แผนลับ นักสืบ
กอหญ้าเพิ่งมาทำงานเป็นนักข่าวได้แค่ไม่ถึงหกเดือน เธอต้องการทำข่าวนายอิทธิกรติดผู้หญิงกับมั่วยาบ่อย ๆ เธอไม่ยอมแพ้ ไปแอบอยู่ข้างบ้านนายอิทธิกรแล้วปีนต้นไม้บ้านข้าง ๆ แต่หมอหนุ่มเห็นเข้าเขาจะเรียกตำรวจ แต่เธอร้องห้ามไป ๆ มา ๆ เลยขอแอบเข้าไปในบ้านหมอหนุ่มเสียเลย
Tags: ึความรัก,นักข่าว,คุณหมอ,ดารา

ตอน: ตอนที่ ๑๓ ความบังเอิญ

ความบังเอิญ

ข้าวฟ่างพาเธอและคชินทร์ไปที่ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง สองเพื่อนสาวเดินคุยกันโดยมีคชินทร์เดินตามอยู่ที่ด้านหลัง รสกรคอยชำเลืองมองเขาบ่อยๆ และชายหนุ่มก็ยิ้มตอบโดยไม่ใส่ใจอะไร

ข้าวฟ่างจูงมือเพื่อนสนิทเดินไปที่ร้านหนังสือแห่งหนึ่ง ข้าวฟ่างสนใจการปลูกต้นไม้และการจัดไม้กระถางสวยๆ จึงหยุดอยู่ที่มุมหนังสือเกี่ยวกับการปลูกต้นไม้และการจัดสวน ส่วนรสกรมองหาหนังสือเกี่ยวกับเทคนิคการถ่ายภาพซึ่งอยู่บนชั้น แต่หนังสือที่เธอเล็งไว้อยู่สูงจนเธอเอื้อมไม่ถึง คชินทร์ที่เดินตามมาจึงหยิบมันมาให้เธอ

“ขอบคุณค่ะ” เธอยิ้ม

“คุณสนใจเทคนิคการถ่ายภาพด้วยหรือ”

“ก็เป็นธรรมดาของอาชีพนักข่าวไม่ใช่หรือคะ”

“นั่นสินะ”

รสกรเดินดูหนังสือถ่ายภาพต่อไป โดยมีชายหนุ่มเดินตาม เขาเองก็ชอบหนังสือแนวถ่ายภาพอยู่ด้วย ทั้งสองจึงคุยเรื่องการถ่ายภาพได้เรื่อยๆ เพราะความชอบที่เหมือนกัน

“แล้วเล่มนี้ล่ะไม่ลองอ่านดูหรือ”

“ไหนคะ” หญิงสาวเงยหน้ามองตาม แต่หนังสือเล่มนั้นอยู่สูงจนเธอเอื้อมไม่ถึง “อยู่สูงจัง”

หมอหนุ่มเอื้อมมือหยิบหนังสือเล่มนั้นให้เธอ แผ่นอกกว้างแนบชิดกับหลังของหญิงสาว รสกรแก้มแดงปลั่ง เพราะดูเหมือนเธอจะเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของคชินทร์ เธอไม่รู้ว่าเขาตั้งใจหรือไม่ เมื่อหันไปหาเขาก็พบกับรอยยิ้มบนใบหน้าและดวงตาสีน้ำตาลที่จ้องมองเธอ หญิงสาวเม้มปากแน่นดู ท่าว่าเขาคงตั้งใจอยู่แน่ๆ

“นี่ไงเล่มที่คุณกำลังมองหา”

“ขอบคุณค่ะ แต่ช่วยเดินออกไปห่างๆฉันด้วย”

“ทำไมล่ะ” เขาเลิกคิ้ว

“เพราะฉันไม่ต้องการให้ข้าวฟ่างเข้าใจผิด”

รสกรทำท่าจะเดินหนีไป แต่คชินทร์ไวกว่า เขาเอื้อมมือไปจับแขนเรียวบางพร้อมกับดึงเธอไว้แน่น

“เดี๋ยวก่อนสิ”

“อะไรคะ”

“สาเหตุที่ผมมาที่นี่ก็เพราะคุณมาด้วย ถ้าไม่ใช่คุณผมไม่มีทางมาหรอก” น้ำเสียงของเขาเข้มจัด จนเธอแปลกใจ

“สาเหตุที่ฉันมาที่นี่ก็เพราะข้าวฟ่างเป็นคนชวนมา ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณ”

หญิงสาวตอบแบบหน้าตาซื่อ คชินทร์หรี่ตามองเธอ ดูท่าว่าเธอคงรู้จักเขาน้อยเกินไปเสียแล้ว เขาดึงแขนเรียวบางของเธอหลบวูบเข้าไปทางซ้ายมือซึ่งเป็นมุมอับที่ปราศจากผู้คน หญิงสาวลืมตาโตเมื่อเขาโน้มศีรษะเข้ามาใกล้ เขาใช้ลำแขนแนบตู้หนังสือบนศีรษะเธอแล้วก้มมองเธอจนปลายจมูกแทบชนกัน

“จะทำอะไรน่ะ”

“คุณไม่ได้มาเพราะคุณข้าวฟ่างชวนมาหรอก แต่คุณไม่ไว้ใจผมต่างหาก”

“คุณมันน่าไว้ใจนักนี่ ปล่อยนะ เดี๋ยวคนอื่นเดินมาทางนี้”

“เห็นก็ช่าง ผมไม่แคร์หรอก”

“คุณชิน”

นักข่าวสาวหน้าซีดเผือด ถ้าเกิดมีใครผ่านเข้ามาพบเธอคงไม่ดีแน่ เธอยกมือขึ้นผลักอกเขา แต่คชินทร์ก็ไม่สะทกสะท้านหรือถอยห่างออกไป แถมยังก้มหน้าลงมาใกล้ขึ้นอีกจนหญิงสาวต้องหันหน้าหนีไปทางอื่น เธอทั้งโกรธและอายจนบอกไม่ถูกจึงกระทืบเท้าลงไปที่เท้าของเขา ชายหนุ่มจึงต้องปล่อยมือจากเธอทันที

“อยากไม่ปล่อยดีนัก”

“นี่คุณ...”

“กอหญ้าจ๊ะ เธอว่าเล่มนี้ดีหรือเปล่า” ข้าวฟ่างเดินหาเธอพบพอดี รสกรถอนหายใจยาวแล้วรีบเดินออกไปหาเพื่อน ทำท่าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“อือ หนังสือนี่เหมาะกับเธอดีนะ”

“ฉันก็ว่าอย่างนั้นแหละ เล่มนี้ดีไหมคะคุณชิน” ข้าวฟ่างเงยหน้าไปหาคชินทร์ และพบว่าสีหน้าของเขาเข้มขึ้นกว่าปกติจนเธอแปลกใจ “เป็นอะไรหรือเปล่าคะ”

“ที่นี่จะไม่ค่อยถูกโฉลกกับผมเท่าไหร่ ผมเดินอยู่ดีๆกลับสะดุดตู้หนังสือซะอย่างนั้น”

“ตู้ไหนคะ” ข้าวฟ่างเหลียวมองรอบกาย

“ก็คงเป็นตู้หนังสือแถวๆนี้แหละ” รสกรแย่งตอบ “คนอะไรเดินไม่ดูตาม้าตาเรือเอาซะเลย”

ตลอดทั้งวันทั้งสามคนเดินซื้อและดูข้าวของยังร้านต่างๆ โดยข้าวฟ่างเป็นคนซื้อของ ส่วนคชินทร์เป็นคนช่วยเธอถือ เขาดูเป็นสุภาพบุรุษมากตลอดเวลาที่เดินอยู่กับข้าวฟ่าง

เมื่อเดินซื้อของกันจนเมื่อยแล้วทั้งสามคนจึงไปแวะดื่มกาแฟที่ร้านมุมบันไดเลื่อนลงไปชั้นล่าง คชินทร์ขอตัวไปเข้าห้องน้ำทาง ปล่อยให้ข้าวฟ่างกับรสกรคุยกันตามประสาเพื่อน

ข้าวฟ่างมองตามเขาด้วยรอยยิ้ม ใช้มือเท้าคางพลางรำพึงแผ่ว

“คุณชินเนี่ย เป็นสุภาพบุรุษดีจังเลยนะ”

คำพูดของเธอแทบทำให้รสกรแทบพ่นกาแฟออกมาทีเดียว

“ตานั่นน่ะเหรอ ไม่เหมาะจะเป็นสุภาพบุรุษเลยสักนิด”

“ทำไมล่ะ อย่างวันนี้เขาก็เดินตามเราช่วยถือของ ไม่เห็นจะบ่นสักคำ”

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เขาเหมาะจะเป็นซาตานมากกว่า”

ข่าวฟ่างหัวเราะคิก “นี่กอหญ้า ถามจริงๆเถอะ เธออยู่กับเขาสองต่อสองไม่เกิดอะไรขึ้นบ้างเหรอ”

“จะให้เกิดอะไรขึ้นล่ะ บ้าแล้ว เธอนี่”

“ก็...อย่างที่พวกหนังรักชอบทำกันไง แบบตามองตาหวานซึ้งอะไรแบบนี้”

“มีแต่มองตากันแล้วแยกเขี้ยวใส่กันมากกว่า”

รสกรหลุบตาลงไปดูแก้วกาแฟในมือ ตาประสานตาหวานซึ้งงั้นเหรอ ไม่มีวันซะหรอก อีกอย่าง เธอไม่คิดจะแย่งแฟนจากเพื่อนเป็นอันขาด

ข้าวฟ่างส่ายหน้าไปมา ดูท่าความรักหวานซึ้งคงไม่มีวันเกิดขึ้นกับสองคนนี้แน่ เธอมองเลยไปด้านหลังของเพื่อนสาวจึงเห็นผู้ชายหน้าตาดีสวมชุดสูทเดินมาพอดี

“นั่นผู้จัดการฉันนี่” เธอร้อง

“อะไรนะ อยู่ที่ไหนเหรอ”

“สวัสดีครับคุณข้าวฟ่าง บังเอิญจังนะครับที่วันนี้ผมมาเดินแถวนี้พอดี” คนตัวสูงหน้าตาขาวจัด แต่งกายภูมิฐาน เดินเข้ามาใกล้เธอสองคน สายตาของเขาก้มลงประสานกับดวงตากลมโตของรสกรพอดี

“สวัสดีครับ คุณกับข้าวฟ่างมาเที่ยวเหรอ”

“เอ่อ..สวัสดีค่ะ ฉันมาเป็นเพื่อนข้าวฟ่างซื้อของน่ะค่ะ” รสกรรีบตอบ

“คุณนเรนทร์คะ นี่กอหญ้าเพื่อนฉันเองค่ะ กอหญ้านี่ผู้จัดการของฉันน่ะ”

