กุหลาบซ่อนเพลิง‏
เพราะพวกมันพรากชีวิตลูกเมียเขา

จึงเปลี่ยนเส้นทางชีวิตของสุจริตชนคนหนึ่งให้มุ่งหน้าสู่เพลิงโลกันต์

'ปภพ' ต้องชำระแค้นนี้ให้ได้ ต่อให้ต้องข้ามผ่านกี่ชีวิตคน

รวมทั้งชีวิตของเด็กสาวอย่าง 'อัมพิกา' ผู้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขศัตรู

กุหลาบแรกแย้มกำลังไหม้ไฟ ไฟที่เธอเต็มใจเข้าใกล้

แม้สุดท้ายทั้งกุหลาบและไฟอาจมอดไหม้เหลือเพียงเถ้าธุลี
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๕ สร้างศัตรู



ข่าวเพลิงไหม้ผับชื่อดังพาดหัวหราอยู่หน้าหนังสือพิมพ์กรอบบ่าย เนื้อหาข่าวกล่าวถึงการสันนิษฐานของเจ้าหน้าที่ที่ให้น้ำหนักกับสาเหตุไฟฟ้าลัดวงจร โดยมีคำให้สัมภาษณ์จากผู้จัดการร้านประกอบในเนื้อข่าว

ปภพกำหนังสือพิมพ์แน่น มันบังเอิญเกินไปที่จะเชื่อว่าเป็นอุบัติเหตุกับสิ่งที่เขาได้รับรู้จากเหตุการณ์เมื่อวาน นอกจากจะปักใจว่าเป็นฝีมือของเจ้านายเขานี่เอง หากเขาไม่ทราบแต่เพียงใครคือผู้ลงมือ จะเป็นคนเดียวกับที่ฆาตกรรมภรรยาและลูกเขาหรือไม่ ทางเดียวที่จะสาวไปถึงคงต้องอาศัยความไว้เนื้อเชื่อใจจากผู้เป็นนาย พาเขาเข้าไปในโลกอีกด้านของมัน

"เฮ้ยๆ เบามือเว้ย เดี๋ยวข้าจะตรวจหวยต่อ ขยำอย่างนั้นขาดหมดพอดี" เสียงร้องของเพื่อนร่วมโต๊ะอาหารเรียกสติเขากลับมา

"โทษทีลุง"

ชายหนุ่มวางคืนให้พลางยิ้มเก้อ เขามี 'คำพูน' เป็นเพื่อนกินข้าวเกือบทุกมื้อจนคุ้นเคยกับแก แล้วแกก็มักสอบถามถึงชีวิตทำงานยังต่างแดนบ่อยๆ คงเพราะคิดถึงลูกชายที่ไปทำงานเป็นช่างเชื่อมแถบนั้นเหมือนกัน

"เออ ผับนี้ของเพื่อนคุณท่านนี่หว่า ฉันเคยไปหนหนึ่ง"

ชายชราชี้ไปที่ภาพข่าวหน้าหนึ่ง ในรูปนั้นมีซากปรักหักพังของสิ่งก่อสร้างที่ถูกเพลิงไหม้ หลังคาทรงโดมหายหมด เหลือเพียงโครงร่างดำเป็นตอตะโก

"น่าเสียดาย ร้านเขาออกใหญ่โต แต่ก็อย่างว่าล่ะนะ คนรวย...เขาคงไม่เดือดร้อนเท่าไร"

"ลุงรู้จักหรือ" ปภพหยั่งเชิงถาม

"ไม่รู้ร้อก แหม ฉันจะไปรู้จักคนระดับนั้นได้ไง้ แต่เสี่ยจรัญเป็นคนรู้จักคุณท่าน ก็เคยได้ขับรถไปส่งท่านที่นั่นบ้างครั้งสองครั้งเอ๊ง" แกเล่าเสียงกระซิบพลางเหลือบตามองรอบๆ กลัวผู้อื่นได้ยิน

