กลรักนฤมิต (ชุดหน่วยซีล)
มือสไนเปอร์หนุ่มพูดน้อย แห่งหน่วยเรดทีมจู่โจม SEAL team six
ด้วยอาชีพการทำงานทำให้เขาไม่ได้เอาใจใส่พี่สาว ซึ่งเป็นคนในครอบครัวที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวของเขา
หลังจากได้รับอุบัติเหตุแขนหักจนต้องพักงานยาว เขาจึงเดินทางกลับมาที่บ้านอีกครั้ง
ณ ที่แห่งนี้เองที่ทำให้ชีวิตของเขาต้องเปลี่ยนไป
พี่สาวคนเดียวเสียชีวิตไปอย่างปริศนา
โค้ดลับแปลกๆ เกี่ยวกับชื่อของเทพเจ้ากรีก

คนเดียวที่จะช่วยไขปริศนานี้ได้คือหญิงสาวคนหนึ่งที่ก้าวเข้ามาในชีวิตของเขา
ยายสาวแว่นตัวเล็กแต่งตัวเรียบร้อยประหนึ่งแม่ชีในโบสถ์ แต่กลับมาเขย่าหัวใจของเขาได้เพียงแค่สบตากัน
'ไอ้โจรข่มขืน' กับ 'ยายแว่นจอมเฉิ่ม'
จากคู่กัดกลายเป็นคู่รักที่ไม่น่าเป็นไปได้
เธอเข้ามาเพียงเพราะสมุดจดบันทึกแล็บของพ่อเธอ และสมุดแล็บของพี่สาวเขา จะนำไปสู่การไขปริศนาลับอันตราย

การทดลองทางพฤษศาสตร์ที่ใช้ชื่อว่า Pearly คือทางเดียวที่จะบอกได้ว่าคนพวกนี้ต้องการอะไร

ณ ห้องแล็บเล็กๆ กลางป่าแห่งนี้เปลี่ยนหัวใจที่เคยด้านชาให้มีชีวิตชีวา รู้จักคำว่ารักที่แท้จริง
เช่นเดียวกับอันตรายต่างๆ นานาและความเจ็บปวดมหาศาลที่จะตามเข้ามา
โดยที่เขาไม่สามารถทำอะไรได้เลยแม้แต่นิดเดียว
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 3 ของสำคัญ




บทที่ 3 ของสำคัญ



คนตัวเล็กปิดสมุดแล้วเอากลับไปไว้ในห้องนอนของเพื่อน เพราะมาโกะรับปากแล้วว่าจะดูให้เธอต่อ จากนั้นจึงออกมานอนดูแผ่นดีวีดีละครซีรี่ส์ที่ห้องนั่งเล่นเล็กๆ ภายในอพาร์ตเม้นต์ที่พักอาศัย มธุรดานอนดูได้ราวๆ ครึ่งชั่วโมงก็เริ่มหิว สุดท้ายคนตัวเล็กก็ลุกเข้าไปในส่วนครัว แต่แล้วเธอก็ต้องผิดหวัง ในครัวไม่มีเสบียงหลงเหลืออยู่เลย และมนุษย์ค้างคาวที่ไม่นอนกลางคืนไม่ตื่นกลางวันอย่างเธอก็กำลังหิวโซเสียด้วย


“ทำไมมาโกะไม่รับโทรศัพท์นะ” เจ้าของน้ำเสียงเล็กบ่นเบาๆ เพราะไม่ว่าจะเพียรติดต่อเพื่อนร่วมห้องสักกี่ครั้ง แต่อีกฝ่ายก็ไม่รับสายเธอเลย และเมื่อกระเพาะร้องครวญครางหนักเข้า เธอก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป สาวแว่นหนาคว้าเสื้อโค้ตตัวใหญ่มาสวมแล้วเดินออกจากอาพาร์ตเม้นท์ทันที เป้าหมายคือร้านสะดวกซื้อที่อยู่ห่างจากที่พักของเธอไปสองช่วงตึก


แม้ว่าจะเป็นเวลาครึ่งคืนแล้ว แต่ย่านที่เธอพักอาศัยก็ไม่ได้ดูน่ากลัวแต่อย่างใด เพราะที่นี่อยู่ใกล้มหาวิยาลัยของเธอมาก เดินเพียงสิบห้านาทีก็ถึงแล้ว แต่ก็น่าแปลก ที่แม้ผู้คนจะคลาคล่ำมากเพียงไร แต่มธุรดากลับรู้สึกถึงสายตาของใครบางคนที่เฝ้ามองเธอมาตั้งแต่ออกจากที่พักตลอดเวลา


