กุหลาบซ่อนเพลิง
เพราะพวกมันพรากชีวิตลูกเมียเขา
จึงเปลี่ยนเส้นทางชีวิตของสุจริตชนคนหนึ่งให้มุ่งหน้าสู่เพลิงโลกันต์
'ปภพ' ต้องชำระแค้นนี้ให้ได้ ต่อให้ต้องข้ามผ่านกี่ชีวิตคน
รวมทั้งชีวิตของเด็กสาวอย่าง 'อัมพิกา' ผู้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขศัตรู
กุหลาบแรกแย้มกำลังไหม้ไฟ ไฟที่เธอเต็มใจเข้าใกล้
แม้สุดท้ายทั้งกุหลาบและไฟอาจมอดไหม้เหลือเพียงเถ้าธุลี
จึงเปลี่ยนเส้นทางชีวิตของสุจริตชนคนหนึ่งให้มุ่งหน้าสู่เพลิงโลกันต์
'ปภพ' ต้องชำระแค้นนี้ให้ได้ ต่อให้ต้องข้ามผ่านกี่ชีวิตคน
รวมทั้งชีวิตของเด็กสาวอย่าง 'อัมพิกา' ผู้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขศัตรู
กุหลาบแรกแย้มกำลังไหม้ไฟ ไฟที่เธอเต็มใจเข้าใกล้
แม้สุดท้ายทั้งกุหลาบและไฟอาจมอดไหม้เหลือเพียงเถ้าธุลี
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: บทที่ ๖ ความห่วงใย ***มีภาพปกมาฝากค่า***
๖
ปภพตัดสินใจจอดรถหรูไว้ริมทางในซอยข้างโรงเรียน ขณะตัวเขาเองเดินไปวัดที่ใกล้ที่สุดเพื่อทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ที่จากไปครบเดือน
ภายในอาณาบริเวณวัดร่มรื่นด้วยร่มไม้สีเขียว เพียงย่างเท้าเข้ามาก็รู้สึกได้ถึงสายลมเย็นจากธรรมชาติ พาให้จิตใจสงบ มีชาวบ้านขายอาหารสำหรับใส่บาตรอยู่ยังลานวัด มีทั้งถังสังฆทานและนกปลาสำหรับปล่อยขายเช่นกัน
ชายหนุ่มเดินตามทางไปกระทั่งถึงพระอุโบสถซึ่งมีกลิ่นอายของสถาปัตยกรรมล้านนา หลังคาเป็นชั้นอ่อนช้อยงดงาม ภายในปูด้วยเสื่อผืนใหญ่ มีพระประธานองค์ใหญ่ประดิษฐานอยู่กึ่งกลาง มีพระพุทธรูปปางต่างๆ รายล้อม ด้านหน้าเป็นโต๊ะหมู่บูชาซึ่งมีกระถางทองเหลืองเก่าจนสีคล้ำสำหรับปักธูปตั้งอยู่
ปภพพนมมืออธิษฐานจิตถึงผู้ที่จากไป ขอให้ลูกและภรรยาได้รับรู้ถึงพลังใจของเขาที่ส่งให้คนทั้งสองแทบทุกลมหายใจ เขาขอสาบานต่อหน้าพระประธานว่าจะแก้แค้น จะทำให้มันเจ็บยิ่งกว่าที่ลูกเมียเขาต้องทรมาน ดวงตาคมกล้าฉายแววมุ่งมั่น ก่อนเขาจะปิดเปลือกตาลงพลางก้มกราบกับพื้นด้านหน้านั้นเอง
ชายหนุ่มสวมรองเท้าหน้าประตูพระอุโบสถ เขาเดินกลับไปซื้อชุดสังฆทานซึ่งห่อด้วยกระดาษแก้วจากแม่ค้า แล้วจึงเดินขึ้นศาลาโล่งที่มีเพียงเสาหลังคาแปดต้น พระสงฆ์รูปหนึ่งนั่งขัดสมาธิบนพื้นไม้ขัดมันยกสูง คอยให้ศีลให้พรญาติโยมที่มาทำบุญ ร่างสูงใหญ่คลานเข่าไปก้มกราบเบื้องหน้าหลวงพ่อชราภาพ ก่อนนั่งทับปลายเท้า พนมมือจรดอก ไม่มีใครบนศาลานอกจากเขาและท่านลำพัง
"เจริญพร" เสียงแหบแห้งอำนวยพร พระสงฆ์องค์เจ้าถามอย่างมีเมตตา "จะถวายสังฆทานใช่ไหม มา เขยิบมา"
ปภพคลานเข่าไปใกล้ท่าน พร้อมกับเสียงบอกขั้นตอนปฏิบัติมาอีก
"อธิษฐานถึงผู้ล่วงลับนะโยม แล้วว่าตามอาตมา"
ชายหนุ่มว่าตาม ในใจก็นึกถึงลูกรัก เมียรัก ที่เขาตั้งใจอุทิศส่วนกุศลให้ ไม่ว่าทั้งสองจะอยู่ในภพภูมิไหน ขอให้สมพรกับลูกได้รับ เกิดมาชาติหน้าฉันใดขอให้ได้กลับมาเป็นครอบครัวเดียวกันอีก แล้วเขาสัญญาว่าจะดูแลอย่างดีด้วยชีวิต ไม่ให้ต้องเจอวิบากกรรมเลวร้าย ทุกข์ทรมานเหมือนชาตินี้
น้ำตาลูกผู้ชายรื้นคลอขณะถวายสังฆทาน เขาพนมมือเมื่อท่านพรมน้ำมนต์
"ทำใจให้สบายเถิดโยม เขาไปสบายแล้วนะ" พระสงฆ์องค์เจ้าเตือนสติราวนึกรู้
"แต่เขาทรมานมากครับหลวงพ่อ ผมทำใจไม่ได้จริงๆ" เขาตอบอย่างอัดอั้นตันใจ
"มันเป็นกรรมของเขา โยม เราทุกคนเกิดมามีกรรมของตัว ชาตินี้เขาหมดกรรมแล้ว ก็เหลือแต่เรานี่ล่ะนะที่ต้องอยู่ใช้กรรม"
ปภพหลุบตามองพื้น คำพระเหมือนท่านล่วงรู้ใจเขาว่าคิดทำการใด แต่ก็สายไปเสียแล้วเมื่อเขามาไกลถึงเพียงนี้ เขาคงบาปหนาเกินกว่าจะกลับตัวได้ทัน
ชายหนุ่มก้มกราบอีกครั้ง ก่อนคลานเข่าถอยไปเมื่อญาติโยมซึ่งมากันครอบครัวใหญ่ขึ้นศาลามา โดยไม่รู้ว่ามีสายตาแสดงความห่วงใยของผู้ทรงศีลมองตามพลางถอนหายใจ
......................................
คนขับรถหนุ่มเดินเกร่อยู่ภายในเมืองไม่ใกล้ไม่ไกลโรงเรียนที่ตนจอดรถไว้ รอเวลารับนักเรียนกลับพร้อมกันทีเดียว
ปภพแวะธนาคารเป็นที่สุดท้ายหลังทานก๋วยเตี๋ยวข้างทาง เขาโอนเงินเดือนก้อนแรกแบ่งไปใช้หนี้ที่กู้ยืมมาเป็นค่านายหน้าไปทำงานต่างแดน เหลือติดตัวเพียงค่าใช้จ่ายจำเป็นเท่านั้น ไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมสมหมายจึงมีเงินส่งเสียค่าเล่าเรียนน้องหลายคนทุกเดือน เมื่อเขามาทำงานเพียงเดือนแรกก็ได้รับเงินเดือนเทียบเท่ากับที่เสียค่านายหน้าหลักแสนเพื่อไปทำงานยังประเทศตะวันออกกลาง
ชายหนุ่มตัดสินใจกลับไปรอที่รถเมื่อมองนาฬิกาและเห็นว่าใกล้เวลานักเรียนเลิก ร่างสูงใหญ่ยืนรอบนพื้นถนนเพื่อข้ามไปอีกฝั่ง กระทั่งรถจักรยานยนต์คันหนึ่งพุ่งตรงมาโดยไม่มีทีท่าจะหักหลบ เขาต้องกระโดดถอยไปก้าวใหญ่ ก่อนมันจะหันมามองลอดหมวกนิรภัยพลางเร่งเครื่องใส่ รูปร่างสันทัดและแววตานั้นคุ้นตายิ่งนัก หากก่อนที่เขาจะคิดออกว่าเป็นใครมันก็ขี่รถจากไป
เขาสบถในใจ มั่นใจว่านี่ต้องไม่ใช่เรื่องกลั่นแกล้งด้วยความคึกคะนองเป็นแน่ ท่าทางหันมาจ้องอย่างอาฆาตนั้นแสดงว่ามันต้องมีปัญหาส่วนตัวกับเขา ติดที่เขานึกไม่ออกว่ามันเป็นใคร
ปภพอดนึกถึงเด็กหนุ่มที่เขาเคยไว้ชีวิตไม่ได้ หรือจะเป็นมันที่ต้องการข่มขู่ แก้แค้นเขา แต่อีกใจก็กลับคิดว่าไม่ใช่... หมอนั่นขี้ขลาด อ่อนหัดเกินไป และมันก็รู้ว่าเขามีอาวุธ ไม่น่ากล้าหาเรื่องลองดีอีกเป็นแน่
ชายหนุ่มพักความคิดชั่วขณะหลังเห็นกลุ่มเด็กนักเรียนเริ่มทยอยออกมานอกรั้วโรงเรียน เขาข้ามถนนไปยังซอยที่รถจอด ในซอยนั้นเป็นที่ตั้งของโบสถ์คริสต์ ไม่ค่อยมีผู้ผ่านไปมานอกจากรถของผู้ปกครองเริ่มมาจอดรอรับนักเรียน เขากำโทรศัพท์อย่างลังเลว่าจะโทรถึงเธอดีหรือไม่ แต่แล้วก็ตัดสินใจส่งข้อความสั้นไปยังเลขหมายที่เคยโทรเข้ามาครั้งหนึ่ง
'ผมรอที่เดิม'
เขามองเวลาพลางคิดในใจ ถ้าอีกห้านาทีเจ้าหล่อนยังเงียบหาย คงต้องโทรตามกันจริงๆ แค่คิดเขาก็ปวดศีรษะตุบจนลืมเรื่องผู้ต้องสงสัยที่ตั้งใจขี่รถชนตน
........................................
