จุดชนวนรัก อุบัติเหตุเลิฟ
บางครั้งเราทุกคนก็ต้องยอมรับความจริงในเรื่องของหัวใจ ว่ามันอาจไม่เป็นอย่างที่เราต้องการเสมอไป ฉันเคยคิดว่ารัก ‘พี่เกล’ แต่ฉันกลับได้รู้จักความรักจริงๆ ในวันที่สายไปกับคนที่ได้ตายจากไปแล้ว ฉันไม่มีโอกาสแม้แต่จะบอกความในใจให้เขารู้ด้วยซ้ำ และวันนี้ฉันมีโอกาสจะไปหาเขาแม้ว่าหัวใจของเขาจะนิ่งสงบไปแล้วก็ตามแต่ฉันก็ร้อนใจเหลือเกินที่จะไป ไม่อยากจะช้าสักวินาทีเดียว
Tags: วัยรุ่น
ตอน: บทที่ 16
บทที่ 16
พี่เกลถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลโดยมีเพื่อนรักของฉันตามไปดูแลอย่างใกล้ชิด ส่วนฉันถูกกันให้ห่างได้แค่ยืนมองเธอพาเขาไปจนลับสายตา
บางทีความลับของคนเราก็ถูกเปิดเผยในเวลาที่เราไม่คาดคิดไว้เหมือนกัน เพื่อนที่คบกันมาตั้งแต่ปีหนึ่ง ไปไหนไปกัน กินด้วยกันเที่ยวด้วยกัน แม้แต่ยามทุกข์ก็ยังแบ่งกันแต่แล้ววันนี้ฉันเพิ่งรู้ว่า เธอไม่เคยมีคำว่าเพื่อนอยู่ในหัวเลย
‘ฉันเกลียดแก! แล้วก็ไม่เคยคิดอยากจะเป็นเพื่อนกับแกเลยสักนิดทุกอย่างที่ฉันทำไป ฉันเสแสร้งแกล้งทำทั้งนั้น’
‘ฉันแค่หลอกใช้แกเป็นสะพานเพื่อเข้าหาพี่เกล แต่ไม่ว่าฉันจะพยายามขนาดไหนเขาก็ไม่แม้แต่จะหันมามองฉันสักนิดเพราะเขารักแกคนเดียว นั้นยิ่งทำให้ฉันเกลียดๆๆ แก’
‘แต่พอฉันจะตัดใจจากเขาเพื่อเริ่มต้นใหม่กับใครสักคน แกก็ยังมาเป็นมารขวางชีวิตฉันอีก บอกฉันทีสิว่าฉันสมควรจะทำอย่างไงกับแกดี’
น้ำเสียงเกรี้ยวกราด ใบหน้าเต็มไปด้วยความเกลียดชังของเธอ ยังคงฝังแน่นติดตา เหมือนดูหนังแล้วกอซ้ำไปซ้ำมาตรงฉากเหล่านั้น แม้ว่าฉันจะพยายามสะบัดทิ้งยังไงทุกอย่างก็ยังชัดเจนอยู่เสมอ
ความกลัว ความผิดหวัง ความเสียใจ แล่นเข้าสู่หัวใจอย่างไม่อาจหลีกหนี น้ำตาที่อยากจะไหลแต่มันกลับแห้งสนิทราวกับมันได้หายไปพร้อมๆ กับมิตรภาพของพวกเขาเหล่านั้น คนรัก ผู้มีบุญคุณ และเพื่อนสนิท ในเวลาแบบนี้ฉันกลับไม่เหลือใครเลยไม่มีแม้เสียงปลอบใจ หรือเสียงกล่าวโทษใดๆ ดังขึ้น มีแต่ความเงียบงัน และฉันควรจะทำอย่างไรดี
"คุณยืนอยู่นาน ควรจะทำแผลนะคะ"
แม่บ้านวงเดือนเดินเข้ามาจับมือฉันที่มีแต่เลือดอย่างไม่รังเกียจ
"ช่างมันเถอะค่ะปล่อยให้เลือดชั่วๆ มันไหลออกไปบ้างก็ดี"
เสียงกล่าวโทษตัวเอง ทำให้คนฟังถึงกลับถอนใจ
"ทำไมคิดแบบนั้นละคะ"
"ก็มันจริงนี่คะ"
พอนึกถึงว่าตัวเองเป็นตัวต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด ฉันก็พลันทรุดตัวนั่งลงแล้วน้ำตาที่คิดว่าแห้งเหือดไปแล้วกลับทะลักออกมาอย่างห้ามไม่ได้
"อย่าคิดมากเลยค่ะ ลุกขึ้นเถอะเลือดไหลใหญ่แล้ว"
"ฉันทำร้ายพวกเขาจนฉันไม่เหลือใครเลย ฮึกๆ ฮือ ฉันมันตัวน่ารังเกียจ"
ฉันยื่นมือไปคว้าแขนแม่บ้านไว้ หวังใช้มือนั้นเป็นที่ยึดเหนี่ยวสุดท้ายที่ยังเหลืออยู่ เธอมองฉันกลับด้วยสายตาอ่อนโยนปราณีเหมือนพี่สาว
"คุณเป็นคนจิตใจดีไม่มีใครโกรธคุณได้นานหรอกค่ะเชื่อฉัน ไปกับฉันนะคะฉันจะทำแผลให้"
ครั้งนี้ฉันลุกขึ้นตามที่เธอบอกอย่างว่าง่าย เธอทำแผลให้ฉันอย่างเบามือ พอทำแผลเสร็จเธอก็ให้ฉันทานยาแก้ปวดพร้อมกับยาแก้อักเสบ แล้วก็ไล่ให้ฉันไปอาบน้ำทำใจให้สบายแล้วเข้านอน ฉันก็ทำตามที่เธอสั่งโดยไม่โต้แย้งอาจเป็นเพราะเธอเป็นคนเดียวที่เหลืออยู่ที่ยังพอห่วงใยฉัน
"นอนให้หลับนะคะ อย่าเพิ่งคิดอะไรตอนนี้เลย"
พูดจบเธอก็เตรียมจะออกไปคงอยากให้ฉันได้พักผ่อน แต่ฉันก็รั้งเธอไว้ก่อน เธอจึงหยุดเดินแล้วหันกลับมาหาฉัน
"ฉันอยากรู้ว่าเซทอยู่ที่ไหน แล้วก็…พี่เกลเขาเป็นยังไงบ้าง"
"ทำใจให้สบายเถอะค่ะ เดี๋ยวฉันให้คนจัดการให้ พอจะรู้จักพวกบอดี้การ์ดที่บ้านใหญ่อยู่บ้าง จะลองให้เขาช่วยเป็นธุระให้"
"ขอบคุณค่ะ ขอบคุณจริงๆ"
03.00 น
ฉันได้แต่เฝ้ามองนาฬิกาที่เคลื่อนตัวไป การรอคอยมันช่างยาวนานและทรมานเหลือเกิน ไม่ว่าจะพยายามข่มตาให้หลับยังไงมันก็หลับไม่ลงสักที แต่แล้วหัวใจฉันที่ดังแผ่วเบาก็กลับมาเต้นแรงอีกครั้งเมื่อเสียงเคาะประตูดังขึ้น ฉันรีบไปเปิดประตูในใจก็ได้แต่ภาวนาขอให้เป็นแม่บ้านได้ข่าวสองคนนั้นสักทีเถอะ
แต่พอประตูถูกเปิดออก คนที่อยู่ข้างหน้านั้นก็พุ่งเข้ามาในห้องพลางปิดประตูเสียงดัง ฉันยืนมองชายร่างสูงอย่างตกตลึงเซทมีสภาพไม่ดีเลย ผมเผ้าเขายุ่งเหยิงเพราะมีผ้าพันแผลพันไว้รอบศีรษะ เสื้อผ้าก็เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือดแถมกลิ่นเหล้ายังฟุ้งไปหมด
"เซท!"
