กุหลาบซ่อนเพลิง
เพราะพวกมันพรากชีวิตลูกเมียเขา
จึงเปลี่ยนเส้นทางชีวิตของสุจริตชนคนหนึ่งให้มุ่งหน้าสู่เพลิงโลกันต์
'ปภพ' ต้องชำระแค้นนี้ให้ได้ ต่อให้ต้องข้ามผ่านกี่ชีวิตคน
รวมทั้งชีวิตของเด็กสาวอย่าง 'อัมพิกา' ผู้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขศัตรู
กุหลาบแรกแย้มกำลังไหม้ไฟ ไฟที่เธอเต็มใจเข้าใกล้
แม้สุดท้ายทั้งกุหลาบและไฟอาจมอดไหม้เหลือเพียงเถ้าธุลี
จึงเปลี่ยนเส้นทางชีวิตของสุจริตชนคนหนึ่งให้มุ่งหน้าสู่เพลิงโลกันต์
'ปภพ' ต้องชำระแค้นนี้ให้ได้ ต่อให้ต้องข้ามผ่านกี่ชีวิตคน
รวมทั้งชีวิตของเด็กสาวอย่าง 'อัมพิกา' ผู้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขศัตรู
กุหลาบแรกแย้มกำลังไหม้ไฟ ไฟที่เธอเต็มใจเข้าใกล้
แม้สุดท้ายทั้งกุหลาบและไฟอาจมอดไหม้เหลือเพียงเถ้าธุลี
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: บทที่ ๗ รักต้องห้าม
๗
บ้านบนดอยไกลออกไปเงียบสงบ เป็นบ้านพักตากอากาศแบบ 'ล็อก เคบิน' บนยอดดอยสูงที่ล้อมรอบด้วยป่าเขา ทว่าภายใต้สายหมอกของบรรยากาศดีๆ แล้ว ที่นี่ยังเป็นสนามซ้อมยิงปืนธรรมชาติ โคนต้นไม้ใหญ่และสัตว์ในป่าทึบคือเป้าฝึกปรือ
ปภพเคยมาที่แห่งนี้พร้อมสมหมาย มันห่างไกลชุมชนพอที่จะลั่นไกได้โดยไม่ต้องเกรงผู้ใดตื่นตระหนก ซ้ำเจ้าของบ้านยังไม่หวงห้ามลูกน้องเข้านอกออกในตามสะดวก เว้นแต่ภายในตัวบ้าน ทั้งสมหมายและยอดธงจึงมักใช้เวลาว่างขึ้นมาหาความสำราญให้ตนเองประสาผู้ที่ชอบล่าสัตว์
ชายหนุ่มจอดรถจักรยานยนต์ในเขตรั้วบ้าน บ้านสามชั้นบนเนินสูงตระหง่านสร้างจากไม้ท่อนใหญ่หลายต้นมูลค่ามหาศาล ไม่มีคนงานใดได้เหยียบย่างเข้าไปเว้นแต่ได้รับอนุญาต เขาเดินห่างเข้าไปตามแนวชายป่าที่มีรั้วเหล็กสานกั้นไว้ ผลักประตูเปิดก่อนเดินดุ่มไปพร้อมอาวุธปืนในมือ
ผืนดินชื้นสีน้ำตาลเข้มแน่นหนาด้วยชั้นดินหิน มันเป็นชั้นราวขั้นบันไดไม่ให้คนเดินไถลลงไป ต้นไม้ใหญ่ยืนต้นสูงชะลูดทึบรอบด้านทำให้ปภพมั่นใจว่านี่คงเป็นเขตป่าสงวน แน่นอนว่ากฎหมายทำอะไรพ่อเลี้ยงเรืองเดชไม่ได้ ตราบใดที่ผู้ถือกฎหมายจงใจปิดตา ไม่รู้ไม่เห็นใดๆ
รอยแตกบนเนื้อไม้คือเป้าท้าทายมือแม่นปืนคนต่อๆ ไป เขาก้าวถอยหลังเหยียบกิ่งไม้จนได้ระยะที่ต้องการ เหยียดแขนยกขึ้นระดับไหล่ ทุกอย่างเงียบสงบ หูเขาไม่ได้ยินเสียงอะไรนอกจากเสียงเต้นเป็นจังหวะของหัวใจตนเอง สายตาเขามองไม่เห็นอะไรนอกจากเป้าเล็กที่เพ่งมอง
เปรี้ยง!
"กรี๊ด!" เสียงกรีดร้องดังขึ้นด้วยความตกใจ
กระสุนนัดหนึ่งพุ่งออกจากปากกระบอกปืนไปฝังหัวของมันกับเนื้อไม้ ห่างจากเป้าที่ตั้งใจไว้ราวสองนิ้ว ปภพลดปืนลงด้วยความผิดหวัง หงุดหงิดที่ทำไม่ได้ดั่งใจ แม้ตอนหันขวับมองที่มาของเสียง ดวงตาขุ่นเขียวก็ตวัดมองใบหน้าชื้นเหงื่อแทบบาดกลางใจอีกฝ่าย
เขาทำท่าจะเดินหนีกลับทางเดิมเมื่อเห็นเด็กสาว คงไม่แคล้วเจ้าหล่อนสั่งให้คำพูนเป็นผู้พามา เพราะชายชราทราบดีว่าเขาจะมาที่นี่ก่อนเขาขี่รถจักรยานยนต์ออกมา คำเตือนของคุณวิเชียรดังขึ้นอีกครั้งในหู ยิ่งเพิ่มความหงุดหงิดที่เจ้าหล่อนกำลังจะทำเรื่องให้ยากกว่าเดิม ทั้งที่เขาพยายามระงับใจไม่ดึงผู้บริสุทธิ์มาเกี่ยวข้อง แต่จะว่าไปเธอก็ไม่ได้ดีกว่าเด็กใจแตกคนหนึ่ง
"ทำไมนายต้องเดินหนีฉันอยู่เรื่อย!" อัมพิกาโวยอย่างน้อยใจ
เธออุตส่าห์ตามเขามาถึงนี่ ทันทีที่ได้ทราบจากคำพูนว่าเขาไม่ได้อยู่พักผ่อนที่บ้านตามความต้องการของเธอ แต่เขากลับมีท่าทีมึนตึง เดินหนีร่ำไป
หากคราวนี้เด็กสาวไม่ทันวิ่งดักหน้า ร่างสูงใหญ่บนเนินสูงกว่าก็หันมาด้วยใบหน้าถทึง
"ก็แล้วทำไมคุณต้องคอยตามผม คนงานบ้านนั้นยังไม่พอรองรับอารมณ์คุณหรือไง" เขาโต้กลับดุเดือด ก่อนจะนึกได้เมื่อเห็นสีหน้าซีดขาวสลับแดงก่ำของอีกฝ่าย
"ทำไมนายต้องพูดกับฉันขนาดนี้ ใช่ คนงานบ้านนั้นไม่พอรองรับความเลวร้ายของฉันหรอก แต่ฉันไม่เคยดีกับใคร ห่วงใครเท่านาย ไม่คิดเลยว่ามันจะทำให้นายรำคาญและยิ่ง...เกลียดฉัน" เธอเอ่ยเสียงสะท้าน คำสุดท้ายนั้นแทบไม่ผ่านริมฝีปากออกไป
อัมพิกาตรงไปทุบแผ่นอกกว้างของอีกฝ่ายอย่างเจ็บช้ำน้ำใจ ลืมไปเสียสนิทว่าเมื่อวานเธอเองที่อยากสัมผัส ซุกซบอกหนานั้นเพียงไร ลืมแม้กระทั่งว่าเขาได้รับบาดเจ็บ และเธอก็มาที่นี่เพราะเหตุแห่งความห่วงใยนั้นนั่นเอง
ปภพเม้มริมฝีปากอดกลั้นความเจ็บปวด เขายื้อข้อมือเธอไว้ได้ทั้งสองข้าง ก่อนกระตุกแรงให้เจ้าหล่อนสงบสติอารมณ์
"ฟังนะคุณอ้อม ฟัง!" เขาเอ่ยเสียงเข้ม "ผมไม่ได้เกลียดคุณ แต่ผมไม่ใช่เพื่อนเล่น ไม่ใช่คนที่อยู่ในสังคมเดียวกับคุณ เข้าใจไหมว่าทำไมคุณจึงไม่ควรลดตัวลงมาคลุกคลีกับคนอย่างพวกเรา"
หางม้าที่รัดไว้หลวมๆ ยุ่งเหยิงเมื่อเด็กนักเรียนสั่นศีรษะไปมา เธอควรจะพอใจคำตอบนั้น อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้เกลียดเธอดังที่คิด แต่ทำไมตนยังคงเสียใจนักก็สุดรู้ หรือเพราะว่าเธอไม่เคยมีค่าใดในสายตาเขาเลย
"ฉันไม่เข้าใจ ฉันก็ไม่อยากยุ่งกับนาย แต่ฉันห้ามตัวเองไม่ได้ ฉันอายและเกลียดตัวเองแทบตายอยู่แล้วที่ต้องบากหน้ามาตอแยนาย นายรู้บ้างไหม"
อัมพิกาปล่อยน้ำตาไหลรินอย่างสุดกลั้น เธอจะพูดให้หมด ร้องไห้ให้วันพรุ่งนี้ไม่มีน้ำตาอีกต่อไป
"อ้อม..."