“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ” เธอยิ้มมองหน้าผู้จัดการรูปหล่อ

“ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับ”

“วันนี้ฉันมาเดินซื้อหนังสือกับเพื่อนนะค่ะ แล้วผู้จัดการล่ะคะมาเดินคนเดียวเหรอ” ข้าวฟ่างถามขึ้น

“ผมมาเดินคนเดียวครับ” เขายิ้ม ใบหน้าของเขาเวลายิ้มแล้วดูมีเสน่ห์มาก

“ไม่พาแฟนมาด้วยเหรอคะ”

“ผมยังไม่มีแฟน เลยต้องมาคนเดียว”

นักข่าวสาวชำเลืองมองหน้านเรนทร์พลางคิดว่า ผู้จัดการอย่างเขาคงจะงานหนักมากจนไม่มีเวลาหาคนรู้ใจ เพราะดูแล้วคนที่ดูภูมิฐานขนาดนี้ต้องมีสาวๆมาสนใจมากมายเลยละ ชั่วขณะที่เธอกำลังมองหน้าเจ้านายเพื่อน นเรนทร์ก็มองเธอพร้อมกับรอยยิ้ม จนรสกรสะดุ้งแก้มแดงจัด

“หน้าผมมีอะไรติดอยู่หรือเปล่าครับ”

“เปล่าค่ะ แค่สงสัยนิดหน่อย”

“สงสัยว่าอะไรหรือครับ”

“สงสัยว่าคุณออกจะหน้าตาดี แต่ทำไมยังไม่มีคนรู้ใจสักที”

ชายหนุ่มหัวเราะคิกทันที เขายิ้มน้อยๆให้เธอก่อนจะพูดติดตลกว่า

“จะไม่ให้ผมนั่งก่อน แล้วค่อยคุยกันเหรอครับ”

“จริงด้วย เชิญคุณนั่งก่อนเถอะค่ะ ลืมไปเลย” รสกรรีบชวน

นเรนทร์นั่งลงที่เก้าอี้ข้างข้าวฟ่าง “เมื่อกี้คุณถามผมว่าเพราะอะไรถึงยังไม่มีแฟนใช่ไหมครับ”

“ค่ะ เสียมารยาทจริงๆ อย่าถือสาเลยนะคะ”

“ไม่หรอกครับ” เขายิ้มบางๆให้ “ผมก็เคยคิดอยู่ แต่เพราะผมแทบจะไม่มีเวลาให้ผู้หญิงเลย คุณคิดว่าจะมีใครอยากคบกับคนที่ทำงานเกือบตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงได้ล่ะครับ”

“งานยุ่งมากเลยเหรอคะ”

“ครับ ตอนนี้เป็นช่วงที่ต้องติดต่อกับต่างประเทศ แทบไม่มีเวลาส่วนตัวเลย”

“อืม...ตอนนี้คุณก็มีข้าวฟ่างเป็นเลขาฯแล้วนี่คะ”

“พอดีว่า...”

เขาอ้าปากจะพูดต่อ แต่ข้าวฟ่างรีบดักคอไว้อย่างรวดเร็ว

“ฉันไม่ว่างหรอกค่ะ แค่ทำงานรับใช้คุณตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงก็มากเกินพออยู่แล้ว”

รสกรกระพริบตาถี่ๆ ดูเหมือนว่าคู่นี้จะไม่ลงรอยกันเสียเลย...

“ถ้าหากว่าคุณทำตัวให้ว่างบ้างก็มีพวกผู้หญิงมากมายรอเข้าคิวหรอกค่ะ” ข้าวฟ่างเอ่ย
“ข้าวฟ่าง...เธอพูดอะไรน่ะ” รสกรรีบกระซิบเตือนเพื่อน

“ก็จริงนี่นา”

“ช่างเถอะครับ ผมไม่ถือหรอก” นเรนทร์หัวเราะ “ผมชอบคนพูดตรงๆแบบนี้แหละ”

ข้าวฟ่างทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ส่วนรสกรยิ้มเฝื่อน ดูท่าว่าการเจอกันระหว่างเจ้านายกับลูกน้องครั้งนี้จะไม่ค่อยดีเอาเสียเลย

นักข่าวสาวมองไปตามทางเดินแล้วเห็นคชินทร์เดินกลับมาพอดี เขามองมายังโต๊ะของเธอ รสกรยังไม่ทันจะได้อ้าปากพูด เขากลับทำให้ทุกคนงงงันไปตามๆกัน

“นเรนทร์”

“อ้าว ชินนายมาทำอะไรที่นี่”

นเรนทร์ ผู้จัดการบริษัทอสังหาริมทรัพย์ ลุกขึ้นเดินเข้าไปจับมือกับคชินทร์ด้วยความยินดี ทั้งคู่พูดคุยกันอย่างสนิทสนมเป็นกันเอง ข้าวฟ่างกับรสกรหันไปมองหน้ากัน ก่อนที่นเรนท์จะโอบไหล่คชินทร์แนะนำให้สองสาวได้รู้จัก

“นี่คชินทร์เพื่อนสมัยเรียนมอปลายของผมเอง”

“ไม่ต้องแนะนำให้รู้จักหรอก ผมมาเป็นเพื่อนเธอสองคนน่ะ”

“อ้าว รู้จักกันด้วยเหรอ” นเรนทร์ทำสีหน้าแปลกใจยิ่ง “เห็นข้าวฟ่างบ่นถึงนายบ่อยๆ แต่ไม่คิดว่าเป็นนายเลยนะ”

“บ่นอะไรคะ” รสกรถามอย่างสงสัย

“บ่นว่าผู้ชายทุกคนเป็นแบบชินก็ดีน่ะสิ เป็นสุภาพบุรุษแถมยังใจดีอีกด้วย”

“ผู้จัดการ...ฉันอายนะคะ” ข้าวฟ่างแก้มแดงปลั่ง

นักข่าวสาวยิ้มเฝื่อนขณะมองดูผู้จัดการกับข้าวฟ่างพูดคุยกัน สายตาของเธอมองไปยังคชินทร์ ก็เห็นเขานั่งทำหน้ายิ้มๆและมองมายังเธอเช่นกัน ทั้งหมดคุยกันอยู่นาน จนกระทั่งนเรนทร์ดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือ เขาจึงลุกขึ้นแล้วเอ่ยลาเพื่อไปทำงานที่บ้านต่อ แล้วหันมาคุยกับรสกรนิดหน่อย

“น่าเสียดายจังนะครับ ผมคงต้องรีบกลับแล้ว”

“จะกลับแล้วเหรอคะ” รสกรถาม

“ครับ เห็นทีคงต้องกลับไปสะสางงานต่อ ไว้วันหน้าค่อยคุยกันใหม่นะครับ”

“ค่ะ” รสกรรับคำยิ้มๆ

“ถ้ามีอะไรให้ช่วย บอกผมได้นะครับ ขอตัวก่อน”

“โชคดีค่ะ” นักข่าวสาวอวยพร

ข้าวฟ่างแอบมองเพื่อนสนิทกับเจ้านายก่อนที่เขาจะเดินจากไป หญิงสาวศอกกลับรสกรน้อยๆพลางโน้มใบหน้าเข้าไปหาเพื่อน

“ท่าทางผู้จัดการคงจะชอบเธอแน่ๆเลยกอหญ้า”

รสกรหันกลับมามองเพื่อนรัก พร้อมกับขมวดคิ้ว

“อะไรนะ”

“ก็ผู้จัดการน่ะสิ จากสายตาที่เขามองเธอ ฉันว่าเขาต้องแอบชอบเธอแน่ๆเลย”

“จะบ้าเหรอ พูดอะไรก็ไม่รู้” รสกรร้อง สายตาก็พลันเหลือบไปเห็นคชินทร์ที่กำลังมองไปยังร้านรองเท้าเพลินอยู่ หญิงสาวเม้มปากแน่น ดูเถอะ เขาไม่สนใจเธอเอาซะเลย “เธอน่ะคิดมากเกินไปแล้ว”

“มันก็จริงนะ แต่ว่าสองคนนี้เขาเหมาะสมกันจริงๆนะคะ” ข้าวฟ่างหันไปหาคชินทร์ที่ยืนล้วงกระเป๋าอยู่ด้านข้าง และเขาก็หันมายิ้มให้เธอ

“ผมคงไม่อาจรู้ใจเพื่อนคุณได้หรอก” สายตาสีน้ำตาลของเขาลอบมองเธอ

รสกรกัดริมฝีปากแน่น ใจหนึ่งนึกอยากประชดเสียอย่างนั้น

“เขาน่ารักดี อย่างน้อยเขาก็พูดเพราะ ใจดีอบอุ่นไม่เหมือนใครบางคนหรอก”

“ปากอย่างใจอย่างมันไม่ค่อยดีนะครับ”

“ใครว่าล่ะ ปากตรงกับใจ ไม่มีใครเหมือนเลยล่ะ”

บรรยากาศระหว่างคนทั้งสองทำเอาข้าวฟ่างที่อยู่ตรงกลางยิ้มเฝื่อน เธอก้าวเข้ามาแล้วทำมือห้ามไว้เพื่อไม่ให้คนทั้งสองปะทะคารมกัน

“ฉันว่าเรากลับกันดีกว่า ออกมาตั้งนานแล้ว” เธอเอ่ยเสียงสดใส

“นั่นสินะ ว่าแต่เธอซื้อของหมดแล้วเหรอ”

“ยังเลย ร้านหนังสืออยู่ใกล้ๆนี่เอง เดี๋ยวฉันมานะ รอแป๊บหนึ่ง” ข้าวฟ่างบอกเพื่อนสนิทก่อนวิ่งไปที่ร้านหนังสือ ทิ้งให้ทั้งสองมองหน้ากัน

รสกรสะบัดหน้าไปทางอื่น ส่วนคชินทร์เดินเข้าไปใกล้แล้วโน้มศีรษะลงมาหาใบหูของเธอพลางกระซิบเบาๆว่า

“ผมว่าข้าวฟ่างดูผิดไปต่างหาก นเรนท์น่ะเขาไม่ได้ชอบผู้หญิงก๋ากั่นอย่างคุณเลยต่างหาก”

นักข่าวสาวสะดุ้งโหยง หันไปมองหน้าเขา

“คุณว่ายังไงนะ”

“เพื่อนสนิทของผมเป็นยังไงผมรู้ดี” เขายิ้ม ทำเอาหญิงสาวอดหมั่นไส้ไม่ได้

“อ๋อเหรอ แล้วยังไงล่ะ เขาออกเป็นสุภาพบุรุษแสนอบอุ่น ใจดีแล้วยังรวยอีกด้วย อย่างว่าแหละนะ ความรักมันทำให้ผู้หญิงเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ ไม่เชื่อคอยดู”

“ผมยังไม่ได้พูดสักคำ”

“งั้นเหรอ”

“เสร็จแล้วจ้า รอนานไหม ดูสิ มีหนังสือเล่มที่อยากอ่านด้วยนะ”

ข้าวฟ่างเดินมาพอดี ใบหน้าหวานยิ้มละไม ทั้งคู่จึงเลิกปะทะคารมกันไปชั่วคราว รสกรหันหน้าหนีไปทางอื่น แล้วเดินนำไปข้างหน้าโดยไม่หันมามองคนที่อยู่ด้านหลัง ข้าวฟ่างมองตาม เมื่อหันไปมองคชินทร์ก็ลอบยิ้มน้อยๆ ก่อนจะพากันเดินตามไป...


