กุหลาบซ่อนเพลิง‏
เพราะพวกมันพรากชีวิตลูกเมียเขา

จึงเปลี่ยนเส้นทางชีวิตของสุจริตชนคนหนึ่งให้มุ่งหน้าสู่เพลิงโลกันต์

'ปภพ' ต้องชำระแค้นนี้ให้ได้ ต่อให้ต้องข้ามผ่านกี่ชีวิตคน

รวมทั้งชีวิตของเด็กสาวอย่าง 'อัมพิกา' ผู้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขศัตรู

กุหลาบแรกแย้มกำลังไหม้ไฟ ไฟที่เธอเต็มใจเข้าใกล้

แม้สุดท้ายทั้งกุหลาบและไฟอาจมอดไหม้เหลือเพียงเถ้าธุลี
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๓ เด็กนิสัยเสีย



คนป่วยนอนหนาวคู้อยู่บนเตียงในห้องปรับอากาศ ทว่าภายในร่างกายกลับร้อนผ่าวราวเลือดทุกหยดเป็นลาวา อัมพิกาได้แต่กัดฟันกรอดสาปแช่งเพื่อนเลว มันคงกะให้เธอพ่ายแพ้และตกเป็นทาสของมัน ยาของมัน แล้วก็เป็นไปแล้วนี่ไง

น้ำตาแห่งความทุกข์ทรมานไหลลงจากหางตาเงียบๆ เธอกัดริมฝีปากสั่นสะท้านจนเป็นห้อเลือด ท้องไส้ปั่นป่วน กระอักกระอ่วน ไม่รู้เพราะฤทธิ์ยาหรือท้องที่ว่างมาตั้งแต่เช้า แต่ก็ไม่มีใครสนใจสักคน พี่เลี้ยงคนรับใช้หายหน้าไปหมด คงระรื่นกันเต็มที่ที่ไม่ต้องทนเจ้านายอย่างเธอ หรือแม้กระทั่งพ่อแท้ๆ ...เขายังไม่สนใจดูดำดูดีเธอเลย

ความรู้สึกนึกคิดลอยไปไกล แล้วเด็กสาวก็นึกได้ว่าตนเคยซ่อนสิ่งใดไว้ในลิ้นชักโต๊ะหนังสือ ร่างบางแทบคลานลงจากเตียงไปนั่งพับเพียบอย่างหมดแรงข้างโต๊ะไม้เคลือบสีขาวราวเจ้าหญิง เธอดึงที่เปิดลิ้นชักชุบทองออก มือควานหากล่องเหล็กที่ตนเคยซ่อนไว้ จนปลายนิ้วสัมผัสวัตถุเย็นชืดนั้นจึงหยิบออกมา

ทว่าเมื่อเปิดกล่องเหล็กสำหรับเก็บของกระจุกกระจิกออกมา ข้างในกลับเป็นมวนกระดาษสีขาวหลายอันเหมือนมวนบุหรี่แต่ขนาดใหญ่กว่าปกติ ไอ้บาส...เพื่อนชั่วคนนั้นมันเคยยกให้ เมื่อเห็นเธอติดใจหลังได้มั่วสุมทดลองที่บ้านมัน

ร่างระหงโหย่งเท้าเดินยองๆ ไปเปิดประตูระเบียง เธอทรุดนั่งพิงราวเหล็กดัดนั้นพลางจุดไฟที่ปลายมวน ผิวหนังที่เจ็บเสียดเพียงลมพัดมาค่อยอบอุ่นขึ้น เมื่อดูดเอาควันเข้าสู่ร่างกาย กลุ่มควันสีเทาอ่อนพ่นผ่านจมูกตามลมหายใจ แล้วความอ้างว้าง โกรธแค้น ทรมานก็ค่อยบรรเทากลายเป็นความรู้สึกดี สุขสมในใจตนเองจนร่างทั้งร่างราวกับจะล่องลอยบนอากาศ

