จุดชนวนรัก อุบัติเหตุเลิฟ
บางครั้งเราทุกคนก็ต้องยอมรับความจริงในเรื่องของหัวใจ ว่ามันอาจไม่เป็นอย่างที่เราต้องการเสมอไป ฉันเคยคิดว่ารัก ‘พี่เกล’ แต่ฉันกลับได้รู้จักความรักจริงๆ ในวันที่สายไปกับคนที่ได้ตายจากไปแล้ว ฉันไม่มีโอกาสแม้แต่จะบอกความในใจให้เขารู้ด้วยซ้ำ และวันนี้ฉันมีโอกาสจะไปหาเขาแม้ว่าหัวใจของเขาจะนิ่งสงบไปแล้วก็ตามแต่ฉันก็ร้อนใจเหลือเกินที่จะไป ไม่อยากจะช้าสักวินาทีเดียว
Tags: วัยรุ่น

ตอน: บทที่ 9

บทที่ 9
มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่แสงอรุณวันใหม่เข้ามาทักทายสวัสดียามเช้ากับฉันอย่างเป็นมิตร ฉันลุกขึ้นจากเตียงก่อนจะหลับตาแล้วสูดเอาอากาสบริสุทธิยามเช้าเข้าไปเต็มปอด ฉันไม่เคยนอนหลับสนิทแบบนี้มาก่อนเลย ไม่ปวด ชิ่งช่องตอนตีสี่แล้วก็ไม่นอนละเมอตอนตีห้า อาจเป็นเพราะเตียงนอนอันแสนนุ่มละมุนดุดก้อนเมฆนี่ก็ได้ที่ทำให้ฉันหลับยาวขนาดนี้
แต่! เดี๋ยวก่อนนะ เมื่อคืนฉันนอนอยู่บนโซฟา เช้าขึ้นมากลับมานอนอยู่บนเตียงได้ไงอ่ะ! ฉันกวาดสายตาไปทั่วห้องที่มองยังไงมันก็ไม่ใช่ห้องเดียวกับที่ฉันนอนเมื่อคืน หรือว่าฉันจะเดินละเมอพาตัวเองมานอนตรงนี้
ก๊อกๆ~
นั่นเสียงเคาะประตูนี่ สงสัยอีตาเซทก็คงจะตื่นแล้วแหงๆ
ก๊อกๆ~
เสียงนั่นดังขึ้นอีกครั้งในขณะที่ฉันเดินมาถึงแล้วเปิดประตูพอดี
"(- -)"
ปริบๆ ฉันยกมือขึ้นขยี้ตาเบาๆ เผื่อบางทีฉันอาจจะนอนมากเกินไปสายตาอาจจะฟางมองภาพเบลอเห็นเซทเป็นผู้หญิงแถมแต่งตัวได้รสนิยมเหมือนสาวใช้ในซีรีส์มาก
"อรุณสวัสดิ์ค่ะ ดิฉันเป็นหัวหน้าแม่บ้านที่นี่ชื่อวงเดือนค่ะ"
เฮ้ย! เสียงก็ผู้หญิงถ้านี่เป็นอีตาเซทฉันก็หลอนแล้วล่ะ แถมชื่อวงเดือนอีกต่างหาก
"ฉะ ฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงคะ"
นั่นช่างกล้า ถ้าเธอถามกลับมาว่าหล่อนนั่นแหละเข้ามานอนเจ๋ออยู่ในบ้านเจ้านายฉันได้ยังไงกันยะ แล้วฉันจะทำหน้ายังไงจะบอกว่าละเมอเดินจะมีใครเชื่อมั้ยง่า
"น่าจะเป็นนายน้อยอุ้มคุณขึ้นมาค่ะ"
นายน้อย! ดะ เดี๋ยวก่อนนะไอ้นายน้อยเนี่ยฉันรู้สึกคุ้นๆ แฮะ เหมือนได้ยินที่ไหนมาก่อนแว๊บๆ หรือว่าจะเป็น…
"เซทเหรอ!"