วันนี้รสกรต้องไปซื้อของในซุปเปอร์มาเก็ตเพราะคชินทร์ขออ่านหนังสือที่บ้าน หญิงสาวจึงออกจากบ้านไปจับจ่ายซื้อของกินและของใช้ที่ซุปเปอร์มาเก็ตแห่งหนึ่ง ขณะที่รสกรมัวแต่เดินเลือกหยิบข้าวของเครื่องใช้ลงในตะกร้ารถเข็น เธอจึงชนเข้ากับใครบางคนที่เดินหาเสื้อเชิ้ตเข้าอย่างจัง จนเกือบหน้าหงายลงไป ยังดีที่คนคนนั้นช่วยดึงแขนเธอไว้ พอหญิงสาวเงยหน้ามองคนที่อยู่ตรงหน้าแล้วก็ต้องอุทานว่า

“คุณนเรนทร์”

“ขอโทษนะครับ คุณเป็นอะไรหรือเปล่า”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันต่างหากละคะที่ต้องขอโทษ บังเอิญมัวแต่ดูของ เลยไม่ทันได้ระวัง”

“ผมก็ต้องขอโทษเหมือนกัน พอดีผมมัวแต่มองเสื้อเชิ้ตเลยไม่ทันเห็น

ทั้งสองมองหน้ากันก่อนหัวเราะคิกว่า ทั้งคู่มัวแต่ดูของเลยทำให้เดินมาชนกัน รสกรยิ้มนิดๆไปให้แล้วว่า

“สรุปว่าเราทั้งคู่มัวแต่ซื้อของเลยไม่ทันระวังตัวเลย”

“นั่นสินะ”

“คุณนเรนทร์มาซื้อเสื้อหรือคะ”

“ครับ ผมอยากได้เสื้อโปโลแบบสบายๆน่ะ แล้วคุณล่ะมาซื้ออะไร”

“ข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวน่ะค่ะ เยอะแยะไปหมด”

“งั้นผมช่วยเข็นรถให้นะครับ”

นักข่าวสาวจึงรีบร้องอุทาน เมื่อเขาทำท่าจะมาแย่งรถเข็นไปเข็นแทน

“ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันเข็นเองได้” หญิงสาวรีบคว้ารถเข็นไว้ก่อน

“ไม่เป็นไรครับ ผมเข็นให้”

“แต่ว่า...” หญิงสาวอึกอักเพราะเกรงใจ

“ไม่ต้องคิดมากหรอก มาเถอะ เดี๋ยวผมช่วยเข็น”

“ค่ะ”

นเรนทร์เข็นรถไปตามจุดต่างๆ เมื่อเวลาผ่านไปไม่นานพวกเขาก็พูดคุยกันอย่างสนิทสนมมากขึ้น และช่วยกันเลือกซื้อของ หากมองดูผิวเผินพวกเขาเหมือนกับคู่รักข้าวใหม่ปลามันที่เดินเลือกซื้อของกันในวันหยุด

“วันนี้เป็นคุณว่างเหรอคะ” เธอถาม

“ใช่ครับ บริษัทของผมหยุดวันอาทิตย์ แต่บางทีผมก็เอางานมาทำที่บ้าน ไม่ต้องเข้าบริษัท”

“อืม” เธอพยักหน้าเบาๆ “อิจฉาจัง เอางานมาทำที่บ้านได้ด้วย”

“อิจฉาอะไรครับ ผมต่างหากที่ต้องอิจฉาคุณ”

“ทำไมหรือคะ” รสกรเอียงคอถามอย่างสงสัย

“คุณข้าวฟ่างเล่าให้ฟังว่าคุณเป็นนักข่าว สามารถทำงานข้างนอกโดยไม่ต้องเข้าออฟฟิศทุกวัน ดูอิสระดีออกครับ”

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ” เธอคิดไปถึงเรื่องอิทธิกร “นักข่าวอย่างเราทำงานกันหนักมาก เหนื่อยแสนเหนื่อย แต่สิ่งที่ได้มาก็คุ้มค่านะคะ”

“นั่นสินะครับ” นเรนท์เอ่ยเบาๆ “ถ้าผู้หญิงทุกคนเป็นอย่างคุณก็คงจะดี”

“อะไรนะคะ”

“เปล่าหรอก ผมแค่นึกถึงใครบางคนน่ะ”

“ใครบางคน...” หญิงสาวลากเสียงถามอย่างสงสัย

นเรนทร์หัวเราะเบาๆ “ผู้หญิงที่เอาแต่ใจ ดื้อรั้นยังไงล่ะ”

จะมีผู้หญิงคนไหนที่ทำให้ผู้บริหารอย่างเขาวุ่นวายใจได้อีกเหรอ

“ว่าแต่คุณกอหญ้ารู้จักกับชินมานานหรือยังครับ”

นักข่าวสาวขมวดคิ้วอย่างยุ่งยากใจ “เอ่อ...ก็สักพักหนึ่งแล้วค่ะ”

“แล้วรู้จักกันดีแค่ไหนแล้วครับ”

“ก็รู้จักเขาในฐานะเพื่อนคนหนึ่งน่ะค่ะ คุณชินช่วยเหลือฉันทุกอย่าง ถ้าไม่มีเขาล่ะก็ฉันคงจะแย่แน่ๆ” รสกรยิ้มให้เขานิดๆ

“นั่นสิครับ ชินที่ผมรู้จัก เขามีน้ำใจ ชอบช่วยเหลือคนอื่นอยู่เรื่อย สมัยเรียนเขาเกือบถูกไล่ออกจากมหา’ลัยเลยละครับ เพราะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของอันธพาล”

“อะไรนะคะ”

“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ชินแค่ปกป้องเพื่อนของเขาที่ติดยา จริงๆแล้วเขาเป็นผู้บริสุทธิ์น่ะครับ”

จริงๆแล้วเธอก็รู้ดีว่าคชินทร์เข้ามาเกี่ยวข้องกับเธอเกือบทุกเรื่อง ถึงแม้ว่าเขาจะทำเป็นขรึมและไม่พูดอะไร แต่เขาก็ต้องยื่นมือเข้าไปช่วยเธอทุกเรื่อง ถ้าไม่มีเขาเธอคงแย่ไปนานแล้ว

“จริงด้วยค่ะ เขาเป็นสุภาพบุรุษจริงๆ” เธอยิ้ม

“แค่สุภาพบุรุษหรือครับ”

“คะ”

“ขอโทษนะครับ” นเรนทร์หัวเราะ “ผมแค่สงสัยว่า ระหว่างคุณกับชินเป็นอะไรกัน”

รสกรหน้าแดงปลั่ง เป็นอะไรนะเหรอ...จะให้เธอตอบว่าอย่างไรดีล่ะ

“ก็เป็นเพื่อนกันไงล่ะคะ” เธอตอบแก้เก้อ

“ผมเห็นสายตาที่เขามองคุณ แววตาของเขาอบอุ่นและอ่อนโยนมาก ผมยังไม่เคยเห็นชินมองผู้หญิงคนไหนเหมือนกับที่เขามองคุณเลยนะครับ”

อ่อนโยนและอบอุ่นเหรอ ใช่ แต่คชินทร์ก็ทำให้เพื่อนของเธอหลงรัก...รักมากด้วย

“คนที่เขามอง...ไม่ใช่ฉันหรอกค่ะ”

“ทำไมครับ”

“เพราะว่ามีผู้หญิงที่เหมาะสมกับเขาอยู่แล้วทั้งคนนี่คะ” เธอยิ้มเฝื่อน

“ถ้างั้นผมก็ต้องขอโทษคุณด้วยนะครับ ที่ถามเรื่องแบบนี้”

“ไม่เป็นไรค่ะ”

“งั้นผมพาคุณไปดูเสื้อโปโลดีกว่า ไปกันเถอะ”

นเรนทร์พารสกรไปยังช็อปเสื้อโปโลยี่ห้อดังแห่งหนึ่ง เธอเลือกซื้อเสื้อสีฟ้าลายตรงให้เขา แต่นเรนทร์กลับเลือกเสื้อสีดำสนิทดูเงียบขรึม ทั้งสองเดินเลือกซื้อของด้วยกันอย่างเพลิดเพลิน ภายในรถเข็นจึงเต็มไปด้วยข้าวของเครื่องใช้ภายในบ้าน แถมตอนนี้ก็ยังมาเลือกซื้อเสื้อด้วยกัน ทำเอาคุณป้าท่านหนึ่งที่เดินผ่านไปยิ้มให้อย่างเอ็นดู แต่ดูเหมือนว่าทั้งสองจะไม่รับรู้ว่า คนอื่นมองพวกเขาอย่างไรเลย

“ฉันว่า ตัวนี้ดีกว่าค่ะ สีดำมันดูขรึมยังไงก็ไม่รู้”

“เหรอครับ มันขรึมไปเหรอ”

“ค่ะ ฉันว่า มันดูไม่เข้ากับคุณ”

“ถ้าอย่างนั้นตัวนี้ดีกว่า” เขาหยิบเสื้อยืดสีฟ้าขึ้นมา รสกรเป็นคนถือไว้และให้เขาหันหลังเพื่อที่เธอจะได้ลองแนบเสื้อกับแผ่นหลังเขาเพื่อวัดขนาด หญิงสาวเอียงคอมอง และสังเกตเห็นว่าเสื้อแบบนี้มันไหล่ตกไปนิดหนึ่ง

“ใหญ่ไปค่ะ”

“งั้นเหรอ ถ้างั้นลองตัวนี้ดีกว่าไหม”

เขาหยิบเสื้อโปโลสีน้ำเงินเข้มอีกตัวส่งมาให้รสกร เธอหยิบชุดมากางแล้วทาบที่หลังของเขา ซึ่งตัวนี้เข้ากับเขาได้พอดี ใบหน้างามของเธอยิ้มสดใส

“ดูดีมากเลยค่ะ เอาตัวนี้ดีกว่า”

“จริงหรือครับ”

“จริงค่ะ สรุปนี้ตัวนี้ดีกว่า”

นเรนทร์ส่งเสื้อให้พนักงานขายนำไปใส่ถุง แล้วสายตาของรสกรก็ไปสะดุดอยู่ที่เนกไทสีน้ำเงินเข้ม หญิงสาวจับเนกไทขึ้นมาดูก็เห็นว่ามันเข้ากับเสื้อเชิ้ตของคชินทร์หลายตัว...

