ม่านลวง
การแต่งงานเพราะผลประโยชน์ทำให้เธอได้พบกับเขา ผู้ชายคนแรกในคืน one night stand น่าขำที่เธอตกหลุมรักชายคนนี้ทั้งที่ก่อนนั้นไม่อยากแต่งงาน และนั่นไม่ได้อยู่ในข้อตกลง แล้วเขาล่ะ...คิดกับเธออย่างไร
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 2

สวัสดีค่ะ คิดถึงกันจังเลยเนอะ ช่วงนี้มีแผนงานบางอย่างเปลี่ยนแปลงพอสมควรนะคะ ต้องแจ้งไว้ก่อนเลยค่ะว่าม่านลวง 'ไม่มีกำหนดอัพแน่นอน' จ้า และ 'คิดว่าคงลงไม่ถึงตอนจบ' แต่จะลงมากน้อยสักเท่าไหร่ของเนื้อเรื่องคงต้องดูอีกที เพราะในกรณีพักตร์อสูร ล่าสุดก็ยังถูกก็อปเนื้อหาทั้งหมดที่เคยลงในเว็บไปแปะไว้อีกเว็บหนึ่งจนอ้อยต้องออกมาแก้ไขปัญหากันให้วุ่นไปหมด ตามกระทู้นี้ http://www.dek-d.com/board/view/3132650/ เมื่อประมาณวันที่ 28 ม.ค. 57 ที่ผ่านมา

ซึ่งตรงจุดนี้ค่อนข้างมีผลกระทบมากเพราะหนังสือไว้วางแผงไปแล้ว ยังดีที่ไม่มีเหตุลอกจนกลายเป็นหนังสือไปอีกเล่ม ทีนี้สนุกแน่ค่ะ เรื่องคงยาวกันเลยทีเดียว อยากให้นักอ่านบางท่านเข้าใจและเห็นใจกันบ้างนะคะ นักอ่านของอ้อย อ้อยก็รัก อยากทำเหมือนที่ผ่านมาคือเจาะจงเลยว่าจะลงตอนจบวันนี้ เวลาเท่านี้ และจะลงให้อ่านกี่วัน แต่บางครั้งสถานการณ์ก็ใช่จะทำได้อย่างใจ สมัยนี้คนอยากดังทางลัดมีเยอะแยะโดยไม่นึกถึงใจคนอื่น กลายเป็นคนเขียนต้องป้องกันตัวเองคนเดียว เกิดเรื่องก็วิ่งแก้ไขไปก่อนคนเดียว ถ้าถึงสำนักพิมพ์บางทีก็ยังพูดยากเนอะ เฮ้อ...

มามา มาเข้าเรื่องต่อไปค่ะ ตอนนี้อ้อยกำลังมีงานที่ได้รับมอบหมาย และอาจต้องเขียนแทรกม่านลวง ซึ่งก็คือนวนิยายซีรี่ส์ 'SPY' ของสำนักพิมพ์มายดรีม ในเครือบริษัทสถาพรบุ๊คส์ จำกัด ส่วนเรื่องเนื้อหาต้นฉบับที่เคยมีปัญหากันมาก่อน อ้อยเองได้พูดคุย และชี้แจงให้ทราบตามข้อความที่โพสต์ไว้ในเฟชบุ๊คเมื่อวันที่ 5 ก.พ. 57 ใจความว่า

"เมื่อวันจันทร์ ที่ 3 ก.พ. 2557 ที่ผ่านมา อ้อยมีโอกาสได้เข้าประชุมกับทีมงาน บก. ของสำนักพิมพ์มายดรีม ในเครือบริษัทสถาพรบุ๊ค จำกัด ได้พูดคุยเรื่องงานที่กำลังจะทำร่วมกัน และขอแจ้งนักอ่านที่รักทุกท่านว่าหลังจากนี้เป็นต้นไป 'การทำงาน ประสานงาน และดูแลนักเขียน' จะมีดังนี้ (ได้ขออนุญาตในที่ประชุมแล้วว่าจะมาบอกนักอ่านให้ทราบ และได้รับความยินยอม-ยินดีให้เผยแพร่จาก บก. แล้ว)

1. ทีม บก. ของมายดรีมจะส่งต้นฉบับที่ผ่านการบรรณาธิกร (EDIT) กลับมายังนักเขียนเพื่อให้ทราบว่ามีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขเนื้อหาในส่วนไหนไปบ้าง มากหรือน้อย โดยนักเขียนต้องส่งกลับไปในเวลาที่กำหนดเพื่อความรวดเร็วตามแผนการวางจำหน่ายหนังสือที่วางไว้ ห้ามโอ้เอ้นะคะ ไม่อย่างนั้นจะโดนตี อิอิ

2. จะมีการขอรูปแบบปกคร่าวๆ จากนักเขียนว่าต้องการแบบไหน มีไฮไลท์ลักษณะใดเพื่อทำปกออกมาให้ดีที่สุด

และ 3. หากท่านมั่นใจว่า 'มีต้นฉบับดีๆ' อยู่ในมือแล้ว ส่งให้พิจารณาได้โลด (กระซิบว่ามายดรีมเขามาแรงนะจ๊ะ)

และทั้งหมดทั้งมวลนั้นคือการตอกย้ำความมั่นใจ ว่า 'มายดรีม' จะไม่ให้เกิดความผิดพลาด ทีมงานมายดรีมพร้อมพัฒนา ปรับปรุงแก้ไขให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งจะมีทีมงาน บก. รับผิดชอบโดยตรง พร้อมประสานงานกับนักเขียนเพื่อให้ได้ผลงานที่ดีที่สุด

จึงแว้บมาแจ้งข่าวแก่พี่น้องนักอ่านที่รักของอ้อยทุกท่าน เพื่อความมั่นใจในผลงานรูปเล่มของอ้อยหรือนักเขียนท่านอื่นที่จะตามมา ว่าขณะนี้มีการดำเนินการปรับเปลี่ยนไปในรูปแบบใด 'เพราะความไว้วางใจของท่านคือสิ่งที่เราต้องรักษาให้ดีที่สุด'

ส่วนพักตร์อสูรกำลังนอนอยู่ในโรงพิมพ์ เสร็จเมื่อไหร่จะรีบวิ่งมาบอกทันทีจ้าาาา

และนิยายที่จะออกกับสำนักพิมพ์มายดรีมในเดือนตุลาคม 57 คือซีรี่ส์ 'SPY' แต่มิใช่มีต่อวายคูเลอร์นะจ๊ะ แต่เป็น 'SPY-สายลับ' จริงๆ นะเออ โดยชุดนี้จะมีทั้งหมด 5 เรื่องค่ะ จบในเล่ม ไม่ต่อเนื่องกัน แต่ก็ขาดกันไม่ได้ เอ๊ะ! ยังไงกันนี่ 555 ยิ่งว่าก็ยิ่งงง ไปก่อนดีกว่า แต่...ตอนนี้ยังไม่ได้เขียนนะคะ กำลังร่างพล็อตรองและคงจะเขียนแทรกม่านลวงที่เขียนได้กระจึ๋งนึง แง่บๆๆๆ

รัก...

