จุดชนวนรัก อุบัติเหตุเลิฟ
บางครั้งเราทุกคนก็ต้องยอมรับความจริงในเรื่องของหัวใจ ว่ามันอาจไม่เป็นอย่างที่เราต้องการเสมอไป ฉันเคยคิดว่ารัก ‘พี่เกล’ แต่ฉันกลับได้รู้จักความรักจริงๆ ในวันที่สายไปกับคนที่ได้ตายจากไปแล้ว ฉันไม่มีโอกาสแม้แต่จะบอกความในใจให้เขารู้ด้วยซ้ำ และวันนี้ฉันมีโอกาสจะไปหาเขาแม้ว่าหัวใจของเขาจะนิ่งสงบไปแล้วก็ตามแต่ฉันก็ร้อนใจเหลือเกินที่จะไป ไม่อยากจะช้าสักวินาทีเดียว
Tags: วัยรุ่น

ตอน: บทที่ 10

บทที่ 10
ณ ร้านสมายฟูด
พี่เกลขับรถพาฉันมาที่ร้านอาหารในห้างหรูแห่งหนึ่ง
"นั่งสิ^^"
อ๊ากกกกก ใครก็ได้ช่วยตบหน้าฉันทีแล้วบอกว่านี่คือความจริงไม่ใช่ความฝัน ในที่สุดฉันก็ได้มีช่วงเวลาดีๆ อย่างดินเนอร์ใต้แสงพระอาทิตย์กับคนที่พิเศษอย่างคนอื่นเขาบ้างสักที
ฉันนั่งลงที่เก้าอี้ตรงข้ามกับพี่เกล ไม่นานบริกรก็เข้ามารับเมนู
"กินไม่อั้น^^ "
แค่นั้นแหละฉันก็ร่ายยาวรายการอาหารจนบริกรมองหน้า ประมาณว่ามากันสองคนทำไมสั่งซะเหมือนมาสิบคน ทำไมยะพี่ฉันมีตังจ่ายเฟร้ยยย! แต่สั่งแค่นี้ก่อนก็ได้ ชิ
"กินให้หมดนะไอ้ตัวแสบ"
พี่เกลเอื้อมมือมาขยี้หัวฉันเบาๆ อย่างเอ็นดูก่อนจะขมวดคิ้วเข้มอย่างสงสัย
"ตัดผมตั้งแต่เมื่อไหร่"
"วันนี้เองค่ะ ทำไมดูไม่ดีเลยเหรอ"
"น่ารักดี แต่พี่แค่แปลกใจน่ะ"
ก่อนที่พี่เกลจะสงสัยไปมากกว่านี้ฉันก็เลยเบี่ยงเบนไปเรื่องอื่นแทน
"เมื่อไหร่อาหารจะมาเนี่ยหิวจนไส้บวมแล้ว"
"เพิ่งสั่งไปยังไม่ถึงห้านาทีเลย ใครเขาจะทำมาเร็วขนาดนั้นละจ๊ะคนสวย ว่าแต่สั่งไปตั้งเยอะถ้ากินไม่หมดล่ะน่าดู"
"กินหมดก็ไม่ใช่คนแล้ว"
"อ้าว!"
"แล้วพี่จะให้ฉันกินกระดูกหมูเข้าไปด้วยรึไง!^^"
พี่เกลเส้นลึกหรือว่ามุขฉันฝืดกันแน่ก็ไม่รู้ เพราะเราต่างเงียบกันไปพักหนึ่ง ก่อนจะหัวเราะออกมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
"วันนี้พี่มีความสุขจัง"
"เรื่องอะไรคะ บอกขมิ้นบ้างสิ"
"เรื่องแรกที่ทำให้พี่มีความสุขก็คือขมิ้น ส่วนเรื่องที่สอง…แม่มีเงินใช้หนี้แล้วนะ^^"
"คุณป้าบอกพี่อย่างนั้นเหรอคะ"
"อืม! เขาโทรมาบอกพี่กลางดึกเลย และพี่ก็ร้อนใจที่จะบอกเรื่องนี้ก็เลยมาหาขมิ้นที่หอเมื่อคืนนี้ไง รอจนหลับไปเลย"
"…"
นี่คือสิ่งที่คุณป้าต้องการสินะ เก็บเรื่องที่เธอทำเป็นความลับ และฉันก็คงจะต้องเล่นตามน้ำไป
"ทำไมเงียบไป ไม่ดีใจเหรอ"
"ดีใจ อ๋อ! ใช่ขมิ้นต้องดีใจอยู่แล้ว^^"
ฉันฝืนยิ้มกลบเกลื่อนพิรุธ และมันก็ได้ผลพี่เกลเชื่อคุณป้าสนิทใจ แต่ถ้าวันใดเขารู้ความจริงขึ้นมาเขาสามารถเกลียดได้แม้แต่แม่ของตัวเองและนั่นคือสิ่งที่คุณป้ากลัวเป็นที่สุด
"อาหารมาช้าจังเนอะ"
พี่เกลก้มมองเวลาอย่างร้อนรน ทั้งๆ ที่เมื่อกี้เพิ่งบอกเองว่าสั่งไปได้แป๊บเดียวไหงตอนนี้เป็นฝ่ายบ่นซะเอง
"ก็ขมิ้นสั่งไปเยอะนี่"
"สงสัยพี่คงอยู่กินด้วยไม่ได้แล้วล่ะ นี่ใกล้เวลาอัดรายการแล้ว"
"∪︿∪ "
"ไม่เอาน่าอย่าทำหน้าแบบนั้นสิพี่ไม่สบายใจเลย"
พี่ไม่สบายใจแล้วฉันล่ะ ทำไมมีฉันอยู่คนเดียวที่ต้องคอยแคร์คนโน้นคนนี้คอยทำเพื่อคนอื่นแต่ทำไมไม่มีใครทำเพื่อฉันบ้าง หรือฉันมันต่ำต้อยด้อยค่าไม่มีค่าคู่ควรให้คนแคร์
"ล้อเล่นน่า ดีจะตายจะได้ไม่มีใครแย่งขมิ้นกิน ^_^"
ฉันฝืนยิ้มอีกครั้งและก็เนียนเหมือนเคย ‘ฉันน่าจะเรียนเป็นนักแสดงมากกว่าศิลปะนะเนี่ย’ เพราะพี่เกลยิ้มออกอย่างโล่งใจก่อนจะเช็คบิลค่าอาหารแล้วเดินจากไปอย่างรวดเร็ว ม่ายนะฉันอยากมีเวลายู่กับพี่แบบนี้นานๆ ฮือ
ในขณะที่ฉันกำลังนั่งทำหน้ามู่ทู่อาหารหลากหลายเมนูก็มาวางเรียงรายอยู่ตรงหน้า แน่นอนฉันยังเศร้าอยู่นะแต่ไอ้ที่อยู่ตรงหน้าก็ยั่วน้ำลายเหลือเกิน ยังไงขอกินก่อนเรื่องอื่นค่อยว่ากัน
อ้ำ!!