เสียงสัญญาณเตือนข้อความเข้าดังขึ้นในกระเป๋ากระโปรงนักเรียนเรียกให้เจ้าของเครื่องหยิบมันขึ้นมาดูระหว่างพูดคุยกับเพื่อนยังม้านั่งข้างตึก เด็กสาวอดเบ้ปากใส่ข้อความห้วนสั้นนั้นไม่ได้ทันทีที่เห็นว่ามันส่งมาจากใคร
"ไปยังอ้อม มีฉัน นิ้ง เอก เดี๋ยวไอ้ท็อปตามไป" เพื่อนสาวสะกิดถาม
อัมพิกานึกได้ว่าตนเป็นผู้ริเริ่มชวนเพื่อนไปเที่ยวต่อในเมืองเอง แต่ตอนนี้เธอเปลี่ยนใจแล้ว ความโกรธ หุนหันเมื่อเช้าคลายลงเมื่อเขาเป็นฝ่ายพูดกับเธอก่อนครั้งแรก แม้จะเป็นการพูดคุยผ่านข้อความก็ตาม
"ไปกันเองแล้วกัน ขี้เกียจ" เธอบอกปัดง่ายๆ ก่อนเดินแยกจากกลุ่มไป
"อะไรวะ นังอ้อมขี้เกียจเที่ยว" เสียงบ่นดังขึ้นในกลุ่ม
ร่างบางเดินเร็วจากมาโดยไม่แยแสคำนินทา บางทีนี่อาจเป็นวันสุดท้ายที่เธอจะได้กลับกับเขาก่อนคุณวิเชียรจะหาคนขับรถคนใหม่ได้ ไม่มีใครรู้ว่าเธอดีใจแค่ไหนที่สามารถหาเรื่องไล่นายพงษ์ศักดิ์ออก เพราะลุงคำคนงานเก่าแก่แท้ๆ เทียว
เด็กสาวเดินอ้อมกำแพงโรงเรียนไปยังซอยติดกัน แล้วก็ได้เห็นร่างสูงใหญ่ยืนกอดอกรออยู่บนทางเท้าข้างรถ ลึกไปในซอยราวสามสิบเมตร เขาคงเห็นเธอแล้วเหมือนกันจึงได้เปิดประตูโน้มตัวติดเครื่องยนต์ ก่อนเปิดประตูหลังรอให้เธอขึ้นไป
อัมพิกาก้าวขึ้นนั่งราวคุณหนูผู้สูงศักดิ์ คอยดู เธอจะไม่พูดกับเขา ไม่ตีรวนสักคำเดียว คนอย่างนั้นต่างหากที่สมควรพินอบพิเทาแก่เธอ
รถยนต์เคลื่อนช้าออกจากปากซอย การจราจรในเมืองคับคั่งเป็นปกติจนไม่อาจใช้ความเร็ว เมื่อเธอไม่ได้บอกที่หมายใดเขาก็นึกดีใจที่ภาระหน้าที่ในวันนี้กำลังจะสิ้นสุดลงเสียที
ปภพเหยียบคันเร่งแรงขึ้นเมื่อรถมุ่งหน้าออกจากตัวเมือง ท้องถนนโล่งพอให้ได้ใช้ความเร็ว ก่อนเขาจะเปลี่ยนมาแตะเบรกชะลอเมื่อเข้าสู่ช่วงโค้ง รู้สึกถึงความผิดปกติที่ความเร็วลดลงเพียงนิดแม้กดฝ่าเท้าแรงกว่าเดิม ตัวรถทิ้งโค้งจนผู้โดยสารต้องเกาะพนักเบาะหน้า เด็กสาวหน้าตื่นตกใจ
"เกิดอะไรขึ้นน่ะ" เธอลืมความตั้งใจจะมึนตึงต่อเขาเสียสนิท
"รถเบรกไม่อยู่" คนขับตอบเสียงเครียด
ชายหนุ่มรวบรวมสติชะลอความเร็ว เขาไม่แตะคันเร่งอีกแต่ปล่อยให้รถพุ่งทะยานตามแรงส่ง ได้แต่ย้ำเบรกซ้ำๆ หากทุกครั้งก็รู้สึกได้ถึงแรงต้านทานที่ลดลง
สัญญาณจราจรแยกหน้าเปลี่ยนจากเขียวไปเหลืองอย่างจวนตัวเต็มที มีเพียงทางเลือกเดียวเท่านั้นคือเร่งความเร็วขับฝ่าไป ดีกว่าปล่อยให้รถแล่นโดยไม่อาจควบคุมได้เช่นนี้พุ่งตรงให้รถจากฝั่งอื่นสวนมาชน
เขากดคันเร่งเต็มฝีเท้า ตาคอยมองสลับระหว่างเข็มวัดความเร็วกับไฟจราจรเบื้องหน้า หน้าปัดเรืองแสงบอกความเร็วหนึ่งร้อยสามสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง ขณะสัญญาณไฟแปรเปลี่ยนเป็นสีแดง หนึ่งร้อยสี่สิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง... รถยุโรปพุ่งทะยานฝ่าไปก่อนรถยนต์อีกฝั่งจะออกตัวได้ทัน
อัมพิกากรีดร้องแทบเสียสติ ถนนลาดลงเนินนั้นยิ่งเพิ่มแรงส่งให้แก่รถ เธอเห็นอย่างที่คนขับก็เห็นว่าถนนเบื้องหน้ามีคนข้ามกลุ่มใหญ่ เธอฟุบหน้ากอดพนักเก้าอี้ด้านหน้าพร้อมกับกรีดร้อง เมื่อรู้ว่าเขาหักหลบคนกลุ่มนั้นขึ้นเกาะกลาง
ปภพเหยียบแป้นเบรกจนมิด เขาประคองพวงมาลัยยากเย็นไม่ให้รถลื่นไถลไปฝั่งตรงข้ามซึ่งมีรถสวนมาไม่ขาด พุ่มไม้เตี้ยช่วยชะลอความเร็วได้พอสมควร ก่อนเขาจะเอนตัวพิงเบาะพร้อมกับเหยียดแขนจนสุด พร้อมกับที่รถแล่นพุ่งตรงไปชนต้นไม้บนเกาะกลางเต็มแรง!
บางอย่างอัดสวนมากลางอกเขา แล้วสติก็ดับวูบลง...
"ปภพ! ปภพ!" อัมพิกากรีดร้องพลางเขย่าร่างสูงใหญ่ที่ฟุบหน้ากับถุงลมนิรภัย
เธอค้นหาปากกาในกระเป๋านักเรียน จิ้มมันลงไปบนถุงลมนิรภัยเกะกะอย่างบ้าคลั่ง คิดแต่เพียงว่ามันอาจทำให้เขาอึดอัด หายใจไม่สะดวก แล้วน้ำตาก็ไหลพรากลงมาด้วยความหวาดกลัว
"ปภพ ตื่นซี่! ปภพ..."