เด็กสาวเกาะราวระเบียงเหล็กดัด นั่งห้อยขาออกไปภายนอก เหม่อมองจันทร์เสี้ยวยามค่ำคืน เธอหลับไปไม่รู้โมงยาม แต่คงดึกพอสมควรแล้วบ้านทั้งบ้านจึงเหลือแต่คนงานชายอยู่โยงดูแลความปลอดภัยข้างรั้ว ไร้เงาบรรดาสาวใช้ที่มักเดินไปมาระหว่างเรือนด้านหลังกับบ้านใหญ่ เธออัดควันเข้าปอดอีกครั้งพลางยกนิ้วชี้นกชี้ไม้ แม้แต่ดอกไม้พุ่มไกลๆ ที่ตนไม่เคยเหลียวแลยังดูสวยงามเป็นพิเศษ สติสัมปชัญญะเด็กสาวแทบไม่เหลืออยู่กับตัวเมื่อฤทธิ์กล่อมประสาทของ 'กัญชา' ในมวนบุหรี่เริ่มสำแดง

แล้วเธอก็เห็นไม้ขีดเดินได้ไกลๆ อัมพิกายกมือขยี้ตาก่อนหลุดหัวเราะกิ๊ก ที่แท้หัวโตๆ ตัวยาวๆ นั้นคือคนต่างหากเล่า เมื่อเขาเดินมาใกล้ขึ้นเธอจึงเห็น ที่แท้ก็นายคนขับรถจอมจองหอง อวดดีของเธอนั่นเอง

"นาย!" เธอตะโกนเรียกลงมาจากระเบียง

ปภพเงยหน้ามองเด็กสาวนั่งห้อยขาลงมาอย่างสุดเซ็ง นี่เขาเพิ่งเสร็จธุระกับพ่อเจ้าหล่อนไม่ทันไร คนลูกก็ตั้งท่ากวนมาอีก แล้วดูเถอะ ชุดเอี๊ยมขาสั้นที่เจ้าหล่อนใส่เมื่อเช้าก็สั้นแสนสั้น เมื่อมองจากข้างล่างขึ้นไปแล้วพานให้เห็นถึงเครื่องในทีเดียว เขาเบือนหน้าหนีอย่างเหม็นเบื่อเต็มที

"นายสมจิตร...น้องสมหมาย... นายสมจิตร...น้องสมม้าย..." อัมพิการ้องเรียกเป็นเพลงเมื่ออีกฝ่ายทำท่าจะเดินหนี

อารมณ์ขุ่นเคืองเมื่อครู่หายไปชั่วขณะ ชายหนุ่มนึกขันระคนสมเพช นี่เธอละเมอหรือเมายาค้างกันแน่

"หมัดนายน่ะสวยมาก ถ้านายได้ไปโอลิมปิกประเทศเราต้องได้เหรียญทองแน่ แล้วนายก็จะรวย! ร้วยรวยเลยล่ะ ไม่ต้องมาทำงานให้พ่อฉัน แต่อย่างว่าแหละนะ...นายมันโง่น่ะซี้"

ปภพถอนฉุน มันเรื่องอะไรที่เขาต้องยืนฟังยัยเด็กปากร้ายนี่ด่าด้วย เขาสั่นศีรษะพร้อมกับจะเดินจากไป หากไม่ได้ยินประโยคต่อมาเสียก่อน

"นายมันโง่ ทั้งที่นายเลือกได้ว่าจะใช้ชีวิตอย่างไร นายกลับเลือกทางเดินเดียวกับพ่อฉัน แต่ฉันสิ...ฉันอยากไปจากที่นี่จะแย่ ไปจากทางชีวิตที่สกปรกนี้ แต่มันเลือกเกิดไม่ได้ไงเล่า"

เสียงสะอื้นลอยมาจากชั้นบน ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะเงยขึ้นมอง แล้วก็เห็นต้นเหตุที่ทำให้คุณหนูผู้เย่อหยิ่งลืมเก็บอาการดังเมื่อกลางวัน เธอดูดมวนบุหรี่ที่แทบเผาไหม้เหลือแต่ก้นในมือ กลิ่นควันเหม็นไหม้ลอยมาเข้าจมูก มันคงไม่ใช่เพียงแค่บุหรี่ธรรมดาผู้เสพจึงมีอาการเช่นนี้ ปภพนึกสังเวชใจเต็มที