อ้อย/สุชาคริยา"

และวันนี้อ้อยเข้ามาอัพม่านลวง จึงขอส่งข่าวให้พี่น้องนักอ่านทุกท่านได้รับทราบพร้อมกัน ณ โอกาสนี้ด้วยนะคะ เช่นเดิมที่ต้องขอบพระคุณงามๆ กับทุกๆ คอมเม้นท์ที่เขียนบอกเล่าความคิดเห็น ความรู้สึก ความรัก ความห่วงใยที่มีให้อ้อยเสมอ ขอบพระคุณมากๆ จากใจค่ะ


รักเสมอทุกลมหายใจ...

อ้อย/สุชาคริยา



-------------------------------------------------------




บทที่ 2

สถานีรถไฟใต้ดินที่เป็นจุดหมายได้เทียบจอด ถิรมนเดินออกไป ถนนหนทาง บ้านเรือน ยังเป็นเหมือนเดิมทว่าความรู้สึกของเธอกลับเปลี่ยนแปลง สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนทำให้ใจหายไม่น้อย ไม่อาจปฏิเสธอย่างโง่เขลาว่าไม่รู้สึกอะไรกับสิ่งที่เกิดขึ้นสักนิด พลันก็คิดถึงวิงรงรองกับปภาวี ทั้งสองจะว่าอย่างไรหากทราบเรื่องนี้ แต่จริงแล้วก็ไม่น่าจะเป็นปัญหา การแต่งงานที่กำลังจะเกิดขึ้นคือเรื่องของผลประโยชน์ ไม่ได้มาจากความรัก การที่เธอจะเป็นสาวบริสุทธิ์หรือไม่ย่อมไม่สำคัญเท่ากับการที่เธอจะรักษาทรัพย์สินของอีกฝ่ายได้มากหรือน้อยเพียงใดเท่านั้น และปรมัตถ์ก็คงไม่ยุ่งวุ่นวายกับเธอเช่นกัน

‘เรียนจบขนาดนี้ แต่ต้องมาแต่งงานเพราะผลประโยชน์’ ถิรมนยิ้มแกมเศร้า

เธอไม่ได้แวะพบหมออย่างที่ตั้งใจไว้ตอนแรก วัตถุที่เห็นและสภาพร่างกายยืนยันว่ามีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใดกับการเสี่ยงตั้งครรภ์ เธออายุเท่านี้จะไม่มีความรู้เรื่องเพศสัมพันธ์ก็คงแปลกประหลาดเมื่อถูกสอนให้ป้องกันตนเองตั้งแต่เรียนเรียนเกรดสี่ตามสภาพสังคม

ถิรมนคิดนู่นคิดนี่จนแทบไม่รู้สึกตัวเมื่อมายืนอยู่ตรงหน้าบ้าน บ้านของวิรงรองกับชาร์ลี สามีชาวอเมริกันวัยเกษียณนั้นเป็นบ้านไม้สองชั้นสภาพดี อดรู้สึกแปลกๆ ในส่วนลึกไม่ได้ว่าไม่เหมือนเดิมจริงๆ มองไปทางไหนก็ไม่เหมือนเดิม อาจเป็นเพราะเธอโตอีกขั้นหนึ่งกระมัง ถิรมนสูดลมหายใจเข้าลึกอีกครั้ง เดินขึ้นบันไดไป เคาะประตู จับลูกบิด หมุน และผลัก

“น้องเลิฟกลับมาแล้วค่ะ” เอ่ยเสียงดังให้คนในบ้านรู้อย่างเคยชิน

ร่างเล็กๆ ไม่ต่างจากสาวรุ่นของใครคนหนึ่งโผล่เข้ามา

“อามุก!” หัวใจของถิรมนร่วงไปอยู่ตาตุ่มเมื่อเห็นพี่สาวคนโตของปรมัตถ์เดินเข้ามาหา ไม่ใช่วิรงรองเช่นทุกครั้ง วัยสี่สิบสี่กะรัตไม่ได้ทำให้หล่อนแก่ตามวัย “สะ...สวัสดีค่ะ” ถิรมนรีบยกมือไหว้ ส่งยิ้มที่คงดูแปร่งปร่าให้ทันที

“ไปไหนมาน้องเลิฟ อามาถึงตั้งแต่เช้า พี่รองบอกว่าไปปาร์ตี้กับเพื่อน ชื่ออะไรนะ...” หล่อนทำท่าคิด “ไฮดี้ ใช่ นั่นแหละ อาก็รอ นี่กว่าจะกลับบ้านได้เล่นซะเกือบบ่ายสอง เป็นอย่างนี้บ่อยหรือเปล่า”

ถิรมนพูดไม่ออกเมื่อเจอคำถามเป็นชุด ได้แต่กอดตอบปภาวีเมื่อหล่อนกอดแน่นๆ และเป็นเช่นนี้ทุกครั้ง

“เพิ่งครั้งแรกนี่แหละจ้ะมุก” วิรงรองเดินเข้ามา มือถือผ้า เดินเลยเข้าไปในครัว ตะโกนออกมาว่า “ไปถึงไหนมาล่ะเลิฟ ไม่โทรบอกอาก่อนคงได้ตามตัวกันให้วุ่นแน่ๆ กินข้าวมาหรือยัง”

หญิงสาวได้แต่ยิ้มแห้งๆ เมื่อปภาวีมองอยู่ แต่ก็ไม่ได้ตอบอะไร เพราะคำตอบที่ผู้ใหญ่ทั้งสองถามคงไม่ถูกใจนัก จึงได้แต่หอมแก้มปภาวีฟอดหนึ่ง ประคองหล่อนเข้ามาในครัวด้วยกัน

“อามุกไม่บอกน้องเลิฟเลยว่าจะมาวันนี้ ไม่อย่างนั้นน้องเลิฟคงไม่ไปกับเพื่อนหรอกค่ะ” และภาพเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านพ้นผุดขึ้นอีกครั้งหนึ่งจนต้องเอ่ย “น้องเลิฟไปอาบน้ำก่อนนะคะ เมื่อคืนดื่มพันช์เยอะไปหน่อย ยังปวดหัวอยู่เลยค่ะ น้ำก็ยังไม่ได้อาบ”

สองสาวเพื่อนสนิทพยักพเยิดหน้าเป็นการอนุญาต ถิรมนปลีกตัวออกมาทันที กลัวเหลือเกินว่าทั้งสองอาจสังเกตความผิดปกติได้ไม่ช้าก็เร็วหากอยู่นาน

- * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * -

การอาบน้ำทำให้สดชื่นขึ้นไม่น้อย แต่หัวใจของถิรมนยังเต้นตุ๊มๆ ต้อมๆ ที่ผ่านมาเธอทำตัวแปลกประหลาดสำหรับเพื่อนในกลุ่มเพราะกลับบ้านตรงเวลาตลอด ไม่มีเรื่องชู้สาว เครื่องดื่มของมึนเมาก็ไม่เคยแตะมากจนขาดสติ เพราะเพียงแค่มึนก็หยุด ไม่มีต่อ แต่เหตุการณ์เมื่อคืนเป็นไปได้อย่างไรก็น่าตีตัวเองนัก วิรงรองกับปภาวีคุยเรื่องสัพเพเหระอยู่ในครัว

‘สู้นะเลิฟ’ ถิรมนปลอบใจตัวเองแล้วจึงก้าวลงมาตามขั้นบันได ฉีกยิ้มสดใสเมื่อถึงครัว เดินเลยโต๊ะอาหารเข้าไปที่เคาน์เตอร์ หยิบจาน ช้อนส้อม ตักข้าวใส่จาน แผ่นหลังนั้นร้อนวูบวาบและเย็นเยือกสลับกันเพราะหวาดระแวงกลัวคนข้างหลังจะจับผิดได้ หรือระแคะระคายอะไรหรือไม่

“มัตถ์บอกว่าหากเสร็จธุระเร็ว คงจะมางานรับปริญญาของน้องเลิฟด้วยนะจ๊ะ”

มือที่กำลังถือทัพพีตักกับข้าวชะงักนิดหนึ่ง ว่าที่เจ้าบ่าวของเธอจะมาปรากฏตัวอย่างนั้นหรือ แต่ก็เอ่ยเพียง “ค่ะ” และรีบวางทัพพีลง หมุนตัวกลับมา นั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่อยู่ติดกับปภาวี ทานอาหารโดยไม่พูดอะไร เพราะสายตาของทั้งสองจ้องอยู่ ถิรมนจึงตัดสินใจถามไปว่า “พี่มัตถ์จะไม่มีปัญหาเรื่องแต่งงานแน่หรือคะอามุก”

ดูเหมือนจะเป็นคำถามที่ทำให้ทั้งสองละสายตาไปจากเธอได้ชะงัดทีเดียว ทั้งคู่มองหน้ากัน คล้ายถามว่าจะพูดอย่างไรจึงจะดีที่สุด

“น้องเลิฟแค่ไม่อยากให้อามุกมีปัญหากับพี่มัตถ์น่ะค่ะ” ถิรมนบอก รีบยิ้มให้เล็กน้อย เธอไม่อยากให้ปภาวีต้องเสียใจหรือไม่สะดวกใจกับคำพูดนี่นัก ส่วนที่เรียกปรมัตถ์ว่าพี่ ก็เพราะเขาเป็นลูกหลง อายุห่างจากปภาวีประมาณสิบสามหรือสิบสี่ปี และแก่กว่าเธอประมาณหกปี

ส่วนปภาวีที่หน้าเจื่อนก่อนนั้นรีบยิ้มกลบเกลื่อน “ไม่จ้ะ มัตถ์เขาตกลงอยู่แล้ว ไม่มีปัญหาอะไร”

“ค่ะ” ถิรมนพยักหน้าเล็กน้อยเป็นการรับรู้ รอยยิ้มยังคงมีให้ตลอดเวลา ก่อนจะก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อโดยนั่งฟังทั้งสองพูดคุยเงียบๆ

- * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * -


งานแต่งงานที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่ชั่วโมงช่างแปลกประหลาดสุดๆ เท่าที่ถิรมนเคยเห็น เพราะนอกจากเจ้าบ่าวเจ้าสาวไม่เคยเห็นหน้าเห็นตากันสักครั้งหนึ่ง การแจกการ์ดเชิญทั้งเธอและปรมัตถ์ก็ไม่ได้ทำร่วมกันหรือพูดให้ถูกคือไม่ได้ออกไปเชิญแขกกันทั้งคู่ การลองชุดแต่งงานก็ต่างฝ่ายต่างจัดการ ไม่มีรูปถ่ายพรีเวดดิ้ง ไม่มีการตักบาตรเช้า มีแต่งานเลี้ยงฉลองและจดทะเบียนสมรสในช่วงค่ำที่จะถึงของวันนี้พร้อมกันเลยเท่านั้น โดยมีปภาวีเป็นคนดูแลจัดการ

เธอกลับมาถึงเมืองไทยได้ประมาณสองสัปดาห์ ตอนนี้กำลังนั่งนิ่งๆ ให้ช่างแต่งหน้าทำผมจัดการไปตามหน้าที่ รู้สึกว่าตัวเองไม่ต่างจากวัตถุชิ้นหนึ่งที่จะถูกนำไปใช้ประกอบฉากงานแต่งงาน อาจเคลื่อนไหวบ้างและทำหน้าที่เซ็นชื่อในเอกสารสำคัญท่ามกลางสักขีพยานร่วมรับรู้ นอกจากนั้นแทบไม่ต้องทำอะไร มีคนจัดการเซ็ทระบบให้ทั้งหมด เพราะแม้แต่เพื่อนเจ้าสาวก็ยังเป็นบอดี้การ์ดทั้งสามที่คอยประกบติดตามทุกฝีก้าว หนึ่งในสามคนอยู่กับเธอตั้งแต่มาถึง หล่อนชื่อสุธา เป็นคนคอยบอกว่าต้องทำอะไร ที่ไหน อย่างไร เวลาเท่าไหร่

“เหลือเวลาหนึ่งชั่วโมงครึ่งนะคะ เร่งมือนิดหนึ่ง” สุธาบอกบอกช่างแต่งหน้าทำผมแล้วเดินจากไป คิดถึงก็ปรากฏตัวทันทีเชียว

ถิรมนแอบถอนหายใจ ไม่รู้ว่าปรมัตถ์จะโดนเหมือนกันหรือเปล่า ครั้นนึกถึงเขาก็อดไม่ได้ที่จะย้อนกลับไปคิดถึงเหตุการณ์ในวันรับปริญญาบัตรเมื่อสามสัปดาห์ก่อน ปรมัตถ์สร้างความทรงจำให้เธอได้อย่างยอดเยี่ยมจนไม่อาจลืม

วันนั้น... หลังจากการถ่ายรูปหมู่ของคณะนักศึกษาที่ต่างสวมชุดครุยสีฟ้าสวมหมวกสีเดียวกันได้เสร็จสิ้นลง เธอออกมาหาปภาวี วิรงรอง และชาร์ลีในจุดที่นัดกันไว้

“มุกไปเข้าห้องน้ำจ้ะ” วิรงรองบอกเมื่อเธอถามถึงเพราะไม่เห็นปภาวีอยู่ด้วย

แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาอะไร พวกเธอยังถ่ายรูปฆ่าเวลาไปเรื่อยๆ ชาร์ลีนั้นรับหน้าที่เป็นตากล้องใจดี ยิ้มแย้มแจ่มใส ต่างผลัดกันถ่ายรูป ผลัดกันแอ็กชั่นท่าทางอย่างสนุกสนานทั้งคนในครอบครัวและเพื่อนๆ ของเธอที่เข้ามาร่วมเฟรมทีหลัง และเมื่อเห็นว่าปภาวียังไม่กลับมา