"ค่ะ นายน้อยให้ดิฉันเตรียมของให้คุณด้วย"
เธอเผยมือเข้าไปด้านในห้อง ก่อนที่ฉันจะนึกขึ้นได้ว่ายืนขวางประตูอยู่ตั้งนาน ฉันเลยกระเด้งหลบเธอโดยอัตโนมัติเธอยิ้มให้ฉันอย่างอ่อนหวานก่อนจะเดินเข้าไปในห้องเพื่อเปิดตู้เสื้อผ้าแล้วหยิบชุดเดรสสีน้ำเงิน พร้อมกับรองเท้าและกระเป๋าเข้าชุดกันออกมาส่งให้
"ของฉันเหรอคะ"
"ค่ะ "
"แล้วเซท เอ่อนายน้อยน่ะค่ะตอนนี้อยู่ที่ไหนคะ"
"นายน้อยออกไปทำธุระตั้งแต่เมื่อคืนแล้วค่ะ"
"เมื่อคืน!" แสดงว่าหมอนั่นแกล้งหลับ ว่าแล้วเชียวคนอะไรจะหลับเร็วขนาดนั้นแถมนอนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนเหมือนมัมมี่
"ถ้าไม่มีอะไรแล้วดิฉันขอตัวนะคะ"
"ค่ะ"
เธอยิ้มให้ฉันอย่างนอบน้อมอีกครั้งแล้วเดินออกจากห้องไป แล้วเซทไปทำธุระอะไรตั้งแต่เมื่อคืนน่ะแถมยังจัดการทุกอย่างให้เสร็จสับอีก คิดไปคิดมาหมอนี่ก็ชักจะใจดีเกินจนน่าขนลุกแล้วนะเนี่ย
ฉันทำธุระส่วนตัวอยู่ราวๆ สี่สิบนาทีก่อนจะเดินลงบันไดมายังชั้นล่างแต่พอมาถึงฉันก็ถึงกับอ้าปากค้างตาโต แม่เจ้า! ที่นี่มีงานบวชนาคหมูหรอทำไมผู้คนถึงได้เยอะแยะขนาดนี้
"สวัสดีตอนเช้าค่ะ!!!!!!!!!!!!!!!"
สองข้างทางลงบันไดมีสาวใช้แต่งตัวเหมือนกันเด๊ะยืนรอรับพร้อมๆ กับยิ้มทักทายให้ฉัน เล่นเอาฉันประหม่าเขินหน้าแดงมือสั่นไปเลย ทำไมบรรยากาศมันชวนให้ฉันนึกถึงซินเดอเรลล่านักก็ไม่รู้ เพียงชั่วข้ามคืนฉันกลายเป็นเจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์ไปได้ด้วยเวดมนต์ของนางฟ้าผู้ใจดี โฮะๆ แล้วภาพแห่งจิตนาการก็ลอยฟุ้งเข้ามาในความคิด ฉันแต่งตัวด้วยชุดเจ้าหญิงเดินใส่ร้องเท้าแก้วสุดหรูหราลงมาจากบันไดทองคำ ในขณะที่มีเจ้าชายสุดหล่อผู้ใจดีและอ่อนโยนดุดโรตีสายไหมมายืนรอรับฉันพร้อมกับจุ๊บที่หลังมือฉันเบาๆ เพื่อเป็นการทักทาย อ๊ายยยยย >///< นี่มันฝันกลางวันชัดๆ
‘ ใจคอจะยืนยิ้มกว้างเขมือบบ้านฉันไปทั้งหลังเลยหรือไง ดูทำหน้าเข้ายังกับตัวเองเป็นเจ้าหญิงไปได้’
ตุบ! ฝันกระเจิง หน็อย! อีตาเซทบ้า ขนาดในความคิดฉันนายยังจะมาเป็นมารขัดความสุขฉันอีก ใจร้าย !
"อาหารเช้าเตรียมพร้อมแล้วค่ะ"
หัวหน้าแม่บ้านพูดขึ้นก่อนจะเดินนำหน้าฉันไปยังโต๊ะอาหาร พอฉันไปถึงก็อ้าปากค้างหน้าเหวอไปเลย อาหารก็ไม่ได้แปลกพิสดารตรงไหนหรอก แต่ที่ตกใจคือคนที่นั่งอมยิ้มอย่างมีเสน่ห์ก่อนจะขยิบตาให้ฉันเป็นการทักทายนั่นต่างหาก แล้วอยู่ๆ ภาพเก่ามาเล่าใหม่ตอนที่เขาเดินเปลือยโชว์เจ้าโลกพร้อมกับหญิงสาวเซ็กซี่สุดสะบึมริงโก้ออกมาจากห้องน้ำ ฉายชัดขึ้นมาเหมือนฟิล์มภาพยนตร์ เหตุการณ์ในวันนั้นเล่นเอาฉันแทบลมจับล้มทั้งยืน
"ว้าว! น่ารักจัง ทรงผมใหม่จำแทบไม่ได้เลย ถ้าไม่เห็นว่าขาใส่เฝือกฉันยังคิดอยู่ในใจเลยเนี่ยว่าเธอสามารถเปลี่ยนหน้าได้" แน่ใจน่ะนะว่านี่คือการทักทาย
"คุณชิน!"