สาวร่งเล็กหยุดเดินเสียดื้อๆ แล้วก็หันขวับกลับไปมอง เธอไม่เห็นใครจะเดินตามเธอเลย ด้านหลังยังคงเป็นผู้คนที่เดินผ่านๆผป่านมาแถวนั้น ไม่มีใครต้องสงสัยเลยแม้แต่คนเดียว


“คิดมากน่า ดูหนังมากแล้วก็เป็นอย่างนี้ตลอดเลยนะแมร์” เธอบ่นตัวเองเบาๆ เพราะชีวิตนี้หมกตัวอยู่แต่ในห้องเรียน ในห้องแล็บปฏิบัติการ หรือถ้าว่างก็มักจะนอนดูหนังสืบสวนเรื่องโปรด ทำให้เธอกลายเป็นคนวิตกจริตนิดๆ ขี้ระแวงหน่อยๆ ตลอดเวลา ซึ่งเอาเข้าจริงแล้วก็ไม่ได้มีอะไรเลย จนมาโกะบอกว่านี่คือโรคเพ้อเจ้อที่วงการแพทย์ก็รักษาไม่หายแน่นอน จะหายก็ต่อเมื่อเธอจะลุกขึ้นมาใช้ชีวิตโลดโผนอย่างคนปกติทั่วไปเสียบาง


‘เรื่องอะไรจะเอาตัวเองไปเสี่ยงอันตรายแบบนั้นล่ะ’ มธุรดาจำได้ว่าเธอก็เถียงเพื่อนไปทันควันเช่นกัน จนมาโกะก็หมดคำพูด


คิดแล้วสาวแว่นก็ได้แต่หัวเราะตัวเอง เธอมองไปทางด้านหลังอีกครั้งให้แน่ใจว่าไม่มีอะไร แล้วจึงเดินไปมินิมาร์ตต่อ คราวนี้ไม่ต้องระแวงอะไรอีกแล้ว คงจะไม่มีใครตามเธอมาแน่ เพราะทุกอย่างเธอก็เพ้อเจ้อไปเองเหมือนอย่างเคย มธุรดารีบซื้ออาหารสำเร็จรูปและขนมขบเคี้ยวถึงสองหอบใหญ่ๆ แล้วจึงเดินออกมาจากมินิมาร์ท มุ่งหน้ากลับที่พักด้วยอารมณ์ที่ผ่อนคลายกว่าเมื่อครู่มาก อย่างน้อยเธอก็ไม่ต้องกลัวว่าใครจะสะกดรอยตามเธอห่างๆ อย่างในหนังสืบสวนที่ชอบดูอีกแล้ว


ทว่ามธุรดาคิดผิด...


แม้ว่าสภาพภายนอกของอพาร์ตเม้นต์ที่พักอาศัยนั้นจะยังเหมือนเดิมทุกอย่าง แต่เมื่อก้าวเท้าเข้าไปแล้ว หญิงสาวจึงเริ่มสังเกตถึงความผิดปกติ อย่างน้อยเธอก็มั่นใจว่าเธอไม่ได้เปิดน้ำทิ้งไว้แน่ แต่ทำไมถึงมีเสียงน้ำไหลอยู่ในห้องน้ำ จะบอกว่ามาโกะกลับมาแล้วอย่างนั้นหรือ ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะเพื่อนร่วมห้องของเธอไม่ชอบอยู่คนเดียวเงียบๆ อย่างน้อยมาโกะจะต้องเปิดโทรทัศน์ไว้เป็นเพื่อนตลอดเวลา


สาวร่างเล็กขมวดคิ้วด้วยความสงสัย แล้วจึงค่อยๆ ย่องเข้าไปในบ้านอย่างเงียบกริบ โชคดีที่เธอเป็นคนตัวเล็ก ทำให้มีฝีเท้าเบา หญิงสาวเดินมาจนถึงกลางห้อง แล้วก็ต้องห่อปากทำตาโต เมื่อได้ยินเสียงของผู้ชายสองคนดังมาจากในห้องนอนของเธอ


“ทำไมมันไม่ได้อยู่ที่นี่!” เสียงสบถดังลั่นเสียจนมธุรดาใจหายลงไปกองอยู่กับตาตุ่ม ห้องของเธอกำลังถูกบุกรุก!


