ดวงใจอธิษฐาน ซีรีส์ชุด รอยรักข้ามกาลเวลา
คำอธิษฐานก่อนตายของเธอ ส่งผลมาทุกภพทุกชาติ และไม่ว่าชาติไหนเธอก็ยังเกลียดผู้ชายคนนี้สุดหัวใจ
Tags: ลินิน สาริน พีเรียเ อรุณ

ตอน: ตอนที่ 2 50%

ท่ามกลางหมอกควันขมุกขมัวภายในเรือนไม้หลังใหญ่แบบไทยโบราณแท้สมัยอยุธยาตอนปลายรูปทรงงดงามชวนฝัน ตัวเรือนเป็นแบบทรงสูงตั้งเด่นตระหง่านอยู่ใกล้ริมน้ำ มีต้นตะขบขึ้นอยู่ใกล้ท่าน้ำส่วนตัว กิ่งก้านสาขาให้ร่มเงาร่มรื่นในยามร้อนแดด
กิ่งและใบเสียดสีกันไปมาตามแรงลมในยามค่ำคืนทำให้แสงจันทร์ที่ทอลอดลงมาดูวับแวมจับเป็นเงาสลัวไปยังใบหน้านวลกระจ่างของสตรีสาวที่นั่งอิงแอบปรนนิบัติพัดวีบุรุษหนุ่มร่างกำยำอยู่ภายในศาลาท่าน้ำ
หญิงสาวสบสายตาวาวหวานที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักใคร่ภักดีให้กับชายหนุ่มรูปงามในชุดผ้าป่านคอกลมแบบสวมใส่สบายที่เอื้อมมือมาเชยคางสาวเจ้าให้ขึ้นมาสบสายตาด้วย
“เปลวเอ็งช่างงามนัก” ชายผู้ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีเอ่ยชมทำให้สาวน้อยวัยสิบแปดเกิดอาการขวยเขิน แม้ว่าหมื่นกล้ากับเธอจะผ่านการร่วมเกียงเคียงหมอนกันมาแล้วก็ตาม
หญิงสาวก้มหน้างุดมองพื้น หัวใจเต้นแรงเมื่อใบหน้าคร้ามคมเข้มกำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้
“ย..อย่าเจ้าค่ะ หมื่นกล้า” เปลวยันฝ่ามือเล็กเรียวเข้ากับอกแกร่งแข็งแรง เจ้าของอ้อมกอดที่กกกอดเธออยู่ทุกคืนวันทว่าเพียงในฐานะเมียบ่าว
“ทำไมล่ะ” ปากถามแต่ไม่หยุดใบหน้าที่เคลื่อนเข้าหา ตอนนี้จมูกคมฝังมาบนพวงแก้มนวลปลั่งไปด้วยเลือดฝาดของวัยแรกสาว
“ประเดี๋ยวใครมาเห็นเข้าเจ้าค่ะ”
“จะเป็นไรไป นี่มันเรือนของข้า อีกอย่างเอ็งก็เป็นเมียข้า ใครที่ไหนจะว่าอย่างไรก็ช่างหัว” ชายหนุ่มมองจับใบหน้างดงามของผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเมียอย่างหลงใหล
เขารักมัน…
นางทาสในเรือนเบี้ยผู้นี้เห็นมาตั้งแต่มันยังวิ่งเล่นแก้ผ้าอาบน้ำคลองจนโตเป็นสาว ใครเล่าจะคิดว่าสุดท้ายแล้วเขาจะตกหลุมรักเปลวอย่างถอนตัวไม่ขึ้น ถึงขั้นยอมผิดใจกับแม่เพื่อมัน
“พ่อกล้า คงเห็นว่าตัวเองโตเป็นหนุ่มใหญ่มีหน้าที่การงานมียศมีศักดิ์แล้วจะทำอะไรโดยไม่เห็นแก่หน้าแม่ได้อย่างนั้นหรือ” คุณหญิงพะยอมเสียงแข็ง ดวงตาคมดุแข็งกร้าวเมื่อผู้เป็นลูกชายเกิดอยากได้ตัวนางทาสในเรือนเบี้ยอย่างเปลวขึ้นมา
นึกอยู่แล้วเชียวว่าจะเกิดเรื่องไม่งามอย่างนี้ขึ้น เพราะหน้าตาผิวพรรณของเปลวผิดไปจากทาสคนอื่นๆ วัยก็แรกสาวกำดัด มัวแต่ระแวงผัวตัวเองแต่กลับไม่ทันระแวงหมื่นกล้า เพราะเห็นเป็นเพื่อนเล่นกันมาแต่เด็กคงไม่คิดอะไร เคยคิดไปทาบทามมะยง ธิดาคนเล็กของพระยาพลเทพ แต่ก็มัวแต่รีรอเพราะเห็นว่าเด็กมันยังไม่ทันรู้จักกัน แต่ใครเล่าจะคิดว่าจะสายเกินไป
วัวหายแล้วล้อมคอก…
ไม่คิดเลยว่าสุภาษิตนี้จะรู้ซึ้งกันในคราวนี้เอง หมื่นกล้าเป็นลูกชายคนเล็ก คุณหญิงเองก็ส่งไปอยู่กับพระยาสุรเดชเดชาผู้เป็นลุงอยู่หัวเมือง นานๆ ทีได้กลับมาบ้าน แล้วไปรักชอบกันตอนไหนก็ยังไม่รู้ จู่ๆ ก็เข้ามาพินอบพิเทาแม่แล้วแจ้งความประสงค์จะรับเอานางทาสในเรือนเบี้ยมาเป็นเมีย