ก่อนคำพูนจะพ่นลมหายใจออกทางจมูกเมื่อเห็นคนงานคู่รักสองคนเดินมาทางนี้ด้วยกัน

"มาอีกละ ไปเว้ย ไปล้างรถกันดีกว่าปภพ"

ชายหนุ่มลุกตามไปเก็บจาน เขาไม่อยากอยู่ฟังคำกระแนะกระแหนผู้อื่นของสองคนนี้เหมือนกัน และคิดว่าผู้อาวุโสในบ้านนี้คงมีเรื่องเล่าต่างๆ ที่อาจเป็นประโยชน์กับตน มากกว่าชีวิตประจำวันอันเหลวแหลกของเด็กสาวที่คนพวกนั้นนำมาพูดกันสนุกปาก

................................

ปภพใช้เวลาว่างในวันหยุดของตนช่วยชายชราล้างรถในโรงจอดจนขึ้นเงา ทั้งที่ไม่ใช่หน้าที่ของเขา หากก็ดีกว่าหมกมุ่นกับความสับสนในใจ

พ่อเลี้ยงเรืองเดชมีคุณสมบัติครบถ้วนให้ลูกน้องเคารพยำเกรง มีทั้งพระเดช พระคุณ เขาพบว่ายิ่งได้ร่วมงานด้วยก็ยิ่งยากจะปฏิเสธความจงรักภักดีได้ ไม่แปลกใจที่ผู้ติดตามใกล้ชิดทั้งสมหมายและยอดธงจะทำงานชนิดถวายหัว ยากถ้าจะหวังได้ยินคำบ่นแม้คำน้อย

"โห ดีจังเลย มีคนล้างรถให้ซะใหม่เอี่ยม" เสียงทักดังกลั้วหัวเราะหยุดมือที่กำลังเช็ดขัดล้อชะงัด "พอแล้วล่ะ พอแล้ว คุณหนูของฉันจะไปข้างนอกแล้ว"

"น้อยๆ หน่อยเว้ยไอ้พงษ์ ขอบคุณน่ะพูดเป็นไหม" ชายชราท้วงอย่างไม่พอใจ

ปภพลุกยืนพลางเก็บข้าวของ เขาเดินไปหมุนก๊อกน้ำหัวทองเหลืองล้างมืออย่างคร้านจะใส่ใจเก็บมาเป็นอารมณ์

"ลุงเช็ดคนละคันไม่ใช่เหรอ คนทำเขายังไม่ทวงบุญคุณเลย" มันว่าพร้อมแสยะยิ้ม

พงษ์ศักดิ์เปิดตู้เก็บกุญแจหากุญแจรถที่ตนขับทว่าไม่เจอ มันหันขวับมองชายชราก็เห็นแกยิ้มเยาะอยู่พลางทำท่าจะเดินหนีไปล้างมืออีกคน

"นี่ลุง"

มันเดินไปกระชากเสื้อผู้อาวุโสจนร่างผอมบางเซแซ่ด ปภพรีบก้าวมาขวาง แกะมือนั้นออกแรง

ชายหนุ่มเปลี่ยนมาชี้หน้าตาแก่ "ก็บอกให้มันคืนกุญแจมาสิ ทำไมลุง มีปัญหากับฉันมากนักเหรอ สังเกตมาหลายทีแล้วนะ"

"ใครจะกล้ามีปัญหากับแก๊ ใหญ่ซะขนาดนี้..." คำพูนโต้กลับ

"เออ รู้ไว้ก็ดี เอากุญแจกูคืนมา"

"กูไม่ได้เอาไปโว้ย"

ปภพรั้งแขนเตือนผู้สูงวัยให้เลิกยุ่งกับมัน แต่ก็ไม่ทันการณ์เมื่อร่างล่ำสันปรี่เข้ามาจะเอาเรื่อง เขารีบเอาตัวมาขวางแกไว้ก่อนหลบหมัดซึ่งโฉบมาได้ทัน