"ใช่ฉันเองเธอคิดว่าเป็นใครกันละ ถึงต้องทำหน้าผิดหวังขนาดนั้น"
เซทพูดพลางก้าวเข้ามาเรื่อยๆ จนฉันต้องเดินถอยหลัง แต่ได้แค่ไม่กี่ก้าวฉันก็ถูกเขาคว้าข้อมือทั้งสองข้างพลางกระชากอย่างแรงจนฉันถลำล้มแนบไปบนอกกว้างของเขา ฉันพยายามดิ้นแต่ก็สู้ความแข็งแรงของวงแขนนั้นไม่ได้ตรงกันข้ามยิ่งดิ้นก็เหมือนยิ่งทำให้เขากอดฉันแน่นขึ้น ลมหายใจอุ่นๆ ปะทะอยู่ข้างๆ หู พร้อมกับคำถามที่ฉันสัมผัสได้จากคำพูดเหล่านั้นว่าเขารู้สึกน้อยใจขนาดไหน
"ฉันดีกับเธอขนาดนี้ มันยังไม่พอที่จะทำให้เธอรู้สึกดีๆ กับฉันบ้างเลยเหรอ"
"เซท! นายเมาแล้วเอาไว้คุยกันพรุ่งนี้เถอะ"
ฉันพูดพลางพยายามดันอกกว้างนั้นให้ออกไป แต่เขากลับทิ้งน้ำหนักตัวลงมาจนฉันต้องเปลี่ยนจากผละออกเป็นปะทะตัวเขาไว้ไม่ให้ล้มลงแทน แถมเขายังเอียงเอนพิงฉันไว้เต็มที ฉันต้านทานน้ำหนักของคนร่างสูงไม่ไหวจึงเซล้มลงไปนอนกองกับพื้นทั้งคู่
ฉันนิ่งไปด้วยความเจ็บแค่ลำพังล้มไปนอนกับพื้นก็แย่แล้ว ยังมีร่างหนักๆ ของเขาล้มทับลงมาอีกแต่ที่แย่ยิ่งกว่าก็ตอนที่เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง แม้มันจะไม่ได้ดังเหมือนกับตะโกนใส่หูฉัน แต่มันก็เข้าไปกระแทกต่อมสำนึกผิดฉันเข้าให้อย่างจัง เขาคงเสียใจมากสินะที่ฉันทำร้ายเขาเพียงเพื่อต้องการช่วยใครอีกคน
"เธอมันใจร้าย ฉันไม่คิดว่าเธอจะใจร้ายกับฉันขนาดนี้"
"เซท! …ฉันเจ็บ"
"ทุกคนเจ็บได้หมด แล้วฉันล่ะ ฉันเจ็บไม่เป็นหรือไง"
"ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้น…" ฉันพยายามอธิบายแต่เขากลับพูดแทรกขึ้นอย่างเดือดดาลว่า "เธอหมายความแบบนั้นแหละมันเจ็บเป็นแต่ฉันเจ็บไม่เป็น" แล้วริมฝีปากร้อนจัดก็ทาบทับลงมาที่ริมฝีปากฉันอย่างหนักหน่วง ทุกอย่างรวดเร็วจนฉันตั้งตัวไม่ติด มือของเขากดทับแขนทั้งสองข้างของฉันไว้กับพื้นไม่ให้ดิ้นหนีไปจากรสจูบที่เร้าร้อนจนฉันแทบจะหลอมละลาย แม้ว่าจะพยายามผลักเขาออกอย่างไรเขาก็ลงโทษฉันกลับด้วยการใช้ริมฝีปากบดขยี้รุกรานลึกล้ำเรื่อยๆ จนฉันหายใจหอบสะท้านไปทั้งตัว
สติกระเจิดกระเจิงหลุดลอยไปตามความวาบหวาม และสัมผัสร้อนระอุที่เขายัดเยียดให้ จนน้ำตาไหลออกมาไม่รู้ตัว
ทันทีที่เขาเห็นน้ำตาฉันเขาก็ถอนริมฝีปากออก แล้วจ้องมองฉันราวกับจะระงับสติอารมณ์ที่กำลังแผดเผาทั้งเขาและฉันให้มอดไหม้ไปพร้อมๆ กัน แต่ก็แค่เศษเสี้ยวนาทีเท่านั้น ที่นัยต์ตาคู่นั้นดูจะสงบลง
"เซท!...อย่าทำกับฉันแบบนี้"
"ทำไม! ในเมื่อชีวิตเธอเป็นของฉันแล้ว"
"ถึงฉันจะเป็นของนาย แต่ฉันก็จะไม่รัก ได้ยินมั้ย ไม่รัก!"