สาวแว่นถึงกับหันรีหันขวาง ทำอะไรไม่ถูกขึ้นมาทีเดียว จนกระทั่งได้ยินเสียงสำทับมาอีก


“ดูแน่แล้วใช่ไหม ว่าไอ้สมุดเวรนั่นไม่ได้อยู่ในห้องลูกสาวมัน”


“ดูแล้วสิวะ สุดเล่มสีแดงของไอ้หมอสมิธนั่นก็เล่มนิดเดียว เราหามาตั้งนานแล้วนะโว้ย”


“แล้วมันจะหายไปไหนได้วะ หรือว่าอยู่ในห้องเพื่อนของลูกมัน”


“ลองดูหน่อยก็ได้” บทสนทนายุติลงแค่นั้น ทำให้เจ้าของห้องที่แอบอยู่ใจหายวาบ แม้ว่าจะยังตกใจตั้งตัวไม่ติด แต่กระนั้นเธอก็ยังตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว ทายาทคุณหมอคาร์ลอส สมิธ รีบวิ่งเข้าไปซ่อนใต้โต๊ะเขียนหนังสือที่อยู่มุมสุดของห้องนั่งเล่นทันที เพราะบริวเณนั้นติดกับหน้าต่าง ถ้าพวกนั้นเดินเข้ามาถึงตรงนี้ คนที่อยู่นอกหน้าต่างก็จะมองเห็นได้แน่นอน พวกมันจะต้องไม่กล้าแน่


มธุรดาคิดอย่างชาญฉลาด แต่กระนั้นหัวใจก็ยังกระหน่ำเต้นระรัวอย่างลุ้นระทึกตลอดเวลา เธอก้มหน้าหลับตาปี๋ จนกระทั่งได้ยินเสียงพวกมันเดินออกมา และเปิดประตูเข้าไปในห้องของมาโกะ


“เจอไหม”

“ไม่เจอ รีบไปเถอะก่อนที่เด็กแว่นนั่นจะกลับมา” อีกคนเสนอ ซึ่งคนเป็นหัวหน้าคงจะเห็นดีด้วย เพราะไม่นานนัก มธุรดาก็ได้ยินเสียงพวกมันเปิดประตูห้องพักออกไป


เจ้าของห้องยังนั่งซุกหน้ากับเข่าแล้วหลับตาปี๋อยู่สักพัก ให้แน่ใจว่าพวกนั้นจะไม่ย้อนกลับมาแน่นอนแล้ว จึงได้ออกจากที่ซ่อนอย่างระแวดระวัง อกใจยังสั่นระทึก ดวงตาคู่กลมโตสอดส่ายไปมาจนกระทั่งแน่ใจว่าไม่มีพวกนั้นแล้ว เธอจึงรีบวิ่งเข้าไปในห้องนอนเพื่อสำรวจความเสียหายทันที


“เฮ้ย!” เจ้าของน้ำเสียงใสอุทาน เพราะในห้องของเธอถูกรื้อค้นเสียกระจัดกระจาย กองหนังสือล้มระเนระนาดเกลื่อนห้อง ไม่รับรวมตู้เสื้อผ้าแล้วชุดชั้นในที่กระจายไปทั่วด้วย จนหญิงสาวต้องรีบเก็บข้าวของเพราะอับอายที่เสื้อและกางเกงชั้นในถูกรื้อค้นจนเกลื่อนห้อง


“ไอ้พวกโจรไม่มีมารยาท” ถ้าไม่ได้ยินการสนทนานของพวกมันว่าต้องการอะไรแล้ว เธอคงจะคิดว่าผู้ชายสองคนนั้นจะต้องเป็นพวกโจรโรคจิตที่แอบมาขโมยชุดชั้นในของเธอแน่นอน แต่นี่สิ่งที่มันต้องการคือสมุดสีแดง


สมุดบันทึกแล็บของพ่อ!


