กลรักนฤมิต (ชุดหน่วยซีล)
มือสไนเปอร์หนุ่มพูดน้อย แห่งหน่วยเรดทีมจู่โจม SEAL team six
ด้วยอาชีพการทำงานทำให้เขาไม่ได้เอาใจใส่พี่สาว ซึ่งเป็นคนในครอบครัวที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวของเขา
หลังจากได้รับอุบัติเหตุแขนหักจนต้องพักงานยาว เขาจึงเดินทางกลับมาที่บ้านอีกครั้ง
ณ ที่แห่งนี้เองที่ทำให้ชีวิตของเขาต้องเปลี่ยนไป
พี่สาวคนเดียวเสียชีวิตไปอย่างปริศนา
โค้ดลับแปลกๆ เกี่ยวกับชื่อของเทพเจ้ากรีก

คนเดียวที่จะช่วยไขปริศนานี้ได้คือหญิงสาวคนหนึ่งที่ก้าวเข้ามาในชีวิตของเขา
ยายสาวแว่นตัวเล็กแต่งตัวเรียบร้อยประหนึ่งแม่ชีในโบสถ์ แต่กลับมาเขย่าหัวใจของเขาได้เพียงแค่สบตากัน
'ไอ้โจรข่มขืน' กับ 'ยายแว่นจอมเฉิ่ม'
จากคู่กัดกลายเป็นคู่รักที่ไม่น่าเป็นไปได้
เธอเข้ามาเพียงเพราะสมุดจดบันทึกแล็บของพ่อเธอ และสมุดแล็บของพี่สาวเขา จะนำไปสู่การไขปริศนาลับอันตราย

การทดลองทางพฤษศาสตร์ที่ใช้ชื่อว่า Pearly คือทางเดียวที่จะบอกได้ว่าคนพวกนี้ต้องการอะไร

ณ ห้องแล็บเล็กๆ กลางป่าแห่งนี้เปลี่ยนหัวใจที่เคยด้านชาให้มีชีวิตชีวา รู้จักคำว่ารักที่แท้จริง
เช่นเดียวกับอันตรายต่างๆ นานาและความเจ็บปวดมหาศาลที่จะตามเข้ามา
โดยที่เขาไม่สามารถทำอะไรได้เลยแม้แต่นิดเดียว
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 2 ความตายคือจุดเริ่มต้น







บทที่ 2 ความตายคือจุดเริ่มต้น



สองหน้าหลานอยู่ในรถชาร์จเจอร์ปีเจ็ดศูนย์สีดำ ที่ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีแต่ก็ยังได้รับการบำรุงรักษาอย่างดี มุ่งหน้าสู่ร้านอาหารย่านดาวทาวน์ตามที่ตกลงกันไว้ ที่นี่เป็นเมืองเล็กๆ ไม่วุ่นวาย แม้ว่าตอนที่ทั้งคู่จะอยู่ในตัวเมืองก็ตาม แต่ก็กลับไม่มีรถราให้เห็นมากเท่าที่ควร มีร้านอาหารให้เลือกอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้มากมายอะไร มีร้านเครื่องเขียน ร้านหนังสือ อุปกรณ์ของใช้ในบ้าน ร้านซีดี ร้านหนังสือ และร้านขายต้นไม้ ซึ่งไม่ว่าจะกี่ปีผ่านไปก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรไปมากนัก


“น้าเจย์...เอ่อ น้าเจ.ที.อยากกินอะไรล่ะฮะ” ลินคอนต้องรีบเรียกชื่อย่อของน้าชายทันที เมื่อเห็นแววตาเรืองๆ ของอีกฝ่าย

“อะไรอร่อยก็ไปเถอะ หิวจนจะกินวัวได้ทั้งตัวอยู่แล้ว”

“ไปร้านตรงหัวมุมถนนดีกว่าฮะ”

“แล้วร้านนี้ไม่ดีหรือไง” คนเป็นน้าเริ่มออกอาการ ‘รำคาญ’ อย่างชัดเจน เมื่อเห็นความเรื่องมากของหลานชายตัวดี

“ก็ดีฮะ แต่เด็กเสิร์ฟน่ะแฟนเก่าผมเอง ไม่อยากมีเรื่อง”

เจ.ที.ตีหน้าขรึม เพิ่งจะสำเหนียกได้ว่าตัวเองก็ไม่ได้เจอหลานมาก็นาน แม้จะคิดว่ามันเพิ่งจะผ่านมาไม่กี่ปี แต่ความจริงก็คือความจริง เวลาผ่านไปเป็นสิบปีแล้ว เขาลืมไปเสียสนิทว่าลินคอนอายุ 17 เป็นวัยรุ่นเต็มตัว ท่าทางแสบสันไม่ต่างจากเขาเมื่อสิบกว่าปีก่อนสักเท่าไหร่

“มีแฟนกี่คนแล้วเรา”

“นี่น้าถามเองใช่ไหมฮะ ไม่ใช่จะไปบอกแม่นะ” เด็กหนุ่มยิ้มนัยน์ตาแพรวพราว ท่าทางเจ้าเล่ห์ไม่น้อย แต่ก็ยังไม่ตอบ รอจนกระทั่งสั่งอาหารเสร็จแล้วจึงหันกลับมาตอบคำถามน้าชายหน้าดุ “แฟนไม่มีครับ แต่...”