"แต่ฉันรักเธอ!" เขาสวนกลับทันควัน ตอกย้ำเจตนาที่ไม่อาจหยุดได้ด้วยการทาบทับริมฝีปากของเขาลงมาอีกครั้งบนซอกแก้มและลำคอของฉันอย่างร้อนแรง จนฉันต้องกัดริมฝีปากตัวเองไว้แน่นเพื่อกลั่นเสียงไม่ให้ดังรอดออกมาเมื่อถูกรุกหนักขึ้นเรื่อยๆ ลมหายใจที่ร้อนผ่าวหอบถี่ของเขารินรดดังเสียงกระซิบวาบหวามอยู่ที่ริมหู ว่าเขาไม่อาจอดกลั้นอารมณ์ที่กำลังพุ่งพล่านนั้นไว้ได้อีกต่อไป
"เซทขอร้องอย่า…อุ๊บ!…" พอฉันขยับจะพูดเขาก็ละจากทุกสิ่งแล้วกลืนกินคำพูดของฉันให้หายไปในลำคอด้วยริมฝีปากที่นาบลงมาอย่างดุดัน เมื่อสัมผัสร้อนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าใจจะต่อต้านเพียงไรหากแต่ร่างกายกับตรงกันข้ามมันเริ่มอ่อนแรงลงแล้วค่อยๆ เคลื่อนไหวสอดประสานไปตามจังหวะร้อนแรงที่เขาถาโถมลงมาจนหลายครั้งก่อให้เกิดเสียงครางแผ่วเบาเหมือนเสียงคลื่นทะเลซัดในยามพายุกำลังบ้าคลั้ง และนั้นยิ่งกระตุ้นให้สัมผัสเร้าร้อนนั้นแผดเผาให้ฉันมอดไหม้เร็วขึ้น ก่อให้เกิดรสชาติอันหอมหวานที่ร่างกายถูกตราตรึงพันธนาการไว้หากแต่หัวใจกับขมขื่นระทมเนิ่นนานจนกระทั้งหลอมละลายกลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
ร่างกายของฉันชาดึก ล่องลอยไปในความมืดมิดเมื่อยามส่งกระจกดูตัวเองในกระจกเงา ดวงตาปราศจากน้ำตาแล้วแต่กลับสะท้อนถึงความโศกเศร้าเหมือนเปลวเทียนที่กำลังจะมอดดับลงอย่างริบหรี่
‘ไม่มีสิ่งมีค่าใดหลงเหลืออีกแล้วในร่างกายนี้’
ความรู้สึกผิดหวังเอ่อล้นอยู่เต็มหัวใจอันบอบช้ำของฉัน เซท คนที่ฉันคิดว่าเขาเป็นเหมือนเทพบุตรคอยช่วยเหลือและปกป้อง คนที่ฉันคิดว่าคงไม่มีทางใช้หนี้ชีวิตครั้งนี้หมดได้เพราะเขาไม่เคยเรียกร้องสิ่งใดตอบแทนจากฉันเลย แต่เขากลับทำร้ายฉันไม่ต่างไปจากสัตว์ร้ายที่ใช้กำลังกินเหยื่อที่อ่อนแอและไม่มีทางหนี สุดท้ายฉันก็เป็นได้แค่หมูหมาอย่างที่เขาเคยว่าไว้จริงๆ
เมื่อพลั่งชีวิตที่มีอยู่จางหายไป ความสิ้นหวังก็ถูกเขามาแทนทีอย่างไม่อาจลีกเลี่ยงได้และคงไม่มีประโยชน์อะไรที่ฉันต้องยืนอยู่ตรงนี้เพราะระหว่างฉันกับเขาทุกความรู้สึกดีๆ มันได้จบไปหมดแล้ว และหลังจากนี้ไปขออย่าได้มาพบเจอกันอีกเลย
ฉันเดินออกจากคฤหาสน์หลังใหญ่ หลังจากนั้นก็เริ่มสงสัยว่าตัวเองจะไปที่ไหนต่อจากนี้ แต่ช่างมันเถอะยังไงก็ขอไปให้พ้นๆ จากที่นี่ก่อนก็พอ ทุกคนในบ้านมองฉันอย่างนึกแปลกใจแต่ก็ไม่มีใครกล้าถามพวกเธอคงหาคำตอบกันเองในใจต่างๆ นาๆ อาทิเช่น ฉันอาจจะไปเดินเล่นที่สวนหน้าบ้านในยามเช้าตรู่แบบนี้และฉันก็ต้องการให้พวกเธอคิดแบบนั้นแหละ ฉันจึงยืนเบลอๆ ดูโน่นดูนี่ที่สวนดอกไม้ใกล้ประตูรั้วอยู่สักพักพอพวกเธอเผลอฉันก็เปิดประตูรั้วพยายามให้เกิดเสียงน้อยที่สุด แต่แค่ฉันก้าวพ้นผ่านประตูรั้วเพียงไม่กี่ก้าว มือของใครคนหนึ่งก็เข้ามาคว้าแขนฉันไว้เสียก่อน
"พี่เกล!!!"
"ไปกับพี่เรามีเรื่องต้องคุยกัน!"
ลี เซท ค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก เพราะยังรู้สึกมึนๆ อาจเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์เมื่อคืนก็เป็นได้ มือของเขาข้างหนึ่งควานหาตัวหญิงสาวด้วยสัญชาตญาณทั้งๆ ที่ยังลืมตาไม่ขึ้น แต่เขากับพบเพียงสัมผัสที่ว่างเปล่าบนเตียงที่เขาร่วมนอนอยู่กับเธอเมื่อคืนนี้
พรึ่บ!
ผมผุดลุกขึ้นทันทีที่รู้ว่าเธอหายไป ผมวิ่งตามหาเธอจนทั่วบ้านเหมือนคนบ้า แต่เมื่อมองไปทางไหนก็พบเพียงความว่างเปล่า เธอทิ้งผมไปแล้ว
"โธ่โว๊ย! นี่เราทำบ้าอะไรลงไปวะ"
ผมเอามือเสยผมตัวเองอย่างหัวเสียเรื่องอย่างนั้นมันไม่น่าเกิดขึ้น ยอมรับว่าเมื่อคืนเมามากแต่ก็ต้องยอมรับอีกว่าเรื่องทั้งหมดที่ทำลงไปไม่ใช่เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์อย่างเดียว มันเป็นเพียงตัวกระตุ้นให้ผมกล้าทำความเลวเท่านั้น ทั้งๆ ที่เมื่อคืนผมยังคุมสติตัวเองได้อยู่แท้ๆ ผมคงหนีความจริงไม่ได้ว่าอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำกับเธอเป็นเพราะตัวผมเองนั่นแหละที่ขี้ขลาด เพราะผมยอมไม่ได้ที่จะต้องเสียเธอไป ไม่ว่าจะรักแค่ไหนหรือเป็นคนดีเท่าไหร่ สำหรับเธอผมเป็นได้แค่ผู้มีบุญคุณเท่านั้น แม้ว่าบางครั้งเธอจะมีสายตาหวั่นไหวให้ผมได้มีความหวังบ้าง แต่สุดท้ายความจริงก็ได้ปรากฏชัดแล้วว่าเธอรักเขามากขนาดไหน ผมเลยไม่มีทางเลือกอีกแล้ว แม้ว่ามันจะเป็นวิธีที่ต่ำทรามขนาดไหน แต่ในเวลานั้นผมคิดอะไรไม่ออกจริงๆ นอกจากรั้งเธอไว้ด้วยความผูกพันทางกายโดยที่ไม่สนใจว่าความว่างเปล่าในใจเธอมันจะทำให้ผมรู้สึกทรมานยิ่งกว่าเก่า แต่ผมก็ทะนงตัวพอที่จะรับมันไว้เพียงเพื่อได้ครอบครองเธอก็พอ อาจฟังดูเหมือนเห็นแก่ตัวแต่ผมก็ทำไปแล้ว และจะไม่มีวันถ้อยหลังกลับ
ตืด~ ตืด~
(ฮัลโหล)
"ริช! ฉันมีงานให้เธอทำ"
(งานอะไร)
"ตามหาคนให้ฉัน!"