อร่อยเป็นบ้าเลย
"รู้สึกว่าความสุขจะหาง่ายมากจากอาหาร"
เสียงคุ้นๆ จากใครบางคนทำให้ฉันต้องชะงักจากอาหารรสชาติโอชะเพื่อเงยหน้าไปยังผู้มาเยือน แล้วก็เป็นอย่างที่รางสังหรณ์มันบอกเสียงแบบนี้คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก
"เซท!"
"ขอนั่งด้วยคนได้มั้ย"
เสียง…หน้าตา…ความสูง…ความขาว ไม่ผิดแน่ แต่…บุคลิกท่าทางและคำพูดเปลี่ยนไปเขาไม่ใช่คนที่จะมีมารยาทขนาดนี้ อันที่จริงฉันก็ไม่ได้ด่าว่าเขาไม่มีมารยาทนะ แต่ความน่าจะเป็นคือเขาต้องพูดประมาณว่า ‘เธอนี่มันชูชกกลับชาติมาเกิดชัดๆ หรือไม่ก็ขืนปล่อยให้กินหมดนี้มีหวังท้องแตกตายเหมือนชูชกแน่ อะไรทำนองเนี่ย’ มากกว่าที่จะเป็นขอนั่งด้วยอย่างมีมารยาท
"ว่าไงจะรังเกียจมั้ยถ้าฉันจะนั่งด้วยคน" ซึ่งนี่มันไม่ได้ใกล้เคียงกับนิสัยหมอนั่นเลยสักนิด มันต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่ๆ
"อ๋อ! ได้สิ"
เขายิ้มนิดๆ ที่มุมปากก่อนจะนั่งแทนที่พี่เกลตามคำเชิญอย่างเลี่ยงไม่ได้ของฉัน
"ไม่น่าเชื่อว่าผู้หญิงแบบเธอจะสามารถทำลายความหวังของฉันย่อยยับได้เพียงชั่วพริบตา!!"
พอจบประโยคที่เขาพูดขึ้นฉันก็มั่นใจเลยว่าผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงหน้าไม่ใช่เซทแน่ๆ
"คุณเป็นใคร!!!"
"ฉันเป็นใครนะเหรอ? หึๆ"
ทันใดนั้นเองฉันก็รู้สึกง่วงขึ้นมากะทันหัน และไม่นานม่านตาของฉันก็ปิดลงแล้วฉันก็ไม่รับรู้เรื่องราวใดๆ อีกเลย

ณ โรงแรมในเครือ ลีกรุ๊ป
งานเลี้ยงเปิดตัวผู้นำคนใหม่ของ ลีกรุ๊ป ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่แขกเหลื่อล้วนแล้วแต่เป็นคนสำคัญทั้งทางการเมืองและธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ เรียกว่าเป็นการรวมตัวครั้งสำคัญก็ว่าได้
แต่ทว่าเจ้าตัวกับไม่รู้สึกยินดียินร้ายกับงานในครั้งนี้เลยแม้แต่นิด ตรงกันข้ามเขากับรู้สึกเบื่อหน่ายอย่างบอกไม่ถูกที่เห็นผู้คนกำลังปั้นหน้ายกยอปอปั้นใส่กัน จนหาความจริงในคำพูดนั้นไม่ได้เลย ทุกคำล้วนแต่มีผลประโยชน์ร้ายๆ แอบแฝงทั้งนั้น
"เมื่อไหร่จะเลิกทำหน้าเป็นเด็กๆ สักทีเซท"
ผู้หญิงวัยสามสิบแต่ยังสวยสะดุดตาหาตัวจับได้ยาก ในชุดราตรีสีทองเปิดหลังที่ทำให้เธอดูเซ็กซี่จนใครหลายๆ คนต้องหันหลังมองตาเป็นมัน
เธอเอ่ยทักขึ้นก่อนจะนั่งข้างๆ ชายหนุ่มที่กำลังทำหน้าเบื่อโลก
"ฉันไม่ต้องการชีวิตแบบนี้เธอก็รู้"
"มังกรยังไงก็ต้องเป็นมังกรอยู่วันยันค่ำนายไม่อาจหนีความจริงข้อนี้ได้"
"มังกรหรือฆาตกรข้ามชาติกันแน่"
"มันก็แล้วแต่มุมมอง "
"เธอพูดได้สมกับที่เป็นญาติฉันจริงๆ ริช"
"อย่ากัดจิกแบบผู้หญิงอย่างนั้นซี่ ไม่สมกับเป็นเจ้าพ่อมาเฟียคนต่อไปของเราเลยนะ"
หญิงสาวแสยะยิ้มอย่างอารมณ์ดีที่สามารถพูดจี้จุดยั่วโมโหชายหนุ่มตรงหน้าได้ ก่อนจะหยิบแก้วไวน์ขึ้นมาดื่มอย่างใจเย็นแต่คนข้างๆ กับไม่รู้สึกเช่นนั้นทันทีที่เขามองเวลา เขากับรู้สึกร้อนใจขึ้นมาทันที
"มีเรื่องอะไรที่ทำให้นายสติแตกได้มากกว่าเรื่องพวกนี้อีกเหรอ"
"ชินขาดการติดต่อไปสิบห้านาทีแล้ว"
"แล้วจะเอายังไงใกล้จะถึงเวลาเปิดตัวนายแล้วนะ คุณลุงคงไม่ปลื้มแน่ถ้านายทำงานนี้พังและนั้นก็เท่ากับว่านายกำลังเป็นไก่ลองบ่อนของ…" หญิงสาวยังพูดไม่ทันจบเสียงข้อความจากมือถือของลีเซทก็ดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน
เขากดเปิดดูอย่างเงียบๆ แต่ในใจกับกระวนกระวายอยู่ไม่น้อยแม้จะคิดไว้อยู่แล้วว่าต้องเกิดเหตุอย่างนี้ขึ้น
"ริช!"