“ก็ไม่ได้จะว่า อย่าให้เรียนเสีย แล้วก็รู้จักป้องกันตัวเองก็พอ”

“รับรองเลยน้า”

“แค่เรื่องหญิงใช่ไหม ยาเสพติดไม่มีนะ”

“ไม่ฮะ” หลานชายยืนยันหนักแน่น “แต่น้า ผมอยากเป็นทหาร ถ้าผมจะสอบเข้าโรงเรียนนายเรือแบบน้า มันยากไหมฮะ”

“ก็ไม่ยาก สอบเข้าเรียนได้มันก็แค่ส่วนหนึ่ง แต่เวลาที่นายอยู่ในนั้นต่างหาก มันไม่ใช่แค่เรียน แต่นายต้องฝึกอย่างหนัก”

“เป็นทหารเรือหน่วยซีลนี่ยากไหมฮะไหมครับ”

“ไม่ยากหรอก” เจ.ที.กระดกเบียร์อึกใหญ่ “แต่มันก็ไม่ง่าย นายต้องตั้งใจ ใจนายน่ะสำคัญที่สุด”

“ทำไมน้าถึงเป็นทหารล่ะ” คำถามของลินคอนทำให้เจ.ที.ยอมหันกลับมาสบตาด้วยในที่สุด ในแววตาของลินคอน ทำให้คนมองรู้สึกราวกับว่าได้เห็นแววตาของพี่สาวหลอมรวมอยู่ด้วยกระนั้น วูบหนึ่งเขารู้สึกคิดถึงเจสสิก้าขึ้นมาจับจิต รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นน้องที่เลว ไม่ยอมมาดูแลติดต่อพี่สาวกลับมาบ้างเลย

“อยากทำให้เจสซี่พอใจละมั้ง เมื่อก่อนฉันเลวร้ายแค่ไหน แม่นายไม่เล่าให้ฟังบ้างหรือ”

“ไม่นี่ฮะ ก็บอกแล้วว่าแม่พูดแต่ว่าภูมิใจในตัวน้ามาก”

“แล้วนี่เมื่อไหร่เจสซี่จะกลับ” เรือตรี เจ.ที. ถามไปอีกเรื่อง คำพูดของหลานชายทำให้รู้สึกจุกขึ้นมาถึงลำคอจนกินอะไรไม่ลง

“สุดสัปดาห์นี้ก็น่าจะกลับแล้วล่ะ แม่ไม่ไปนานเกินเดือนแน่นอน ถ้าไม่มาเราไปรับแม่ที่แคนซัสซิตีดีไหมน้า”

“ก็ได้” เขาตอบสั้นๆ แล้วจึงก้มหน้าก้มตาทานอาหารต่ออย่างเงียบๆ แต่ในใจนั้นกระหวัดไปถึงคำพูดเมื่อครู่ของหลานชาย

เจสสิก้าไม่เคยเล่าเรื่องความประพฤติเหลวแหลกสมัยวัยรุ่นของเขาให้ลินคอนฟังเลย สำหรับลินคอนแล้ว น้าเจ.ที. คือฮีโร่ คือต้นแบบและความภูมิใจของแม่ สิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่นั้นทำให้อดหัวตารื้นขึ้นมาไม่ได้ เขาถามตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าว่าสิ่งที่ทำอยู่นี้มันถูกต้องแล้วกระนั้นหรือ

สองน้าหลานนั่งทานอาหารเงียบๆ จนกระทั่งเสร็จก็พากันกลับบ้าน คืนนั้นเจ.ที.ไม่ได้นอนในห้องนอนของตนเอง หลังจากกลับมาบ้านและแยกย้ายกับลินคอนแล้ว ชายหนุ่มจึงเข้ามาในห้องนอนของพี่สาวแล้วถือโอกาสนี้ช่วยเก็บข้าวของให้เสียเลย เพราะเมื่อช่วงค่ำ ลินคอนได้รับโทรศัพท์จากเจสสิก้าแล้วว่าเธอจะกลับมาวันพรุ่งนี้ และสั่งให้ลินคอนเก็บห้องไว้ให้ด้วย


เขาสั่งไม่ให้หลานชายบอกว่าตนเองกลับมาแล้ว ตั้งใจว่าจะเซอร์ไพรส์เจสสิก้า ทิฐิเมื่อครั้งวัยรุ่นมลายสิ้นทันทีที่ได้ยินสิ่งที่ลินคอนบอก เขามีพี่สาวที่ดีที่สุดในโลกแบบนี้แล้ว ทำไมถึงได้ทิ้งไปไม่ไยดีได้นานถึงเพียงนี้

ชายหนุ่มได้แต่ตำหนิตนเอง แล้วหยิบสมุดเล่มสีแดงสดเล่มหนึ่งขึ้นมา คิดว่าจะเปิดดูเสียหน่อย แต่แล้วเสียงโทรศัพท์ที่อยู่ด้านล่างของตัวบ้านก็ดังขึ้น

“ลินซ์ นายลงไปรับโทรศัพท์หน่อยสิ”

“น้าเจย์ลงไปแทนได้ไหมฮะ ผมกำลังอาบน้ำ โป๊อยู่นะฮะ”

เจ.ที.จำต้องโยนสมุดสีแดงเล่มนั้นไปส่งๆ แล้วเดินลงส้นโครมลงไปทันที

“สวัสดีครับ”

“นั่นใช่บ้านของคุณเจสสิก้า อี. สไวเกอร์หรือเปล่าคะ” คนปลายสายเป็นผู้หญิงแน่นอน สังเกตได้จากน้ำเสียงหวานที่ดังมาตามสาย

“ใช่ครับ มีอะไรหรือเปล่า”

“คุณเป็นอะไรกับเธอคะ ลินคอนลูกชายเธออยู่หรือเปล่า”

“ผม เจ.ที. สไวเกอร์ครับ เป็นน้องชายของเจสสิก้า”

“ฉันมีเรื่องต้องแจ้งค่ะ” หญิงสาวปลายสายมีน้ำเสียงเคร่งเครียด จนนายทหารเรือหนุ่มใจคอไม่ดี “คุณฟังดีๆ นะคะ เกิดอุบัติเหตุขึ้นที่ห้องแล็บค่ะ เจสสิก้าเสียชีวิตแล้ว กรุณาเดินทางมาที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแคนซัสซิตีเดี๋ยวเลยได้ไหมคะ”

เท่านั้นเอง เจ้าของมือหนาปล่อยโทรศัพท์หลุดมือไปทันที แข้งขาคล้ายจะหมดไร้เรี่ยวแรงลงเดี๋ยวนั้น แผนที่เตรียมไว้เซอร์ไพรส์พี่สาวต้องเป็นพังลงไม่เป็นท่าเพราะอีกฝ่ายจากไป ชายหนุ่มไม่อยากยอมรับความจริงและสิ่งที่จะต้องเผชิญอีกเลย แรงใจแรงกายหดหายไปราวกับถูกกระชากวิญญาณให้หลุดออกจากร่าง เขารีบขึ้นไปหาลินคอนและพากันเดินทางไปที่โรงพยาบาลแคนซัสซิตีทันที









