สัญญารักจอมโหดแดนเถื่อน
"พี่สตรองไม่มีวันลืมน้องฟาง วันใดน้องฟางเดือดร้อนพี่สตรองจะมาหา" มันคือคำสัญญาก่อนจากลา
ของปรินทร์ที่มีให้ลษิดาเด็กสาวกำพร้าก่อนจากลาเมื่อสิบห้าปีก่อน
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 7

ตอนที่ 7
พีรชากับสมรตามหาลษิดาไปทั่วบ้านก็ไม่พบ จึงรู้สึกเป็นห่วงหญิงสาวอย่างมากเพราะเพิ่งมาอยู่วันแรก
ยังไม่คุ้นเคยกับสถานที่กลัวหลงทาง ส่วนเรื่องจะมีใครคิดร้ายคงไม่มีเพราะคนผาตะวันล้วนมีจิตใจเอื้อเฝื้อเผื่อ
แผ่มีน้ำใจและที่สำคัญคือกลัวนายสตรองผู้ซึ่งไม่เคยละเว้นโทษคนทำผิดกฎของผาตะวันเป็นอันขาด

“เป็นไงพี่สมร มีใครเห็นไหม” พีรชาถามคนสนิทด้วยสีหน้าเป็นกังวล

“ให้คนหาทั่วแล้วยังไม่พบเลย นี่ถ้าหลงเข้าไปในป่าละก็ยุ่งแน่” สมรเองก็เป็นห่วงหญิงสาวไม่น้อย

“พี่สมรนี่ พูดให้ฉันใจเสีย หนูฟางทำไมซุกซนอย่างนี้นะ ถ้าสตรองกลับมารู้เข้าจะทำยังไง” พีรชาไม่
อยากคิดในแง่ร้าย

“คงไม่ทำยังไงค่ะโน่นมากับหนูฟางแล้วค่ะ” สมรบอกด้วยสีหน้ายินดีที่เห็นปรินทร์เดินจูงมือลษิดามา

“สตรอง แอบพาน้องไปก็ไม่บอก ทำเอาตกใจกันทั้งบ้าน” พีรชาต่อว่าบุตรชายด้วยเข้าใจผิดเลยทำให้
ปรินทร์ทำหน้ามึน ทำไมเขากลายเป็นจำเลยไปล่ะ ครั้นหันไปมองน้องก็เห็นแอบซ่อนยิ้ม คงดีใจที่เขาถูกดุ
\
‘เด็กร้ายกาจ เดี๋ยวเถอะ’

“ผมไม่ได้แอบพาลูกสาวแม่ไป แต่พาเด็กหลงทางมาคืนแม่ต่างหาก ไม่เชื่อถามเด็กดูสิครับ” ปรินทร์เอา
คืนเด็กร้ายกาจ ก่อปัญหาเองก็แก้เองแล้วกันนะน้องฟาง

“คือ..เอ่อ..” ลษิดามีสีหน้าอึดอักและทำท่าจะร้องไห้เสียอย่างนั้นจนพีรชาสงสาร

“กลับมาก็ดีแล้ว ไปทานข้าวกันดีกว่า มาหนูฟางน้าให้เขาเตรียมอาหารไว้ต้อนรับหนูหลายอย่าง
ไปทานกันเถอะ” พีรชาดับความหวังของบุตรชายในการแกล้งลษิดาด้วยสงสารหญิงสาวที่ทำท่าเหมือนจะร้องไห้
เมื่อถูกลูกชายตัวดีแกล้ง

“ผมเพิ่งรู้นะ ว่าน้องฟางเส้นใหญ่มีแม่นายใหญ่แห่งผาตะวันกางปีกปกป้อง ต่อไปผมคงไม่กล้าเหือกับ
น้องฟางของแม่แน่” ปรินทร์ยังคงยั่วลษิดาไม่เลิกแต่หญิงสาวก็ทำเป็นไม่ได้ยินและเงียบเสียเพื่อเรียกร้องคะแนน
สงสารจากพีรชา

“เดี๋ยวเถอะ ยังไม่เลิกแหย่น้องอีก อย่าไปสนใจลูกชายน้าเลย เราไปกินข้าวดีกว่าหนูฟาง” พีรชาออกโรง
ปกป้องลษิดาอีกครั้งและถลึงตาใส่บุตรชายด้วยความหมั่นไส้

“เอาเป็นว่าผมแตะลูกสาวแม่ไม่ได้ แต่ผมขอแตะคนอื่นแทนก็แล้วกัน ป้าสมรช่วยให้ใครไปรับตัวเดือน
กลับมาที เธอขาแพลงผมให้รออยู่ระหว่างทางมาบ้าน” ปรินทร์ไม่ลืมเดือนประดับ

“ตายจริงสตรองทำไมปล่อยหนูเดือนไว้อย่างนั้น นี่ก็มืดค่ำแล้ว ใช้ไม่ได้เลยนะ” พีรชาต่อว่าบุตรชาย
อย่างไม่ไว้หน้าด้วยห่วงหญิงสาวในปกครอง

