แผนลับ นักสืบ
กอหญ้าเพิ่งมาทำงานเป็นนักข่าวได้แค่ไม่ถึงหกเดือน เธอต้องการทำข่าวนายอิทธิกรติดผู้หญิงกับมั่วยาบ่อย ๆ เธอไม่ยอมแพ้ ไปแอบอยู่ข้างบ้านนายอิทธิกรแล้วปีนต้นไม้บ้านข้าง ๆ แต่หมอหนุ่มเห็นเข้าเขาจะเรียกตำรวจ แต่เธอร้องห้ามไป ๆ มา ๆ เลยขอแอบเข้าไปในบ้านหมอหนุ่มเสียเลย
Tags: ึความรัก,นักข่าว,คุณหมอ,ดารา

ตอน: ตอนที่ ๑๑ คนทรยศ

คนทรยศ

ภาพโครงการบ้านจัดสรรราคาร้อยล้านของน้ำค้างบนจอโปรเจ็กเตอร์ขนาดใหญ่ แปรเปลี่ยนเป็นภาพวีดิโอของผู้หญิงสาวคนหนึ่งในชุดนุ่งน้อยห่มน้อยส่งเสียงเสียงหัวร่อต่อกระซิกอย่างมีความสุข จากนั้นก็ตัดเป็นภาพตอนที่เธอนอนอยู่บนเตียงในท่าหลับตาพร้อมครวญครางเสียงหวาน ทุกคนที่อยู่ภายในงานพากันตกตะลึงลาน ผู้หญิงต่างส่งเสียงวี้ดว้ายยกมือขึ้นปิดตากันเป็นแถวๆ ส่วนพวกผู้ชายต่างเบิ่งตามองด้วยความตะลึง ในที่สุดคลิปแอบถ่ายของเธอก็หลุดออกมาประจานจนได้ น้ำค้างหน้าซีดเผือดแล้วกรีดร้องออกมาทันที

“กรี๊ด-ด-ด ไม่นะ ใครก็ได้ช่วยไปปิดที”

“น้ำค้างนี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น” จอห์นร้องถามภรรยาด้วยความตกใจ

“ฉันบอกให้มันปิดไง”

น้ำค้างดูเหมือนจะสติแตกไปแล้ว ท่ามกลางความสับสนวุ่นวาย รสกรเดาได้ทันทีว่าภาพโป๊เปลือยที่ออกมานั้นต้องเป็นฝีมือของอิทธิกรกับวินแน่ๆ ทว่าในเวลานี้อิทธิกรกับวินหายเข้าไปในเงามืดเสียแล้ว หญิงสาวจึงตัดสินใจที่จะตามพวกเขาไปให้ถึงที่สุด เวลานี้เธอต้องการรู้ให้ได้ว่าชายทั้งสองวางแผนอะไรกันอยู่

“เดี๋ยวฉันมานะ”

“นั่นคุณจะไปไหนน่ะ” คชินทร์ส่งเสียงถาม

อิทธิกรกับวินยืนจุดบุหรี่ให้กันข้างรถยนต์ที่เขาจอดไว้ที่ประตูรั้วด้านหน้า หากไม่มีใครสงสัยและตามมาคงไม่มีทางรู้หรอกว่ามีพวกเขายืนคุยกันอยู่

“ไม่กลัวว่าน้ำค้างจะไปแจ้งตำรวจหรือ”

“หึ ไม่มีหลักฐานอะไรนี่นา ในคลิปนั่นก็ไม่มีฉันโผล่เข้าไปสักนิดเดียว ไอ้ไฟล์นั่นก็ไม่ได้อยู่กับฉัน แล้วยายน้ำค้างนั่นก็ไม่ได้มีแค่ฉันคนเดียว คราวนี้พวกตำรวจจะเอาความผิดอะไรกับฉันได้ล่ะ” อิทธิกรเหยียดยิ้ม

“ฉลาดจริงนะ ทีนี้ก็เลยเสียไปเลยตั้งยี่สิบล้าน”

“ผู้หญิงคนใหม่ก็ยังมีอีกตั้งเยอะ เงินเท่านี้จะหาเมื่อไหร่ก็หาได้”

“นั่นสินะ”

“แล้วเรื่องยาล็อตใหม่นี่ล่ะ ของจะมาเมื่อไหร่”

“คิดว่าน่าจะประมาณอาทิตย์หน้า...ตอนนี้พวกนั้นต้องคอยระวังพวกตำรวจ ต้องคอยหาเส้นทางหลบหลีก พวกนั้นมันหูตาเร็ว พอได้ข่าวมาว่าพวกตำรวจซุ่มจับอยู่ พวกมันก็โทร.เลื่อนวันส่งมอบของกับลูกค้าไป”

“แล้วยังส่งวิธีเดิมหรือเปล่า”

“ยังมีวิธีไหนที่ได้ผลมากเท่านี้อีกล่ะ” อิทธิกรเหยียดยิ้ม “เสียดาย ถ้ายายน้ำค้างนั่นยอมแต่โดยดี เราก็ประหยัดเงินค่าส่งยาเสพติดไปได้ตั้งยี่สิบล้าน เฮ้อมันน่าเสียดายจริง ๆ”

“นายก็เอาคลิปโป๊ของยายน้ำค้างไปขายให้พวกทำวีดิโอโป๊ซะสิ”

“ก็ว่าอยู่ คลิปไฮโซสาวพราวเสน่ห์คงขายได้เงินมากอยู่”

เสียงหัวเราะของสองหนุ่มหล่อของวงการบันเทิง แต่ข้างในเหม็นเหมือนขยะสด ทำเอารสกรที่ยืนอยู่ด้านหลังของประตูรั้วเม้มปากเข้าหากันอย่างกรุ่นโกรธ ไอ้พวกเดนมนุษย์ เธอไม่คิดมาก่อนว่าเบื้องหลังดาราในวงการบันเทิงจะมีคนจำพวกนี้แฝงอยู่ด้วย พวกมันค้ายาเสพติดกันเป็นขบวนการ และส่งขายให้กับนักท่องราตรีตามผับหรือบาร์ต่างๆ หญิงสาวชำเลืองมองทั้งคู่ก่อนจะถอยออกมา

แกร๊ก

เสียงเธอย่ำกิ่งไม้แห้งใต้ฝ่าเท้า ทำเอาเลือดในตัวของเธอจับตัวกันเป็นก้อนแข็ง และเสียงนี้ก็ยังดังไปถึงชายสองคนที่อยู่นอกรั้วหันมามองพร้อมๆกันทันที

คิ้วเข้มของอิทธิกรขมวดเข้าหากันทันที เขาชำเลืองมองวินนิดหนึ่งก่อนที่อีกฝ่ายจะพยักหน้าเบาๆ

