กลรักนฤมิต (ชุดหน่วยซีล)
มือสไนเปอร์หนุ่มพูดน้อย แห่งหน่วยเรดทีมจู่โจม SEAL team six
ด้วยอาชีพการทำงานทำให้เขาไม่ได้เอาใจใส่พี่สาว ซึ่งเป็นคนในครอบครัวที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวของเขา
หลังจากได้รับอุบัติเหตุแขนหักจนต้องพักงานยาว เขาจึงเดินทางกลับมาที่บ้านอีกครั้ง
ณ ที่แห่งนี้เองที่ทำให้ชีวิตของเขาต้องเปลี่ยนไป
พี่สาวคนเดียวเสียชีวิตไปอย่างปริศนา
โค้ดลับแปลกๆ เกี่ยวกับชื่อของเทพเจ้ากรีก
คนเดียวที่จะช่วยไขปริศนานี้ได้คือหญิงสาวคนหนึ่งที่ก้าวเข้ามาในชีวิตของเขา
ยายสาวแว่นตัวเล็กแต่งตัวเรียบร้อยประหนึ่งแม่ชีในโบสถ์ แต่กลับมาเขย่าหัวใจของเขาได้เพียงแค่สบตากัน
'ไอ้โจรข่มขืน' กับ 'ยายแว่นจอมเฉิ่ม'
จากคู่กัดกลายเป็นคู่รักที่ไม่น่าเป็นไปได้
เธอเข้ามาเพียงเพราะสมุดจดบันทึกแล็บของพ่อเธอ และสมุดแล็บของพี่สาวเขา จะนำไปสู่การไขปริศนาลับอันตราย
การทดลองทางพฤษศาสตร์ที่ใช้ชื่อว่า Pearly คือทางเดียวที่จะบอกได้ว่าคนพวกนี้ต้องการอะไร
ณ ห้องแล็บเล็กๆ กลางป่าแห่งนี้เปลี่ยนหัวใจที่เคยด้านชาให้มีชีวิตชีวา รู้จักคำว่ารักที่แท้จริง
เช่นเดียวกับอันตรายต่างๆ นานาและความเจ็บปวดมหาศาลที่จะตามเข้ามา
โดยที่เขาไม่สามารถทำอะไรได้เลยแม้แต่นิดเดียว
ด้วยอาชีพการทำงานทำให้เขาไม่ได้เอาใจใส่พี่สาว ซึ่งเป็นคนในครอบครัวที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวของเขา
หลังจากได้รับอุบัติเหตุแขนหักจนต้องพักงานยาว เขาจึงเดินทางกลับมาที่บ้านอีกครั้ง
ณ ที่แห่งนี้เองที่ทำให้ชีวิตของเขาต้องเปลี่ยนไป
พี่สาวคนเดียวเสียชีวิตไปอย่างปริศนา
โค้ดลับแปลกๆ เกี่ยวกับชื่อของเทพเจ้ากรีก
คนเดียวที่จะช่วยไขปริศนานี้ได้คือหญิงสาวคนหนึ่งที่ก้าวเข้ามาในชีวิตของเขา
ยายสาวแว่นตัวเล็กแต่งตัวเรียบร้อยประหนึ่งแม่ชีในโบสถ์ แต่กลับมาเขย่าหัวใจของเขาได้เพียงแค่สบตากัน
'ไอ้โจรข่มขืน' กับ 'ยายแว่นจอมเฉิ่ม'
จากคู่กัดกลายเป็นคู่รักที่ไม่น่าเป็นไปได้
เธอเข้ามาเพียงเพราะสมุดจดบันทึกแล็บของพ่อเธอ และสมุดแล็บของพี่สาวเขา จะนำไปสู่การไขปริศนาลับอันตราย
การทดลองทางพฤษศาสตร์ที่ใช้ชื่อว่า Pearly คือทางเดียวที่จะบอกได้ว่าคนพวกนี้ต้องการอะไร
ณ ห้องแล็บเล็กๆ กลางป่าแห่งนี้เปลี่ยนหัวใจที่เคยด้านชาให้มีชีวิตชีวา รู้จักคำว่ารักที่แท้จริง
เช่นเดียวกับอันตรายต่างๆ นานาและความเจ็บปวดมหาศาลที่จะตามเข้ามา
โดยที่เขาไม่สามารถทำอะไรได้เลยแม้แต่นิดเดียว
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: บทที่ 1 กลับบ้าน
บทที่ 1 กลับบ้าน
ค่ายทหารสหรัฐอเมริกา อัฟกานิสถาน
เสียงโหวกเหวกโวยวายของใครบางคน เปรียบเสมือนแสงสว่างนำทางอยู่ในความมืดมิดที่รายล้อมรอบกาย กลิ่นยาที่อบอวลอยู่ในนาสิกประสาททำให้คนที่นอนเจ็บมานานค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า ความรู้สึกแรกคือเจ็บที่แขนขวาจนแทบขยับไม่ได้ ความทรมานมหาศาลทำให้คนที่พยายามจะฝืนลุกขึ้นมาต้องชะงัก แล้วทิ้งตัวลงนอนเหมือนเดิม เช่นเดียวกับเสียงแหกปากแหกคอเมื่อครู่เช่นกัน ทุกคนหันมามองร่างสูงใหญ่ที่ทอดยาวอยู่บนเตียงพยาบาลพร้อมกันเป็นตาเดียว
“อึดฉิบหายเลยว่ะเจ.ที.” เคลย์ตันเป็นคนแรกที่ปราดเข้าถึงตัวคนเจ็บ ยังจำวินาทีที่เจ.ที.ผลักเขาจนพ้นรัศมีแรงระเบิดของเฮลิคอปเตอร์นรกลำนั้นได้ เขาปลอดภัยและบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น แต่เพื่อนต้องมาเจ็บหนัก หรือแม้แต่คนอื่นๆ ก็เช่นกัน เหตุการณ์เมื่อสองปีก่อนที่ทำให้เสียเพื่อนร่วมทีมไปหนึ่งคนยังกระจ่างชัดในความทรงจำ ถ้าจะต้องมาเสียพลซุ่มยิงที่ดีที่สุดของทีมไปอีก มันคงจะเป็นภาพที่ตามหลอกหลอนไปตลอดชีวิตแน่
“เป็นยังไงบ้างวะเจ.ที.” เรือเอก นิติธรรม์ แมคอีเซอร์ หัวหน้าเรดทีมจู่โจมของซีลทีมซิกซ์ถามขึ้นบ้าง
“ยังอยู่ดีน่าผู้กอง”
“คิดว่าจะไปเฝ้าซาตานแล้วซะอีก” พันจ่าเอกเจสัน ฟอสเตอร์ หนึ่งในสมาชิกที่ปากเสียได้ทุกสถานการณ์เอ่ยขึ้นแล้วหัวเราะออกมาดังลั่น “เสือกคิดว่าตัวเองเป็นพระเอกไปช่วยไอ้เคลย์มัน สมน้ำหน้า”