“น้องเลิฟไปตามอามุกนะคะอารอง”

“จ้ะ”

ได้รับคำอนุญาตจึงแยกตัว ก่อนหน้านั้นพวกเธอย้ายที่ถ่ายรูปจึงเป็นห่วงปภาวีว่าอาจหากันไม่พบ แม้ไม่ไกลจากจุดเดิมที่นัดเอาไว้ก็ยังเป็นห่วงอยู่ กระทั่งเธอเดินมาถึงหลังรูปปั้นหนึ่ง ไม่ห่างจากจุดที่เพิ่งจากวิรงรองมากนัก

“พี่มุกให้ผมมา ผมก็มาแล้วไง” ภาษาไทยที่ได้ยินเต็มไปด้วยความรำคาญ

“จะรีบร้อนอะไรขนาดนั้นมัตถ์ มาถึงขนาดนี้แล้วก็ไปหาน้องเลิฟก่อน” นั่นคือเสียงของปภาวี ทั้งสองพูดไม่ดังมาก แต่ก็ชัดเจนพอจะจับใจความได้ คาดเดาว่าทั้งสองคงถกเถียงกันมาก่อนหน้านี้ การสนทนาจึงดูน่าอึดอัดทั้งที่เธอเพิ่งมาถึง โดยเฉพาะ...

“แค่ยังไม่เห็นหน้าเห็นตากันตอนนี้ก็คงไม่ตายหรอกมั้งครับพี่ ยังไงก็ต้องเจอกันวันแต่งอยู่ดี ที่ผมมาก็เพราะนึกว่าพี่มีธุระด่วน ถึงได้โทรตามให้ผมมาหา แต่ผมก็มีธุระสำคัญของผมนะ ต้องไปจัดการด้วย นี่ก็เลยเวลามาแล้วด้วย” ความไม่พอใจของเขาแฝงอยู่เต็มเปี่ยม ไม่บอกก็รู้ว่านี่คือปรมัตถ์

“มัตถ์กับเลิฟจะแต่งงานกันแล้ว แสดงน้ำใจให้น้องเห็นหน่อยสิ”

ถิรมนเดินเข้าไปใกล้แบบไม่ให้คนทั้งสองรู้ อาศัยแท่นหินทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าใต้ฐานรูปปั้นเป็นที่กำบัง

“การที่ผมยอมแต่งงานเพื่อให้พี่สบายใจว่าทรัพย์สินของปรมัตถ์ไอศูรย์จะปลอดภัยก็ยังไม่มากพออีกเหรอพี่ ชีวิตผมทั้งชีวิตต้องมีผูกติดกับผู้หญิงคนนั้นผมก็ยังยอม พี่หลอกผมมาที่นี่ผมก็ไม่ว่า แล้วพี่ยังจะเอายังไงกับผมอีก”

“ธุระร้อนอะไรกันมัตถ์” ปภาวีถอนหายใน “นั่นมันเรื่องของเธอ...ช่างมัน ไว้คุยกันทีหลัง แต่ตอนนี้พี่สนแต่ว่ามาถึงตรงนี้แล้วก็ควรไปเจอหน้าเลิฟสักครั้ง เลิฟเป็นเด็กดีมาก เป็นผู้หญิงที่ดีนะมัตถ์”

“จะเลิศเลอแค่ไหนก็ช่างหัว เพราะผมยังไม่อยากเจอหน้าเด็กของพี่” เหมือนว่าเขากำลังกัดฟันพูดเลยทีเดียว “เอาเป็นว่าผมรอเจอเด็กนั่นที่เมืองไทยเลยดีกว่า แต่ตอนนี้ผมต้องไป ผมมีธุระสำคัญจริงๆ”

“มัตถ์!”

และเธอก็ได้เห็นแผ่นหลังของชายสวมสูทสีเทาเข้มเดินห่างออกไป นี่สินะ...ปรมัตถ์ ว่าที่เจ้าบ่าวของเธอ เขาดูไม่ไยดีปภาวีที่เรียกตามหลัง ท่าทางหัวเสียไม่น้อยที่ถูกหลอกมา ส่วนเธอก็ได้แต่มองเพียงด้านหลังของเขาที่ห่างออกไปเรื่อยๆ

และนั่นเป็นครั้งแรกที่ได้พบกัน หรือความจริงต้องพูดว่าทักทายกันด้วยแผ่นหลังที่กำลังเดินจากไปน่าจะถูกต้อง น่าเจ็บปวดสิ้นดี เขาเกลียดชังอะไรเธอจนไม่อยากจะมองหน้าทั้งที่รู้ว่าการแต่งงานนี้ผูกพันกันเฉพาะทางนิตินัยตามที่รับรู้ก็น่าจะอยู่แบบเพื่อนกันได้ แต่ถ้ามองกลับกัน หากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเธอเสียเองและยังมีคนรักอยู่ สภาพก็คงไม่แตกต่างจากเขาหรืออาจแย่ยิ่งกว่า สงสัยเหลือเกินว่าปรมัตถ์โดนเงื่อนไขใดจนทำให้ยอมแต่งงาน สาเหตุคงไม่ใช่เพียงแค่สิ่งที่ได้ยินว่าเพื่อความสบายใจของปภาวี แต่คงคงสำคัญและเป็นประโยชน์ต่อเขาจนมีน้ำหนักมากพอให้ตกลงเช่นเดียวกับเธอ

ถิรมนถอนหายใจออกมา ภาพในวันนั้นค่อยๆ สลายหายไป เหลือแต่ภาพในปัจจุบัน เธอกำลังนั่งมองกระจกเมื่อช่างทำผมเอ่ยคำว่าเรียบร้อยแล้ว ถิรมนลุกขึ้น เดินเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ด้านล่างนั้นเริ่มคึกคัก พนักงานจากโรงแรมเริ่มเข้าประจำตำแหน่งเตรียมงานบริการทั้งเสิร์ฟอาหารเครื่องดื่ม ซุ้มดอกไม้ โต๊ะ เก้าอี้ เวทีพร้อม จนป่านนี้ก็ยังไม่มีวี่แววของปรมัตถ์ทั้งที่ตะวันคล้อยใกล้ตกดินเต็มที เห็นมีแต่ปภาวีและญาติสนิทที่ออกไปดูแลความเรียบร้อยของงาน ทุกอย่างน่าจะจัดการในเวลาฉิวเฉียด เธอรู้มาว่าปรมัตถ์พักที่คอนโดมิเนียมส่วนตัว จะย้ายกลับมาอยู่ที่นี่หลังจากคืนนี้เป็นต้นไป