กว่าสองน้าหลานมาถึงเมืองแคนซัสซิตีก็เป็นเวลาครึ่งค่อนคืนแล้ว แต่กลับไม่ได้รู้สึกง่วงงุนเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าจะต้องขับรถมาไกลแค่ไหนก็ตาม ใบหน้าของเจ.ที. นั้นเคร่งขรึม ไม่แสดงอารมณ์อะไรออกมาเหมือนอย่างหลานชายที่แม้จะไม่ร้องไห้ แต่ก็น้ำตาไหลออกมาตลอดทาง

แต่ใครเลยจะรู้ว่าในหัวใจที่แสนแกร่งของนายทหารเรือหนุ่มกำลังเจ็บปวดเสียกว่าถูกคมมีดกรีดจนเป็นแผลเหวอะหวะ ข่าวร้ายที่ไม่ได้เตรียมใจไว้เลยว่าจะเกิดขึ้น ภาพของเจสสิก้าผู้สวยสดงดงามที่สุดในชีวิตเขาค่อยๆ ผ่านเข้ามาในความทรงจำเป็นฉากๆ ราวกับฟิล์มภาพยนตร์ที่ฉายซ้ำๆ ครั้งหนึ่งเขาเคยเก็บเธอไว้ลึกสุดหัวใจ เพราะความน้อยใจและไม่เข้าใจกัน คิดว่าเจสสิก้าคงจะเกลียดตนมาที่เคยทำตัวเหลวแหลก เป็นวัยรุ่นกวนเมืองที่ชาวบ้านทั้งวินฟิลด์รู้จักดีว่าเป็นตัวอันตรายแค่ไหน จนเธอทนไม่ได้ต้องส่งเขาเข้าไปเรียนโรงเรียนนายเรือตามคำสั่งของสามี

เจ.ที.ในวัยสิบห้าจึงทั้งโกรธทั้งน้อยใจพี่สาวของตนเองเหลือเกิน คิดว่าเจสสิก้าเห็นสามีและลูกที่เพิ่งจะเกิดดีกว่า ถึงได้พยายามขับไสไล่ส่งน้องไปเรียนที่อื่นเพื่อเตรียมพร้อมกวดวิชาสำหรับเรียนโรงเรียนนายเรือ และเขาก็ทำทุกอย่างเพื่อประชดพี่สาว เจ.ที.ตั้งหน้าตั้งแต่เรียน ไม่ยอมกลับบ้าน มุแต่เรียนจนกระทั่งจบโรงเรียนนายเรือมาได้ เขาจำได้ว่าเจสสิก้าโทร. หาและบอกให้กลับบ้าน ซึ่งก็เจ.ที.ก็กลับไปจริงๆ แต่ก็แค่ชั่วเวลาไม่กี่วันเท่านั้น จากนั้นเขาก็กลับมารับราชการกองทัพเรือและไม่เคยกลับไปอีกเลย

ยิ่งเจสสิก้าไม่ติดต่อมา เขาก็ยิ่งก่อกำแพงแห่งทิฐิให้สูงขึ้นเรื่อยๆ ตามกาลเวลาที่ผ่านไปเพื่อตอบโต้พี่สาว เริ่มจากสมัครเข้าหน่วยซีลของกองทัพเรือสหรัฐฯ ช่วงเวลาบีบคั้นหัวใจในช่วงการฝึก BUD/s หรือหลักสูตรการทำลายใต้น้ำนั้น เขาคิดถึงเจสสิก้าที่สุด แต่ด้วยทิฐิมานะแรงกล้า ทำให้ข่มใจและไม่ติดต่อหาพี่สาว ในที่สุดเขาก็ผ่านสัปดาห์นรกและได้ตราไทรเดนท์เนปจูนหรือสามง่ามซีลสีทองอร่ามติดที่อกซ้ายเป็นที่สำเร็จ เจ.ที.เดินทางกลับบ้าน แต่ความสัมพันธ์ระหว่างน้องชายกับพี่สาวก็ไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นเลย

เจสสิก้ายังวางเฉย ไม่เคยพูดว่าภูมิใจหรือว่ายินดีกับเขาเลยที่เขาฝ่าฟันการฝึกที่ทรหดที่สุดในโลกมาเป็นซีลได้อย่างเต็มภาคภูมิ เจ.ที. อยู่บ้านได้เพียงวันเดียว ก็กลับกองทัพแล้วโหมทำงานเป็นบ้าเป็นหลัง ไม่นานนักก็สมัครเข้าการฝึกช่วยเหลือตัวประกันในบ้านสังหารหรือกรีนทีมของซีลทีมซิกซ์ พอจบมาได้ก็สมัครเข้าโรงเรียนสไนเปอร์ต่ออีก ประจำการอยู่ที่อัฟกานิสถานนานทีปีชาติอย่างไรก็ไม่เคยได้รับการติดต่อจากพี่สาว ด้วยทิฐิแรงกล้าที่สั่งสม ชายหนุ่มจึงเป็นคนเงียบขรึม เย็นชาและไร้หัวใจในที่สุด เพราะสิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดสิ่งเดียวในโลกนี้ คืออ้อมกอดอบอุ่นจากเจสสิก้า ผู้หญิงที่เปรียบเสมือนแม่พระในใจของเขานี่เอง


แต่ตอนนี้ไม่มีอีกแล้ว...ไม่มีพี่สาวที่เคยโอบอุ้มเหมือนวัยเด็ก ไม่เคยมือที่คอยจับมือเขาไว้ตอนที่พ่อแม่ตาย ไม่มีคนที่พร่ำบอกว่า ‘พี่จะอยู่ข้างเธอเอง
เจ.ที.’ ต่อไปนี้จะไม่มีอีกแล้ว...ไม่มีอะไรทั้งนั้น

แล้วเขาจะเก็บไอ้ทิฐิบ้าๆ นี้ไว้ทำไม ชายหนุ่มนึกเกลียดตัวเองเหลือประมาณ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ เขาจะกอดเจสสิก้าไว้ให้แน่นๆ แล้วบอกเธอว่าเขารักและคิดถึงเธอเพียงไร