“หุบปากนายบ้างก็ได้เจสัน”
“นิดนึงน่าผู้กอง ไอ้เจ.ที.มันยังไม่โกรธเลยเห็นไหม”
“ปืนผมล่ะ” แทนที่คนเจ็บจะถามเรื่องภารกิจ แต่คนเจ็บกลับถามถึงปืนสุดรักสุดหวงขึ้นมาเป็นคำแรก จนเพื่อนๆ ถึงกับหัวเราะครืนใหญ่ รู้ดีว่าเจ.ที.รักปืนกระบอกนี้แค่ไหน
“เก็บซากไว้ให้แล้ว โดนระเบิดเละเลยว่ะ” เคลย์ตันตอบแทน
“แล้วภารกิจล่ะ”
“ไม่สำเร็จไง มันหนีไปได้ก่อนที่เราจะไปถึงอีก เรื่องนี้เราไม่ผิดหรอก ต้องไปโทษพวกซีไอเอโน่น ข่าวมั่วชะมัด นี่สองครั้งแล้วนะที่พลาด เมื่อไหร่ไอ้เวรนั่นจะโดนไล่ออกไปสักทีวะ ไม่น่าเอามันไว้หรอกคนแบบนี้น่ะ” ชาร์ลีเอ่ยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด ยังโกรธเจ้าหน้าที่ซีไอเอที่ชื่อ อีธาน รอร์จไม่หาย เพราะไอ้บ้านั่นคนเดียวที่ทำงานพลาดจนทำให้ พันจ่าเอก เกรกอรี่ เทอร์เนอร์ เพื่อนร่วมทีมของเขาต้องตายไปเมื่อสองปีก่อน แม้จะไม่ใช่ความผิดเรื่องข่าวมั่วโดยตรง แต่มันก็อดพาลไม่ได้อยู่ดี
“เอาน่า พลาดแล้วก็พลาดไป เราทำดีที่สุดแล้ว” หัวหน้าทีมว่า ทั้งที่ใบหน้ายังฉายแววเจ็บปวดทุกครั้งที่นึกถึงเพื่อนผู้ล่วงลับ
“ตอนนี้เราอยู่ที่ไหน” หนุ่มคนเจ็บกวาดดวงตาคู่คมกริบของตนเองไปรอบๆ ตัว
“ในส่วนพยาบาลน่ะ” หัวหน้าทีมตอบ
“จบภารกิจนี้แล้วเอายังไง”
“กลับบ้านไง” ไมเคิล หนุ่มอีกคนในซีลทีมซิกซ์พูดขึ้นบ้างหลังจากที่เงียบอยู่นาน โดยมี เรือโท แมทธิว โดโนแวน ที่เข้ามาสมทบในทีมแทนจ่าเกรกอรี่ที่เสียชีวิตไปและโธมัสผู้เป็นสมาชิกเก่าแก่ของทีมยืนนิ่งไม่พูดไม่จากับใครเช่นกัน ส่วนชาร์ลีนั้นพอพูดจบก็เดินออกไปทันที คนอื่นๆ รู้ดีว่าชาร์ลีเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น เพราะตั้งแต่ที่จ่าเกรกอรี่ตาย ชาร์ลีก็ตั้งตัวเป็นศัตรูกับเจ้าหน้าที่ซีไอเอผู้นั้นตลอดมา
“ปล่อยมันไปเถอะ ก็รู้อยู่ว่ามันไม่ปกติ”
“แล้วนายปกติดีหรือเจสัน” หัวหน้าทีมหนุ่มถามสีหน้าเรียบเฉย
“ปกติดีสิวะไอ้ผู้กอง หล่อเหมือนเดิมด้วยนะโว้ย ไม่ได้บุบสลายตรงไหนนี่”
“แน่นะ”
“ไปเช็คเดี๋ยวนี้ยังได้เลยผู้กอง ฉันฟิตปั๋งนะโว้ย”
“ฉันหมายถึงไปเช็คสมองต่างหาก” เจ.ที.แทรกขึ้นแทนหัวหน้าทีมหนุ่มของตนเอง ไม่มีใครคิดว่าคำย้อนนิ่งๆ ของคนเจ็บจะทำให้เจสันถึงกับสะอึกได้ ยิ่งบวกกับหน้าตาเหมือนคนตายด้านของคนพูดด้วยแล้ว ยิ่งไม่น่าเชื่อเข้าไปใหญ่
“ไอ้ห่า...” เจสันเตรียมจะด่าต่อ แต่ก็ยังไม่ทันที่หนุ่มๆ ซีลทีมซิกซ์จะต่อล้อต่อเถียงกันมากกว่านี้ คุณหมอหนุ่มใหญ่ประจำค่ายประจำการก็เดินเข้ามาตรวจอาการคนไข้ของตน จนคนอื่นๆ ต้องล่าถอยออกไปก่อน
“เราได้พักอย่างไม่มีกำหนดนะเจ.ที. นายพอจะเดินทางได้เมื่อไหร่ เขาจะส่งเรากลับบ้านทันที” เรือเอก นิติธรรม์ หันมาหาลูกทีมของตัวเอง ซึ่งคนเจ็บก็ได้แต่พยักหน้ารับ แล้วมองเพื่อนๆ เดินออกจากห้องพักฟื้นไป โดยไม่ได้พูดอะไรออกมาเลยแม้แต่คำเดียว
คนเจ็บพักรักษาตัวได้ราวๆ สี่สัปดาห์ ระหว่างนั้นบรรดาหนุ่มๆ ในทีมต้องทำการบรรยายสรุปปฏิบัติการของตัวเองจนกระทั่งเสร็จเรียบร้อย ในที่สุดพลซุ่มยิงหนุ่มก็ได้รับอนุญาตให้กลับบ้านได้ ตอนนี้พวกเขาอยู่เครื่องบิน C-130 ของกองทัพสหรัฐฯ และการเดินทางนับสิบชั่วโมงสิ้นสุดลง เมื่อนกเหล็กลำยักษ์แตะลงที่รันเวย์ในเขตฐานทัพเรือสหรัฐอเมริกา
หลังจากข่าวเรื่ององค์กรก่อการร้ายที่ชื่อโครนอสปูดออกมาแล้ว ประเทศกำลังต้องเฝ้าระวังและปราบปรามการก่อการร้ายสากลตลอดเวลา ซีลทีมซิกซ์หรือที่เรียกกันอีกชื่อว่า ‘เดฟกรุ๊ป’ จึงต้องทำงานกันหนักขึ้น เพราะพวกเขาคือหนึ่งในกลุ่มเจซอค และต้องมาประจำการอยู่ที่แดมเน็ก รัฐเวอร์จิเนีย อันเป็นสถานที่ประจำการที่แท้จริงของซีลทีมซิกซ์นั่นเอง แต่ก็ไม่มีปัญหากับพวกหนุ่มๆ เพราะที่นี่มีบ้านพักให้ ส่วนพวกมีครอบครัวอยู่แล้วก็สามารถพาบ้านพักหลังใหม่ได้อย่างไม่ยาก
บรรดาหนุ่มๆ สมาชิกเรดทีมของซีลทีมซิกซ์จึงลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายเตรียมตัวจะลงจากเครื่องบิน สามเดือนแล้วที่ไม่ได้กลับบ้านและไม่ได้ติดต่อกลับไปหาคนในครอบครัวเลย ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติที่ทำใจยอมรับกันได้ทุกคนอยู่แล้ว แต่เมื่อสองหนุ่มในทีมแต่งงานมีครอบครัวออกไป ก็เริ่มมีปฏิกิริยาทันที บ่นคิดถึงลูกถึงเมียแทบตลอดเวลาที่ประจำการที่คาบูล