“ไปดูซิ”

แล้วเสียงฝีเท้าก็ดังเข้ามาใกล้ เธอยกมือขึ้นปิดปาก หัวใจเต้นแรงราวกับว่ามันจะหลุดออกมานอกอก เธอภาวนาขออย่าให้พวกเขาเข้ามาตอนนี้ เพราะที่ตรงนี้มันไม่มืดมากพอที่เธอจะหลบหนีออกไปโดยที่อิทธิกรและวินจะมองไม่เห็น ที่สำคัญคือจากตรงนี้ ไม่มีทางที่จะร้องเรียกให้คนอื่นมาช่วยได้เลย

“ใครน่ะ ใครอยู่ตรงนั้น” เสียงกร้าวของอิทธิกรดังตามมา

“ไปดูซิ ว่าใครอยู่ตรงนั้น”

ชั่วจังหวะที่รสกรคิดจะวิ่งสุดฝีเท้า สวรรค์ก็ส่งแมวเหมียวขนฟูพันธ์เปอร์เซียที่น้ำค้างเลี้ยงไว้เดินมาแถวนั้นพอดี มันส่งเสียงร้องเหมียวๆ ตอนที่อิทธิกรเกือบจะมาถึงตรงที่เธอแอบอยู่พอดี น้ำหนักของแมวเหมียวรูปร่างอ้วนพี ทำให้อิทธิกรไม่แปลกใจหากมันจะเหยียบกิ่งไม้จนหัก อิทธิกรถอนหายใจยาว

“แมวนี่เอง นึกว่าใครซะอีก”

อิทธิกรมองไปทางอื่นเผื่อว่าจะมีใครคนสักที่ผ่านมาเห็น หญิงสาวได้แต่หลับตาและยกมือขึ้นปิดปากไม่ให้มีเสียงใดๆเล็ดรอดออกมาเลย หัวใจของเธอหล่นไปอยู่ตาตุ่มเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะได้ยินเสียงฝีเท้าของอิทธิกรค่อยๆเดินห่างออกไปทุกขณะ

“มีอะไร” เสียงของวินถามขึ้น

“แมวน่ะ มันคงเหยียบกิ่งไม้หัก”

“รีบไปกันเถอะ เดี๋ยวใครเกิดโผล่มาเห็นเข้าแล้วเราจะยุ่ง”

“อืม”

รสกรหลับตาลงคอยให้รถยนต์เคลื่อนตัวออกไปสู่ถนน จนกระทั่งเสียงเครื่องยนต์เงียบหายไป เธอจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก นึกขอบคุณสวรรค์ที่ส่งแมวเปอร์เซียมาให้ ไม่อย่างนั้นเธอคงจะตกอยู่ในสถานการณ์แย่จนถึงแย่ที่สุดเลยด้วย หญิงสาวยิ้มเฝื่อน เธออุ้มแมวเหมียวขนฟูสีขาวขึ้นมา แล้วมันก็ร้องเหมียวๆ

“ขอบใจมากนะที่มาช่วย...ไม่อย่างนั้นฉันคงต้องแย่แน่ ๆ”

เหมียว-ว-ว

ชั่วขณะหนึ่งเธอได้ยินเสียงฝีเท้าเดินใกล้เข้ามา เมื่อเธอเงยหน้ามองก็ต้องยิ้มน้อยๆ คชินทร์ขมวดคิ้วจ้องมองเธอสีหน้าและแววตาของเขาเห็นทีว่าเขาคงจะไม่ปลื้มใจเท่าไหร่ที่เห็นเธออยู่ตรงนี้ ร่างสูงเดินเข้ามาใกล้แล้วยื่นมือให้เธอ รสกรเอื้อมมือไปจับแล้วลุกขึ้นยืนอย่างโล่งใจ

“ถ้าให้ผมเดา คุณคงจะเจอกับนายอิทธิกรกับนายวินมาแล้วล่ะสิ”

“ยังไม่เจอหรอก ถ้าเจ้าแมวเปอร์เซียนี้ไม่เข้ามาช่วยไว้ ป่านนี้ฉันคงถูกจับยัดเข้าไปในรถยนต์ของพวกเขาแล้วพาฉันไปโยนทิ้งตามถังขยะแล้วก็ได้”

ใบหน้าคมคายขมวดคิ้ว

“คุณจะทำอะไร ทำไมไม่ปรึกษาผมก่อน”

“ก็ฉันไม่รู้นี่นาว่ามันจะเป็นแบบนี้” รสกรถอนหายใจยาว “ถ้าฉันรู้ก็คงไม่มาคนเดียวหรอก”

“แล้วเป็นยังไงบ้าง ได้ข่าวที่สำคัญหรือเปล่า”

หญิงสาวเม้มปากแน่น

“ได้สิ สองคนนั้นไม่ใช่เป็นแค่คนเสพเท่านั้นหรอกนะ แต่เป็นคนขายเลยต่างหาก คุณน้ำค้างน่ะเคยเป็นลูกค้าของพวกมัน แต่พอตอนหลังคงมีเรื่องขัดใจกัน นายอิทธิกรกับนายวินเลยเอาคลิปนั้นมาเผยแพร่ สองคนนั่นเลวจริงๆ”

“คุณรู้ได้ยังไง”

“ฉันได้ยินพวกมันคุยกัน เห็นว่า...” รสกรเล่าเสียงเบา “อาทิตย์หน้าพวกมันจะมีการสั่งยาล็อตใหญ่”

“คุณรู้หรือเปล่าว่าพวกมันสั่งมาทางไหน”

“ไม่รู้เลย ฉันแค่ได้ยินพวกมันบอกว่าจะส่งยามาอาทิตย์หน้า จะส่งทางไหนฉันเองก็ไม่รู้อะไรเลย พวกเขาไม่พูดถึง”

“งั้นหรือ”

“คุณชิน ฉันยอมให้พวกมันลอยนวลกันแบบนี้ไม่ได้นะ คุณน้ำค้างเคยเป็นพวกเดียวกัน พวกนั้นยังทำเธอได้ลงคอ เห็นทีฉันจะต้องทำให้พวกมันสำนึกในสิ่งที่ตัวเองทำลงไปซะแล้ว”

คชินทร์ชำเลืองมองรสกร

“แล้วคุณจะทำยังไง หรือว่าคุณจะลองไปสืบว่าพวกนั้นจะส่งยาให้กันทางไหน หรือว่าจะลองใช้มารยาทำให้พวกมันหลงจนโงหัวไม่ขึ้นกันล่ะ”

“บ้า คุณนี่ไม่มีหัวคิดบ้างเลย”