"ฉันต้องใช้ยาให้ลืมสายตาสมเพชของนาย เสียงหัวเราะเยาะของนายดังหลอกหลอนฉัน ทุกอย่างตอกย้ำว่าฉันมันไร้ค่าต่อทุกคนบนโลกนี้มากแค่ไหน แล้วฉันก็ต้องตื่นขึ้นมาเพื่อมองแผ่นหลังที่นายหันหลังให้ฉันทุกวัน"
ชายหนุ่มดึงร่างบางเข้าสู่อ้อมกอด เป็นอ้อมกอดแห่งความสงสาร โอบปลอบแก้วร้าวที่เจียนจะแตกสลายลงไปต่อหน้าต่อตา ก่อนจะรู้สึกถึงอ้อมแขนซึ่งรัดตอบรอบเอวเขาแน่น เด็กสาวสะอื้นไห้แรงกับอกแกร่งที่เธอใฝ่ฝันถึงมานาน
"ฉันรักนายได้ไหม ฉันจะรักใครสักคนอย่างคนอื่นบ้างได้ไหมปภพ"
ตะกอนในก้นบึ้งหัวใจสาวถูกกวนให้พลุ่งพล่านขึ้นมาจนไม่อาจกดเก็บความนัย
ชายหนุ่มคลายอ้อมกอดอย่างคาดไม่ถึง แม้พอรู้จากน้ำคำตัดพ้อว่าเธอคิดเช่นไรกับเขา แต่ก็เร็วเกินกว่าจะตั้งตัวได้ทันยามเธอเอ่ยออกมา
มีเพียงความสงสาร สมเพชเวทนาเท่านั้นแล ที่เธออ่อนไหว...อ่อนแอเช่นนี้ก็เพราะขาดความรักความอบอุ่นจากครอบครัว ธรรมชาติของมนุษย์ที่ต้องการความรักจึงต้องมองหาความรัก ความมั่นคงจากผู้อื่น โดยไม่เฉลียวใจว่าคนเหล่านั้นอาจหาประโยชน์จากตนหรือไม่
เขาทั้งสงสารและสมเพชเวทนาเธอ คำปฏิเสธจึงติดอยู่แค่ลำคอ
"รู้ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับผม" เสียงถามราบเรียบ
หากอัมพิกาตอบจริงจัง เด็ดเดี่ยว "จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับนายทั้งนั้น ไม่ว่าวันนี้ พรุ่งนี้ หรือเมื่อไรก็ตาม"
เพราะเธอจะปกป้องเขาด้วยชีวิต ไม่ว่าจากใครหรือภยันตรายใดๆ
ปภพดันตัวเธอออกมาสบตาแน่วแน่ "ถ้าอย่างนั้นคุณควรกลับไปได้แล้ว"
"แล้วนายล่ะ" เธอถามอย่างอาวรณ์
"เดี๋ยวผมก็กลับไป" หางเสียงตอบติดรำคาญเล็กน้อย
อัมพิกายืนลังเลระหว่างความเกรงกับความกล้า ก่อนเธอจะเขย่งปลายเท้าแล้วเงยหน้าขึ้นจุมพิตยังคางสากของชายหนุ่ม อ่อนโยนหากลึกซึ้ง...จนใจหวามไหวไปทั้งดวง
ปภพสบตากับดวงตาชุ่มน้ำตาทว่าฉ่ำหวาน เขายืนแข็งทื่อมองตามเธอก้าวระวังขณะกลับขึ้นไป แล้วก็ได้รู้ว่าความต้องการทางกายที่ตนปิดกลั้นมาตลอดจนเขาคิดว่ามันตายไปแล้ว บัดนี้มันแทบระเบิดออกมา
...................................
ทนายความประจำตัวพ่อเลี้ยงเรืองเดชถูกตามตัวมาที่บ้านตามคำสั่งของผู้มีอิทธิพล เพื่อวางแผนดำเนินคดีฟ้องร้องเสี่ยจรัญที่ติดหนี้สินเขากว่าสามสิบล้านบาท แน่นอนว่าเงินเท่านั้นผู้ให้กู้ยืมไม่เคยเสียดาย แต่เพื่อเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู เขาต้องสั่งสอนและสั่งสมความกลัว ยำเกรงแก่คู่ธุรกิจทุกคน
"ในเมื่อมันได้เงินประกัน เราก็ฟ้องเอาก่อนที่มันจะยักยอกไปได้ทัน" เสียงเอ่ยหมายมาด
ทนายความชื่อดังที่ไม่เคยพ่ายแพ้คดีใดยิ้มกระหยิ่ม เขาทำงานกับพ่อเลี้ยงเรืองเดชมาหลายคดี นอกจากจะไม่เคยทำให้ลูกความผิดหวังแล้วตนยังได้ค่าตอบแทนที่คุ้มค่า ยิ่งลูกความคนสำคัญมีคดีมากเท่าไรก็หมายถึงรายได้ที่มากตามของเขาเอง
"ถ้าเช่นนั้นผมจะรีบกลับไปเขียนคำฟ้อง แล้วจะแฟ็กส์ถึงคุณวิเชียรมาให้ท่านเร็วที่สุดนะครับ"
"ฮื่อ ขอบใจมาก"
เจ้าของบ้านลุกยืนส่ง เมื่อแขกลากลับไปแล้วเขาจึงหันมาหรี่ตามองผู้คุ้มกันที่ยืนนิ่งเป็นเสาหิน ผู้จัดการดูแลบ้านนี้เล่าเรื่องอุบัติเหตุให้ฟังหมดแล้ว แต่วันนี้เขาเพิ่งมีเวลาได้พบมัน
"วิเชียรบอกฉันว่าให้นายพัก แล้วเป็นไงบ้างล่ะ"
ปภพเชื่อว่านั่นเป็นการเกริ่นเพื่อนำไปสู่บางสิ่งมากกว่าถามด้วยความห่วงใยจริงๆ เพราะผู้ถามเปิดแฟ้มปกแข็งสีดำกวาดตาอ่านเอกสารภายในไปพลาง กระนั้นเขาก็ต้องตอบอยู่ดี
"ดีขึ้นแล้วครับ"
แล้วสิ่งที่เขาคาดไว้ก็ตามมาในคำถามต่อไป...