นายทหารเรือหนุ่มยังนั่งนิ่งไปตลอดทางจนกระทั่งถึงโรงพยาบาลที่แคนซัสซิตี เมื่อลงจากรถได้สองน้าหลานวิ่งเข้าไปในห้องฉุกเฉินของที่นั่นทันที แต่ทุกอย่างมันสายไปแล้ว ร่างของเจสสิก้านอนทอดยาวอยู่บนเตียงโดยมีผ้าขาวคลุมไว้ ลินคอนเอื้อมมือจะไปเปิดออกแต่ก็ถูกนางพยาบาลห้ามไว้


“เธอเสียชีวิตจากแรงระเบิดในห้องแล็บค่ะ อย่าดูเลย เราพยายามต่อชิ้นส่วนและแต่งศพให้ดีที่สุดแล้ว”

“ห้องแล็บที่ไหนครับ”

“ห่างจากที่นี่ไปสิบไมล์ค่ะ โครงการวิจัยพฤกษศาสตร์ทางการแพทย์ของคุณหมอท่านหนึ่ง” นางพยาบาลคนเดิมตอบ

“แล้วหมอคนนั้นล่ะครับ”

“เสียชีวิตแล้วเช่นกันค่ะ ญาติมารับศพไปก่อนหน้าคุณไม่เท่าไหร่เอง”

“หมอชื่ออะไรหรือครับ”

“คุณหมอสมิธค่ะ นายแพทย์คาร์ลอส สมิธ เป็นคุณหมอคนสนิทที่สุดของคุณเจสสิก้า ชอบทำแล็บด้วยกันบ่อยๆ แล้วเกิดอุบัติเหตุพร้อมกัน”

เจ.ที.รับฟังเรื่องราวทั้งหมดด้วยหัวใจที่เจ็บปวด แต่จะแสดงอารมณ์ใดๆ ออกไปไม่ได้ ตอนนี้หลานชายเพียงคนเดียวกำลังร้องไห้อยู่ข้างศพแม่ ในเมื่อไม่มีเจสสิก้าแล้ว คนที่จะเป็นหลักให้ลินคอนก็เหลือเพียงเขาแค่คนเดียวเท่านั้น

มือหนาข้างซ้ายของเจ.ที.แตะลงที่บ่าของหลานชายแล้วดึงเข้ามากอด เขาปลอบใครไม่เป็น เวลานี้ยิ่งแล้วใหญ่ เพราะตนเองก็ต้องการการปลอบใจไม่ต่างกัน

“อย่าร้องไห้ลินซ์ อย่าทำให้แม่นายต้องเป็นห่วง”

“แล้วผมจะอยู่กับใครล่ะฮะน้า”

“ฉันนี่ไง อย่าร้องไห้ลินคอน ฉันจะเป็นคนดูแลนายเอง”

“น้าเจย์” เด็กหนุ่มกอดบ่าน้าชายแล้วร้องไห้ ท่ามกลางความเศร้าโศกสูญเสีย เจ.ที. ค้นพบแล้วว่าเขารักพี่สาวคนนี้เพียงไร และเขาจะต้องดูแลตัวแทนที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวของเจสสิก้าต่อไปอย่างไร





ช่วงเวลาแห่งความเศร้ามักจะผ่านไปอย่างเชื่องช้าเสมอ ตำรวจที่เข้าไปตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุและแพทย์นิติเวชสรุปแล้วว่าเป็นอุบัติเหตุแน่นอน จึงสรุปคดีและปิดลงได้อย่างง่ายดาย และแม้ว่าพิธีฝังศพเจสสิก้าผ่านไปร่วมสัปดาห์แล้ว แต่ทั้งเจ.ที.และลินคอนยังคงอยู่ในอาการเศร้าซึมทั้งคู่ บ้านที่เงียบอยู่แล้วก็ยังเหมือนเดิม แต่ความรู้สึกแสนคิดคำนึงหาต่างหากที่ยังคงทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

แม้พยายามปลอบตัวเองว่าไม่เป็นไร ความจริงก็คือความจริงอยู่วันยันค่ำ เจสสิก้าจากไปแล้ว ทั้งลินคอนและเจ.ที.ยังไม่อาจทำใจยอมรับได้ง่ายๆ โดยเฉพาะนายทหารเรือหนุ่ม แม้ว่าเขาจะทำงานเสี่ยงตาย พบกับความสูญเสียหลายครั้งต่อหลายครั้ง แต่ไม่มีสักครั้งเลยที่จะเหมือนกับความสูญเสียคราวนี้

เจสสิก้าเป็นคนในครอบครัว เป็นคนที่เขาทิ้งไปตั้งแต่วัยรุ่นเพราะทิฐิ และปัจจุบันนี้ก็ไม่อาจะเรียกคืนวันเหล่านั้นกลับคืนมาได้อีกแล้ว

นายทหารเรือหนุ่มยังนั่งจมอยู่กับความคิดของตนเอง เขาคงจะรู้สึกผิดน้อยกว่านี้ หากไม่รู้ว่าตลอดเวลาแล้วเจสสิก้ายังรักเขาเสมอมา เธอไม่เคยเล่าเรื่องวีรกรรมเลวทรามสมัยวัยรุ่นของเขาให้ลูกชายเธอฟัง ให้ลินคอนบูชาน้าชายเป็นต้นแบบในดวงใจ เจสสิก้าไม่เคยหมดความภูมิใจในตัวเขา เธอยังศรัทธาน้องชายไม่ได้เรื่องคนนี้ตลอดเวลา มีแต่เขาเองเท่านั้นที่คิดอยู่ฝ่ายเดียวว่าไม่มีใครต้องการ

กว่าจะรู้ว่ามันสายไป ก็วันที่พี่สาวที่แสนดีจากไปแล้วอย่างไม่มีวันกลับ

เจ.ที.ย้ายสายตากลับมาที่หลานชายวัยรุ่นหัวเลี้ยวหัวต่อของตนเอง แววตาว่างเปล่าไร้ที่พึ่งของเด็กหนุ่มทำให้เขาอดสะท้อนใจไม่ได้ มองลินคอนคราวใดก็รู้สึกราวกับได้มองพี่สาวผู้ล่วงลับของตนเอง เขาถอนหายใจน้อยๆ ลินคอนไม่มีใครอีกแล้ว เหลือเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่เป็นคนในครอบครัว และเขาก็ควรจะเป็นหลักยึดให้หลานชายจึงจะถูก