“แล้วคุณจะทำยังไงกันล่ะ” ชายหนุ่มหายใจยาว “คิดดูสิว่าถ้าพวกนั้นยอมคายความลับกันง่ายๆ อย่างนี้ตำรวจก็คงจับผู้ยาเสพติดได้กันหมดประเทศไปแล้วล่ะ”

“ฉันกำลังคิดอยู่...” หญิงสาวกัดปลายนิ้วตัวเองอย่างครุ่นคิด “นายอิทธิกรกับนายวินจะต้องมีพ่อค้าส่งยาให้เขาแน่ๆ แต่ว่าเขาจะไปรับยากันตอนไหนล่ะ”

“ผมคิดได้แล้ว” เขาเหยียดยิ้ม

“อะไรเหรอ”

“คุณพอรู้ตารางงานเขาไม่ใช่เหรอ ทำไมคุณไม่ลองหาตารางงานของเขามาดูล่ะ พอรู้ช่วงที่ว่างเวลามากพอที่จะไปรับยา สักประมาณสามสี่ชั่วโมงก็น่าจะได้อยู่” ชายหนุ่มออกความคิด

“จริงด้วย ฉันลืมไปเลย”

รสกรคิดได้ว่าเธอมีพุดซ้อน รายนั้นน่ะมีตารางงานของดาราสุดฮอตแทบทุกคน หากเธอรู้ตารางงานของอิทธิกร คราวนี้แหละอิทธิกรกับวินจะต้องไม่รอดแน่ๆ

“ข้างในตอนนี้เป็นยังไงบ้าง” เธอถามด้วยความเป็นห่วง

“วุ่นวายกันน่าดู คุณน้ำค้างเป็นลมถูกหามเข้าไปด้านใน คงไม่กล้าออกมาสู้หน้าใครต่อใครไปอีกนานเลยล่ะ”

“น่าสงสารจริงๆ”

“ก่อนจะสงสารคนอื่นน่ะ สงสารตัวเองจะดีกว่ามั้ง”

“ทำไมล่ะ”

“ก็คนที่นายอิทธิกรกับนายวินสงสัยที่สุดว่ากำลังแอบสืบเรื่องพวกเขาอยู่ก็คงเป็นคุณนั่นแหละ รู้ไว้ซะด้วย”

นักข่าวสาวเชิดหน้าอย่างท้าทาย ทำไมล่ะ นักข่าวอย่างเธอไม่มีสิทธิ์รู้เห็นการกระทำของพวกดาราเลยหรือไง เพราะว่าเธอเป็นนักข่าวนี่แหละจึงสามารถสืบหาข่าวลับมาตีแผ่ต่อสังคมได้

“ฉันไม่เห็นจะสนใจเลย เอาละ กลับกันดีกว่า”

รสกรเดินออกไปยังที่จอดรถยนต์ ส่วนคชินทร์ก็ได้แต่ถอนหายใจยาว...

“จู่ๆก็จะให้ฉันมาเอาตารางงานของคุณอิทธิกร นี่เห็นฉันจะเป็นคนว่างงานมากหรือไงยะ”

เสียงแสบแก้วหูของพุดซ้อน ผู้ชายใจหญิงทำเอารสกรแสบแก้วหูจนเธอต้องนิ่วหน้า เช้านี้เธอรีบออกจากบ้าน แล้วรีบเข้ามาออฟฟิศเพื่อสืบหาตารางงานของนายอิทธิกรกับนายวิน...แต่เพราะพุดซ้อนเก็บมันไว้ไว้ที่ไหนก็ไม่รู้ จึงได้แต่ค้นโต๊ะกันวุ่นวาย หาอะไรก็ไม่เจอไปซะหมด ไม่ใช่อะไรหรอก พวกขนมปังกับน้ำผลไม้ที่เจ้าตัวเขนมากองจนล้นโต๊ะไปหมด

“เอาเถอะน่า เธอก็ช่วยหาให้ฉันหน่อยเถอะ”

“แล้วฉันจะได้อะไรล่ะยะ” เพื่อนชายหัวใจสาวส่งค้อนวงใหญ่ให้เธอ

“เดี๋ยววันหน้าฉันจะซื้อขนมมาฝากเธอก็แล้วกัน”

“เอาเค้กผลไม้นะยะ อย่างอื่นไม่เอา”

“จ้า ว่าแต่ขนมเธอเต็มโต๊ะแบบนี้ มิน่าล่ะถึงหาไม่เจอ” นักข่าวสาวบ่นอุบอิบ

“อะไร เธอหาว่าฉันกินเยอะเหรอยะ นี่น่ะยังไม่ถึงครึ่งท้องของฉันด้วยซ้ำไป”

“เอาเถอะน่า รีบหาเร็วๆเข้าเถอะ”

“ย่ะแม่คุณ เดี๋ยวนะ ฉันหาก่อน โอ้ย...นี่มันจะรกอะไรกันนักกันหนานะ”

หญิงสาวได้แต่อ่อนใจ เธอนั่งคอยแม่พุดซ้อนคอยจัดโต๊ะที่เต็มไปด้วยเอกสาร แต่ไม่กล้าไปช่วยเพื่อนค้นโต๊ะหรอก เดี๋ยวอะไรหายขึ้นมา แม่เพื่อนชายใจสาวจะหาว่าเธอทำหายอีก

“เอ้า หาเจอแล้ว นี่ตารางงานของนายอิทธิกรไงล่ะ ฉันหาแทบตายกว่าจะได้มานะเนี่ย”

“ขอบใจจ้า”

“แล้วอย่าลืมซื้อขนมมาฝากฉันล่ะ”

“รู้แล้วน่า ขอบใจมากนะ” เธอยิ้มหวาน

รสกรเอาออกมาดูที่หน้าบริษัท ตารางทำงานของอิทธิกรแน่นเอี้ยดเสียจริงๆ สมแล้วที่เป็นดาราสุดฮอตที่มีเวลาทำงานตลอดทั้งอาทิตย์ เธอดูตารางงานช่วงเวลาว่างตอนกลางคืนของเขา อาทิตย์หน้าเขามีว่างตั้งแต่ช่วงหกโมงถึงสี่ทุ่มซึ่งเวลานี้น่าจะเหมาะสมที่สุดสำหรับการขนยาเสพติด ตารางงานของวินเองก็คงมีว่างช่วงเวลาเดียวกับเขาด้วยเหมือนกัน

“วันพฤหัสฯช่วงหกโมงถึงสี่ทุ่มเหรอ” เธอกระซิบแผ่ว

หญิงสาวพยายามคิดหาวิธีไปดักซุ่มรอที่หน้าบ้านเพื่อที่เธอจะได้สะกดรอยตามเขา แต่ว่าเธอจะไปยังไงดีล่ะในเมื่อเธอขับรถไม่เป็นเสียด้วย