เสียงสายฝนกระหน่ำอยู่ข้างนอกรถ แถมมีฟ้าแลบเป็นระยะตลอดทาง แต่นั่นก็ยังไม่ทำให้ฉันรู้สึกแย่เท่ากับการที่ต้องนั่งรถมากับพี่เกลในสถานการณ์แบบนี้
หลายครั้งที่พี่เกลมองฉันเหมือนรอให้ฉันพูดอะไรออกมาบ้าง แต่ฉันก็เอาแต่นั่งเงียบ และดูเหมือนเขาก็ไม่ละความพยายามเขาหันมามองฉันอีกครั้ง แต่ฉันก็ยังนิ่งเหมือนเดิม เขาจึงหันกลับไปมองถนนเบื่องหน้าส่วนฉันก็หันหน้าหนีเขาไปมองทิวทัศน์ด้านนอกที่กำลังวิ่งผ่านเข้ามาซึ่งมันก็ไม่ได้มีอะไรให้มองนอกจากรถที่กำลังวิ่งอยู่บนท้องถนนอย่างหนาแน่น เหล่ามนุษย์เงินเดือน นักเรียน นักศึกษา หรืออีกหลายๆ อาชีพล้วนแล้วแต่ใช้ชีวิตหลายชั่วโมงในท้องถนนที่มีแต่รถติดจนขยับไปไหนแทบไม่ได้โดยเฉพาะในเวลาฝนตกแบบนี้
"พี่อยากจะฟังความจริงทั้งหมด" ในที่สุดพี่เกลก็ตัดสินใจพูดออกมาก่อน ด้วยน้ำเสียงที่พยายามปรับให้มันเป็นปกติที่สุด
"…" ฉันละสายตาจากด้านนอกแล้วหันไปหาเขา ฉันอยากพูดนะอยากอธิบายทุกอย่างให้เขาเข้าใจในตัวฉันเหลือเกิน แต่แล้วประโยคต่างๆ ก็เหมือนจะดังอยู่แต่ในความคิดของฉันคนเดียวเท่านั้น
"ขมิ้น!…พี่แทบจะเป็นบ้าอยู่แล้วรู้บ้างมั้ย"
"…"
"ได้โปรด พี่ขอร้องพูดอะไรออกมาสักอย่างอย่าเอาแต่เงียบแบบนี้"
"ขมิ้น…" ฉันเงยหน้าสบตาเขาทั้งน้ำตา "…ขอโทษ"
"หมายความว่ายังไงพี่ไม่เข้าใจ"
"ทุกอย่างมันไม่เหมือนเดิมแล้ว"
เมื่อฉันพูดออกไป สีหน้าพี่เกลก็บ่งบอกได้ชัดเจนว่าเขารู้สึกอย่างไร เ
"ขมิ้นรักไอ้หน้าขาวนั่นใช่มั้ย"
"…"
"พี่ถามไม่ได้ยินเหรอ!!" หลังจากที่เขาพยายามทำน้ำเสียงให้เหมือนคนที่เต็มไปด้วยสติแต่แล้วในที่สุด เขาก็รับกับความกดดันได้ไม่นาน เขาตวาดฉันเสียงดังลั่นรถ พลางเขย่าที่ไหล่ฉันอย่างแรงด้วยความโมโห
"ขมิ้นรักมันใช่มั้ย!?"
"ใช่!"
ฉันตะโกนออกไปเสียงดัง ทำเอาพี่เกลถึงกับนิ่งไปเหมือนถูกแช่แข็ง
"ทั้งๆ ที่พี่บอกรักขมิ้นไปแล้ว แต่ทำไมขมิ้นถึง…"
"แล้วพี่มาบอกอะไรเอาป่านนี้ "
ฉันจ้องตาเขาเขม็งพลางน้ำตาไหลพราก นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ฉันกล้าใช้สายตาแข็งกระดากแบบนี้มองเขา "ทั้งๆ ที่เราโตมาด้วยกัน แต่พี่กลับเพิ่งมาบอกรักฉันเอาตอนที่พี่กำลังจะทิ้งฉันไปเนี่ยนะ พี่ไม่เห็นแก่ตัวไปหน่อยเหรอที่กักขังหัวใจฉันให้รอพี่อย่างโดดเดี่ยวที่นี่ ในขณะที่พี่เอาแต่วิ่งไล่ตามความฝันของตัวเอง แล้วขมิ้นละน้องก็ไม่ใช่เป็นแฟนก็ไม่ได้ ตอนพี่อยู่ขมิ้นก็ต้องอยู่อย่างไร้ตัวตน แล้วตอนพี่ไปไกลแสนไกล แล้วขมิ้นจะอยู่ยังไงกับใคร พี่เคยนึกถึงบ้างมั้ย"
"ขมิ้น!"
"ถ้าความรักของพี่มันมีแต่ความเห็นแก่ตัวพี่ก็เอามันกลับไปเถอะขมิ้นไม่ต้องการ"
ปึง!
ฉันไม่รู้ว่าฉันเปิดประตูรถออกมาตอนไหนแต่พอรู้ตัวอีกทีฉันก็ปิดมันลงไปแล้ว ฉันออกมายืนโงนเงนอยู่นอกรถท่ามกลางสายฝนที่ยังเทลงมาจากฟากฟ้าไม่ขาดสาย บนท้องถนนที่รถติดกันแน่นเป็นปลากระป๋อง หลายคันบีบแตรด่าที่ฉันบ้าอยู่ๆ ก็เดินลงจากรถแต่ฉันทนนั่งอยู่ตรงนั้นไม่ไหว ฉันทนเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดปนความผิดหวังของเขาไม่ได้จริงๆ ฉันไม่เข้าใจตัวเองเลยรักเขาก็รู้สึกผิดพอคิดจะไม่รักก็รู้สึกผิดหนักกว่าเก่าเสียอีกตกลงฉันรู้สึกกับเขาแบบไหนกันแน่นะ
ฉันก้าวเดินต่อไปจนข้ามมาถึงริมฟุตบาทได้อย่างปลอดภัย ไม่รู้ว่าพี่เกลจะลงจากรถตามฉันมาหรือเปล่าแต่ฉันว่าไม่มีทาง มีข้อสันนิษฐานง่ายมากที่เขาจะไม่ตามมาเพราะเขาเป็นดาราดังถ้าอยู่ดีๆ โผล่ออกมาจากรถที่กำลังจอดอยู่บนท้องถนนเพื่อวิ่งตามผู้หญิง คงได้เป็นข่าวใหญ่โตแน่ ฉันจึงไล่ความหวังเล็กๆ นั้นทิ้งไปซะไม่มีประโยชน์ที่จะคิดแบบนั้นในเมื่อวันนี้ทุกอย่างระหว่างฉันกับเขาต้องจบลงสักที ฉันจะไม่หันหลังกลับไปไม่แม้แต่จะชำเรืองมอง ฉันต้องก้าวเดินไปข้าง และต้องไม่ใจอ่อน
ทันทีที่เธอก้าวลงจากรถในหัวของผมก็ไม่คิดถึงอะไรทั้งนั้นนอกจากวิ่งตามเธอไป ผมตามเธอไปติดๆ แต่แล้วเธอกลับถูกฝูงชนกลืนกินจนหายไปกับสายฝน ผมยืนหันรีหันขวางพยายามมองหาเธอแต่ก็ไม่เห็นแม้เงา