และเมื่อกลับออกมาจากห้องแต่งตัวอีกครั้ง ถิรมนยืนอยู่ตรงหน้ากระจกเงาบานใหญ่ของห้องนอนที่เคยพักประจำในช่วงปิดภาคเรียน ทว่าคืนนี้และคืนต่อไปจะไม่ได้อาศัยอีก เธอต้องย้ายไปอยู่ที่ห้องใหญ่ทางปีกขวาของคฤหาสน์ซึ่งจะใช้เป็นเรือนหอ คิดแล้วก็อดถอนหายใจไม่ได้ ก็ไม่รู้ว่าจะอาศัยนอนกันแบบไหนกับเจ้าบ่าวผู้ชิงชังเธอนัก คิดแล้วก็ได้ยิ้มเยาะตัวเอง ผลประโยชน์ของคนช่างผลักดันให้กล้าทำอะไรโง่เง่าจริงๆ

“คุณเลิฟสวยจริงๆ เลยค่ะ สวยมาก” ช่างแต่งหน้าลากเสียงยาว สีหน้าแววตาแสดงความชื่นชมจากใจจริง

คำพูดของหญิงคนนี้เรียกถิรมนออกจากภวังค์ เธอมองตาม ภาพสะท้อนในนั้นมีช่างแต่งหน้าทำผมยืนอยู่ด้านหลัง กำลังมองมาที่กระจกเช่นเดียวกับเธอ มือของหล่อนยังจัดแต่งทรงผม ขยับชุดแต่งงานให้เข้าที่ สำรวจความเรียบร้อย

ถิรมนยิ้มให้เล็กน้อยผ่านกระจก หญิงสาวแสนสวยที่เห็นช่างดูงดงามอ่อนหวาน ชุดเจ้าสาวสีขาวหรูหราเข้ากับทรงผมและการแต่งหน้าอย่างประณีตบรรจง รับกันอย่างลงตัว แทบไม่ต่างจากเซเล็บคนดังที่จะเดินบนพรมแดงระดับโลกเลยทีเดียว แม้แต่เธอก็ยังแทบจำตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำ อดคิดไม่ได้ว่าคงจะดีหากการแต่งงานครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะความรัก ทว่าส่วนลึกคาดหวังว่าคู่ควงของปรมัตถ์จะไม่มาถล่มงาน

เสียงดนตรีเป็นทำนองแว่วหวานเริ่มบรรเลงให้ได้ยิน ถิรมนนั่งรอเวลา ความมืดเริ่มโรยตัว เสียดายที่วิรงรองและชาร์ลีไม่สามารถร่วมงานได้ ความเจ็บป่วยของชาร์ลีทำให้ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเร่งด่วนเมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อน

“สิบห้านาทีลงไปที่งานได้เลยค่ะ” สุธาเข้ามาบอก เหน็บวอขนาดเล็กที่เพิ่งพูดคุยเมื่อครู่ไว้กับโบอันโตใต้หน้าอกที่เป็นผ้าชิ้นเดียวผูกรอบเอวเป็นเข็มขัดหนา ชุดกระโปรงสีชมพูอ่อนยาวเท่าหัวเข่าดูน่ารักแต่ไม่ค่อยเข้ากับสีหน้าเรียบๆ ของหล่อน แม้จะแต่งหน้าทำผมจนไม่เหลือเค้าเดิมสักเท่าไหร่ และนอกจากสุธาเป็นหัวหน้าบอดี้การ์ดที่คอยดูแล งานนี้หล่อนก็ยังเป็นเพื่อนเจ้าสาวอันดับหนึ่งของเธอด้วยเช่นกัน

“คุณต้องแสดงว่าคุ้นเคยกับคุณมัตถ์เป็นอย่างดีนะคะ คุณมัตถ์กำลังจะมาถึง กำหนดการทุกอย่างเป็นไปตามสเต็ปที่พี่บอกก่อนนี้ ย้ำอีกครั้งว่าจัดการทุกอย่างบนเวทีให้เรียบร้อยแล้วค่อยลงมาถ่ายภาพกับแขกทีหลัง” หล่อนกำชับบทบาทที่เธอจะต้องแสดงอีกครั้งหนึ่ง แล้วรอยยิ้มอย่างเป็นกันเองมอบให้มา แววตานั้นให้กำลังใจ เป็นครั้งแรกที่ถิรมนเห็นท่าทางแบบนี้ของสุธา ไม่มีมาดขรึมในแบบที่เคยเป็น

“ค่ะพี่ธา” ถิรมนรับคำ สุธามีอายุมากกว่าเธอแปดปีตามที่เจ้าตัวบอก

เมื่อถึงเวลาที่กำหนด “ไปค่ะคุณเลิฟ” สุธายื่นช่อดอกไม้ให้เธอถือ หล่อนออกไปเปิดประตูรอ

รู้สึกเหมือนคล้ายนักโทษ คงดูไม่จืดถ้าลงไปแล้วพบว่าปรมัตถ์เองก็มีบอดี้การ์คอยควบคุมความประพฤติไม่ต่างกัน การถูกจับตามองทุกฝีก้าวไม่สนุกนัก และเมื่อมาถึงประตูหน้าห้องนอนนี้ จึงเห็นว่าเพื่อนเจ้าสาวอีกสองคนของเธอ พวกหล่อนอยู่ในชุดเหมือนกับสุธา

ถิรมนไม่เคยใช้ชีวิตแบบนี้จึงรู้สึกเกร็ง ไม่เคยรับรู้มาก่อนเลยว่าที่เมืองไทยปภาวีใช้ชีวิตอย่างไร ในแบบไหน ขณะเดียวกันก็มองไปอีกฝั่งซึ่งเป็นห้องหอ ข้าวของของเธอถูกย้ายไปจัดเตรียมไว้ที่นั่นเรียบร้อยหมดแล้ว แอบถอนหายใจนิดๆ ขณะเดินลงบันได

เมื่อพ้นประตูหน้าคฤหาสน์ ท้องฟ้านั้นมืดสนิท แสงไฟโทนสีอบอุ่นให้ความสว่าง ผู้คนมากมายอยู่ตรงสนามหญ้าขนาดกว้าง แต่งกายหรูหราบ่งบอกฐานะ แต่งแต้มใบหน้าอย่างงดงาม เครื่องประดับสตรีแต่ละคนสะท้อนแสงเป็นประกายแวววาว ถิรมนตรงเข้าไปในงาน อดไม่ได้ที่จะมองหาเจ้าบ่าวของตัวเอง แต่ก็ไม่เห็น

ทันทีที่เข้าถึงเขตจัดเลี้ยง แสงไฟหนึ่งสาดส่องกระทบจนตาพร่าไปชั่วขณะ เธอเผลอหยุดเดิน แสงส่องสว่างมากเสียจนแทบมองไม่เห็น รู้ว่าถูกนิ้วมือของสุธาจิ้มที่ด้านหลัง นั่นจึงทำให้เริ่มเดินอีกครั้งหนึ่ง เพื่อนเจ้าสาวทั้งสามเดินตามหลังมาติดๆ

เสียงปรบมือดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียงเมื่อเสียงประกาศจากเวทีดังบอกว่าเธอเป็นใคร เสียงพูดคุยดังเซ็งแซ่ พิธีกรยังประกาศอยู่บนนั้น ถิรมนจับใจความไม่ค่อยทันเพราะสมาธิอยู่กับทางเดินตรงหน้าเพราะแสงไฟสว่างจ้ายังส่องตาอยู่ อยากจะบอกว่าช่วยเอาไฟนี่ออกไปทีได้ไหม เธอมองแทบไม่เห็นทาง มันสว่างไปหมดจนน่ากลัวว่าอาจสะดุดล้มไปเสียก่อนกระมัง อะไรจะกลัวคนไม่เห็นเธอขนาดนี้ และถ้าหากใครเคยขึ้นไปอยู่บนเวทีที่มีแสงไฟส่องให้กลายเป็นจุดเด่นคงพอจะเข้าใจ การทำหน้าที่เต้นร้องบนเวทีแม้ทำได้ดีขนาดไหน พูดคุยกับแขกอย่างสนุกสนานเพียงใด แต่ในความเป็นจริงคือมองคนที่อยู่ไกลออกไปแทบไม่เห็น อาจรู้เพียงตำแหน่งแบบพอคาดเดาได้ และเธอกำลังตกอยู่ในภาวะนั้นพร้อมกับการแจกรอยยิ้มอย่างมืออาชีพ

“ขอเชิญเจ้าบ่าวรับเจ้าสาวขึ้นมาบนเวทีด้วยครับ” พิธีกรเอ่ย

ถิรมนยังยืนอยู่ตรงนี้ และก่อนที่จะได้ขยับ ร่างสูงใหญ่ของใครคนหนึ่งและไม่พ้นว่าจะเป็นคนที่ถูกกล่าวถึงมายืนขวางทาง ถิรมนมองรองเท้าสีดำมันปลาบ ไล่เรื่อยจากขากางเกงเข้าชุดทักซิโด้สีเข้มตัดกับเสื้อตัวในสีขาว แขนของเขากระชับกอดที่เอวของเธอ รู้ว่าอีกฝ่ายก้มหน้าลงมา

“ถ้ารู้ว่าเป็นเธอ พี่จะมาให้เร็วกว่านี้” ภาษาไทยนั้นดังที่ริมใบหู

ถิรมนไม่เข้าใจคำพูดของเขา เสียงเชียร์ของผู้ร่วมงานบอกถึงบางอย่างได้ชัดเจน มองจากมุมอื่นท่าทางนี้คงไม่ต่างจากการก้มลงหอมแก้มเจ้าสาวด้วยความรักและคิดถึงอย่างที่สุดทั้งที่ความเป็นจริงคือใบหน้าไม่ได้สัมผัสกัน

ถิรมนเงยหน้าขึ้นมอง เขาหมายความว่าอย่างไร และก่อนที่เธอจะได้เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายชัดเจน

“วันนี้สวยจนแทบจำไม่ได้ แต่ชอบแบบเนื้อแท้มากกว่านะ สะอาดดี” ครั้งนี้เขาเอ่ยเป็นภาษาอังกฤษชัดถ้อยชัดคำ ทว่าข้อความหรือจะเท่ากับน้ำเสียงและสำเนียงคุ้นเคยนั้น

ถิรมนชาไปทั้งตัวทันที ขนของเธอลุกชัน เหมือนจะหยุดหายใจ พยายามเพ่งมองแต่ก็ถูกแสงไฟกระทบเข้ามา ภาวนาว่าอย่าใช่ผู้ชายคนนั้นทั้งที่ความทรงจำถึงเขายังแจ่มชัดอยู่

ชายคนนี้ขยับมาอยู่ในมุมที่แสงไม่กระทบ ใบหน้าของเขา... ส่วนสูงของเขา... ดวงตาของเขา ทำให้เธอตัวสั่นขึ้นมาอย่างไม่ตั้งใจโดยเฉพาะรอยยิ้มเช่นเดียวกับคืนนั้น

“จำกันไม่ได้หรอกหรือ” ยิ้มและยักคิ้วนิดหนึ่ง “เพิ่งห่างกันไม่นานเอง เราออกจะ...‘สนิทแนบแน่น’ กันมากทีเดียวนะ” น้ำเสียงและสำเนียงการพูดภาษาอังกฤษดังย้ำ

ถิรมนหน้าชาไปทั้งแถบ รอยยิ้มกระชากใจทว่ากลับแฝงฝากมาด้วยความเหยียดหยาม ไม่คิดว่าโลกจะกลมได้ขนาดนี้ แทบหมดแรงจนเผลอถอยหลังก้าวหนึ่ง อ้อมแขนของเขาที่โอบเอวก่อนนั้นเป็นกำแพงช่วยประคอง เธอรู้สึกถึงแรงโอบกึ่งบังคับให้เดินออกไปด้วยกัน แทบทำอะไรไม่ถูกเลยทีเดียวในตอนนี้ น้ำเสียงของเขาเมื่อเอ่ยภาษาไทยกับภาษาอังกฤษแตกต่างราวคนละคน รู้สึกเกร็งจนเกือบสะดุดขั้นบันได สุธายังคอยดันหลังเอาไว้ และปรมัตถ์ก็แข็งแรงมากพอจะอุ้มเธอจนตัวลอยเท้าแทบไม่แตะพื้นราวกับไม่สะทกสะเทือนกับน้ำหนักตัวของเธอนี้

เขาหันมายิ้มหวานเมื่อยืนอยู่บนเวทีเรียบร้อย แสดงบทคู่รักคู่ชื่นได้ดีทีเดียว แต่กลายเป็นเธอที่สติแทบไม่รับรู้อีกต่อไป

“ยิ้มค่ะคุณเลิฟ” สุธากระซิบมา

หล่อนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้เรี่ยวแรงของเธอแทบไม่เหลือ หูนั้นอื้ออึง เหมือนเกิดอาการหน้ามืดเมื่อหันไปมองไหล่ของเจ้าบ่าวข้างกายขณะยืนเคียง และหากถอดรองเท้าส้นสูงออกเธอคงเทียบระดับไหล่หรือคอของปรมัตถ์เท่านั้น ถิรมนยอมรับว่าไม่กล้าเงยหน้ามอง ทว่าเหนือสิ่งใดทั้งหมดในการรับรู้คือตัวสั่นมากแม้พยายามจะห้ามตัวเองให้สงบนิ่งก็ตาม แล้วนั่นจะเธอให้ยิ้มได้อย่างไร เรื่องบางอย่างเป็นชนักปักหลังแถมตอนนี้ยังชนตอเข้าจังเบ้อเร่อ

“อะไรคือสิ่งที่เจ้าสาวแสนสวยอย่างคุณถิรมนมัดใจคุณปรมัตถ์ได้ครับ” พิธีกรชายถามบนเวทีหลังจากการพูดคุยก่อนหน้านี้ไปครู่หนึ่ง