“วันพฤหัสฯเหรอ”

เสียงทุ้มนุ่มของชิน ทำเอาเธอสะดุ้งโหยงรีบพับเก็บตารางงานแทบไม่ทัน

“คุณชิน ใครใช้ให้มาทำอะไรตรงนี้” เธอร้องอุทาน

“บังเอิญว่าผมไม่ชอบถูกปล่อยให้เฝ้าบ้านคนเดียวน่ะสิ ว่ายังไง ได้เรื่องหรือเปล่า”

“เปล่า ไม่มีอะไรหรอก” เธอแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง เพราะไม่อยากให้ดึงเขาเข้ามาเสี่ยงอันตรายด้วย แต่คชินทร์ดึงตารางงานไปจากมือของหญิงสาวได้เสียก่อนแล้วคลี่อ่าน

“เอามานี่นะ บอกให้เอามา”

“ตารางงานแน่นเอี้ยดไปหมด มีเวลาว่างช่วงไหนกันนะ”

“บอกให้เอามานี่นะ” รสกรเอื้อมมือขึ้นคว้ากระดาษ แต่คชินทร์อาศัยความสูงยกให้พ้นมือของหญิงสาว

“วันพฤหัสฯ เวลาประมาณหกโมงหรือสี่ทุ่ม” ใบหน้าคมคายหรี่ตามอง พลางถือแผ่นกระดาษให้เธอ หญิงสาวคว้าไว้ ก่อนเม้มปากแน่น

“เวลานี้ดีที่สุด”

“ฉันไม่ได้เป็นคนบอกคุณนะ” เธอแก้ตัว

“แต่ผมก็รู้แล้ว”

“งานนี้ฉันทำคนเดียว ไม่ได้บอกให้คุณเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย แล้วทำไมคุณถึง...” เธออ้าปากจะต่อว่า แต่เขาพูดขัดขึ้นเสียก่อน

“แล้วใครที่เป็นคนบอกให้ผู้ช่วยอย่างผมคอยตัวให้คุณกันล่ะ”

“นั่นมัน...เอ่อ”

“แล้วใครเป็นคนช่วยเหลือคุณทุกครั้งที่คุณพลาดท่า ไม่ใช่ผมหรือไง” คชินทร์เหยียดยิ้ม ร่างสูงโน้มใบหน้าลงมาแล้วมองเข้าไปในดวงตาของเธอ “ผมจะเป็นคนระวังให้คุณเอง ส่วนเรื่องการทำข่าว ขอให้คุณทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดก็พอ”

รสกรกัดริมฝีปากตัวเอง แน่ละ เรื่องแบบนั้นเธอรู้อยู่แล้ว

“สรุปว่าคุณจะไปช่วยฉันทำข่าว”

“ใช่น่ะสิ”

“แล้วแต่คุณเถอะ แล้วอย่ามาอ้างขอค่าตัวผู้ช่วยจากฉันล่ะ เพราะฉันไม่มีให้คุณหรอก”

“ใจร้ายจริงๆ แล้วนี่ผมจะเอาเงินเดือนที่ไหนกินกันล่ะ” เขาแสร้งบ่น

“ก็ตามใจคุณสิ ไปกันเถอะ”

“ตอนนี้กี่โมงแล้ว” จู่ๆเขาก็ถามเรื่องเวลา เธอยกข้อมือดูนาฬิกาเพื่อบอกเขา

“ตอนนี้เที่ยงกว่าแล้ว ทำไมเหรอ”

“ผมหิวแล้วละ เราไปหาอะไรทานกันเถอะ”



รสกรถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก็ดีเหมือนกันนานๆครั้งได้เปลี่ยนบรรยากาศมารับประทานอาหารนอกบ้าน ทั้งคู่เดินคุยกันไปตลอดทางเดินที่เต็มไปด้วยแผงขายของต่างๆ หญิงสาวชี้ให้เขาดูกระเป๋าถือก่อนจะเดินเข้าไปเลือกซื้อ ตลอดเวลาที่เดินด้วยกัน ในใจของเธอก็คิดว่าเหมือนเธอและเขากำลังเดตกันอยู่เลย แต่เธอก็รีบสลัดความคิดนี้ออกไปจากศีรษะอย่างรวดเร็ว

ไม่ได้นะ ข้าวฟ่างชอบเขาอยู่ต่างหาก

“กอหญ้านะกอหญ้า คิดอะไรซะเรื่อยเปื่อย” เธอพึมพำเสียงเบา

“อะไรหรือ”

“เปล่าค่ะ ดูนั่นสิ”

เธอชี้ แล้วเดินเข้าไปดูนาฬิกาเรือนสีเงินหน้าปัดเรียบๆ แต่มีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก หญิงสาวมองมันด้วยนัยน์ตาเป็นประกาย คชินทร์เดินเข้ามาใกล้ เขามองดูนาฬิกาเรือนสวย แล้วมองหน้ารสกร

“คุณอยากได้หรือ”

“อืม ฉันอยากได้นาฬิกาเรือนใหม่แทนเรือนนี้ที่มันเก่าน่ะ อาทิตย์หน้าก็เป็นวันเกิดของฉันด้วย” เธอพูดอย่างยินดี ขณะที่คชินทร์เลิกคิ้วสูง

“วันเกิดคุณหรือ”

“ใช่วันที่ยี่สิบสองสิงหาคม ปีนี้ฉันก็อายุครบยี่สิบสองปีพอดี”

รสกรเดินตรงไปถามราคากับเจ้าของร้าน แต่พอได้ทราบราคาของมันแล้วสีหน้าของเธอก็ทำให้เขารู้ว่ามันคงแพงไม่ใช่เล่น คชินทร์เดินเข้าไปหาเจ้าของร้านแล้วบอกให้เขาห่อใส่ถุงให้ที เธอถึงกับมองหน้าเขาอย่างไม่อยากเชื่อสายตา

“คุณทำอะไรน่ะ”

“ผมซื้อให้คุณเป็นของขวัญไง ห่อให้ด้วยนะครับ”

“ไม่ได้นะ ฉันกับคุณไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย” เธอละล่ำละลักบอกและไม่รับของขวัญวันเกิดจากเขา ชายหนุ่มถอนหายใจแล้วหันมาพูดว่า

“อาทิตย์หน้าเป็นวันเกิดของคุณ ผมอยากตอบแทนคุณที่ช่วยผมดูแลบ้าน คอยทำกับข้าวให้ผม ผมมอบของขวัญให้คุณแค่นี้ก็ไม่ได้หรือ” น้ำเสียงของเขาต่ำลึก

“แต่ว่า...”