“อย่าว่านายสตรองเลยค่ะคุณป้านาย เดือนกลับมาแล้วค่ะ” เสียงหวานของเดือนประดับดังแทรกขึ้นพร้อม
เดินขากะเผกเข้ามาในบ้านซึ่งลษิดาเห็นแล้วอดที่จะเข้าไปช่วยประคองให้มานั่งในบ้านไม่ได้แต่เธอหารู้ไม่ว่าความ
มีน้ำใจของตัวเองจะไปขัดแผนของเดือนประดับและทำให้ชิงชังเธอเข้าไปเพียงแต่มันถูกซ่อนภายใต้สีหน้าปกติ

“ขอบคุณค่ะคุณฟาง ขาแพลง เรื่องเล็กสำหรับเดือนค่ะ นายสตรองรู้ดีว่าเดือนอดทนแค่ไหนจริงไหมคะ”
เดือนประดับหันไปมองปรินทร์ด้วยสายตาวิงวอนให้เขาคล้อยตามเธอด้วย

“ใช่เดือนเป็นคนเก่งและอดทนมาก เรื่องแค่นี้ชิวๆ น้องฟางขี้สงสารเกินเหตุไปหน่อย” ปรินทร์ชื่นชม
เดือนประดับพร้อมตำหนิลษิดาและนั่นก็ทำให้เดือนประดับลอบยิ้มอย่างพอใจ

‘คิดว่านายสตรองจะหลงแกเสียอีก ที่แท้ก็ไม่’

“ไม่ต้องไปตำหนิน้องเลย ลูกนั่นแหละผิด เห็นหนูเดือนเจ็บทำไมไม่พากลับมาพร้อมกัน ใช้ไม่ได้เลย”
พีรชาเข้าข้างลษิดาอย่างออกนอกหน้าเลยทำให้ผู้ชายคนเดียวในเวลานี้หน้าจืดสนิทจนน้องที่มารดาปกป้องแอบ
ส่งสายตาวิบวับน้อยๆให้ภายใต้ใบหน้าเจียมเนื้อเจียมตัว

‘ให้มันได้อย่างนี้สิ น้องฟาง ฝากไว้ก่อนคืนนี้จะไปเอาคืนเด็กร้ายกาจ’

“แม่ครับผมหิวแล้ว ไปทานข้าวดีกว่า เดือนต้องให้คนตามหมอมาดูขาไหม” ปรินทร์เปลี่ยนเรื่อง ไม่อยาก
ทะเลาะกับเหล่าสตรีทั้งหลายเพราะมองแล้วเขาเสียเปรียบชัวร์ขณะเดียวกันก็แสดงความห่วงใยเดือนประดับใน
ฐานะนายจ้าง

“ไม่ต้องหรอกค่ะ นายสตรองแค่นี้เองสบายมาก” เดือนประดับหน้าบานดีใจที่ปรินทร์แสดงความห่วงใย
ในตัวเธอพลางปรายตามองลษิดาเหมือนจะเยาะทว่าไม่มีใครสังเกตเห็น

‘ฮึ คิดว่าจะไม่สนใจเดือนประดับแล้วนายสตรอง’

“ดีมากเดือน” ปรินทร์ชมเดือนประดับแล้วไม่วายหันมาพูดกับลษิดาต่อ “น้องฟาง เห็นหรือยังว่าเดือน
เข้มแข็งแค่ไหน ขนาดขาเจ็บยังยิ้มหน้าบานทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถ้าพี่ไม่เห็นเดือนล้มคงคิดว่าแกล้ง
น้องฟางต้องเอาอย่างนะ” ปรินทร์แกล้งยั่วลษิดาขณะที่เดือนประดับมีสีหน้าตกใจเล็กน้อยแล้วก็เป็นปกติ
คอยฟังว่าลษิดาจะโต้กลับอย่างไรแต่ลษิดากลับไม่พูดอะไรเดินตามพีรชากับสมรไปที่ห้องอาหารหน้าตาเฉย
เลยทำให้ปรินทร์ต้องเดินตามรวมทั้งเธอด้วย

ระหว่างทานข้าวลษิดาทำเหมือนไม่รู้ว่ามีคนตัวสูงใหญ่ขยันตักโน่นนี่ให้อย่างเอาใจนั่งอยู่ข้างกายด้วย
“น้องฟาง ชิมไก่อบน้ำผิ้งราสซอสส้มนี่อร่อยนะ ไก่ของที่นี่เนื้อแน่นไม่เหนียวอร่อย น้ำพริกกับผักเคียงสดๆ
หวานกรอบอร่อยไร้สารพิษอร่อยอย่าบอกใคร พี่อยากให้น้องฟางชิม” คนตัวใหญ่ตักกับข้าวใส่จานคนแสนงอน
ให้อย่างเอาใจ จนกับในจานดูจะมากกว่าข้าวแล้ว ดูเหมือนแกล้งมากกว่าจะเอาใจหวังให้คนงอนเอ่ยเสียงออกมา
บ้างแต่กลับไม่มีเสียงใดเล็ดรอดออกจากกลีบปากเรียวสวยอิ่มสีสด

“สตรองเมื่อไหร่จะทานข้าวเสียที เลิกเอาใจหนูฟางได้แล้ว แม่เห็นแล้วรำคาญ” พีรชาเกิดอาการหมั่นไส้
บุตรชาย