"มันไม่ใช่อุบัติเหตุใช่ไหม นายคิดว่าเป็นฝีมือใคร"
"ผมไม่ทราบครับ"
"รู้ไหม ฉันเกลียดคำนี้ที่สุด" เสียงตอบเครียดขึ้ง "แต่เพราะนายทำได้ดีในสถานการณ์นั้น ฉันจะไม่ตำหนิ เพราะฉะนั้นแต่นี้ต่อไปพวกนายสามคนต้องผลัดไปคุ้มกันยัยอ้อมด้วย แต่อย่าให้โฉ่งฉ่างจนยัยตัวแสบแผลงฤทธิ์เข้าอีกคน แล้วฉันจะหาคนมาเพิ่ม"
ชายหนุ่มค้อมศีรษะ กุมมือไว้ข้างหน้าอย่างสำรวม ไม่ให้มันจับสังเกตได้ว่าเขาคั่งแค้นเพียงใดที่ถูกตำหนิ
มันยังกล้าให้เขาดูแลอัมพิกา แสดงว่าเรื่องที่คุณวิเชียรตักเตือนเขายังไม่ทราบถึงหูมัน ยิ่งเด็กสาวลุ่มหลง หลงรักเขาลึกเท่าไร อย่างที่เธอแสดงเมื่อเย็นวานนี้ เขาก็ทำลายหัวใจมันได้ทุกเมื่อเช่นกัน
............................
กลิ่นน้ำหอมอวลฟุ้งไปทั้งคันรถ ทันทีที่บุรุษวัยกลางคนในชุดสูทสากลและกางเกงผ้าสีขาว เสื้อเชิ้ตตัวในสีน้ำเงิน ก้าวขึ้นที่นั่งด้านหลังรถมา ก่อนผู้คุ้มกันหนุ่มจะปิดประตูให้และเข้าไปนั่งยังที่นั่งข้างคนขับ คนขับรถมือวางอันดับหนึ่งประจำตัวผู้ทรงอิทธิพลจึงค่อยเคลื่อนรถออกไป
กำหนดการคืนนี้คือการเข้าพบบุคคลสำคัญที่ทุกคนเรียกว่า 'นายใหญ่' ไม่เว้นแม้แต่ผู้กว้างขวาง ยิ่งใหญ่อย่างพ่อเลี้ยงเรืองเดชก็ดูจะกระตือรือร้นเข้าพบบุคคลผู้นี้ ปภพยินดีนักที่เขาได้รับความไว้วางใจให้ติดตาม
ไม่นานรถก็มาหยุดยังหน้าโรงแรมที่พักห้าดาว คนขับส่งเจ้านายและเขายังหน้าโรงแรมก่อนนำรถไปจอด ร่างสูงใหญ่ซึ่งติดตามบุรุษวัยกลางคนเข้าไปยิ่งเพิ่มความน่าเกรงขามให้แก่พ่อเลี้ยงหนุ่มใหญ่ในสายตาคนมอง
ลิฟต์เคลื่อนขึ้นสู่ที่หมายชั้นบนสุด ตลอดระเบียงทางเดินปูด้วยพรมสีแดง มีเสาเหมือนซุ้มโค้งตกแต่งผนังและเพดานไปตลอดทาง ผู้เข้าพักคงเหมาที่พักชั้นบนสุดนี้ เมื่อมีชายฉกรรจ์ในชุดสูทสีดำยืนจังก้าอยู่หน้าห้องพักโดยไม่เกรงใจแขกคนอื่น และทันทีที่เห็นพวกเขามันก็หยิบไมโครโฟนจิ๋วซึ่งห้อยจากหูลงมาคล้องคอขึ้นรายงาน ก่อนประตูไม้เนื้อหนาอย่างดีจึงค่อยเปิดออกมา
ปภพลอบสังเกตผู้ที่ออกมาต้อนรับพ่อเลี้ยง เขาเป็นชายร่างเล็ก แก้มคล้ำซูบตอบมีรอยยิ้มกว้างจนเห็นฟันเกือบครบทุกซี่ ท่าทางนั้นไม่บ่งบอกว่าเป็นผู้มีอำนาจ ก่อนพ่อเลี้ยงเรืองเดชจะแนะนำเขาให้บุรุษผู้นั้นรู้จัก
"เอ้า คุณเสมอ รู้จักคนใหม่ของผมไว้ซี ปภพเพิ่งมาทำงานกับผม แต่ฝีมือ...อย่างนี้" ผู้พูดยกนิ้วหัวแม่มือขึ้นการันตี
"ท่านกับผมน่ะเชื่อใจพ่อเลี้ยงกับคนงานทุกคนอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่ให้โควต้ามากเป็นพิเศษกับพ่อเลี้ยงหรอก"
คนถูกยกยอหัวเราะชอบใจ ปภพเกือบจะแน่ใจว่าตนเห็นแววตาชิงชังวูบหนึ่งในดวงตาฝ่ายตรงข้าม หากก็เพียงพริบตาเดียวเท่านั้นก็หายไป ซึ่งผู้ที่หลงยินดีกับคำชมคงไม่ทันสังเกตเป็นแน่
"ไป เข้าไปพบท่านเถอะครับ ผลงานล็อตที่แล้วท่านชมพ่อเลี้ยงไม่ขาดปากทีเดียว"
พ่อเลี้ยงเรืองเดชยังคงหัวเราะอย่างอารมณ์ดี แล้วจึงกระแอมนิดหนึ่งขณะผู้ที่เปรียบเสมือนเลขานุการนายใหญ่เคาะและเปิดประตูห้องหนึ่งทางฝั่งขวาของห้องนั่งเล่น พลางผายมือเชิญแขกพิเศษเข้าไป
ภายในห้องถูกตกแต่งเป็นห้องทำงาน มีทั้งโต๊ะประชุมเล็กขนาดหกที่นั่ง ตู้นิรภัย ตู้หนังสือ และโต๊ะทำงานขนาดใหญ่พร้อมเก้าอี้พนักสูง เหมาะสำหรับเป็นห้องชุดของนักธุรกิจใหญ่ที่เดินทางมาทำธุระเรื่องกิจการการค้าทีเดียว และชายผู้ที่เงยหน้าขึ้นมาจากแฟ้มเอกสารหลังโต๊ะทำงานนั้นก็เป็นผู้ที่ปภพไม่คาดคิดมาก่อน
บุรุษสูงวัยผมสีดอกเลามีรอยยิ้มที่ทำให้คนมองขนคอลุกชัน พ่อเลี้ยงเรืองเดชพนมมือไหว้พร้อมกับค้อมตัวต่ำ ว่าไปแล้วแผ่นหลังที่มักเหยียดตรงอย่างหยิ่งทะนงเสมอของเจ้านายเขา บัดนี้กลับงองุ้มไม่ต่างจากตัวกุ้ง ด้วยความยำเกรงผู้ที่ใครต่างเรียกขานว่า 'นายใหญ่' ผู้นี้นั่นเอง