“เอาเถอะ เอาเป็นว่าผมเต็มใจให้คุณ ส่วนคุณจะเต็มใจรับไว้ หรือจะโยนทิ้งไปมันก็เรื่องของคุณ แบบนี้โอเคหรือเปล่า”

“บ้าสิ ใครจะไปโยนทิ้ง”

“ถ้าอย่างนั้น” ใบหน้าคมคายเหยียดยิ้ม “คุณจะสวมให้ผมเห็นเลยได้ไหมล่ะ”

“ได้สิคะ...ขอบคุณนะคะที่อุตส่าห์ซื้อให้ฉัน” เธอเอ่ยเสียงใส และคลี่รอยยิ้มสว่างสดใสราวกับแสงอาทิตย์ไปให้

“ไม่เป็นไร” เขาตอบยิ้มๆ

รสกรยิ้มให้แก่เขา ความจริงแล้วเธอก็คิดว่าคชินทร์เป็นผู้ชายที่อบอุ่นและเป็นกันเอง เขาชอบทำหน้าเรียบเฉยและชอบเว้นระยะห่างกับเธอเวลาที่อยู่บ้านเดียวกัน แต่นั่นเธอก็รู้ว่า เพราะเขาเป็นสุภาพบุรุษจึงไม่เคยเข้าใกล้เธอมากกว่าที่เธอขีดเส้นไว้

แล้วกับข้าวฟ่างล่ะ เขายังจะคิดแบบนี้ไหม

“เป็นอะไรไป หน้าผมมีอะไรติดอยู่หรือไง”

คำถามของเขาทำให้เธอสะดุ้งโหยง

“ไม่มีอะไรค่ะ แค่คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้นเอง” เธอยิ้มหวาน

“ถ้างั้น เราไปหาอะไรกินกันเถอะ”

“ดีจัง วันนี้จะมีเจ้ามือเลี้ยงด้วย แบบนี้ไปทานอาหารอิตาเลียนกันดีกว่า”

“หารกันสิคุณ”

“หา อะไรนะ นี่คุณไม่ได้เลี้ยงฉันเหรอ”

“ชวนไปทานข้าว ไม่ได้บอกว่าจะเลี้ยงสักหน่อย” คชินทร์หัวเราะ เขาเดินข้างหน้าโดยมีรสกรเดินตามไปอย่างฉุนๆ บ่นกระปอดกระแปด...

ปากก็พูดไปอย่างนั้นแหละ เขาพาเธอมารับประทานอาหารที่ร้านอาหารและร้านกาแฟแบบสไตล์อิตาเลียน เธอก้มหน้าก้มตาหั่นสเต็ก ขณะที่คชินทร์นั่งยิ้มมองเธอจิ้มสเต็กทานอย่างเอร็ดอร่อย ภายในร้านแห่งนี้มีรูปวาดและสไตล์การตกแต่งร้านแบบคลาสสิก ทีแรกเธอบอกว่าไม่ค่อยได้กินในร้านอาหารแพงๆเลยไม่ค่อยอยากทานอาหารที่ร้านนี้เท่าไหร่ แต่ตอนนี้ดูท่าทางจะเป็นจานที่สองแล้วสำหรับเธอ

“ไม่ทานเหรอ อร่อยนะ”

“ผมสั่งกาแฟไปแก้วหนึ่ง เดี๋ยวเขาก็คงยกมาให้”

รสกรกระพริบตาถี่ๆ “เมื่อกี้ฉันได้ยินคุณบอกว่าหิวอยู่เลย”

“นั่นสินะ แต่พอผมเห็นคุณทานแล้วผมก็อิ่มไปซะอย่างนั้น”

หญิงสาวแก้มแดงปลั่ง ก็เมื่อเช้าเธอไม่ได้ทานอะไรเลย เพราะต้องออกมาจากบ้านตั้งแต่เช้า กว่าจะเสร็จเรื่องตารางงานกับพุดซ้อนก็ปาเข้าไปตั้งเที่ยงกว่าแล้วนี่ จะไม่ให้เธอหิวได้อย่างไรล่ะ

“ขอโทษค่ะ ฉันเผลอตัวไปหน่อย”

“ไม่เป็นไร เห็นคุณทานแบบนี้ผมค่อยโล่งใจหน่อย”

“ทำไมล่ะ”

“เพราะผมกลัวว่าคุณจะเครียดจัดจนทานอะไรไม่ลงน่ะสิ” ชายหนุ่มว่าแล้วยิ้มบางๆ

“ฉันน่ะเหรอ ไม่มีทางหรอก กองทัพต้องเดินด้วยท้องต่างหาก”

“ผมก็ว่ายังงั้น”

คชินทร์มองดูเธอด้วยแววตาที่เหมือนกับจะครุ่นคิดอะไรบางอย่าง รสกรเป็นผู้หญิงที่ปากกล้าและไร้เดียงสากว่าที่เขาคิดมากนัก เรียวปากสวยของเธอ เขาไม่คิดว่าจะไม่มีใครเคยจูบมาก่อน แต่นั่นเขากลับคิดผิดและกลายเป็นคนแรกที่ได้จุมพิตเธอ และมันก็หวานละมุนจนเขาอดคิดถึงไม่ได้...

“มีอะไรเหรอ” เธอมองตาด้วยแววตาสงสัย

“คุณยังไม่เคยมีแฟนเหรอ”

จู่ๆคำถามตรงไปตรงมาของเขาก็ทำให้เธอแทบสำลักอาหาร

“ถามอะไรแบบนี้เนี่ย ฉันกำลังทานอยู่นะ” เธอเอามือปิดปากคว้ากระดาษทิชชูที่เขายื่นส่งมาให้

“ขอโทษ ผมแค่อยากรู้”

“รู้แล้วจะทำอะไรได้ล่ะ” เธอเริ่มฉุน

“เปล่า ก็แค่สงสัยเท่านั้น เธอเองก็หน้าตาไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่นะ ออกจะสวยด้วยซ้ำ แต่ทำไมถึงไม่มีคนรู้ใจกับเขาสักทีล่ะ” คชินทร์มองหน้าเธอตรงๆ

“ขอโทษนะ ฉันอาจจะไม่ได้สวยเลิศเลออย่างใครเขา แต่เห็นอย่างนี้ก็มีคนเข้ามาจีบก็แล้วกัน”

“ทำไมคุณถึงไม่เลือกใครสักคนมาเป็นแฟนล่ะ”

“ไม่รู้สิ” เธอก้มหน้าก้มตาหั่นสเต็กเข้าปาก “ฉันคงไม่มีเวลาให้เขาล่ะมั้ง”