พี่เกลถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลโดยมีเพื่อนรักของฉันตามไปดูแลอย่างใกล้ชิด ส่วนฉันถูกกันให้ห่างได้แค่ยืนมองเธอพาเขาไปจนลับสายตา
บางทีความลับของคนเราก็ถูกเปิดเผยในเวลาที่เราไม่คาดคิดไว้เหมือนกัน เพื่อนที่คบกันมาตั้งแต่ปีหนึ่ง ไปไหนไปกัน กินด้วยกันเที่ยวด้วยกัน แม้แต่ยามทุกข์ก็ยังแบ่งกันแต่แล้ววันนี้ฉันเพิ่งรู้ว่า เธอไม่เคยมีคำว่าเพื่อนอยู่ในหัวเลย
‘ฉันเกลียดแก! แล้วก็ไม่เคยคิดอยากจะเป็นเพื่อนกับแกเลยสักนิดทุกอย่างที่ฉันทำไป ฉันเสแสร้งแกล้งทำทั้งนั้น’
‘ฉันแค่หลอกใช้แกเป็นสะพานเพื่อเข้าหาพี่เกล แต่ไม่ว่าฉันจะพยายามขนาดไหนเขาก็ไม่แม้แต่จะหันมามองฉันสักนิดเพราะเขารักแกคนเดียว นั้นยิ่งทำให้ฉันเกลียดๆๆ แก’
‘แต่พอฉันจะตัดใจจากเขาเพื่อเริ่มต้นใหม่กับใครสักคน แกก็ยังมาเป็นมารขวางชีวิตฉันอีก บอกฉันทีสิว่าฉันสมควรจะทำอย่างไงกับแกดี’
น้ำเสียงเกรี้ยวกราด ใบหน้าเต็มไปด้วยความเกลียดชังของเธอ ยังคงฝังแน่นติดตา เหมือนดูหนังแล้วกอซ้ำไปซ้ำมาตรงฉากเหล่านั้น แม้ว่าฉันจะพยายามสะบัดทิ้งยังไงทุกอย่างก็ยังชัดเจนอยู่เสมอ
ความกลัว ความผิดหวัง ความเสียใจ แล่นเข้าสู่หัวใจอย่างไม่อาจหลีกหนี น้ำตาที่อยากจะไหลแต่มันกลับแห้งสนิทราวกับมันได้หายไปพร้อมๆ กับมิตรภาพของพวกเขาเหล่านั้น คนรัก ผู้มีบุญคุณ และเพื่อนสนิท ในเวลาแบบนี้ฉันกลับไม่เหลือใครเลยไม่มีแม้เสียงปลอบใจ หรือเสียงกล่าวโทษใดๆ ดังขึ้น มีแต่ความเงียบงัน และฉันควรจะทำอย่างไรดี
"คุณยืนอยู่นาน ควรจะทำแผลนะคะ"
แม่บ้านวงเดือนเดินเข้ามาจับมือฉันที่มีแต่เลือดอย่างไม่รังเกียจ
"ช่างมันเถอะค่ะปล่อยให้เลือดชั่วๆ มันไหลออกไปบ้างก็ดี"
เสียงกล่าวโทษตัวเอง ทำให้คนฟังถึงกลับถอนใจ
"ทำไมคิดแบบนั้นละคะ"
"ก็มันจริงนี่คะ"
พอนึกถึงว่าตัวเองเป็นตัวต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด ฉันก็พลันทรุดตัวนั่งลงแล้วน้ำตาที่คิดว่าแห้งเหือดไปแล้วกลับทะลักออกมาอย่างห้ามไม่ได้
"อย่าคิดมากเลยค่ะ ลุกขึ้นเถอะเลือดไหลใหญ่แล้ว"
"ฉันทำร้ายพวกเขาจนฉันไม่เหลือใครเลย ฮึกๆ ฮือ ฉันมันตัวน่ารังเกียจ"
ฉันยื่นมือไปคว้าแขนแม่บ้านไว้ หวังใช้มือนั้นเป็นที่ยึดเหนี่ยวสุดท้ายที่ยังเหลืออยู่ เธอมองฉันกลับด้วยสายตาอ่อนโยนปราณีเหมือนพี่สาว
"คุณเป็นคนจิตใจดีไม่มีใครโกรธคุณได้นานหรอกค่ะเชื่อฉัน ไปกับฉันนะคะฉันจะทำแผลให้"
ครั้งนี้ฉันลุกขึ้นตามที่เธอบอกอย่างว่าง่าย เธอทำแผลให้ฉันอย่างเบามือ พอทำแผลเสร็จเธอก็ให้ฉันทานยาแก้ปวดพร้อมกับยาแก้อักเสบ แล้วก็ไล่ให้ฉันไปอาบน้ำทำใจให้สบายแล้วเข้านอน ฉันก็ทำตามที่เธอสั่งโดยไม่โต้แย้งอาจเป็นเพราะเธอเป็นคนเดียวที่เหลืออยู่ที่ยังพอห่วงใยฉัน
"นอนให้หลับนะคะ อย่าเพิ่งคิดอะไรตอนนี้เลย"
พูดจบเธอก็เตรียมจะออกไปคงอยากให้ฉันได้พักผ่อน แต่ฉันก็รั้งเธอไว้ก่อน เธอจึงหยุดเดินแล้วหันกลับมาหาฉัน
"ฉันอยากรู้ว่าเซทอยู่ที่ไหน แล้วก็…พี่เกลเขาเป็นยังไงบ้าง"
"ทำใจให้สบายเถอะค่ะ เดี๋ยวฉันให้คนจัดการให้ พอจะรู้จักพวกบอดี้การ์ดที่บ้านใหญ่อยู่บ้าง จะลองให้เขาช่วยเป็นธุระให้"
"ขอบคุณค่ะ ขอบคุณจริงๆ"
03.00 น
ฉันได้แต่เฝ้ามองนาฬิกาที่เคลื่อนตัวไป การรอคอยมันช่างยาวนานและทรมานเหลือเกิน ไม่ว่าจะพยายามข่มตาให้หลับยังไงมันก็หลับไม่ลงสักที แต่แล้วหัวใจฉันที่ดังแผ่วเบาก็กลับมาเต้นแรงอีกครั้งเมื่อเสียงเคาะประตูดังขึ้น ฉันรีบไปเปิดประตูในใจก็ได้แต่ภาวนาขอให้เป็นแม่บ้านได้ข่าวสองคนนั้นสักทีเถอะ
แต่พอประตูถูกเปิดออก คนที่อยู่ข้างหน้านั้นก็พุ่งเข้ามาในห้องพลางปิดประตูเสียงดัง ฉันยืนมองชายร่างสูงอย่างตกตลึงเซทมีสภาพไม่ดีเลย ผมเผ้าเขายุ่งเหยิงเพราะมีผ้าพันแผลพันไว้รอบศีรษะ เสื้อผ้าก็เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือดแถมกลิ่นเหล้ายังฟุ้งไปหมด
"เซท!"