เจ้าของดวงตาคู่สีน้ำตาลคมเข้มกวาดตามองเพื่อนร่วมทีมที่พูดคุยกันเสียงดังโหวกราวกับอยู่กันกลางป่าก็ไม่ปาน เขานั่งอยู่ในมุมมืดของตัวเครื่องโดยไม่ได้พูดจาอะไรกับใครเท่าไหร่ มันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่เจ.ที. หรือยศทางการทหารเต็มๆ คือ เรือตรี เจ.ที. สไวเกอร์ ผู้นี้จะอยู่ในทีมแบบเงียบๆ จนเหมือคนไร้ตัวตน
“เจ.ที.มันกลับมาด้วยหรือเปล่าวะ” เจสันคนเดิมแหกปากเสียงดัง หลังจากเห็นคนอื่นๆ ลุกขึ้นกันหมดแล้วแต่คนเพิ่งหายเจ็บยังนิ่งเฉยจนเหมือนรูปปั้นเข้าไปทุกวัน ผิดกับนิติธรรม์และเคลย์ตัน ที่ใจคอจะถลาลงจากเครื่องให้ได้ หลังจากรู้ว่าลูกเมียมารอรับอยู่ที่นี่
“นายนี่ก็ช่างหาเรื่องเจ.ที.มันซะจริงๆ” ไมเคิลส่ายหน้า บางทีก็นึกรำคาญเจสันเหมือนกัน คนอะไรจะทั้งหาเรื่องและกัดชาวบ้านเขาไปได้ทั่ว
“นายดูมันสิ ทำเหมือนไม่ได้มาด้วยกัน หรือมันไม่เอาวิญญาณมาวะ” ไม่พูดเปล่า เจสันเดินเข้ามาใกล้ๆ แล้วฉวยโอกาสตีก้นไมเคิลเต็มแรง แล้วชักสีหน้ากวนๆ เข้าใส่ ไม่สนเลยแม้แต่นิดเดียวว่าอีกฝ่ายกำลังถลึงตามองอย่างหัวเสีย
“ไอ้เวรนี่!” คนถูกลวนลามสบถตามมาอีกยาวยึด “หาเรื่องจริงๆ นะนายน่ะ วอนโดนตีนซะแล้วไหมล่ะ หื่นนักไปหาอีหนูแถวบ้านนายโน่น”
“นิดหน่อยน่า กวนไอ้เจ.ที.ไม่ขึ้น กวนนายนี่ได้เรื่องกว่าเยอะว่ะไมกี้”
“เดี๋ยวจะได้ตีนด้วย” ไมเคิลยกเท้าขึ้นมาแล้วชี้นิ้วลงไปให้ดู “แน่จริงไปเก่งกับเจ.ที.สิวะ ให้มันฟาดปากสักเปรี้ยง”
“เจ็บแขน” คนถูกพาดพิงถึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“โอ๊ย! นี่ไง มันพูดออกมาแล้ว ตายห่า ต้องจุดพลุฉลองไหมวะ...ทอม นายไปขอกระสุนปืนที่หมดอายุมาสักสองลังแล้วมาแล้วยิงฉลองเลยดีกว่า” หนุ่มกะล่อนที่ชื่อเจสันหัวเราะร่วนแล้วหันไปพยักพเยิดกับโธมัส จากนั้นจึงเดินไปชกบ่าซ้ายที่ไม่ได้บาดเจ็บของเจ.ที.
“น้อยๆ หน่อยเจสัน เจ.ที.มันบาดเจ็บเพราะช่วยเรานะ” ชาร์ลีตามเข้ามาสมทบ
“แต่ฉันเป็นคนแบกมันขึ้นบ่าหนีมานะโว้ย คนหรือหมีควายวะ ตัวหนักฉิบหาย”
“แค่แบกมันออกมา ทำยังกับเป็นผัวมันไปได้ จะล้ำเลิกบุญคุณอะไรนักหนาวะ” โธมัสยักคิ้วหลิ่วตา ส่งผลให้ทั้งคนเจ็บและคนปากเสียถึงกับถลึงตามองคนพูดอย่างขวางๆ แล้วจึงหันมามองหน้าคู่กรณีของตนเอง พลันขนตามเนื้อตัวก็ตั้งชันขึ้นมาทันที
อยู่ดีๆ มาหาว่าเป็นคู่เกย์กับไอ้บ้าเจสันเนี่ยนะ!
“มัวคุยอะไรกันอยู่วะ” เสียงปานฟ้าผ่าของหัวหน้าทีมหน้าโหดดังขึ้นจนได้ “เจ.ที. นายจะกลับบ้านพร้อมฉันเลยแล้วกัน นายแขนเดี้ยงแบบนี้ขับรถเองไม่ได้แน่”
“เกรงใจน่ะผู้กอง ผมไปเองได้”
“มันจะรบกวนอะไรนักหนาวะ ก็ฉันบอกว่าจะไปส่ง อย่าเรื่องมากนักเลยน่ารำคาญ...ไปเร็วๆ ลูกเมียฉันรออยู่”
“เดี๋ยวสิผู้กอง” แทนที่จะเป็นเจ.ที. ที่เดินตามคนพูดไป แต่กลับเป็นนายเจสันจอมกวนประสาทคนเดิมที่ขัดขึ้นเสียก่อน
“อะไรอีกวะเจสัน”
“น้องเมียผู้กองมาด้วยเปล่า น้องคนนั้นน่ะ น่ารักนะ ขอจองเลยได้ไหม คนอะไรแม่งโคตรน่ารักเลยว่ะ นี่บอกได้เลยว่าชอบมาก อยากได้...ป่านนี้คงโตเป็นสาวเต็มไม้เต็มมือน่าดู” พูดไม่พูดเปล่า เจสันยังถูฝ่ามือไปมาอย่างหมายมาดอีกด้วย บวกกับหน้าตาหื่นกามของชายหนุ่ม ส่งผลให้หัวหน้าทีมหนุ่มมองตาขวาง
“น้อยๆ หน่อย นั่นน่ะน้องเมียฉันนะโว้ย อย่ามาทำเป็นเล่นไป”
“ทำไม กลัวเมียด่าเหรอไอ้ผู้กอง” เจสันยักคิ้วล้อเลียน
“เออสิวะ!” คนหวงน้องเมียส่ายหน้าพรืด เขาเดินนำหนุ่มๆ สมาชิกซีลทีมซิกซ์ลงจากเครื่องบิน แล้วตรงไปยังส่วนสำนักงานของกองทัพเรือ ก็ปรากฏร่างบอบบางของภรรยาสุดที่รักอุ้มลูกสาววัยใกล้สองขวบมารออยู่แล้ว
ท่าทางของพวกที่มีคนรักมารออยู่เบื้องหน้าทำให้พวกโสดทั้งหลายได้แต่แอบแบะปากด้วยความหมั่นไส้ โดยเฉพาะเจสันที่แสดงอาการออกมาอย่างชัดเจน ด้วยการเอ่ยขึ้นมาลอยๆ
“พวกที่เมียลูกมีเมียแล้วนี่ก็แปลกนะ หวงลูกหวงเมียนี่ไม่เท่าไหร่ แต่หวงยันน้องเมียนี่มันยังไงๆ อยู่นา”