เมียออกหน้าไม่ใช่เมียบ่าว แล้วอย่างนี้ใครจะไปรับได้ คุณหญิงพะยอม มีสามีเป็นถึงพระน้ำพระยา ลูกชายคนเล็กอายุเพิ่งยี่สิบก็ได้เป็นถึงหมื่น
ใครๆ ก็ว่าคุณหญิงโชคดีมีวาสนา มีลูกชายสองคนก็มียศมีตำแหน่ง แต่กลับจะมาตกม้าตายเอาในตอนท้ายได้ลูกสะใภ้เป็นแค่นางทาสในเรือนเบี้ย คนคงได้นินทากันไปสามคุ้งสี่คุ้ง
“คุณแม่ขอรับ ได้โปรดเห็นใจ กระผมรักเปลวจริงๆ เรารักกัน” ชายหนุ่มบอกจริงจัง หัวใจคนหนุ่มยามรัก ความรักมันอัดแน่นคับอก ยากนักที่ใครจะทัดทานได้
“รัก! อย่าพูดอย่างนี้ให้แม่ได้ยินอีกเชียวนะพ่อกล้า ใครได้ยินเข้าจะได้นินทาไปทั่วเรือน” คุณหญิงมองดุ นานแล้วที่ไม่ได้ดุลูกชายคนเล็กผู้เปรียบเสมือนแก้วตาดวงใจอย่างนี้ แต่เห็นทีคราวนี้คงจะทนนิ่งเฉยไม่ได้ ดีเท่าไหร่แล้วที่เพิ่งมาบอกข่าวเอากับแม่ ไม่ได้แจ้นไปบอกพระยาวิชิตชัยผู้เป็นบิดาเข้าเสียก่อน
“นินทาเรื่องอะไรกันขอรับคุณแม่”
“หึ…ยังจะทำมาพูดดี ตัวเป็นถึงหมื่น อนาคตทางราชการยังอีกยาวไกลแต่กลับจะเอานังเปลวมาเป็นเมีย รู้ถึงไหนขายหน้าเขาถึงนั่น”
“แต่กระผมรั…”
“รักกับหลงมันไม่เหมือนกันหรอกนะพ่อกล้า เอาอย่างนี้วันพรุ่งแม่จะไปพบคุณหญิงศรีทอง จะได้พูดกันให้เป็นเรื่องเป็นราวเสียทีเรื่องแม่มะยง”
“แม่มะยง? ใครขอรับคุณแม่ แล้วเกี่ยวอะไรกับกระผม”
“แม่มะยง ลูกสาวคุณหญิงศรีทองกับพระยาพลเทพ เขาว่างามนัก เป็นกุลสตรีทุกกระเบียดนิ้ว เป็นชาวรั้วชาววัง ใครๆ ก็อยากเป็นดองด้วยกันทั้งนั้น บ้านเขาอยู่แถวประตูไชย” คุณหญิงเริ่มเรื่องด้วยสุ้มเสียงจริงจังทว่าลูกชายคนเดียวส่ายหน้าดิก
“ไม่ขอรับ ได้โปรดอย่าฝืนใจลูก หัวใจของกระผมยกให้เปลวไปหมดแล้ว คงไม่อาจเผื่อแผ่ไปให้ผู้หญิงคนไหนได้อีก” หมื่นกล้าบอกชัดถ้อยชัดคำ เห็นจะเป็นครั้งแรกอีกเช่นกันที่กล้าขัดคำสั่งแม่อย่างนี้
“พ่อกล้า!”
“กระผมรักเปลว หากไม่ได้แต่งงานกับเปลวแล้วก็คงไม่คิดมีเรือน”
“ว่าไงนะ” คุณหญิงผุดลุกขึ้น ซวนเซจนนังบ่าวคนสนิทต้องถลามารับร่าง
“คุณแม่” ชายหนุ่มอุทานลั่น
แล้วภาพก็ขมุกขมัวไปด้วยหมอกควันตามเดิม พร้อมกันนั้นเสียงนาฬิกาปลุกบนหัวเตียงก็กรีดร้องก้องขึ้นปลุกให้คนนอนหลับตกใจตื่น เหงื่อยังพราวไปทั่ววงหน้า ทั้งที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำ
หญิงสาวนอนลืมตาโพลงบนเตียง ปล่อยให้นาฬิกาปลุกแผดเสียงวนอยู่หลายรอบ เพราะมัวแต่คิดถึงความฝันเหมือนจริงเมื่อคืน ความฝันที่ดูราวกับละครฉากหนึ่งที่มีตัวเองเป็นผู้แสดงร่วมกับ…ผู้ชายคนนั้น
และนางทาสสาวคนนั้นช่างมีใบหน้าละม้ายคล้ายเธอเหลือเกิน
เมื่อครั้งยังเด็ก กัณฐิกาจำได้ว่าตัวเองเคยฝันอย่างนี้ครั้งหนึ่งหลังตกต้นมะยมที่ปลูกเอาไว้หลังบ้าน ต้นสูงจากพื้นราวๆ สามเมตร ศีรษะของเธอกระแทกกับพื้นจนสลบไป หลับไปหนึ่งคืนเต็มๆ
และในขณะที่หมดสติเธอก็เห็นภาพ แต่เป็นภาพเด็กหญิงร่างเล็กผิวคล้ำเพราะวิ่งเล่นตากแดดสวมเสื้อคอกระเช้าเก่าๆ ที่มีรอยปะอยู่ตรงเอวด้านขวาเพราะเล่นซนจนมันเกี่ยวกับกิ่งต้นน้อยหน่า โจงกระเบนสีเปลือกมังคุดแต่เดิมมอซอด้วยคราบดินเหนียว ในกลุ่มนั้นมีทั้งเด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชายอยู่หลายคน ส่งเสียงเจื้อยแจ้วชวนหนวกหู ดังไปจนถึงในครัวที่คนหลายคนกำลังวุ่นวายกันอยู่
“นังเปลว!”