เขาคือคนที่เคยปรากฏตัวตามสื่อ บนหน้าหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์อยู่บ้างจนคุ้นตา แม้ชายหนุ่มจะไปทำงานเมืองนอกเมืองนาหลายปี แต่ก็จำอดีตนักการเมืองใหญ่ที่วางมือจากแวดวงการเมืองท่านนี้ได้แม่นยำ หรือแท้จริงแล้วท่านจะยังไม่เคยวางมือจากมันเลย
"ไง พ่อเลี้ยง นั่งก่อนซี สบายดีนะ" เสียงทุ้มกังวานเอ่ยถาม
"ครับท่าน เพราะท่านแท้ๆ ผมถึงได้สุขสบาย" ผู้น้อยตอบพลางเลื่อนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามนั่งลงตามที่ได้รับอนุญาต
"คราวที่แล้วฝีมือใคร ตบรางวัลให้หนักล่ะ สินค้าล็อตใหญ่ส่งถึงปลายทางได้ตรงเวลาดีนะ คนของพ่อเลี้ยงไม่เคยทำให้ผมผิดหวังจริงๆ"
ปภพซึ่งยืนอยู่ใกล้บานประตูขยับตัวตรงตั้งใจฟัง เขามั่นใจว่าสินค้าล็อตล่าสุดที่บุรุษสูงวัยเอ่ยถึงย่อมต้องเกี่ยวข้องกับชีวิตลูกเมียเขา ในเมื่อนับแต่ตนเข้ามาทำงานที่นี่ก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวระหว่างเจ้านายกับขบวนการค้ายานรกนั่นเลย
"ไอ้คนคุมมันชื่อจักรครับ เพิ่งคุมงานแรก ตอนแรกผมก็หวั่นใจแต่ช่วงนี้ขาดคนจริงๆ เห็นมันทำงานมาหลายปีก็เลยเสี่ยงวัดดวงดู"
"กล้ามากนะพ่อเลี้ยง"
คำชมกึ่งสัพยอกเรียกเสียงหัวเราะชอบใจจากพ่อเลี้ยงเรืองเดชลั่นห้อง หากนายใหญ่กลับมีเพียงรอยยิ้มบางอย่างยากจะหยั่งถึงความรู้สึกนึกคิดได้
"เสมอ ไปเอาของฝากจากสวิสของฉันมาที"
ชายร่างผอมแกร็นค้อมศีรษะรับคำสั่งก่อนเปิดประตูออกไป ไม่นานก็กลับเข้ามาพร้อมถุงกระดาษเป็นมันเงาขนาดเล็ก ผู้อาวุโสส่งให้พ่อเลี้ยงเปิดออกดู
"สองร้อยเรือนในโลกเท่านั้น" นายใหญ่เสริม
ปภพได้ยินเสียงนายตนอุทาน ครางในลำคอด้วยความพึงพอใจ เห็นจากไกลๆ ว่าเป็นนาฬิกาข้อมือดังที่พ่อเลี้ยงเรืองเดชสะสม ก่อนอีกฝ่ายจะเอ่ยถึงธุระสำคัญเข้าประเด็นที่เขารอคอยเสียที
"ล็อตหน้า...หวังว่าพ่อเลี้ยงจะไม่ทำให้ผมผิดหวังอีกนะ"
"ครับท่าน" บุรุษวัยกลางคนตอบจริงจัง
"แล้วเสมอจะติดต่อไป"
เรืองเดชไม่ทู่ซี้ต่อเมื่อได้รับมอบหมายภารกิจ ทันทีที่ขึ้นรถจึงต่อโทรศัพท์ประสานงานกับเครือข่ายของตนทันที เขาอยู่ในแวดวงนี้มานานพอจะรู้ว่าเวลาที่เสียไปย่อมถูกไล่ตามใกล้ยิ่งขึ้น จากเจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่เท่าคู่แข่งคนสำคัญ
"เฮ้ย เดี๋ยวส่งผีเสื้อสาวสักตัวสองตัวไปที่โรงแรมเดิม ห้องเดิมนะ แล้วพรุ่งนี้แกมาพบฉันด้วย"
...................................
ปภพสะกดกลั้นความคั่งแค้นต่อเจ้านายและคนปลายสายที่มันคุยด้วยมาจนถึงห้องพัก ทันทีที่เห็นว่าผู้ที่ทราบความเป็นไปต่างๆ ก่อนเกิดเหตุกับลูกเมียเขากำลังตากผ้าขนหนูกับราวเหล็กหลังห้อง ตนจึงโพล่งถามด้วยความคับแค้นใจเจียนระเบิด
"ไอ้จักร ไอ้จักรใช่ไหมพี่ที่ฆ่าพรกับลูก"
สมหมายชะงักมือนิดหนึ่ง ใจเขาหล่นวูบทั้งที่ควรจะดีใจที่มีผู้ร่วมแบ่งปันความแค้นไป
"นายไปเจอมันเรอะ"
"เปล่า แต่ผมต้องได้เจอมันแน่" ชายหนุ่มเอ่ยหมายมาด
ดวงตาวาวโรจน์จ้องตอบอีกฝ่าย ก่อนผู้อาวุโสกว่าจะหลุบเปลือกตาลงพลางถอนหายใจ
"ปภพ..."
คนถูกเรียกเอ่ยสวนขึ้นมา "ทำไมพี่ไม่บอกผมแต่แรกว่ามันเป็นใคร ชื่ออะไร"
"บอกไปนายจะไม่ร้อนใจแทบบ้าอย่างนี้เหรอ ตราบใดที่เรายังไม่มีโอกาสจัดการมัน"
ปภพกำมือแน่น ก่อนเขาจะทิ้งตัวลงนั่งบนเตียง ยกฝ่ามือลูบใบหน้าอย่างพยายามสงบสติอารมณ์
"แต่โอกาสกำลังจะเป็นของเราแล้ว พรุ่งนี้มันจะมาที่นี่" เขาเค้นเสียงลอดไรฟันกับฝ่ามือ
"นายจะทำอะไร"
ชายหนุ่มไม่ตอบ เขากำลังคิดหาวิธีที่รอบคอบที่สุดที่จะกำจัดมัน โดยไม่ลืมเผื่อลมหายใจแห่งความแค้นแก่พ่อเลี้ยงเรืองเดชอีกคน
..................................