เขาเดินจากไปจากตรงนั้น ขณะกำลังคิดหาว่าจะตามพี่เลี้ยงเจ้าหล่อนได้จากที่ใดก็บังเอิญสวนกับหญิงสาวที่ตามดูแลคุณหนูของบ้านเมื่อเช้านุ่งกระโจมอกเดินมาจากทางห้องอาบน้ำ เขาเลี่ยงที่จะสบดวงตาเปล่งประกายของสาวเจ้า ขณะปดว่าเด็กสาวตามตัว

เชิญขึ้นไปปรนนิบัติพัดวีกันให้หนำใจเถิด เผื่อเด็กนั่นจะมีที่ระบายที่ไม่ใช่เขานั่นเอง

ชายหนุ่มเปิดประตูเข้าห้องพัก แล้วก็พบว่าวันของเขายังไม่สิ้นสุดแค่นั้นเมื่อสมหมายนั่งดูโทรทัศน์รออยู่บนเตียง เขาถ่ายทอดเรื่องราวให้พี่ภรรยาฟัง แต่จงใจเว้นว่าความปรารถนาของพ่อเลี้ยงเรืองเดชคงสูญเปล่า เมื่อเขากำจัดคนที่คิดไม่ดีกับอัมพิกาได้ แต่เจ้าหล่อนก็ติดกับดักในใจตนเอง พ่ายแพ้ต่อยาเสพติดอยู่ดี

......................................

"ดี ดีมาก” ผู้บงการเอ่ยชมหลังทราบผลลัพธ์เมื่อคืน “สมหมาย นายไม่บอกฉันว่าหมอนี่มันมีฝีมือนี่หว่า ใจกล้าใช้ได้”

ปภพยืนนิ่งรับคำชมนั้น รู้จุดอ่อนอีกอย่างของมันคือไว้ใจคนง่าย โดยเฉพาะคนรอบตัวของมัน เพียงแค่เขาปั้นเรื่องเล่าโดยไม่มีหลักฐาน มันก็พร้อมเชื่อโดยไม่ติดใจสงสัยใดๆ คงคิดว่าเขาจะซื่อสัตย์เหมือนสมหมายกระมัง

"แล้วมันบอกไหมว่าใครเป็นตัวการ" พ่อเลี้ยงเรืองเดชกลับมาถามจริงจัง

"เปล่าครับ" ชายหนุ่มตอบเสียงขรึม "แต่ผมถามมันว่ารับมาจากใคร"

ปภพลอบสังเกตท่าทางอีกฝ่าย ร่างท้วมเจ้าเนื้อวางเฉย หากดูจะตั้งใจฟังเป็นพิเศษจากฝีเท้าที่หยุดชะงักไป สมหมายใช้ศอกกระทุ้งเตือนน้องเขยเบาเมื่อเจ้านายหันหลังให้ หากคนมีจุดประสงค์บางอย่างในใจไม่สะดุ้งสะเทือน เขาตัดสินใจดีแล้วตั้งแต่เมื่อคืนที่จะสร้างศัตรูให้มันหวาดระแวง ด้วยข้อมูลจากปากคำของเด็กหนุ่มที่รับรู้มา

"มันบอกว่ารับมาจากนักศึกษามหาวิทยาลัย คนของเสี่ยเพ้ง"

"อ้อ"

เรืองเดชทั้งโล่งใจและโกรธพอๆ กัน แต่เขายังวางเฉยเดินไปนั่งหลังโต๊ะในห้องทำงาน ไม่บ่อยหรอกที่เขาจะแสดงความฉุนเฉียวให้ลูกน้องจับอารมณ์ความรู้สึกได้ สมกับฉายา 'พ่อเลี้ยงนักบุญ'

"ไป จะไปทำอะไรก็ไปเถอะ"

ปภพลอบสบตากับสมหมายแวบหนึ่งก่อนกลับออกไป มีแววตำหนิอยู่ในดวงตาคู่คมนั้นเมื่อนึกรู้เท่าทันว่าน้องเขยพยายามทำสิ่งใด ข้อมูลที่ให้ผิดกับที่เขาได้รับฟังมาเมื่อคืน