“เอาเนกไทชิ้นนี้ด้วยค่ะ”

เธอยื่นเนกไทให้พนักงานขายช่วยนำไปใส่ถุงและจ่ายเงิน จากนั้นทั้งสองก็เดินเลือกเสื้อผ้าที่ช็อปอื่นอีกพักใหญ่ แล้วรสกรก็ขอตัวกลับก่อน นเรนทร์อาสาจะไปส่งเธอที่บ้าน แต่หญิงสาวปฏิเสธ

“ไม่ต้องหรอกค่ะ ของแค่นี้เอง ฉันกลับเองได้”

“จะดีเหรอครับ ถ้ายังไงให้ผมไปส่งดีกว่า”

“รบกวนคุณเปล่าๆค่ะ”

“ถ้าอย่างนั้นก็ได้ครับ เอาไว้คราวหน้าเราไปหาอะไรทานกันดีกว่านะ”

“ค่ะ” เธอยิ้มให้เขา แล้วโบกมือลานเรนทร์แล้วเดินออกไปทางประตูหน้า

หลังจากที่กลับมาถึงบ้านแล้ว รสกรก็เห็นคนตัวสูงนอนเหยียดยาวหลับสนิทอยู่บนโซฟาโดยมีตำราการแพทย์วางปิดหน้า หญิงสาวถอนหายใจเบาๆ เดินเข้าไปวางของบนโต๊ะแล้วเหลือบมองเขา

“นี่นะเหรอคนที่บอกว่าจะอ่านหนังสือน่ะ ไม่ไหวเลยจริงๆ” เธอส่ายหน้าอย่างระอาใจ “นี่คุณชิน ได้ยินฉันหรือเปล่า”

แต่ชายหนุ่มยังคงหลับสนิท

“นี่คุณชิน ลุกซะทีสิ นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว” รสกรปลุกเขาโดยเขย่าที่ไหล่แรงๆ

หญิงสาวขมวดคิ้ว ดูเหมือนเขาจะหลับลึกเกินไปแล้ว เธอโน้มใบหน้าลงแนบกับแผ่นอกเขาเพื่อดูการเต้นของ หัวใจ และพบว่ามันยังเต้นอยู่ เธอสะดุ้งโหยงเมื่อมีมืออบอุ่นกอดรัดไว้แน่น เธอก็รู้ว่าพลาดท่าเสียแล้ว

“คุณชิน” เธอร้อง

“ผมกำลับหลับอยู่”

“หลับเหรอ นี่แน่ะ” เธออดหมั่นไส้ไม่ได้ คนอะไรแกล้งหลับ เธอจับจมูกเขาบีบแรงๆจนคชินทร์ร้องโอดครวญขึ้นมา และจับมือเธอแน่น

“โอ้ย...มันเจ็บนะคุณ”

“เจ็บสิดี อยากมาแกล้งกันดีนัก” เธอกรุ่นโกรธ “ปล่อยนะ”

“ผมไม่ปล่อย คุณอยากมาเงียบๆทำไม”

“ฉันมาออกจะดัง คุณไม่ตื่นเองต่างหาก” เธอเริ่มฉุน

“คนกำลังนอนหลับสบาย ดันมาแกล้งกันซะได้...คุณไปไหนมา” คำพูดท้ายประโยคทำให้เธองงไม่ใช่น้อย

“ฉันก็ออกไปซื้อของมาไง ถามทำไม”

“แล้วทำไมถึงมีกลิ่นน้ำหอมผู้ชาย”

รสกรหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ สงสัยกลิ่นน้ำหอมของนเรนทร์จะติดมาด้วยตอนที่เธอเอาเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินแนบแผ่นหลังเลยติดกลิ่นน้ำหอมมาด้วย เธอทำท่าจะลุกขึ้นและอ้าปากจะอธิบาย แต่ถูกวงแขนรัดไว้แนบแน่นจนเธอหายใจไม่ออก

“ปล่อยนะ” เธอร้อง “ฉันหายใจไม่ออก”

“น้ำหอมของใคร”

“เอ่อ...สงสัยจะเป็นคุณนเรนทร์ คือฉันเจอเขาที่ห้างสรรพสินค้า”

“นเรนทร์หรือ” คชินทร์ขมวดคิ้ว

“ใช่ ฉันช่วยเขาทาบเสื้อให้เขามันเลยติดกลิ่นน้ำหอมมา”

“คุณนี่ทำตัวไม่น่าไว้ใจเลยรู้ไหมกอหญ้า”

หญิงสาวทำตาโต “ไม่น่าไว้ใจยังไง คุณเป็นแฟนฉันตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”

“ก็ครั้งแรกที่จูบคุณ” เขาพูดหน้าตาเฉย

“บ้า บ้าที่สุด ใครเป็นแฟนคุณ” เธอแก้มแดงจัดไปถึงใบหู

“คุณจำไม่ได้หรือ”

“ใครจะไปจำเรื่องพรรค์นั้นได้” เธอร้อง

“ไม่เป็นไร งั้นเดี๋ยวผมรื้อฟื้นให้เอง”

“อย่านะ เดี๋ยว”

เธอยกมือขึ้นปิดปากของคชินทร์ แก้มแดงปลั่ง

“ฉันจำได้แล้ว จำได้ดีด้วย” เธอตอบรับอย่างเลี่ยงไม่ได้ “ว่าแต่...แค่จูบกัน ทำไมฉันต้องเป็นแฟนคุณด้วย”

“เป็นสิ เหตุผลมีอยู่สองข้อ ข้อแรก...คุณอยู่บ้านเดียวกับผม ข้อสองคุณคอยทำกับข้าวให้ผมกิน เพียงสองข้อนี้คุณก็เป็นแฟนผมได้แล้ว” เขาตอบหน้าตาเฉย

“บ้าสิ นั่นมันเงื่อนไขการทำงานของฉันต่างหาก”

“แต่สำหรับผมมันไม่ใช่” น้ำเสียงของเขาต่ำลึก “คุณเป็นแฟนของผม ไม่มีใครคนอื่นแทนคุณได้”

รสกรถึงกับนิ่งอึ้งไปเพราะคำพูดของเขา ฝ่ามือหยาบกระด้างลูบไล้ไปตามผิวกายเนียนละเอียด ทว่าอุณหภูมิในร่างกายกลับร้อนระอุอย่างเหลือเชื่อ หญิงสาวสบตาเขาและเขาก็กำลังจ้องมองเธออยู่เช่นเดียวกัน ดวงตาของเขาทอประกายจนเธอหัวใจเต้นแรง

ฝ่ามือร้อนที่จับสะโพกกลมกลึง ค่อยๆใช้ปลายนิ้วเคลื่อนผ่านเอวคอดกิ่วขึ้นไปยังแผ่นหลังพลางกดแนบลำตัวบอบบางเข้าหาอย่างหลงใหล ฝ่ามือประคองใบหน้าหวานขึ้นรับจุมพิตแสนหวานเนิ่นนาน อ้อมแขนของคชินทร์กอดรัดเธอไว้แน่น หญิงสาวแหงนหน้าหลับตาเมื่อจุมพิตทวีความดื่มด่ำร้อนแรงเป็นเท่าทวี ฝ่ามือร้อนระอุค่อยๆเคลื่อนผ่านผิวกายของเธอแทบจะทั่วทุกตารางนิ้ว

“ปล่อยสิ” กอหญ้าก้มหน้าซ่อนความอาย

“ว่ายังไงล่ะ คุณจะยอมเป็นแฟนดี ๆ หรือเปล่า”

“แล้วข้าวฟ่างล่ะ”

“ข้าวฟ่างหรือ เขาเกี่ยวอะไรด้วย”

“เกี่ยวสิ ก็เขาเป็นเพื่อนสนิทฉัน และฉันก็ไม่มีวันแย่งคนที่เพื่อนชอบได้หรอก”

“คุณแคร์ความรู้สึกของข้าวฟ่างมากกว่าแคร์ความรู้สึกของผมอีกหรือ”

คำพูดจากปากของหมอหนุ่มทำให้นักข่าวสาวพูดอะไรไม่ออก เธอแคร์ความรู้สึกของเพื่อนสนิทมากกว่าคนที่เธอชอบอีกหรือ

“ไม่ใช่อย่างนั้น”

“แล้วทำไมคุณถึงแคร์ความรู้สึกของข้าวฟ่างมากนัก”

“ฉัน...ข้าวฟ่างเป็นเพื่อนสนิทของฉันค่ะ เป็นผู้หญิงน่ารัก ยิ้มเก่ง แต่ไหนแต่ไรมาเธอไม่เคยผิดหวังเรื่องความรักเลยแม้แต่ครั้งเดียว”

“คุณกลัว?”