“ผมเห็นน้องฟางไม่กล้าตักกับข้าวเลยต้องช่วย กับข้าวเต็มจานแล้วนะน้องฟาง ทานได้แล้ว เดี๋ยวเป็นลม
กันพอดี มาอยู่บ้านพี่วันแรกก็เป็นลมถือว่าฤกษ์ไม่ดี คนที่นี่ถือ” ปรินทร์หาข้ออ้างได้ชวนหมั่นไส้นักในความคิด
ของพีรชาเลยต้องดุบุตรชายต่อหน้าคนอื่น

“สตรอง พูดจาให้มันสร้างสรรค์หน่อย ฤกษ์ไม่ดีอะไรกัน ไม่มี หนูฟางอย่าไปฟังคนปากเสียเลย
ทานข้าวดีกว่า”

“คุณป้านายพูดถูกค่ะคุณฟาง คนที่นี่ไม่เชื่อถือโชคลางหรอกคะ ส่วนมากอยู่กับธรรมชาติมากกว่า
อย่าคิดมากนะคะ” เดือนประดับพูดเข้าข้างพีรชาเพื่อให้ลษิดาเห็นว่าเธอเป็นคนดีและไว้วางใจเธอ

“คุณสตรองชอบพูดเล่นค่ะคุณฟางอย่าคิดมากนะคะ” มีเพียงสมรที่ช่วยแก้ตัวให้ปรินทร์เมื่อสังเกตเห็น
ลษิดาแอบส่งสายตาค้อนแทบคว่ำไปให้คนช่างขู่ข้างกายแล้วรู้สึกชอบใจเพราะหนุ่มสาวทั้งคู่งอนได้น่ารักใน
นความรู้สึกของผู้ใหญ่ที่ผ่านเรื่องรักวัยหนุ่มสาวมานาน คงมีเพียงสายตาของเดือนประดับที่ดูแข็งผิดปกติยาม
มองลษิดาทว่ากลับถูกปิดบังไว้ภายใต้ใบหน้าอันเป็นมิตรที่ไม่มีใครสังเกตเห็น

“อาหารอร่อยมากค่ะคุณน้า ฟางไม่เคยทานน้ำพริกกับผักเคียงอร่อยอย่างนี้ก่อนเลยค่ะ แถมยังได้รับ
การต้อนรับอย่างอบอุ่นจากคุณน้า ป้าสมร คุณเดือน อย่างนี้ถือว่าฤกษ์ดีมากกว่าค่ะ” ลษิดาร้ายมากทำให้
ปรินทร์โดดเดี่ยวอย่างเห็นได้ชัดเพราะเธอไม่เอ่ยถึงเขาสักคำ เข้าใจหาพวกจริงๆ แต่เขากลับนั่งทานอย่างเงียบๆ
ทำเป็นสนใจอาหารมากกว่าเพราะถือคติ อย่าได้มีส่วนร่วมในวงสนทนาที่พวกผู้หญิงเข้ากันเป็นปี่ขลุ่ยถ้าไม่
อยากเดือดร้อน

“ได้ยินหนูฟางพูดแบบนี้น้าในฐานะเจ้าของบ้านก็สบายใจ ขอให้อยู่ที่นี่นานๆนะ ว่างๆจะพาเที่ยวให้ทั่ว
มีอะไรก็บอกผ่านพี่สมร หนูเดือนหรือเด็กในบ้านได้ ไม่ต้องเกรงใจนะ เป็นหลานสาวน้าบ้านของน้าก็เหมือนบ้าน
ของหนู” พีรชามีเมตตากับลษิดามากจนใครบางคนอิจฉาแต่ไม่แสดงออกให้เห็น

“ขอบคุณคุณน้ามากค่ะ มีอะไรให้ฟางช่วยก็บอกนะคะ ฟางไม่อยากอยู่เฉยๆค่ะ” ลษิดาไม่อยากให้คน
ที่นี่เห็นว่าเธอมาเพิ่มภาระหรือทำตัวเป็นนายเพิ่มอีกคน

“ได้จ้า อยากทำอะไรบอกน้าเลย แล้วน้าจะจัดให้ตามคำขอ ตอนนี้รีบทานข้าวแล้วไปพักให้เต็มที่ก่อน
พรุ่งนี้ค่อยว่ากันอีกที” พีรชาไม่เอ่ยถึงบุตรชายเหมือนกัน ทำเหมือนเขาไม่มีตัวตนในที่นี้จนคนตัวใหญ่นั่งข้าง
ลษิดาเริ่มหนาว

‘ไม่ทันไร แม่ก็ปกป้องน้องฟางจนออกนอกหน้าแล้ว เห็นทีอนาคตเขาตกกระป๋องแน่’
==================
กลางดึกคืนนั้นลษิดาหลับสนิทบนที่นอนนุ่มนิ่มแสนอบอุ่นท่ามกลางแสงจันทร์กับดวงดาวที่สะท้อนเข้า
มาในห้องผ่านประตูกระจกและกำลังฝันเห็นมารดามาหาในชุดไทยสีทองงดงามมาก ดวงตาเปี่ยมไปด้วยความ
รักของมารดาที่มีต่อบุตรจ้องมองมายังร่างที่หลับอย่างเป็นสุขบนที่นอนนุ่มนิ่ม