เด็กสาวโอบคอเขาพลางซบลงบนไหล่หนาสะอื้นไห้ เธอรักเขา... ถึงผู้ชายคนนี้จะเย็นชา ไม่เห็นค่าของเธอ แต่เขาก็เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่จริงใจ ไม่แม้แต่จะเสแสร้งว่ารำคาญเธอเพียงไร
ความเจ็บจุกกลางหน้าอกค่อยบรรเทา แปรเปลี่ยนเป็นปวดหน่วงบริเวณไหล่เหมือนถูกกดทับนาน ชายหนุ่มค่อยปรือตาขึ้นมองสภาพรอบตัว ฝากระโปรงยับยู่ขึ้นมา กระจกบานหน้าเห็นเป็นรอยร้าวราวเส้นสายฟ้า หากยังไม่แตกเสียทีเดียว แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าเกิดอะไรกับตน
"นายไม่ตาย นายไม่ตาย" เสียงสั่นเครือพร่ำบอกตัวเองด้วยความยินดีเมื่อรู้สึกถึงร่างกายที่ขยับในอ้อมแขนตน เธอโอบคอเขาแน่นขึ้นอีกพลางซบลงมา
ปภพหันมองแล้วก็ได้พบสิ่งที่ไม่คาดคิด เป็นเธอนี่เองที่โอบกอดเขาแน่น น้ำตาชื้นใบหน้าที่มักเชิดขึ้นอย่างถือดีเสมอ แล้วใจตนที่เคยตั้งแง่ชิงชังเด็กสาวผู้นี้ก็อ่อนยวบไปทั้งดวง
"คุณเป็นไรหรือเปล่า"
"เปล่า...เปล่าเลย นายต้องไปโรงพยาบาลนะ ไหนตำรวจ ทำไมไม่มาสักที"
ชายหนุ่มปลดเกียร์มาที่เกียร์ว่างแล้วดับเครื่องยนต์ ก่อนเขาจะเปิดประตูลงไปดูความเสียหายภายนอก โดยมีเด็กสาวตามลงมา
ต้นไม้ซึ่งปลูกลงดินไม่ลึกเอนใกล้โค่น ไม่ต้องพูดถึงพุ่มไม้เตี้ยประดับเกาะกลางที่พังราบพนาสูรเป็นระยะกว่าสิบเมตร ท้ายรถซึ่งปีนขึ้นเกาะกลางยังอยู่บนเลนขวาสุดของถนนเล็กน้อย รถที่ตามมาต่างก็เบี่ยงหลบพลางหันดูเหตุการณ์
"ฉันจะโทรหาคุณวิเชียร"
ปภพผงกศีรษะอย่างเห็นด้วยที่สุด ความเสียหายทั้งหมดนี้เกินกว่าที่เขาจะจัดการลำพัง ไหนจะเรื่องที่จู่ๆ รถก็เบรกไม่อยู่ซึ่งติดค้างในใจเขา มันไม่น่าเป็นอุบัติเหตุธรรมดา
"เขาบอกจะรีบมาเร็วที่สุด" อัมพิการายงานทันทีที่วางสาย หายตื่นกลัวบ้างแล้วหากยังมีน้ำตาคลอ
ชายหนุ่มมองเห็นรถจักรยานยนต์ตำรวจกำลังตรงมาทางนี้ แล้วจึงตัดสินใจเอ่ยกับเด็กสาวให้ไปรอยังตึกแถวข้างทาง
"คุณไปรอที่ร้านกาแฟนั่นก่อนก็ได้ อย่ามายืนตากแดดร้อนเลย ยิ่งตกใจแบบนี้จะเป็นลมเอา"
"แล้วนายล่ะ"
"เดี๋ยวผมจะข้ามไปส่งแล้วมาโทรเรียกประกัน"
ไม่รอให้ปฏิเสธ เขาคว้าท่อนแขนเหนือข้อมือเธอขึ้นมาเล็กน้อยพาออกเดินไปด้วยกัน อัมพิกาก้มมองมือหนาบนแขนของตนด้วยความอบอุ่นใจ ยอมให้เขาจูงไปส่งและเปิดประตูกระจกของร้านกาแฟและเบเกอรี่เล็กๆ เข้าไป คนขายที่คงเห็นเหตุการณ์รีบมาต้อนรับอย่างดี
"ขอโกโก้ร้อนให้น้องเขาด้วยนะครับ ขอฝากไว้แป๊บนึง"
"ไม่เป็นไรค่ะ ยินดีเลย"
เด็กสาวมองตามคนที่เจ้ากี้เจ้าการสั่งเครื่องดื่มให้เธอ ฝากฝังเธอกับทางร้านอย่างอาวรณ์ เห็นเขาข้ามถนนกลับไปยังรถที่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจมาดูที่เกิดเหตุ ก่อนจะโทรศัพท์ตามตัวแทนประกันภัยกระมัง
เรื่องไม่ได้จบลงง่ายๆ เมื่อเย็นนั้นคำพูน...คนขับรถเก่าแก่ของบ้านพาคุณวิเชียรมาส่งและรอรับเธอกลับไป อัมพิกาอยากปฏิเสธ แต่เมื่อนึกถึงธุระที่ต้องทำมากมายต่อจากนี้ของชายหนุ่ม เธอก็รู้ว่าตนคงเป็นส่วนเกินให้เขายุ่งยากเสียเปล่าๆ
ปภพเงยหน้าจากสภาพความเสียหายของตัวรถขึ้นมองริมถนนฝั่งตรงข้าม ก็เห็นเธอหยุดยืนข้างประตูรถมองมาเช่นกัน เป็นครั้งแรกที่เขาส่งยิ้มปลอบใจให้เจ้าหล่อน แม้เธอจะเห็นหรือไม่ก็ตาม
...........................
ร่างเพรียวระหงนั่งตากยุงอยู่ยังซุ้มม้านั่งแปดเหลี่ยมกลางสนามหน้าบ้าน เหล่าแมลงพากันมาเล่นแสงไฟจากหลอดนีออนรอบบริเวณนั้น กระนั้นคนเจ้าอารมณ์ก็ทำได้เพียงปัดไล่อย่างหงุดหงิด มิได้ย่อท้อกับการรอใครบางคนมาหลายชั่วโมง
กระทั่งแสงไฟหน้ารถสาดส่องผ่านรั้วสูงตระหง่านเข้ามา อัมพิการีบลุกรอให้รถหยุดจอดหน้าบ้านใหญ่เรียบร้อย ก่อนเธอจะเดินเร็วไปหาคุณวิเชียรและชายหนุ่มอีกคนซึ่งลงรถตามมา
"นายเป็นไงบ้าง ได้ไปหาหมอหรือเปล่า" เด็กสาวถามอย่างร้อนใจ
ปภพยืนสำรวมเยื้องหลังผู้จัดการบ้าน เป็นวิเชียรที่ให้คำตอบแทน
"ผมพาไปมาแล้วล่ะครับ ถ้าคุณอ้อมมีธุระกับปภพ ผมขอตัวก่อน"
เธอผงกศีรษะพลางขอบคุณที่เขาช่วยเป็นธุระเรื่องต่างๆ ให้ในวันนี้ กระทั่งเหลือเพียงเธอกับคนขับรถหนุ่มลำพังหน้าตึกใหญ่นั่นเอง
อัมพิกาก้าวเข้าไปใกล้พอให้เห็นสีหน้าของเขาชัดเจนขึ้น นอกจากท่าทางอิดโรยแล้วเขาก็ไม่มีบาดแผลภายนอกใดๆ เธอไล่สายตาลงมาบนแผงอกกว้าง บริเวณซึ่งคงได้รับแรงกระแทกจากการชนอย่างแรง พลันความรู้สึกโหยหา อยากสัมผัส โอบกอดร่างกายแข็งแกร่งนั้นก็พลุ่งพล่านในใจ
เธอโตพอจะรู้จักความรู้สึกเหล่านั้น หากมันไม่เคยเกิดขึ้นกับใครมาก่อน ไม่ว่าเพื่อนชายคนไหนๆ เธอไม่เคยแม้แต่จะพิศวาสอยากใกล้ชิดเด็กหนุ่มพวกนั้น แต่ความรู้สึกเหล่านี้กลับเกิดขึ้นกับคนงานชายของพ่อตนเอง
"หมอบอกว่ายังไง นายไม่ได้รับอันตรายใช่ไหม" เสียงถามเบาลงตามความอ่อนไหวในใจ
"เปล่าครับ" เขาตอบสั้นหากไม่ห้วน มึนตึงดังแต่ก่อน
"ใครเป็นคนทำ ที่เบรกไม่อยู่อย่างนั้น มันไม่ใช่เพราะรถมีปัญหาหรอกใช่ไหม"
ชายหนุ่มให้คำตอบไม่ได้ แต่ความคิดประหวัดไปนึกถึงเหตุการณ์เมื่อตอนบ่ายที่เขาหวิดถูกรถจักรยานยนต์พุ่งชน จำได้ว่ามันเลี้ยวมาจากซอยเดียวกับที่รถจอด ซ้ำยังหันมาจ้องเขาพร้อมกับเร่งเครื่องยนต์ใส่ น่าเสียดายที่ป้ายทะเบียนรถมันไม่ชัด เขาจึงหมดหวังจะให้การเป็นประโยชน์ ตำรวจได้แต่สันนิษฐานถึงคู่แข่ง คู่ปรับต่างๆ ของบิดาเด็กสาวแทน