ปรมัตถ์มองเธอ ยิ้มให้เล็กน้อย แขนข้างหนึ่งของเขายังโอบเอวเธอเอาไว้ไม่ปล่อย หันไปตอบพิธีกรว่า “การที่ผมจะรัก และมอบความรักให้ใครสักคนหนึ่ง เธอต้องมีดี และยอมรับในตัวผมได้ และความรักของผม ลึกซึ้งเกินกว่าจะบอกด้วยคำพูดครับ” ปรมัตถ์ก็ก้มหน้าลงมาหอมแก้มเธอ ทว่าความจริงคือหันหน้าเอียงเข้าหาในระยะประชิด ไม่มีการสัมผัสผิวเนื้อ

ปรมัตถ์ทำหน้าที่เจ้าบ่าวได้อย่างดีเยี่ยมต่อหน้าผู้คนหลังจากนั้น ส่วนเธอแทบสอบตกจนถูกอีกฝ่ายล้อ ‘เจ้าสาวของผมขี้อายครับ ผมขอตอบคำถามแทนก็แล้วกัน’ นั่นจึงทำให้ถิรมนปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเขา

และหลังจากเอ่ยขอบคุณผู้มาร่วมงาน ถิรมนกับปรมัตถ์เดินมายังโต๊ะตัวหนึ่งบนเวที ตรงหน้าคือใบทะเบียนสมรส เขาจรดปากกาลงลายมือชื่อของตัวเองเร็วไวไม่มีความลังเล

“คุณเลิฟ เซ็นสิคะ” สุธาเอ่ยย้ำ

ถิรมนหันไปมองปรมัตถ์ เขายิ้มหวานให้ เอียงหน้าปรายตามองกระดาษคู่นั้นคล้ายกับบอกว่าเซ็นเร็วๆ สิ จะได้จบๆ ไป แต่สำหรับเธอมองอย่างไรก็เห็นว่าสีหน้าแววตาของเขาช่างเชือดเฉือนดูแคลน โดยเฉพาะรอยยิ้มที่เหมือนเย้ยหยัน...เหยียดหยาม และมีบางอย่างซุกซ่อนอยู่ ถิรมนยื่นมือสั่นๆ ของตัวเองไปรับปากกา รอยยิ้มของเธอที่มีตอนนี้คือแทบจะฝืนยกมุมปากขึ้นไม่ไหวอีกต่อไป ลงลายมือชื่อของตัวเองแทบไม่ถูก รู้สึกไม่แตกต่างจากหุ่นยนต์ที่ถูกป้อนคำสั่งเอาไว้และมีหน้าที่คอยทำตาม

หญิงสาวสูดหายใจเข้าลึกอีกครั้งหลังการจรดปากกาตามตำแหน่งที่นายทะเบียนแจ้งเอาไว้ การลงลายมือชื่อเสร็จสิ้นลง ถิรมนอื้ออึงจนแทบจำรายละเอียดสิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นไม่ได้ทั้งหมด ทั้งตอนที่เดินลงมาจากเวที ถ่ายรูปคู่กับแขกในงาน ทุกอย่างดำเนินไปในแบบที่เลื่อนลอยเต็มทน

- * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * -

ถิรมนอยู่ในห้องที่ใช้เป็นเรือนหอเพียงลำพัง เธอขอตัวขึ้นมาทันทีเมื่อถ่ายรูปกับแขกทั้งหมดเรียบร้อย หันไปมองนาฬิกา อีกยี่สิบนาทีก็จะเที่ยงคืน ตอนนี้ได้แต่ยืนพิงกรอบหน้าต่าง กอดอกตัวเองราวกับปลอบขวัญ มองดูภาพเบื้องล่างด้วยหัวใจอันสับสน ตอนที่ขึ้นมาถึงห้องเธอไม่รอช้าที่จะอาบน้ำให้เรียบร้อยทันทีเพราะไม่มีฤกษ์ส่งตัว การได้ใบทะเบียนสมรสมาไว้ในมือถือว่าจบภารกิจ ลานหญ้าขนาดกว้างหน้าคฤหาสน์สุดหรูของปรมัตถ์ไอศูรย์เหลือแขกอยู่ประปราย ไม่เหมือนก่อนหน้านี้ที่คับคั่งหนาตา

ภาพถ่ายเก่าๆ ของเธอทั้งตอนเด็กและตอนโตที่ให้ไปปภาวีก่อนนั้นแท้จริงถูกนำไปขยายใหญ่ ตัดเอาเฉพาะภาพเดี่ยว มีกรอบขาวๆ ล้อมรอบ บางรูปของเธอสูงเกือบเท่าตัวจริง บางรูปเล็กกว่าตามความเหมาะสมแต่ก็มองเห็นได้ชัดเจน จัดวางเข้าตำแหน่งกับภาพเดี่ยวของปรมัตถ์ในลักษณะเดียวกัน ตัดแปะให้กอดกันบ้าง หอมแก้มบ้าง งอนและตามง้อกันบ้าง กว่ายี่สิบภาพ

หนึ่งในนั้นที่เห็นคือภาพเด็กชายหน้าตาราวสี่ขวบค้อมตัวลงหอมแก้มเด็กหญิงวัยสามขวบที่กำลังนั่งอยู่และเงยหน้าขึ้นมา เป็นจังหวะการวางภาพอาร์ตๆ น่ารักน่าเอ็นดู ไม่แสแสร้งด้วยการใช้โฟโต้ชอป แต่ให้รู้ว่าเป็นคนละภาพ ใช้การวางอย่างมีศิลปะ เพราะความจริงเธอกับเขาอายุห่างกันเจ็ดปี หรือแม้แต่ภาพถ่ายวันรับปริญญาของเธอที่เพิ่งผ่านพ้นไม่กี่สัปดาห์ก่อนก็ยังถูกฝ่ายออกแบบมาวางคู่กับภาพของปรมัตถ์ในชุดรับปริญญาเช่นเดียวกัน ให้แขนของเขาในภาพนั้นโอบกอดก้มลงหอมที่ศีรษะบนภาพเธอได้จังหวะพองาม

ต้องชื่นชมจากใจจริงว่าทำออกมาได้ดีทีเดียว แต่ส่วนลึกในใจเธอกลับขมขื่นสิ้นดี เพราะความจริงภาพพวกนี้คงนำมาประดับแบบฉิวเฉียดก่อนแขกจะมาร่วมงานไม่นาน นั่นก็เพราะการชะโงกลงไปข้างล่างครั้งสุดท้ายยังจำได้ว่าไม่เห็นภาพพวกนี้สักภาพหนึ่ง ถิรมนยิ้มเศร้า

ปรมัตถ์ยังอยู่ด้านล่างกับกลุ่มเพื่อน โบกไม้โบกมืออำลา ชุดทักซิโด้สีเข้มทำให้รูปร่างสูงใหญ่ของเขาโดดเด่นเป็นสง่า ความหล่อเหลาคมคายถูกขับเน้นดูดีอย่างที่สุด แต่สำหรับเธอแทบจินตนาการไม่ออกเมื่อต้องอยู่ด้วยกันสองคน จนป่านนี้ขาก็ยังสั่นไม่หาย ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะดูถูกดูแคลนไปถึงไหนต่อไหน เพราะแค่สายตาที่เขาใช้มองและสังเกตได้ทำให้ตัวเย็นเยียบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าโดยปรมัตถ์ไม่เอ่ยออกมาสักคำ