หากชายหนุ่มแสร้งไม่รับรู้คำตำหนิทางแววตานั้น เขาเดินออกไปผ่านห้องทำงานซึ่งเชื่อมต่อของคุณวิเชียร ผู้จัดการทุกอย่างในบ้านหลังนี้ แต่โต๊ะทำงานว่างเปล่าไม่มีเจ้าของอยู่ เมื่อออกไปผ่านโถงบ้านแล้วจึงพบเข้ากับสาวใช้คนเดียวกับเมื่อวาน เธอรีรอเขาอยู่พอดี

"เดี๋ยวเตรียมรถด้วยนะจ๊ะพี่ คุณอ้อมจะออกไปข้างนอก"

ปภพไพล่นึกถึงคนป่วย ที่เขาเห็นเมื่อคืนเธอยังไม่ดีขึ้นเท่าไรเลย หรือจะเป็นอะไรไปอีก

เขาสั่นศีรษะขับไล่ความคิดขณะเดินไปยังโรงจอดรถ บอกตัวเองว่าที่คอยนึกถึงเธออย่างนี้ก็ด้วยความเห็นใจในชะตาชีวิต หลังได้รับฟังคำตัดพ้อยามเจ้าหล่อนแทบไม่มีสติควบคุมอารมณ์ความรู้สึกแท้จริงของตน

มันทำให้เขาได้ตระหนักว่าเธอเป็นเพียงเด็กมีปัญหาคนหนึ่ง และทำให้เขาได้รู้ด้วยว่าความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกคู่นี้ไม่ได้แน่นแฟ้น รักใคร่กันดีอย่างที่คิด ความเกลียดชังในตัวเจ้าหล่อนจึงลดลง

ทว่าวันนี้คนป่วยกลับดูสดใสแข็งแรงกว่าเก่า เขาเปิดประตูให้ร่างผอมเพรียวขึ้นนั่งเบาะหลัง โดยไม่มีท่าทีเกี่ยงงอนจากเจ้าหล่อนดังเมื่อวาน

"ไปเซ็นทรัล" เด็กสาวสั่งสั้นๆ ก่อนเสียบหูฟังเพลง

แสดงว่าหายแล้วสินะ ชายหนุ่มคาดเดาในใจ

เขามองกระจกกลางก็เห็นอีกฝ่ายง่วนกับการกดผิวสัมผัสต่างๆ บนไอพอดมั่วไปหมด ก่อนเธอจะทุบมันกับฝ่ามืออีกข้าง อัมพิกากดกระจกลงเมื่อรถจอดติดไฟแดง เธอโยนมันออกไปโดยไม่สนว่าจะไปตกที่ใด

"ห่วยแตก" เสียงสบถเบาหากชัดเจนในรถที่เครื่องยนต์เงียบสนิท

ปภพคร้านจะเก็บเอาความสุรุ่ยสุร่าย ไม่รักษาของของเจ้าหล่อนมาคิดให้ชิงชัง เขาเข้าเกียร์เตรียมเคลื่อนรถไปข้างหน้าเมื่อสัญญาณไฟเปลี่ยนสี ทว่าจู่ๆ ร่างบางก็เบียดแทรกมาระหว่างเบาะ เขาต้องบังคับพวงมาลัยไม่ให้ส่ายด้วยความตกใจ

"นี่คุณ..."

ใบหน้าแต่งแต้มสีสันอ่อนๆ หันมามองนายคนขับราวรำคาญ ยังค้างเติ่งครึ่งตัวอยู่อย่างนั้น รวมทั้งมือที่กำลังเอื้อมไปเปิดวิทยุบนคอนโซลหน้าด้วย

"ทำไม" เธอย้อนถาม

ปภพนั่งหลังแข็ง คอแข็ง เจ้าหล่อนหันมาเสียใกล้ขนาดนี้ จนได้กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ติดปลายจมูกตน

เธอเอื้อมไปกดเปิดวิทยุโดยไม่รอคำตอบ ไล่หาคลื่นเพลงสากลที่ชอบ ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งเบาะหลังดังเดิม

"ฉันว่าทางที่ถูกฉันควรถามนายมากกว่านะว่าพ่อใช้ให้นายไปทำอะไรมาเมื่อวาน"