“ไม่มีเวลา หรือทำให้มันไม่มีกันแน่”

“นี่คุณ” รสกรเริ่มหงุดหงิด “จะมาสอบสวนผู้ต้องสงสัยกันหรือยังไงไม่ทราบ”

“ถ้าคุณไม่อยากตอบ ผมก็จะไม่ถามต่อ”

คำตอบของเขา เหมือนจะกลายเป็นทางตันที่ทำให้เธอถอนใจ

“ฉันไม่มีแฟนหรอก ไม่เคยคิดจะมีด้วยซ้ำ เพราะว่าฉันตั้งใจทำงานตลอด ไม่มีเวลาว่างไปโทรศัพท์หาเขา ไม่มีเวลาออกเดตด้วย แล้วทีนี้พวกผู้ชายที่เข้ามาจีบก็หนีหายกันไปหมด ไม่มีใครทนอยู่ได้เลยสักคน”

“แปลว่า...คุณทำงานจนไม่มีเวลาว่าง”

“อืม ก็ใช่”

“แล้วทำไมคุณถึงไม่แบ่งเวลาให้คนรู้ใจบ้างล่ะ”

“จะมีได้ยังไง ฉันมัวแต่ทำงาน กลับก็ดึกแล้วจะแบ่งเวลาไปให้ใครกันล่ะแล้วอีกอย่างจนถึงตอนนี้...” เธอพึมพำเสียงเบา “ฉันก็ยังไม่เคยเห็นผู้ชายคนไหนที่ดีพอสำหรับฉันเลย”

คชินทร์มองดูเธอก้มหน้าก้มตาหั่นสเต็กตรงหน้า ดูเธอแล้วเขายังไม่เห็นว่าเธอเป็นผู้หญิงที่ไม่น่าคบ แต่กลับเป็นผู้หญิงที่เอาการเอางาน ทำงานหามรุ่งหามค่ำ ไม่มีเวลาคิดถึงเรื่องความรักเป็นของตัวเองเลย

“คุณยังไม่เคยมองใครเลยต่างหาก”

“รู้ได้ยังไงคะ คุณคิดแทนฉันได้ยังไง”

“ผมรู้ก็แล้วกัน”

หญิงสาวสบดวงตาสีน้ำตาลของเขา ซึ่งในยามนี้มันอบอุ่นและอ่อนโยนอย่างบอกไม่ถูก

“ขอบคุณนะคะสำหรับของขวัญวันเกิด” เธอยิ้มละไม

“ทำไมหรือ”

“เพราะมันเป็นของขวัญชิ้นแรกที่ฉันได้รับมาจากผู้ชาย ขอบคุณมากนะคะ”

ชินยิ้มบางๆ

“ไม่ต้องคิดมากหรอก ผมเต็มใจซื้อมันให้คุณ”

นักข่าวสาวยิ้มหวานพร้อมกับเอ่ยคำขอบคุณจริงใจ แม้ที่ผ่านมาเธอจะมีทัศนคติที่ไม่ค่อยดีกับเขานัก ทว่าในความเป็นจริง เขาก็เป็นคนที่มีน้ำใจมากเหมือนกัน

“เป็นของขวัญชิ้นพิเศษที่มีเจ้าของเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น...นั่นก็คือคุณ”

คำพูดสั้นๆทำให้หัวใจของหญิงสาวเต้นระรัว แก้มเนียนเปลี่ยนเป็นสีชมพูจางๆ รสกรเงยหน้าขึ้นสบตาเขาท่ามกลางหัวใจที่เต้นแรงไม่แพ้กัน

หมอหนุ่มมองดูดวงหน้างามที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มอย่างเป็นสุข ชายหนุ่มเอื้อมมือไปปัดปอยผมที่ตกลงมาระใบหน้ามนเบาๆ

“คุณคชินทร์”

แต่เขาไม่ตอบรับเสียงเรียกนั้น มีเพียงรอยยิ้มอบอุ่นที่อยู่ใกล้ๆเธอ หญิงสาวแทบไม่รู้สึกตัวเลยจนกระทั่งใบหน้าคมคายโน้มใบหน้าลงมาจนชิด ดวงตาทั้งคู่ประสานกันในระยะใกล้

“คุณเป็นคนแรกที่ผม...” น้ำเสียงของเขาแผ่วเบา...

“อ้าว นี่กอหญ้ากับคุณชินนี่นา”

เสียงใสๆที่ดังมาจากทางด้านหลังทำให้ทั้งคู่หันไปมองพร้อมกัน ร่างสูงยังเอามือวางไว้บนโต๊ะ

ข้าวฟ่างนั่นเองที่เรียกทั้งคู่ วันนี้เธอมัดผมเอียงๆไว้ด้านขวา เผยรอยยิ้มสดใส นัยน์ตาเป็นประกาย สวมชุดกระโปรงสีหวาน ดูเหมือนว่าเธอเพิ่งกลับมาจากที่อื่น และแวะมารับประทานอาหารสไตล์อิตาเลียนที่นี่ แล้วบังเอิญเห็นรสกรกับคชินทร์เข้าพอดี

“ข้าวฟ่าง” รสกรเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้มเจื่อน

“ฉันออกมาข้างนอกน่ะ พอดีวันนี้เลิกประชุมตั้งแต่ตอนบ่าย ว่าแต่กอหญ้ากับคุณชินจะไปไหนกันเหรอคะ” ข้าวฟ่างเอ่ยทักทาย

“ผมไม่ได้ไปไหนครับ พอดีออกมาทำธุระกับคุณกอหญ้าเพิ่งเสร็จ เลยแวะทานอาหารที่นี่น่ะครับ”

“พอดีเลยค่ะ ฉันก็ทำธุระเสร็จแล้วเหมือนกัน”

“แล้ววันนี้เธอไม่มีงานต่อเหรอ”

“ไม่มี แต่ถึงมีฉันก็จะเก็บไว้ทำพรุ่งนี้” ข้าวฟ่างยิ้มสดใส “คุณชินคะ พอดีว่าฉันกำลังจะไปหาเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งบ้าน คุณช่วยไปเลือกซื้อเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิคะ”

ชายหนุ่มเลิกคิ้วอย่างสงสัย ส่วนรสกรลอบชำเลืองมองไปยังเขา

“จะดีหรือครับ ผมว่าคุณน่าจะมีรสนิยมที่ดีมากกว่าผมซะอีก”

“ดีสิคะ เลือกหลายๆคนน่าจะดีกว่าเลือกคนเดียว”

นักข่าวสาวเม้มปากแน่น กะแล้วว่าเพื่อนของเธอจะต้องตอบแบบนี้

“กอหญ้าเธอไปด้วยกันนะ ว่าจะไปหาซื้อโคมไฟซักหน่อย”