"หยุด!" เสียงแหลมออกคำสั่งพลางรีบวิ่งตรงมา

อัมพิกามองบุรุษสามคนสลับกัน แล้วจึงหยุดนานที่ใบหน้าคมคร้ามที่หวิดโดนหมัดลุ่นๆ ดวงตาคู่งามฉายแววไม่พอใจตวัดใส่ทุกคน

"นี่มันเรื่องบ้าอะไร" เธอถามอย่างโกรธจัด

เธออุตส่าห์แต่งตัวแต่งหน้า ลงมาจากห้องแอร์หมาดๆ ต้องมาร้อนทั้งกายทั้งใจเพราะคนพวกนี้

"ก็ลุงนี่สิครับคุณอ้อม มันเอากุญแจรถไปซ่อน ผมเลยเอารถออกไม่ได้" พงษ์ศักดิ์อธิบายพลางก้าวมายืนข้างคุณหนูและคนรักตน

"ลุงคำจะทำอย่างนั้นทำไม" เธอถามห้วน

"ก็เพราะมันอิจฉาผมที่เป็นคนโปรดของคุณหนูกระมัง" มันได้ทีประจบ

สร้อยสะกิดแขนคนรักขี้คุย รู้ดีว่าเด็กสาวไม่ชอบคำป้อยอเกินจริง โดยเฉพาะจากคนที่เจ้าหล่อนดูถูกว่าต่ำชั้นกว่า แล้วก็เป็นดังคาดเมื่อดวงตาฉายแววรังเกียจเดียดฉันท์ตวัดมองมา

"ฉันบอกนายตั้งแต่เมื่อไร"

พงษ์ศักดิ์หน้าจ๋อยลง หากยังไม่วายอ้อมแอ้มยืนยันว่าชายชราเป็นผู้เอากุญแจไป

"ฉันเกลียดเรื่องไม่เป็นเรื่องที่สุด ถ้าค้นตัวไม่เจอ นายคงรู้นะว่าจะเกิดอะไรขึ้นที่ทำให้ฉันต้องหงุดหงิดรำคาญ" เธอบอกอย่างหัวเสีย

พงษ์ศักดิ์อ้าปากเหวอ คาดไม่ถึงว่าการณ์จะกลับกลายมาเป็นแบบนี้ แทนที่เธอจะเข้าข้างคนของตัวเอง นาทีนี้เขาก็ชักไม่มั่นใจว่ากุญแจนั่นจะอยู่กับตาแก่จริงหรือเปล่า หรือตนไปลืมทิ้งไว้ที่ไหนเอง

"ปภพ ค้นตัวลุงคำ" อัมพิกาสั่งเด็ดขาด

ปภพจำต้องทำตาม เขาตบไปตามตัวผู้สูงวัยโดยที่แกยกมือให้ค้นโดยดี ทำเช่นนี้เรื่อยมาจนถึงกระเป๋ากางเกง มือหนารู้สึกถึงบางสิ่งตุงอยู่ในนั้น เขาเหลือบตามองชายชราก็เห็นแกมองตอบมาพอดี

"ไม่มีครับ" ชายหนุ่มปด

ถ้าให้เลือกใครสักคนที่ควรอยู่ต่อในบ้านหลังนี้ เขาก็ขอเลือกคนที่ดีกับตนไว้ก่อน

เด็กสาวกอดอกพลางหันมองคนขับรถที่เพิ่งมาทำงานได้เป็นวันที่สอง รอยยิ้มเยาะจุดที่มุมปากอย่างหยามเหยียด

"พาแฟนเธอไปพบคุณวิเชียรซะ แล้วอย่าให้ฉันเห็นหน้าสอพลอของมันอีก" เธอกล่าวทิ้งท้ายก่อนกลับขึ้นบ้านไป หมดอารมณ์ออกไปข้างนอกแล้ววันนี้

คำพูนถอนใจปลงกับเรื่องที่บานปลายไปใหญ่ จากที่ตั้งใจแกล้งมันด้วยความหมั่นไส้กลายเป็นต้องทำให้คนคนหนึ่งตกงาน แกปรายตาสำนึกผิดไปยังชายหนุ่ม เอ่ยขอบคุณเมื่ออยู่กันตามลำพัง ขอบใจที่เขาช่วยให้คนที่ไปจากบ้านนี้ไม่ใช่ไม้ใกล้ฝั่งอย่างแก

ปภพไม่มีคำถามหรือต่อว่าสักคำ หากเขารู้ว่าภาระหน้าที่ที่ว่างเปล่าลงคงไม่พ้นเป็นภาระเขาอีกครา

..............................