"หือ?"
"สั่งคนเช็คสัญญาณจีพีเอสหาตำแหน่งของเบอร์นี้ให้เจอ แล้วสั่งคนของเราออกไป"
"ได้เวลาสนุกแล้วสินะ"
หญิงสาวเตรียมตัวที่จะลุกขึ้นทำตามคำสั่งของลี เซท แต่กลับถูกเขาดึงมือไว้เสียก่อน "อย่าให้ไอ้ตัวแสบได้แตะต้องยัยนั่นแม้แต่ปลายเล็บ ฉันเสร็จธุระทางนี้แล้วจะรีบตามไป"
"อืม!"

ฉันลืมตาขึ้นมาพร้อมๆ กับความมึนงง มันไม่เหมือนกับคนที่นอนหลับแล้วตื่นเลยมันเบลอๆ แปลกพิกล แต่ที่น่าแปลกกว่านั้นคือฉันกลับมาอยู่ที่ห้องนี้ได้ยังไง
"ฉันนึกว่าเธอจะเกิดมาเพื่อนอนซะอีก"
เสียงของเซทและนั่นก็เป็นประโยคที่ฉันมั่นใจว่าเป็นเขาแน่ๆ ฉันลุกขึ้นจากเตียงแล้วมองไปยังโซฟาที่เขากำลังนั่งอยู่สีหน้าของเขาดูโล่งใจยังไงบอกไม่ถูกที่ฉันลืมตาตื่นขึ้นมา แม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดอะไรแบบนั้นเลยก็ตาม
"ฉันมาอยู่บ้านนายได้ยังไง"
แม้ว่าฉันจะรู้สึกมึนๆ คล้ายๆ กับคนเมารถแต่ฉันก็ยังจำได้ดีว่าก่อนหน้านี้ฉันอยู่ที่ไหนและทำอะไร ที่สำคัญคุยกับใครอยู่เป็นคนสุดท้าย
"ก็ฉันบังเอิญไปเจอเธอนั่งกินข้าวคนเดียวที่ร้านสมายฟูด แล้วก็นั่งคุยกันอยู่ดีๆ จู่ๆ เธอก็ง่วงแล้วก็หลับฟุบคอพับไปกับโต๊ะอาหาร"
สิ่งที่เขาเล่าฟังดูเหมือนจะเป็นฉัน แต่เขาเนี่ยสิฟังดูแล้วเหมือนไม่ใช่เท่าไหร่
"ถึงฉันจะเป็นคนหลับง่ายแต่ก็ไม่น่าใช่อย่างที่นายเล่าซะทั้งหมด ฟังดูแล้วคล้ายๆ กับมันเหมือนมีอะไรไม่ค่อยปกติโดยเฉพาะนาย"
"ทำไมฉันหน้าแปลกไปรึไง^^"
"หน้านายน่ะไม่แปลกหรอกแต่ลักษณะท่าทางมันเหมือนไม่ใช่นายยังไงก็ไม่รู้"
"ฉันว่าเธอเพิ่งตื่นก็เลยฟุ้งซ่าน ไปล้างหน้าล้างตาซะไป ชิ้วๆ จะได้ดีขึ้นฉันจะลงไปรอข้างล่าง"
เซทตัดบทฉันเอาเสียดื้อๆ มันยิ่งทำให้ฉันสงสัยเข้าไปใหญ่มันต้องมีอะไรที่มากกว่าแน่ๆ มันแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่ฉันจะหลับในเวลากินโดยเฉพาะมีอาหารเต็มโต๊ะแบบนั้นว่าแต่…
"แล้วอาหารที่ฉันสั่งมาแล้วยังไม่ได้กินล่ะ"
พอฉันถามออกไปเซทก็ถึงกลับกลั้นเสียงหัวเราะไว้ไม่อยู่
"อย่าบอกนะว่าเธอจะให้ฉันห่อใส่ถุงกลับบ้านด้วย"
">︿<"
"โอ้ไม่นะ! เธออย่ามองฉันด้วยสายตาตำหนิเหมือนกับฉันทำผิดร้ายแรงแบบนั้นสิ"
ไม่เลย นายไม่ผิดแต่แอบเคืองจิ๊ดๆ ก็มันน่าเสียดายมั้ยล่ะอาหารตั้งมากมายแถมเพิ่งกินไปได้คำเดียวเองทำไมนายถึงไม่เอากลับมาด้วยยะ รู้มั้ยการกินคือชีวิตของช้านนนนนนนน
"เธอมันชูชกกลับชาติมาเกิดชัดๆ หน้ากลัวอ่ะ ไปดีกว่า^^"
เซททำท่าสยดสยองใส่ฉันจนฉันอดหมั่นไส้ไม่ได้ก็เลยปาหมอนไล่หลังเขาไปติดๆ แต่ก็ไม่ยักจะโดนเพราะหมอนั่นเดินพ้นประตูไปซะก่อน ฉันก็เลยได้แต่ด่าเขาในใจแต่ถึงจะให้ด่าจริงๆ ก็คงด่าไม่ลงเท่าไหร่ถึงเขาจะกวนๆ ไปนิดแต่ฉันก็สัมผัสได้ถึงความใจดีของเขา ซึ่งมันผิดจากที่ฉันเจอเขาที่ร้านอาหารมันไม่ใช่อ่ะ แต่มันก็กลับใช่
ฉันล้างหน้าล้างตาอย่างที่เขาแนะนำเผื่อว่าฉันจะเลิกสงสัยขึ้นมาบ้าง แล้วมันก็ดีขึ้นจริงๆ พอเดินลงมาถึงข้างล่างก็ไม่คิดว่าวันนี้จะเป็นวันรวมมิตร เพราะทั้งอาจารย์นิสา และคุณชินกำลังนั่งคุยอะไรกับเซทท่าทางเครียดกันอยู่ทีเดียว แถมใบหน้าของชินก็มีแต่รอยฟกช้ำที่เพิ่งจะเกิดใหม่สดๆ หมาดๆ เพราะเมื่อเช้ายังไม่มี ส่วนเซทไม่ต้องพูดถึงรายนั้นเมื่อคืนโดนไปเยอะวันนี้ก็เลยยังมีรอยช้ำๆ อยู่
ฉันทำเสียงกระแอมเพื่อให้ทั้งหมดรู้ว่าฉันก็มีตัวตนนะจ๊ะใส่ใจกันนิด พอพวกเขาเห็นฉันใบหน้าที่ดูเครียดเมื่อกี้ก็เปลี่ยนไปทันทีโดยเฉพาะอาจารย์นิสาเร็วยิ่งกว่าพลิกหน้ากระดาษเสียอีก
"อ้าวขมิ้น! นั่งก่อนสิ เรากำลังคุยเรื่องเธอกันอยู่พอดีเลย"
เธอยิ้มให้ฉันเหมือนปกติ แถมยังบอกว่ากำลังคุยเรื่องของฉันอยู่อีกด้วยทั้งๆ ที่หน้าตาเมื่อกี้มันไม่น่าใช่ เรื่องของฉันไม่น่าจะเครียดขนาดนั้น แต่ฉันก็นั่งลงข้างๆ เธอ
"เซทอยากจะเรียนอ่านเขียนภาษาไทยให้คล่องกว่านี้น่ะ"
"อะไรนะ! ฉันพูดแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่!" อาจารย์นิสายังพูดไม่ทันจบเซทก็โวยวายขึ้นมา แต่พอเธอหันไปเหมือนกำลังด่าด้วยสายตาหมอนั่นก็เลยเงียบปากไป
"ฉันก็ไม่ค่อยมีเวลา ลำพังสอนพิเศษที่มหาลัยก็แย่แล้ว ก็เลยคิดว่าเธอน่าจะเหมาะสุด"
"หนูเหรอคะ!"