ไม่นานนักประตูเรือนหอถูกเปิดและปิดลง ถิรมนหันไปมอง ปรมัตถ์เดินเข้ามา เขามองเธอด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง แววตาว่างเปล่า ไม่มีรอยยิ้มให้แม้แต่น้อย เขาก้าวเดินช้าๆ อย่างมั่นคง ถอดเสื้อตัวนอกพาดไว้กับพนักพิงเก้าอี้ที่อยู่ใกล้สุด ปลดหูกระต่าย แกะกระดุมที่ปลายแขนเสื้อ ถกรั้งขึ้นมาจนเกือบถึงข้อศอก ตรงไปยังเตียงนอน ทอดตัวลงโดยไม่พูดอะไร

ถิรมนได้แต่มอง ปรมัตถ์หลับตา เหยียดขา ขยับตัวนอนให้ได้ตำแหน่งจนเต็มครึ่งหนึ่งของเตียง มือทั้งสองของเขาประสานไว้บนอก ดูเหมือนจะหลับไปทันทีทั้งที่ไม่กี่นาทีก่อนยังดูมีสติสัมปชัญญะครบถ้วน และขณะนี้ไม่มีอาการเหมือนเมื่อตอนอยู่ด้านล่างสักนิด เขากำลังทำอะไรกันแน่ เล่นสงครามประสาทกันอย่างนั้นหรือ

สิ่งที่เจอทั้งหมดทำให้สับสน เขาเป็นอะไร มีสิ่งใดอยู่ภายใต้กิริยาท่าทางที่เห็น พฤติกรรมของเขาที่แสดงออกมันน่าสงสัยไปหมด

- * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * -



สุชาคริยา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 11 ก.พ. 2557, 14:52:21 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 11 ก.พ. 2557, 16:41:33 น.

จำนวนการเข้าชม : 2679





<< บทที่ 1   บทที่ 3 (1/2) >>
OhLaLa 11 ก.พ. 2557, 16:00:29 น.
แบบว่า...บังเอิญ โลกกลม หรือพรหมลิขิตกันล่ะนี่ รอตอนต่อไปนะคะ คุณอ้อยไฟท์ติ้ง!!!


นักอ่านเหนียวหนึบ 11 ก.พ. 2557, 17:03:07 น.
เจ็บแค้นเคืองโกรธ โทษช้านนนไย
พี่มัตถ์ไม่รักน้องเหมือนเดิมแล้วหรือเคอะ กระซิกๆๆ


สุชาคริยา 11 ก.พ. 2557, 19:32:17 น.
@ OhLaLa = ทั้งบังเอิญ โลกกลม และพรหมลิขิตเลยค่ะ // ขอบพระคุณมากๆ ที่ติดตามค่ะ ^^

@ นักอ่านเหนียวหนึบ = สงสัยงานนี้พี่มัตถ์ทั้งรักทั้งเคืองเลยทีเดียวค่ะ ส่วนสาเหตุมาจากอะไร โปรดติดตามตอนต่อไปนะคะ ^^


supayalak 11 ก.พ. 2557, 21:48:07 น.
พลาดคอมเม้นต์ตอนแรก แต่ก็มาตอนสองนะเออ และจะมีตอนต่อๆ ไปด้วย พระเอกเรื่องนี้คนละแนวกะพระปิ่นเลยเนอะ ดูมั้นเกิ้นนนน แถมนางเอกก็มั่นงานนี้สนุกแน่ๆ ใช่ไหมค่ะ


แว่นใส 11 ก.พ. 2557, 23:27:22 น.
จะรู้เรื่องผลของความผิดพลาดไหม


สุชาคริยา 11 ก.พ. 2557, 23:48:04 น.
@ supayalak = ขอบพระคุณมากๆ ค่ะ ดีใจที่แว้บมาเม้นท์ มาบอกความคิดถึงผ่านตัวอักษรให้เห็น ^^ // เรื่องนี้ออกแนวตบจูบค่ะ คนละแนวกับพี่ปิ่นจริงๆ แต่หากจะได้สไตล์พักตร์อสูร คงต้องรอเรื่องนางเงาค่ะ แต่ยังไม่ได้กำหนดเขียนเพราะข้อมูลยังไม่พอค่ะ ^^

@ แว่นใส = ตอนแรกไม่ได้วางเรื่องนี้ไว้ค่ะ แต่ถ้าจะให้ผิดพลาด จะน้ำเน่าไปมั้ยน้อออ ^^


ใบบัวน่ารัก 12 ก.พ. 2557, 05:33:47 น.
เจ้าบ่าวมัวแต่ตามหาเจ้าสาวอะดิ
หรือโกรธที่ถูกจับคลุมถุงชน
เลิฟหนีเลยๆๆๆๆ
- รอนะว่าจะมาลงนิยายอีกไหม เป็นกำลังใจให้ตลอดๆๆนะ


saralun 12 ก.พ. 2557, 08:47:40 น.
เป็นกำลังใจให้ค่า ^^


แล่นแต๊ 12 ก.พ. 2557, 09:21:50 น.
ติดตามค่า


สุชาคริยา 12 ก.พ. 2557, 16:50:06 น.
@ใบบัวน่ารัก = 5555 เฮียมัตถ์มีสารพัดอารมณ์ค่ะ // ถ้าเขียนต้นฉบับได้เพิ่ม ก็คงมาลงเรื่อยๆ ค่ะ แต่คงไม่ลงจนถึงตอนจบ ส่วนจะลงได้สักกี่เปอร์เซ็นของเนื้อเรื่องอันนี้ต้องดูก่อนค่ะ เพราะต้นฉบับในมือก็มีแค่เท่าที่เห็น ยังไม่มีเวลาเขียนต่อเลยค่ะ กลัวนักอ่านจะคิดถึง เลยแว้บมาส่งข่าวก่อนค่ะ ^^

@saralun = ขอบพระคุณมากๆ ค่ะ ^^

@แล่นแต๊ = ขอบพระคุณงามๆ ค่ะ ^^


คิมหันตุ์ 13 ก.พ. 2557, 02:22:30 น.
ฮืยยยยยย!! ตอนเจอกันแอบเขินแทนอ่ะ "ถ้ารู้ว่าเป็นเธอ พี่จะมาให้เร็วกว่านี้ " แอร๊!!! แต่พอ มีรอยยิ้มเหยียดหยาม เอิ่มมมมมมมม!! ไม่ใช่แล้วสินะ โรแมนติกของเค้าหายแว๊บเลยคุณอ้อย ฮ่าฮ่า


chuwub 13 ก.พ. 2557, 22:45:16 น.
แอบลุ้นอยู่ว่าจะใช่มั้ยน้าาาา พระเอกของเรา ว่าแต่คุณมัตถ์ทำไมโหดจังเลย แอบยุให้หนูเลิฟหนีเลย ไม่ต้องอยู่แล้วบ้านนี้พระเอกเย็นชาจัง 555


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account