มธุรดาถลาเข้าไปในห้องนอนของเพื่อนทันที โชคดีที่เธอเก็บสมุดแล็บของพ่อไว้ในที่ลับตาคนหน่อย ไม่อย่างนั้นผู้บุกรุกสองคนจะต้องเห็นมันแน่


“ทำไมจะต้องสนใจสมุดของพ่อด้วยนะ” ลูกสาวคุณหมอสมิธบ่นงึมงำ ขณะที่ก้มลงเอาหนังสือที่อยู่ในกล่องพลาสติกใต้เตียงของมาโกะออกมา เธอรู้ดีว่ามาโกะจะเก็บหนังสืออ่านเล่นไว้ในกล่องทึบๆ ใต้เตียง เพื่อที่จะสะดวกเวลาหยิบขึ้นมานอนอ่านบนเตียง ส่วนที่เป็นหนังสือเรียนมาโกะจึงจะเก็บไว้บนชั้นหนังสือข้างโต๊ะคอมพิวเตอร์ภายในห้องนอน


“เฮ้อ...” มธุรดาถอนหายใจโล่งอก เธอกอดสมุดเล่มเล็กของพ่อไว้แน่น แล้วรีบเดินกลับออกมาทันที ตอนนี้ในใจอัดแน่นไปด้วยความไม่เข้ใจ ว่าเหตุใดจึงมีคนอยากได้สมุดเล่มนี้ด้วย


หญิงสาวร่างเล็กคิดไม่ตก ไม่รู้จะทำอย่งไรต่อไปดี ตอนนี้เธอเริ่มไม่แน่ใจเสียแล้วว่าพ่อของเธอเสียชีวิตเพราะแรงระเบิดจากอุบัติเหตุในห้องแล็บจริงๆ หรือ หรือว่าถ้าจริงตามที่เจ้าหน้าที่ตำรวจบอก ทำไมจะต้องมีคนตามหาสมุดเล่มนี้ด้ มิหนำซ้ำยังท่างอย่างกับพวกมือปืนในหนัง เธอล่ะกลัวจริงๆ


และแล้วหญิงสาวก็เริ่มคิดได้ อุบัติเหตุในห้องแล็บเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาก็จริง แต่พ่อของเธอไม่น่าจะทำพลาดจนถึงขนาดตายได้ โดยเฉพาะกับแล็บสกัดดีเอ็นเอจากพืช การทดลองพวกนี้ไม่มีสารเคมีหรือสารประกอบอะไรที่ร้ายแรงถึงเพียงนั้น มธุรดาพลิกหน้ากระดาษที่อยู่ตรงหน้าแล้วไล่อ่านข้อความไปเรื่อยๆ จนกระทั่งพบความผิดสังเกตเข้าจนได้


“เจสสิก้า อี.สไวเกอร์” ลายมือของพ่อเขียนไว้อย่างนั้นตรงท้ายสมุด “ใครล่ะเนี่ย”


ใบหน้ากลมป่องส่ายไปมาอย่างจนใจ แล้วจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา จัดการใช้โซเชียลเนคเวิร์กให้คุ้มเสียเลย ด้วยการพิมพ์ชื่อของหญิงสาวปริศนาลงโลกอินเตอร์เนต ไม่นานก็ขึ้นข้อมูล


“เป็นนางพยาบาลในโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแคนซัสซิตีนี่นา” ร่างเล็กบอบบางผุดลุกขึ้นไปหยิบวารสารของโรงพยาบาลขึ้นมาดูเพราะมันเป็นที่เดียวกับที่พ่อของเธอทำงานอยู่ ในนั้นมีทะเบียนทั้งแพทย์และบุคลากรต่างๆ ในที่สุดเธอก็เจอนางพยาบาลที่ชื่อเจสสิก้าแล้ว หญิงสาวไม่รอช้า รีบหาข้อมูลที่อยู่ของนางพยาบาลคนนั้นทันที


หญิงสาวนัยน์ตากลมที่ชื่อแมร์ หรือ มธุรดา สมิธ หันกลับไปมองปฏิทินที่ตั้งอยู่ทางขวามือ อีกสองสัปดาห์เธอจะเปิดเรียน แต่ตอนนี้กลับมีเรื่องบางอย่างมากวนใจเสียจนไม่มีจิตใจจะทำอะไรแล้ว


‘เอายังไงดีนะ’ ร่างเล็กบอบบางเดินวนไปวนมา เธอไม่รู้ว่าพ่อกำลังพยายามทำอะไรอยู่กันแน่ ทำไมถึงมีคนติดตามเธอหลังจากที่พ่อตายได้ไม่นาน เธอรู้แล้วว่าพวกนั้นต้องการสมุดบันทึกการทำแล็บของพ่อ แต่พวกนั้นจะเอามันไปทำอะไรล่ะ


สาวเว่นเริ่มตัวสั่นน้อยๆ เพราะหวาดกลัวท่าทางของคนพวกนั้น ที่เหมือนกับพวกมือปืนมาตามเก็บเธอเหมือนอย่างในหนังสืบสวนไม่มีผิด สำคัญคือเธอไม่รู้เลยว่าพวกนั้นตามหาสมุดของพ่อไปเพื่ออะไร ทำไมจะต้อมาบุกรุกห้องพักของเธอด้วย คนพวกนี้จะต้องไม่ธรรมดาทีเดียวที่สามารถฝ่าด่านรักษาความปลอดภัยมาได้โดยไม่มีใครสังเกตเห็น


ต้องรีบแจ้งความ!