เสียงแผดดังขึ้นพร้อมไม้ก้านมะยมในมือของสตรีร่างท้วมผิวคล้ำและหยาบกร้านจากการกรำงานหนักมาชั่วชีวิต ดวงตาสีดำสนิทละม้ายผู้เป็นลูกสาววัยกำลังซนจับจ้องไปยังร่างเล็กที่ยังกระโดดโลดเต้นจนผมที่เกล้ารัดด้วยพวงมาลัยมะลิสดเสียบด้วยปิ่นไม้โอนเอนไปมา
เสียงนั้นทำให้ชีวิตเล็กๆ ทั้งหมดหยุดกิจกรรมลงไปทันควัน สตรีร่างท้วมก้าวฉับๆ มาเร็วจนเด็กหญิงวิ่งหนีไม่ทัน เพราะมือกร้านคว้าหางโจงกระเบนเอาไว้ได้
“นังเปลว เอ็งจะไปไหน”
“ไปทุ่งจ้ะแม่ ฉันปวดท้องหนักจะแย่” เด็กหญิงเปลว ช่างพูดช่างฉอเลาะฉลาดเจรจาทำโอดครวญ มือก็กุมท้องร้องโอดโอยไปด้วย
“หน็อย…ไม่ต้องมาหลอกข้า เล่นมาตั้งนานไม่ปวด เกิดอยากจะไปทุ่งเอาตอนนี้”
“ฉันปวดจริงๆ นะจ๊ะแม่ ถ้าไม่ได้ไปตอนนี้มีหวังมันราดตรงนี้แน่ๆ แล้วแม่เองนั่นแหละจะโดนคุณหญิงเอ็ดเอาโทษฐานไม่สั่งสอนลูก” เด็กหญิงว่าขึ้น ผู้เป็นแม่ละล้าละลัง เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งแต่ก็เกรงว่าหากลูกสาวขี้แตกเรี่ยราดแถวนี้จะพลอยโดนเฆี่ยนหลังลายกันทั้งแม่ทั้งลูก
คุณหญิงพะยอมรักความสะอาดและเจ้าระเบียบ ปกครองคนในบ้านเฉียบขาดจนเป็นที่ยำเกรง และอาจจะมากกว่าเกรงพระยาวิชิตชัยเสียด้วยซ้ำ
“เออ รีบไปแล้วรีบกลับมา”
“จ้ะแม่” เด็กหญิงหน้าระรื่น หมุนตัวจะออกไปทว่าผู้เป็นแม่กระตุกหางโจงกระเบนเอาไว้ทำให้หวิดจะหงายเงิบลงมาวัดพื้น จึงทำหน้ายุ่ง
“อะไรอีกละแม่ ฉันปวดท้องจะแย่”
“ขากลับแวะเก็บดอกโสนมาด้วยนะ จะเอาไปให้นังน้อมมันแกงส้มให้คุณท่าน”
“จ้ะแม่” เปลวหน้าระรื่นยิ่งกว่าเดิม เพราะให้ไปเก็บดอกโสนก็เหมือนกับได้เที่ยวเล่น เถลโน่นไถลนี่ไปก่อนค่อยแวะเก็บก็ยังได้ทว่าคนเป็นแม่ดักคอ
“ให้ไปเก็บดอกโสน ถ้ามาช้าละก็น่าชม”
“เฮ้อ…รู้ทันฉันอีกแล้ว” เปลวตีหน้าเศร้าเดินค้อมตัวผ่านหน้าแม่เชื่องช้าเรียบร้อยแต่พอพ้นหน้าเท่านั้นก็ยักคิ้วให้เพื่อนร่วมขบวนการเล่นซน ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวกันเข้าอีกทำให้เรือที่เด็กชายร่างสูงเพราะจวนจะเข้าสู่วัยหนุ่มต้องชะลอเพื่อมองตามแผ่นหลังเล็กๆ ไปแล้วสั่งให้ฝีพายประจำเรือน ลาไม้พายลงเบนหัวเรือเข้ามาจอดเทียบท่าเรือ
“ใครน่ะพี่ชด”
“นังเปลวไงขอรับ คุณกล้าไปอยู่เรือนพระยาสีหราชเสียนานคงจะจำมันไม่ได้”
“ลูกสาวนังสร้อยนะหรือ ท่าทางมันซนไม่เบา แต่ก่อนฉันก็เคยวิ่งเล่นกับมัน เผลอแผล็บเดียวตัวสูงขึ้นเป็นกอง ครู่นี้ได้ยินแต่เสียงกับแผ่นหลัง มองไม่เห็นตัว”
“มันจะสิบขวบแล้วขอรับ แต่มันก็ยังซนเป็นลิงเป็นค่างเหมือนเดิม นังสร้อยแม่มันขู่จะเฆี่ยนเสียก็หลายหนแต่ไม่เคยทำดังปากว่าเสียที คราวนี้นังเปลวมันก็เลยรู้แกวไม่กลัวแม่มัน” นายชดหัวเราะขึ้น เมื่อเปลวกับลูกสมุนวิ่งลัดเลาะดงกล้วยที่ขึ้นแน่นขนัดไปทางหลังเรือนแล้วยังได้ยินเสียง ยังดีที่ตรงนี้ไม่ได้อยู่ใกล้เรือนใหญ่ที่คุณหญิงพำนักอยู่ ไม่อย่างนั้นเห็นจะหลังลายกันบ้าง