เธอจ้องเขม็งยังกระจกมองหลัง แต่อย่างไรเขาก็มิได้มองตอบมา นอกจากตั้งหน้าตั้งตาขับรถตามหน้าที่

"เจ็บหนัก...หรือว่าตายล่ะ" เธอถามราวกับถามเรื่องดินฟ้าอากาศ

"ทำไมผมต้องทำอย่างที่คุณคิด" ชายหนุ่มถามโดยไม่ละสายตาจากถนน

อัมพิกาทำเสียงเยาะในลำคอก่อนตอบให้ "ก็เพราะไม่เคยมีใครที่คิดร้ายกับฉันหรือพ่อฉันจะลอยหน้าลอยตาอยู่ได้น่ะสิ"

"คุณไม่มีทางรู้จักศัตรูทุกคนของตัวเองได้หรอก" เสียงเอ่ยเรียบเรื่อยนั้นแฝงแววอาฆาต

"ใช่ แม้แต่คนที่เรียกว่าเพื่อนก็ตาม"

ดวงตาสองคู่มองสบกันผ่านกระจก ต่างฝ่ายต่างเก็บงำความรู้สึกนึกคิดบางอย่างของตนไว้ ทั้งความแค้นของชายหนุ่มและความอ้างว้างของเด็กสาว
.............................


ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่มีผู้คนหนาตาแม้จะเป็นวันธรรมดา ส่วนมากเป็นวัยรุ่นที่อยู่ระหว่างปิดเทอมและนักท่องเที่ยวต่างชาติ เมื่อผู้ที่เพิ่งมาถึงเห็นจำนวนคนรอต่อคิวหน้าร้านอาหารญี่ปุ่นแล้วจึงบ่นอุบกับคนขับรถที่บังคับพามาด้วยทันที

"อะไรกันนักกันหนาเนี่ย ต้องมาแย่งกันกินแย่งกันใช้มากขนาดนี้"

ปภพลอบถอนหายใจ เขาสิซวยหนักกว่าใครเพื่อน ต่อให้ทำงานหนักกลางแดดแผดเผาแค่ไหน ก็ยังไม่น่าหงุดหงิดใจเท่าต้องมาเดินตามเด็กเมื่อวานซืนที่ขี้บ่น เจ้าอารมณ์เป็นที่สุด

ร่างสูงใหญ่ถือถุงเสื้อผ้าตามเจ้าหล่อนไปอีก และคอยยืนรออยู่หน้าร้านเมื่อเธอแวะเข้าร้านแบรนด์เนมระหว่างทาง ทุกครั้งที่ได้พักคิดก็นึกหาหนทางที่ตนจะได้พ้นจากหน้าที่อันน่าเบื่อนี้เสียที

"ไป" เธอบอกขณะออกจากร้านเหมือนออกคำสั่งกับสัตว์เลี้ยงตัวหนึ่ง

แล้วมันก็น่าสมเพชยิ่งกว่าที่เขาต้องทำตามต้อยๆ ปภพได้เรียนรู้อีกอย่างว่าเด็กสาววัยสิบเจ็ดปีคนนี้เชี่ยวชาญในการลดค่า เหยียดผู้คน ไม่ว่าจะด้วยความตั้งใจหรือไม่ก็ตาม ตรงกันข้ามกับผู้เป็นพ่อโดยสิ้นเชิง

อัมพิกาตัดสินใจแวะเข้าร้านราเม็งที่ไม่มีคนต่อแถวร้านหนึ่ง เมื่อเห็นท่าว่าชายหนุ่มจะยืนรอข้างนอกอย่างเคยก็หยุดเดินพลางผงกศีรษะให้ตามมา เธอชี้เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามให้เขานั่ง หากร่างสูงใหญ่ยังคงยืนนิ่ง

"เดี๋ยวผมเอาของไปเก็บในรถ เชิญคุณทานไปเถอะ"

เขากลับหลังหันออกไปไม่รออนุญาต ผู้ที่คุ้นชินกับการออกคำสั่งชักสีหน้าไม่พอใจ เธอลุกกระแทกไหล่พนักงานร้านที่มารับรายการพอดี เห็นแผ่นหลังกว้างไวๆ ก่อนเธอจะตัดสินใจเดินหนีไปอีกทาง