หญิงสาวตัวเล็กรีบกลับมาที่ห้องนอน แล้วก็อยากจะกรีดร้องกับความเฉิ่มของตัวเอง ที่อายอะไรไม่เข้าท่า รีบเก็บข้าวของให้เข้าที่ ทำลายหลักฐานด้วยมือตัวเองเสียอย่างนั้น


ไม่เป็นไร ยังเหลือกล้องวงจรปิดไม่ใช่หรือ ถ้าพวกนั้นบุกเข้ามา กล้องต้องจับไว้ได้สิ!


มธุรดาคิดแล้วรีบวิ่งไปยังห้องควบคุมวงจรปิด แต่ก็ต้องผิดหวัง เพราะเมื่อครู่นี้ไม่มีใครอยู่เลย และกล้องก็กำลังปิดซ่อมบำรุงอยู่ด้วย


ทำไมทุกอย่างถึงเป็นแบบนี้ คนพวกนั้นเป็นใคร ต้องการอะไรจากคนที่ตายไปแล้ว หรือว่าก่อนหน้าที่พ่อเคยไปพัวพันกับคนน่ากลัวพวกนี้กันแน่ ความคิดนั้นทำให้คนเป็นลูกขนลุก แล้วมันจะย้อนกลับมาอีกไหม!


มธุรดาไม่รู้เลย ทางเดียวที่จะรู้ว่าพ่อทำอะไรไว้ นั่นก็คือตามหานางพยาบาลที่ชื่อเจสสิก้า อี. สไวเกอร์ คนที่ถูกจดชื่อไว้ในสมุดของพ่อยังไงล่ะ คิดได้ดังนั้นแล้ว หญิงสาวจึงหาเบอร์โทรศัพท์ของพยาบาลคนดังกล่าวจากวารสารของโรงพยาบาล แต่ก็ไม่มีใครรับสายเลย แล้วเธอจะทำอย่างไรต่อไปได้


อยู่รอให้พวกมันย้อนกลับมาที่นี่ หรือว่าจะหาความจริงจากพยาบาลคนนั้น ให้เธอบอกว่าพ่อทำอะไรเกี่ยวอะไรกับการทดลองในสมุดสีแดง แล้วให้เธอมาเป็นพยานให้ ตำรวจน่าจะเชื่อเธอมากกว่า


หลังจากที่ไตร่ตรองอยู่นาน ก็ตัดสินใจได้แล้วว่าเธอควรทำอย่างไรต่อไป มธุรดารีบเก็บกระเป๋าเดินทางทันที ซึ่งก็ไม่ได้เตรียมอะไรไปมาก เพราะตั้งใจจะไปพักบ้านที่พ่อซื้อไว้สมัยที่เป็นแพทย์ใหม่ๆ และไม่ได้ขายทิ้งไปไหน สาวแว่นจะไปตั้งหลักที่นั่นก่อน แล้วค่อยเดินทางไปหานางพยาบาลคนดังกล่าวทีหลัง


กระทั่งเก็บของใช้ส่วนตัวเสร็จแล้ว นักศึกษาแพทย์สาวก็รีบโทร. หาเพื่อนร่วมห้องทันที


“ทำไมไม่รับโทรศัพท์นะมาโกะ” มธุรดาบ่นน้อยๆ แล้วจึงตัดสินใจเขียนโน้ตบอกเพื่อนไว้ว่าให้โทร.กลับด้วย ไม่กล้าบอกเหตุผลที่แท้จริงว่าเพราะอะไรกันแน่ เพราะกลัวว่าคนพวกนั้นจะย้อนกลับมาอีก


