั่นแหละ...แต่น่าเสียดายนะ เพราะเธอจะไม่มีโอกาสรับรู้มันอีกแล้ว อ๊าก !”

วินร้องลั่น เพราะเธอกัดฝ่ามือของเขาอย่างแรกทันที แล้วอาศัยจังหวะนั้นหนีขึ้นไปบนประตูทางออก แม้วินจะพยายามคว้าตัวเธอ แต่ก็ไม่สำเร็จ หญิงสาวได้ยินเสียงตะโกนด่าตามหลังขณะที่เธอกำลังวิ่งหนีสุดฝีเท้า

“นังบ้า จับมันเร็วเข้า”

นักข่าวสาวหันกลับไปมองก็เห็นวินชี้นิ้วมายังเธอ แล้วก็เริ่มมีคนอื่นๆซึ่งน่าจะเป็นพวกเดียวกับเขาว่งตามมา หญิงสาววิ่งมาจนถึงหน้าห้างสรรพสินค้าเธอ วิ่งฝ่าผู้คนที่เดินถือของพะรุงพะรังออกไปสู่ท้องถนน ทว่าดันวิ่งชนเข้ากับแผ่นอกหนาของใครคนหนึ่งเข้าอย่างจังจนเธอล้มลงกับพื้น

“ขอโทษค่ะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ” หญิงสาวรู้สึกมึนหัวไปหมด เวลานี้เธอไม่มีเวลาคิดอย่างอื่นนอกจากหนีเท่านั้น

“นี่คุณหนีอะไรมา”

“ฉันกำลังหนี....” น้ำเสียงคุ้นหูนั้นทำให้เธอเงยหน้าขึ้นไปมองเขาเต็มตา “คุณชิน”

เขาจับแขนของเธอไว้ แล้วมองไปยังกลุ่มคนที่ส่งเสียงดังเอะอะด้านหลังเธอ

“คุณมาทำอะไรตรงนี้” รสกรละล่ำละลักถาม

“เงียบไว้แล้วตามผมมา” หมอหนุ่มดึงหญิงสาวขึ้นมาแล้วพากันวิ่งออกไป เธอเหลียวมองกลับไปก็เห็นชายร่างผอมสูงสองคนซึ่งกำลังวิ่งตามมาติดๆ แถมยังเห็นด้ามปืนที่เหน็บไว้ที่ข้างเอว เธอกลืนก้อนแข็งๆลงไปในลำคอ ส่วนมือก็จับแขนเสื้อของคชินทร์ไว้แน่นเกรงว่าเขาจะทิ้งให้เธออยู่ตามลำพัง

“พวกมันตามมาแล้ว” หญิงสาวร้องบอกด้วยเสียงตื่นตระหนก

“ตามผมมาทางนี้”

ชายหนุ่มจับมือของเธอแน่นขึ้น ทั้งสองวิ่งตามกันไปยังถนนตรงซอกตึกที่มีร้านขายของอยู่ทั้งสองฝั่ง หญิงสาวใจเต้นระรัวคิดว่าตัวเองคงจะไม่รอดแล้วแน่ๆ แต่คชินทร์พาเธอหลบเข้าไปยังซอกหนึ่งของตึกที่มีแผ่นไม้เก่าๆวางพาดอยู่ หญิงสาวอุทานลั่น ดวงตาเบิกโตเมื่อถูกจับหันหลังเข้ากับกำแพง แล้วหมอหนุ่มก็โอบกอดหญิงสาวไว้ในอ้อมแขนแน่น มือหนาข้างหนึ่งเลื่อนขึ้นมาปิดปากเธอ

“ชู่...” เขากระซิบแผ่วที่ริมหู

หญิงสาวใจเต้นระรัว ราวกับว่ามันจะหลุดมานอกอก

“คุณชิน...” เธออ้าปากจะร้อง

“เงียบๆไว้” เจ้าของใบหน้าคมคายกระซิบ

“แล้วข้าวฟ่างล่ะ”

“เรื่องนั้นช่างมันก่อน ก้มหัวลงเร็ว”

ทั้งคู่จึงยืนแนบชิดกันในช่องแคบๆในซอกตึก คชินทร์แนบฝ่ามือลงบนกำแพงหนาพยายามใช้ไหล่พิงร่างบางที่กำลังหลับตาปี๋ ดวงหน้างามซีดเผือดและเม้มปากเข้าหากันแน่น

“มันอยู่นั่น ตามไปเร็ว”

***********************





เบลินญา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 28 ม.ค. 2557, 09:56:25 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 28 ม.ค. 2557, 09:56:25 น.

จำนวนการเข้าชม : 1294





<< ตอนที่ ๖ ความจริง   ตอนที่ ๘ หลบหนี >>
เบลินญา 28 ม.ค. 2557, 10:07:41 น.
Zephyr >>> ไม่ยุ่งก็ไม่ใช่นักสืบสาวสิคะ


Zephyr 30 ม.ค. 2557, 18:27:38 น.
ยุ่งจนไม่รอบคอบสิคะ
ทำอะไรไม่ระวังเลย หลุดก็เยอะค่ะ พิรุธเพียบ
ไม่ควรเป็นนักสืบอย่างยิ่ง ฮ่าๆๆๆ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account