“ไอ้…”
“พอเถอะ น่ารำคาญ” คำพูดของคนเจ็บหน้าตายถึงกับทำให้สงครามย่อยๆ ระหว่างหัวหน้าทีมและหนุ่มจอมกะล่อนอย่างเจสันชะงัก แล้วหันมามองคนที่ยังเข้าเฝือกที่แขนขวาเป็นตาเดียว
“ฉิบหายแล้วไอ้เจ.ที. ฉันนึกว่าหูฝาด นี่นายพูดได้จริงๆ ใช่ไหม”
“เตะปากคนก็ได้” แล้วมือสไนเปอร์หน้านิ่งก็เดินออกไปรอขึ้นรถของหัวหน้าทีมหน้าตาเฉย ไม่พูดไม่ถามอะไรทั้งสิ้น จนคนอื่นๆ ได้แต่ส่ายหน้าแล้วหัวเราะออกมาเสียงดัง
“ฉันว่ามันรำคาญนายมานานแล้วว่ะเจสัน ทำหน้าเหมือนคนอยากตายขนาดนั้น” ชาร์ลีหัวเราะ เดินมาตบบ่าเพื่อน แล้วเดินแยกย้ายออกไป
“ก็เห็นมันมีอยู่หน้าเดียว”
“หน้าอื่นก็มี จำไม่ได้เหรอตอนที่นายเรียกชื่อจริงๆ ของมันครั้งแรกน่ะเป็นยังไง” ไมเคิลท้วง ขณะที่เจสันทำหน้ากระอักกระอ่วนทันที ทำไมจะจำไม่ได้ว่าวันแรกในกรีนทีมของเขาและเจ.ที.เป็นอย่างไร
ในวันแรกของการฝึกบุกช่วยเหลือตัวประกันบ้านสังหารในกรีนทีม ด่านแรกของการคัดสรรซีลทั้งหมดทั้งมวลเข้าเป็นซีลทีมซิกซ์ พวกเขาพักอยู่ในโรงนอนที่สร้างจากคอนกรีต อบอวลไปด้วยกลิ่นเหงื่อไคลและสเปรย์กำจัดแมลง ไม่มีใครอาบน้ำเลยแม้แต่คนเดียว ซีลทุกคนก็พอจะรู้จักหรือได้ยินชื่อกันมาบ้างแล้ว ยกเว้นผู้ชายหน้าตาเหมือนคนเบื่อโลกคนหนึ่ง ร่างสูงใหญ่บึกบึนโดดเด่น ชายคนนั้นแนะนำตัวเองสั้นๆ ว่าชื่อ เจ.ที. นามสกุล สไวเกอร์ ตอนนั้นทั้งเจสันและไมเคิลก็พยายามถามว่าชื่อเต็มๆ คืออะไร แต่ไอ้คนที่มีแค่หน้าเดียวไม่ว่าจะอารมณ์ไหนก็ไม่ยอมตอบ พวกเขาเลยแอบไปขุดคุ้ยชื่อจริงของเจ.ที.มาจนได้ จากนั้นเอามาล้อเลียนคนพูดน้อย
และสุดท้ายก็โดนมันประเคนแข้งเข้าให้เต็มรัก หลังจากนั้นก็ไม่มีใครเรียกชื่อจริงของเจ.ที.อีกเลย
“อย่าไปยั่วโทสะมันให้มากน่าเจสัน เดี๋ยวนายจะโดนเหมือนวันแรกในกรีนทีมอีก” ไมเคิลพยักเพยิด เพราะตนเองก็เป็นหนึ่งในคนที่โดนแข้งทองของเจ.ทีเช่นกัน
“แยกย้ายกันไปเถอะไป๊ ไอ้เจ.ที.ไปนั่งหน้าบูดอยู่บนรถแล้วผู้กอง ฉันก็จะรีบกลับไปสวีทกับเมียว่ะ เจอกันโว้ย” เคลย์ตันหัวเราะหึๆ แล้วโบกมือให้กับทุกคน จากนั้นจึงหันไปยิ้มหวานกับภรรยาและลูกชายหัวแก้วหัวแหวน แล้วก็พากันขึ้นรถยนต์ของภรรยาที่มารอรับทันที
“เออโว้ย พวกมีลูกมีเมียก็มีไปสิวะ เสือกมาจูบกันให้คนอื่นอิจฉาทำ อยากนักก็ไปต่อในห้องโน้นไอ้เคลย์...ไปโว้ยไมค์ อยู่นานแล้วจะอ้วก” เจสันโวยลั่น แล้วกอดคอไมเคิลพากันเดินออกไปทันที
“เจอกันนะผู้กอง” โธมัสเอ่ยลา ส่วนแมทธิวและชาร์ลีทำแค่พยักหน้าให้แล้วเดินออกไปเงียบๆ
“เออ เจอกันว่ะ”
เมื่อแยกย้ายกันเรียบร้อยแล้ว ครอบครัวของนิติธรรม์ก็พ่วงเอาชายหนุ่มพูดน้อยขึ้นรถมาด้วย แล้วมุ่งหน้าออกจากกองบัญชาการทันที โดยที่ตลอดทางนั้นภรรยาของ เรือเอก นิติธรรม์ เป็นคนขับ ส่วนคนเป็นพ่อก็หยอกล้อกับลูกสาวตัวอวบอ้วนที่แต่งตัวด้วยชุดกระโปรงสีเขียวสลับชมพูและที่คาดผมประดับดอกไม้สีแดงสดดอกใหญ่เสียกว่าหัวของหนูน้อยเสียอีก จนแทบลืมไปเลยว่ามีอีกคนที่เดินทางมาด้วยกัน
เจ.ที. มองภาพครอบครัวของหัวหน้าทีมแล้วก็อมยิ้มนิดๆ แต่ก็ไม่ได้มากไปกว่านั้น เขาไม่พูดอะไรออกมาเลย จนกระทั่งเด็กหญิงธีอาวัยใกล้สองขวบยื่นหน้ามาหาเขา และคะยั้นคะยอเสียงดัง
“อุ้มหน่อย” เด็กหญิงสั่งเสียงแจ๋น แววเอาแต่ใจส่อออกมาตั้งแต่ยังไม่เต็มสองขวบ พอเจ.ที.นิ่ง เด็กหญิงก็ส่งยิ้มหวานให้แทน แล้วสั่งอีก “อุ้มหน่อยๆ”
“สักหน่อยไหมเจ.ที. ยายหนูชอบนายนะ ปกติไม่ชอบให้ใครจับ”
“ไม่ดีกว่าผู้กอง” คนถูกถามส่ายหน้าพรืด เขาถูกกับเด็กเสียที่ไหน
“ท่าทางยายหนูจะชอบเจ.ที.นะคะ อุ้มแกหน่อยเถอะค่ะ แกไม่ซนหรอก” เสียงหวานๆ ของบัณฑิตา ภรรยาคนสวยของหัวหน้าทีมดังขึ้น แต่อีกฝ่ายก็ยังเฉย ได้แต่มองเด็กหญิงในชุดกระโปรงกับที่คาดผมสีแสบตาทั้งที่ผมก็ไม่ค่อยมี ซึ่งก็ทำให้นายทหารหนุ่มนึกอยากจะถามแม่ของหนูน้อยเหลือเกินว่าจะคาดมาทำไม หน้าก็ใหญ่ ที่คาดผมก็ใหญ่ แต่ผมไม่มี ดูแล้วตลกชะมัด
มือสไนเปอร์หน้านิ่งส่ายหน้าอีกรอบ แล้วยืนยันคำเดิมว่าไม่เอาดีกว่า เด็กๆ พวกนี้น่ากลัวจะตายไป!