ตอนหน้าปภพก็จะได้เจอหน้าฆาตกรที่ฆ่าลูกเมียเขาแล้วค่ะ
แต่ขณะที่เขามุ่งมั่นแก้แค้น ความรักที่อัมพิกามีให้จึงไร้ค่า
เรื่องนี้ยังมีปมต้องสะสางอีกมากเลย อย่าเพิ่งเบื่อกันนะคะ
บ้านบนดอยไกลออกไปเงียบสงบ เป็นบ้านพักตากอากาศแบบ 'ล็อก เคบิน' บนยอดดอยสูงที่ล้อมรอบด้วยป่าเขา ทว่าภายใต้สายหมอกของบรรยากาศดีๆ แล้ว ที่นี่ยังเป็นสนามซ้อมยิงปืนธรรมชาติ โคนต้นไม้ใหญ่และสัตว์ในป่าทึบคือเป้าฝึกปรือ
ปภพเคยมาที่แห่งนี้พร้อมสมหมาย มันห่างไกลชุมชนพอที่จะลั่นไกได้โดยไม่ต้องเกรงผู้ใดตื่นตระหนก ซ้ำเจ้าของบ้านยังไม่หวงห้ามลูกน้องเข้านอกออกในตามสะดวก เว้นแต่ภายในตัวบ้าน ทั้งสมหมายและยอดธงจึงมักใช้เวลาว่างขึ้นมาหาความสำราญให้ตนเองประสาผู้ที่ชอบล่าสัตว์
ชายหนุ่มจอดรถจักรยานยนต์ในเขตรั้วบ้าน บ้านสามชั้นบนเนินสูงตระหง่านสร้างจากไม้ท่อนใหญ่หลายต้นมูลค่ามหาศาล ไม่มีคนงานใดได้เหยียบย่างเข้าไปเว้นแต่ได้รับอนุญาต เขาเดินห่างเข้าไปตามแนวชายป่าที่มีรั้วเหล็กสานกั้นไว้ ผลักประตูเปิดก่อนเดินดุ่มไปพร้อมอาวุธปืนในมือ
ผืนดินชื้นสีน้ำตาลเข้มแน่นหนาด้วยชั้นดินหิน มันเป็นชั้นราวขั้นบันไดไม่ให้คนเดินไถลลงไป ต้นไม้ใหญ่ยืนต้นสูงชะลูดทึบรอบด้านทำให้ปภพมั่นใจว่านี่คงเป็นเขตป่าสงวน แน่นอนว่ากฎหมายทำอะไรพ่อเลี้ยงเรืองเดชไม่ได้ ตราบใดที่ผู้ถือกฎหมายจงใจปิดตา ไม่รู้ไม่เห็นใดๆ
รอยแตกบนเนื้อไม้คือเป้าท้าทายมือแม่นปืนคนต่อๆ ไป เขาก้าวถอยหลังเหยียบกิ่งไม้จนได้ระยะที่ต้องการ เหยียดแขนยกขึ้นระดับไหล่ ทุกอย่างเงียบสงบ หูเขาไม่ได้ยินเสียงอะไรนอกจากเสียงเต้นเป็นจังหวะของหัวใจตนเอง สายตาเขามองไม่เห็นอะไรนอกจากเป้าเล็กที่เพ่งมอง
เปรี้ยง!
"กรี๊ด!" เสียงกรีดร้องดังขึ้นด้วยความตกใจ
กระสุนนัดหนึ่งพุ่งออกจากปากกระบอกปืนไปฝังหัวของมันกับเนื้อไม้ ห่างจากเป้าที่ตั้งใจไว้ราวสองนิ้ว ปภพลดปืนลงด้วยความผิดหวัง หงุดหงิดที่ทำไม่ได้ดั่งใจ แม้ตอนหันขวับมองที่มาของเสียง ดวงตาขุ่นเขียวก็ตวัดมองใบหน้าชื้นเหงื่อแทบบาดกลางใจอีกฝ่าย
เขาทำท่าจะเดินหนีกลับทางเดิมเมื่อเห็นเด็กสาว คงไม่แคล้วเจ้าหล่อนสั่งให้คำพูนเป็นผู้พามา เพราะชายชราทราบดีว่าเขาจะมาที่นี่ก่อนเขาขี่รถจักรยานยนต์ออกมา คำเตือนของคุณวิเชียรดังขึ้นอีกครั้งในหู ยิ่งเพิ่มความหงุดหงิดที่เจ้าหล่อนกำลังจะทำเรื่องให้ยากกว่าเดิม ทั้งที่เขาพยายามระงับใจไม่ดึงผู้บริสุทธิ์มาเกี่ยวข้อง แต่จะว่าไปเธอก็ไม่ได้ดีกว่าเด็กใจแตกคนหนึ่ง
"ทำไมนายต้องเดินหนีฉันอยู่เรื่อย!" อัมพิกาโวยอย่างน้อยใจ
เธออุตส่าห์ตามเขามาถึงนี่ ทันทีที่ได้ทราบจากคำพูนว่าเขาไม่ได้อยู่พักผ่อนที่บ้านตามความต้องการของเธอ แต่เขากลับมีท่าทีมึนตึง เดินหนีร่ำไป
หากคราวนี้เด็กสาวไม่ทันวิ่งดักหน้า ร่างสูงใหญ่บนเนินสูงกว่าก็หันมาด้วยใบหน้าถทึง
"ก็แล้วทำไมคุณต้องคอยตามผม คนงานบ้านนั้นยังไม่พอรองรับอารมณ์คุณหรือไง" เขาโต้กลับดุเดือด ก่อนจะนึกได้เมื่อเห็นสีหน้าซีดขาวสลับแดงก่ำของอีกฝ่าย
"ทำไมนายต้องพูดกับฉันขนาดนี้ ใช่ คนงานบ้านนั้นไม่พอรองรับความเลวร้ายของฉันหรอก แต่ฉันไม่เคยดีกับใคร ห่วงใครเท่านาย ไม่คิดเลยว่ามันจะทำให้นายรำคาญและยิ่ง...เกลียดฉัน" เธอเอ่ยเสียงสะท้าน คำสุดท้ายนั้นแทบไม่ผ่านริมฝีปากออกไป
อัมพิกาตรงไปทุบแผ่นอกกว้างของอีกฝ่ายอย่างเจ็บช้ำน้ำใจ ลืมไปเสียสนิทว่าเมื่อวานเธอเองที่อยากสัมผัส ซุกซบอกหนานั้นเพียงไร ลืมแม้กระทั่งว่าเขาได้รับบาดเจ็บ และเธอก็มาที่นี่เพราะเหตุแห่งความห่วงใยนั้นนั่นเอง
ปภพเม้มริมฝีปากอดกลั้นความเจ็บปวด เขายื้อข้อมือเธอไว้ได้ทั้งสองข้าง ก่อนกระตุกแรงให้เจ้าหล่อนสงบสติอารมณ์
"ฟังนะคุณอ้อม ฟัง!" เขาเอ่ยเสียงเข้ม "ผมไม่ได้เกลียดคุณ แต่ผมไม่ใช่เพื่อนเล่น ไม่ใช่คนที่อยู่ในสังคมเดียวกับคุณ เข้าใจไหมว่าทำไมคุณจึงไม่ควรลดตัวลงมาคลุกคลีกับคนอย่างพวกเรา"
หางม้าที่รัดไว้หลวมๆ ยุ่งเหยิงเมื่อเด็กนักเรียนสั่นศีรษะไปมา เธอควรจะพอใจคำตอบนั้น อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้เกลียดเธอดังที่คิด แต่ทำไมตนยังคงเสียใจนักก็สุดรู้ หรือเพราะว่าเธอไม่เคยมีค่าใดในสายตาเขาเลย
"ฉันไม่เข้าใจ ฉันก็ไม่อยากยุ่งกับนาย แต่ฉันห้ามตัวเองไม่ได้ ฉันอายและเกลียดตัวเองแทบตายอยู่แล้วที่ต้องบากหน้ามาตอแยนาย นายรู้บ้างไหม"
อัมพิกาปล่อยน้ำตาไหลรินอย่างสุดกลั้น เธอจะพูดให้หมด ร้องไห้ให้วันพรุ่งนี้ไม่มีน้ำตาอีกต่อไป
"อ้อม..."