ชายหนุ่มตัดสินใจแล้ว เศร้าไปก็เท่านั้น เพราะการถูกฝึกและใช้ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายตลอดเวลาทำให้เขาทำใจยอมรับเรื่องพรรค์นี้ได้อย่างรวดเร็วกว่าคนทั่วไป

“หิวหรือยังลินซ์”

“ไม่เลยน้า” เด็กหนุ่มตอบเสียงเบา หัวตายังรื้นๆ แม้ว่าจะผ่านไปนับสัปดาห์แล้วก็ตาม

“นายควรจะกินอะไรบ้าง”

“น้าเจย์ก็ด้วย”

“แม่นายจะเป็นห่วงรู้ไหม ถ้าทำตัวแบบนี้น่ะ”

“ผม...” ลินคอนอึกอัก สองตาแดงก่ำเหมือนคนกำลังจะร้องไห้ “ผมไม่รู้จะทำยังไงนี่น้า แม่ทิ้งผมไปแล้ว”

“ย่านายไง ไม่กลับไปหาล่ะ”

“ผมไม่ชอบย่า แล้วย่าก็ไม่ชอบผมกับแม่ด้วย ตั้งแต่พ่อตายผมไม่เคยไปหาย่าเลย” ความจริงที่เด็กหนุ่มสารภาพออกมา ทำให้น้าชายยังหนุ่มรู้สึกแปลบปลาบในอกขึ้นมาทันที ที่เขาทิ้งพี่สาวให้อยู่ตามลำพังทั้งที่พี่ไม่มีใครเลย

“นายยังมีฉันลินซ์”

“เดี๋ยวน้าก็ไปนี่” ดวงตาคู่เศร้าหมองมองไปยังท่อนแขนกำยำที่ยังอยู่ในเฝือกของชายหนุ่มตรงหน้า “น้าหายดีเมื่อไหร่ก็คงจะไป...แต่ผมนี่สิ”

“ฉันส่งเสียนายได้นะลินซ์”

“ผมรู้” เด็กหนุ่มถอนหายใจ “แต่ผมไม่อยากอยู่คนเดียวนี่น้า โลกมันตั้งกว้างตั้งใหญ่ ผมไม่รู้จะไปไหน”

“อยากเรียนโรงเรียนนายเรือใช่ไหม” หลังจากที่เงียบไปนาน สุดท้ายแล้วเจ.ที. ก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ผมอยากเรียนนะฮะน้าเจย์ แต่...”

“อยากเรียนก็เรียน ไม่จำเป็นต้องกลัว ไหนนายบอกว่าอยากทำให้แม่ภูมิใจไง”

“ผมจะต้องอยู่คนเดียว น้าจะติดต่อผมไหมฮะ”

“ตอนนี้ฉันยังอยู่ที่นี่” ดวงตาคู่คมเข้มล้ำลึกหลุบลงต่ำไปมองแขนที่ยังอยู่ในเฝือกของตัวเอง “อย่างน้อยก็จนกว่าจะหายดี นายต้องตั้งใจเรียนให้มากๆ เรื่องวิชาการฉันลืมไปหมดแล้วคงจะช่วยติวให้นายไม่ได้หรอก แต่เรื่องสมรรถภาพร่างกาย ฉันฝึกนายได้”

สีหน้าของเด็กหนุ่มคลายกังวลลงได้ทันที “น้าจะช่วยผมจริงๆ ใช่ไหม”

“ใช่”

“ตกลงน้า” ลินคอนคลายเศร้าลงไปได้ไม่น้อย เมื่อได้กำลังใจจากน้าชายเข้ามาแทนที่ “ผมจะทำให้แม่ภูมิใจเหมือนที่แม่เคยภูมิใจในตัวน้า ผมเชื่อว่าแม่จะต้องดูผมอยู่”

“เจสซี่จะดูนายอยู่ เธอจะเห็นความสำเร็จของนายแน่ลินซ์”

“ขอบคุณฮะน้า” เด็กหนุ่มร่างสูงกอดน้าชายของตนเองทั้งน้ำตา “อย่างน้อยผมก็ยังมีน้าใช่ไหม”

“ใช่เลยลินซ์ นายยังมีฉัน แล้วถ้าไม่อยากเสียเวลาที่จะฝึกฝนตัวเองแล้วล่ะก็ เราเริ่มเลยไหม” ปากก็พูดไป ทว่าสายตาของนายทหารเรือหนุ่มกลับมองไปยังรูปถ่ายที่อยู่ทางด้านหลังของเด็กหนุ่ม รูปใบนั้นเป็นรูปของเขาเองเมื่อครั้งสมัยวัยรุ่น ที่จำได้ว่าพี่เขยเป็นคนถ่ายให้ เจ.ที.ในร่างผอมสูงกว่าพี่สาวกำลังยืนทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ถ้าจำไม่ผิดแล้วล่ะก็ ตอนนั้นเขาถูกเจสสิก้าดุเรื่องออกไปซิ่งมอเตอร์ไซด์วิบากกับเพื่อนๆ แต่สีหน้าของเจสสิก้านั้นกำลังยิ้มแย้มแจ่มใส เธอโอบมือบ้างหนึ่งไว้บนไหล่ของเขา ส่วนอีกข้างวางลงบนท้องนูนๆ ของเธอ

เจ.ทีกลับมามองหลานชายแล้วยิ้มบางๆ ส่งต่อสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจให้พี่สาวผู้ล่วงลับได้รับรู้ผ่านสายลม ‘ผมขอโทษเจสซี่ หลับให้สบาย ผมจะดูแลลินคอนแทนพี่เอง’





อาจเป็นเพราะหน้าที่การงานที่ทำให้เจ.ที. ดูคล้ายคนไม่มีหัวใจขึ้นทุกวัน ตลอดเวลาหลายปีที่ยึดอาชีพพลซุ่มยิงในกองทัพเรือสหรัฐฯ ทำให้ชายหนุ่มเป็นคนมีสมาธิแนวแน่ ไม่วอกแวกต่อสิ่งใด แม้ว่าจะเสียใจกับการจากไปอย่างกะทันหันของพี่สาว แต่ชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไปเรื่อยๆ คนที่จากไปแล้วก็คือจากไป คนที่เหลืออยู่ต่างหากที่จะต้องดูแลกันให้ดีที่สุด