“น้องฟางลูกรักของแม่ มีคนดีมาดูแลลูกสาวแม่แล้ว แม่หมดห่วงเสียที ขอให้ลูกรักของแม่มีแต่คนรักคน
เอ็นดู แคล้วคลาดจากอันตรายทั้งปวง” เสียงเปี่ยมด้วยความรักของมารดาดังก้องในใจของลษิดาและสัมผัสได้
ถึงริมฝีปากอันอบอุ่นของมารดาที่จรดลงบนหน้าผากมนพร้อมเอ่ยลาเบาๆ

“ลาก่อนลูกสาวที่น่ารักของแม่ แม่จะไปรอน้องฟางบนสวรรค์ หมั่นทำความดีแล้วความดีจะเป็นเกราะ
คุ้มภัยให้ลูกแม่เอง แม่ไปก่อนนะลูกรัก”

“แม่คะ อย่าเพิ่งจากน้องฟางไป” เสียงหวานละเมอร้องเรียกมารดาปานจะขาดใจสองมือเรียวสวยพยา
ยามไขว่คว้าหาร่างมารดาก่อนลืมตาขึ้นทั้งน้ำตาแล้วมองไปรอบๆห้องซึ่งมีเพียงแสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามาใน
ห้องด้วยสีหน้าผิดหวังพลางหยิบรูปมารดาที่วางอยู่หัวเตียงมาดูแล้วน้ำตาซึม

“แม่คะหากวิญญาณแม่มีจริงมาให้น้องฟางเห็นต่อหน้าได้ไหมคะ น้องฟางไม่กลัว น้องฟางรักแม่
อยากอยู่กับแม่มากกว่าคนอื่น น้องฟางคงเพ้อเจ้อเกินไปใช่ไหมคะ ขอมากไป แค่ได้เห็นแม่ในฝันก็น่าจะพอแล้ว
ที่จริงน้องฟางน่าจะยอมรับความจริง แม่ตายไปแล้วไม่มีวันกลับมาหาน้องฟางอีก” ลษิดาพูดกับภาพถ่าย
ของมารดาด้วยน้ำเสียงโหยหายิ่งนักพลันก็มีเสียงดังแทรกขึ้น

“ก๊อกๆๆ” เสียงเคาะประตูกระจกในห้องดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ เจ้าของห้องคนสวยหันไปมอง
ตามเสียงแล้วรีบเอามือเช็ดน้ำตาพร้อมทำหน้ายู่ใส่เมื่อเห็นหน้าผู้มาเยือนยามวิกาลก่อนล้มตัวนอนหันหลังให้
ทำเป็นไม่สนใจและนั่นก็ทำให้ปรินทร์หัวเสียเดินลงเสียงหนักจากไปขณะที่คนในห้องลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียงแล้วยิ้ม
น้อยๆที่มุมปากแล้วล้มตัวลงนอนแต่ยังไม่ทันได้หลับประตูห้องก็ถูกเปิดออกจากฝีมือของแขกไม่ได้รับเชิญยาม
วิกาลและปิดล็อคลงในเวลาเดียวกันพร้อมกับร่างสูงใหญ่ที่ขยับเข้ามาใกล้เตียงสายตาจ้องมองเจ้าของห้องแสน
ดื้อและงอนอย่างเอาเรื่อง

“พี่สตรอง เข้ามาได้ยังไง” ลษิดาถามพลางขยับตัวหนีไปชิดขอบเตียงอีกฝั่ง ก็จะไม่ให้กลัวได้อย่างไรกัน
ใบหน้าหล่อราวรูปสลักนั้นน่ากลัวมากยามจ้องมองเธอ สงสัยจะจับเธอหักคอทิ้งแน่

“ทำไมจะเข้ามาไม่ได้ ก็ที่นี่พี่เป็นใหญ่ที่สุด ไม่ยากถ้าจะเข้าห้องไหน” ปรินทร์ตอบหน้าตายยิ่งเห็นเธอ
แสดงอาการกลัวก็ยิ่งอยากแกล้ง

“แล้วเข้ามาหาน้องฟางทำไม มีอะไรไว้คุยพรุ่งนี้ก็ได้ นี่มันดึกแล้วเข้าห้องคนอื่นมันไม่ดี น้องฟางเสียหาย
นะ” แม้จะกลัวลษิดายังกล้าไล่และโวยใส่

“ไม่ต้องกลัวพี่รับผิดชอบน้องฟางเสมอ และพี่จะไม่ออกไปจากห้องนี้จนกว่าจะได้คำตอบว่าทำไมต้อง
หักหน้าพี่ต่อหน้าทุกคน ไม่พูดกับพี่ พี่เป็นเจ้าของที่นี่ น้องฟางจะออกฤทธิ์เดชกับพี่ต่อหน้าแม่ พี่ไม่ว่าแต่อย่า
ทำต่อหน้าคนอื่น มันเสียการปกครอง” ปรินทร์เริ่มตั้งข้อกล่าวหาแต่เป็นข้อกล่าวหาที่ทำให้ลษิดารู้สึกหมั่นไส้ในความยิ่งใหญ่ของเขาดังนั้นจึงมีสวน