"ฉันต้องใช้ยาให้ลืมสายตาสมเพชของนาย เสียงหัวเราะเยาะของนายดังหลอกหลอนฉัน ทุกอย่างตอกย้ำว่าฉันมันไร้ค่าต่อทุกคนบนโลกนี้มากแค่ไหน แล้วฉันก็ต้องตื่นขึ้นมาเพื่อมองแผ่นหลังที่นายหันหลังให้ฉันทุกวัน"
ชายหนุ่มดึงร่างบางเข้าสู่อ้อมกอด เป็นอ้อมกอดแห่งความสงสาร โอบปลอบแก้วร้าวที่เจียนจะแตกสลายลงไปต่อหน้าต่อตา ก่อนจะรู้สึกถึงอ้อมแขนซึ่งรัดตอบรอบเอวเขาแน่น เด็กสาวสะอื้นไห้แรงกับอกแกร่งที่เธอใฝ่ฝันถึงมานาน
"ฉันรักนายได้ไหม ฉันจะรักใครสักคนอย่างคนอื่นบ้างได้ไหมปภพ"
ตะกอนในก้นบึ้งหัวใจสาวถูกกวนให้พลุ่งพล่านขึ้นมาจนไม่อาจกดเก็บความนัย
ชายหนุ่มคลายอ้อมกอดอย่างคาดไม่ถึง แม้พอรู้จากน้ำคำตัดพ้อว่าเธอคิดเช่นไรกับเขา แต่ก็เร็วเกินกว่าจะตั้งตัวได้ทันยามเธอเอ่ยออกมา
มีเพียงความสงสาร สมเพชเวทนาเท่านั้นแล ที่เธออ่อนไหว...อ่อนแอเช่นนี้ก็เพราะขาดความรักความอบอุ่นจากครอบครัว ธรรมชาติของมนุษย์ที่ต้องการความรักจึงต้องมองหาความรัก ความมั่นคงจากผู้อื่น โดยไม่เฉลียวใจว่าคนเหล่านั้นอาจหาประโยชน์จากตนหรือไม่
เขาทั้งสงสารและสมเพชเวทนาเธอ คำปฏิเสธจึงติดอยู่แค่ลำคอ
"รู้ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับผม" เสียงถามราบเรียบ
หากอัมพิกาตอบจริงจัง เด็ดเดี่ยว "จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับนายทั้งนั้น ไม่ว่าวันนี้ พรุ่งนี้ หรือเมื่อไรก็ตาม"
เพราะเธอจะปกป้องเขาด้วยชีวิต ไม่ว่าจากใครหรือภยันตรายใดๆ
ปภพดันตัวเธอออกมาสบตาแน่วแน่ "ถ้าอย่างนั้นคุณควรกลับไปได้แล้ว"
"แล้วนายล่ะ" เธอถามอย่างอาวรณ์
"เดี๋ยวผมก็กลับไป" หางเสียงตอบติดรำคาญเล็กน้อย
อัมพิกายืนลังเลระหว่างความเกรงกับความกล้า ก่อนเธอจะเขย่งปลายเท้าแล้วเงยหน้าขึ้นจุมพิตยังคางสากของชายหนุ่ม อ่อนโยนหากลึกซึ้ง...จนใจหวามไหวไปทั้งดวง
ปภพสบตากับดวงตาชุ่มน้ำตาทว่าฉ่ำหวาน เขายืนแข็งทื่อมองตามเธอก้าวระวังขณะกลับขึ้นไป แล้วก็ได้รู้ว่าความต้องการทางกายที่ตนปิดกลั้นมาตลอดจนเขาคิดว่ามันตายไปแล้ว บัดนี้มันแทบระเบิดออกมา
...................................
ทนายความประจำตัวพ่อเลี้ยงเรืองเดชถูกตามตัวมาที่บ้านตามคำสั่งของผู้มีอิทธิพล เพื่อวางแผนดำเนินคดีฟ้องร้องเสี่ยจรัญที่ติดหนี้สินเขากว่าสามสิบล้านบาท แน่นอนว่าเงินเท่านั้นผู้ให้กู้ยืมไม่เคยเสียดาย แต่เพื่อเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู เขาต้องสั่งสอนและสั่งสมความกลัว ยำเกรงแก่คู่ธุรกิจทุกคน
"ในเมื่อมันได้เงินประกัน เราก็ฟ้องเอาก่อนที่มันจะยักยอกไปได้ทัน" เสียงเอ่ยหมายมาด
ทนายความชื่อดังที่ไม่เคยพ่ายแพ้คดีใดยิ้มกระหยิ่ม เขาทำงานกับพ่อเลี้ยงเรืองเดชมาหลายคดี นอกจากจะไม่เคยทำให้ลูกความผิดหวังแล้วตนยังได้ค่าตอบแทนที่คุ้มค่า ยิ่งลูกความคนสำคัญมีคดีมากเท่าไรก็หมายถึงรายได้ที่มากตามของเขาเอง
"ถ้าเช่นนั้นผมจะรีบกลับไปเขียนคำฟ้อง แล้วจะแฟ็กส์ถึงคุณวิเชียรมาให้ท่านเร็วที่สุดนะครับ"
"ฮื่อ ขอบใจมาก"
เจ้าของบ้านลุกยืนส่ง เมื่อแขกลากลับไปแล้วเขาจึงหันมาหรี่ตามองผู้คุ้มกันที่ยืนนิ่งเป็นเสาหิน ผู้จัดการดูแลบ้านนี้เล่าเรื่องอุบัติเหตุให้ฟังหมดแล้ว แต่วันนี้เขาเพิ่งมีเวลาได้พบมัน
"วิเชียรบอกฉันว่าให้นายพัก แล้วเป็นไงบ้างล่ะ"
ปภพเชื่อว่านั่นเป็นการเกริ่นเพื่อนำไปสู่บางสิ่งมากกว่าถามด้วยความห่วงใยจริงๆ เพราะผู้ถามเปิดแฟ้มปกแข็งสีดำกวาดตาอ่านเอกสารภายในไปพลาง กระนั้นเขาก็ต้องตอบอยู่ดี
"ดีขึ้นแล้วครับ"
แล้วสิ่งที่เขาคาดไว้ก็ตามมาในคำถามต่อไป...