เช้าวันหยุดก่อนที่โรงเรียนจะเปิด พลซุ่มยิงหนุ่มปลุกหลานชายมาตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นเต็มดวง แล้วพาเด็กหนุ่มวิ่งออกกำลังกายอย่างหนัก ต้องการสร้างแรงบันดาลใจใหม่ให้กับหลายชาย จะได้ไม่จมอยู่กับการจากไปของแม่จนไม่เป็นอันทำอะไร ไม่ใช่ว่าไม่เสียใจ แต่คนที่อยู่ต่อจะต้องใช้ชีวิตต่อไปให้ได้


การที่อยู่ในเมืองเล็กๆ ของอเมริกาก็ดีไปอย่างตรงนี้มีกิจกรรมหลายอย่างให้ทำ หลังจากวิ่งแล้ว เจ.ที.ก็เริ่มหัดให้ลินคอนวิดพื้น ดึงข้อ วิ่งข้ามสิ่งกีดขวาง ว่ายน้ำ บริเวณรอบๆ บ้านจึงกลายเป็นลานฝึกร่างกายของสองน้าหลานไปโดยปริยาย จนกระทั่งเด็กหนุ่มร่างผอมเริ่มแข็งแรงขึ้น มีกล้ามเนื้อขึ้นภายในเวลาไม่ถึงสัปดาห์

และช่วงเวลานั้น ชายหนุ่มเองไปหาหมอและได้รับการยืนยันแล้วว่าน่าจะถอดเฝือกได้อาทิตย์หน้า เขารับปากจะสอนลินคอนยิงปืนเป็นครั้งแรก

“ผมจะได้ยิงปืนจริงๆ ใช่ไหมน้าเจย์” เด็กหนุ่มตาเป็นประกายราวกับได้ของเล่นถูกใจ สีหน้าแววตาเปี่ยมไปด้วยความหวัง

“ได้ แต่ต้องรอฉันถอดเฝือกก่อน นายจะได้จับปืนของจริงแน่”

“แม่บอกว่าน้าเป็นมือสไนเปอร์” หลานชายถาม ขณะที่กำลังนอนเอกเขนกกันอยู่บนโซฟาห้องนั่งเล่น แม้ว่าจะเป็นเวลาดึกสงัดแล้วก็ตาม

“ใช่”

“ผมอยากเป็นเหมือนน้า”

“ไม่ดีหรอกลินซ์ เป็นแบบฉันไม่ดีหรอก”

“ไม่ดียังไง แม่ภูมิใจในตัวน้าออกนะฮะ”

“นายเห็นฉันเสียใจไหมล่ะ ตั้งแต่เจสซี่ตาย” สิ้นเสียงของนายทหารเรือหนุ่มคนกล้าแห่งกองทัพเรือ คนเป็นหลานก็นิ่งไปถนัด แล้วส่ายหน้าเบาๆ เป็นคำตอบ

“ก็...”

“ทหารกับความตายมันคือสิ่งที่เลี่ยงกันไม่ได้หรอกนะ ฉันไปรบหรือไปทำภารกิจแต่ละครั้ง สิ่งที่ได้มาพร้อมกับชัยชนะและความสำเร็จ มันก็คือความตายของเพื่อนๆ ในกองทัพ หรือที่ร้ายแรงกว่านั้นคือเพิ่มร่วมทีมของตนเอง“ ใบหน้าของพันจ่าเอกเกรกอรี่ผู้ล่วงลับลอยอยู่ในห้วงภวังค์ของเจ.ที. เขายังจำวีรกรรมของเพื่อนได้ จ่าเกร็กตายเพื่อช่วยหัวหน้าทีมของเขาและทุกคนในทีมจนได้กลับมา

“เรื่องนั้นผมรู้”

“นายยังไม่เข้าใจลินซ์” ใบหน้าคมเข้มดูไร้ชีวิตชีวา ยามต้องมาพูดสิ่งที่ทำให้เขาเป็นอย่างทุกวันนี้ “พวกเราต้องทนได้ในทุกสภาวะจิตใจ นายอาจจะเคยเป็นวัยรุ่นใจร้อนที่ใครด่าพ่อล่อแม่ยังไงนายก็โถมเข้าไปแล้วต่อยกันจนจมูกหัก ถูกไหม”

ลินคอนคลำจมูกของตนเองทันทีที่น้าชายพูดจบ เขาเป็นอย่างนั้นจริงๆ

“นายจะทำแบบนั้นในกองทัพหรือในภารกิจไม่ได้ แม้จะโดนทรมานทั้งร่างกายและจิตใจอย่างไร สิ่งที่นายต้องทำคือมีสมาธิกับงานอย่างเดียวเท่านั้น แม้จะเพิ่งเสียคนที่รักไป แต่นายต้องมีสติ เพราะถ้านายพลาดแม้เสี้ยววินาที นั่นหมายถึงชีวิตของนายและของเพื่อนร่วมทีม”

“เป็นมือสไนเปอร์นี่ยากไหมฮะ”

“ไม่” เจ.ที.ตอบทันทีแบบไม่ต้องคิด หรืออาจจะเพราะคุ้นเคยกับมันแล้วจึงไม่คิดว่ามันยากเย็นอะไร “ข้อห้ามของมือสไนเปอร์มีไม่มากหรอก ต้องควบคุมตัวเองให้ได้เหมือนซีลทั่วไป แต่ที่เพิ่มเติมกว่านั้นคือ หนึ่ง...นายต้องแม่นปืน ซึ่งฉันกำลังจะสอนนายอาทิตย์หน้า จริงอยู่ว่าในโรงเรียนนายเรือหรือกองทัพจะต้องสอนนาย แต่มีทักษะไปก่อนย่อมได้เปรียบ” นายทหารหนุ่มเสียงขรึม ซึ่งเด็กหนุ่มก็พยักหน้าเชื่อฟัง