เด็กชายร่างสูงวัยสิบสามปีทว่าสูงสง่าเหมือนผู้เป็นพี่ชายมองจับไปยังทิศทางของดงกล้วย รอยยิ้มเกลื่อนบนใบหน้า

ในคราวนี้กัณฐิกากำลังสับสนว้าวุ่นเพราะเอาความฝันทั้งสองครั้งมาเชื่อมโยงกัน ผู้หญิงคนนั้นชื่อเปลว เด็กหญิงคนนั้นก็ชื่อเปลวแล้วไหนจะลูกชายเรือนหลังใหญ่งดงามนั่นอีกล่ะ จู่ๆ ทำไมเธอฝันถึงพวกเขา หรือว่าเธอจะเคยเกิดในยุคสมัยนั้นเสียก็ไม่รู้
“บ้าน่า” เหยี่ยวข่าวสาวปัดความคิดฟุ้งซ่านให้ออกไปแล้วให้เหตุผลกับตัวเองใหม่ ว่าสาเหตุคงเนื่องมาจากสมัยก่อนเธอชอบอ่านนวนิยายแนวพีเรียดภพชาติจนเก็บเอาไปฝัน พอโตมาหน่อยก็เกิดชอบของโบราณเข้าเสียอีก เมื่อทุกอย่างประกบรวมกันจึงได้เก็บไปฝันเป็นตุเป็นตะ
คิดได้อย่างนั้นจึงหยัดกายลุกขึ้น เอื้อมมือมาปิดเสียงนาฬิกา วันนี้ตั้งใจจะแวะเวียนไปที่ร้านขายของเก่าของคุณปู่สุนทร นานแล้วที่ไม่ได้ไปพบ
หญิงสาวหายเข้าไปในห้องน้ำครู่หนึ่งก็ออกมา นิ้วเรียวไล่แตะเสื้อผ้าที่แขวนอยู่ในตู้เพียงไม่กี่ชุดก็ได้กางเกงยีนขายาวแบบเอี๊ยมกับเสื้อกล้ามสีขาวครีมมา ผมยาวสลวยถักไขว้เป็นเปียไว้ด้านหลังแล้วตลบมาขมวดเป็นปมด้วยกิ๊บสีดำ เปิดใบหน้าสวยใสอ่อนเยาว์ แตะแค่แป้งเด็กและลิปกล็อสเท่านั้นก็เพียงพอ
กัณฐิกามีพาหนะเป็นมอเตอร์ไซค์ยี่ห้อฟีโน่สีชมพูแป๊ดคู่ใจสำหรับขับขี่ไปทำงาน ทว่าในยามเร่งด่วนที่ต้องใช้ความฉับไวมักจะอาศัยมอเตอร์ไซค์รับจ้างหรือไม่ก็รถของมิรันตีกับเผ่าพงศ์ เพื่อนสนิทแนบแน่นของเธอตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยด้วยกัน
เพราะความเหงาเธอจึงโทรหาเพื่อนรักทั้งสองที่พอรู้ว่าเธอจะไปร้านขายของเก่าก็ปฏิเสธแบบไม่ต้องเสียเวลาหยุดคิดกันทั้งสองคน
“ไม่เอาย่ะ”
“นี่…ไม่ต้องรีบปฏิเสธรวดเร็วขนาดนั้นก็ได้ จะไปกับแฟนก็บอกมาเถอะ” กัณฐิกาคาดเดาเอาไว้อยู่แล้วว่าแม่เพื่อนรักคงมีนัดกับคนรักที่เพิ่งคบหากันมาปีกว่า แต่ก็โทรหาไปอย่างนั้นเอง ก็บอกแล้วว่าคนมันเหงา แค่อยากมีใครนั่งรถไปเป็นเพื่อน ยามเห็นข้าวของถูกใจก็พอให้มีคนชวนคุยถามนั่นถามนี่
“ถึงไม่ไปกับพี่ก้องฉันก็ไม่ไปหรอกย่ะ แค่ครั้งเดียวก็เกินพอ อะไรก็ไม่รู้น่ากลัวจะตาย ของเก่าแก่เป็นสิบเป็นร้อยปี มีผีสิงอยู่ในนั้นหรือเปล่าก็ไม่รู้ เธอละก็ชอบเข้าไปได้”
“ผีเผอมีที่ไหนกันเล่า กลัวไม่เข้าเรื่องอยู่ได้ ของเก่าที่ร้านคุณปู่สุนทรมีคุณค่าทั้งนั้น ยิ่งเก่าก็ยิ่งน่าสะสม ไม่รู้ว่ากระจกโบราณอันนั้นขายไปหรือยัง จะตัดใจซื้อก็กลัวจะไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าห้อง แพงเหมือนกัน” คนพูดถอนหายใจทำให้มิรันตียิ่งหมั่นไส้