"เฮ้ย!!"
ไม่เฉพาะฉันหรอกที่ตกใจ ดูเหมือนเซทก็ตกใจเหมือนกันแถมมากกว่าฉันอีก นี่มั่นใจนะว่าคุยกันเรื่องนี้อยู่ อาการแต่ละคนเหมือนไม่น่าจะใช่เลย
"ขอหนูคิดดูก่อนได้มั้ยคะ"
"ไม่น่าจะ"
แบบนี้มันบังคับกันชัดๆ แต่อันที่จริงถ้านี่จะถือเป็นการตอบแทนเล็กๆ น้อยๆ ที่ฉันพอจะทำให้เซทเพื่อเป็นการขอบคุณในหลายๆ เรื่องที่ผ่านมา มันก็น่าจะทำเพราะก็ไม่ได้เสียหายอะไรมากมาย ฉันก็เลยตอบตกลงไป
"ก็ได้ค่ะ"
"ดีเลยจ๊ะ! ถ้าไม่มีอะไรแล้วฉันกลับดีกว่า ป่ะชิน"
ฉันเกือบลืมไปเลยว่าคุณชินก็นั่งอยู่ด้วย แต่ดูเหมือนท่าทางเขาก็คงอยากจะอยู่เงียบๆ มากกว่า เพราะมองจากอาการแล้วก็สะบักสะบอมไม่ใช่น้อย แต่ก็ผิดกับไอ้คนที่กำลังนั่งหน้าตูมอยู่ตรงข้ามฉันเลย โดนไปตั้งหลายชอตแต่อึดยิ่งกว่าถนนซะอีก (นั่นชมหรือด่ากันแน่ยะ)
พอทั้งสองคนกลับไปบรรยากาศในห้องนี้ก็เงียบสงัด ไม่มีเสียงพูดคุยระหว่างฉันกับเขาเกิดขึ้น ( เพราะไม่มีอะไรจะคุย!) เราเงียบกันอยู่พักใหญ่จนกระทั่งเซทดูท่าทางจะอึดอัดก็เลยกระแอมขึ้นมาก่อนจะพูดว่า…
"พรุ่งนี้ก็ถึงวันคอนเสิร์ตแล้วสินะ"
"เอ๋?" สงสัยจะไม่มีอะไรจะพูดจริงๆ นะเนี่ยถึงได้งัดเรื่องนี้ขึ้นมาคุย แต่พอนึกถึงเรื่องนี้ฉันก็แอบเศร้านิดๆ ดีใจหน่อยๆ ยังไงน่ะเหรอ ก็ดีใจที่จะได้ดูพี่เกลสุดเท่ขึ้นเวที แม้ว่าเขาจะไม่ได้ชวนเพราะคงถูกเจ๊เข็มห้าม แต่ฉันก็มีบัตรเรียบร้อยแล้ว โฮะๆ แต่ก็อีกแหละมีเรื่องดีต้องมีไม่ดีและไอ้ที่ไม่ดีก็คือเมื่อจบงานคอนเสิร์ตวง Monster King ก็ต้องเดินทางไปเกาหลีไม่มีกำหนดที่จะกลับ และสิ่งที่ฉันกลัวมาตลอดชีวิตก็กำลังจะเกิดขึ้นพี่เกลทิ้งฉันให้อยู่คนเดียว (เธอก็อยู่มาตั้งนานแล้วนี่)
"ฉันก็แค่ไม่อยากให้เธอ…แต่ช่างมันเถอะว่าแต่เธอว่างมั้ย"
หมอนี่ยังไงนะชอบมีลับลมคมในอยู่เรื่อยจะพูดให้จบก็ไม่พูด
"ไม่ว่าง ถ้านายไม่พูดต่อให้มันจบๆ ประโยคไป"
"ก็ไม่ง้อ! เพราะยังไงเธอก็ต้องไปกับฉันอยู่แล้ว"
"เรื่องก็ไม่ใช่!"
"คนเราอ่ะนะอุตส่าห์ช่วยไว้ตั้งหลายเรื่องขอบคุณสักคำก็ไม่มี แถมยังจะแล้งน้ำใจอีก > <"
"ไอ้ที่ร่ายยาวแต่ความหมายเท่าหางอึ่งเนี่ย จะทวงบุญคุณว่างั้น!"