“ไม่ดีกว่า เชิญเธอไปกับคุณชินเถอะ ฉันจะกลับแล้ว”

“อ้าว ทำไมรีบกลับ เป็นอะไรรึเปล่า”

“ฉันปวดหัวนิดหน่อยน่ะ ว่าจะกลับไปนอนพัก”

“ไปหาหมอไหม เดี๋ยวฉันพาไปก็ได้” ข้าวฟ่างแสดงความมีน้ำใจ แต่อีกฝ่ายส่ายหน้าปฏิเสธ

“ไม่เอาละ นอนพักเฉยๆเดี๋ยวก็หาย” รสกรตอบ สายตาชำเลืองมองไปทางคชินทร์ ดูเหมือนว่าเขาจะรู้ดีอยู่แล้วว่ากำลังถูกมองอยู่

“เดี๋ยวผมไปส่งที่บ้าน”

“อย่าเลย คุณไปกับข้าวฟ่างเถอะอย่าลืมซื้อขนมมาฝากฉันด้วยนะ”

“แต่ว่า...” ข้าวฟ่างอ้าปากจะเถียง

“เดี๋ยวฉันก็จะกลับแล้ว ไปก่อนเถอะ”

“ถ้างั้น พวกเราไปกันก่อนแล้วนะ แล้วจะซื้อของมาฝาก”

หลังจากที่โบกมือลาแล้วทั้งสองก็เดินออกไปข้างนอกทิ้งรสกรให้นั่งอยู่เงียบๆเพียงคนเดียว เธอใช้หลอดเขี่ยน้ำแข็งในแก้วน้ำตรงหน้า ในยามนี้เธอรู้สึกเหงาโดดเดี่ยวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก...น้ำตาเอ่อขึ้นมาถึงขอบตาแล้วก็ทำท่าจะรินไหลออกมาจริงๆ หญิงสาวยกมือขึ้นเช็ดขอบตา

ข้าวฟ่างกับคชินทร์ไปถึงห้างที่ขายเฟอร์นิเจอร์ ดูเธอกับเขาสนิทสนมกันมากจนใครต่อใครคิดว่าเป็นคู่รักกัน สีหน้าแววตาของคชินทร์ดูเคร่งขรึมเป็นพิเศษ

พนักงานขายที่เป็นผู้หญิงยิ้มแย้มอย่างอารมณ์ดี

“สวัสดีค่ะ มาเลือกเฟอร์นิเจอร์กันเหรอคะ”

“ค่ะ ว่าจะเอาผ้าม่านลายดอกไม้สีชมพูใหญ่ๆน่ะค่ะ”

“ทางนี้เลยค่ะ อันนี้สั่งตัดมาจากยุโรปสีสันสบายตาดีใช่ไหมคะ”

“สวยจังเลย”

“คุณผู้ชายล่ะคะชอบไหม”

พนักงานขายหันไปทางชายหนุ่มเพื่อขอความเห็น ส่วนข้าวฟ่างแก้มแดงขึ้นเล็กน้อย

“อ้อ คือฉันมาเลือกซื้อกับเพื่อนน่ะค่ะ ไม่ใช่แฟนกัน” เธอเอ่ยเบาๆ พลางชำเลืองมองไปทางคนที่มาด้วยกันที่ยืนหน้าขรึมอยู่ด้านข้าง ทำเอาพนักงานขายถึงบางอ้อ

“ตายจริง ขอโทษทีนะคะ แหม แต่คุณสองคนเหมาะสมกันจริงๆเลย” เธอหัวเราะเบาๆ “ถ้างั้นเชิญคุณเลือกกันต่อเลยนะคะ ดิฉันขอตัวไปลูกค้าทางโน้นก่อน”

“ค่ะ ฉันว่าจะลองๆซื้อกลับบ้านสักอัน”

“เชิญตามสบายนะคะ”

หลังจากที่พนักงานขายเดินไปแล้ว เธอก็หันไปหาคชินทร์พร้อมกับยิ้มให้เขา แต่ชายหนุ่มแสร้งทำเป็นมองไปที่อื่น

“ความจริงถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดีนะคะ”

“อะไรหรือ”

“ก็...เขาบอกว่าเราเหมาะสมที่จะเป็นแฟนกัน”

“พนักงานขายก็พูดไปตามเรื่อง เขาเห็นผู้ชายมากับผู้หญิงตามลำพังกันสองคน ก็ต้องคิดว่าเป็นแฟนกันอยู่แล้วล่ะ” คชินทร์พูดเสียงเรียบ

“คุณนี่ไม่รับมุกเอาเสียเลย ไปดีกว่า”

หมอหนุ่มถอนหายใจยาว ความจริงเขารู้ดีถึงความรู้สึกของข้าวฟ่าง แต่...เขาเป็นพวกนิ่งเงียบ เพราะการที่พูดอะไรเกินไปนั้นจะทำให้เสียความรู้สึกเปล่าๆ ทั้งสองเดินเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์หลากชนิด และก็ได้โคมไฟชิ้นเล็กๆกับโต๊ะตัวใหญ่ เมื่อจ่ายเงินแล้ว ข้าวฟ่างก็ให้ทางร้านจัดส่งเฟอร์นิเจอร์และข้าวของไปให้ที่บ้าน หลังจากนั้นข้าวฟ่างก็ชวนคชินทร์ไปนั่งดื่มกาแฟเพื่อเป็นการขอบคุณที่เขามาเป็นเพื่อน

เธอเลือกที่นั่งริมหน้าต่างจะได้มองเห็นถนน

“ดีจังเลยนะคะ มีเฟอร์นิเจอร์ครบครันอย่างนี้มาเดินเที่ยวเดียวได้ครบหมดทุกอย่าง ว่าแต่คุณไม่อยากซื้ออะไรเลยเหรอคะ” เธอสงสัยว่าเขาเอาแต่เดินตามเธอ แต่ไม่เห็นหยิบคว้าอะไรกลับบ้านเลยสักอย่าง

“ที่บ้านของผมมีครบแล้ว ซื้อไปแล้วก็ไม่รู้จะไปวางตรงไหน” เขาตอบแบบเรื่อยๆ

“แหม...ของใหม่มันก็ดีกว่าของเก่าแหละค่ะ”

“รอให้มันพังจนซ่อมไม่ได้ก่อน แล้วผมถึงจะซื้อใหม่”

ข้าวฟ่างหัวเราะคิกคัก

“เอาอย่างนี้ไหมคะ ถ้าคุณอยากจะซื้อใหม่ก็บอกให้ฉันไปช่วยเลือกด้วยแล้วกันนะคะ รับรองว่าคุณจะต้องชอบแน่ๆ” เธอยิ้มสดใส