จากเหตุเพลิงไหม้ผับชื่อดังเมื่อวันก่อน เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้มาสอบปากคำผู้ที่ถูกซัดทอดถึงบ้าน หากไม่มีใครในบ้านนี้ร้อนใจกับการเยี่ยมเยียนนั้นสักคน ทุกคนดูจะคุ้นชินและเตรียมการต้อนรับอย่างดี

ห้องรับแขกติดเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำมีเจ้าของบ้านในชุดเสื้อโปโลลำลองนั่งไขว่ห้างรอ ลูกน้องคู่ใจคนใหม่ยืนเยื้องหลังไป ระหว่างที่วิเชียรเป็นผู้เชิญสารวัตรสอบสวนเข้ามา

"สวัสดีครับท่าน"

นายตำรวจในเครื่องแบบยืนตรงตะเบ๊ะ โดยมีนายตำรวจยศน้อยกว่าซึ่งตามเข้ามาปฏิบัติตาม ผู้ทรงอิทธิพลรับไหว้พลางผายมือเชิญให้นั่ง พ่อเลี้ยงเรืองเดชกระแอมเล็กน้อยขณะสาวใช้ลำเลียงของว่างและเครื่องดื่มมารับรอง

"ขอโทษนะสารวัตรที่ไม่ได้ไปให้ปากคำด้วยตัวเอง พอดีเจ็บคอนิดหน่อย"

"ไม่เป็นไรครับ ผมมาขอข้อมูลท่านจากคดีที่ผับของเสี่ยจรัญเกิดเพลิงไหม้ตามที่ได้สืบพยานมาหลายปาก เพราะทราบว่าท่านไปที่นั่นบ่อยเหมือนกัน"

"หมายความว่าสารวัตรสงสัยผมหรือ" เรืองเดชย้อนถามอย่างแปลกใจ ก่อนหัวเราะขันเหมือนรับฟังเรื่องไร้สาระที่ไม่มีวันเกิดขึ้นจริง ไก่ออกลูกเป็นกบอย่างไรอย่างนั้น "ผมจะทำเพื่ออะไร ผมสิน่าเห็นใจ ที่นั่นวายวอดอย่างนั้น แล้วเมื่อไรเสี่ยจรัญจะใช้หนี้ผมหมด"

นายตำรวจใหญ่คลี่ยิ้มพลางหัวเราะน้อยๆ เช่นกัน

"ตัวผมก็เพียงสอบถามตามหน้าที่เท่านั้น ถ้าไม่ทำก็ผิดอีก ท่านคงเข้าใจ" เขาออกตัว

ผู้อาวุโสกว่าโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ "ผมเข้าใจ๊ เราเจอกันบ่อยๆ อยู่แล้วนี่ อย่าเกรงใจไปเลย ว่าแต่สนามเด็กเล่นในแฟล็ตตำรวจเรียบร้อยดีนะ หมู่ จ่า ลูกๆ ชอบกันไหม"

ตำรวจชั้นผู้น้อยรีบรับคำพร้อมกับตะเบ๊ะขอบคุณ

ปภพรู้แล้วว่าทำไมคดีต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับชายผู้นี้ถึงไม่เคยมัดตัวมันได้เลย ไม่ใช่เพียงพ่อเลี้ยงเรืองเดชจะมีสายสัมพันธ์อันดีกับตำรวจเท่านั้น แต่ยังรู้จักสร้างบุญคุณให้ผู้น้อยเคารพนบนอบ

นานวันเขาก็ยิ่งมองไม่เห็นช่องทางใดจะทลายกำแพงความรักความศรัทธาที่ผู้คนมีต่อผู้ทรงอิทธิพลคนนี้ได้เลย นอกจากตัวเขาเอง!
.............................