“ก็ใครมันจะไปรู้ล่ะว่าพี่สตรองยิ่งใหญ่ค้ำฟ้า ถ้ารู้จะทำตัวนอบน้อมเจียมเนื้อเจียมตัว”

ปรินทร์ได้ยินแล้วยิ้มขำจนลษิดางงเลยมีโวย “มีอะไรน่าขำ น้องฟางไม่ขำนะพี่สตรอง” เธอลืมตัวว่ากำลัง
โกรธเขาอยู่คำพูดสนิทสนมจึงเอ่ยออกมาและทำให้เขายิ้มพอใจมากขึ้น

“ไม่ขำก็ไม่ขำ เรามาพูดกันดีๆนะน้องฟางนะ” คราวนี้นี้เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอบอุ่นจนลษิดา
รู้สึกอบอุ่นไปด้วย

“ก็ได้ค่ะ ดีกัน แต่พี่สตรองต้องเลิกแกล้งน้องฟางนะ” เมื่อความรู้สึกดีคำพูดดีๆก็ตามมา

“พี่ไม่เคยแกล้งน้องฟางจริงๆสักที แต่ถ้าหยอกล้อเล่น ยอมรับว่ามีบ้าง” เขาตอบเสียงขรึมพลางถือโอกาส
ขยับตัวนั่งลงบนเตียงและขยับเข้าใกล้ลษิดาจนชิดเหมือนแกล้งชอบกล

“พี่สตรองถอยห่างน้องฟางได้ไหม มีอะไรข้องใจก็รีบถามน้องฟางจะได้นอน” ลษิดาไม่กล้าขยับหนีอีก
กลัวตกเตียงและเริ่มกลัวร่างสูงใหญ่ที่โหยหาความอบอุ่นชอบกล ห้องออกกว้างกลับไม่ยอมหาที่นั่งอื่นแต่กลับ
มานั่งชิดเธอบนเตียงแทน

“ก็อยากถอยห่างหรอกแต่กลัวน้องฟางหนาว ที่นี่กลางคืนหนาวจัด ถ้าน้องฟางนอนหนาวตายพี่จะไป
แก้ตัวกับแม่พี่กับน้าชาที่ฝากน้องฟางไว้กับพี่ได้ยังไง ยิ่งตอนนี้น้องฟางเป็นคนโปรดของแม่ พี่ยิ่งต้องดูแลเป็น
พิเศษกลัวแม่ดุหาว่าไม่ดูน้อง พี่เลยต้องสละตัวเองมานอนเป็นเพื่อนน้องฟาง” ช่างเป็นข้ออ้างที่ดูดีฟังแล้วซาบซึ้ง
ในความเป็นผู้เสียสละยิ่งนักแต่ทำไมน้องถึงได้ทำหน้ามุ่ยไม่ซึ้งสักนิดแถมผู้เสียสละยังสละมือมาโอบกอดร่างบาง
อรชรมาแนบอกไม่สนใจแรงดิ้นเท่ามดของคนตัวเล็ก

“ปล่อยนะ ถ้าหวังดีจริงก็ช่วยแสดงความบริสุทธิ์ใจไปนอนโซฟาโน่น แค่นี้ก็เสียหายมากพอแล้วถ้ามีคนรู้
เข้า ไม่งั้นน้องฟางจะไปขอนอนกับคุณน้าแทน” เมื่อสู้แรงคนตัวใหญ่กว่าไม่ได้ลษิดาจึงพยายามพูดให้เขาเห็น
ใจเพราะเธอเป็นหญิง ถึงอย่างไรก็เสียหายอีกอย่างก็กลัวถูกเขาเอาเปรียบด้วย

“พี่ทำอะไรรับผิดชอบเสมอเหมือนที่รับผิดชอบดูแลน้องฟางมาตั้งแต่เล็ก โตแล้วยิ่งต้องรับผิดชอบ
ไม่ต้องห่วงคนบ้านนี้ไม่ชอบสอดรู้สอดเห็นเรื่องของเจ้านาย น้องฟางสบายใจได้ แล้วเลิกคิดไปเลยเรื่องนอนกับ
แม่พี่เพราะพี่บอกท่านเองจะมานอนเป็นเพื่อนน้องฟาง ตอนเด็กๆน้องฟางก็นอนกับพี่บ่อยไป อยู่โรงแรมก็นอน
ด้วยกันไม่เห็นต้องคิดอะไรมาก” เขาไม่พยายามเข้าใจเธอเลยมีแต่ทำตามความต้องการของตัวเองเท่านั้น