"ใช่ฉันเองเธอคิดว่าเป็นใครกันละ ถึงต้องทำหน้าผิดหวังขนาดนั้น"
เซทพูดพลางก้าวเข้ามาเรื่อยๆ จนฉันต้องเดินถอยหลัง แต่ได้แค่ไม่กี่ก้าวฉันก็ถูกเขาคว้าข้อมือทั้งสองข้างพลางกระชากอย่างแรงจนฉันถลำล้มแนบไปบนอกกว้างของเขา ฉันพยายามดิ้นแต่ก็สู้ความแข็งแรงของวงแขนนั้นไม่ได้ตรงกันข้ามยิ่งดิ้นก็เหมือนยิ่งทำให้เขากอดฉันแน่นขึ้น ลมหายใจอุ่นๆ ปะทะอยู่ข้างๆ หู พร้อมกับคำถามที่ฉันสัมผัสได้จากคำพูดเหล่านั้นว่าเขารู้สึกน้อยใจขนาดไหน
"ฉันดีกับเธอขนาดนี้ มันยังไม่พอที่จะทำให้เธอรู้สึกดีๆ กับฉันบ้างเลยเหรอ"
"เซท! นายเมาแล้วเอาไว้คุยกันพรุ่งนี้เถอะ"
ฉันพูดพลางพยายามดันอกกว้างนั้นให้ออกไป แต่เขากลับทิ้งน้ำหนักตัวลงมาจนฉันต้องเปลี่ยนจากผละออกเป็นปะทะตัวเขาไว้ไม่ให้ล้มลงแทน แถมเขายังเอียงเอนพิงฉันไว้เต็มที ฉันต้านทานน้ำหนักของคนร่างสูงไม่ไหวจึงเซล้มลงไปนอนกองกับพื้นทั้งคู่
ฉันนิ่งไปด้วยความเจ็บแค่ลำพังล้มไปนอนกับพื้นก็แย่แล้ว ยังมีร่างหนักๆ ของเขาล้มทับลงมาอีกแต่ที่แย่ยิ่งกว่าก็ตอนที่เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง แม้มันจะไม่ได้ดังเหมือนกับตะโกนใส่หูฉัน แต่มันก็เข้าไปกระแทกต่อมสำนึกผิดฉันเข้าให้อย่างจัง เขาคงเสียใจมากสินะที่ฉันทำร้ายเขาเพียงเพื่อต้องการช่วยใครอีกคน
"เธอมันใจร้าย ฉันไม่คิดว่าเธอจะใจร้ายกับฉันขนาดนี้"
"เซท! …ฉันเจ็บ"
"ทุกคนเจ็บได้หมด แล้วฉันล่ะ ฉันเจ็บไม่เป็นหรือไง"
"ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้น…" ฉันพยายามอธิบายแต่เขากลับพูดแทรกขึ้นอย่างเดือดดาลว่า "เธอหมายความแบบนั้นแหละมันเจ็บเป็นแต่ฉันเจ็บไม่เป็น" แล้วริมฝีปากร้อนจัดก็ทาบทับลงมาที่ริมฝีปากฉันอย่างหนักหน่วง ทุกอย่างรวดเร็วจนฉันตั้งตัวไม่ติด มือของเขากดทับแขนทั้งสองข้างของฉันไว้กับพื้นไม่ให้ดิ้นหนีไปจากรสจูบที่เร้าร้อนจนฉันแทบจะหลอมละลาย แม้ว่าจะพยายามผลักเขาออกอย่างไรเขาก็ลงโทษฉันกลับด้วยการใช้ริมฝีปากบดขยี้รุกรานลึกล้ำเรื่อยๆ จนฉันหายใจหอบสะท้านไปทั้งตัว
สติกระเจิดกระเจิงหลุดลอยไปตามความวาบหวาม และสัมผัสร้อนระอุที่เขายัดเยียดให้ จนน้ำตาไหลออกมาไม่รู้ตัว
ทันทีที่เขาเห็นน้ำตาฉันเขาก็ถอนริมฝีปากออก แล้วจ้องมองฉันราวกับจะระงับสติอารมณ์ที่กำลังแผดเผาทั้งเขาและฉันให้มอดไหม้ไปพร้อมๆ กัน แต่ก็แค่เศษเสี้ยวนาทีเท่านั้น ที่นัยต์ตาคู่นั้นดูจะสงบลง
"เซท!...อย่าทำกับฉันแบบนี้"
"ทำไม! ในเมื่อชีวิตเธอเป็นของฉันแล้ว"
"ถึงฉันจะเป็นของนาย แต่ฉันก็จะไม่รัก ได้ยินมั้ย ไม่รัก!"