"บ้าฉิบ... ไอ้จรัญมันกล้าให้การกับตำรวจว่าสงสัยฉันเรอะ" เสียงสบถห้วนจัดทันทีที่ลับร่างนายตำรวจทั้งสามออกไป

ร่างท้วมสมวัยลุกไปรินเหล้าจากขวดแก้วบนโต๊ะมุมห้อง ก่อนกระดกลงคอเพียวๆ ดับไฟโทสะ ปภพต้องอ้อมไปหลังเคาน์เตอร์ไม้ซึ่งปูชั้นวางของด้วยหินอ่อน เขาชงเครื่องดื่มให้ตามหน้าที่

"นายด้วยสิ อย่าปฏิเสธ" อีกฝ่ายยกแก้วทรงเตี้ยรอ

ชายหนุ่มรินสุราเพียวๆ ให้ตนเอง ค้อมศีรษะเล็กน้อยขณะยื่นแก้วชนกับท่าน ต่างฝ่ายต่างยกดื่มด้วยความอัดอั้นตันใจต่างกันไป

พ่อเลี้ยงเรืองเดชไม่เคยแบ่งชั้นระหว่างตนกับลูกน้อง ทำให้ได้ใจคนที่ทำงานให้ รวมทั้งทัศนคติที่ค่อยๆ เปลี่ยนไปของปภพเช่นกัน

เสียงเคาะประตูดังขึ้นขัดห้วงความคิดแต่ละฝ่าย เจ้าบ้านเอ่ยอนุญาตด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายเต็มที

"ขออนุญาตค่ะ มีคนมาขอพบท่าน" สาวใช้รายงานเกรงๆ

"ใคร"

"ชื่อสุพจน์ค่ะ เขาบอกว่าท่านรู้จัก"

เรืองเดชวางแก้วกระแทกดังทันทีที่ได้ทราบว่าใครมารอพบตน มันกล้าดีอย่างไรมาหาเขาถึงนี่ ทั้งที่เขาไม่ได้นัดและไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับมันสักนิด เขานึกถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เพิ่งลากลับไป หากพบหมอนั่นระหว่างทางเรื่องคงไม่แคล้วยุ่งยากกว่าเดิม

"ให้มันไปรอข้างสระ"

ปภพนึกฉงนกับท่าทางหัวเสียนั้น เขาตามผู้เป็นนายออกไปตามหน้าที่ กระทั่งเห็นบุรุษร่างเล็กที่เพิ่งพบเป็นครั้งแรกเมื่อคืนวานยืนรออยู่ริมสระว่ายน้ำ ก็ถึงบางอ้อทันทีว่าทำไมเจ้าของบ้านจึงได้ร้อนใจ

เขานึกแล้วไม่ผิดว่านายตนต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุเพลิงไหม้ และผู้จัดการสุพจน์ที่ดั้นด้นมาพินอบพิเทาถึงที่นี่คือเครื่องยืนยันอย่างดี

"มาให้ตำรวจจับหรือไง มันเพิ่งกลับไปเมื่อกี้" พ่อเลี้ยงถามฉุน

"โธ่ท่าน ตำรวจหน้าไหนก็คนของท่านทั้งนั้นนี่ครับ"

"ฉันไม่ชอบทำงานกับคนประมาท รู้ไว้" เขาเอ็ดพลางขึงตาใส่

สุพจน์หดคอจนย่นเป็นชั้นด้วยความยำเกรง ท่าทางเจนจัดอย่างคนทำงานกลางคืนหมดไปราวคนละคน