"ก็ไม่โง่เท่าไหร่นี่"
แหม! ฉันก็ไอคิวปกติย่ะ
"จะไปไหนล่ะ รึว่าใจร้อนอยากจะเรียกฉันว่าคุณครูเลยจะรีบพาไปซื้อสมุดคัดกอไก่ถึงฮอนกฮูกตาโต"
"ฝันไปเถอะ"
"ก็ไม่แน่หรอกกกก"
"พูดมาก จะไปกันได้ยังเดี๋ยวมืด"
"นายจะพาฉันไปไหน"
"ทำไม เกิดกลัวขึ้นมาล่ะสิ" เขาถามเมื่อเห็นฉันทำหน้าหวาดๆ ไม่รู้แหละฉันก็ต้องคิดไปไกลไว้ก่อนเผื่อนายจะได้ยีนเด่นความเจ้าชู้จากพ่อนายมา
"ก็บอกมาสิ ว่าจะไปที่ไหน"
"เอาไว้ไปถึงก็จะรู้เอง"

สรุปเซทก็ไม่ยอมบอกว่าจะพาฉันไปที่ไหน รู้แต่ว่ามันไกลพอสมควรขนาดฉันหลับไปหลายตื่นก็ยังไม่ถึงสักที จนกระทั่งฉันเผลอหลับไปรอบที่สี่ และมารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่เขาเรียกพลางเขย่าตัวฉันเบาๆ
"ตื่นได้แล้วยัยเป๋!"
ฉันงัวเงียงุ่มง่ามตื่นขึ้นมาแล้วถามเขาว่า
"ถึงแล้วเหรอ"
เซทไม่ตอบแต่เขากลับเดินลงจากรถแทน ฉันก็เลยต้องเดินตามเขาลงไป แหม! มันคงจะดีกว่านี้ถ้ามีสุภาพบุรุษมาคอยเปิดประตูให้เพราะเวลาลงเองลำบากเหลือแสนเกะกะไปหมด ไหนจะไม้ค้ำยันไหนจะขาใส่เฝือก แต่พอฉันได้เห็นภาพที่อยู่เบื่องหน้าฉันก็แทบจะลืมความยากลำบากไปโดยสิ้นเชิง
บ้านหลังสองชั้นสไตล์โคโลเนียลที่ตั้งอยู่ท่ามกลางต้นไม้ใหญ่ทุ่งหญ้าเขียวขจี และดอกไม้นาๆ พันธุ์ที่กำลังผลิดอกบานสะพรั่ง ส่วนเบื่องหลังมีภูเขากับพระอาทิตย์สีทองยามเย็นที่กำลังอวดโฉมก่อนจะลับลาขอบฟ้า ทำไมถึง
ได้สวยขนาดนี้นะอากาศก็ดีรู้สึกสดชื่นอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน เพราะฉันเกิดและโตที่กรุงเทพฯ ไม่เคยคิดเลยว่า
บรรยากาศต่างจังหวัดยามเย็นจะดีขนาดนี้ ฉันหลับตาลงพลางสูดลมหายใจเอาอากาสบริสุทธิเข้าไปเต็มปอด
ไม่ปงไม่ไปมันแล้วเกาหลี ที่เมืองไทยมีอะไรที่ฉันยังไม่เคยสัมผัสอีกเยอะเลย
"จะยืนเป็นนางเอกมิวสิคไม่สนใจโลกอยู่ตรงนี้อีกนานมั้ย"
เสียงพูดประชดประชันและหน้างอเหมือนเด็กๆ ของเซทดังขึ้น โอเคฉันยอมรับว่าลืมไปเลยว่ายังมีนายอยู่ตรงนี้อีกคน ก็แหมฉันกำลังตื่นตาตื่นใจกับที่นี่อยู่นี่ ช่วยไม่ได้นายมันน่าสนใจน้อยกว่าทำไมล่ะ
"ที่ไหนอ่ะสวยจัง"
"เธอชอบธรรมชาติเหรอ"
"^_^" ฉันไม่ได้พูดอะไรแต่ก็ยิ้มรับเป็นเชิงว่าใช่
"น่ากลัวจะตายไป หันไปทางไหนก็มีแต่ต้นไม้"
น่ากลัวเหรอ! นายกล้าพูดแบบนี้ได้ยังไงบรรยากาศบริสุทธิ์ สายลม ต้นไม้ ดอกไม้ ทุ้งหญ้า ขุนเขา และแสงสีทองจากดวงอาทิตย์ ไม่เห็นมีส่วนไหนที่มันจะน่ากลัวเลย ในขณะที่ฉันกำลังแย้งเขาอยู่ในใจยังไม่ทันมีโอกาสได้พูด อยู่ๆ ก็มีสาวน้อยหน้าหวานอายุไม่น่าจะเกินสิบเจ็ดกำลังวิ่งกระหืดกระหอบมาเกาะแข็งเกาะขาเซทอย่างสนิทสนม
"หนูนึกว่าเฮียจะไม่กลับมาที่นี่อีกแล้ว" เธอพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฉันสัมผัสมันได้ ว่าดีใจแค่ไหนที่ได้เห็นการกลับมาของผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้า แต่ดูเหมือนเซทจะไม่ค่อยรู้สึกแบบนั้นเลย เพราะเขายังยืนนิ่งสีหน้าไร้อารมณ์ ทั้งๆ ที่สาวน้อยคนนั้นยืนยิ้มจนฉันแทบจะเห็นฟันทั้งสามสิบสองซี่ของเธอ
"ไปเถอะเข้าบ้านกัน ออนนี* ต้องดีใจแน่ๆ ที่เห็นเฮียกลับมา"
___________________________________________________________
* ออนนี-เป็นภาษาเกาหลีใช้สำหรับน้องสาวเรียกพี่สาว
สาวน้อยหน้าหวานยังคงพูดอยู่คนเดียวยิ้มอยู่คนเดียว และสนใจอีตาเซทอยู่คนเดียว แล้วฉันล่ะจะไม่หันมาทักทายเป็นมารยาทหน่อยเหรอฉันก็คนนะยะแค่เป็นเพศเมียเท่านั้นเธอถึงกับจะไม่สนใจว่ายังมีฉันยืนหายใจอยู่ตรงนี้อีกคนเลยเหรอ แล้วยัยออนนีที่เธอพูดถึงเป็นใครกันนะ รึว่าเป็นแฟนของอีตาเซท
"เอาของลงจากรถด้วย"
"ค่ะ^^"