“ค่ะ ยังจำเรื่องที่รุ่นพี่คนที่ฉันแอบชอบ แต่เขากลับไปชอบข้าวฟ่างได้หรือเปล่าคะ ฉันยังจำวันที่ตัวเองร้องไห้ได้อยู่เลย” เธอยิ้มเศร้า

คชินทร์จับหลังศีรษะเธอแนบหน้าผากกับเขา

“จำได้สิ แต่อยากให้คุณรู้ไว้ว่า ผมไม่ได้ชอบคนที่น่ารักและนิสัยดีหรอก....คุณต่างหากที่ผมรัก และนิสัยดื้อดึงนั่นก็ทำให้ผมรักคุณจนหมดหัวใจ”

‘รัก’ หรือ

คำคำนี้เธอไม่เชื่อว่ามีอยู่จริง และก็ไม่คิดว่าจะมีผู้ชายคนไหนมาเอ่ยคำว่ารักกับเธอได้ จนกระทั่งเธอได้ยินมันจากปากเขา และนั่นก็ทำให้เธออบอุ่นหัวใจได้อย่างไม่น่าเชื่อ

“แต่อนาคตมันก็ไม่แน่นี่คะ”

“อนาคตสำหรับผมมันแน่นอน แล้วก็ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง”

“คุณชิน”

“ไปกันเถอะ ไปหาอะไรกินกัน นี่มันก็เย็นมากแล้ว” เขายิ้มบางๆให้เธอ...
ความบังเอิญ

ข้าวฟ่างพาเธอและคชินทร์ไปที่ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง สองเพื่อนสาวเดินคุยกันโดยมีคชินทร์เดินตามอยู่ที่ด้านหลัง รสกรคอยชำเลืองมองเขาบ่อยๆ และชายหนุ่มก็ยิ้มตอบโดยไม่ใส่ใจอะไร

ข้าวฟ่างจูงมือเพื่อนสนิทเดินไปที่ร้านหนังสือแห่งหนึ่ง ข้าวฟ่างสนใจการปลูกต้นไม้และการจัดไม้กระถางสวยๆ จึงหยุดอยู่ที่มุมหนังสือเกี่ยวกับการปลูกต้นไม้และการจัดสวน ส่วนรสกรมองหาหนังสือเกี่ยวกับเทคนิคการถ่ายภาพซึ่งอยู่บนชั้น แต่หนังสือที่เธอเล็งไว้อยู่สูงจนเธอเอื้อมไม่ถึง คชินทร์ที่เดินตามมาจึงหยิบมันมาให้เธอ

“ขอบคุณค่ะ” เธอยิ้ม

“คุณสนใจเทคนิคการถ่ายภาพด้วยหรือ”

“ก็เป็นธรรมดาของอาชีพนักข่าวไม่ใช่หรือคะ”

“นั่นสินะ”

รสกรเดินดูหนังสือถ่ายภาพต่อไป โดยมีชายหนุ่มเดินตาม เขาเองก็ชอบหนังสือแนวถ่ายภาพอยู่ด้วย ทั้งสองจึงคุยเรื่องการถ่ายภาพได้เรื่อยๆ เพราะความชอบที่เหมือนกัน

“แล้วเล่มนี้ล่ะไม่ลองอ่านดูหรือ”

“ไหนคะ” หญิงสาวเงยหน้ามองตาม แต่หนังสือเล่มนั้นอยู่สูงจนเธอเอื้อมไม่ถึง “อยู่สูงจัง”

หมอหนุ่มเอื้อมมือหยิบหนังสือเล่มนั้นให้เธอ แผ่นอกกว้างแนบชิดกับหลังของหญิงสาว รสกรแก้มแดงปลั่ง เพราะดูเหมือนเธอจะเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของคชินทร์ เธอไม่รู้ว่าเขาตั้งใจหรือไม่ เมื่อหันไปหาเขาก็พบกับรอยยิ้มบนใบหน้าและดวงตาสีน้ำตาลที่จ้องมองเธอ หญิงสาวเม้มปากแน่นดู ท่าว่าเขาคงตั้งใจอยู่แน่ๆ

“นี่ไงเล่มที่คุณกำลังมองหา”

“ขอบคุณค่ะ แต่ช่วยเดินออกไปห่างๆฉันด้วย”

“ทำไมล่ะ” เขาเลิกคิ้ว

“เพราะฉันไม่ต้องการให้ข้าวฟ่างเข้าใจผิด”

รสกรทำท่าจะเดินหนีไป แต่คชินทร์ไวกว่า เขาเอื้อมมือไปจับแขนเรียวบางพร้อมกับดึงเธอไว้แน่น

“เดี๋ยวก่อนสิ”

“อะไรคะ”

“สาเหตุที่ผมมาที่นี่ก็เพราะคุณมาด้วย ถ้าไม่ใช่คุณผมไม่มีทางมาหรอก” น้ำเสียงของเขาเข้มจัด จนเธอแปลกใจ

“สาเหตุที่ฉันมาที่นี่ก็เพราะข้าวฟ่างเป็นคนชวนมา ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณ”

หญิงสาวตอบแบบหน้าตาซื่อ คชินทร์หรี่ตามองเธอ ดูท่าว่าเธอคงรู้จักเขาน้อยเกินไปเสียแล้ว เขาดึงแขนเรียวบางของเธอหลบวูบเข้าไปทางซ้ายมือซึ่งเป็นมุมอับที่ปราศจากผู้คน หญิงสาวลืมตาโตเมื่อเขาโน้มศีรษะเข้ามาใกล้ เขาใช้ลำแขนแนบตู้หนังสือบนศีรษะเธอแล้วก้มมองเธอจนปลายจมูกแทบชนกัน

“จะทำอะไรน่ะ”

“คุณไม่ได้มาเพราะคุณข้าวฟ่างชวนมาหรอก แต่คุณไม่ไว้ใจผมต่างหาก”

“คุณมันน่าไว้ใจนักนี่ ปล่อยนะ เดี๋ยวคนอื่นเดินมาทางนี้”

“เห็นก็ช่าง ผมไม่แคร์หรอก”

“คุณชิน”

นักข่าวสาวหน้าซีดเผือด ถ้าเกิดมีใครผ่านเข้ามาพบเธอคงไม่ดีแน่ เธอยกมือขึ้นผลักอกเขา แต่คชินทร์ก็ไม่สะทกสะท้านหรือถอยห่างออกไป แถมยังก้มหน้าลงมาใกล้ขึ้นอีกจนหญิงสาวต้องหันหน้าหนีไปทางอื่น เธอทั้งโกรธและอายจนบอกไม่ถูกจึงกระทืบเท้าลงไปที่เท้าของเขา ชายหนุ่มจึงต้องปล่อยมือจากเธอทันที

“อยากไม่ปล่อยดีนัก”

“นี่คุณ...”

“กอหญ้าจ๊ะ เธอว่าเล่มนี้ดีหรือเปล่า” ข้าวฟ่างเดินหาเธอพบพอดี รสกรถอนหายใจยาวแล้วรีบเดินออกไปหาเพื่อน ทำท่าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“อือ หนังสือนี่เหมาะกับเธอดีนะ”

“ฉันก็ว่าอย่างนั้นแหละ เล่มนี้ดีไหมคะคุณชิน” ข้าวฟ่างเงยหน้าไปหาคชินทร์ และพบว่าสีหน้าของเขาเข้มขึ้นกว่าปกติจนเธอแปลกใจ “เป็นอะไรหรือเปล่าคะ”

“ที่นี่จะไม่ค่อยถูกโฉลกกับผมเท่าไหร่ ผมเดินอยู่ดีๆกลับสะดุดตู้หนังสือซะอย่างนั้น”

“ตู้ไหนคะ” ข้าวฟ่างเหลียวมองรอบกาย

“ก็คงเป็นตู้หนังสือแถวๆนี้แหละ” รสกรแย่งตอบ “คนอะไรเดินไม่ดูตาม้าตาเรือเอาซะเลย”

ตลอดทั้งวันทั้งสามคนเดินซื้อและดูข้าวของยังร้านต่างๆ โดยข้าวฟ่างเป็นคนซื้อของ ส่วนคชินทร์เป็นคนช่วยเธอถือ เขาดูเป็นสุภาพบุรุษมากตลอดเวลาที่เดินอยู่กับข้าวฟ่าง

เมื่อเดินซื้อของกันจนเมื่อยแล้วทั้งสามคนจึงไปแวะดื่มกาแฟที่ร้านมุมบันไดเลื่อนลงไปชั้นล่าง คชินทร์ขอตัวไปเข้าห้องน้ำทาง ปล่อยให้ข้าวฟ่างกับรสกรคุยกันตามประสาเพื่อน

ข้าวฟ่างมองตามเขาด้วยรอยยิ้ม ใช้มือเท้าคางพลางรำพึงแผ่ว

“คุณชินเนี่ย เป็นสุภาพบุรุษดีจังเลยนะ”

คำพูดของเธอแทบทำให้รสกรแทบพ่นกาแฟออกมาทีเดียว

“ตานั่นน่ะเหรอ ไม่เหมาะจะเป็นสุภาพบุรุษเลยสักนิด”

“ทำไมล่ะ อย่างวันนี้เขาก็เดินตามเราช่วยถือของ ไม่เห็นจะบ่นสักคำ”

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เขาเหมาะจะเป็นซาตานมากกว่า”

ข่าวฟ่างหัวเราะคิก “นี่กอหญ้า ถามจริงๆเถอะ เธออยู่กับเขาสองต่อสองไม่เกิดอะไรขึ้นบ้างเหรอ”

“จะให้เกิดอะไรขึ้นล่ะ บ้าแล้ว เธอนี่”

“ก็...อย่างที่พวกหนังรักชอบทำกันไง แบบตามองตาหวานซึ้งอะไรแบบนี้”

“มีแต่มองตากันแล้วแยกเขี้ยวใส่กันมากกว่า”

รสกรหลุบตาลงไปดูแก้วกาแฟในมือ ตาประสานตาหวานซึ้งงั้นเหรอ ไม่มีวันซะหรอก อีกอย่าง เธอไม่คิดจะแย่งแฟนจากเพื่อนเป็นอันขาด

ข้าวฟ่างส่ายหน้าไปมา ดูท่าความรักหวานซึ้งคงไม่มีวันเกิดขึ้นกับสองคนนี้แน่ เธอมองเลยไปด้านหลังของเพื่อนสาวจึงเห็นผู้ชายหน้าตาดีสวมชุดสูทเดินมาพอดี

“นั่นผู้จัดการฉันนี่” เธอร้อง

“อะไรนะ อยู่ที่ไหนเหรอ”

“สวัสดีครับคุณข้าวฟ่าง บังเอิญจังนะครับที่วันนี้ผมมาเดินแถวนี้พอดี” คนตัวสูงหน้าตาขาวจัด แต่งกายภูมิฐาน เดินเข้ามาใกล้เธอสองคน สายตาของเขาก้มลงประสานกับดวงตากลมโตของรสกรพอดี

“สวัสดีครับ คุณกับข้าวฟ่างมาเที่ยวเหรอ”

“เอ่อ..สวัสดีค่ะ ฉันมาเป็นเพื่อนข้าวฟ่างซื้อของน่ะค่ะ” รสกรรีบตอบ

“คุณนเรนทร์คะ นี่กอหญ้าเพื่อนฉันเองค่ะ กอหญ้านี่ผู้จัดการของฉันน่ะ”

“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ” เธอยิ้มมองหน้าผู้จัดการรูปหล่อ

“ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับ”

“วันนี้ฉันมาเดินซื้อหนังสือกับเพื่อนนะค่ะ แล้วผู้จัดการล่ะคะมาเดินคนเดียวเหรอ” ข้าวฟ่างถามขึ้น

“ผมมาเดินคนเดียวครับ” เขายิ้ม ใบหน้าของเขาเวลายิ้มแล้วดูมีเสน่ห์มาก

“ไม่พาแฟนมาด้วยเหรอคะ”

“ผมยังไม่มีแฟน เลยต้องมาคนเดียว”