"มีอะไรก็ว่ามา" เรืองเดชเปิดช่องตัดรำคาญ มันจะได้ไปจากที่นี่เสียที

"แฮ่ ก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ ผมแค่มาสอบถามให้แน่ใจว่าท่านจะรับผมเข้าทำงานด้วยเมื่อไร เพราะผับของเสี่ยก็ปิดทำการไปแล้ว แกขี้เหนียวอย่างนั้น เงินประกันร้านจะแบ่งให้ลูกน้องที่ต้องตกงานหรือเปล่าไม่รู้" ลูกน้องทรยศรีบสอพลอ

นี่มันคงคิดจะบีบเขากระมัง ผู้มากด้วยอิทธิพลยังไม่คลายความโกรธแต่ก็ต้องระงับไว้ด้วยการกำมือแน่น กัดฟันสั่งลูกน้องตนออกไปพร้อมกับพยายามสงบสติอารมณ์

"ไปเอาเงินในเซฟฉันซิปภพ เอามาทั้งคลิปหนีบนั่นแหละ"

ชายหนุ่มรับคำสั่ง เขากลับเข้าบ้านไปตามทางเดินไปห้องทำงาน ที่ซึ่งตู้นิรภัยตั้งอยู่บนชั้นหลังโต๊ะทำงานเจ้าของที่นี่นั่นเอง คุณวิเชียรแปลกใจที่เห็นเขาคราแรก แต่เมื่อทราบจุดประสงค์ บุรุษวัยกลางคนก็ลุกไปไขกุญแจให้ ของมีค่าต่างๆ ภายในอวดสู่สายตา

ธนบัตรสีเทาเป็นปึกพับไว้เกินพื้นที่ครึ่งหนึ่งของตู้ ที่อยู่บนสุดมีตัวหนีบซึ่งทำจากทองคำหนีบเงินปึกหนากว่าหนึ่งนิ้วไว้ ข้างกันเป็นอาวุธปืนสั้นหล่อด้วยทองเช่นกัน ปภพตอบตัวเองไม่ได้ว่ารู้สึกอย่างไร ระหว่างริษยาที่มันมีเงินเหลือใช้ขนาดนำไปแปรเปลี่ยนเป็นของฟุ่มเฟือยเหล่านี้ ทั้งที่เงินเหล่านี้ต้องแลกมาด้วยความสูญเสียของอีกหลายคน หลายครอบครัว หรือริษยาที่พวกเขาทำดี ทำงานหนักมาทั้งชีวิต หากก็ไม่เคยได้ผลตอบแทนยิ่งใหญ่เช่นนี้เลย ไม่ว่าจะเงินตรา หรือการยอมรับของสังคมที่ปลาใหญ่กินปลาเล็กเสมอ

เขาต้องสูญเสียบ้าน ที่ทำกิน เพื่อกู้หนี้ยืมสินจากนายทุนไปทำมาหากินเมืองนอก แทนผืนดินแห้งแล้งบนบ้านเกิดตน แต่ก็เหมือนทำงานใช้หนี้ที่กู้เขามา เงินส่วนที่เหลือเลี้ยงครอบครัวกลายเป็นเงินส่วนน้อย พอหนี้สินลดลงจะทำงานเก็บเงินได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย คนที่เขาหวังก่อร่างสร้างตัวให้สุขสบายก็มาด่วนจากไปกะทันหัน ด้วยน้ำมือของผู้ที่ตำรวจไม่มีวันสาวถึง ผู้ที่ทำชั่วมาทั้งชีวิต แต่สังคมก็หลับตาข้างเดียวกราบไหว้

ชายหนุ่มไม่ทันรู้ตัวว่าเขาเดินกำเงินปึกนั้น พร้อมกับจุดประสงค์ของชีวิตซึ่งไม่มั่นคงอีกต่อไป

......................................