"เธอจำชื่อฉันได้ ^_^" ก็แหงแหละเจอกันครั้งแรกฉันก็ประทับใจชนิดที่ว่าเล่นเอาฉันฝันร้ายไปหลายคืนใครจะจำไม่ได้ล่ะ "ทานด้วยกันนะ"
ฉันนั่งลงตามคำเชิญ มองอาหารตรงหน้าแล้วก็ถึงกับน้ำลายไหล ท้องร้องครืดคราดดังเสียงฟ้าผ่าขึ้นมาทันที เล่นเอาคนข้างๆ แอบอมยิ้มกันเป็นแถว โธ่! ก็คนมันหิวนี่เมื่อคืนก็ไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย
"หิวก็ทานเยอะๆ"
ชินเลื่อนจานสเต็กตรงหน้าเขามาให้ฉัน
" - _ - ? "
"ปกติฉันไม่ชอบทานอาหารเช้าสักเท่าไหร่" ชินหยักไหล แล้วหันหน้าไปพูดกับหัวหน้าแม่บ้านที่ยังยืนอยู่ข้างๆ
"ฉันขอกาแฟแล้วกัน"
"ค่ะ" เธอยิ้มให้เขาก่อนจะหันไปพยักหน้าเป็นเชิงสั่งยังกลุ่มสาวใช้ที่ยืนอยู่ด้านนอก ไม่นานกาแฟก็มาเสิร์ฟด่วนทันใจคนกินอย่างรวดเร็ว แต่สงสัยจะรีบไปหน่อยทันทีที่ชินหันไปส่งยิ้มให้เพื่อเป็นการขอบคุณสำหรับกาแฟ สาวใช้คนนั้นก็ถึงกับตาค้างเหมือนผีเข้า ก่อนที่แก้วกาแฟร้อนๆ ที่เธอถือไว้ในมือจะเป็นอันว่าตกลงพื้นแตกดังเพล้ง!
"ขะ ขอโทษค่ะ"
สาวใช้คนนั้นถึงกับหน้าซีดเป็นไก่นึ่งไหว้วันตรุษจีนที่ทำแก้วแตก เธอรีบขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ แต่ชินไม่ยักจะโกรธตรงกันข้ามเขากับทำหน้าพอใจด้วยซ้ำ
"ไม่เป็นไรแตกแล้วก็ชงมาใหม่"
"คะ…ค่ะ" เธอพูดตะกุกตะกักก่อนจะก้มลงไปเก็บเศษแก้วด้วยท่าทางสีหน้าตื่นๆ หยิบจับอะไรก็ดู รนรานไปหมด ก็คงจะตกใจล่ะ หัวหน้าแม่บ้านเลยพยักหน้าเรียกให้คนอื่นมาช่วยเก็บเศษแก้วแล้วทำความสะอาดแทน
"ทานสิเดี๋ยวเรามีธุระต้องไปกันต่อ"
"ธุระ?"
"ใช่ ไอ้เซทไม่ได้บอกเธอไว้เหรอ"
"บอกอะไรฉันไม่รู้เรื่องเลยค่ะ"
"ก็วันนี้มันให้ฉันมาเป็นคนขับรถให้เธอไง"
มาขับรถให้ฉันเพื่อ! ฉันไม่ได้ความจำเสื่อมสักหน่อยจำทางกลับบ้านตัวเองได้ยะ
"มะ ไม่เป็นไรค่ะฉันนั่งรถเมล์จะสะดวกกว่า"
ฉันรีบยกมือขึ้นปฏิเสธด้วยความเกรงใจจ้าละวัน
"วางมีดก่อนก็ได้ฉันเสียวอ่ะ กลัวมันจะลอยมาปักแถวนี้" ชินใช้นิ้วโป้งชี้ไปที่หัวใจตัวเองพร้อมกับขยิบตาให้จนเกิดออร่าแสงดาวระยิบระยับออกมาจากตาเขาวิ้งๆ เต็มไปหมด แต่ฉันก็เฉยๆ นะ หันมากินสเต็กได้ตามเดิม สายตาคู่นั้นไม่มีผลกระทบ ต่อความหิวของฉัน
"ขอโทษนะคะ" นั่นสิฉันก็ลืมไปว่าตัวเองกำลังถือมีดหั่นสเต็กอยู่
"ทะ ทำไมมันถึงไม่ได้ผลล่ะ มันไม่เคยพลาดในระยะแค่นี้นี่"
"หา?"