นักข่าวสาวชำเลืองมองหน้านเรนทร์พลางคิดว่า ผู้จัดการอย่างเขาคงจะงานหนักมากจนไม่มีเวลาหาคนรู้ใจ เพราะดูแล้วคนที่ดูภูมิฐานขนาดนี้ต้องมีสาวๆมาสนใจมากมายเลยละ ชั่วขณะที่เธอกำลังมองหน้าเจ้านายเพื่อน นเรนทร์ก็มองเธอพร้อมกับรอยยิ้ม จนรสกรสะดุ้งแก้มแดงจัด

“หน้าผมมีอะไรติดอยู่หรือเปล่าครับ”

“เปล่าค่ะ แค่สงสัยนิดหน่อย”

“สงสัยว่าอะไรหรือครับ”

“สงสัยว่าคุณออกจะหน้าตาดี แต่ทำไมยังไม่มีคนรู้ใจสักที”

ชายหนุ่มหัวเราะคิกทันที เขายิ้มน้อยๆให้เธอก่อนจะพูดติดตลกว่า

“จะไม่ให้ผมนั่งก่อน แล้วค่อยคุยกันเหรอครับ”

“จริงด้วย เชิญคุณนั่งก่อนเถอะค่ะ ลืมไปเลย” รสกรรีบชวน

นเรนทร์นั่งลงที่เก้าอี้ข้างข้าวฟ่าง “เมื่อกี้คุณถามผมว่าเพราะอะไรถึงยังไม่มีแฟนใช่ไหมครับ”

“ค่ะ เสียมารยาทจริงๆ อย่าถือสาเลยนะคะ”

“ไม่หรอกครับ” เขายิ้มบางๆให้ “ผมก็เคยคิดอยู่ แต่เพราะผมแทบจะไม่มีเวลาให้ผู้หญิงเลย คุณคิดว่าจะมีใครอยากคบกับคนที่ทำงานเกือบตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงได้ล่ะครับ”

“งานยุ่งมากเลยเหรอคะ”

“ครับ ตอนนี้เป็นช่วงที่ต้องติดต่อกับต่างประเทศ แทบไม่มีเวลาส่วนตัวเลย”

“อืม...ตอนนี้คุณก็มีข้าวฟ่างเป็นเลขาฯแล้วนี่คะ”

“พอดีว่า...”

เขาอ้าปากจะพูดต่อ แต่ข้าวฟ่างรีบดักคอไว้อย่างรวดเร็ว

“ฉันไม่ว่างหรอกค่ะ แค่ทำงานรับใช้คุณตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงก็มากเกินพออยู่แล้ว”

รสกรกระพริบตาถี่ๆ ดูเหมือนว่าคู่นี้จะไม่ลงรอยกันเสียเลย...

“ถ้าหากว่าคุณทำตัวให้ว่างบ้างก็มีพวกผู้หญิงมากมายรอเข้าคิวหรอกค่ะ” ข้าวฟ่างเอ่ย
“ข้าวฟ่าง...เธอพูดอะไรน่ะ” รสกรรีบกระซิบเตือนเพื่อน

“ก็จริงนี่นา”

“ช่างเถอะครับ ผมไม่ถือหรอก” นเรนทร์หัวเราะ “ผมชอบคนพูดตรงๆแบบนี้แหละ”

ข้าวฟ่างทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ส่วนรสกรยิ้มเฝื่อน ดูท่าว่าการเจอกันระหว่างเจ้านายกับลูกน้องครั้งนี้จะไม่ค่อยดีเอาเสียเลย

นักข่าวสาวมองไปตามทางเดินแล้วเห็นคชินทร์เดินกลับมาพอดี เขามองมายังโต๊ะของเธอ รสกรยังไม่ทันจะได้อ้าปากพูด เขากลับทำให้ทุกคนงงงันไปตามๆกัน

“นเรนทร์”

“อ้าว ชินนายมาทำอะไรที่นี่”

นเรนทร์ ผู้จัดการบริษัทอสังหาริมทรัพย์ ลุกขึ้นเดินเข้าไปจับมือกับคชินทร์ด้วยความยินดี ทั้งคู่พูดคุยกันอย่างสนิทสนมเป็นกันเอง ข้าวฟ่างกับรสกรหันไปมองหน้ากัน ก่อนที่นเรนท์จะโอบไหล่คชินทร์แนะนำให้สองสาวได้รู้จัก

“นี่คชินทร์เพื่อนสมัยเรียนมอปลายของผมเอง”

“ไม่ต้องแนะนำให้รู้จักหรอก ผมมาเป็นเพื่อนเธอสองคนน่ะ”

“อ้าว รู้จักกันด้วยเหรอ” นเรนทร์ทำสีหน้าแปลกใจยิ่ง “เห็นข้าวฟ่างบ่นถึงนายบ่อยๆ แต่ไม่คิดว่าเป็นนายเลยนะ”

“บ่นอะไรคะ” รสกรถามอย่างสงสัย

“บ่นว่าผู้ชายทุกคนเป็นแบบชินก็ดีน่ะสิ เป็นสุภาพบุรุษแถมยังใจดีอีกด้วย”

“ผู้จัดการ...ฉันอายนะคะ” ข้าวฟ่างแก้มแดงปลั่ง

นักข่าวสาวยิ้มเฝื่อนขณะมองดูผู้จัดการกับข้าวฟ่างพูดคุยกัน สายตาของเธอมองไปยังคชินทร์ ก็เห็นเขานั่งทำหน้ายิ้มๆและมองมายังเธอเช่นกัน ทั้งหมดคุยกันอยู่นาน จนกระทั่งนเรนทร์ดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือ เขาจึงลุกขึ้นแล้วเอ่ยลาเพื่อไปทำงานที่บ้านต่อ แล้วหันมาคุยกับรสกรนิดหน่อย

“น่าเสียดายจังนะครับ ผมคงต้องรีบกลับแล้ว”

“จะกลับแล้วเหรอคะ” รสกรถาม

“ครับ เห็นทีคงต้องกลับไปสะสางงานต่อ ไว้วันหน้าค่อยคุยกันใหม่นะครับ”

“ค่ะ” รสกรรับคำยิ้มๆ

“ถ้ามีอะไรให้ช่วย บอกผมได้นะครับ ขอตัวก่อน”

“โชคดีค่ะ” นักข่าวสาวอวยพร

ข้าวฟ่างแอบมองเพื่อนสนิทกับเจ้านายก่อนที่เขาจะเดินจากไป หญิงสาวศอกกลับรสกรน้อยๆพลางโน้มใบหน้าเข้าไปหาเพื่อน

“ท่าทางผู้จัดการคงจะชอบเธอแน่ๆเลยกอหญ้า”

รสกรหันกลับมามองเพื่อนรัก พร้อมกับขมวดคิ้ว

“อะไรนะ”

“ก็ผู้จัดการน่ะสิ จากสายตาที่เขามองเธอ ฉันว่าเขาต้องแอบชอบเธอแน่ๆเลย”

“จะบ้าเหรอ พูดอะไรก็ไม่รู้” รสกรร้อง สายตาก็พลันเหลือบไปเห็นคชินทร์ที่กำลังมองไปยังร้านรองเท้าเพลินอยู่ หญิงสาวเม้มปากแน่น ดูเถอะ เขาไม่สนใจเธอเอาซะเลย “เธอน่ะคิดมากเกินไปแล้ว”

“มันก็จริงนะ แต่ว่าสองคนนี้เขาเหมาะสมกันจริงๆนะคะ” ข้าวฟ่างหันไปหาคชินทร์ที่ยืนล้วงกระเป๋าอยู่ด้านข้าง และเขาก็หันมายิ้มให้เธอ

“ผมคงไม่อาจรู้ใจเพื่อนคุณได้หรอก” สายตาสีน้ำตาลของเขาลอบมองเธอ

รสกรกัดริมฝีปากแน่น ใจหนึ่งนึกอยากประชดเสียอย่างนั้น

“เขาน่ารักดี อย่างน้อยเขาก็พูดเพราะ ใจดีอบอุ่นไม่เหมือนใครบางคนหรอก”

“ปากอย่างใจอย่างมันไม่ค่อยดีนะครับ”

“ใครว่าล่ะ ปากตรงกับใจ ไม่มีใครเหมือนเลยล่ะ”

บรรยากาศระหว่างคนทั้งสองทำเอาข้าวฟ่างที่อยู่ตรงกลางยิ้มเฝื่อน เธอก้าวเข้ามาแล้วทำมือห้ามไว้เพื่อไม่ให้คนทั้งสองปะทะคารมกัน

“ฉันว่าเรากลับกันดีกว่า ออกมาตั้งนานแล้ว” เธอเอ่ยเสียงสดใส

“นั่นสินะ ว่าแต่เธอซื้อของหมดแล้วเหรอ”

“ยังเลย ร้านหนังสืออยู่ใกล้ๆนี่เอง เดี๋ยวฉันมานะ รอแป๊บหนึ่ง” ข้าวฟ่างบอกเพื่อนสนิทก่อนวิ่งไปที่ร้านหนังสือ ทิ้งให้ทั้งสองมองหน้ากัน

รสกรสะบัดหน้าไปทางอื่น ส่วนคชินทร์เดินเข้าไปใกล้แล้วโน้มศีรษะลงมาหาใบหูของเธอพลางกระซิบเบาๆว่า

“ผมว่าข้าวฟ่างดูผิดไปต่างหาก นเรนท์น่ะเขาไม่ได้ชอบผู้หญิงก๋ากั่นอย่างคุณเลยต่างหาก”

นักข่าวสาวสะดุ้งโหยง หันไปมองหน้าเขา

“คุณว่ายังไงนะ”

“เพื่อนสนิทของผมเป็นยังไงผมรู้ดี” เขายิ้ม ทำเอาหญิงสาวอดหมั่นไส้ไม่ได้

“อ๋อเหรอ แล้วยังไงล่ะ เขาออกเป็นสุภาพบุรุษแสนอบอุ่น ใจดีแล้วยังรวยอีกด้วย อย่างว่าแหละนะ ความรักมันทำให้ผู้หญิงเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ ไม่เชื่อคอยดู”

“ผมยังไม่ได้พูดสักคำ”

“งั้นเหรอ”

“เสร็จแล้วจ้า รอนานไหม ดูสิ มีหนังสือเล่มที่อยากอ่านด้วยนะ”

ข้าวฟ่างเดินมาพอดี ใบหน้าหวานยิ้มละไม ทั้งคู่จึงเลิกปะทะคารมกันไปชั่วคราว รสกรหันหน้าหนีไปทางอื่น แล้วเดินนำไปข้างหน้าโดยไม่หันมามองคนที่อยู่ด้านหลัง ข้าวฟ่างมองตาม เมื่อหันไปมองคชินทร์ก็ลอบยิ้มน้อยๆ ก่อนจะพากันเดินตามไป...