‘สิ่งจำเป็นอย่างหนึ่งตามหน้าที่ที่ต้องดูแลคนอื่นคือการดูแลตัวเอง'

คำพูดที่สมหมายบอกเขาเมื่อเส้นทางการแก้แค้นหักเหกลายมาเป็นผู้คุมกันคนร้ายเสียเอง ปภพคิดตามแล้วก็ได้เห็นจริงตามนั้น เขาจึงตื่นมาวิ่งแต่เช้าเช่นที่ทั้งยอดธงและสมหมายปฏิบัติเป็นกิจวัตรประจำวัน

ร่างสูงใหญ่ในแจ๊คเก็ตผ้าร่มแขนยาว รูดซิปมิดชิดราวนักมวย วิ่งเหยาะมาตามทางลาดขึ้นเขาหลังกำแพงบ้าน ก่อนเขาจะเปิดรั้วเล็กเข้าไป คนงานหลังบ้านหยิบจับงานกันขวักไขว่ ต่างจากตอนเช้ามืดที่เขาออกไป

ชายหนุ่มกลับเข้าห้องเพื่อเตรียมชุดเสื้อผ้าสำหรับผลัดเมื่ออาบน้ำ เขาว่าจะเข้าเมืองสักหน่อย เพราะสัปดาห์หนึ่งเขาจะมีวันว่างสักวันหนึ่ง จากกะซึ่งหมุนเวียนไปในแต่ละวัน

ทว่าทันทีที่ย่างเท้าออกจากห้องน้ำ ก็มีคนรอทำลายความตั้งใจในวันนี้ของเขาเสียแล้ว

"พี่ เดี๋ยวขับรถให้คุณหนูด้วยนะ" พี่เลี้ยงสาวดักรอบอกก่อนเดินหนีโดยไม่รอคำตอบ

เจ้าหล่อนคงคิดว่าเขามีส่วนทำให้คนรักถูกไล่ออก ท่าทีที่มีต่อเขาจึงเปลี่ยนไป ปภพลอบถอนหายใจ ไม่ใช่เพราะเสียดายหรือผิดหวัง แต่เสียอารมณ์ที่แผนการวันนี้ของตนต้องชะงักไป

เขาไม่ได้เปลี่ยนเป็นชุดซาฟารีตามหน้าที่คนขับ ด้วยคืนมันไปให้คุณวิเชียรหมดแล้วนับแต่เปลี่ยนงาน ชายหนุ่มสวมชุดลำลองสำหรับวันหยุดอันได้แก่เสื้อยืดสีกรมท่ากับกางเกงยีนส์สีดำ หากคุณหนูเรื่องมากรับไม่ได้ก็ตัวใครตัวมัน

คนขับรถจำเป็นไปติดเครื่องจากโรงจอดมารอหน้าบ้านเช่นทุกครา มองเวลาเช้าตรู่แล้วก็ให้แปลกใจว่าเจ้าหล่อนตื่นไปไหนแต่เช้า กระทั่งเห็นเด็กผู้หญิง ใช่... เด็กผู้หญิงในชุดนักเรียนเดินลงบันไดมา

ราวกับเธอเป็นคนละคนกับเด็กสาวสุดเปรี้ยวที่มักมีแต่เสื้อแขนกุดกับกางเกงขาสั้นปกปิดร่างกาย อัมพิกาในเครื่องแบบนักเรียนเหมือนเด็กผู้หญิงธรรมดา ไม่มีพิษมีภัยคนหนึ่ง บนใบหน้ามีเพียงแป้งบาง ผมสีน้ำตาลเข้มรวบไว้เป็นหางม้า ผูกด้วยริบบิ้นสีน้ำเงิน

กว่าจะรู้ตัวว่าเผลอจ้องเธอนานเกินไป อีกฝ่ายก็มองมาอย่างรู้ตัว เธออยากโกรธเขาที่กล้าทิ้งเธออย่างไร้เยื่อใยเมื่อหลายวันก่อน แต่ก็กลับดีใจที่เป็นเขาขับรถให้เธอ

ไม่ต้องรอให้บอกที่หมาย ปภพก็รู้ว่าจะไปส่งนักเรียนได้ที่ไหน ครั้นเห็นเด็กสาวบนเบาะหลังไม่ได้เสียบหูฟังเพลงดังเคย เขาจึงกดเปิดวิทยุบนคอนโซลรถแทน