"แต่ฉันรักเธอ!" เขาสวนกลับทันควัน ตอกย้ำเจตนาที่ไม่อาจหยุดได้ด้วยการทาบทับริมฝีปากของเขาลงมาอีกครั้งบนซอกแก้มและลำคอของฉันอย่างร้อนแรง จนฉันต้องกัดริมฝีปากตัวเองไว้แน่นเพื่อกลั่นเสียงไม่ให้ดังรอดออกมาเมื่อถูกรุกหนักขึ้นเรื่อยๆ ลมหายใจที่ร้อนผ่าวหอบถี่ของเขารินรดดังเสียงกระซิบวาบหวามอยู่ที่ริมหู ว่าเขาไม่อาจอดกลั้นอารมณ์ที่กำลังพุ่งพล่านนั้นไว้ได้อีกต่อไป
"เซทขอร้องอย่า…อุ๊บ!…" พอฉันขยับจะพูดเขาก็ละจากทุกสิ่งแล้วกลืนกินคำพูดของฉันให้หายไปในลำคอด้วยริมฝีปากที่นาบลงมาอย่างดุดัน เมื่อสัมผัสร้อนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าใจจะต่อต้านเพียงไรหากแต่ร่างกายกับตรงกันข้ามมันเริ่มอ่อนแรงลงแล้วค่อยๆ เคลื่อนไหวสอดประสานไปตามจังหวะร้อนแรงที่เขาถาโถมลงมาจนหลายครั้งก่อให้เกิดเสียงครางแผ่วเบาเหมือนเสียงคลื่นทะเลซัดในยามพายุกำลังบ้าคลั้ง และนั้นยิ่งกระตุ้นให้สัมผัสเร้าร้อนนั้นแผดเผาให้ฉันมอดไหม้เร็วขึ้น ก่อให้เกิดรสชาติอันหอมหวานที่ร่างกายถูกตราตรึงพันธนาการไว้หากแต่หัวใจกับขมขื่นระทมเนิ่นนานจนกระทั้งหลอมละลายกลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
ร่างกายของฉันชาดึก ล่องลอยไปในความมืดมิดเมื่อยามส่งกระจกดูตัวเองในกระจกเงา ดวงตาปราศจากน้ำตาแล้วแต่กลับสะท้อนถึงความโศกเศร้าเหมือนเปลวเทียนที่กำลังจะมอดดับลงอย่างริบหรี่
‘ไม่มีสิ่งมีค่าใดหลงเหลืออีกแล้วในร่างกายนี้’
ความรู้สึกผิดหวังเอ่อล้นอยู่เต็มหัวใจอันบอบช้ำของฉัน เซท คนที่ฉันคิดว่าเขาเป็นเหมือนเทพบุตรคอยช่วยเหลือและปกป้อง คนที่ฉันคิดว่าคงไม่มีทางใช้หนี้ชีวิตครั้งนี้หมดได้เพราะเขาไม่เคยเรียกร้องสิ่งใดตอบแทนจากฉันเลย แต่เขากลับทำร้ายฉันไม่ต่างไปจากสัตว์ร้ายที่ใช้กำลังกินเหยื่อที่อ่อนแอและไม่มีทางหนี สุดท้ายฉันก็เป็นได้แค่หมูหมาอย่างที่เขาเคยว่าไว้จริงๆ
เมื่อพลั่งชีวิตที่มีอยู่จางหายไป ความสิ้นหวังก็ถูกเขามาแทนทีอย่างไม่อาจลีกเลี่ยงได้และคงไม่มีประโยชน์อะไรที่ฉันต้องยืนอยู่ตรงนี้เพราะระหว่างฉันกับเขาทุกความรู้สึกดีๆ มันได้จบไปหมดแล้ว และหลังจากนี้ไปขออย่าได้มาพบเจอกันอีกเลย
ฉันเดินออกจากคฤหาสน์หลังใหญ่ หลังจากนั้นก็เริ่มสงสัยว่าตัวเองจะไปที่ไหนต่อจากนี้ แต่ช่างมันเถอะยังไงก็ขอไปให้พ้นๆ จากที่นี่ก่อนก็พอ ทุกคนในบ้านมองฉันอย่างนึกแปลกใจแต่ก็ไม่มีใครกล้าถามพวกเธอคงหาคำตอบกันเองในใจต่างๆ นาๆ อาทิเช่น ฉันอาจจะไปเดินเล่นที่สวนหน้าบ้านในยามเช้าตรู่แบบนี้และฉันก็ต้องการให้พวกเธอคิดแบบนั้นแหละ ฉันจึงยืนเบลอๆ ดูโน่นดูนี่ที่สวนดอกไม้ใกล้ประตูรั้วอยู่สักพักพอพวกเธอเผลอฉันก็เปิดประตูรั้วพยายามให้เกิดเสียงน้อยที่สุด แต่แค่ฉันก้าวพ้นผ่านประตูรั้วเพียงไม่กี่ก้าว มือของใครคนหนึ่งก็เข้ามาคว้าแขนฉันไว้เสียก่อน
"พี่เกล!!!"
"ไปกับพี่เรามีเรื่องต้องคุยกัน!"
ลี เซท ค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก เพราะยังรู้สึกมึนๆ อาจเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์เมื่อคืนก็เป็นได้ มือของเขาข้างหนึ่งควานหาตัวหญิงสาวด้วยสัญชาตญาณทั้งๆ ที่ยังลืมตาไม่ขึ้น แต่เขากับพบเพียงสัมผัสที่ว่างเปล่าบนเตียงที่เขาร่วมนอนอยู่กับเธอเมื่อคืนนี้
พรึ่บ!
ผมผุดลุกขึ้นทันทีที่รู้ว่าเธอหายไป ผมวิ่งตามหาเธอจนทั่วบ้านเหมือนคนบ้า แต่เมื่อมองไปทางไหนก็พบเพียงความว่างเปล่า เธอทิ้งผมไปแล้ว
"โธ่โว๊ย! นี่เราทำบ้าอะไรลงไปวะ"
ผมเอามือเสยผมตัวเองอย่างหัวเสียเรื่องอย่างนั้นมันไม่น่าเกิดขึ้น ยอมรับว่าเมื่อคืนเมามากแต่ก็ต้องยอมรับอีกว่าเรื่องทั้งหมดที่ทำลงไปไม่ใช่เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์อย่างเดียว มันเป็นเพียงตัวกระตุ้นให้ผมกล้าทำความเลวเท่านั้น ทั้งๆ ที่เมื่อคืนผมยังคุมสติตัวเองได้อยู่แท้ๆ ผมคงหนีความจริงไม่ได้ว่าอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำกับเธอเป็นเพราะตัวผมเองนั่นแหละที่ขี้ขลาด เพราะผมยอมไม่ได้ที่จะต้องเสียเธอไป ไม่ว่าจะรักแค่ไหนหรือเป็นคนดีเท่าไหร่ สำหรับเธอผมเป็นได้แค่ผู้มีบุญคุณเท่านั้น แม้ว่าบางครั้งเธอจะมีสายตาหวั่นไหวให้ผมได้มีความหวังบ้าง แต่สุดท้ายความจริงก็ได้ปรากฏชัดแล้วว่าเธอรักเขามากขนาดไหน ผมเลยไม่มีทางเลือกอีกแล้ว แม้ว่ามันจะเป็นวิธีที่ต่ำทรามขนาดไหน แต่ในเวลานั้นผมคิดอะไรไม่ออกจริงๆ นอกจากรั้งเธอไว้ด้วยความผูกพันทางกายโดยที่ไม่สนใจว่าความว่างเปล่าในใจเธอมันจะทำให้ผมรู้สึกทรมานยิ่งกว่าเก่า แต่ผมก็ทะนงตัวพอที่จะรับมันไว้เพียงเพื่อได้ครอบครองเธอก็พอ อาจฟังดูเหมือนเห็นแก่ตัวแต่ผมก็ทำไปแล้ว และจะไม่มีวันถ้อยหลังกลับ
ตืด~ ตืด~
(ฮัลโหล)
"ริช! ฉันมีงานให้เธอทำ"
(งานอะไร)
"ตามหาคนให้ฉัน!"