ของเหรอ ฉันไม่เห็นว่านายจะมีของอะไรมาเลยสักอย่าง นอกจากดอกกุหลาบสีขาวช่อใหญ่ที่แวะซื้อก่อนที่ฉันจะหลับไปรอบที่สอง แต่ก็อย่างว่าอ่ะนะก็คนมันรวยของแค่นี้ก็คงถือเองไม่ได้หรอก
สาวน้อยหน้าหวานกะจะรีบวิ่งไปที่รถ แต่พอเธอหันมาเจอฉันเธอก็เบรกดังเอี๊ยดดดดด แล้วจากหน้าหวานๆ ก็เปลี่ยนเป็นหงิกเหมือนโดนน้ำยาดัดมาสามชั่วโมงทันที
"ผู้หญิงคนนี้เป็นใครคะ"
เธอหันไปถามเซทก่อนจะชี้มาที่ฉันอย่างเอาเรื่อง สายตาของเธอที่มองมามันบอกได้ทันทีว่าไร้ซึ่งมิตรภาพใดๆ ประมาณว่าผู้ชายฉันใครอย่าแตะย่ะ
"แฟนฉันเอง"
"แฟน!!" ทั้งฉันทั้งเธอต่างร้องขึ้นพร้อมกันด้วยความตกใจ ฉันถึงกับหน้าเหวอไปเลยส่วนอีกคนก็หน้าซีดเป็นไก่ต้มไหว้เจ้าและไม่นานเธอก็เริ่มเบะปากร้องไห้ฟูมฟายออกมาเหมือนเด็กน้อย
"หนูจะบอกออนนี"
ฉันยังไม่ทันได้อ้าปากอธิบายว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง เธอก็วิ่งปาดน้ำตาเข้าไปในบ้านทันที ตายล่ะถ้าแม่เด็กนั่นเอาไปฟ้องแม่ออนนีอะไรนั้นมีหวังได้เข้าใจผิดกันยกใหญ่ แต่พอฉันหันหน้าไปมองเจ้าตัวต้นเหตุข้างๆ หมอนั่นก็ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้พลางเดินไปหยิบดอกไม้ที่รถเอง แล้วเดินมุ่งหน้าไปทางซ้ายของบ้าน เฮ้ย! แล้วจะทิ้งกันดื้อๆ แบบนี้เลยเหรอ
"นี่! แล้วนายจะไปไหน"
ฉันตะโกนไล่หลังแต่เขาก็ไม่หันมาสักนิด ได้แต่พูดลอยๆ ว่า
"ถ้าไม่รีบตามมาหลีหลินฆ่าเธอหมกป่าแน่"
เหวอ! ถึงกับจะฆ่ากันเลยเหรอ จริงไม่จริงไม่รู้แต่เพื่อความปลอดภัยขอไม่เสี่ยงภัยอยู่ตรงนี้ดีกว่า ฉันก็เลยเดินตามด้วยความเร็วเท่าที่จะทำได้แต่ก็ไม่ทันหรอก เพราะหมอนั่นเดินไปโน้นแล้ว ฉันเห็นหลังเขาไกลๆ กำลังวางช่อดอกกุหลาบบนแท่นสีขาวคล้ายๆ กับหลุ่มฝังศพ ซึ่งฉันมองไม่ชัดก็เลยไม่แน่ใจเท่าไหร่ แต่ที่แน่ๆ เขานั่งคุกเข่าอยู่ตรงนั้นและมันก็เป็นเรื่องดีเพราะขืนถ้าเขายังเดินไกลกว่านี้ฉันก็คงจะถอดใจไม่เดินตามแล้ว ยอมโดนฆ่าหมกป่าอยู่ตรงนี้ดีกว่าทรมานในการเดินเหลือเกิน
พอฉันไปถึงก็กะว่าจะบ่นสักหน่อยที่ให้เดินตามมาทำไม ไกลก็ไกลไม่เห็นหรือไงว่าฉันเป๋อยู่ แต่พอฉันเห็นสีหน้าของเขาคำพูดที่นึกไว้ว่าจะด่าก็หายไปเลย ถ้าฉันเดาไม่ผิดที่เขานั่งอยู่ตรงนี้น่าจะเป็นหลุมฝังศพในแบบคนนับถือศาสนาคริสต์เพราะแท่นสีขาวที่ฉันเห็นแต่ไกลมันคือป้ายหินที่สลักชื่อด้วยภาษาอังกฤษไว้ว่า ลี ดาฮี ฉันไม่รู้ว่าเธอคือใครแต่ต้องมีความสำคัญกับเขามากแน่ๆ เพราะปกติหมอนี่วันๆ ถ้าไม่ทำหน้าไร้อารมณ์ ก็ทำหน้ากวนประสาท แต่วันนี้ไม่ใช่ทั้งสองแบบฉันจับความรู้สึกได้จากแววตาคู่นั้น แม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดมันออกมาก็ตาม
"เกิดอะไรขึ้นกับเธอเหรอ"
อันที่จริงฉันก็ไม่ได้อยากจะสอดรู้สอดเห็นเรื่องของคนอื่นหรอกนะ แต่สภาพเขาในตอนนี้ฉันกับคิดว่ามันคงจะดีถ้าเขาได้ระบายความรู้สึกเจ็บปวดนั้นให้ใครฟังสักคน และฉันก็จะยอมเป็นผู้เสียสละนั่นเอง (เหรอยะ)
"ฉันผิดเอง ถ้าฉันไม่ประมาทเธอก็คงไม่ตาย"
"ฉันไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ถ้านายมัวโทษตัวเองอยู่แบบนี้คนที่นอนอยู่ตรงหน้าคงไม่มีความสุขหรอกนะที่เห็นนาย
ทุกข์ใจขนาดนี้"
ฉันพยายามพูดปลอบใจเท่าที่จะพอนึกออก แต่ดูเหมือนก็ไม่ได้ช่วยอะไรสักเท่าไหร่เพราะเขาก็ยังสีหน้าไม่ดีเหมือนเดิม
"มันสมควรแล้วที่จะเป็นแบบนี้ เพราะฉันไม่สมควรที่จะมีความสุข"
"ทำไมล่ะ ถ้าคนเราจะมีความสุขสักเรื่องมันต้องเป็นการสมควรด้วยเหรอ"
"ต้องสิ เพราะฉัน…" เขาเงียบไปพลางหลับตาลงก่อนจะก้มหน้าเหมือนกับว่าประโยคต่อไปมันคือสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดมากที่สุดจนไม่กล้าที่จะนึกถึงมัน "…เป็นคนที่ฆ่าแม่ตัวเอง มันสมเหตุสมผลที่สุดแล้วที่จะไม่ได้รับความสุขใดๆ บนโลกใบนี้"