“เผื่อนายอยากจะมีลูกเป็นของตัวเองบ้างไง” คุณพ่อของหนูน้อยกล่าวกลั้วหัวเราะ
“ไม่ดีกว่าผู้กอง”
“เอาไปเถอะน่า” และแล้วเด็กหญิงตัวกลมหน้าตาน่าฟัดก็ยิ้มหวานใส่นายทหารหน้าโหด จนคนเป็นพ่อหัวเราะร่วน แล้วสั่งสำทับ “ป้อนนมยายหนูแทนด้วยนะ”
“เฮ้ย! ไม่เอานะหัวหน้า ผมทำไม่เป็น”
“ถ้าอย่างนั้นเอายายหนูกลับมานี่”
เจ.ที.ก็ดันร่างเด็กหญิงธีอากลับไปหาพ่อทันที แต่ยายหนูกลับไม่ยอม ขืนตัวแล้วหัวเราะคิกคักอยู่คนเดียว
“ธีอาไม่ยักจะกลัวคนแปลกหน้านะคะ สงสัยจำหน้าพ่อไม่ได้ งงว่าใครกันแน่ เห็นหน้าหนวดเหมือนกัน” บัณฑิตาหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อเห็นอาการไม่หวั่นคนแปลกหน้าของลูกสาวตัวดี
“เออ ติดเจ.ที.ไปเลยก็ดี พ่อจะได้นอนบ้าง”
“ผมเคยเลี้ยงเด็กที่ไหนล่ะ” คนพูดน้อยสั่นหน้าแล้วพยายามส่งเด็กหญิงกลับไปจนสำเร็จ ครั้งล่าสุดที่เขาอุ้มเด็กคือเมื่อสิบหกปีที่แล้วเห็นจะได้ ผลที่ได้คือเด็กคนนั้นหล่นจากมือเขาหน้าตาเฉย หลังจากนั้นเจ.ที.ก็ไม่เล่นกับเด็กที่ไหนอีกเลย
“ดูท่ายายหนูจะไม่มีเสน่ห์แฮะ” ผู้กองหนุ่มแห่งทีมซีลส่ายหน้าแล้วรับลูกสาวมาในอ้อมกอด ก่อนจูบแก้มยุ้ยๆ ฟอดใหญ่ จนเด็กหญิงหัวเราะร่า จั๊กจี้ไปกับหนวดเครารุงรังของพ่อ
“ขายไม่ออกแล้วธีอาลูกแม่ ขนาดอาเจ.ที.ยังไม่ยอมจับ”
“เฮ้ย! ฉันหมั้นนายกับลูกสาวฉันไว้แล้วนะโว้ยเจ.ที.”
คนเพิ่งรู้ตัวว่าถูกหมั้นถึงกับสะดุ้งโหยง “บ้าหรือไงผู้กอง กว่าลูกสาวผู้กองจะใช้งานได้ ผมเสื่อมสมรรถภาพไปหมดแล้วมั้ง”
บัณฑิตาและนิติธรรม์หัวเราะไปกับถ้อยคำของหนุ่มพูดน้อย ที่พอพูดทีก็ทำเอาหน้าหงายไปเลยเช่นกัน
“ทำไมวะ ลูกสาวฉันไม่น่ารักตรงไหน”
“น่ากลัวน่ะสิผู้กอง กลัวว่าถ้าโตมาไม่บ้าพลังแบบผู้กอง ก็คงจะขาวีนเหมือนคุณแบลร์เมื่อก่อนน่ะสิ ไม่เอาหรอก ผมขออยู่อย่างสงบของผมแบบนี้ดีกว่า”
“เออนะ สรุปยายหนูธีอาไม่มีดี เตะลงเสียตรงนี้เลยดีไหมวะไอ้เจ.ที!”
“จะฟ้องให้ถึงผู้การเลยล่ะ”
“เออ ล้อเล่นโว้ย ว่าแต่เจ.ที นายอยากกลับบ้านเลยหรือว่าไปเที่ยวบ้านฉันก่อนไหม พอดีต้องไปรายงานตัวกับพ่อแม่ที่นิวยอร์กก่อน แบลร์ก็จะเข้าไปหาพี่ชายที่สำนักงานด้วย”
“อยากไปเที่ยวที่บ้านไหมคะเจ.ที.” คุณแม่ยังสวยหันไปยิ้มให้เพื่อนของสามีแวบหนึ่ง แล้วกลับไปตั้งหน้าตั้งตาขับรถต่อ
“เอาอย่างนั้นก็ได้ครับคุณแบลร์ ผมไม่รีบ แค่อยากกลับบ้านไปดูพี่สาวก็เท่านั้น ไปช้าหน่อยคงไม่เป็นอะไรมั้ง” มือสไนเปอร์หนุ่มตอบ
“เออ ไปนอนบ้านฉันแล้วลูกสาวฉันจะเสียชื่อเสียงตั้งแต่สองขวบไหมเนี่ย มีผู้ชายมาค้างอ้างแรมด้วยเนี่ย”
“เสียชื่อตั้งแต่ตอนนี้แล้วโตไปจะมีใครสนใจลูกเราไหมคะนอร์ด”
“ถ้าไม่มีก็ให้ไอ้เจ.ที.มันรับผิดชอบไง”
แล้วสองสามีภรรยาก็คุยกันไปหัวเราะกันไป โดยมีหนูน้อยตัวอ้วนกลมผสมโรงอยู่ไม่ขาด ช่างเป็นภาพครอบครัวที่แสนสุขชวนให้อิจฉาเสียจริง จนเจ.ที.ต้องแอบเบ้ปากอย่างอดหมั่นไส้ไม่ได้ แต่ลึกๆ ในใจของชายหนุ่มก็นึกอิจฉาหัวหน้าทีมไม่น้อย เพราะเขาจำไม่ได้เลยว่าความสุขแบบครอบครัวครั้งสุดท้ายที่ได้สัมผัสคือเมื่อไหร่กัน