“พี่สตรองคิดง่ายดีนะ แต่น้องฟางไม่ง่ายด้วยหรอก ถ้าพี่สตรองอยากนอนเตียงนักก็เชิญตามสบาย
น้องฟางไปนอนโซฟาก็ได้” ลษิดาเกิดอาการฉุนจัดเลยเข้าโหมดดื้ออยากเอาชนะขึ้นมาบ้างและผลของการดื้อคือ
แก้มเนียนใสถูกหอมฟอดใหญ่โดยที่เจ้าของไม่ทันได้ระวังแถมร่างบางอรชรยังถูกรั้งให้ลงไปนอนบนร่างสูงใหญ่
เหมือนแกล้งและถูกกอดไว้แน่นกว่าเก่าอีก ดวงตาทั้งคู่จ้องมองกันอย่างเอาเรื่องต่างฝ่ายต่างไม่ยอมแพ้ก็ว่าได้

“ไม่ต้องดิ้นให้เหนื่อย เด็กดื้อต้องถูกจองจำ”

“ผู้ใหญ่รังแกเด็ก เผด็จการที่สุด ถ้าไม่ปล่อยน้องฟางจะร้องให้คนในบ้านรู้”

“กล้าเหรอ”

“ทำไมจะไม่..อุ๊บ” ยังไม่ทันที่เด็กดื้อจะพูดจบก็ถูกมือหนาปิดปากไว้แล้วกระซิบชิดแก้มเนียนว่า “อย่าเพิ่ง
พูดอะไร มีแขกยามวิกาลมาเยือนด้านนอก” บอกจบก็รีบดึงร่างบางอรชรล้มตัวลงนอนแล้วหยิบผ้าห่มมาคลุมร่าง
บางอรชรจนมิดคงมีแต่เขาที่โผล่ศีรษะออกมานอกผ้าห่มแกล้งทำเป็นหลับหันหัวไปทางประตูกระจกขณะที่มือ
โอบกอดร่างบางภายใต้ผ้าห่มมาแนบอก

ด้านนอกประตูกระจกระเบียงหลังห้องปรากฏร่างหนาสูงใหญ่สวมเสื้อคลุมสีดำปิดคลุมตั้งแต่ศีรษะจนถึง
ปลายเท้าเดินขาลากดังๆกลับไปมาราวกับปีศาจร้ายในหนังสยองขวัญของฮอลลีวูดแถมมีเสียงเย็นๆดังลอดเข้า
มาในห้องให้ได้ยินอีก

“เจ้ามาแล้ว กลับมาหาข้าแล้ว เจ้าสาวของข้า อีกไม่นานเจ้าจะต้องไปอยู่กับข้า ฮ่าๆๆๆ” เสียงนั้นน่ากลัว
มากในความรู้สึกของคนในอ้อมกอดของปรินทร์จนเผลอซุกตัวกอดร่างแกร่งแน่น ผิดกับปรินทร์ที่พยายามมอง
ร่างหนาสูงใหญ่ที่ซ่อนตัวภายใต้เสื้อคลุมดำตัวใหญ่ไม่เห็นหน้าเห็นตาจนแทบอยากออกไปจับตัวมาให้รู้ว่าเป็นใคร
เป็นคนหรือผีกันแน่แต่ถ้าเขาออกไป คนในบ้านจะรู้ว่าเขาลอบเข้าห้องลษิดาแล้วจะเกิดความเสียหายกับเธอจึงได้
แต่คอยจับสังเกตแขกยามวิกาลที่มาเยือนลษิดาซึ่งเขาไม่รู้ว่าใคร อยากรู้ว่ามันจะทำอะไรต่อ สักพักร่างหนาสูงใหญ่
ก็ค่อยเดินหายไปในความมืด เขาทำท่าจะลุกตามไปดูแต่ติดที่ร่างบางใต้ผ้าห่มที่กอดเขาไว้แน่นจึงจำต้องปล่อย
ให้มันรอดตัวไปและเลิกผ้าห่มออก

“เลิกกลัวได้แล้วเด็กน้อย เจ้าบ่าวปีศาจของน้องฟางไปแล้ว” เขาเห็นลษิดยังคงกอดเขาไว้แน่นด้วยความ
กลัวจึงต้องยั่วให้หายกลัว และก็ได้ผลเธอเปลี่ยนจากกลัวมาเป็นทุบแรงๆที่อกแกร่งแทน

“โอ๊ย เบาจ้าน้องฟาง เดี๋ยวพี่ช้ำในตายก่อนได้ช่วยน้องฟางกำจัดเจ้าบ่าวหรอก” เขาร้องโวยวายกลัวตาย
ได้อย่างน่าหมั่นไส้นักแต่ก็ทำให้ลษิดาหยุดได้พลางจ้องมองเขานัยน์ตาบ้องแบ๊ว

“พี่สตรองพูดจริงหรือหลอกน้องฟางให้กลัว บอกมา” ลษิดาถามตามที่สงสัยก็เธอไม่ได้เห็นตัวปีศาจนี่
ได้ยินแต่เสียงเย็นๆน่ากลัวจับใจ

“พูดจริงแต่จะเป็นปีศาจหรือคนต้องสืบให้แน่ก่อน เห็นความดีของพี่หรือยัง แต่คิดว่าคงเห็นแล้วมั้งกอด
พี่เสียแน่น ตอนแรกทำเป็นผลักไส น้องฟางทำพี่สับสนในชีวิตรู้มั้ย” เขามีประชดกล่าวหาเธอเล็กน้อย