"มันไม่ใช่อุบัติเหตุใช่ไหม นายคิดว่าเป็นฝีมือใคร"
"ผมไม่ทราบครับ"
"รู้ไหม ฉันเกลียดคำนี้ที่สุด" เสียงตอบเครียดขึ้ง "แต่เพราะนายทำได้ดีในสถานการณ์นั้น ฉันจะไม่ตำหนิ เพราะฉะนั้นแต่นี้ต่อไปพวกนายสามคนต้องผลัดไปคุ้มกันยัยอ้อมด้วย แต่อย่าให้โฉ่งฉ่างจนยัยตัวแสบแผลงฤทธิ์เข้าอีกคน แล้วฉันจะหาคนมาเพิ่ม"
ชายหนุ่มค้อมศีรษะ กุมมือไว้ข้างหน้าอย่างสำรวม ไม่ให้มันจับสังเกตได้ว่าเขาคั่งแค้นเพียงใดที่ถูกตำหนิ
มันยังกล้าให้เขาดูแลอัมพิกา แสดงว่าเรื่องที่คุณวิเชียรตักเตือนเขายังไม่ทราบถึงหูมัน ยิ่งเด็กสาวลุ่มหลง หลงรักเขาลึกเท่าไร อย่างที่เธอแสดงเมื่อเย็นวานนี้ เขาก็ทำลายหัวใจมันได้ทุกเมื่อเช่นกัน
............................
กลิ่นน้ำหอมอวลฟุ้งไปทั้งคันรถ ทันทีที่บุรุษวัยกลางคนในชุดสูทสากลและกางเกงผ้าสีขาว เสื้อเชิ้ตตัวในสีน้ำเงิน ก้าวขึ้นที่นั่งด้านหลังรถมา ก่อนผู้คุ้มกันหนุ่มจะปิดประตูให้และเข้าไปนั่งยังที่นั่งข้างคนขับ คนขับรถมือวางอันดับหนึ่งประจำตัวผู้ทรงอิทธิพลจึงค่อยเคลื่อนรถออกไป
กำหนดการคืนนี้คือการเข้าพบบุคคลสำคัญที่ทุกคนเรียกว่า 'นายใหญ่' ไม่เว้นแม้แต่ผู้กว้างขวาง ยิ่งใหญ่อย่างพ่อเลี้ยงเรืองเดชก็ดูจะกระตือรือร้นเข้าพบบุคคลผู้นี้ ปภพยินดีนักที่เขาได้รับความไว้วางใจให้ติดตาม
ไม่นานรถก็มาหยุดยังหน้าโรงแรมที่พักห้าดาว คนขับส่งเจ้านายและเขายังหน้าโรงแรมก่อนนำรถไปจอด ร่างสูงใหญ่ซึ่งติดตามบุรุษวัยกลางคนเข้าไปยิ่งเพิ่มความน่าเกรงขามให้แก่พ่อเลี้ยงหนุ่มใหญ่ในสายตาคนมอง
ลิฟต์เคลื่อนขึ้นสู่ที่หมายชั้นบนสุด ตลอดระเบียงทางเดินปูด้วยพรมสีแดง มีเสาเหมือนซุ้มโค้งตกแต่งผนังและเพดานไปตลอดทาง ผู้เข้าพักคงเหมาที่พักชั้นบนสุดนี้ เมื่อมีชายฉกรรจ์ในชุดสูทสีดำยืนจังก้าอยู่หน้าห้องพักโดยไม่เกรงใจแขกคนอื่น และทันทีที่เห็นพวกเขามันก็หยิบไมโครโฟนจิ๋วซึ่งห้อยจากหูลงมาคล้องคอขึ้นรายงาน ก่อนประตูไม้เนื้อหนาอย่างดีจึงค่อยเปิดออกมา
ปภพลอบสังเกตผู้ที่ออกมาต้อนรับพ่อเลี้ยง เขาเป็นชายร่างเล็ก แก้มคล้ำซูบตอบมีรอยยิ้มกว้างจนเห็นฟันเกือบครบทุกซี่ ท่าทางนั้นไม่บ่งบอกว่าเป็นผู้มีอำนาจ ก่อนพ่อเลี้ยงเรืองเดชจะแนะนำเขาให้บุรุษผู้นั้นรู้จัก
"เอ้า คุณเสมอ รู้จักคนใหม่ของผมไว้ซี ปภพเพิ่งมาทำงานกับผม แต่ฝีมือ...อย่างนี้" ผู้พูดยกนิ้วหัวแม่มือขึ้นการันตี
"ท่านกับผมน่ะเชื่อใจพ่อเลี้ยงกับคนงานทุกคนอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่ให้โควต้ามากเป็นพิเศษกับพ่อเลี้ยงหรอก"
คนถูกยกยอหัวเราะชอบใจ ปภพเกือบจะแน่ใจว่าตนเห็นแววตาชิงชังวูบหนึ่งในดวงตาฝ่ายตรงข้าม หากก็เพียงพริบตาเดียวเท่านั้นก็หายไป ซึ่งผู้ที่หลงยินดีกับคำชมคงไม่ทันสังเกตเป็นแน่
"ไป เข้าไปพบท่านเถอะครับ ผลงานล็อตที่แล้วท่านชมพ่อเลี้ยงไม่ขาดปากทีเดียว"
พ่อเลี้ยงเรืองเดชยังคงหัวเราะอย่างอารมณ์ดี แล้วจึงกระแอมนิดหนึ่งขณะผู้ที่เปรียบเสมือนเลขานุการนายใหญ่เคาะและเปิดประตูห้องหนึ่งทางฝั่งขวาของห้องนั่งเล่น พลางผายมือเชิญแขกพิเศษเข้าไป
ภายในห้องถูกตกแต่งเป็นห้องทำงาน มีทั้งโต๊ะประชุมเล็กขนาดหกที่นั่ง ตู้นิรภัย ตู้หนังสือ และโต๊ะทำงานขนาดใหญ่พร้อมเก้าอี้พนักสูง เหมาะสำหรับเป็นห้องชุดของนักธุรกิจใหญ่ที่เดินทางมาทำธุระเรื่องกิจการการค้าทีเดียว และชายผู้ที่เงยหน้าขึ้นมาจากแฟ้มเอกสารหลังโต๊ะทำงานนั้นก็เป็นผู้ที่ปภพไม่คาดคิดมาก่อน
บุรุษสูงวัยผมสีดอกเลามีรอยยิ้มที่ทำให้คนมองขนคอลุกชัน พ่อเลี้ยงเรืองเดชพนมมือไหว้พร้อมกับค้อมตัวต่ำ ว่าไปแล้วแผ่นหลังที่มักเหยียดตรงอย่างหยิ่งทะนงเสมอของเจ้านายเขา บัดนี้กลับงองุ้มไม่ต่างจากตัวกุ้ง ด้วยความยำเกรงผู้ที่ใครต่างเรียกขานว่า 'นายใหญ่' ผู้นี้นั่นเอง
เขาคือคนที่เคยปรากฏตัวตามสื่อ บนหน้าหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์อยู่บ้างจนคุ้นตา แม้ชายหนุ่มจะไปทำงานเมืองนอกเมืองนาหลายปี แต่ก็จำอดีตนักการเมืองใหญ่ที่วางมือจากแวดวงการเมืองท่านนี้ได้แม่นยำ หรือแท้จริงแล้วท่านจะยังไม่เคยวางมือจากมันเลย
"ไง พ่อเลี้ยง นั่งก่อนซี สบายดีนะ" เสียงทุ้มกังวานเอ่ยถาม