วันนี้รสกรต้องไปซื้อของในซุปเปอร์มาเก็ตเพราะคชินทร์ขออ่านหนังสือที่บ้าน หญิงสาวจึงออกจากบ้านไปจับจ่ายซื้อของกินและของใช้ที่ซุปเปอร์มาเก็ตแห่งหนึ่ง ขณะที่รสกรมัวแต่เดินเลือกหยิบข้าวของเครื่องใช้ลงในตะกร้ารถเข็น เธอจึงชนเข้ากับใครบางคนที่เดินหาเสื้อเชิ้ตเข้าอย่างจัง จนเกือบหน้าหงายลงไป ยังดีที่คนคนนั้นช่วยดึงแขนเธอไว้ พอหญิงสาวเงยหน้ามองคนที่อยู่ตรงหน้าแล้วก็ต้องอุทานว่า

“คุณนเรนทร์”

“ขอโทษนะครับ คุณเป็นอะไรหรือเปล่า”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันต่างหากละคะที่ต้องขอโทษ บังเอิญมัวแต่ดูของ เลยไม่ทันได้ระวัง”

“ผมก็ต้องขอโทษเหมือนกัน พอดีผมมัวแต่มองเสื้อเชิ้ตเลยไม่ทันเห็น

ทั้งสองมองหน้ากันก่อนหัวเราะคิกว่า ทั้งคู่มัวแต่ดูของเลยทำให้เดินมาชนกัน รสกรยิ้มนิดๆไปให้แล้วว่า

“สรุปว่าเราทั้งคู่มัวแต่ซื้อของเลยไม่ทันระวังตัวเลย”

“นั่นสินะ”

“คุณนเรนทร์มาซื้อเสื้อหรือคะ”

“ครับ ผมอยากได้เสื้อโปโลแบบสบายๆน่ะ แล้วคุณล่ะมาซื้ออะไร”

“ข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวน่ะค่ะ เยอะแยะไปหมด”

“งั้นผมช่วยเข็นรถให้นะครับ”

นักข่าวสาวจึงรีบร้องอุทาน เมื่อเขาทำท่าจะมาแย่งรถเข็นไปเข็นแทน

“ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันเข็นเองได้” หญิงสาวรีบคว้ารถเข็นไว้ก่อน

“ไม่เป็นไรครับ ผมเข็นให้”

“แต่ว่า...” หญิงสาวอึกอักเพราะเกรงใจ

“ไม่ต้องคิดมากหรอก มาเถอะ เดี๋ยวผมช่วยเข็น”

“ค่ะ”

นเรนทร์เข็นรถไปตามจุดต่างๆ เมื่อเวลาผ่านไปไม่นานพวกเขาก็พูดคุยกันอย่างสนิทสนมมากขึ้น และช่วยกันเลือกซื้อของ หากมองดูผิวเผินพวกเขาเหมือนกับคู่รักข้าวใหม่ปลามันที่เดินเลือกซื้อของกันในวันหยุด

“วันนี้เป็นคุณว่างเหรอคะ” เธอถาม

“ใช่ครับ บริษัทของผมหยุดวันอาทิตย์ แต่บางทีผมก็เอางานมาทำที่บ้าน ไม่ต้องเข้าบริษัท”

“อืม” เธอพยักหน้าเบาๆ “อิจฉาจัง เอางานมาทำที่บ้านได้ด้วย”

“อิจฉาอะไรครับ ผมต่างหากที่ต้องอิจฉาคุณ”

“ทำไมหรือคะ” รสกรเอียงคอถามอย่างสงสัย

“คุณข้าวฟ่างเล่าให้ฟังว่าคุณเป็นนักข่าว สามารถทำงานข้างนอกโดยไม่ต้องเข้าออฟฟิศทุกวัน ดูอิสระดีออกครับ”

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ” เธอคิดไปถึงเรื่องอิทธิกร “นักข่าวอย่างเราทำงานกันหนักมาก เหนื่อยแสนเหนื่อย แต่สิ่งที่ได้มาก็คุ้มค่านะคะ”

“นั่นสินะครับ” นเรนท์เอ่ยเบาๆ “ถ้าผู้หญิงทุกคนเป็นอย่างคุณก็คงจะดี”

“อะไรนะคะ”

“เปล่าหรอก ผมแค่นึกถึงใครบางคนน่ะ”

“ใครบางคน...” หญิงสาวลากเสียงถามอย่างสงสัย

นเรนทร์หัวเราะเบาๆ “ผู้หญิงที่เอาแต่ใจ ดื้อรั้นยังไงล่ะ”

จะมีผู้หญิงคนไหนที่ทำให้ผู้บริหารอย่างเขาวุ่นวายใจได้อีกเหรอ

“ว่าแต่คุณกอหญ้ารู้จักกับชินมานานหรือยังครับ”

นักข่าวสาวขมวดคิ้วอย่างยุ่งยากใจ “เอ่อ...ก็สักพักหนึ่งแล้วค่ะ”

“แล้วรู้จักกันดีแค่ไหนแล้วครับ”

“ก็รู้จักเขาในฐานะเพื่อนคนหนึ่งน่ะค่ะ คุณชินช่วยเหลือฉันทุกอย่าง ถ้าไม่มีเขาล่ะก็ฉันคงจะแย่แน่ๆ” รสกรยิ้มให้เขานิดๆ

“นั่นสิครับ ชินที่ผมรู้จัก เขามีน้ำใจ ชอบช่วยเหลือคนอื่นอยู่เรื่อย สมัยเรียนเขาเกือบถูกไล่ออกจากมหา’ลัยเลยละครับ เพราะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของอันธพาล”

“อะไรนะคะ”

“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ชินแค่ปกป้องเพื่อนของเขาที่ติดยา จริงๆแล้วเขาเป็นผู้บริสุทธิ์น่ะครับ”

จริงๆแล้วเธอก็รู้ดีว่าคชินทร์เข้ามาเกี่ยวข้องกับเธอเกือบทุกเรื่อง ถึงแม้ว่าเขาจะทำเป็นขรึมและไม่พูดอะไร แต่เขาก็ต้องยื่นมือเข้าไปช่วยเธอทุกเรื่อง ถ้าไม่มีเขาเธอคงแย่ไปนานแล้ว

“จริงด้วยค่ะ เขาเป็นสุภาพบุรุษจริงๆ” เธอยิ้ม

“แค่สุภาพบุรุษหรือครับ”

“คะ”

“ขอโทษนะครับ” นเรนทร์หัวเราะ “ผมแค่สงสัยว่า ระหว่างคุณกับชินเป็นอะไรกัน”

รสกรหน้าแดงปลั่ง เป็นอะไรนะเหรอ...จะให้เธอตอบว่าอย่างไรดีล่ะ

“ก็เป็นเพื่อนกันไงล่ะคะ” เธอตอบแก้เก้อ

“ผมเห็นสายตาที่เขามองคุณ แววตาของเขาอบอุ่นและอ่อนโยนมาก ผมยังไม่เคยเห็นชินมองผู้หญิงคนไหนเหมือนกับที่เขามองคุณเลยนะครับ”

อ่อนโยนและอบอุ่นเหรอ ใช่ แต่คชินทร์ก็ทำให้เพื่อนของเธอหลงรัก...รักมากด้วย

“คนที่เขามอง...ไม่ใช่ฉันหรอกค่ะ”

“ทำไมครับ”

“เพราะว่ามีผู้หญิงที่เหมาะสมกับเขาอยู่แล้วทั้งคนนี่คะ” เธอยิ้มเฝื่อน

“ถ้างั้นผมก็ต้องขอโทษคุณด้วยนะครับ ที่ถามเรื่องแบบนี้”

“ไม่เป็นไรค่ะ”

“งั้นผมพาคุณไปดูเสื้อโปโลดีกว่า ไปกันเถอะ”

นเรนทร์พารสกรไปยังช็อปเสื้อโปโลยี่ห้อดังแห่งหนึ่ง เธอเลือกซื้อเสื้อสีฟ้าลายตรงให้เขา แต่นเรนทร์กลับเลือกเสื้อสีดำสนิทดูเงียบขรึม ทั้งสองเดินเลือกซื้อของด้วยกันอย่างเพลิดเพลิน ภายในรถเข็นจึงเต็มไปด้วยข้าวของเครื่องใช้ภายในบ้าน แถมตอนนี้ก็ยังมาเลือกซื้อเสื้อด้วยกัน ทำเอาคุณป้าท่านหนึ่งที่เดินผ่านไปยิ้มให้อย่างเอ็นดู แต่ดูเหมือนว่าทั้งสองจะไม่รับรู้ว่า คนอื่นมองพวกเขาอย่างไรเลย

“ฉันว่า ตัวนี้ดีกว่าค่ะ สีดำมันดูขรึมยังไงก็ไม่รู้”

“เหรอครับ มันขรึมไปเหรอ”

“ค่ะ ฉันว่า มันดูไม่เข้ากับคุณ”

“ถ้าอย่างนั้นตัวนี้ดีกว่า” เขาหยิบเสื้อยืดสีฟ้าขึ้นมา รสกรเป็นคนถือไว้และให้เขาหันหลังเพื่อที่เธอจะได้ลองแนบเสื้อกับแผ่นหลังเขาเพื่อวัดขนาด หญิงสาวเอียงคอมอง และสังเกตเห็นว่าเสื้อแบบนี้มันไหล่ตกไปนิดหนึ่ง

“ใหญ่ไปค่ะ”

“งั้นเหรอ ถ้างั้นลองตัวนี้ดีกว่าไหม”

เขาหยิบเสื้อโปโลสีน้ำเงินเข้มอีกตัวส่งมาให้รสกร เธอหยิบชุดมากางแล้วทาบที่หลังของเขา ซึ่งตัวนี้เข้ากับเขาได้พอดี ใบหน้างามของเธอยิ้มสดใส

“ดูดีมากเลยค่ะ เอาตัวนี้ดีกว่า”

“จริงหรือครับ”

“จริงค่ะ สรุปนี้ตัวนี้ดีกว่า”

นเรนทร์ส่งเสื้อให้พนักงานขายนำไปใส่ถุง แล้วสายตาของรสกรก็ไปสะดุดอยู่ที่เนกไทสีน้ำเงินเข้ม หญิงสาวจับเนกไทขึ้นมาดูก็เห็นว่ามันเข้ากับเสื้อเชิ้ตของคชินทร์หลายตัว...