“ก็ดีครับ”

“แล้ว...” ข้าวฟ่างชำเลืองมองสบสายตาสีน้ำตาล “กอหญ้าเขาไม่บ่นคุณแย่เหรอคะ”

“เขาจะบ่นผมเรื่องอะไร”

“ก็เรื่องโต๊ะเก้าอี้เก่าๆไงล่ะคะ เขาไม่อยากได้ชิ้นใหม่บ้างเหรอ”

“ถ้าเขามีเวลาคิดเรื่องอย่างนั้น กอหญ้าคงจะไปสืบข่าวที่อื่นต่อ ไม่มานั่งคอยสืบข่าวอยู่ในบ้านหลังนั้นหรอก”

ข้าวฟ่างรู้สึกผิด จริงสินะ เธอไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเพื่อนสนิทจะอยู่อย่างไร แล้วต้องเจอกับอะไรบ้าง

“ขอโทษค่ะ ฉันแค่พูดให้มันตลกเท่านั้นเอง อย่าโกรธเลยนะคะ”

“ไม่เป็นไรหรอก”

“ดีจัง” เธอยิ้มหวาน “ถ้าอย่างนั้นวันหลังพาเธอมาเที่ยวบ้างนะคะ เธอจะได้ไม่เหงา”

“ผมก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน แต่ว่า...บางทีเธออาจจะไม่มา”

“ทำไมล่ะคะ”

คชินทร์มองหน้าเธอ...

“ไม่รู้สิ เอาไว้คุณลองถามเขาเองแล้วกัน ก็คงจะได้คำตอบที่ผมไม่มีทางรู้” เขาตอบยิ้มๆ

เสียงเปิดประตูห้องดังเบาๆ ก่อนที่ชายหนุ่มจะชะงักกึกเมื่อเห็นหญิงสาวนอนหลับอยู่บนเตียงริมหน้าต่างที่เธออุตส่าห์มารอทำข่าวตั้งแต่ช่วงมืดค่ำ คชินทร์ถอนหายใจยาวเบาๆ เดินตรงไปยังรสกรที่ยังหลับสนิท ดูเธอเหมือนจะฝันหวานเพราะมีรอยยิ้มน้อยๆอยู่บนใบหน้า เส้นผมยาวสลวยเคลียแก้มเนียนใส ชายหนุ่มนั่งลงบนเตียงพลางใช้ปลายนิ้วเขี่ยเส้นผมของเธอออกเบาๆ ดวงตาสีน้ำตาลมองดูรสกร...หากว่าเป็นผู้หญิงคนอื่นจำเป็นต้องมาอยู่ในห้องของเขา คนคนนั้นก็คงจะคอยระวังตัว จนไม่นอนหลับสนิทแบบนี้แน่

นี่เขาเป็นสุภาพบุรุษหรือชายผู้โง่เง่ากันแน่นะ...

“กอหญ้าคุณตื่นอยู่หรือเปล่า” คชินทร์เอ่ยเบาๆ ขยับเข้าไปใกล้เธอ

หญิงสาวยังคงหลับสนิท ดูเธอไว้ใจเขามาก...มากจนทำให้คชินทร์ถอนใจ แน่ละ ถึงเธอจะไว้ใจเขามาก แต่เขาก็เป็นผู้ชายทั้งแท่งนะ จะไม่ให้รู้สึกหวั่นไหวได้ยังไงกัน

“นอนหลับแบบนี้ คงจะได้ข่าวหรอกนะ ต่อให้เอาช้างมาฉุดคงยังไม่ตื่นเลย”

รสกรหลับสนิทราวกับเจ้าหญิงนิทรา คชินทร์มองดูเส้นผมของเธอ แก้มใสและเรียวปากละมุน ใบหน้าคมคายโน้มเข้าไปใกล้ในขณะที่ปลายนิ้วเขี่ยเส้นผมของเธอออกจากใบหน้า จมูกโด่งจรดแก้มใสแผ่วบาง แค่เอื้อมก็จะถึงริมฝีปากเอิบอิ่ม...

“ชิน...คนบ้า...”

“อะไรนะ” ชายหนุ่มขมวดคิ้ว “คุณพูดว่าอะไรนะ”

“คนเลว ทีไปกับเพื่อนฉัน...ทำเป็นฟอร์มจัด” เธองึมงำฟังไม่ได้ศัพท์ แต่นั่นก็มากพอที่จะทำให้ชินบีบจมูกของเธอจนกระทั่งเธอร้อง แล้วลุกขึ้นมากุมจมูกป้อยๆ

“เจ็บนะ ทำอะไรน่ะ”

“ผมต่างหากที่จะถามคุณว่าเมื่อกี้คุณพูดว่าอะไร” เขาเอ่ยเสียงดังฟังชัด หญิงสาวหันไปมองรอบกายแล้วเห็นว่าทั้งห้องตกอยู่ในความมืดสลัว

“คุณชิน คุณกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะ”

“กลับมาเมื่อกี้ แล้วก็ได้เห็นคุณนอนหลับแบบต่อให้โจรเข้าบ้านก็ไม่ตื่น”

“ตายจริง ฉันเผลอหลับไปเหรอนี่”

หญิงสาวทำท่าจะลุกแล้วเดินกลับไปที่ห้อง แต่คชินทร์ไวกว่า เขาคว้าต้นแขนเรียวบางไว้แน่น

“เมื่อกี้คุณพูดว่าอะไร”

“อะไรเหรอ”

“ก็เมื่อกี้คุณพูดว่าผมมันเลว ทีไปกับเพื่อนคุณ...ทำเป็นฟอร์มจัด” น้ำเสียงของเขาเข้มจัด ทำเอารสกรกะพริบตาถี่ ๆ

เธอไม่เห็นจะจำได้เลย

*******************




เบลินญา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 ก.พ. 2557, 11:14:54 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 ก.พ. 2557, 11:14:54 น.

จำนวนการเข้าชม : 1431





<< ตอนที่ ๑๐ ใจเต้นไม่เป็นจังหวะ   ตอนที่ ๑๒ ความฝันหรือความจริง >>
เบลินญา 5 ก.พ. 2557, 11:20:14 น.
lookpud >>> ^_^

zephyr >>> ใช่แล้วค่ะ น้ำค้างน่าสงสารจริิง ๆ


Zephyr 7 ก.พ. 2557, 02:03:32 น.
หมั่นไส้ยายหญ้ามากๆค่ะ นิสัยไม่น่ารักเลยอ่ะ
ยายข้าวฟ่างนี่จะเป็นเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดมั้ยนะ ชักกลัวใจ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account