อันนี้สิมีผลกระทบจู่ๆ เขาก็เพ้อพูดอะไรออกมาอย่างหน้าตาตื่นเหมือนกับเขากำลังเจอปัญหาระดับชาติยังไงยังงั้นเลย
"เธอต้องผิดปกติแน่ๆ ตัวร้อนเป็นไข้ไม่สบายรึเปล่า" คุณชินเอื้อมมือมาแตะที่หน้าผากฉันเบาๆ "ตัวก็ไม่ร้อนแล้วทำไมไม่ได้ผล ไม่จริง เป็นไปไม่ได้"
"อะไรหรอคะ"
"มะ…ไม่มีอะไรหรอกเดี๋ยวฉันไปรอที่รถนะ ทานอิ่มแล้วก็ตามไปแล้วกัน"
พูดจบเขาก็หุนหันพลันแล่นเดินออกไป โดยที่ฉันยังไม่ได้ตอบอะไรเลยว่าฉันจะไปด้วย แต่ก็ช่างเถอะเก็บเรื่องนั้นไว้ก่อนเพราะจานสเต็กตรงหน้าฉันเนี่ยสิน่าสนใจที่สุดในตอนนี้
ฉันก้มหน้าก้มตากินๆ แล้วก็กินจนเกลี้ยงไปทั้งสองจาน จนหัวหน้าแม่บ้านถึงกลับอมยิ้มก่อนจะพูดขึ้น
"รับเพิ่มมั้ยคะ"
"ไม่เป็นไรค่ะ ฉันอิ่มพอดี" อันที่จริงฉันก็ยังไม่อิ่มหรอกเพิ่งได้แค่ครึ่งกะเพราะเองแต่ก็แบบว่าเกรงใจอ่ะ (นางเอกเรื่องนี้ตะกละเนอะ) " เออ! คุณชินเขาเป็นอะไรคะดูท่าทางตกใจยังไงก็ไม่รู้"
"ไม่มีอะไรหรอกค่ะเขาคงแค่เสียความมั่นใจในตัวเองน่ะค่ะ"
เธอตอบฉันอย่างยิ้มๆ ทำท่าเอียงอายเหมือนฉันกำลังพูดถึงชายในฝันของเธออะไรประมาณนั้นเลย
"ทำไมถึงเป็นแบบนั้นล่ะคะฉันทำอะไรผิดรึเปล่า"
"ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะ คุณชินแกเป็นหนุ่มเพลย์บอยตัวพ่อ ปกติแล้วในระยะแค่นี้ถ้าเขายิ้มหรือขยิบตาให้ผู้หญิงคนไหนก็จะต้องมีอาการเดียวกันหมดคือตกอยู่ในภวังค์แห่งความรักทันที ฉันเองก็ยังเคยทำแก้วหลุดมือต่อหน้าเขามาแล้ว"
นี่มันเรื่องเหลือเชื่อชัดๆ ยิ่งกว่าคนเล่นของซะอีกคนอะไรจะมีเสน่ห์ได้ขนาดนั้น ถึงเขาจะหล่อดูดีภูมิฐานแต่ก็ไม่น่าจะมีอิทธิพลต่อหัวใจสาวๆ ได้ขนาดนี้นะ
"พอเขาใช้มันไม่ได้กับคุณก็เลยตกใจน่ะค่ะ"
แค่นั้นเองพอเธอเล่าจบฉันก็ถึงกลับกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ ที่มันใช้ไม่ได้กับฉันก็เพราะเวลากินฉันจะไม่สนใจเรื่องอะไรทั้งนั้นนอกจากอาหารที่อยู่ตรงหน้า ก็อย่างที่เคยบอกนั้นแหละว่าฉันเคยเป็นเด็กวัดมาก่อนอยู่ที่นั่นฉันและเด็กคนอื่นจะนั่งล้อมวงกินข้าวกัน ถ้าใครช้าอดหมดหรือถ้าใครเผลอกระพริบตาแค่สองทีกุ้งตัวโตที่มีอยู่ตัวเดียวในชามน้อยกลอยใจก็จะหายวับไปทันที ฉันก็เลยติดนิสัยกินคือกินไม่คิดว่าจะมีผลกระทบกับชินขนาดนี้ คิดแล้วก็ขำสมน้ำหน้าอยากเจ้าชู้ดีนัก คิคิ