“เอาเนกไทชิ้นนี้ด้วยค่ะ”

เธอยื่นเนกไทให้พนักงานขายช่วยนำไปใส่ถุงและจ่ายเงิน จากนั้นทั้งสองก็เดินเลือกเสื้อผ้าที่ช็อปอื่นอีกพักใหญ่ แล้วรสกรก็ขอตัวกลับก่อน นเรนทร์อาสาจะไปส่งเธอที่บ้าน แต่หญิงสาวปฏิเสธ

“ไม่ต้องหรอกค่ะ ของแค่นี้เอง ฉันกลับเองได้”

“จะดีเหรอครับ ถ้ายังไงให้ผมไปส่งดีกว่า”

“รบกวนคุณเปล่าๆค่ะ”

“ถ้าอย่างนั้นก็ได้ครับ เอาไว้คราวหน้าเราไปหาอะไรทานกันดีกว่านะ”

“ค่ะ” เธอยิ้มให้เขา แล้วโบกมือลานเรนทร์แล้วเดินออกไปทางประตูหน้า

หลังจากที่กลับมาถึงบ้านแล้ว รสกรก็เห็นคนตัวสูงนอนเหยียดยาวหลับสนิทอยู่บนโซฟาโดยมีตำราการแพทย์วางปิดหน้า หญิงสาวถอนหายใจเบาๆ เดินเข้าไปวางของบนโต๊ะแล้วเหลือบมองเขา

“นี่นะเหรอคนที่บอกว่าจะอ่านหนังสือน่ะ ไม่ไหวเลยจริงๆ” เธอส่ายหน้าอย่างระอาใจ “นี่คุณชิน ได้ยินฉันหรือเปล่า”

แต่ชายหนุ่มยังคงหลับสนิท

“นี่คุณชิน ลุกซะทีสิ นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว” รสกรปลุกเขาโดยเขย่าที่ไหล่แรงๆ

หญิงสาวขมวดคิ้ว ดูเหมือนเขาจะหลับลึกเกินไปแล้ว เธอโน้มใบหน้าลงแนบกับแผ่นอกเขาเพื่อดูการเต้นของ หัวใจ และพบว่ามันยังเต้นอยู่ เธอสะดุ้งโหยงเมื่อมีมืออบอุ่นกอดรัดไว้แน่น เธอก็รู้ว่าพลาดท่าเสียแล้ว

“คุณชิน” เธอร้อง

“ผมกำลับหลับอยู่”

“หลับเหรอ นี่แน่ะ” เธออดหมั่นไส้ไม่ได้ คนอะไรแกล้งหลับ เธอจับจมูกเขาบีบแรงๆจนคชินทร์ร้องโอดครวญขึ้นมา และจับมือเธอแน่น

“โอ้ย...มันเจ็บนะคุณ”

“เจ็บสิดี อยากมาแกล้งกันดีนัก” เธอกรุ่นโกรธ “ปล่อยนะ”

“ผมไม่ปล่อย คุณอยากมาเงียบๆทำไม”

“ฉันมาออกจะดัง คุณไม่ตื่นเองต่างหาก” เธอเริ่มฉุน

“คนกำลังนอนหลับสบาย ดันมาแกล้งกันซะได้...คุณไปไหนมา” คำพูดท้ายประโยคทำให้เธองงไม่ใช่น้อย

“ฉันก็ออกไปซื้อของมาไง ถามทำไม”

“แล้วทำไมถึงมีกลิ่นน้ำหอมผู้ชาย”

รสกรหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ สงสัยกลิ่นน้ำหอมของนเรนทร์จะติดมาด้วยตอนที่เธอเอาเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินแนบแผ่นหลังเลยติดกลิ่นน้ำหอมมาด้วย เธอทำท่าจะลุกขึ้นและอ้าปากจะอธิบาย แต่ถูกวงแขนรัดไว้แนบแน่นจนเธอหายใจไม่ออก

“ปล่อยนะ” เธอร้อง “ฉันหายใจไม่ออก”

“น้ำหอมของใคร”

“เอ่อ...สงสัยจะเป็นคุณนเรนทร์ คือฉันเจอเขาที่ห้างสรรพสินค้า”

“นเรนทร์หรือ” คชินทร์ขมวดคิ้ว

“ใช่ ฉันช่วยเขาทาบเสื้อให้เขามันเลยติดกลิ่นน้ำหอมมา”

“คุณนี่ทำตัวไม่น่าไว้ใจเลยรู้ไหมกอหญ้า”

หญิงสาวทำตาโต “ไม่น่าไว้ใจยังไง คุณเป็นแฟนฉันตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”

“ก็ครั้งแรกที่จูบคุณ” เขาพูดหน้าตาเฉย

“บ้า บ้าที่สุด ใครเป็นแฟนคุณ” เธอแก้มแดงจัดไปถึงใบหู

“คุณจำไม่ได้หรือ”

“ใครจะไปจำเรื่องพรรค์นั้นได้” เธอร้อง

“ไม่เป็นไร งั้นเดี๋ยวผมรื้อฟื้นให้เอง”

“อย่านะ เดี๋ยว”

เธอยกมือขึ้นปิดปากของคชินทร์ แก้มแดงปลั่ง

“ฉันจำได้แล้ว จำได้ดีด้วย” เธอตอบรับอย่างเลี่ยงไม่ได้ “ว่าแต่...แค่จูบกัน ทำไมฉันต้องเป็นแฟนคุณด้วย”

“เป็นสิ เหตุผลมีอยู่สองข้อ ข้อแรก...คุณอยู่บ้านเดียวกับผม ข้อสองคุณคอยทำกับข้าวให้ผมกิน เพียงสองข้อนี้คุณก็เป็นแฟนผมได้แล้ว” เขาตอบหน้าตาเฉย

“บ้าสิ นั่นมันเงื่อนไขการทำงานของฉันต่างหาก”

“แต่สำหรับผมมันไม่ใช่” น้ำเสียงของเขาต่ำลึก “คุณเป็นแฟนของผม ไม่มีใครคนอื่นแทนคุณได้”

รสกรถึงกับนิ่งอึ้งไปเพราะคำพูดของเขา ฝ่ามือหยาบกระด้างลูบไล้ไปตามผิวกายเนียนละเอียด ทว่าอุณหภูมิในร่างกายกลับร้อนระอุอย่างเหลือเชื่อ หญิงสาวสบตาเขาและเขาก็กำลังจ้องมองเธออยู่เช่นเดียวกัน ดวงตาของเขาทอประกายจนเธอหัวใจเต้นแรง

ฝ่ามือร้อนที่จับสะโพกกลมกลึง ค่อยๆใช้ปลายนิ้วเคลื่อนผ่านเอวคอดกิ่วขึ้นไปยังแผ่นหลังพลางกดแนบลำตัวบอบบางเข้าหาอย่างหลงใหล ฝ่ามือประคองใบหน้าหวานขึ้นรับจุมพิตแสนหวานเนิ่นนาน อ้อมแขนของคชินทร์กอดรัดเธอไว้แน่น หญิงสาวแหงนหน้าหลับตาเมื่อจุมพิตทวีความดื่มด่ำร้อนแรงเป็นเท่าทวี ฝ่ามือร้อนระอุค่อยๆเคลื่อนผ่านผิวกายของเธอแทบจะทั่วทุกตารางนิ้ว

“ปล่อยสิ” กอหญ้าก้มหน้าซ่อนความอาย

“ว่ายังไงล่ะ คุณจะยอมเป็นแฟนดี ๆ หรือเปล่า”

“แล้วข้าวฟ่างล่ะ”

“ข้าวฟ่างหรือ เขาเกี่ยวอะไรด้วย”

“เกี่ยวสิ ก็เขาเป็นเพื่อนสนิทฉัน และฉันก็ไม่มีวันแย่งคนที่เพื่อนชอบได้หรอก”

“คุณแคร์ความรู้สึกของข้าวฟ่างมากกว่าแคร์ความรู้สึกของผมอีกหรือ”

คำพูดจากปากของหมอหนุ่มทำให้นักข่าวสาวพูดอะไรไม่ออก เธอแคร์ความรู้สึกของเพื่อนสนิทมากกว่าคนที่เธอชอบอีกหรือ

“ไม่ใช่อย่างนั้น”

“แล้วทำไมคุณถึงแคร์ความรู้สึกของข้าวฟ่างมากนัก”

“ฉัน...ข้าวฟ่างเป็นเพื่อนสนิทของฉันค่ะ เป็นผู้หญิงน่ารัก ยิ้มเก่ง แต่ไหนแต่ไรมาเธอไม่เคยผิดหวังเรื่องความรักเลยแม้แต่ครั้งเดียว”

“คุณกลัว?”

“ค่ะ ยังจำเรื่องที่รุ่นพี่คนที่ฉันแอบชอบ แต่เขากลับไปชอบข้าวฟ่างได้หรือเปล่าคะ ฉันยังจำวันที่ตัวเองร้องไห้ได้อยู่เลย” เธอยิ้มเศร้า

คชินทร์จับหลังศีรษะเธอแนบหน้าผากกับเขา

“จำได้สิ แต่อยากให้คุณรู้ไว้ว่า ผมไม่ได้ชอบคนที่น่ารักและนิสัยดีหรอก....คุณต่างหากที่ผมรัก และนิสัยดื้อดึงนั่นก็ทำให้ผมรักคุณจนหมดหัวใจ”

‘รัก’ หรือ

คำคำนี้เธอไม่เชื่อว่ามีอยู่จริง และก็ไม่คิดว่าจะมีผู้ชายคนไหนมาเอ่ยคำว่ารักกับเธอได้ จนกระทั่งเธอได้ยินมันจากปากเขา และนั่นก็ทำให้เธออบอุ่นหัวใจได้อย่างไม่น่าเชื่อ

“แต่อนาคตมันก็ไม่แน่นี่คะ”

“อนาคตสำหรับผมมันแน่นอน แล้วก็ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง”

“คุณชิน”

“ไปกันเถอะ ไปหาอะไรกินกัน นี่มันก็เย็นมากแล้ว” เขายิ้มบางๆให้เธอ...




เบลินญา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 ก.พ. 2557, 12:09:20 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 ก.พ. 2557, 12:09:20 น.

จำนวนการเข้าชม : 1302





<< ตอนที่ ๑๒ ความฝันหรือความจริง   ตอนที่ ๑๔ ความรู้สึก >>
เบลินญา 10 ก.พ. 2557, 12:10:32 น.
ีอีกไม่กี่ตอนก็จบแล้วค่ะ ^^


Zephyr 14 ก.พ. 2557, 00:24:21 น.
เหมือนลงสองตอนซ้ำกันเลยค่ะ
แบบลงสองครั้ง ในหน้าเดียว
ครึ่งเรื่องแรกกะครึ่งเรื่องหลังไฟล์นี้เหมือนกันเลยค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account