ใบหน้าคร้ามเข้มสะบัดไล่ความคิดนั้นออกจากหัว แล้วมองไปยังภาพครอบครัวของหัวหน้าทีมหนุ่มที่ยังหัวร่อต่อกระซิกกันเหมือนเดิม หลังจากนั้นไม่นานนักหนูน้อยธีอาก็ร้องจะกินนมต่อ ก่อนจะหลับลงในอ้อมกอดแข็งแรงของพ่ออย่างง่ายดาย และแม่หนูนอนอุตุอย่างนั้นตลอดทางจนถึงนิวยอร์ก ที่ซึ่งมีบ้านอีกหลังของพวกตระกูลแมคอีเซอร์อยู่ด้วย
เจ.ที.ไปพักอยู่กับผู้กองหนุ่มได้ราวสองวัน จนกระทั่งหายเหนื่อยแล้ว จึงเดินทางกลับบ้านด้วยการรถประจำทาง การเดินทางจากนิวยอร์กมาที่เมืองวินฟิลด์ รัฐแคนซัสก็ใช้เวลาไม่น้อยทีเดียว ขนาดออกมาแต่เช้า มาถึงที่บ้านก็เลยครึ่งวันไปแล้ว ร่างสูงใหญ่ในชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวพับแขนมาครึ่งข้อศอกและกางเกงยีนสีเข้ม แขนข้างขวาที่เป็นแผลกล้ามเนื้ออักเสบยังคงปลอดภัยอยู่ในเฝือกแบบชั่วคราว ก็ลงจากรถบัสแล้วเดินเข้าในในทางเดินเล็กๆ ระหว่างทุ่งหญ้าและไร่ข้าวโพด ตรงที่มีกล่องไปรษณีย์สีทึมๆ กับตัวหนังสือที่หลุดร่อน แต่ก็ยังอ่านได้ใจความว่า ‘สไวเกอร์’
เจ้าของดวงตาคู่คมดุมองไปยังบ้านไม้สองชั้นตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า นอกเหนือสีเหลืองสดที่ยังคงส่งกลิ่นฉุนจมูกแล้ว ที่เหลือก็ยังดูคุ้นตาเหมือนเดิม โรงนาขนาดใหญ่ซึ่งเป็นสถานที่เก็บรถยังตั้งอยู่ทางขวามือของตัวบ้าน ‘แม่หนูกวินเน็ธ’ ที่แท้จริงแล้วมอเตอร์ไซด์บิ๊กไบต์คันโปรดของเขาเมื่อเกือบสิบปีก่อนนอนแอ้งแม้งอยู่ในมุมอับ ต้นไม้ใบหญ้าถูกตัดแต่งอย่างดี ล้อมลอบตัวบ้านด้วยรั้วสีขาวสะอาดสะอ้าน บ่งบอกว่าคงเพิ่งจะทาสีใหม่มานานมานี้แน่นอน
ที่นี่คือบ้านที่เขาอยู่มาตั้งแต่สมัยวัยรุ่น และจากไปร่วมสิบปีแล้ว จะกลับมาบ้างแต่ก็นานๆ ครั้ง ส่วนมากจะอยู่ที่บ้านพักใกล้กับฐานทัพเรือแต่ละแห่งมากกว่า แต่คราวนี้ไม่รู้ทำไม จู่ๆ จึงได้คิดถึงพี่สาวที่อายุห่างกันร่วมสิบปีขึ้นมา ไหนจะหลานชายตัวแสบของเขาอีกล่ะ
เจ.ที.ส่ายหน้าไปมา พวกเขาติดต่อกันตลอดเวลาก็จริง แต่เพราะความที่ไม่ใช่คนช่างพูดเท่าไหร่นัก จึงไม่สนิทกับใครเลย
ชายหนุ่มนึกย้อนไปถึงเมื่อครั้งยังเป็นวัยรุ่น เขาและพี่สาวเคยทะเลาะกันหนักมาก เจ.ที.ก็เหมือนวัยรุ่นทั่วไป ที่เรียนดีแต่คบเพื่อนนิสัยไม่ดีเท่าไหร่ พากันเที่ยวเตร่ มีเรื่องชกต่อยไม่เว้นแต่ละวันจนชาวบ้านเอือมระอากันหมด เขาได้ฉายาว่า ‘ไอ้เด็กเปรตสไวเกอร์’ ก่อเรื่องได้ทุกวันจนชาวบ้านทั้งวินด์ฟิลล์สาปส่ง ความประพฤติของเขาส่งผลให้พี่สาวผู้เป็นเสาหลักของบ้านและกำลังมีลูกอ่อนถึงกับเครียดจัด และหลังจากนั้นพี่เขยที่เป็นนายอำเภอก็ส่งเขาเข้าเรียนโรงเรียนนายเรือ เข้าไปเรียนได้ไม่กี่ปีพี่เขยก็ถูกพวกค้ายายิงตาย
เด็กหนุ่มเจ.ที.อยากจะมาหาพี่สาวที่สุด แต่ก็นึกละอายใจที่ทำตัวไม่ดีจึงตัดสินใจไม่มา จากนั้นเขาก็เริ่มห่างๆ ไป ใช้ชีวิตราวกับอยู่คนเดียวในโลก จนกระทั่งผ่านจนถึงบัดนี้ เขาไม่รู้ว่าทั้งพี่และหลานชายจะเป็นอย่างไรบ้าง เจสสิก้าจะแก่ขึ้นบ้างไหม หลานชายของเขาโตขึ้นมาแล้วหน้าตาเป็นอย่างไร นิสัยใจคอเหมือนใครมากกว่ากัน
ระหว่างที่ยืนทื่อและคิดอะไรเพลินๆ อยู่ตรงนั้น เสียงโครมครามจากในบ้านก็ดังขึ้น ไม่นานประตูบ้านก็เปิดออก พร้อมกับร่างผอมสูงของเด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดที่รูปร่างหน้าตาไม่ได้ผิดจากเขาเท่าไหร่ปรากฏขึ้น
“น้า!”