"หรือจะเป็นฝีมือไอ้บาส มันอาจจะแค้นฉันกับนาย" เธอเดาสุ่มถึงคนที่มีเรื่องบาดหมางกัน
เขาก็ไม่มั่นใจ แต่เด็กหนุ่มรูปร่างบางกว่าผู้ที่เขาสงสัย อีกทั้งดวงตาคู่นั้นก็ให้ความรู้สึกคุ้นเคยมาก่อนเช่นกัน
"เปิดเทอมนี้หมอนั่นก็ไม่ได้มาเรียน ไม่มีใครติดต่อมันได้ตั้งนานแล้ว"
ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ไม่น่าใช่ มันคงหนีไปตามคำขู่แล้วจริงๆ
อัมพิกาก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่ง เธอมองเขาอย่างลังเล สับสน กับความคิดที่แวบขึ้นมาในใจ
"นายคงไม่ได้ทำจริงๆ ใช่ไหม ที่ฉันเคยถามนายเมื่อก่อน"
"ทำอะไร"
"ฆ่าเขา...หรือทำอะไรเลวร้ายตามที่พ่อฉันสั่ง"
ชายหนุ่มนิ่งไปนิดหนึ่งพร้อมกับเสหลบตา เขาบอกเธอไม่ได้ ไม่ว่าจะตอบอย่างไรผลเสียก็ตกอยู่ที่เขาอยู่ดี
"ผมขอตัวก่อน"
ปภพกำลังจะผละไปจากระเบียงหน้าบ้าน ทว่าร่างบางวิ่งมาดักหน้าไว้เสียก่อน เธอสูดหายใจลึก พยายามสงบสติอารมณ์ เรื่องมันชักจะเกินเลยจากจุดประสงค์ที่เธอมารอเขาเสียแล้ว
"ก็ได้ถ้านายอยากพักผ่อน ฉันจะบอกคุณวิเชียรให้เปลี่ยนวันหยุดให้นายอีกวัน แล้วนายก็ไม่ต้องขับรถให้ฉันหรอกนะ ฉันไปกับลุงคำเอง"
เธอยอมหลับตาข้างหนึ่ง แสร้งไม่รู้ไม่เห็นว่าเขาจะทำอะไร เหมือนอย่างที่ลอยหน้าลอยตาในสังคมในฐานะลูกของพ่อเลี้ยงเรืองเดชได้ตลอดสิบเจ็ดปีที่ผ่านมา เพราะลึกลงไปในใจแล้วเธออยากเชื่อว่าเขาไม่ได้ทำ
"เดี๋ยว คุณอ้อม" ปภพเรียกไว้หากไม่ทัน
เจ้าหล่อนวิ่งขึ้นบันไดระเบียงหินอ่อนกลับเข้าไปแล้ว ทิ้งให้เขาได้แต่ส่ายศีรษะอย่างอ่อนใจ
ผู้จัดการดูแลบ้านและความเป็นอยู่ของทุกคนในบ้านปล่อยชายผ้าม่านหน้าต่างลงหลังเห็นเด็กสาวกลับเข้ามา เขาตรงเข้าห้องพักของตนติดกับส่วนครัวฝรั่งบนชั้นล่างของบ้านด้วยความไม่สบายใจ กับภาพความสนิทสนมอาวรณ์ที่คุณหนูของตนมีต่ออดีตคนขับรถอย่างเกินกว่าปกติ ลังเลว่าตนควรบอกเรื่องนี้กับเจ้านายหรือไม่
เขาสังหรณ์ไม่ดีเลย...
....................................
"ปภพ เดี๋ยวมาพบฉันหน่อยนะ" ผู้ที่อุตส่าห์ลงมาตามคนงานถึงมุมพักผ่อนสำหรับคนงานหลังบ้านบอกกับชายหนุ่มที่กำลังบิดผ้าตาก ก่อนเขาจะล่วงหน้ากลับไป
ปภพหนีบเสื้อตัวสุดท้ายในตะกร้ากับเชือกซึ่งขึงระหว่างเสาสำหรับตากเสื้อผ้าส่วนตัวของบรรดาคนงาน เขายกแขนเสื้อที่สวมใส่ปาดเหงื่อบนใบหน้า เมื่อนำตะกร้าไปเก็บแล้วจึงตามบุรุษวัยกลางคนขึ้นไป
"คุณวิเชียรมีอะไรให้ผมรับใช้หรือครับ" เขาถามหลังได้รับอนุญาตให้เข้าไปในห้องทำงาน
ผู้จัดการบ้านลอบถอนหายใจ เขาดันแว่นพินิจมองชายฉกรรจ์ที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามโต๊ะ ดูอย่างไรก็ไม่คิดว่าคนอย่างนี้จะจงใจทอดไมตรีให้เด็กสาวได้ ชายผู้นี้หยิ่งทะนง และดูจะเมินเฉยต่อความรู้สึกของผู้อื่น ไม่ว่าสิ่งที่ได้รับจะเป็นความรักหรือเกลียดชัง ก็ไม่มีสิ่งใดมาทำลายภาพความเป็นคนแข็งของเขาได้เลย
แต่ขณะเดียวกันวิเชียรก็ต้องยอมรับว่าด้วยคุณสมบัติเหล่านั้น มันคือเครื่องดึงดูดเพศตรงข้ามอย่างดี โดยเฉพาะคุณหนูของตนที่ชอบความท้าทาย ไม่ว่าจะต่อตัวเอง ต่อพ่อบังเกิดเกล้า หรือสายตาของสังคม
เขาตัดสินใจเอ่ยเตือนปภพให้ระวังตัวเสียก่อน หากเรื่องทำท่าจะเกินเลยไปก็คงต้องขึ้นกับพ่อเลี้ยงเรืองเดชแล้วว่าจะทำเช่นไร
"วันนี้วันพักของนาย ฉันคงไม่รบกวนนายนานหรอกนะ"
"แต่วันนี้เวรผมนี่ครับ"
"เมื่อคืนคุณอ้อมมาพูดกับฉันให้นายพักอีกวัน ฉันเห็นด้วยนะ แล้วท่านก็กลับมาเมื่อเช้ามืดนี่เอง วันนี้คงไม่ออกไปไหนกระมัง"
"คุณวิเชียรได้บอกเรื่องอุบัติเหตุกับท่านหรือยัง”
"ยังหรอก แต่ถ้าท่านลงมาเมื่อไรคงต้องบอก ที่ฉันเรียกนายมาพบก็เพราะ..." ผู้จัดการผ่อนลมหายใจอีกครา "ฉันอยากให้นายระวังตัวกับคุณอ้อมไว้บ้างก็ดี เธอยังเด็กนัก ทำอะไรอาจไม่ทันยั้งคิด นายเข้าใจที่ฉันพูดใช่ไหม"
ดวงตาผู้ฟังเข้มขึ้นเมื่อรู้สึกเหมือนตนกำลังถูกหยามเกียรติ โกรธที่ได้ยินคำพูดราวเขากำลังจะนอกใจภรรยา ย่ำยีสมพรซ้ำด้วยการรักลูกของฆาตกร ซึ่งไม่มีวันเกิดขึ้นจริง!
หากศีรษะซึ่งก้มเล็กน้อยทำให้วิเชียรไม่อาจคาดเดาความรู้สึกฝ่ายตรงข้ามได้ถูก เขาเอ่ยสืบไปถึงภัยที่อาจมาถึงตัวอีกฝ่าย
"เห็นท่านกับคุณอ้อมระหองระแหงอย่างนั้น แต่อย่างไรก็ขึ้นชื่อว่าลูกล่ะนะ ท่านหวังสิ่งดี สูงส่งให้คุณหนูเสมอ นายก็รู้ดีว่าจุดจบของผู้ที่ดึงลูกท่านเสื่อมเสียเป็นเช่นไร รักมากก็ย่อมเจ็บมาก ฉันเตือนก็เพราะเสียดายคนขยัน ตั้งใจดีอย่างนายนะปภพ"
ปภพเค้นเสียงรับคำลำบาก "ครับ"
เขาเข้าใจทุกคำพูดของคุณวิเชียรอย่างดี คำเตือนให้ทราบถึงอันตรายที่เขาไม่ได้เป็นฝ่ายผิดเสียด้วยซ้ำ แต่เป็นเพราะความคึกคะนองของเด็กสาวเองที่อาจทำให้ผู้อื่นเข้าใจเขาผิด
น่าแปลกที่ชายหนุ่มกลับไม่กลัวสักนิด ถ้าเรื่องเป็นไปตามที่ผู้จัดการเก่าแก่คาดก็เท่ากับเขากุมดวงใจมันไว้ในมือ
สิ่งดี...สิ่งสูงส่งน่ะหรือ รักมากก็เจ็บมากอย่างนั้นซี เขาอยากให้มันสัมผัสความรู้สึกนั้นจริงๆ
.........................