“เอาน่า เป็นไงเป็นกันแมร์ เธออย่ากลัวสิ” ด้วยความที่จะต้องเดินทางไกลคนเดียว และก็ไม่รู้ว่า ‘ผู้บุกรุก’ พวกนั้นจะติดตามเธอไปอีกหรือไม่ จึงตัดสินใจแต่งตัวให้เรียบร้อยรัดกุม ไม่อยากจะให้ตัวเองเป็นหนึ่งในหน้าข่าวหนังสือพิมพ์หัวข้ออาชญากรรมในวันพรุ่งนี้ก่อนที่จะได้ไปถึง


คนตัวเล็กขึ้นรถพอร์ชคันสีเหลืองสดสุดรักสุดหวง ที่พ่อซื้อให้เป็นของขวัญเมื่อตอนก่อนเรียนจบปริญญาตรีแค่ไม่กี่เดือน นับจากวันนั้นเธอก็ใช้มันมาตลอด และตอนนี้ก็เช่นกัน มธุรดาได้แต่ภาวนาให้มันพาเธอไปอย่างปลอดภัยจนถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพ



มธุรดาขับรถมาได้ราวค่อนคืน ในที่สุดโทรศัพท์ข้างตัวก็ดังขึ้นจนได้ ไม่บอกก็รู้ว่าจะต้องเป็นเพื่อนร่วมห้องคนสวยสมองดีอย่างมาโกะแน่นอน แล้วก็ไม่ผิดคาดเลย เพราะสุดท้ายก็ได้ยินเพื่อนสนิทส่งเสียงแหว


“เธอคิดยังไงถึงออกไปดึกๆ ดื่นๆ ล่ะแมร์ เธอจะไปไหนของเธอ” น้ำเสียงของมาโกะดูโกรธเกรี้ยวไม่น้อย จนคนตัวเล็กที่ขับรถออกไปได้สักพักเริ่มยิ้มแหย หัวเราะเสียงแหะๆ กลบเกลื่อน


“ฉันไม่ได้ขับเร็วหรอกน่า ค่อยเป็นค่อยไปต่างหาก”

“แล้วเธอจะไปไหน”

“ฉันมาทำธุระนิดหน่อยจ้ะ มาเอาของที่บ้านพ่อ” ทายาทคุณหมอสมิธยังไม่กล้าบอกความจริงว่าเธอถูกบุกรุกห้องพัก เพราะยังกลัวว่าถ้าอีกฝ่ายยังไม่ยอมรามือ บางทีพวกนั้นอาจจะกำลังสะกดรอยตามเธออยู่ก็เป็นได้


“นี่บอกฉันทีแมเรดิธ ว่าฉันควรจะทำอย่างไรกับเธอดี ออกไปบ้านพ่อของเธอตอนนี้น่ะหรือ” มาโกะหัวเสีย และเวลาที่ไม่พอใจเพื่อนรักเมื่อไหร่ ก็จะขุดชื่อภาษาอังกฤษของมธุรดามาเรียกเมื่อนั้น


“อย่าคิดมากสิ ฉันไปได้น่า ถึงแล้วจะโทร.หานะ”

“ไม่ล่ะ ฉันคงนอนไม่หลับทั้งคืนแน่ เดี๋ยวฉันคอยโทร.หาเธอเป็นระยะๆ แล้วกัน”

“เอาอย่างนั้นหรือ”

“อือ”

“ขอบใจนะมาโกะ”


น้ำเสียงใสๆ ของมธุรดาทำให้อีกฝ่ายถอนหายใจเฮือกใหญ่ทันที จนแล้วจนรอดก็โกรธเพื่อนสาวไม่ได้เลยสักครั้งเดียว จึงได้แต่ตอบกลับไปแบบเนือยๆ ว่า “ขับรถดีๆ นะแมร์”


สาวแว่นยิ้มกริ่ม วางสายจากเพื่อนแล้วก็ขับรถมุ่งหน้าไปสู่แคนซัสซิตีทันที




กว่าที่มธุรดาจะเดินทางมาถึงที่หมายก็เป็นเวลารุ่งสางแล้ว ซึ่งบ้านพักของพ่ออยู่ห่างจากเมืองแคนซัสซิตีไปหลายสิบไมล์ บ้านหลังนี้เป็นบ้านพักของพ่อที่ทำงานอยู่ในภูมิภาคนี้ตลอดเวลาที่ยึดอาชีพแพทย์ หญิงสาวเคยมาที่นี่บ้างแต่ก็น้อยครั้งเหลือเกิน ดีที่ยังพอจะจำได้บ้างว่ามันอยู่ที่ไหน