ครอบครัวของกัณฐิกามีฐานะพอใช้ ทำกิจการค้าขาย หากเดือนไหนเงินไม่พอใช้มีหรือแม่จะไม่รีบส่งมาให้ แต่เจ้าตัวเห็นว่าตัวเองเรียนจบแล้วจึงไม่อยากเป็นภาระของแม่ ต้องการยืนหยัดด้วยตัวเอง พิสูจน์ให้ท่านเห็นว่าอาชีพนักข่าวก็เลี้ยงตัวเองได้
“ระวังเถอะย่ะจะถูกดูดเข้าไปในกระจกเหมือนแม่มณี” คนเป็นเพื่อนขู่ขึ้นแต่กัณฐิกาหัวเราะเสียงใส ไม่มีทีท่าหวาดกลัวตามคำขู่
“ดีสิ จะได้ไปพบคุณหลวงของฉันที่นั่น จู่ๆ ได้ย้อนเวลากลับไปในอดีต น่าตื่นเต้นดีจะตาย”
“สาธุ ขอให้ถูกดูดไปจริงๆ เถอะ”
“เธอไม่ห่วงฉันเลยเหรอ ฉันน้อยใจแล้วนะ เกิดหายไปในกระจกจริงๆ จะทำยังไง” กัณฐิกาแสร้งทำเสียงเครือเพราะรู้อยู่แล้วว่าเพื่อนเพียงแค่เย้าเล่น
หญิงสาวเอียงคอแนบโทรศัพท์ให้ติดกับใบหู เพราะมือทั้งสองข้างสาละวนกับการทาแยมลงบนแผ่นขนมปังแล้วรินนมสดลงในแก้ว กินไปคุยไปเพราะสายมากกว่านี้แดดจะร้อน
“ห่วงสิยะ แต่เห็นหลงใหลของเก่านักก็เลยอยากให้กระจกมันดูดเข้าไปซะให้เข็ด อยากรู้เหมือนกันว่าถ้าเข้าไปเจอคุณหลวงแก่งั่กอายุเป็นร้อยปีจะเป็นอย่างไร เข็ดแล้วจะได้ดึงตัวเองมายังโลกปัจจุบันซักที” มิรันตีว่าอย่างหมั่นไส้ ไปหากัณฐิกาที่ห้องทีไร รู้สึกเหมือนตัวเองได้ย้อนเข้าไปในเมืองโบราณเสียทุกที
นับตั้งแต่เปิดประตูเข้าไป ภายในคอนโดขนาดกลางของกัณฐิกาคือพรมเช็ดเท้าหนังเสือเทียม ตามฝาผนังสีขาวครีมโทนสว่างแขวนไว้ด้วยศัตราวุธต่างๆ ทั้งมีด หอก ดาบ ช่างขัดกับหน้าตาแสนหวานของเจ้าของห้องเหลือเกิน ถัดมาคือเตียงสี่เสาขนาดกว้างนอนได้สองคน ขึงตึงด้วยมุ้งเย็บชายด้วยผ้าลูกไม้ ด้านข้างของเตียงคือตู้เก็บหนังสือขนาดเล็กทำจากไม้มะเกลือที่เจ้าตัวยืนยันว่าเป็นของเก่าแท้อายุกว่าร้อยปี ด้านบนวางอ่างแก้วที่เธอลืมถามว่าของเก่าหรือของใหม่แต่ลวดลายก็สวยงามแปลกตา
เรื่องเที่ยวเรื่องกินกัณฐิกาประหยัดจนเพื่อนๆ เรียกว่าแม่ทะเล แต่กับพวกของเก่าไม่ว่าราคาจะแพงแค่ไหนเจ้าตัวก็กัดฟันเก็บเงินซื้อหามาจนได้
“อายุเป็นร้อยปีก็ดีสิ ฉันก็จะได้เป็นคุณหญิงยังสาว มีสมบัติพัสถานมากมายและไม่แน่ว่าฉันอาจจะกลายเป็นบรรพบุรุษของเธอก็ได้”
“เพ้อเจ้อจริงๆ เลยเธอนี่ ตกลงจะไปจริงๆ ใช่ไหม เปลี่ยนใจเถอะน่า นานๆ ได้หยุดทีมากินข้าวกับฉันที่ห้องดีกว่า” มิรันตีเอ่ยชวนอย่างหวังดีทว่าคนเป็นเพื่อนย่นจมูก
“ไม่เอาละย่ะ ไม่อยากไปนั่งเป็นก้าง เดี๋ยวติดคอแฟนเธอเข้าจะพลอยกินอะไรไม่ลง ไปชวนไอ้เผ่าก็ได้” หญิงสาวตัดบทแล้ววางสายทว่าเพื่อนรักอีกคนมีนัดกับหญิงคนรักเสียแล้ว กัณฐิกาจึงต้องบินเดี่ยวขับฟีโน่สีชมพูแป๊ดของตัวเองไปยังร้านขายของเก่าเจ้าประจำที่บางครั้งบางคราเธอไปขลุกอยู่ได้เป็นวันๆ เสียดายที่พิมลมาสไม่ว่าง ไม่อย่างนั้นจะได้ชวนไปด้วยกัน ได้ข่าวว่าคุณปู่สุนทรไม่สบายอีกแล้วแต่ยังไม่มีโอกาสได้ไปเยี่ยมเยียน ได้แต่ถามข่าวคราวจากญาติผู้น้อง ท่านเองก็อายุมากแล้วจึงเป็นธรรมดาที่เกิดอาการป่วยกระเสาะกระแสะเดี๋ยวหายเดี๋ยวเป็น