แพรวมีภาพปกกุหลาบซ่อนเพลิง จากสนพ. ไอวี่มาฝากด้วยค่ะ
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=718758338155220&set=a.694414810589573.1073741829.684764078221313&type=1&theater
เรื่องนี้ก็ใกล้วางแผงแล้ววว แต่ก็ยังไม่รู้วันที่แน่นอนเหมือนกัน 55
แพรวก็จะอัพไปจนรู้วันวางแผงล่ะเนอะ
ปภพตัดสินใจจอดรถหรูไว้ริมทางในซอยข้างโรงเรียน ขณะตัวเขาเองเดินไปวัดที่ใกล้ที่สุดเพื่อทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ที่จากไปครบเดือน
ภายในอาณาบริเวณวัดร่มรื่นด้วยร่มไม้สีเขียว เพียงย่างเท้าเข้ามาก็รู้สึกได้ถึงสายลมเย็นจากธรรมชาติ พาให้จิตใจสงบ มีชาวบ้านขายอาหารสำหรับใส่บาตรอยู่ยังลานวัด มีทั้งถังสังฆทานและนกปลาสำหรับปล่อยขายเช่นกัน
ชายหนุ่มเดินตามทางไปกระทั่งถึงพระอุโบสถซึ่งมีกลิ่นอายของสถาปัตยกรรมล้านนา หลังคาเป็นชั้นอ่อนช้อยงดงาม ภายในปูด้วยเสื่อผืนใหญ่ มีพระประธานองค์ใหญ่ประดิษฐานอยู่กึ่งกลาง มีพระพุทธรูปปางต่างๆ รายล้อม ด้านหน้าเป็นโต๊ะหมู่บูชาซึ่งมีกระถางทองเหลืองเก่าจนสีคล้ำสำหรับปักธูปตั้งอยู่
ปภพพนมมืออธิษฐานจิตถึงผู้ที่จากไป ขอให้ลูกและภรรยาได้รับรู้ถึงพลังใจของเขาที่ส่งให้คนทั้งสองแทบทุกลมหายใจ เขาขอสาบานต่อหน้าพระประธานว่าจะแก้แค้น จะทำให้มันเจ็บยิ่งกว่าที่ลูกเมียเขาต้องทรมาน ดวงตาคมกล้าฉายแววมุ่งมั่น ก่อนเขาจะปิดเปลือกตาลงพลางก้มกราบกับพื้นด้านหน้านั้นเอง
ชายหนุ่มสวมรองเท้าหน้าประตูพระอุโบสถ เขาเดินกลับไปซื้อชุดสังฆทานซึ่งห่อด้วยกระดาษแก้วจากแม่ค้า แล้วจึงเดินขึ้นศาลาโล่งที่มีเพียงเสาหลังคาแปดต้น พระสงฆ์รูปหนึ่งนั่งขัดสมาธิบนพื้นไม้ขัดมันยกสูง คอยให้ศีลให้พรญาติโยมที่มาทำบุญ ร่างสูงใหญ่คลานเข่าไปก้มกราบเบื้องหน้าหลวงพ่อชราภาพ ก่อนนั่งทับปลายเท้า พนมมือจรดอก ไม่มีใครบนศาลานอกจากเขาและท่านลำพัง
"เจริญพร" เสียงแหบแห้งอำนวยพร พระสงฆ์องค์เจ้าถามอย่างมีเมตตา "จะถวายสังฆทานใช่ไหม มา เขยิบมา"
ปภพคลานเข่าไปใกล้ท่าน พร้อมกับเสียงบอกขั้นตอนปฏิบัติมาอีก
"อธิษฐานถึงผู้ล่วงลับนะโยม แล้วว่าตามอาตมา"
ชายหนุ่มว่าตาม ในใจก็นึกถึงลูกรัก เมียรัก ที่เขาตั้งใจอุทิศส่วนกุศลให้ ไม่ว่าทั้งสองจะอยู่ในภพภูมิไหน ขอให้สมพรกับลูกได้รับ เกิดมาชาติหน้าฉันใดขอให้ได้กลับมาเป็นครอบครัวเดียวกันอีก แล้วเขาสัญญาว่าจะดูแลอย่างดีด้วยชีวิต ไม่ให้ต้องเจอวิบากกรรมเลวร้าย ทุกข์ทรมานเหมือนชาตินี้
น้ำตาลูกผู้ชายรื้นคลอขณะถวายสังฆทาน เขาพนมมือเมื่อท่านพรมน้ำมนต์
"ทำใจให้สบายเถิดโยม เขาไปสบายแล้วนะ" พระสงฆ์องค์เจ้าเตือนสติราวนึกรู้
"แต่เขาทรมานมากครับหลวงพ่อ ผมทำใจไม่ได้จริงๆ" เขาตอบอย่างอัดอั้นตันใจ
"มันเป็นกรรมของเขา โยม เราทุกคนเกิดมามีกรรมของตัว ชาตินี้เขาหมดกรรมแล้ว ก็เหลือแต่เรานี่ล่ะนะที่ต้องอยู่ใช้กรรม"
ปภพหลุบตามองพื้น คำพระเหมือนท่านล่วงรู้ใจเขาว่าคิดทำการใด แต่ก็สายไปเสียแล้วเมื่อเขามาไกลถึงเพียงนี้ เขาคงบาปหนาเกินกว่าจะกลับตัวได้ทัน
ชายหนุ่มก้มกราบอีกครั้ง ก่อนคลานเข่าถอยไปเมื่อญาติโยมซึ่งมากันครอบครัวใหญ่ขึ้นศาลามา โดยไม่รู้ว่ามีสายตาแสดงความห่วงใยของผู้ทรงศีลมองตามพลางถอนหายใจ
......................................
คนขับรถหนุ่มเดินเกร่อยู่ภายในเมืองไม่ใกล้ไม่ไกลโรงเรียนที่ตนจอดรถไว้ รอเวลารับนักเรียนกลับพร้อมกันทีเดียว
ปภพแวะธนาคารเป็นที่สุดท้ายหลังทานก๋วยเตี๋ยวข้างทาง เขาโอนเงินเดือนก้อนแรกแบ่งไปใช้หนี้ที่กู้ยืมมาเป็นค่านายหน้าไปทำงานต่างแดน เหลือติดตัวเพียงค่าใช้จ่ายจำเป็นเท่านั้น ไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมสมหมายจึงมีเงินส่งเสียค่าเล่าเรียนน้องหลายคนทุกเดือน เมื่อเขามาทำงานเพียงเดือนแรกก็ได้รับเงินเดือนเทียบเท่ากับที่เสียค่านายหน้าหลักแสนเพื่อไปทำงานยังประเทศตะวันออกกลาง
ชายหนุ่มตัดสินใจกลับไปรอที่รถเมื่อมองนาฬิกาและเห็นว่าใกล้เวลานักเรียนเลิก ร่างสูงใหญ่ยืนรอบนพื้นถนนเพื่อข้ามไปอีกฝั่ง กระทั่งรถจักรยานยนต์คันหนึ่งพุ่งตรงมาโดยไม่มีทีท่าจะหักหลบ เขาต้องกระโดดถอยไปก้าวใหญ่ ก่อนมันจะหันมามองลอดหมวกนิรภัยพลางเร่งเครื่องใส่ รูปร่างสันทัดและแววตานั้นคุ้นตายิ่งนัก หากก่อนที่เขาจะคิดออกว่าเป็นใครมันก็ขี่รถจากไป
เขาสบถในใจ มั่นใจว่านี่ต้องไม่ใช่เรื่องกลั่นแกล้งด้วยความคึกคะนองเป็นแน่ ท่าทางหันมาจ้องอย่างอาฆาตนั้นแสดงว่ามันต้องมีปัญหาส่วนตัวกับเขา ติดที่เขานึกไม่ออกว่ามันเป็นใคร
ปภพอดนึกถึงเด็กหนุ่มที่เขาเคยไว้ชีวิตไม่ได้ หรือจะเป็นมันที่ต้องการข่มขู่ แก้แค้นเขา แต่อีกใจก็กลับคิดว่าไม่ใช่... หมอนั่นขี้ขลาด อ่อนหัดเกินไป และมันก็รู้ว่าเขามีอาวุธ ไม่น่ากล้าหาเรื่องลองดีอีกเป็นแน่
ชายหนุ่มพักความคิดชั่วขณะหลังเห็นกลุ่มเด็กนักเรียนเริ่มทยอยออกมานอกรั้วโรงเรียน เขาข้ามถนนไปยังซอยที่รถจอด ในซอยนั้นเป็นที่ตั้งของโบสถ์คริสต์ ไม่ค่อยมีผู้ผ่านไปมานอกจากรถของผู้ปกครองเริ่มมาจอดรอรับนักเรียน เขากำโทรศัพท์อย่างลังเลว่าจะโทรถึงเธอดีหรือไม่ แต่แล้วก็ตัดสินใจส่งข้อความสั้นไปยังเลขหมายที่เคยโทรเข้ามาครั้งหนึ่ง
'ผมรอที่เดิม'
เขามองเวลาพลางคิดในใจ ถ้าอีกห้านาทีเจ้าหล่อนยังเงียบหาย คงต้องโทรตามกันจริงๆ แค่คิดเขาก็ปวดศีรษะตุบจนลืมเรื่องผู้ต้องสงสัยที่ตั้งใจขี่รถชนตน
........................................