“น้องฟางเปล่าซะหน่อย พี่สตรองทำตัวสับสนเอง” ลษิดาเถียงได้ไม่เต็มเสียงนักเพราะเธอทำจริง

“ถ้าอย่างนั้นตอบพี่มาตรงๆ คืนนี้ต้องการให้พี่นอนเป็นเพื่อนน้องฟางหรือจะให้พี่กลับห้อง” คำถามนี้ทำ
เอาลษิดาต้องชั่งใจ พลางกวาดสายตาไปรอบๆห้องและด้านนอกอย่างแหยงๆ กลัวปีศาจกลับมาอีก แต่ถ้าให้เขา
อยู่เธอจะแน่ใจได้อย่างไรว่าไม่เปลืองเนื้อเปลืองตัวให้นักฉวยโอกาสตัวยง แต่ถ้าไล่เขาไปเธอคงนอนอย่างหวาด
ผวาทั้งคืนแน่ ไม่ได้ต้องถามหาความจริงก่อน

“พี่สตรองช่วยบอกทีได้ไหม น้องฟางเพิ่งมาอยู่คืนแรกทำไมมีปีศาจมาโผล่ห้องน้องฟางได้ แล้วพี่สตรอง
รู้ได้อย่างไร”

“ตอบตามตรงไม่รู้เหมือนกัน ที่บอกว่าปีศาจเพราะมันแต่งตัวเหมือนปีศาจ ก่อนมาปรากฏตัวให้พี่เห็น
มีเสียงส้นเท้าหนักๆดังๆเหมือนจงใจให้น้องฟางได้ยิน แต่น้องฟางไม่ได้ยินเพราะมัวแต่งัดข้อกับพี่ ส่วนเหตุผล
ยังไม่รู้ว่าทำไมต้องมาหลอกให้น้องฟางกลัวด้วย ไว้จะค่อยๆสืบเองแต่น้องฟางต้องทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ทำตัวปกติเวลาอยู่กับคนอื่นที่ไม่ใช่พี่ แม้แต่แม่พี่ก็ไม่ต้องบอก เข้าใจไหม”

“เข้าใจค่ะ ไม่ให้บอกคนอื่นแต่ทำไมต้องห้ามบอกคุณน้าด้วย”

“แม่พี่ท่านใจดีแต่พี่ไม่อยากให้ตื่นตกใจกันไปและอาจทำให้ปีศาจในมุมมืดไหวตัวทัน และจนกว่าจะรู้
ว่าปีศาจจริงหรือปลอม น้องฟางไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ใช้ชีวิตตามปกติ จะทำได้ไหม” เขาทำหน้าจริงจังมาก

“ได้ค่ะ” เสียงหวานตอบหนักแน่น

“เด็กดี น่ารักมาก” ชมเสร็จก็ให้รางวัลความน่ารักกับเด็กดีด้วยการหอมแก้มเนียนใสฟอดใหญ่

“แต่ผู้ใหญ่ไม่น่ารัก จ้องจะกินตับเด็กตลอด ไว้ใจไม่ได้เอาเลย” ลษิดาเอาคืนผู้ใหญ่ด้วยกำลังไม่ได้
แต่เอาคืนด้วยการต่อว่าผู้ใหญ่ตรงๆได้

“ก็เด็กมันน่ารักน่า..” เขาไม่พูดต่อแต่มองสำรวจไปทั่วตัวเด็กจนเด็กชักกลัว ชักไม่แน่ใจระหว่างผู้ใหญ่
เจ้าเล่ห์กับปีศาจใครจะน่ากลัวกว่ากันจึงได้แต่พูดจาออดอ้อนเอาตัวรอดแทน “พี่สตรองอย่าถือสาเด็กอย่าง
น้องฟางเลยนะคะ ไม่พอใจอะไรไว้พรุ่งนี้ค่อยคุยกัน คืนนี้น้องฟางอยากนอนแล้วเจ้าค่ะ”

เสียงแจ้วๆออดอ้อนเหมือนตอนเธอเป็นเด็ก เวลาทำผิดมักอ้อนเขาเอาตัวรอดจนเขาใจอ่อนทุกที
เลยยอมทำตามคำอ้อน

“จริงสิดึกมากแล้วสมควรนอนได้แล้ว งั้นนอนเลยก็แล้วกัน พี่ก็ง่วงแล้วเหมือนกันเดินกลับห้องไม่ไหว
ขอนอนกับน้องฟางก็แล้วกันนะ” โดยไม่รอให้เด็กตอบ มือหนาใหญ่ก็ดึงตัวเด็กมากอดไว้แนบอกเสียดิบดี
แถมหอมแก้มเด็กติดๆกันหลายทีจนแก้มเด็กแทบช้ำกว่าจะกล่าวราตรีสวัสดิ์ได้

“นอนหลับฝันดีนะเด็กน้อยของพี่สตรอง”