หญิงสาวสวมหมวกกันน็อกเรียบร้อยแล้วจึงขับรถออกไปบนท้องถนนที่จอแจไปด้วยรถรา เลี้ยวซอกซอนอย่างคล่องแคล่วว่องไวอันเป็นความสามารถส่วนตัวของคนอาชีพเช่นเธอที่ต้องไปถึงที่หมายให้ได้เร็วที่สุด ไม่อย่างนั้นก็ไม่ได้ข่าวอย่างที่ต้องการ
เหยี่ยวข่าวสาวขับรถเลี้ยวไปยังถนนสายเล็กที่เรียงรายไปด้วยร้านค้าต่างๆ สุดซอยจึงมองเห็นเรือนไม้ขนาดสองชั้นทาสีเขียว ด้านหน้ามีต้นไม้ใหญ่ขึ้นเป็นแนวและไม้ดอกไม้ประดับขึ้นเกือบเต็มพื้นที่ บานประตูทาสีเดียวกับตัวตึกเปิดแง้มเอาไว้เพียงเล็กน้อย
หญิงสาวจอดรถไว้ใต้ร่มไม้แล้วเดินไปตามทางเดิน เมื่อผลักบานประตูเข้าไปเสียงกระดิ่งอันคุ้นเคยก็ดังขึ้น ดูเหมือนลุงอานนท์ ลูกชายของปู่สุนทรจะติดพันลูกค้าอยู่ กัณฐิกาจึงเดินเตร่ไปดูสินค้าภายในร้าน สิ่งแรกที่มองหาก็คือกระจกบานเก่าที่เธอหมายตาเอาไว้เมื่อสองเดือนก่อน ทำหน้าเสียเมื่อไม่พบ
ลุงอานนท์เงยหน้าขึ้นมาจากเคาน์เตอร์ หลังลูกค้าชายชำระเงินเสร็จ กัณฐิกาหุบยิ้มที่กำลังส่งไปให้ชายเจ้าของร้านเมื่อเห็นหน้าผู้ชายคนนั้น ในขณะที่เขาเปิดรอยยิ้มกว้างขวาง กว้างจนน่าหมั่นไส้
“คุณ!” สุ้มเสียงของเขาดูยินดีระคนตื่นเต้นถึงขีดสุด ประกายตาไหวระริกราวกับเด็กได้รับของขวัญถูกใจจากผู้ปกครอง
กัณฐิกาจำเขาได้ ผู้ชายที่เข้ามารบกวนจนทำให้เธอเก็บเอาไปฝันเป็นตุเป็นตะ ทว่ายังวางหน้าเฉย พยายามที่สุดที่จะไม่ให้เกิดร่องรอยจดจำได้บนดวงตาคู่สวย
“คุณจำผมไม่ได้หรือครับ” เอกลิขิตขยับเข้าหาแต่หญิงสาวขยับถอยห่างแล้วส่ายหน้า
“จำไม่ได้ค่ะ”
ใบหน้าระรื่นเมื่อครู่สลดลงทันตาพลอยทำให้คนประกาศชัดแจ้งว่าจำไม่ได้รู้สึกผิดแต่ก็มองเมินหันไปยกมือไหว้ทักทายเจ้าของร้าน
“ไม่ได้เจอกันนานนะหนูกัณ”
“กัณ…” เอกลิขิตพึมพำ อย่างน้อยการที่อุตส่าห์ดั้นด้นหาของขวัญวันเกิดให้แม่มาไกลถึงนี่ก็ไม่เสียเที่ยว นอกจากจะได้พบนางในฝันแล้วก็ยังได้รู้ชื่อเธอ ท่าทางหญิงสาวสนิทกับเจ้าของร้านมากเสียด้วย เห็นทีต่อจากนี้ไปจะต้องหัดชอบของเก่าตามแม่เสียด้วย
“กัณแวะมาเยี่ยมคุณปู่ค่ะ แล้วก็อยากมาดูกระจกบานนั้นด้วย แต่…” กัณฐิกากวาดสายตามองไปรอบร้านอีกครั้งทว่ายังไม่เห็นกระจกบานใหญ่ทำจากไม้สักทองแกะสลักลวดลายดอกบัวหลวง เป็นของเก่าแก่อายุไม่น่าจะต่ำกว่าร้อยห้าสิบปี เธอถูกตาต้องใจมันตั้งแต่แรกเห็นทว่ายังไม่ตัดสินใจซื้อเพราะทางร้านตั้งราคาไว้ถึงเก้าพันบาท มันมากสำหรับคนเงินเดือนน้อยอย่างเธอ