“สองคือร่างกายต้องพร้อม ร่างกายของนายจะต้องแข็งแรงกว่านี้ สาม...สายตาและความสามารถในการมอง คนที่จะเข้ารับการฝึกจะต้องไม่ใส่แว่นสายตา เพราะจะเป็นการเสี่ยงต่อความล้มเหลวของภารกิจเมื่อแว่นสายตาชำรุด หรือสูญหายในพื้นที่ปฏิบัติการ ต้องไม่ตาบอดสี เพราะจะมีปัญหาในการแยกแยะเป้าหมายจากสิ่งแวดล้อม”

ลินคอนกลืนน้ำลาย แล้วสดับฟังต่อ

“สี่คือไม่สูบบุหรี่ เพราะการสูบบุหรี่จะเป็นการเปิดเผยที่ตั้งของตนเอง นอกจากนี้การปฏิบัติงานจริงจะต้องอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถสูบบุหรี่ได้เป็นระยะเวลานาน การที่ไม่สูบบุหรี่เป็นระยะเวลานานของคนที่สูบบุหรี่เป็นประจำจะส่งผลให้ ประสิทธิภาพในการยิงลดลง ห้า...มีความมั่นคงทางอารมณ์สูงกว่าคนปกติ จะต้องเป็นคนสามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ดีในภาวะต่างๆ เพราะการปฏิบัติงานจริงอาจจะต้องตกอยู่ในภาวะที่มีความกดดันสูง การลั่นไก ณ เวลา และสถานที่ที่เหมาะสม เป็นสิ่งที่มีความสำคัญยิ่งต่อการปฏิบัติงานของพลซุ่มยิง นายเข้าใจใช่ไหมลินซ์”

“เข้าใจฮะน้าเจย์”

“ถ้าอย่างนั้นข้อสุดท้ายคือ ความคิดและระดับสติปัญญา ผู้ที่เข้ารับการฝึกนั้นจะต้องเรียนรู้เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับขีปนวิธี ของกระสุนในลักษณะต่างๆ การปรับแต่งอุปกรณ์ช่วยเล็ง การใช้วิทยุสื่อสาร การตรวจการณ์ และการปรับการยิง เครื่องยิงลูกระเบิดและปืนใหญ่ การเดินแผนที่และเข็มทิศ การรวบรวมและรายงาน แต่ข้อนี้ไม่สำคัญเลยถ้านายสอบเข้าโรงเรียนนายเรือและเข้ากองทัพไม่ได้ นายจำได้ทำทุกอย่างที่ฉันพูดมา ก็ต่อเมื่อนายได้เป็นทหาร เข้าใจไหมลินซ์”

“ผมเข้าใจครับน้า”

“อยากจะถอนตัวตอนนี้ก็ได้ลินซ์ ไม่ว่าจะยังไงฉันก็เป็นน้าของนายและจะส่งเสียนายเรียน ไม่ว่านายจะเลือกอาชีพไหน”

“ผมตัดสินใจแล้วครับ” แววตาเด็ดเดี่ยวของลินคอนทำให้เจ.ที. พอใจไม่น้อย แต่เขาซ่อนอาการนั้นไว้อย่างมิดชิด ทำเพียงขยักหน้าขรึมๆ เท่านั้น

“ถ้าอย่างนั้นนอนซะ พรุ่งนี้ตื่นแต่เช้าออกไปวิ่งพร้อมฉัน เราจะมาฝึกร่างกายกัน แล้วนายค่อยไปเรียน”

“ครับ”

เขาปล่อยให้หลานชายได้ขึ้นไปนอนพักเพราะพรุ่งนี้ลินคอนจะเปิดเรียน แต่กระนั้นเขาก็ยังอยากให้ลินคอนมีร่างกายที่เตรียมพร้อมตลอด เจ.ที. นำแฟ้มเอกสารที่เก็บผลการเรียนของลินคอนขึ้นมาดู ก็รู้สึกภูมิใจเหลือเกิน แม้จะไม่มีพ่อ แม่ก็ไม่มีเวลาให้ แต่ลินคอนไม่เคยทำให้ใครผิดหวัง เขามีระดับผลการเรียนที่ดีเยี่ยมแม้ว่าจะอยู่ในโรงเรียนที่ไม่ได้ดีอะไรมาก แต่เจ.ที. ก็เชื่อมั่นว่าลินคอนจะทำสำเร็จอย่างแน่นอน






ไกลออกไปอีกฝั่งของประเทศ ในยามราตรีกาลของค่ำคืนหนึ่ง เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นอย่างต่อเนื่องบริเวณข้างโต๊ะที่หัวเตียง ทำให้หญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังนอนหลับอย่างแสนสุข จำต้องค่อยๆ ควานมือเปะปะไปต้นตอของเสียงไปเรื่อย จนกระทั่งปัดมันตกพื้นดังเปรื่อง


“โอ๊ย ซุ่มซ่ามอะไรอย่างนี้นะ” เจ้าของน้ำเสียงหวานบ่นเบาๆ เธอผุดลุกขึ้นจนได้ แต่ก็ยังต้องควานมือหาต่อไป คราวนี้ไม่ใช่โทรศัพท์ แต่เป็นแว่นสายตาต่างหาก

“เอาไปไว้ที่ไหนนะ!” ชักเริ่มหงุดหงิดเสียแล้วที่เป็นคนงุ่มง่ามขนาดนี้ สายตาก็สั้นเฉียดแปดร้อย มองอะไรก็ไม่ถนัด ยิ่งมืดแบบนี้ก็ยิ่งเหมือนคนตาบอดทีเดียว

หญิงสาวได้แต่คลานไปตามเสียง สุดท้ายก็สามารถคว้าโทรศัพท์มือถือของตนเองมาได้ในที่สุด แล้วรีบกรอกเสียงลงไปทันทีเพราะกลัวคนที่โทร. เข้ามาหาจะเป็นห่วง “ค่ะแม่”

“ทำไมรับช้าจังเลยแมร์”

“หาแว่นตาไม่เจอค่ะ” สาวสายตาสั้นสารภาพเสียงอ่อย ครั้งหนึ่งมารดาเคยบอกให้ทำเลสิกไปเสีย แต่ด้วยความที่เป็นคนขี้กลัวจึงบอกปัดไปทั้งที่ก็สนใจไม่น้อย