‘จะฝันดีหรือฝันร้ายกันแน่เมื่อผู้ใหญ่จ้องเอาเปรียบเด็กน้อยตลอดคืน’ เด็กเถียงในใจก็จริงแต่ยอมรับว่า
รู้สึกอบอุ่นปลอดภัยที่ได้นอนในอ้อมกอดของผู้ใหญ่ อย่างน้อยก็ไม่ต้องขวัญผวากับปีศาจซึ่งไม่รู้ว่าเป็นคนหรือ
ปิศาจร้ายจริงๆ ขอให้เป็นคนเถอะ อย่างน้อยยังดีกว่าต้องผจญกับปีศาจซึ่งไม่รู้ว่ามีอยู่จริงหรือไม่เพราะไม่เคยเจอ
แต่ในโลกนี้มีสิ่งที่อธิบายด้วยหลักวิทยาศาสตร์ไม่ได้อยู่มากมาย ลษิดาคิดไปเรื่อยเปื่อยก่อนหลับไปด้วยคยยวามเพลีย

ปรินทร์เห็นลษิดาหลับแล้วจึงค่อยๆขยับตัวลุกจากเตียงแล้วเดินไปเปิดประตูกระจกออกไปและสำรวจ
ไปทั่วบริเวณรอบๆนอกห้องแต่ก็ไม่พบอะไรแม้แต่รอยเท้าก็ไม่มีจนเขาเปลกใจก็มันตัวหนาใหญ่มาก แถมเดินลง
ส้นดังๆ อย่างน้อยเวลาเหยียบพื้นดินก็น่าจะมีรอยบ้าง คนตัวหนาสูงใหญ่ที่ผาตะวันมีไม่กี่คน ไว้ค่อยๆสืบดู ถ้ารู้ว่า
ใครเขาไม่ปล่อยไว้แน่ ชายหนุ่มหมายมั่นในใจก่อนเดินเข้าห้อง ก้าวขึ้นเตียงสายตาจับจ้องมองใบหน้างดงาม
สวยใสน่ารักของลษิดาที่หลับอย่างเป็นสุขนิ่งอยู่พักหนึ่งก่อนก้มหน้าลงสัมผัสไปทั่วผิวแก้มนุ่มนิ่มหอมกรุ่นและอดไม่
ได้ที่จะจรดเบาๆลงลนกลีบปากอิ่มบางสวยสดแล้วล้มตัวลงนอนกอดร่างบางอรชรไว้แนบอกก่อนหลับตาลงด้วย
รอยยิ้มอย่างมีความสุขที่ได้กอดร่างหอมนุ่มนิ่มของน้องฟางไว้ในอ้อมกอด เห็นทีต่อไปเขาคงนอนโดยไม่มีหมอน
ข้างนุ่มนิ่มหอมๆดิ้นได้ไม่ได้แล้ว ก็เขาเริ่มติดหมอนข้างแล้วนี่

เช้าวันรุ่งขึ้นก่อนฟ้าสว่างปรินทร์ก็ลืมตาตื่นขึ้นขยับกายออกห่างร่างบางอรชรที่กอดไว้แนบอกทั้งคืนอย่าง
เสียดายแต่ถ้าช้ากว่านี้อาจมีใครมาพบเข้าจะทำให้ลษิดาเสียหายได้จึงจำใจลุกแล้วหอมแก้มเนียนเบาๆเป็นการ
อำลาก่อนออกจากห้องและปิดประตูเบาๆเดินกลับห้องตัวเองก่อนที่ใครจะมาเห็นเข้า ทว่ากลับมีคนเห็นและนั่นก็
ทำให้ลษิดาถูกเกลียดชังมากขึ้นโดยที่เขาไม่รู้ตัวว่าได้นำพาความเดือนร้อนมาสู่ลษิดาโดยไม่รู้ตัว
====================
***************มีปัญหาเรื่องตาค่ะ แพ้แสงคอมเลยทำให้กว่าจะจบแต่ละตอนค่อนข้างช้า เจ็บตาบ่อย ตาแห้งด้วย
ฝากเตือนทุกคนที่ใช้คอมกับมือถือนะคะ อย่าพยายามใช้มาก ไม่อย่างนั้นจะมีปัญหาเหมือนคนเขียน เป็นแล้วทรมาน
ไม่คุ้มค่ะ โดยเฉพาะมือถือที่แชทกันหมอเตือนให้เพลาๆบ้างค่ะ
รักกันจริงก็อย่าทิ้งกันค่ะแม้ตาเจ็บจะพยายามต่อให้เร็วเท่าที่จะทำได้ค่ะ๕๕๕๕๕๕๕๕



เพลงใบไม้
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 มี.ค. 2557, 20:58:13 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 มี.ค. 2557, 20:58:13 น.

จำนวนการเข้าชม : 1805





<< ตอนที่ 6   ตอนที่ 8 >>
goldensun 5 มี.ค. 2557, 22:26:20 น.
ไม่ทิ้งกันแน่ค่ะ ตามอ่านอยู่แล้ว แค่มีตอนใหม่มา ก็ดีใจสุดๆ แล้วค่ะ
มีปีศาจปริศนาโผล่มาอีกแล้ว ทำไมจงใจหลอกน้องฟางล่ะ ดีนะที่พี่สตรองอยู่ด้วย


ผักหวาน 18 มี.ค. 2557, 23:20:26 น.
ตามอ่านอยู่นะคะ สนุกมากเลยค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account