เสียงสัญญาณเตือนข้อความเข้าดังขึ้นในกระเป๋ากระโปรงนักเรียนเรียกให้เจ้าของเครื่องหยิบมันขึ้นมาดูระหว่างพูดคุยกับเพื่อนยังม้านั่งข้างตึก เด็กสาวอดเบ้ปากใส่ข้อความห้วนสั้นนั้นไม่ได้ทันทีที่เห็นว่ามันส่งมาจากใคร
"ไปยังอ้อม มีฉัน นิ้ง เอก เดี๋ยวไอ้ท็อปตามไป" เพื่อนสาวสะกิดถาม
อัมพิกานึกได้ว่าตนเป็นผู้ริเริ่มชวนเพื่อนไปเที่ยวต่อในเมืองเอง แต่ตอนนี้เธอเปลี่ยนใจแล้ว ความโกรธ หุนหันเมื่อเช้าคลายลงเมื่อเขาเป็นฝ่ายพูดกับเธอก่อนครั้งแรก แม้จะเป็นการพูดคุยผ่านข้อความก็ตาม
"ไปกันเองแล้วกัน ขี้เกียจ" เธอบอกปัดง่ายๆ ก่อนเดินแยกจากกลุ่มไป
"อะไรวะ นังอ้อมขี้เกียจเที่ยว" เสียงบ่นดังขึ้นในกลุ่ม
ร่างบางเดินเร็วจากมาโดยไม่แยแสคำนินทา บางทีนี่อาจเป็นวันสุดท้ายที่เธอจะได้กลับกับเขาก่อนคุณวิเชียรจะหาคนขับรถคนใหม่ได้ ไม่มีใครรู้ว่าเธอดีใจแค่ไหนที่สามารถหาเรื่องไล่นายพงษ์ศักดิ์ออก เพราะลุงคำคนงานเก่าแก่แท้ๆ เทียว
เด็กสาวเดินอ้อมกำแพงโรงเรียนไปยังซอยติดกัน แล้วก็ได้เห็นร่างสูงใหญ่ยืนกอดอกรออยู่บนทางเท้าข้างรถ ลึกไปในซอยราวสามสิบเมตร เขาคงเห็นเธอแล้วเหมือนกันจึงได้เปิดประตูโน้มตัวติดเครื่องยนต์ ก่อนเปิดประตูหลังรอให้เธอขึ้นไป
อัมพิกาก้าวขึ้นนั่งราวคุณหนูผู้สูงศักดิ์ คอยดู เธอจะไม่พูดกับเขา ไม่ตีรวนสักคำเดียว คนอย่างนั้นต่างหากที่สมควรพินอบพิเทาแก่เธอ
รถยนต์เคลื่อนช้าออกจากปากซอย การจราจรในเมืองคับคั่งเป็นปกติจนไม่อาจใช้ความเร็ว เมื่อเธอไม่ได้บอกที่หมายใดเขาก็นึกดีใจที่ภาระหน้าที่ในวันนี้กำลังจะสิ้นสุดลงเสียที
ปภพเหยียบคันเร่งแรงขึ้นเมื่อรถมุ่งหน้าออกจากตัวเมือง ท้องถนนโล่งพอให้ได้ใช้ความเร็ว ก่อนเขาจะเปลี่ยนมาแตะเบรกชะลอเมื่อเข้าสู่ช่วงโค้ง รู้สึกถึงความผิดปกติที่ความเร็วลดลงเพียงนิดแม้กดฝ่าเท้าแรงกว่าเดิม ตัวรถทิ้งโค้งจนผู้โดยสารต้องเกาะพนักเบาะหน้า เด็กสาวหน้าตื่นตกใจ
"เกิดอะไรขึ้นน่ะ" เธอลืมความตั้งใจจะมึนตึงต่อเขาเสียสนิท
"รถเบรกไม่อยู่" คนขับตอบเสียงเครียด
ชายหนุ่มรวบรวมสติชะลอความเร็ว เขาไม่แตะคันเร่งอีกแต่ปล่อยให้รถพุ่งทะยานตามแรงส่ง ได้แต่ย้ำเบรกซ้ำๆ หากทุกครั้งก็รู้สึกได้ถึงแรงต้านทานที่ลดลง
สัญญาณจราจรแยกหน้าเปลี่ยนจากเขียวไปเหลืองอย่างจวนตัวเต็มที มีเพียงทางเลือกเดียวเท่านั้นคือเร่งความเร็วขับฝ่าไป ดีกว่าปล่อยให้รถแล่นโดยไม่อาจควบคุมได้เช่นนี้พุ่งตรงให้รถจากฝั่งอื่นสวนมาชน
เขากดคันเร่งเต็มฝีเท้า ตาคอยมองสลับระหว่างเข็มวัดความเร็วกับไฟจราจรเบื้องหน้า หน้าปัดเรืองแสงบอกความเร็วหนึ่งร้อยสามสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง ขณะสัญญาณไฟแปรเปลี่ยนเป็นสีแดง หนึ่งร้อยสี่สิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง... รถยุโรปพุ่งทะยานฝ่าไปก่อนรถยนต์อีกฝั่งจะออกตัวได้ทัน
อัมพิกากรีดร้องแทบเสียสติ ถนนลาดลงเนินนั้นยิ่งเพิ่มแรงส่งให้แก่รถ เธอเห็นอย่างที่คนขับก็เห็นว่าถนนเบื้องหน้ามีคนข้ามกลุ่มใหญ่ เธอฟุบหน้ากอดพนักเก้าอี้ด้านหน้าพร้อมกับกรีดร้อง เมื่อรู้ว่าเขาหักหลบคนกลุ่มนั้นขึ้นเกาะกลาง
ปภพเหยียบแป้นเบรกจนมิด เขาประคองพวงมาลัยยากเย็นไม่ให้รถลื่นไถลไปฝั่งตรงข้ามซึ่งมีรถสวนมาไม่ขาด พุ่มไม้เตี้ยช่วยชะลอความเร็วได้พอสมควร ก่อนเขาจะเอนตัวพิงเบาะพร้อมกับเหยียดแขนจนสุด พร้อมกับที่รถแล่นพุ่งตรงไปชนต้นไม้บนเกาะกลางเต็มแรง!
บางอย่างอัดสวนมากลางอกเขา แล้วสติก็ดับวูบลง...
"ปภพ! ปภพ!" อัมพิกากรีดร้องพลางเขย่าร่างสูงใหญ่ที่ฟุบหน้ากับถุงลมนิรภัย
เธอค้นหาปากกาในกระเป๋านักเรียน จิ้มมันลงไปบนถุงลมนิรภัยเกะกะอย่างบ้าคลั่ง คิดแต่เพียงว่ามันอาจทำให้เขาอึดอัด หายใจไม่สะดวก แล้วน้ำตาก็ไหลพรากลงมาด้วยความหวาดกลัว
"ปภพ ตื่นซี่! ปภพ..."