“แม่จะบอกว่าแม่มาถึงเมืองไทยแล้ว แมร์อยู่ที่นั่นคนเดียวไม่เป็นอะไรใช่ไหม”

“สบายค่ะแม่ หนูเรียนเต็มวันไม่มีเวลาได้เหงาแน่ๆ ค่ะ หรือถ้ามันเหงาจนทนไม่ไหวเดี๋ยวไปหาพี่เชสก์กับพี่แบลร์ก็ได้ค่ะ” เธอหมายถึงลูกเรียงพี่เรียงน้องของพี่สาวแม่

“ตามใจ ดูแลตัวเองด้วยลูก”

“แม่อยู่เมืองไทยคนเดียวได้ใช่ไหมคะ” ลูกสาวถามด้วยความเป็นห่วงมารดา รู้ดีว่าทำไมมารดาถึงต้องไป เหตุเพราะหลังจากที่บิดาเสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุในห้องแล็บ มารดาก็เหมือนคนไร้หลักที่พึ่ง จึงเดินทางกลับไปยังบ้านเกิดที่เมืองไทย เพราะอย่างน้อยก็ยังมีบ้านและกิจการที่ตกทอดไว้ให้ดูแล

“แม่อยู่ได้ สบายมากลูก”

“ติดต่อมาหาหนูบ่อยๆ นะคะ”

“แม่รู้จ้ะ แม่ว่าแม่คงต้องวางสายแล้วล่ะ โทร. ทางไกลมันแพง หนูก็นอนเถอะแมร์ แล้วแม่จะโทรไปหาใหม่นะลูก”

“รักแม่ค่ะ”

“รักลูกเช่นกันจ้ะ”

หลังจากที่วางสายจากมารดาไปแล้ว หญิงสาวก็ไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป คนตัวเล็กควานหาแว่นตาหนาเตอะของตนเองจนเจอแล้วรีบสวม ภาพสิ่งของรอบกายที่พร่าเบลอเมื่อครู่จึงกลับมาชัดเจนอีกครั้ง


สาวตัวเล็กยิ้มออกมาด้วยความยินดี ตอนนี้ยังหัวค่ำอยู่แท้ๆ แต่เพราะตัวเองเป็นคนนอนไม่เป็นเวลา ทำให้นาฬิกาชีวิตรวนไปหมด จึงตัดสินใจเดินออกไปข้างนอกแทน แล้วก็พบว่าเพื่อนสาวชาวญี่ปุ่นที่มีรูปร่างเล็กพอๆ กันกับเธอกำลังนั่งอ่านเอกสารอะไรอยู่

“ทำอะไรน่ะมาโกะ” มาโกะ ยูชิทาดะ เป็นสาวญี่ปุ่นอายุ 23 แล้ว ถึงแม้ว่าจะแก่กว่า แต่เธอก็นับเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกันเพราะเข้าเรียนคณะแพทย์พร้อมกันเมื่อปีที่แล้ว

“อ่านสมุดของเธออยู่ไง” เพื่อนญี่ปุ่นร่วมห้องชูสมุดบันทึกสีแดงให้ดู “อ่านมาตั้งนานแล้วไม่เห็นว่ามันจะมีอะไรเลย”

“ไม่เป็นไรหรอกมาโกะ” คนที่ชื่อแมร์เกาศีรษะจนผมที่ยุ่งไม่เป็นทรงอยู่แล้ว ยิ่งยุ่งเหยิงไปกันใหญ่ “ฉันอ่านมาตั้งนานก็ยังไม่เจอเลยว่าพ่อคิดจะทำอะไร ก็เลยเอามาให้เธอดูไง ว่าแต่เธออ่านแล้วพอจะรู้ไหมว่าพ่อฉันคิดจะทำอะไร”

“ไม่รู้สิ เหมือนจะสกัดดีเอ็นเอจากพืชนะ หรือเธอว่าไง”

“ฉันก็คิดอย่างนั้นนะ แต่ก็ยังอดสงสัยไม่ได้อยู่ดี ไม่ยักรู้ว่าพ่อจะชอบพฤกษศาสตร์ตั้งแต่เมื่อไหร่” สาวแว่นหนาขมวดคิ้วให้ยุ่งไปหมด

“ฉันงงไปหมดแล้วว่าพ่อของเธอพยายามจะทำอะไร แต่เดี๋ยวกลับมาดูต่อให้นะ ตอนนี้หิว เธอเอาไปก่อนก็ได้ แล้วอย่าลืมเอาไปไว้ในห้องนอนฉันให้ด้วยนะ” มาโกะส่งสมุดแล็บสีแดงสดมาให้ “ฉันจะออกไปหาอะไรกินข้างนอก เธอจะเอาอะไรไหม”

“ไม่ดีกว่า ขอบใจมาโกะ”

“แล้วเจอกันแมร์ ล็อคห้องไปเลยนะเผื่อฉันจะกลับดึก”

“จ้ะ"



..............................................................................


มาแล้วค่า มาอัพแล้ว ฮี่ๆๆ

เริ่มเห็นแวววุ่นแล้วหรือยังคะ นางเอกท่าทางจะเฉิ่มไม่น้อย ต้องมาคอยดูกัน
ส่วนลินคอน น่ารักเนอะ ตูนล่ะชอบเด็ก ฮ่าๆๆ

ปล. ตูนจะอัพอีกเรื่องควบกันไปด้วย ชื่อเรื่อง ฤทัยลักษมณ์ เป็นแนวแฟนตาซีนิดๆ ผสมวรรณคดีไทยนะคะ


ลองอ่านดูนะ

รักคนอ่านเสมอมาค่ะ


กรรัมภา (กนิษวิญา)






กนิษวิญากรรัมภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 11 ก.พ. 2557, 14:17:18 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 11 ก.พ. 2557, 14:17:18 น.

จำนวนการเข้าชม : 1507





<< บทที่ 1 กลับบ้าน   บทที่ 3 ของสำคัญ >>
แว่นใส 11 ก.พ. 2557, 20:20:16 น.
คู่นี้จะเจอกันเมื่อไหร่


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account