ฉันถึงกับอึ้งไปเลยพูดไม่ออก ตกใจอย่างบอกไม่ถูกมันเป็นเรื่องอะไรที่คาดไม่ถึงเลย เครื่องหมายคำถามมันลอยอยู่ในหัวฉันเต็มไปหมด และเขาเองก็คงจะรู้ว่าฉันอยากได้คำอธิบายมากกว่านี้เขาก็เลยพูดต่อด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก
"วันนั้นฉันขับรถไปกับแม่เพื่อฉลองที่ฉันเรียนได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง แต่ด้วยความคะนองฉันเหยียบแข่งกับรถอีกคันที่ไม่รู้จักกันด้วยซ้ำ แม่พยายามเตือนแต่ฉันก็ไม่ฟังจนกระทั่งรถฉันเสียหลักพุ่งชนเสาไฟฟ้าข้างทาง ฉันรอดแต่แม่…"
"เซท" ฉันได้แต่เรียกชื่อเขาเบาๆ หวังว่าอดีตที่ปวดร้าวของเขามันจะทุเลาลงบ้าง
ตลอดเวลาเขาคงทรมานมากสินะที่ต้องมีชีวิตอยู่ด้วยความรู้สึกผิดขนาดนี้ ถ้าเป็นฉันคงรับเรื่องนี้ไม่ไหวเหมือนกันมันทำใจยากนะแม้ว่ามันจะเป็นอุบัติเหตุก็ตาม
"หลังจากวันนั้นฉันก็โทษตัวเองมาตลอด ฉันหยุดเรียน หยุดฝัน หยุดรักตัวเอง และไม่ยอมให้ใครนั่งรถไปกับฉันอีกเลย แล้วก็ใช้เวลาเกือบสี่ปีที่ผ่านมาด้วยความฝันของแม่แทน ฉันเดินทางไปเที่ยวทุกที่ที่แม่อยากไป แต่ยิ่งฉันเดินตามชีวิตแม่มากเท่าไหร่ฉันกลับยิ่งทรมานใจเท่านั้นเพราะมันไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกผิดน้อยลงเลย" เซทเงียบไปสักพักก่อนจะพูดต่อว่า "เธอจะอยู่ข้างๆ ฉันแบบนี้ตลอดไปได้มั้ย"
"O_O หา?"
"เวลาที่ฉันอยู่ใกล้ๆ เธอมันเป็นช่วงเวลาเดียวที่ฉันรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่าสำหรับลมหายใจที่ฉันยังมีอยู่แต่แม่ไม่มี"
ทะ ทำไมพอได้ยินเขาพูดแบบนั้น ใจฉันกลับรู้สึกตื้นตันขึ้นมานะ มันเหมือนกับว่าฉันกำลังเขินอะไรทำนองนั้นอ่ะที่อยู่ๆ ก็มีความสำคัญกับคนอื่นเหมือนกัน
"ถ้าฉันพอจะทำให้นายกลับมามีกำลังใจอีกครั้งที่จะมีชีวิตอยู่เพื่อตัวเอง ฉันก็โอเคนะ"
เซทดูอึ้งๆ ไปกับคำตอบของฉัน
"ก็โอเคนะ!"
"ก็นายช่วยฉันไว้ตั้งหลายเรื่อง ถึงฉันจะยังไม่มีโอกาสได้พูดขอบคุณอย่างจริงจัง แต่มันก็อยู่ในใจฉันตลอด หนี้บุญคุณครั้งนี้ต่อให้ตายแทนก็ยังใช้ให้นายไม่หมดเลย ฉันพูดจริงๆ นะ เพราะฉะนั้นอะไรที่พอจะตอบแทนได้บ้างฉันก็ยินดีทำโดยที่ไม่มีข้อแม้ใดๆ ทั้งสิ้น"
"เธอพูดจริงเหรอว่าจะทำเพื่อฉันได้ทุกเรื่อง?"
"อืม!"
ฉันตอบอย่างหนักแน่น
"ฉันไม่เคยอยากได้อะไรตอบแทนจากเธอเลย ฉันหวังแค่จะมีสักครั้งที่เธอ…จะชอบฉันบ้าง"
ประโยคหลังของเขาเบาจนฉันฟังแทบไม่รู้เรื่อง
"นายว่าอะไรนะ"
"ช่างเถอะ ฝนใกล้จะตกแล้วเรารีบกลับกันดีกว่าเดี๋ยวไม่ทันฝน"
เซทจบทุกเรื่องที่เราคุยกันและจบทุกอารมณ์ด้วยเรื่องฝนฟ้าอากาศ แล้วลุกขึ้นก่อนจะยื่นมือมาให้ฉันจับจะได้ลุกขึ้นง่ายๆ ฉันรับมือนั้นอย่างไม่รู้สึกรังเกียจเลยตรงกันข้ามฉันกับรู้สึกอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก มันเหมือนกับว่าตราบใดที่ฝ่ามือนี้ยังอยู่ฉันจะปลอดภัยในทุกๆ สถานการณ์ แม้กระทั้งเรื่องฝนๆ อันที่จริงแล้วฉันกลัวเวลาฝนตกเป็นที่สุดทำไมน่ะเหรอถ้าฝนตกธรรมดามันก็ไม่เท่าไหร่หรอก แต่ถ้าวันไหนเกิดฟ้าร้องครืนๆ แล้วผ่าดังเปรี๊ยง! ขึ้นมาฉันจะเหมือนคนเป็นอัมพาตทันที ขาก้าวไม่ออกมือไม้เย็นเฉียบเหมือนกับเวลาที่เราช็อกเพราะกลัวอะไรมากๆ ประมาณนั้นเลย โดยเฉพาะเวลาที่อยู่กลางแจ้ง แต่ถ้าอยู่ในร่มหรือบ้านฉันก็ไม่กลัวนะ
"แล้วเราจะกลับบ้านทันฝนตกมั้ย"
"ทำหน้าเหมือนกลัวฝนไปได้"
"ไปเถอะ"
เซทเลิกคิ้วมองหน้าฉันเหมือนกำลังค้นหาความจริง แต่ฉันก็ตัดบทด้วยการกระตุ้นให้เขากลับเร็วๆ ก่อนที่ฝนจะมา