ก่อนหน้าที่พ่อจะมาประจำที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแคนซัสซิตี นายแพทย์คาร์ลอส สมิธเคยทำงานอยู่ในโรงพยาบาลเล็กๆ ในเมืองวินด์ฟิลด์ รัฐแคนซัส แต่เพราะพ่อเป็นหมอที่เก่งมาก สุดท้ายก็ได้รับเชิญไปสอนในวิทยาลัยแพทย์และประจำที่แคนซัสซิตีในที่สุด พ่อสนใจงานวิจัยทางชีวเคมีทุกชนิดและถือเป็นงานอดิเรกเลยก็ว่าได้


สาวแว่นเดินเข้าไปภายในบ้านแล้วเปิดไฟจนสว่างพรึ่บทั้งหลัง ที่นี่ก็เหมือนเดิม ไม่มีอะไรเคลื่อนย้ายไปไหน โทรทัศน์จอแบนขนาด 52 นิ้วยังตั้งอยู่กลางห้องนั่งเล่น ด้านข้างเป็นชั้นวารสารทางการแพทย์และวงการวิจัยที่พ่อเก็บไว้ตั้งแต่เริ่มทำงานใหม่ๆ บางเล่มเธอเห็นมาตั้งแต่เด็ก บางเล่มก็เก่ามากเสียจนกระดาษเริ่มเหลือง แต่บางเล่มก็ยังใหม่เอี่ยม ซึ่งก็คงก่อนที่พ่อจะเสียชีวิตได้ไม่นาน การได้มาเห็นข้าวของต่างๆ นานาที่พ่อรัก ก็ทำให้หญิงสาวน้ำตาซึมจนได้ เธอจึงตัดสินใจเดินลงไปในห้องเล็กๆ ที่ถูกซ่อนไว้ที่ชั้นใต้ดินแทน เพราะจำได้ว่าเมื่อครั้งยังเด็ก พ่อเคยพาเธอเดินลงไปหลายครั้ง


ทว่าเมื่อเข้ามาแล้ว ดวงตาคู่กลมโตหลังกรอบแว่นเทอะทะกวาดมองไปรอบๆ อย่างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตาเห็น ภายในห้องแล็บยังตั้งอุปกรณ์ทำแล็บไว้มากมาย เธอเดินเข้าไปลูบคลำสิ่งของพวกนั้นอย่างอาลัย น้ำตาไหลจนได้ทั้งที่พยายามทำใจมาหลายวัน แต่เมื่อมาเห็นในสิ่งที่พ่อรัก สุดท้ายก็อดไม่ได้อยู่ดี เธอสนิทกับพ่อมาก และยังไม่อาจทำใจยอมรับความสูญเสียนี้ได้เลย


พ่อรักอุปกรณ์ทำแล็บพวกนี้มาก สังเกตว่าทุกชิ้นได้รับการดูแลทำความสะอาดอย่างดี หญิงสาวเดินไปที่กระดานไวท์บอร์ดที่เขียนสิ่งที่ต้องทำต่อ จะต้องสกัดดีเอ็นเอพืชชุดต่อไป พ่อเขียนรหัสพันธุกรรมไว้คร่าวๆ มีการขีดฆ่าทิ้งไปบ้าง แต่ที่พ่อทำกรอบชัดเจนก็คือชื่อและที่อยู่ของคนที่ชื่อเจสสิก้า อี. สไวเกอร์


“ที่อยู่ของพยาบาลคนนั้นนี่” เธอถอดแว่นออกแล้วปาดน้ำตา ก่อนจะสวมแว่นกลับเข้าไปเหมือนเดิมและเดินไปใกล้ๆ ชื่อนั้น


มธุรดากวาดมองไปยังด้านล่างของกระดานไวท์บอร์ด ก็พบว่ายังมีเอกสารอีกมากมาย ส่วนมากจะเป็นลำดับเบสพันธุกรรมที่เธอไม่รู้ว่ามันคือของสิ่งมีชีวิตชนิดไหน หญิงสาวลองเปิดดูคร่าวๆ ก็พบว่ามันไม่ใช่ลายมือของพ่อแค่คนเดียว แต่มีลายมือมีระเบียบของใครปะปนอยู่ด้วย และจะลงท้ายว่า เจ. สไวเกอร์เสมอ