เด็กสาวโอบคอเขาพลางซบลงบนไหล่หนาสะอื้นไห้ เธอรักเขา... ถึงผู้ชายคนนี้จะเย็นชา ไม่เห็นค่าของเธอ แต่เขาก็เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่จริงใจ ไม่แม้แต่จะเสแสร้งว่ารำคาญเธอเพียงไร
ความเจ็บจุกกลางหน้าอกค่อยบรรเทา แปรเปลี่ยนเป็นปวดหน่วงบริเวณไหล่เหมือนถูกกดทับนาน ชายหนุ่มค่อยปรือตาขึ้นมองสภาพรอบตัว ฝากระโปรงยับยู่ขึ้นมา กระจกบานหน้าเห็นเป็นรอยร้าวราวเส้นสายฟ้า หากยังไม่แตกเสียทีเดียว แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าเกิดอะไรกับตน
"นายไม่ตาย นายไม่ตาย" เสียงสั่นเครือพร่ำบอกตัวเองด้วยความยินดีเมื่อรู้สึกถึงร่างกายที่ขยับในอ้อมแขนตน เธอโอบคอเขาแน่นขึ้นอีกพลางซบลงมา
ปภพหันมองแล้วก็ได้พบสิ่งที่ไม่คาดคิด เป็นเธอนี่เองที่โอบกอดเขาแน่น น้ำตาชื้นใบหน้าที่มักเชิดขึ้นอย่างถือดีเสมอ แล้วใจตนที่เคยตั้งแง่ชิงชังเด็กสาวผู้นี้ก็อ่อนยวบไปทั้งดวง
"คุณเป็นไรหรือเปล่า"
"เปล่า...เปล่าเลย นายต้องไปโรงพยาบาลนะ ไหนตำรวจ ทำไมไม่มาสักที"
ชายหนุ่มปลดเกียร์มาที่เกียร์ว่างแล้วดับเครื่องยนต์ ก่อนเขาจะเปิดประตูลงไปดูความเสียหายภายนอก โดยมีเด็กสาวตามลงมา
ต้นไม้ซึ่งปลูกลงดินไม่ลึกเอนใกล้โค่น ไม่ต้องพูดถึงพุ่มไม้เตี้ยประดับเกาะกลางที่พังราบพนาสูรเป็นระยะกว่าสิบเมตร ท้ายรถซึ่งปีนขึ้นเกาะกลางยังอยู่บนเลนขวาสุดของถนนเล็กน้อย รถที่ตามมาต่างก็เบี่ยงหลบพลางหันดูเหตุการณ์
"ฉันจะโทรหาคุณวิเชียร"
ปภพผงกศีรษะอย่างเห็นด้วยที่สุด ความเสียหายทั้งหมดนี้เกินกว่าที่เขาจะจัดการลำพัง ไหนจะเรื่องที่จู่ๆ รถก็เบรกไม่อยู่ซึ่งติดค้างในใจเขา มันไม่น่าเป็นอุบัติเหตุธรรมดา
"เขาบอกจะรีบมาเร็วที่สุด" อัมพิการายงานทันทีที่วางสาย หายตื่นกลัวบ้างแล้วหากยังมีน้ำตาคลอ
ชายหนุ่มมองเห็นรถจักรยานยนต์ตำรวจกำลังตรงมาทางนี้ แล้วจึงตัดสินใจเอ่ยกับเด็กสาวให้ไปรอยังตึกแถวข้างทาง
"คุณไปรอที่ร้านกาแฟนั่นก่อนก็ได้ อย่ามายืนตากแดดร้อนเลย ยิ่งตกใจแบบนี้จะเป็นลมเอา"
"แล้วนายล่ะ"
"เดี๋ยวผมจะข้ามไปส่งแล้วมาโทรเรียกประกัน"
ไม่รอให้ปฏิเสธ เขาคว้าท่อนแขนเหนือข้อมือเธอขึ้นมาเล็กน้อยพาออกเดินไปด้วยกัน อัมพิกาก้มมองมือหนาบนแขนของตนด้วยความอบอุ่นใจ ยอมให้เขาจูงไปส่งและเปิดประตูกระจกของร้านกาแฟและเบเกอรี่เล็กๆ เข้าไป คนขายที่คงเห็นเหตุการณ์รีบมาต้อนรับอย่างดี
"ขอโกโก้ร้อนให้น้องเขาด้วยนะครับ ขอฝากไว้แป๊บนึง"
"ไม่เป็นไรค่ะ ยินดีเลย"
เด็กสาวมองตามคนที่เจ้ากี้เจ้าการสั่งเครื่องดื่มให้เธอ ฝากฝังเธอกับทางร้านอย่างอาวรณ์ เห็นเขาข้ามถนนกลับไปยังรถที่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจมาดูที่เกิดเหตุ ก่อนจะโทรศัพท์ตามตัวแทนประกันภัยกระมัง
เรื่องไม่ได้จบลงง่ายๆ เมื่อเย็นนั้นคำพูน...คนขับรถเก่าแก่ของบ้านพาคุณวิเชียรมาส่งและรอรับเธอกลับไป อัมพิกาอยากปฏิเสธ แต่เมื่อนึกถึงธุระที่ต้องทำมากมายต่อจากนี้ของชายหนุ่ม เธอก็รู้ว่าตนคงเป็นส่วนเกินให้เขายุ่งยากเสียเปล่าๆ
ปภพเงยหน้าจากสภาพความเสียหายของตัวรถขึ้นมองริมถนนฝั่งตรงข้าม ก็เห็นเธอหยุดยืนข้างประตูรถมองมาเช่นกัน เป็นครั้งแรกที่เขาส่งยิ้มปลอบใจให้เจ้าหล่อน แม้เธอจะเห็นหรือไม่ก็ตาม
...........................
ร่างเพรียวระหงนั่งตากยุงอยู่ยังซุ้มม้านั่งแปดเหลี่ยมกลางสนามหน้าบ้าน เหล่าแมลงพากันมาเล่นแสงไฟจากหลอดนีออนรอบบริเวณนั้น กระนั้นคนเจ้าอารมณ์ก็ทำได้เพียงปัดไล่อย่างหงุดหงิด มิได้ย่อท้อกับการรอใครบางคนมาหลายชั่วโมง
กระทั่งแสงไฟหน้ารถสาดส่องผ่านรั้วสูงตระหง่านเข้ามา อัมพิการีบลุกรอให้รถหยุดจอดหน้าบ้านใหญ่เรียบร้อย ก่อนเธอจะเดินเร็วไปหาคุณวิเชียรและชายหนุ่มอีกคนซึ่งลงรถตามมา
"นายเป็นไงบ้าง ได้ไปหาหมอหรือเปล่า" เด็กสาวถามอย่างร้อนใจ
ปภพยืนสำรวมเยื้องหลังผู้จัดการบ้าน เป็นวิเชียรที่ให้คำตอบแทน
"ผมพาไปมาแล้วล่ะครับ ถ้าคุณอ้อมมีธุระกับปภพ ผมขอตัวก่อน"
เธอผงกศีรษะพลางขอบคุณที่เขาช่วยเป็นธุระเรื่องต่างๆ ให้ในวันนี้ กระทั่งเหลือเพียงเธอกับคนขับรถหนุ่มลำพังหน้าตึกใหญ่นั่นเอง
อัมพิกาก้าวเข้าไปใกล้พอให้เห็นสีหน้าของเขาชัดเจนขึ้น นอกจากท่าทางอิดโรยแล้วเขาก็ไม่มีบาดแผลภายนอกใดๆ เธอไล่สายตาลงมาบนแผงอกกว้าง บริเวณซึ่งคงได้รับแรงกระแทกจากการชนอย่างแรง พลันความรู้สึกโหยหา อยากสัมผัส โอบกอดร่างกายแข็งแกร่งนั้นก็พลุ่งพล่านในใจ
เธอโตพอจะรู้จักความรู้สึกเหล่านั้น หากมันไม่เคยเกิดขึ้นกับใครมาก่อน ไม่ว่าเพื่อนชายคนไหนๆ เธอไม่เคยแม้แต่จะพิศวาสอยากใกล้ชิดเด็กหนุ่มพวกนั้น แต่ความรู้สึกเหล่านี้กลับเกิดขึ้นกับคนงานชายของพ่อตนเอง
"หมอบอกว่ายังไง นายไม่ได้รับอันตรายใช่ไหม" เสียงถามเบาลงตามความอ่อนไหวในใจ
"เปล่าครับ" เขาตอบสั้นหากไม่ห้วน มึนตึงดังแต่ก่อน
"ใครเป็นคนทำ ที่เบรกไม่อยู่อย่างนั้น มันไม่ใช่เพราะรถมีปัญหาหรอกใช่ไหม"
ชายหนุ่มให้คำตอบไม่ได้ แต่ความคิดประหวัดไปนึกถึงเหตุการณ์เมื่อตอนบ่ายที่เขาหวิดถูกรถจักรยานยนต์พุ่งชน จำได้ว่ามันเลี้ยวมาจากซอยเดียวกับที่รถจอด ซ้ำยังหันมาจ้องเขาพร้อมกับเร่งเครื่องยนต์ใส่ น่าเสียดายที่ป้ายทะเบียนรถมันไม่ชัด เขาจึงหมดหวังจะให้การเป็นประโยชน์ ตำรวจได้แต่สันนิษฐานถึงคู่แข่ง คู่ปรับต่างๆ ของบิดาเด็กสาวแทน
"หรือจะเป็นฝีมือไอ้บาส มันอาจจะแค้นฉันกับนาย" เธอเดาสุ่มถึงคนที่มีเรื่องบาดหมางกัน
เขาก็ไม่มั่นใจ แต่เด็กหนุ่มรูปร่างบางกว่าผู้ที่เขาสงสัย อีกทั้งดวงตาคู่นั้นก็ให้ความรู้สึกคุ้นเคยมาก่อนเช่นกัน
"เปิดเทอมนี้หมอนั่นก็ไม่ได้มาเรียน ไม่มีใครติดต่อมันได้ตั้งนานแล้ว"
ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ไม่น่าใช่ มันคงหนีไปตามคำขู่แล้วจริงๆ
อัมพิกาก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่ง เธอมองเขาอย่างลังเล สับสน กับความคิดที่แวบขึ้นมาในใจ
"นายคงไม่ได้ทำจริงๆ ใช่ไหม ที่ฉันเคยถามนายเมื่อก่อน"
"ทำอะไร"
"ฆ่าเขา...หรือทำอะไรเลวร้ายตามที่พ่อฉันสั่ง"
ชายหนุ่มนิ่งไปนิดหนึ่งพร้อมกับเสหลบตา เขาบอกเธอไม่ได้ ไม่ว่าจะตอบอย่างไรผลเสียก็ตกอยู่ที่เขาอยู่ดี
"ผมขอตัวก่อน"
ปภพกำลังจะผละไปจากระเบียงหน้าบ้าน ทว่าร่างบางวิ่งมาดักหน้าไว้เสียก่อน เธอสูดหายใจลึก พยายามสงบสติอารมณ์ เรื่องมันชักจะเกินเลยจากจุดประสงค์ที่เธอมารอเขาเสียแล้ว
"ก็ได้ถ้านายอยากพักผ่อน ฉันจะบอกคุณวิเชียรให้เปลี่ยนวันหยุดให้นายอีกวัน แล้วนายก็ไม่ต้องขับรถให้ฉันหรอกนะ ฉันไปกับลุงคำเอง"
เธอยอมหลับตาข้างหนึ่ง แสร้งไม่รู้ไม่เห็นว่าเขาจะทำอะไร เหมือนอย่างที่ลอยหน้าลอยตาในสังคมในฐานะลูกของพ่อเลี้ยงเรืองเดชได้ตลอดสิบเจ็ดปีที่ผ่านมา เพราะลึกลงไปในใจแล้วเธออยากเชื่อว่าเขาไม่ได้ทำ
"เดี๋ยว คุณอ้อม" ปภพเรียกไว้หากไม่ทัน
เจ้าหล่อนวิ่งขึ้นบันไดระเบียงหินอ่อนกลับเข้าไปแล้ว ทิ้งให้เขาได้แต่ส่ายศีรษะอย่างอ่อนใจ
ผู้จัดการดูแลบ้านและความเป็นอยู่ของทุกคนในบ้านปล่อยชายผ้าม่านหน้าต่างลงหลังเห็นเด็กสาวกลับเข้ามา เขาตรงเข้าห้องพักของตนติดกับส่วนครัวฝรั่งบนชั้นล่างของบ้านด้วยความไม่สบายใจ กับภาพความสนิทสนมอาวรณ์ที่คุณหนูของตนมีต่ออดีตคนขับรถอย่างเกินกว่าปกติ ลังเลว่าตนควรบอกเรื่องนี้กับเจ้านายหรือไม่
เขาสังหรณ์ไม่ดีเลย...