"ฉันอิ่มแล้วค่ะ ยังไงก็ขอบคุณมากนะคะที่ดูแลเป็นอย่างดี"
ฉันเดินไปหัวเราะไปจนลืมไปเลยว่าคุณชินนั่งรอฉันอยู่ที่รถ พอเห็นท่าว่าฉันจะเดินเลยแน่ๆ เขาก็เลยขับรถมาดักหน้าฉันไว้
"ขึ้นรถสิ"
"ขอบคุณนะคะ แต่ไม่เป็นไรจริงๆ ค่ะ"
"ได้โปรดเถอะอย่าทำให้ฉันรู้สึกไม่มั่นใจไปกว่านี้เลย"
เขาถึงกับหน้าซีดเผือด นี่เป็นเอามากเลยเหรอเนี่ย ฮาๆ แอบขำในใจอีกรอบ คนอะไรตอนที่เปลือยกายล่อนจ้อนยังไม่ทำหน้าตกใจเท่านี้เลย แต่เห็นหน้าแล้วก็อดสงสารไม่ได้ฉันยิ่งเป็นคนจิตใจดีมีเมตตาคุณธรรมสูงส่งอยู่ด้วย
"ก็ได้ค่ะ"
“เยี่ยม! ว่าแต่จะไปที่ไหน โชเฟอร์คนนี้ยินดีบริการครับ” เขายิ้มเล็กๆ ที่มุมปากพลางทำท่าตะเบะใส่
“ไปที่ร้านแนนนี่ปั๊บปี่เลิฟค่ะ”
"โอเค" ใบหน้าของเขาเปื้อนยิ้มอีกครั้งอย่างมีสไตล์ก่อนจะขับรถออกไป แต่ขอบอกว่าเขาขับรถเร็วมากเร็วกว่าเซทอีก ชนิดที่ว่าฉันนั่งตัวตรงแข็งทื่อไปทั้งทาง เพียงชั่วพริบตาเดียวฉันก็ถึงหน้าร้านเสริมสวยแล้ว แถมเขายังนอนยันตะแคงยันว่าจะอยู่รอจนกว่าฉันจะเสริมสวยเสร็จ โอ้! ได้โปรดอย่าทำตัวติดหนึบเป็นตังเมแบบนี้เลยฉันไม่ใช่เจ้าหญิงนะที่จะต้องมีบอดี้การ์ด ฉันก็เลยแกล้งอำไปว่าฉันจะอยู่นวดหน้า โกนขนรักเร้ ขัดขี้ฟัน ล้างขี้ไคล โอ๊ยอะไรอีกหลายอย่างที่ฉันพอจะสันหานึกออก เขาก็เลยปวดหัวเปลี่ยนใจไม่รอดีกว่า
วันนี้ในร้านไม่มีลูกค้าเลย ฉันจึงได้รับสิทธิพิเศษเหมาๆ ทั้งร้านในราคาตัดผมแค่หัวเดียว เส้นใหญ่ซะไม่มี จนเวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงเจ๊แนนนี่ก็จัดการกับผมฉันเสร็จเรียบร้อย ฉันมองผมสั้นเสล่อสุดๆ ที่ถูกซอยออกของตัวเองในกระจกเงาบานเท่าประตูวังหลวงในร้านเสริมสวยสุดหรูของเจ๊แนนนี่ ด้วยดวงตาอาลัยอาวรผมที่ยาวเคียงบ่าเคียงไหล่มานาน ในขณะที่เจ๊แนนนี่ไม่ถามสักคำว่าทำไมผมฉันถึงมีสภาพแบบนี้ เธอได้แต่ตบที่บ่าของฉันเบาๆ เป็นเชิงให้กำลังใจ
"ไม่ต้องคิดมากเดี๋ยวก็ยาวนึกซะว่าเปลี่ยนลุกมาดเซอร์มาเป็นสาวผมสั้นเทรนเกาหลีแล้วกัน แต่เจ๊ว่ามองไปมองมาก็น่ารักไปอีกแบบนะ"