เจ.ที.ไม่ตอบ เขาอมยิ้มนิดๆ ขณะที่มองหลานชายที่รูปร่างหน้าตาคล้ายกับตนเองราวกับแกะกันออกมา รู้สึกเหมือนกับว่าได้มองเงาสะท้อนตัวเองในอดีตก็ไม่ปาน
“น้าใช่ไหมครับ”
“ลินคอนใช่ไหมล่ะ ถ้านายคือลินคอนก็ใช่...ฉันเอง เจ.ที. สไวเกอร์ ไม่ผิดคนแน่”
“น้าเจย์!” เด็กหนุ่มผมสีเข้มหัวเราะร่วน แล้วถลาเข้ามาหาน้าชายที่ตัวสูงกว่าเพียงนิดเดียว “เจ็บมาด้วยหรือครับ”
“เออน่ะสิ”
“ไม่เจ็บคงไม่กลับ มาครับๆ เดี๋ยวผมถือของให้” เด็กหนุ่มกุลีกุจอรับกระเป๋าสัมภาระใบย่อมของน้าชาย ที่ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี ก็ยังมีสีหน้าไร้อารมณ์เหมือนเคย จนตัวเองต้องเป็นฝ่ายเริ่มชวนคุยก่อน “ไม่เจอกันนาน น้าเจย์เดนโตขึ้นเป็นกองเลยนะครับ”
“ทะลึ่งนะเรา...เจสซี่ไม่ได้บอกเหรอว่าห้ามเรียกชื่อจริง”
“บอกฮะ แต่ผมสนที่ไหน”
เจ.ที.ได้แต่มองหน้าหลานตัวดีที่ถอดแบบวัยรุ่นกวนโทสะเหมือนตัวเองไม่ผิดเพี้ยน แล้วก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมาอย่างปลงๆ และก็เหมือนเดิม คือเขาไม่พูดอะไรออกมาเลยแม้แต่คำเดียว
ภายในบ้านหลังนี้ยังเหมือนเดิมทุกอย่าง ผิดแผกไปบ้างก็คือความรกรุงรังจนนึกภาพไม่ออกเลยว่าพี่สาวเจ้าระเบียบที่ชื่อเจสสิก้าอยู่ไปได้อย่างไร
“เจสซี่ไม่อยู่เหรอ”
“แม่ไปทำงานฮะน้า อยู่ที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแพทย์แคนซัส ในแคนซัสซิตีโน่น นานๆ จะกลับมาที”
“ทำไมต้องไปไกลขนาดนั้น โดนย้ายหรือไง ทำงานที่เดิมก็ดีแล้ว ใกล้บ้านดีด้วย”
“ไม่รู้สิฮะน้า แม่ก็ไปๆ กลับๆ ถ้าไม่ได้ขึ้นเวรแม่ก็กลับ”
“นานที่ว่านี่นานแค่ไหน”
“เป็นเดือนนั่นแหละฮะ” ลินคอนยักคิ้วกวนๆ “นี่ผมกำลังทาสีบ้านใหม่ น้าเจย์มาช่วยหน่อยสิฮะ”
“เจ.ที.” เขาย้ำชื่อย่อตัวเอง รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันทีที่มีคนเรียกชื่อจริงๆ ซึ่งไม่ได้ยินมานาน
“โอเคครับน้าเจย์เดน เทอร์เรนซ์ สไวเกอร์...โอ๊ย!” เสียงแตกหนุ่มอุทานดังลั่น เพราะถูกหน้าแข้งแข็งๆ ของน้าชายเข้าเต็มรัก
“บอกกี่ครั้งให้เรียกเจ.ที.”
“แม่ก็บอกแล้วนะ แต่ผมแค่อยากลองดีเฉยๆ” เด็กหนุ่มตัวแสบหัวเราะร่วนทั้งที่ยังคลำก้นป้อยๆ “น้านี่มือหนักตีนหนักดีจริงๆ”
“แล้วเจสซี่จะมาเมื่อไหร่”
“ไม่รู้สิฮะ นี่ก็หายไปเป็นเดือนแล้ว”
“โทร. กลับมาบ้างหรือเปล่าล่ะ” คนเป็นน้ารับแก้วน้ำเปล่าจากมือหลานชาย แล้วทรุดตัวลงนั่งกับโซฟาที่กลางห้องนั่งเล่น
“โทร. ฮะ เมื่อวานแม่บอกว่าเลิกงานดึก แล้วนี่น้าจะมาอยู่กี่วัน”
“จนกว่าจะหาย” เขายกแขนข้างที่ใส่เฝือกให้ดู
“ไปโดนอะไรมามาหรือฮะ”
“แรงระเบิดไปอัดกับอะไรไม่รู้...ช่างเถอะ ขอไปนอนก่อนแล้วกัน ห้องฉันยังอยู่ดีไหม”
“ดีสิ ผมปัดกวาดทุกวันเลยล่ะ มาสิฮะเดี๋ยวผมถือของไปส่ง”
เจ.ที.พยักหน้า แล้วเดินตามหลานชายขึ้นไปบนชั้นสองของตัวบ้าน ซึ่งก็ยังเหมือนเดิมทุกกระเบียด บ้านหลังนี้ใหญ่โตพอควรตามฐานะพี่เขยของเขา มีสามห้องนอนและห้องน้ำในตัวด้วย
ร่างสูงใหญ่กำลังจะเลยผ่านห้องของพี่สาวไปแล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าอะไรดลจิตดลใจให้เท้าทั้งสองข้างชะงัก ก่อนหันไปหาหลานชายของตนเอง
“นายยังนอนกับแม่อยู่หรือเปล่าลินซ์”
“โธ่น้าเจย์ ผมโตแล้วนะ ผมนอนอีกห้องต่างหาก ห้องแม่นอนไม่ไหวหรอก รกอย่างกับอะไร”
“เจสซี่นี่น่ะหรือทำห้องรก” นายทหารเรือหนุ่มย้อนถาม แทบไม่เชื่อหูตนเองเลยแม้แต่น้อยว่าผู้หญิงรักระเบียบอย่างเจสสิก้าจะปล่อยห้องรกได้ สมัยเด็กๆ แค่เขาไม่กวาดห้องแค่วันเดียว โดนด่าเปิงไปทั้งอาทิตย์ก็ไม่จบ
“ผมจะโกหกน้าทำไมล่ะ แม่เขาไม่ค่อยว่างน่ะ กลับมาก็เอางานมาสุมๆ แล้วก็ไป ไม่เชื่อน้าก็เข้าไปดูสิ” เด็กหนุ่มยักไหล่ “ผมไปทาสีบ้านก่อนดีกว่า ตื่นแล้วก็มาช่วยกันบ้างนะฮะ บ้านหลังตั้งโตแต่แม่ไม่ยอมจ้างใครเลย งานหนักอยู่ที่ผมคนเดียวเนี่ย”
เจ.ที.ได้แต่มองหลานชายที่บ่นอุบอิบไปตลอดทาง รอจนร่างสูงเพรียวเดินลงบ้านไปแล้ว จึงตัดสินใจเอื้อมมือไปเปิดประตูห้องนอนของพี่สาวดู แล้วก็พบว่ามันคือเรื่องจริงอย่างที่ลินคอนว่าไม่มีผิด
เจ้าของดวงตาคู่คมเข้มกวาดมองไปรอบห้อง ทั้งกองเอกสาร สมุด หนังสือภายวิภาคและหนังสือทางการพยาบาลเต็มไปหมด ข้าวของแต่ละอย่างวางระเกะระกะไร้ระเบียบ จนน้องชายที่รู้จักพี่สาวดีมาตลอดชีวิตถึงกับขมวดคิ้ว เริ่มไม่แน่ใจเสียแล้วว่าช่วงเวลาที่เขาขาดการติดต่อไปนั้นเกิดอะไรขึ้นมาบ้าง ชายหนุ่มชำเลืองมองรูปพี่สาวจากทางหางตา แล้วจึงเดินลงไปด้านล่างของตัวบ้าน จะให้นอนก็คงนอนไม่หลับ เพราะตอนนี้มีเรื่องที่กวนใจเขาเหลือเกิน
“อ้าวน้าเจย์ ไหนว่าจะนอนไง”
“นอนไม่หลับ” ใบหน้าคมเข้มแหงนเงยขึ้นมองหลานชายที่ไปนั่งอยู่บนโครงเหล็กสูงสำหรับทาสีบ้าน แล้วจึงรีบตามขึ้นไป
“เดี๋ยวได้แขนหักอีกข้างหรอกน้า”
“เงียบๆ ไปเถอะ รำคาญ!” แล้วเจ.ที.ก็แสดงให้ลินคอนเห็นว่าเขายังฟิตเปรี๊ยะแม้จะเหลือแขนที่ใช้การได้เพียงแค่ข้างเดียว จนเด็กหนุ่มถึงกับห่อปากทำตาโต ที่สุดท้ายแล้วก็เห็นร่างสูงบึกบึนมานั่งอยู่ข้างกาย
“น้าเจย์สุดยอดเลยฮะ!”