“อ้อ…ขอโทษจริงๆ หนูกัณลุงขายไปแล้ว” ลุงอานนท์บอกทำให้หญิงสาวถอนหายใจ ถึงว่าเมื่อเช้าตาขวาเธอกระตุกยิกๆ ที่แท้ก็ได้รับข่าวร้ายนี่เอง เธอกำลังตั้งใจเก็บเงินอยู่เชียวได้มาห้าพันกะว่าสิ้นเดือนนี้จะขอจับจองเป็นเจ้าของแน่ๆ แต่ก็มีคนชิงตัดไปอย่างน่าเสียดาย
“หรือคะ” สุ้มเสียงเหยี่ยวข่าวสาวชักเครือ ตอนแรกก็ทำใจไว้อยู่แล้วว่าของสวยๆ แบบนั้นใครที่รักของเก่าก็ต้องอยากได้ หากเธอมาไม่ทันก็ถือว่าตัวเองไม่คู่ควรจะได้ครอบครองทว่าเอาเข้าจริงก็รู้สึกใจหาย เสียดายราวกับได้ทำของรักของหวงหายไป “นานแล้วหรือคะ”
“ไม่ถึงห้านาทีนี่ล่ะ” ลุงอานนท์ตอบแล้วหัวเราะเมื่อเห็นหญิงสาวครางออกมาดังๆ
“โธ่…ใครกันนะ มาตัดหน้ากัณไปซะได้”
“ก็คนข้างหลังหนูนั่นยังไงล่ะ” ลูกชายเจ้าของร้านบุ้ยปากไปข้างหลัง หญิงสาวเลิกคิ้ว หันขวับก็เจอหน้าผู้ชายที่ไม่อยากเห็นทั้งในชีวิตจริงและความฝันที่ยังคงยืนยิ้มเผล่ไม่ไปไหน ทั้งที่เธอคิดว่าเขาจะออกไปจากร้านแล้วนับตั้งแต่ที่เธอบอกไปว่าไม่รู้จัก
กัณฐิกาเลิกคิ้ว เห็นเด็กในร้านยกกระจกที่แพ็กห่อด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์อย่างดีออกไปไว้หลังรถกระบะของเขาก็มองตามตาปรอย
เอกลิขิตมองตามแล้วยิ้มออก เพราะคราวนี้เขาตามหาเรื่องที่จะคุยกับเธอได้แล้ว
“คุณอยากได้หรือครับ ถ้าอยากได้….”
“เปล่าค่ะ แค่ถามถึงไม่ได้อยากได้” หญิงสาวตอบปฏิเสธทันควันทำให้รอยยิ้มกว้างๆ นั้นหุบลงในทันทีทว่าไม่ยอมแพ้
“แต่ถ้าคุณอยากได้ ผม…”
“เอ๊ะ…บอกแล้วไงคะว่าไม่อยากได้” กัณฐิกาท่าทางฉุนเฉียวจนคนมากวัยกว่าต้องเลิกคิ้วบ้าง นับตั้งแต่รู้จักนักข่าวสาวผู้นี้ เขาไม่เคยเห็นเธอแสดงท่าทางหงุดหงิดใส่ใครอย่างนี้มาก่อน ทุกครั้งที่ได้พบหญิงสาวพกพาอารมณ์ดีๆ และเรื่องขบขันมาด้วยเสมอ
หรือ…จะไม่ถูกกัน
ผู้มากวัยกว่าคาดเดา เพราะไม่มีเหตุผลอื่นใดที่กัณฐิกาจะไม่ชอบใจในตัวลูกค้าหน้าใหม่ของเขารายนี้หากเพิ่งจะได้พบกัน เพราะชายคนนั้นมีให้ทั้งความสุภาพและน้ำใจ จะติดก็แต่ทั้งท่าทางและสายตาบ่งชัดว่าสนใจในตัวหญิงสาวอย่างเปิดเผยไม่ปิดบัง
“ขอโทษครับผมได้ยินคุณกัณถามหา นึกว่าชอบซะอีก” เขาถือวิสาสะเรียกชื่อเล่นของเธอตามที่ได้ยินเจ้าของร้านเรียกและบันทึกมันไว้ในสมองในครั้งแรกที่ได้ยินทำให้หญิงสาวหน้าตึง ขยับปากจะว่าอะไรอีกแต่ก็สำนึกได้ว่าตัวเองแสดงออกมากเกินไปทั้งที่เขาก็ไม่ได้ทำอะไรผิดจึงยั้งไว้เสีย
“เคยชอบค่ะแต่ตอนนี้ไม่ชอบแล้วเพราะมัน…เป็นของคุณ” ว่าจะเฉยแต่ก็อดประชดประชันไม่ได้ บอกไม่ถูกจริงๆว่าทำไมถึงได้รู้สึกขัดหูขัดตากับผู้ชายหน้าเป็นคนนี้เหลือเกินทั้งที่เขาก็ไม่เคยทำอะไรให้เธอมาก่อน จู่ๆ ก็ไม่ชอบหน้าศรศิลป์มันไม่กินกันซะเฉยๆ
ใบหน้าจ๋อยสนิทของคนตัวโตไม่ได้ทำให้กัณฐิการู้สึกผิดขึ้นมาอีก หญิงสาวเบือนหน้ากลับมายังเคาน์เตอร์ละความสนใจกับเขาไว้แค่นั้น
“คุณปู่อยู่ข้างในไหมคะ”