เสียงสายฝนกระหน่ำอยู่ข้างนอกรถ แถมมีฟ้าแลบเป็นระยะตลอดทาง แต่นั่นก็ยังไม่ทำให้ฉันรู้สึกแย่เท่ากับการที่ต้องนั่งรถมากับพี่เกลในสถานการณ์แบบนี้
หลายครั้งที่พี่เกลมองฉันเหมือนรอให้ฉันพูดอะไรออกมาบ้าง แต่ฉันก็เอาแต่นั่งเงียบ และดูเหมือนเขาก็ไม่ละความพยายามเขาหันมามองฉันอีกครั้ง แต่ฉันก็ยังนิ่งเหมือนเดิม เขาจึงหันกลับไปมองถนนเบื่องหน้าส่วนฉันก็หันหน้าหนีเขาไปมองทิวทัศน์ด้านนอกที่กำลังวิ่งผ่านเข้ามาซึ่งมันก็ไม่ได้มีอะไรให้มองนอกจากรถที่กำลังวิ่งอยู่บนท้องถนนอย่างหนาแน่น เหล่ามนุษย์เงินเดือน นักเรียน นักศึกษา หรืออีกหลายๆ อาชีพล้วนแล้วแต่ใช้ชีวิตหลายชั่วโมงในท้องถนนที่มีแต่รถติดจนขยับไปไหนแทบไม่ได้โดยเฉพาะในเวลาฝนตกแบบนี้
"พี่อยากจะฟังความจริงทั้งหมด" ในที่สุดพี่เกลก็ตัดสินใจพูดออกมาก่อน ด้วยน้ำเสียงที่พยายามปรับให้มันเป็นปกติที่สุด
"…" ฉันละสายตาจากด้านนอกแล้วหันไปหาเขา ฉันอยากพูดนะอยากอธิบายทุกอย่างให้เขาเข้าใจในตัวฉันเหลือเกิน แต่แล้วประโยคต่างๆ ก็เหมือนจะดังอยู่แต่ในความคิดของฉันคนเดียวเท่านั้น
"ขมิ้น!…พี่แทบจะเป็นบ้าอยู่แล้วรู้บ้างมั้ย"
"…"
"ได้โปรด พี่ขอร้องพูดอะไรออกมาสักอย่างอย่าเอาแต่เงียบแบบนี้"
"ขมิ้น…" ฉันเงยหน้าสบตาเขาทั้งน้ำตา "…ขอโทษ"
"หมายความว่ายังไงพี่ไม่เข้าใจ"
"ทุกอย่างมันไม่เหมือนเดิมแล้ว"
เมื่อฉันพูดออกไป สีหน้าพี่เกลก็บ่งบอกได้ชัดเจนว่าเขารู้สึกอย่างไร เ
"ขมิ้นรักไอ้หน้าขาวนั่นใช่มั้ย"
"…"
"พี่ถามไม่ได้ยินเหรอ!!" หลังจากที่เขาพยายามทำน้ำเสียงให้เหมือนคนที่เต็มไปด้วยสติแต่แล้วในที่สุด เขาก็รับกับความกดดันได้ไม่นาน เขาตวาดฉันเสียงดังลั่นรถ พลางเขย่าที่ไหล่ฉันอย่างแรงด้วยความโมโห
"ขมิ้นรักมันใช่มั้ย!?"
"ใช่!"
ฉันตะโกนออกไปเสียงดัง ทำเอาพี่เกลถึงกับนิ่งไปเหมือนถูกแช่แข็ง
"ทั้งๆ ที่พี่บอกรักขมิ้นไปแล้ว แต่ทำไมขมิ้นถึง…"
"แล้วพี่มาบอกอะไรเอาป่านนี้ "
ฉันจ้องตาเขาเขม็งพลางน้ำตาไหลพราก นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ฉันกล้าใช้สายตาแข็งกระดากแบบนี้มองเขา "ทั้งๆ ที่เราโตมาด้วยกัน แต่พี่กลับเพิ่งมาบอกรักฉันเอาตอนที่พี่กำลังจะทิ้งฉันไปเนี่ยนะ พี่ไม่เห็นแก่ตัวไปหน่อยเหรอที่กักขังหัวใจฉันให้รอพี่อย่างโดดเดี่ยวที่นี่ ในขณะที่พี่เอาแต่วิ่งไล่ตามความฝันของตัวเอง แล้วขมิ้นละน้องก็ไม่ใช่เป็นแฟนก็ไม่ได้ ตอนพี่อยู่ขมิ้นก็ต้องอยู่อย่างไร้ตัวตน แล้วตอนพี่ไปไกลแสนไกล แล้วขมิ้นจะอยู่ยังไงกับใคร พี่เคยนึกถึงบ้างมั้ย"
"ขมิ้น!"
"ถ้าความรักของพี่มันมีแต่ความเห็นแก่ตัวพี่ก็เอามันกลับไปเถอะขมิ้นไม่ต้องการ"
ปึง!
ฉันไม่รู้ว่าฉันเปิดประตูรถออกมาตอนไหนแต่พอรู้ตัวอีกทีฉันก็ปิดมันลงไปแล้ว ฉันออกมายืนโงนเงนอยู่นอกรถท่ามกลางสายฝนที่ยังเทลงมาจากฟากฟ้าไม่ขาดสาย บนท้องถนนที่รถติดกันแน่นเป็นปลากระป๋อง หลายคันบีบแตรด่าที่ฉันบ้าอยู่ๆ ก็เดินลงจากรถแต่ฉันทนนั่งอยู่ตรงนั้นไม่ไหว ฉันทนเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดปนความผิดหวังของเขาไม่ได้จริงๆ ฉันไม่เข้าใจตัวเองเลยรักเขาก็รู้สึกผิดพอคิดจะไม่รักก็รู้สึกผิดหนักกว่าเก่าเสียอีกตกลงฉันรู้สึกกับเขาแบบไหนกันแน่นะ
ฉันก้าวเดินต่อไปจนข้ามมาถึงริมฟุตบาทได้อย่างปลอดภัย ไม่รู้ว่าพี่เกลจะลงจากรถตามฉันมาหรือเปล่าแต่ฉันว่าไม่มีทาง มีข้อสันนิษฐานง่ายมากที่เขาจะไม่ตามมาเพราะเขาเป็นดาราดังถ้าอยู่ดีๆ โผล่ออกมาจากรถที่กำลังจอดอยู่บนท้องถนนเพื่อวิ่งตามผู้หญิง คงได้เป็นข่าวใหญ่โตแน่ ฉันจึงไล่ความหวังเล็กๆ นั้นทิ้งไปซะไม่มีประโยชน์ที่จะคิดแบบนั้นในเมื่อวันนี้ทุกอย่างระหว่างฉันกับเขาต้องจบลงสักที ฉันจะไม่หันหลังกลับไปไม่แม้แต่จะชำเรืองมอง ฉันต้องก้าวเดินไปข้าง และต้องไม่ใจอ่อน
ทันทีที่เธอก้าวลงจากรถในหัวของผมก็ไม่คิดถึงอะไรทั้งนั้นนอกจากวิ่งตามเธอไป ผมตามเธอไปติดๆ แต่แล้วเธอกลับถูกฝูงชนกลืนกินจนหายไปกับสายฝน ผมยืนหันรีหันขวางพยายามมองหาเธอแต่ก็ไม่เห็นแม้เงา
lovezombie
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 8 ก.พ. 2557, 13:58:45 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 8 ก.พ. 2557, 13:58:45 น.
จำนวนการเข้าชม : 948
<< บทที่ 15 | บทที่ 17 >> |