หรือว่าจะเป็นคนเดียวกับเจสสิก้า อี. สไวเกอร์ สาวแว่นครวญคิด เริ่มสงสัยอีกแล้วว่าทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงเกี่ยวข้องกับพ่อ ถ้าได้เจอกับพยาบาลคนนั้นและขอให้เธอบอกว่าพ่อของเธอทำอะไร ทำไมถึงมีคนตามล่าสมุดบันทึกเล่มนั้น เล่าเรื่องคนที่เข้ามาค้นหาสมุดบันทึกให้ฟัง บางทีนางพยาบาลเจสสิก้าอาจจะช่วยยืนยันและเป็นพยานในการแจ้งความของเธอก็ได้


คิดแล้วก็ลองโทรไปตามเบอร์ที่พ่อจดไว้แต่ก็ไม่มีใครรับสาย เธอตัดใจแล้วค้นกองเอกสารต่อไป ส่วนมากจะเป็นการทดลองผิดๆ ถูกๆ ของพ่อเกี่ยวกับพืชบางชนิดที่แม้แต่เธอเองที่ดูมาจนป่านนี้ก็ยังไม่รู้ว่าตัวอย่างการทดลองคือพืชอะไรกันแน่


หญิงสาวตัดสินใจเดินไปทั่วห้องแล็บ พบแต่การทำทดลองของพ่อ แต่สิ่งเดียวที่มองไม่เห็นคือบทสรุปการทดลองนั่นเอง มิหนำซ้ำยังมีข้อความแปลกๆ ฝากไว้ที่โทรศัพท์บ้านของพ่ออีก

‘ส่งของได้แล้ว’

ของอะไร...หญิงสาวถามตัวเองด้วยความสงสัย แต่ไม่ว่าจะพยายามคิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าพ่อของเธอคิดจะทำอะไรกันแน่

หญิงสาวค้นๆ เอกสารต่อไปแต่ก็ไม่พบอะไร มธุรดาได้แต่ถอนหายใจเพราะไม่รู้จะไปทางไหนต่อ ร่างบอบบางจึงเดินออกไปนอกบ้านเพื่อรับอากาศบริสุทธิ์ แต่แล้วก็กลับไปเจอต้นไม้ที่มีดอกหน้าแต่แปลกประหลาด เธอแน่ใจว่าไม่เคยเห็นมันมาก่อนแน่นอน


“ให้ไคล์ช่วยดูดีกว่า” เธอหมายถึงเพื่อนที่เรียนชีวเคมีมาด้วยกัน เขาอายุมากกว่าและเรียนเก่งมากด้วย คิดได้ดังนั้นสาวแว่นก็รีบถ่ายรูปและส่งไปให้ไคล์ดู รวมทั้งมาโกะด้วย แต่ก็เหมือนเดิม คือทั้งสองยืนยันว่าไม่เคยเห็นพืชชนิดนี้มาก่อนเลย


“พ่อพยายามจะทำอะไรนะ” คนตัวเล็กคิดแล้วคิดอีก คนเดียวที่พอจะบอกได้ก็คงจะเป็นเจ้าของชื่อที่พ่อจดไว้ในสมุดและบนกระดานภายในห้องทดลองแน่แท้ ในเมื่อเคยโทรหาตามข้อมูลวารสารโรงพยาบาลก็ไม่สามารถติดต่อได้ ดังนั้นเธอก็จะบุกไปถึงบ้านเลย ไม่เจอก็ให้มันรู้ไป


ร่างเล็กเพรียวบางเดินกลับไปขึ้นรถพอร์ชของตัวเอง แล้วตรงไปยังเมืองวินด์ฟิลด์ ที่ตั้งบ้านของผู้หญิงปริศนาคนนั้นทันที




...................................................................................

อัพนิยายแล้วนะค้าาาาาาา

ขอโทษค่า หายไปหลายวันเลย

ตอนหน้าพระนางของเราจะเจอกันแล้วนะค้าาาาาาา แอร๊ยยยยย นางเอกติงต๊องได้ซะขนาดนี้ จะได้เรื่องม้ายยยยยยยยย

ฝากไปอ่านฤทัยลักษมณ์ด้วยนะคะ เรื่องนั้นก็สนุก คอนเฟิร์ม!!!


รักคนอ่านเสมอมาค่ะ

กรรัมภา(กนิษวิญา)




กนิษวิญากรรัมภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 13 ก.พ. 2557, 20:41:07 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 13 ก.พ. 2557, 21:45:04 น.

จำนวนการเข้าชม : 1399





<< บทที่ 2 ความตายคือจุดเริ่มต้น   บทที่ 4 ผู้หญิงปริศนา 1 + เกมแจกรางวัลค่า >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account