“อยู่จ้ะวันนี้ดีขึ้นมาก ไปหาท่านซักหน่อยนะ เห็นว่ามีของจะให้ดู” ลุงอานนท์บุ้ยปากไปทางหลังร้าน หญิงสาวจึงเดินปรี่เข้าไปอย่างรู้ทาง ไม่มองกลับมาหาคนข้างหลังอีก
ชายหนุ่มมองตามแล้วถอนหายใจ เดินคอตกออกไปจากร้าน
กัณฐิกาเข้ามาถึงก็เห็นว่าชายชรากำลังนั่งเอนหลังอยู่บนเก้าอี้โยก ในมือถือวัตถุบางอย่างคล้ายทองสีของมันสุกปลั่งงดงาม ตรงกลางประดับด้วยทับทิมสีสวยเรียงสลับเม็ดน้อยใหญ่ ด้านข้างมีเพชรซีกรูปหยดน้ำประดับล้อมทับทิมและมรกต
งดงาม….จนทำให้หญิงสาวยืนมองตัวแข็ง อยู่ในอาการตกตะลึง
“อ้าว…หนูกัณ” ผู้มากวัยกว่าวางวัตถุสุกปลั่งนั้นลงบนผ้าสีแดงที่ปูเหนือหีบไม้ใบเล็กแล้วกวักมือเรียก เสียงนั้นทำให้หญิงสาวได้สติ รีบเดินเข้ามาหา ดวงตาทอดจับไปหาวัตถุสีสวยนั้นไม่วางตา
“สวย….สวยมาก”
“เพิ่งได้มา เห็นแล้วก็นึกถึง สร้อยข้อมือล้อมทับทิมกับเพชรซีก” ผู้มากวัยกว่าอธิบายพลางยื่นส่งให้ หญิงสาวยื่นมือออกไปรับมาอย่างทะนุถนอม ความรู้สึกอุ่นซ่านวาบผ่านปลายมือในทันทีที่ฝ่ามือสัมผัสไปบนเม็ดทับทิม
คุ้นตา….
หญิงสาวบอกกับตัวเองอย่างนั้น เธอออกจะแน่ใจว่าต้องเคยเห็นสร้อยข้อมือเส้นนี้มาจากที่ไหนมาก่อนแน่ๆ เพียงแต่พยายามคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก
“มีคนเขามาขายให้ เล่นเอาเหงื่อตกแต่ก็อยากได้ถึงได้กัดฟันซื้อมา พอเอามานั่งพิจารณาใกล้ๆ ก็นึกถึงหนูขึ้นมา มันเหมาะกับหนูมาก หน้าไทยๆ อย่างหนูถ้าสวมชุดไทยคาดสร้อยข้อมือเส้นนี้ละก็น่าชมเชียวล่ะ”
หญิงสาวอดไม่ไหวที่จะลองคาดสร้อยข้อมือเส้นนั้นกับข้อมือตัวเองพร้อมกันนั้นความร้อนจัดๆ ก็วาบผ่าน ร้อนมากจนต้องรีบถอดออกส่งคืนไว้บนห่อผ้าสีแดง
อาการของหญิงสาวทำให้เจ้าของสร้อยข้อมือคนใหม่มุ่นคิ้ว
“มีอะไรหรือ”
“ปละ…เปล่าค่ะ กัณก็แค่ไม่อยากมองนานกลัวเกิดกิเลสน่ะค่ะ สร้อยข้อมือเส้นนี้สวยมาก สวยเหลือเกิน มีทับทิมและเพชรซีกแบบนี้คงแพงมาก”
“หนูอยากได้หรือเปล่าล่ะ” ปู่สุนทรถามขึ้นทำให้หญิงสาวยิ้มเจื่อน เสหัวเราะแก้เก้อ
“ดูแค่ว่าสร้อยข้อมือเส้นนี้ทำจากอะไร กัณก็ไม่อยากได้แล้วละค่ะ ไม่มีปัญญาซื้อแน่ๆ” บอกอย่างนั้นแต่ตาก็อดเหลือบมองไปยังสร้อยข้อมือแสนงามนั้นไม่ได้ ตั้งแต่เกิดมาเธอยังไม่เคยเห็นเครื่องประดับไหนจะสวยงดงามแบบนี้มาก่อนเลย
แต่…เธอคงไม่มีวาสนา เพราะแค่ลองใส่มันดูเมื่อครู่นี้มันก็ร้อนจนทนไม่ได้ ของเก่าแบบนี้มันมีเจ้าของมาหลายมือ เจ้าของเขาคงหวง



สาริน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 ก.พ. 2557, 23:34:57 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 ก.พ. 2557, 23:34:57 น.

จำนวนการเข้าชม : 1268





<< ตอนที่ 1 100%   ตอนที่ 2 70% >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account