"…"

ฉันเดินออกจากร้านเสริมสวยเหมือนคนไร้วิญญาณ เพราะมันออกจากร่างฉันไปเรียบร้อยแล้ว หลังจากที่ได้เห็นหน้าตัวเองในกระจก ฉันออกมายืนรอรถที่ป้ายรถเมล์หน้าร้านเสริมสวย ก่อนที่จะยกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่ง เขาจอดรับฉันด้วยใบหน้าวิตกกังวลเหมือนกลัวว่าฉันจะมาฆ่าตัวตายในรถเขาอย่างนั้นแหละ ถ้าคนเรามันตายง่ายแบบนั้นพี่ก็ช่วยสวดส่งวิญญาณ อุดสะลาทำมา ให้ฉันด้วยแล้วกัน แง แง
ในขณะที่ฉันกำลังตกอยู่ในซีนเศร้า พี่แท็กซี่ก็ขับรถมาถึงที่หมายปลายทางตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ มารู้ตัวอีกทีก็โดนพี่เเท็กซี่เรียกเก็บเงินแล้ว นี่คงอยากจะถีบฉันออกจากรถให้เร็วๆ สิท่า เผลอแป๊บเดียวถึงละ
"นี่อีหนูโอมั้ยเนี่ย"
นั่นคนขับพูดอีสานปนอินเตอร์ซะด้วย แหมกลัวจริงๆ นะพี่ ใครๆ มักพูดว่าคนสวยมักไม่มีสมองแต่ไม่ใช่ฉันหนึ่งคนเพราะฉันไม่เคยคิดจะฆ่าตัวตาย (มีใครชมเธอหรือยังว่าสวยอ่ะ) เพราะการฆ่าตัวตายมันเป็นบาปมหันต์
"เท่าไหร่คะลุง"
"ห้าสิบก็พอ"
ฉันจ่ายเงินให้ลุงแท็กซี่เสร็จก็เดินพาสังขารมาถึงหน้าหอตัวเอง แต่กว่าฉันจะเดินขึ้นบันไดมาถึงห้องก็เล่นเอารักเร้เปียกไปเลย หืมมมม! เหนื่อยจริงๆ เมื่อไหร่เจ้าของที่นี่จะติดลิฟต์กับเขาสักที แต่ในระหว่างนั้นเองฉันก็ได้ยินเสียงน้ำไหลจากฝักบัวดังออกมาจากในห้องน้ำ ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ที่อยู่ๆ มันจะไหลขึ้นมา ในเมื่อฉันอยู่คนเดียว แล้วใครอ่ะที่มันอยู่ในนั้น หรือว่าจะเป็นพอสระอีผี แต่บ้าน่า! ผีที่ไหนจะมาหลอกกลางวันแสกๆ ถ้าไม่ใช่ผีแล้วจะเป็นอะไรล่ะ หรือว่าจะเป็นขโมย ถ้าทางจะไม่ค่อยดีละ
แอ๊ด~
จู่ๆ ประตูก็ถูกเปิดออกด้วยความตกใจฉันก็เลยฉวยเอาไม้กวาดที่อยู่ใกล้ๆ มือหลับหูหลับตาฟาดมันไปส่งเดด แต่คนข้างในเร็วมากมันจับข้อมือฉันไว้ได้ทั้งสองข้าง
"ปล่อยฉันนะโว๊ย! ไม่อย่างนั้นฉันจะแจ้งตำรวจจับแก " ฉันเอะอะโวยวายเสียงดังลั่นพลางหลับตาปี๋
"กล้าเอาตำรวจมาจับพี่เชียวเหรอ"
เอ๊ะ เสียงนี้มัน >_O คุ้นๆ นะ
ฉันจึงลืมตาขึ้นข้างหนึ่งแล้วก็พบว่า OoO นะ…นี่มัน…
"พี่เกล!!"