“เงียบๆ น่า” ผู้อาวุโสกว่าเอ่ยด้วยสีหน้ารำคาญ “แล้วถ้าวันนี้แม่นายไม่กลับ นายจะเอาอะไรกิน”
“ไปดาวน์ทาวน์กันไหมฮะ มีร้านอาหารอร่อยๆ ด้วย”
“มันจะมีอะไรสักเท่าไหร่กันเชียว”
“แต่ก็ดีกว่าอยู่กลางไร่ข้าวโพดแบบนี้นะฮะน้าเจย์” ผู้เป็นหลานท้วงเสียงหลง แต่น้าชายก็ยังเฉยจนบางครั้งลินคอนก็อยากจะถามออกไปเหลือเกินว่า เจ.ที. มีสีหน้าอย่างอื่นนอกเหนือจากทำหน้าทำตาแบบคนเบื่อโลกแบบนี้บ้างไหม
“ปกติถ้าอยู่คนเดียว นายทำอาหารกินเองหรือเปล่า”
“ก็ใช่ไงน้า ผมก็ทำอาหารได้บ้างนะ แต่นานๆ น้าจะกลับมาไง ผมเลี้ยงเองเลยนะ”
“คิดไว้บ้างหรือยังว่าจะเรียนต่ออะไร” หนุ่มพูดน้อยไพล่ถามไปอีกเรื่อง รู้สึกกระดากนิดๆ ที่ต้องมาคุยเรื่องนี้กับหลานชายที่ไม่ได้เจอกันมานานหลายปี แต่เขาไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน ลินคอนกำลังอยู่ในวัยหัวเลี้ยวหัวต่อ ก็คงจะมีเรื่องนี้แหละที่จะเป็นหัวข้อสนทนาที่ดีที่สุด
“แม่อยากให้เป็นหมอฮะ”
“แล้วนายล่ะ”
“ผมอยากเป็นทหาร” รอยยิ้มแห่งความภูมิใจฉายชัดอยู่บนใบหน้าของเด็กหนุ่ม “ผมอยากเป็นทหารมาตั้งแต่ตอนเป็นเด็กแล้วนะน้าเจย์ ผมอยากเป็นทหารเหมือนน้า แม่บอกว่าแม่ภูมิใจในตัวน้ามาก ตั้งแต่ที่น้าเข้ากองทัพน่ะ”
“ไม่เห็นเจสซี่พูด” เจ.ที.ยังไม่มีสีหน้ายินดียินร้าย แม้ภายนอกชายหนุ่มยังคงสีหน้าไร้อารมณ์ ทว่าในใจกลับรู้สึกชุ่มชื้นราวกับต้นไม้ที่ขาดน้ำมานานได้รับสายฝนชุ่มฉ่ำเป็นครั้งแรก
“แม่บอกว่าน้าไม่กลับมาบ้านเลย แต่ผมจำน้าได้”
“เรียนได้เกรดเท่าไหร่”
“เอตลอดฮะ ไม่เคยพลาด”
“กีฬาล่ะ เล่นอะไรได้บ้าง”
“ก็...” ลินคอนทำหน้าครุ่นคิด “รักบี้ฮะ บอลก็ได้ บาสก็ได้ ขี้ม้าก็ได้”
“ว่ายน้ำได้ไหม”
“ได้สิฮะ...ผมอยากเป็นทหารเรือ อยากเป็นซีลเหมือนน้าด้วย” นัยน์ตาสีเข้มของลินคอนเต็มไปด้วยประกายแห่งความหวัง
“ต้องแข็งแรงกว่านี้”
“น้าสอนผมบ้างสิ”
“ทาสีให้เสร็จก่อน ไปหาอะไรกินแล้วค่อยว่ากัน”
“แต่น้าเจย์...”
“เจ.ที.” นายทหารหนุ่มเสียงขรึม จนหลานชายได้แต่เกาหัวแกรกๆ ชื่อเจย์เดน เทอร์เรนซ์ สไวเกอร์มันตลกตรงไหน
แต่พอมานึกดีๆ มันก็ตลกจริงๆ อย่างที่เจ.ที.ว่านั่นแหละ!
...........................................................................
1.และโกลด์ทีม (จู่โจมระดับสูง) ปัจจุบันเพิ่มซิลเวอร์ทีม (จู่โจม) นอกจากนี้ยังมีเกรย์ทีม (พลประจำเรือ) และแบล็คทีม (สอดแนมและซุ่มยิง) ผู้บังคับการยศนาวาตรี แต่ละทีมจะมีชื่อเล่นของตน เช่น เรดทีม-อินเดียนแดง , โกลด์ทีม-อัศวิน, ครูเซเดอร์ แบล็คทีม-โจรสลัด) ที่มา : หนังสือ NO EASY DAY โดย MARK OWEN และ KEVIN MAURER
2. Joint Special Operations Command (JSOC) กองบัญชาการปฏิบัติการพิเศษร่วม คือการทำงานร่วมกันของหน่วยรบพิเศษระดับสุดยอดอื่นๆ ของประเทศ เช่น เดลต้าฟอร์ซ รบพิเศษของกองทัพบก
3. เหย้าของซีลจะแบ่งเป็นสองฝั่ง ฝั่งตะวันตกที่ซานดิเอโก รัฐแคลิฟอร์เนีย และฝั่งตะวันออกที่เวอร์จิเนียบีช รัฐเวอร์จิเนีย
4. The University of Kansas Hospital
......................................................
มาแล้วค่าาาาาาาาา อยากอ่านต่อก็ช่วยตอบสนองคนเขียนบ้างเน้อ ไม่งั้นเค้าจิไม่อัพ ให้ไป่านในเล่ม (ใจร้ายไหม)
หลายคนสงสัยว่าเรื่องนี้ใครเป็นพระเอก ตอนนี้รู้แล้วชิมิคะ ฮ่าๆๆ
อ่านๆ ไปก่อนนะคะ นางเอกเรื่องนี้น่ารัก พระเอกก็น่าร้ากกกกกกกกกกกก
รักคนอ่านเสมอมาค่ะ
กรรัมภา (กนิษวิญา)

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 9 ก.พ. 2557, 11:47:54 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 9 ก.พ. 2557, 11:47:54 น.
จำนวนการเข้าชม : 2063
<< บทนำ+แนะนำตัวละคร+คุยกันก่อนอ่านนะค้า | บทที่ 2 ความตายคือจุดเริ่มต้น >> |

แว่นใส 9 ก.พ. 2557, 13:26:19 น.
กลับมาบ้านพูดเยอะมากเลยนะ
กลับมาบ้านพูดเยอะมากเลยนะ

nasa 10 ก.พ. 2557, 23:03:53 น.
หลานชายน่ารักดี โตมาได้เป็นพระเอกต่อจากอาแน่เลย
หลานชายน่ารักดี โตมาได้เป็นพระเอกต่อจากอาแน่เลย