เอาซี้... ถ้าคิดว่าแข็งข้อกับคนอย่างเธอได้ ก็ตามหาให้ควั่กทั่วห้างนี้แล้วกัน

เด็กสาวขึ้นบันไดเลื่อนไปชั้นบนสุด มีโรงภาพยนตร์ขนาดใหญ่บนนั้น เธอต่อแถวซื้อตั๋วหนังใหม่เพิ่งเข้าโรงเรื่องหนึ่งที่กำลังจะฉายในอีกสิบนาทีข้างหน้า นึกสาแก่ใจที่ได้แก้เผ็ดนายคนขับรถจอมจองหองนั่นสำเร็จ

อีกสองชั่วโมงเจอกันก็แล้วกัน...

.....................................

ปภพกลับมาหน้าร้านในอีกไม่กี่นาทีต่อมา ทว่าเมื่อมองเข้าไปยังโต๊ะที่เธอนั่งเมื่อครู่กลับพบหนุ่มสาวคู่หนึ่งนั่งอยู่ตรงนั้นแทน ปภพใจตกลงไปยังตาตุ่ม เธอหาเรื่องให้เขาเข้าแล้วไง!

"โธ่เว้ย!" ชายหนุ่มสบถอย่างเหลืออด

พอกันที เขาจะไม่ทนความร้ายกาจของเจ้าหล่อนอีกต่อไป เจอตัวพากลับไปได้เมื่อไร เขานี่แหละจะขอลาออกกับคุณวิเชียรเอง ดีกว่าถูกเฉดหัวไล่อย่างคนก่อนๆ ที่ผ่านมา

เรื่องแก้แค้นให้ลูกเมียนั้นไม่ได้มีทางนี้ทางเดียว คนอย่างเขาไม่เคยสิ้นไร้ไม้ตอกเรื่องผู้อุปถัมภ์ค้ำชูเพราะเป็นคนทำอะไรทำจริง อย่างน้อยตอนนี้ก็มีชื่อศัตรูคู่แข่งของพ่อเลี้ยงเรืองเดชเป็นที่หมายต่อไป

ปภพกวาดสายตาผ่านกระจกใสแสดงแบบตามร้านเสื้อผ้าแฟชั่นต่างๆ เข้าไป แต่ก็ไม่เห็นแม้เงาคนที่ตามหา พลันความคิดแง่ร้ายถึงเพื่อนชายคนเมื่อวานของเจ้าหล่อนก็ผ่านเข้ามาในความคิด หรือมันจะไม่ได้หนีไปแต่หาโอกาสดักทำร้ายเด็กสาวให้สาสมกับความแค้น ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งร้อนใจ

"ตามหาเด็กหายครับ" เขาตัดสินใจแจ้งฝ่ายประชาสัมพันธ์ "นางสาวอัมพิกา..."

"นางสาวหรือคะ" เจ้าหน้าที่สาวทวนคำอย่างประหลาดใจ

"ใช่ อายุสิบเจ็ด สูงราวหนึ่งร้อยหกสิบห้าเซนติเมตร"

พนักงานประชาสัมพันธ์รับคำก่อนรีบประกาศหาให้ เสียงตามสายดังก้องให้เขาได้ยิน แต่ก็ยังไม่ทันใจ

"ถ้าเธอมาที่นี่รบกวนให้โทรเข้าเบอร์ผมที" ปภพให้หมายเลขโทรศัพท์แก่เจ้าหน้าที่ไว้ เขาผละไปเดินหาอย่างไร้จุดหมายอีกรอบ ภาวนาอย่าให้เป็นฝีมือของคนที่ตนคิดเลย


ชายหนุ่มยืนคว้างข้างลานน้ำพุกลางห้าง จนปัญญาจะตามหาตัวอัมพิกาเจอ นอกจากกลับไปรับผิด รับโทษเท่านั้น วูบหนึ่งในใจที่เขาอยากลบความแค้นทั้งมวล หากเจ้าหล่อนเป็นอะไรไปก็สาสมแล้วกับสิ่งที่เขาสูญเสียไป