เสียงเพลงลูกทุ่งดังแทนที่คลื่นเพลงสากล คุณหนูหัวนอกกลั้นหัวเราะไว้ได้ กระนั้นก็ยังอมยิ้มแก้มตุ่ย เธอมองเขากดไล่หาคลื่นโปรดของเธออย่างทุลักทุเล อีกมือจับพวงมาลัย ตาก็เหลือบมองถนนไปด้วย ร่างบางจึงยื่นมือ โน้มข้ามเบาะไปช่วย แขนซึ่งใหญ่กว่าเธอเกินเท่าหนึ่งชักกลับแทบไม่ทัน

"ไม่ต้องกลัวผิวขาวๆ ของฉันจะตกใส่ผิวดำๆ ของนายหรอก" เธอว่าอย่างหมั่นไส้ ก่อนทิ้งตัวลงนั่งเหมือนเดิมเมื่อเปลี่ยนคลื่นสำเร็จ "ว่าแต่นายจะไปไหนต่อหรือไงถึงแต่งตัวแบบนี้ ไม่ต้องตามก้นพ่อฉันเหรอ"

คนฟังหน้าม้านกับวาจาระคายหู เขากัดฟันตอบ "ผมหยุด"

"งั้นฉันก็รบกวนวันพักผ่อนของนายน่ะสิ"

"ทำนองนั้น"

อัมพิกาเม้มปากไม่พอใจ ครั้นเขามองผ่านกระจกมองหลังมาอย่างเยาะๆ เธอก็เจ็บใจประหลาด มันไม่ใช่แค่เรื่องของโทสะ โมหะ แต่เธอน้อยใจและรังเกียจตัวเองลึกๆ ที่แม้แต่คนขับรถไม่มีอะไรยังดูถูกเธอ มองเธอราวกิ้งกือ ไส้เดือน

พอกันที... เธอไม่เคยให้ความสำคัญกับคนที่ไม่เห็นค่าตนอยู่แล้ว มีคนมากมายที่พร้อมยอมลงให้เธอ ผู้ที่ห้อมล้อมหวังผลประโยชน์พวกนั้นไม่มีใครกล้าหือกับเธอสักคน แล้วจะเป็นไรไปตราบใดที่เธอมีผลประโยชน์ให้พวกมันหวังได้ถึงชาติหน้าเสียด้วยซ้ำ เด็กสาวคิดตื้นๆ หุนหันตามวัย
............................

ตอนนี้ ดูเหมือนความตั้งใจแก้แค้นแต่แรกของปภพจะถูกเรื่องอื่นดึงความสนใจไปแล้วค่ะ
ฝากติดตามต่อไปด้วยนะคะ



ภาพิมล_พิมลภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 ก.พ. 2557, 11:10:55 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 ก.พ. 2557, 11:10:55 น.

จำนวนการเข้าชม : 1197





<< บทที่ ๔ คนของพ่อเลี้ยง   บทที่ ๖ ความห่วงใย ***มีภาพปกมาฝากค่า*** >>
แว่นใส 16 ก.พ. 2557, 15:38:49 น.
เด็กไปไหมเนี่ย


ภาพิมล_พิมลภา 16 ก.พ. 2557, 23:32:38 น.
คุณแว่นใส - หมายถึงอ้อมใช่ไหมคะ อิอิ เธอยังเอาแต่ใจอยู่มากค่ะ แล้วก็กำลังเล่นกับไฟด้วย


ปริยาธร 22 ก.พ. 2557, 00:21:38 น.
เรื่องนี้จะลงถึงตอนที่เท่าไหร่คะ


ภาพิมล_พิมลภา 22 ก.พ. 2557, 16:46:07 น.
พี่นุ้ย - คงใกล้ถึงวันวางแผงค่ะ ซึ่งแพรวก็ไม่รู้เหมือนกัน แหะๆ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account