"ก็ใช่น่ะสิ"
"แล้วพี่มาทำอะไรที่ห้องขมิ้น"
เอร๊ย! แถมนุ่งผ้าขนหนูผืนเดียวอีกต่างหาก ใครก็ได้ช่วยฉันทีเมื่อกี้หัวใจฉันยังเต้นอยู่เลยตอนนี้มันกำลังจะหยุดเอาเสียดื้อๆ ถ้าขืนฉันยังเห็นเขาอยู่ในสภาพแบบนี้มีหวังเป็นลมล้มฟุบไปต่อหน้าต่อตาแน่ๆ ฉันรีบดึงมือที่ถูกเขาจับไว้ขึ้นมาปิดตา
"พี่รีบไปใส่เสื้อผ้าเลย"
"โอเคๆ"
หลังจากที่ฉันไล่เขาไปใส่เสื้อผ้าเขาก็เงียบไปนาน ด้วยความสงสัย ย้ำสงสัย ไม่คิดอะไรมากกว่านั้นจริงจริ๊ง ฉันก็เลยค่อยๆ ง้างนิ้วออกให้เป็นช่องเล็กๆ สามารถมองผ่านมือได้ พี่เกลสวมกางเกงยีนส์ขาเดฟสีดำกับเสื้อยืดสีขาวกกำลังยืนอมยิ้มจ้องหน้าฉัน ก็เสร็จแล้วนี่ทำไมไม่บอก ปล่อยให้ยืนปิดตาอยู่ได้ ชิ
"^_^"
"ยิ้มอะไรเล่า"
"ก็เห็นน่ะว่าแอบดูอยู่^^"
พี่เกลยิ้มจนเห็นลักยิ้มบางๆ ที่ข้างแก้มเนียนใส ก่อนจะก้มหน้าลงมาใกล้จนฉันรู้สึกถึงลมหายใจ กลิ่น เปเปอร์มิ้นอ่อนๆ ทำเอาหน้าฉันร้อนวูบวาบขึ้นมา
"เลิกแกล้งได้แล้ว"
ฉันใช้กำปั้นชกที่อกของเขาเบาๆ เพื่อผลักเขาออก ก่อนที่ความคิดมันจะเลยเถิดไปกันใหญ่
"พี่มาตั้งแต่เมื่อไหร่"
"เมื่อคืน"
ตายล่ะ! ถ้าอย่างนั้นเขาก็รู้น่ะสิว่าฉันไม่ได้กลับห้อง แง แล้วนี่มีธุระอะไรด่วนหนักหนาถึงขนาดรอฉันทั้งคืน
"ไงเมื่อกี้ยังหน้าแดงอยู่เลยไหงตอนนี้ซีดอย่างกับไก่ต้มซะล่ะ"
"คืออย่างนี้นะพอดีตาลมันท้องเสียขมิ้นก็เลยไปเยี่ยมที่บ้าน พอดีมันเย็นมากแล้วตาลก็เลยชวนให้นอนเป็นเพื่อนน่ะค่ะ"
ไม่อยากโกหกเลยผิดศีล แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไงถ้าเขารู้ความจริงว่าเมื่อคืนฉันอยู่ที่ไหนอาลาวาดตึกถล่มแน่ๆ
"จริง?"
"จริ๊งงงง"
"ทำไมต้องเสียงสูง"
พี่เกลเลิกคิ้วมองฉันอย่างสงสัย ก่อนจะจับบ่าฉันไว้ทั้งสองข้างแล้วก้มลงมาใกล้เพื่อจ้องตาฉันอย่างคนจับผิด จนปลายจมูกของเราแทบจะชนกัน >///< จนฉันต้องหันหน้าหนีกลัวจะมีอาการหน้ามืดวิงเวียนศีรษะคล้ายจะเป็นลม
"โธ่! อย่าจับผิดกันสิ"
"แล้วมีพิรุธทำไมล่ะ"
“ตรงไหน”
"ตรงที่ไม่กล้าสู้หน้าไง"
พี่เกลเชยคางฉันให้หันหน้ามาเผชิญกับเขา พอสายตาของเราทั้งคู่ประสานกันเวลาก็เหมือนจะหยุดเดินไปสายตาคู่นั้นทำให้ฉันเหมือนถูกแรงดึงดูดจากเขาให้ไม่สามารถละสายตาไปจากเขาได้เลย กลิ่นลมหายใจที่เคยเย็นจากเปเปอร์มิ้น กลับร้อนฉ่าจนฉันสัมผัสได้ นั้นยิ่งทำให้หัวใจฉันร้อนรุ่มอย่างบอกไม่ถูก
"พี่รักขมิ้นนะ"
จบคำหวานริมฝีปากอ่อนนุ่มดังกลีบกุหลาบของเขาก็ประทับลงมาบนริมฝีปากของฉันอย่างแผ่วเบา ฉันรู้สึกเหมือนความอบอุ่น ความรัก ที่เขามีมันวิ่งผ่านจากเขามาสู่ฉันเหมือนเรากำลังจูนคลื่นให้รับสัญญาณของกันและกันได้ เราจูบกันอย่างนี้นานเท่าไหร่ไม่รู้แต่ที่รู้ๆ ฉันไม่อยากละจากริมฝีปากที่หอมหวานนั้นเลย แต่คำขอของฉันคงไม่เป็นจริงเพราะเขาค่อยๆ ถอนริมฝีปากออก แล้วโอบกอดฉันไว้แทน