ทว่าท่ามกลางเสียงดังซ่าของสายน้ำก็แว่วเสียงดนตรีเรียกเข้าของโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงตน เขารีบกดรับโดยไม่ดูเลขหมายใดๆ

"ปภพ..." เสียงสั่นพร่าดังเบามาตามสาย

เขาบอกไม่ถูกว่าตนรู้สึกเช่นไร ทั้งดีใจ โล่งใจ แล้วก็โกรธ โกรธที่เขาแทบจะเป็นบ้าเพราะเธอคนเดียว คำถามกลับไปจึงห้วนผสมแรงอารมณ์

"นี่คุณอยู่ไหน"

เมื่อได้รับคำตอบแล้วชายหนุ่มก็กดตัดสาย เขารีบเดินกลับไปทางเดิมก็พบผู้ที่ตนตามหานั่งพิงเก้าอี้อยู่หลังเคาน์เตอร์ ท่าทางเหนื่อยอ่อนที่เขานึกรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ สารเสพติดที่ได้รับคงยังไม่หมดจากร่างกายเสียทีเดียว

"ลุกไหวหรือเปล่า" เขาตรงไปถามเจ้าหล่อน

อัมพิกาผงกศีรษะเล็กน้อย ก่อนพนมมือไหว้สองสามีภรรยาวัยกลางคนที่ช่วยเธอมาจากหน้าห้องน้ำ เมื่อเห็นเธอยืนโอนเอน ทำท่าจะเป็นลมเพราะลงแดง ก่อนพวกเขาจะพาเธอมาส่งที่นี่ตามคำประกาศตามหาของเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์

"รักษาตัวนะจ๊ะหนู เลยอดดูหนังเลย"

อัมพิกาลอบมองผู้ชายตัวใหญ่ข้างๆ ก็เห็นเขาไหว้ขอบคุณสองสามีภรรยานั้นโดยไม่มีท่าทีติดใจสงสัยใดก็ให้นึกละอายใจ

เธอรู้ตัวว่าผิดที่แกล้งให้เขาเดือดร้อน ตอนที่เห็นเขาวิ่งมาหาด้วยสีหน้าร้อนใจ อัมพิกาก็คลายความหนาวสั่น อบอุ่นหัวใจประหลาดที่ได้เห็นท่าทางของความห่วงใยที่เธอไม่ค่อยได้รับจากใคร แม้จะเป็นไปตามหน้าที่ของเขาก็ตาม

ปภพยืนมองร่างระหงลุกจากเก้าอี้โดยไม่คิดช่วยเหลือ ครั้นเห็นเด็กสาวยืนได้มั่นคงพอสมควร เขาก็ล่วงหน้าไปทันที
...............................

ตอนนี้แพรวกับนักเขียนอีกหลายท่านมีกิจกรรมมาให้ร่วมสนุกกันค่ะ
แต่ต้องเข้าไปโพสต์ความดีที่เพื่อนๆเคยทำพร้อมรูปถ่ายในแฟนเพจนักเขียนนะคะ
ผู้โชคดีจะได้รับหนังสือ "ตราบแผ่นดินไม่สิ้นรัก" ที่ไม่มีขายอีกแล้วค่ะ
หรือร่วมสนุกที่เพจของแพรวก็ได้ http://www.facebook.com/bhapimol.pimolbha



ภาพิมล_พิมลภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 ก.พ. 2557, 16:56:42 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 ก.พ. 2557, 16:56:42 น.

จำนวนการเข้าชม : 1226





<< บทที่ ๒ ภารกิจแรก   บทที่ ๔ คนของพ่อเลี้ยง >>
ปริยาธร 9 ก.พ. 2557, 18:13:17 น.
ดูๆ ไปอัมพิกาก็แค่เด็กเอาแต่ใจเนอะ ปภพน่าจะปราบเธออยู่


ภาพิมล_พิมลภา 9 ก.พ. 2557, 19:13:12 น.
พี่นุ้ย - ไม่ต้องปราบ อีกหน่อยเด็กก็แพ้ใจแล้วค่ะ อิอิ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account