....................................
"ปภพ เดี๋ยวมาพบฉันหน่อยนะ" ผู้ที่อุตส่าห์ลงมาตามคนงานถึงมุมพักผ่อนสำหรับคนงานหลังบ้านบอกกับชายหนุ่มที่กำลังบิดผ้าตาก ก่อนเขาจะล่วงหน้ากลับไป
ปภพหนีบเสื้อตัวสุดท้ายในตะกร้ากับเชือกซึ่งขึงระหว่างเสาสำหรับตากเสื้อผ้าส่วนตัวของบรรดาคนงาน เขายกแขนเสื้อที่สวมใส่ปาดเหงื่อบนใบหน้า เมื่อนำตะกร้าไปเก็บแล้วจึงตามบุรุษวัยกลางคนขึ้นไป
"คุณวิเชียรมีอะไรให้ผมรับใช้หรือครับ" เขาถามหลังได้รับอนุญาตให้เข้าไปในห้องทำงาน
ผู้จัดการบ้านลอบถอนหายใจ เขาดันแว่นพินิจมองชายฉกรรจ์ที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามโต๊ะ ดูอย่างไรก็ไม่คิดว่าคนอย่างนี้จะจงใจทอดไมตรีให้เด็กสาวได้ ชายผู้นี้หยิ่งทะนง และดูจะเมินเฉยต่อความรู้สึกของผู้อื่น ไม่ว่าสิ่งที่ได้รับจะเป็นความรักหรือเกลียดชัง ก็ไม่มีสิ่งใดมาทำลายภาพความเป็นคนแข็งของเขาได้เลย
แต่ขณะเดียวกันวิเชียรก็ต้องยอมรับว่าด้วยคุณสมบัติเหล่านั้น มันคือเครื่องดึงดูดเพศตรงข้ามอย่างดี โดยเฉพาะคุณหนูของตนที่ชอบความท้าทาย ไม่ว่าจะต่อตัวเอง ต่อพ่อบังเกิดเกล้า หรือสายตาของสังคม
เขาตัดสินใจเอ่ยเตือนปภพให้ระวังตัวเสียก่อน หากเรื่องทำท่าจะเกินเลยไปก็คงต้องขึ้นกับพ่อเลี้ยงเรืองเดชแล้วว่าจะทำเช่นไร
"วันนี้วันพักของนาย ฉันคงไม่รบกวนนายนานหรอกนะ"
"แต่วันนี้เวรผมนี่ครับ"
"เมื่อคืนคุณอ้อมมาพูดกับฉันให้นายพักอีกวัน ฉันเห็นด้วยนะ แล้วท่านก็กลับมาเมื่อเช้ามืดนี่เอง วันนี้คงไม่ออกไปไหนกระมัง"
"คุณวิเชียรได้บอกเรื่องอุบัติเหตุกับท่านหรือยัง”
"ยังหรอก แต่ถ้าท่านลงมาเมื่อไรคงต้องบอก ที่ฉันเรียกนายมาพบก็เพราะ..." ผู้จัดการผ่อนลมหายใจอีกครา "ฉันอยากให้นายระวังตัวกับคุณอ้อมไว้บ้างก็ดี เธอยังเด็กนัก ทำอะไรอาจไม่ทันยั้งคิด นายเข้าใจที่ฉันพูดใช่ไหม"
ดวงตาผู้ฟังเข้มขึ้นเมื่อรู้สึกเหมือนตนกำลังถูกหยามเกียรติ โกรธที่ได้ยินคำพูดราวเขากำลังจะนอกใจภรรยา ย่ำยีสมพรซ้ำด้วยการรักลูกของฆาตกร ซึ่งไม่มีวันเกิดขึ้นจริง!
หากศีรษะซึ่งก้มเล็กน้อยทำให้วิเชียรไม่อาจคาดเดาความรู้สึกฝ่ายตรงข้ามได้ถูก เขาเอ่ยสืบไปถึงภัยที่อาจมาถึงตัวอีกฝ่าย
"เห็นท่านกับคุณอ้อมระหองระแหงอย่างนั้น แต่อย่างไรก็ขึ้นชื่อว่าลูกล่ะนะ ท่านหวังสิ่งดี สูงส่งให้คุณหนูเสมอ นายก็รู้ดีว่าจุดจบของผู้ที่ดึงลูกท่านเสื่อมเสียเป็นเช่นไร รักมากก็ย่อมเจ็บมาก ฉันเตือนก็เพราะเสียดายคนขยัน ตั้งใจดีอย่างนายนะปภพ"
ปภพเค้นเสียงรับคำลำบาก "ครับ"
เขาเข้าใจทุกคำพูดของคุณวิเชียรอย่างดี คำเตือนให้ทราบถึงอันตรายที่เขาไม่ได้เป็นฝ่ายผิดเสียด้วยซ้ำ แต่เป็นเพราะความคึกคะนองของเด็กสาวเองที่อาจทำให้ผู้อื่นเข้าใจเขาผิด
น่าแปลกที่ชายหนุ่มกลับไม่กลัวสักนิด ถ้าเรื่องเป็นไปตามที่ผู้จัดการเก่าแก่คาดก็เท่ากับเขากุมดวงใจมันไว้ในมือ
สิ่งดี...สิ่งสูงส่งน่ะหรือ รักมากก็เจ็บมากอย่างนั้นซี เขาอยากให้มันสัมผัสความรู้สึกนั้นจริงๆ
.........................
แพรวมีภาพปกกุหลาบซ่อนเพลิง จากสนพ. ไอวี่มาฝากด้วยค่ะ
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=718758338155220&set=a.694414810589573.1073741829.684764078221313&type=1&theater
เรื่องนี้ก็ใกล้วางแผงแล้ววว แต่ก็ยังไม่รู้วันที่แน่นอนเหมือนกัน 55
แพรวก็จะอัพไปจนรู้วันวางแผงล่ะเนอะ

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 22 ก.พ. 2557, 16:43:39 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 22 ก.พ. 2557, 16:43:39 น.
จำนวนการเข้าชม : 1389
<< บทที่ ๕ สร้างศัตรู | บทที่ ๗ รักต้องห้าม >> |

ปริยาธร 22 ก.พ. 2557, 22:54:29 น.
อ้อมรู้ใจตัวเองแล้ว ปภพจะใจอ่อนบ้างไหมหนอ
อ้อมรู้ใจตัวเองแล้ว ปภพจะใจอ่อนบ้างไหมหนอ

ภาพิมล_พิมลภา 23 ก.พ. 2557, 09:30:18 น.
พี่นุ้ย - จริงๆแล้วอ้อมอาจยังไม่รู้ใจตัวเองแน่ชัดก็ได้ค่ะ เป็นความคิดชั่วแล่นของวัยรุ่น แต่อยู่ที่ความรู้สึกซึ่งจะพัฒนาต่อจากนี้มากกว่า ตอนนี้เธอคิดว่าเธอรักเขา ก็เพราะเธอต้องการความรักจากเขา ประมาณนั้นค่ะ แหะๆ โม้ยาวไปละ
พี่นุ้ย - จริงๆแล้วอ้อมอาจยังไม่รู้ใจตัวเองแน่ชัดก็ได้ค่ะ เป็นความคิดชั่วแล่นของวัยรุ่น แต่อยู่ที่ความรู้สึกซึ่งจะพัฒนาต่อจากนี้มากกว่า ตอนนี้เธอคิดว่าเธอรักเขา ก็เพราะเธอต้องการความรักจากเขา ประมาณนั้นค่ะ แหะๆ โม้ยาวไปละ