"ถ้ากลัวกลับบ้านไม่ทันฝนฉันให้ขี่หลังเอามั้ย…" ในช่วงเวลาแบบนี้ฉันไม่ควรจะปฏิเสธใช่มั้ย "…แต่คืนนี้เธอต้องไปนอนเป็นเพื่อนฉันนะ"
"ฝันไปเถอะฉันเดินเองได้" หน็อยๆ เมื่อกี้ยังตีหน้าเศร้าหลอกให้ฉันสงสารอยู่เลยในที่สุดนิสัยเดิมๆ ก็เปิดเผย ไอ้เรื่องกวนประสาทเนี่ยขอให้บอกเขาเถอะ
"งั้นก็ตามใจฉันไปล่ะ"
แล้วเขาก็เดินผิวปากไปอย่างอารมณ์ดีที่แกล้งฉันได้ โธ่! แล้วฉันจะเดินกลับทันฝนตกมั้ยเนี่ย ฉันพยายามเดินให้เร็วเท่าที่จะทำได้พลางมองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่เคยเป็นสีทองสลับสีฟ้าแก้มสีขาวสีของก้อนเมฆ แต่ตอนนี้มันกำลังเป็นสีเทาอึมครึม และไม่นานฝนก็เริ่มลงเม็ดปลอยๆ สักพักก็เริ่มลงเม็ดหนักขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่เป็นไรขออย่างเดียวฟ้าอย่าร้องแล้วกัน
เซทที่เดินนำหน้าฉันไป หันกลับมาด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสนุกสนาน
"คิดจะเปลี่ยนใจก็เรียกได้นะ"
"กลับไปนอนกอดหมอนข้างนายเถอะย่ะ"
"แล้วอย่ามาร้องไห้ขี้มูกโป่งขอฉันขึ้นหลังแล้วกัน แบร่"
เซทแลบลิ้นให้ฉันเหมือนเด็กๆ แต่ท่าทางแบบนั้น…ก็น่ารักดีนะ…แต่คิดอีกทีฉันว่าไม่ดีกว่า ดูสิเดินดุ่มๆ ไปโน่นแล้ว
แต่ยิ่งเดินฝนก็ยิ่งลงเม็ดแถมมีฟ้าแลบแปรบๆ ด้วย เจ้าพระคุณเอ๊ยแค่แลบอย่างเดียวขออย่าให้…
เปรี๊ยง!!!!!
"กรี๊ดดดดดดดดดดดดด T T" เสียงกรีดร้องนั่นคือฉันเองและมันก็เป็นเสียงสุดท้ายที่ฉันได้ยินหลังจากที่ฟ้าผ่า เพราะฉันไม่ได้ยินอะไรอีกแล้ว อยู่ๆ หูก็เกิดอื้อขึ้นมา สมองว่างเปล่าอย่างฉับพลันเหมือนมีใครมากดปุ่มหยุด เพราะฉันได้แต่ยืนนิ่งตาค้างขยับขาไม่ออกเลยสักก้าว และก่อนที่สติฉันจะหลุดหายไปฉันเห็นเซทกำลังวิ่งกลับมาหน้าตาตื่นแล้วพูดอะไรสักอย่างที่ฉันไม่สามารถรับรู้ได้ และนั้นก็คือสิ่งสุดท้ายที่ฉันพอจะจำได้ก่อนที่แสงสว่างในดวงตาฉันจะถูกปิดลง…
…แต่มันก็เปิดขึ้นมาอีกครั้งด้วยแรงเขย่าจากเซท ฉันลืมตาขึ้นพร้อมกับสติที่ถูกกู้คืนให้กลับมาเป็นบางส่วน ฉันได้ยินเสียงเขายืดๆ เหมือนกับแผ่นหนังกำลังสะดุด
"เปนอาราย ม้ายยยย" เขาพยายามเรียกพลางตบที่ข้างแก้มฉันเบาๆ
เฮือกก!!
"ได้ยินรึเปล่า!"
แล้วก็เหมือนมีแรงเหวี่ยงดังวืบในหัว ทำให้ฉันได้สติกลับมา
"เธอเป็นอะไร"
ฉันกลับมาได้ยินเสียงเขาชัดเจนอีกครั้งหลังจากที่ช็อกไป
"เซท!"
เสียงฟ้าร้องทำให้ภาพทรงจำที่โหดร้ายในวัยเด็กย้อนคืนมา พ่อและแม่ที่ฉันรักทั้งสองถูกฟ้าผ่าเสียชีวิตไปต่อหน้าต่อตา ฉันหลับตาลงพร้อมกับหยดน้ำตา
"ฉันขอโทษ!"
เขาเอื้อมมือมากอดฉันไว้ด้วยสีหน้ารู้สึกผิด แล้วเขาก็ลูบที่หลังฉันเบาๆ เหมืนกับกำลังปลอบใจเด็ก แก้มของฉันแนบกับแผ่นอกกว้างที่อุ่นเหลือเกินแม้ว่าตอนนี้บรรยากาศมันจะหนาวเพราะเราต่างก็เปียกฝนกันทั้งคู่
"ฉันกลัว!"
เซทขยับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นเพื่อเป็นการตอกย้ำว่าเขายังอยู่ที่นี่อยู่ใกล้ๆ ฉันแล้ว อย่ากลัวอีกเลยแล้วมันก็ได้ผลน้ำตาที่เคยไหลด้วยความกลัวเริ่มแห้งเหือดไป ร่างกายที่สั่นเทาเหมือนลูกนกที่กำลังเปียกฝนหนาวสั่นกลับอบอุ่นขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์ และในที่สุดภาพทรงจำอันโหดร้ายก็จางหายไป
"ไม่ต้องกลัวนะฉันจะพาเธอกลับบ้านเอง"
เขาคลายอ้อมกอดลงแล้วให้ฉันขี่หลังกลับบ้าน แล้วคราวนี้ฉันก็ยอมแต่โดยดี



lovezombie
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 28 ม.ค. 2557, 20:42:10 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 28 ม.ค. 2557, 20:42:10 น.

จำนวนการเข้าชม : 1108





<< บทที่ 9   บทที่ 11 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account