"แล้วขมิ้นล่ะ รักพี่มั้ย ^^"
พูดจบพี่เกลก็คลายอ้อมกอดลงแต่เปลี่ยนมาจ้องหน้ารอคำตอบจากฉันแทน อ๋า ~ เล่นถามกันดื้อๆ แบบนี้ฉันก็เขินเป็นนะ >///< ป่านนี้หน้าฉันคงแดงเป็นลูกตำลึงไปหมดแล้วมั้งเนี่ย
ตึกๆๆ ทำไงดีล่ะฉันตื่นเต้นไม่กล้าพูดความในใจที่ฉันเองก็เก็บไว้มานานเหมือนกัน แต่นี่อาจเป็นโอกาสเดียวที่ฉันจะได้บอกก็ได้นะ
"ขมิ้นกะ…ก็…"
♫ ~ Love you แค่นั้นจริงๆ ที่ใจต้องการ อย่าลืมฉัน หากถึงเวลาที่เราต้องห่าง~
แต่ยังไม่ทันที่ฉันจะได้บอกความรู้สึกในใจเสียงมือถือของพี่เกลก็ดังขึ้นเสียก่อน เราทั้งสองคนถึงกับชะงักกันไปชั่วครูก่อนที่เขาจะได้สติหยิบมือถือออกจากกระเป๋ากางเกงแล้วรับสาย
"ครับพี่"
"ผมกลับไปทันอยู่แล้ว"
"ครับ"
พี่เกลกดวางสาย ถ้าฉันเดาไม่ผิดคงเป็นเจ๊เข็มโทรมาแน่ๆ เพราะสีหน้าเขาเปลี่ยนไปทันที
"งานเข้าเหรอคะดูเครียดจัง"
"เปล่า"
"อ้าว! แล้วทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ"
"ก็เพราะว่า ขมิ้น…"
" b_d "
"ยังไม่ได้ตอบพี่เลยว่าคิดยังไงกับพี่^^"
"ไม่บอกแล้ว^^"
"ทำไมล่ะ"
พี่เกลหุบยิ้มลงทันทีที่ฉันบอกเขา แล้วจะให้ฉันทำยังไงล่ะให้พูดตอนนี้ฉันก็เขินนะ
"ไม่รู้^^"
ฉันเดินออกจากห้องไปดื้อๆ เล่นเอาพี่เกลสวมหมวกกับใส่แว่นวิ่งตามฉันแทบไม่ทัน ก็นี่ล่ะน่าดาราจะไปไหนแต่ละทีก็ต้องอำพลางกันให้วุ่น
"เดี๋ยวก่อนสิจะไปไหนล่ะ"
ฉันแอบอมยิ้มแต่พอหันหลังกลับไปก็แกล้งทำเป็นสีหน้าปกติ ได้เวลาเอาคืนซะบ้างชอบแกล้งฉันตั้งแต่เล็กจนโต
"ไม่รู้! เดินไปเรื่อยๆ มั้ง"
"งั้นเราไปกินข้าวกันนะ"
เสียงพี่เกลดังขึ้นไล่หลังฉันมาติดๆ แต่ฉันก็ไม่พูดอะไรต่อได้แต่เดินอมยิ้มทั้งทางจนลงบันไดมาถึงที่ลานจอดรถ แต่ที่น่าแปลกทำไมฉันถึงไม่รู้สึกเหนื่อยเหมือนตอนขาขึ้นก็ไม่รู้
แต่พอฉันกวาดสายตาไปยังรถที่จอดอยู่ก็ไม่เห็นวี่แววรถพี่เกลเลย
"(0_O ) ( O_0) "
"พี่ไม่ได้เอาไอ้แมงบินมาหรอก"
"…"
"แต่พี่เอาคันนี้มา^^"
พี่เกลชี้ไปที่รถซุปเปอร์ไบท์คันใหญ่สีดำ พอฉันเห็นมันก็อดที่จะหันไปส่งค้อนวงเบ้อเริ่มให้เขาไม่ได้ ฉันชอบมันนะแต่มันลำบากไปหน่อยตรงตอนนั่งเนี่ยล่ะ เพราะมันต้องนั่งท่ากอดคนขับไปตลอดทางฉันล่ะอึ้งกับคนออกแบบจริงๆ แต่ที่ทึ่งมากกว่าก็ไอ้เจ้าของรถเนี่ยล่ะ





lovezombie
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 28 ม.ค. 2557, 20:41:07 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 28 ม.ค. 2557, 20:41:07 น.

จำนวนการเข้าชม : 926





<< บทที่ 8   บทที่ 10 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account