"ครับท่าน เพราะท่านแท้ๆ ผมถึงได้สุขสบาย" ผู้น้อยตอบพลางเลื่อนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามนั่งลงตามที่ได้รับอนุญาต
"คราวที่แล้วฝีมือใคร ตบรางวัลให้หนักล่ะ สินค้าล็อตใหญ่ส่งถึงปลายทางได้ตรงเวลาดีนะ คนของพ่อเลี้ยงไม่เคยทำให้ผมผิดหวังจริงๆ"
ปภพซึ่งยืนอยู่ใกล้บานประตูขยับตัวตรงตั้งใจฟัง เขามั่นใจว่าสินค้าล็อตล่าสุดที่บุรุษสูงวัยเอ่ยถึงย่อมต้องเกี่ยวข้องกับชีวิตลูกเมียเขา ในเมื่อนับแต่ตนเข้ามาทำงานที่นี่ก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวระหว่างเจ้านายกับขบวนการค้ายานรกนั่นเลย
"ไอ้คนคุมมันชื่อจักรครับ เพิ่งคุมงานแรก ตอนแรกผมก็หวั่นใจแต่ช่วงนี้ขาดคนจริงๆ เห็นมันทำงานมาหลายปีก็เลยเสี่ยงวัดดวงดู"
"กล้ามากนะพ่อเลี้ยง"
คำชมกึ่งสัพยอกเรียกเสียงหัวเราะชอบใจจากพ่อเลี้ยงเรืองเดชลั่นห้อง หากนายใหญ่กลับมีเพียงรอยยิ้มบางอย่างยากจะหยั่งถึงความรู้สึกนึกคิดได้
"เสมอ ไปเอาของฝากจากสวิสของฉันมาที"
ชายร่างผอมแกร็นค้อมศีรษะรับคำสั่งก่อนเปิดประตูออกไป ไม่นานก็กลับเข้ามาพร้อมถุงกระดาษเป็นมันเงาขนาดเล็ก ผู้อาวุโสส่งให้พ่อเลี้ยงเปิดออกดู
"สองร้อยเรือนในโลกเท่านั้น" นายใหญ่เสริม
ปภพได้ยินเสียงนายตนอุทาน ครางในลำคอด้วยความพึงพอใจ เห็นจากไกลๆ ว่าเป็นนาฬิกาข้อมือดังที่พ่อเลี้ยงเรืองเดชสะสม ก่อนอีกฝ่ายจะเอ่ยถึงธุระสำคัญเข้าประเด็นที่เขารอคอยเสียที
"ล็อตหน้า...หวังว่าพ่อเลี้ยงจะไม่ทำให้ผมผิดหวังอีกนะ"
"ครับท่าน" บุรุษวัยกลางคนตอบจริงจัง
"แล้วเสมอจะติดต่อไป"
เรืองเดชไม่ทู่ซี้ต่อเมื่อได้รับมอบหมายภารกิจ ทันทีที่ขึ้นรถจึงต่อโทรศัพท์ประสานงานกับเครือข่ายของตนทันที เขาอยู่ในแวดวงนี้มานานพอจะรู้ว่าเวลาที่เสียไปย่อมถูกไล่ตามใกล้ยิ่งขึ้น จากเจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่เท่าคู่แข่งคนสำคัญ
"เฮ้ย เดี๋ยวส่งผีเสื้อสาวสักตัวสองตัวไปที่โรงแรมเดิม ห้องเดิมนะ แล้วพรุ่งนี้แกมาพบฉันด้วย"
...................................
ปภพสะกดกลั้นความคั่งแค้นต่อเจ้านายและคนปลายสายที่มันคุยด้วยมาจนถึงห้องพัก ทันทีที่เห็นว่าผู้ที่ทราบความเป็นไปต่างๆ ก่อนเกิดเหตุกับลูกเมียเขากำลังตากผ้าขนหนูกับราวเหล็กหลังห้อง ตนจึงโพล่งถามด้วยความคับแค้นใจเจียนระเบิด
"ไอ้จักร ไอ้จักรใช่ไหมพี่ที่ฆ่าพรกับลูก"
สมหมายชะงักมือนิดหนึ่ง ใจเขาหล่นวูบทั้งที่ควรจะดีใจที่มีผู้ร่วมแบ่งปันความแค้นไป
"นายไปเจอมันเรอะ"
"เปล่า แต่ผมต้องได้เจอมันแน่" ชายหนุ่มเอ่ยหมายมาด
ดวงตาวาวโรจน์จ้องตอบอีกฝ่าย ก่อนผู้อาวุโสกว่าจะหลุบเปลือกตาลงพลางถอนหายใจ
"ปภพ..."
คนถูกเรียกเอ่ยสวนขึ้นมา "ทำไมพี่ไม่บอกผมแต่แรกว่ามันเป็นใคร ชื่ออะไร"
"บอกไปนายจะไม่ร้อนใจแทบบ้าอย่างนี้เหรอ ตราบใดที่เรายังไม่มีโอกาสจัดการมัน"
ปภพกำมือแน่น ก่อนเขาจะทิ้งตัวลงนั่งบนเตียง ยกฝ่ามือลูบใบหน้าอย่างพยายามสงบสติอารมณ์
"แต่โอกาสกำลังจะเป็นของเราแล้ว พรุ่งนี้มันจะมาที่นี่" เขาเค้นเสียงลอดไรฟันกับฝ่ามือ
"นายจะทำอะไร"
ชายหนุ่มไม่ตอบ เขากำลังคิดหาวิธีที่รอบคอบที่สุดที่จะกำจัดมัน โดยไม่ลืมเผื่อลมหายใจแห่งความแค้นแก่พ่อเลี้ยงเรืองเดชอีกคน
..................................
ตอนหน้าปภพก็จะได้เจอหน้าฆาตกรที่ฆ่าลูกเมียเขาแล้วค่ะ
แต่ขณะที่เขามุ่งมั่นแก้แค้น ความรักที่อัมพิกามีให้จึงไร้ค่า
เรื่องนี้ยังมีปมต้องสะสางอีกมากเลย อย่าเพิ่งเบื่อกันนะคะ
ภาพิมล_พิมลภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 27 ก.พ. 2557, 16:19:02 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 27 ก.พ. 2557, 16:19:02 น.
จำนวนการเข้าชม : 1273
<< บทที่ ๖ ความห่วงใย ***มีภาพปกมาฝากค่า*** | บทที่ ๘ ฆาตกรตัวจริง >> |
ปริยาธร 27 ก.พ. 2557, 20:41:57 น.
ลุ้นว่าปภพจะล้างแค้นสำเร็จไหม
ลุ้นว่าปภพจะล้างแค้นสำเร็จไหม
ภาพิมล_พิมลภา 27 ก.พ. 2557, 22:44:37 น.
พี่นุ้ย - ตอนหน้าก็จะเจอคนใจร้ายแล้วค่ะ หมอนี่ตัวแสบเลย
พี่นุ้ย - ตอนหน้าก็จะเจอคนใจร้ายแล้วค่ะ หมอนี่ตัวแสบเลย