ราคีกุหลาบ
เรื่องราวความรักของทริปท่องเที่ยวในสเปน
ระหว่างหญิงสาวชาวไทยกับหนุ่มหล่ออเมริกัน ^^

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ไม่ใช่

บทที่ 5 ไม่ใช่

“มิตาที่รัก เรื่องที่สั่งให้ทำเรียบร้อยแล้วนะ ว่าแต่อเล็กซ์เป็นไงบ้าง” อเลนโทรศัพท์มาหาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น เขาติดต่อกับรมิตาเป็นระยะๆ จึงได้รู้ว่าพี่ชายฝาแฝดของตัวเองแพ้พนันรมิตา และทั้งคู่จะเดินทางไปด้วยกัน

“ฉันว่านายคิดมากไปเองนะ ไม่เห็นเขาจะมีท่าทางคิดสั้นอะไรเลย” รมิตาตอบไปตามที่ตัวเองคิด เช้าวันนี้อเล็กซ์ไม่ได้มีอาการที่ส่อว่าอยากจะทำอัตวินิบาตกรรมเลย ก็ดูเป็นคนปกติทั่วไป ไม่ได้มีอาการซึมเศร้าอะไร ที่เธอเห็นว่าเขามีอาการผิดปกติหนักๆ ก็คือวันแรกที่เห็นเขานั่งตากฝนนั่นเอง ซึ่งถ้ามองในแง่คนที่เพิ่งอกหักหมาดๆ มา เขาจะเศร้าขนาดนั้นก็ไม่แปลกอะไร

“ยังวางใจไม่ได้หรอก มิตา พออยู่ต่อหน้าคนอื่น อเล็กซ์จะไม่ยอมทำท่าให้ใครมาสมเพชเขาหรอก แต่ถ้าอยู่คนเดียวเมื่อไร เขาก็คงคิดมากอยู่ดี”

รมิตาถามขึ้นว่า “พูดแบบนี้ฉันมิต้องเกาะติดเขาตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงเลยรึไง?”

“ก็ไม่ถึงขนาดนั้นเสียหน่อย อีกอย่างไปเที่ยวด้วยกันแบบนี้ อเล็กซ์ก็คงไม่มีเวลาว่างพอไปคิดมากเรื่องเหมือนไหมแล้ว บางที...เขาอาจจะตกหลุมรักเธอก็ได้นะ มิตา”

รมิตาฟังคำพูดเอ่ยแซวเหมือนไร้เจตนาของอเลนแล้วให้รู้สึกเหมือนถูกคนทุบอกนิดๆ คิ้วขมวดทันควัน เธอตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงห้วนและสะบัด ไม่ชอบใจกับการล้อเล่นแบบนี้ “อย่าพูดอะไรที่มันจะไม่มีทางเป็นจริง พี่ชายนายกับฉันไม่มีทางเกิดความรู้สึกแบบนั้นเด็ดขาด”

“ทำไมเธอต้องโกรธด้วย ฉันแค่ล้อเล่นเอง” อเลนเสียงอ่อนลงเมื่อจับกระแสความไม่พอใจของเพื่อนสนิทได้

“เปล่าโกรธ แค่ไม่ชอบที่ถูกพูดถึงแบบนี้” หญิงสาวปฏิเสธ

“โอเคๆ ฉันขอโทษ ฉันแค่คะนองปากไปหน่อย อย่าโกรธฉันเลยนะ มิตา” พออีกฝ่ายอ่อนข้อให้พร้อมน้ำเสียงออดอ้อนในที ก็ทำให้คนที่นึกฉุนใจอ่อนยวบยาบ

“คิดว่าแค่พูดขอโทษแล้วฉันต้องยกโทษให้รึไง?” แม้ใจจะให้อภัยไปแล้ว แต่ปากก็ทำเป็นเล่นตัวต่อไป

“งั้นถ้าแถมบัตรที่พักที่โรงแรมระดับสี่ดาวซึ่งอยู่กลางอุทยานอะลัมบราที่เมืองกรานาดาด้วยนี่ จะยอมยกโทษให้ไหม มิตาที่รัก”

“หือ?” หญิงสาวตามไม่ทัน

“ฉันจองที่พักใหม่เพิ่มให้แกที่กรานาดาน่ะ เข้าพักได้เลย ส่วนค่าห้องของอีกเกสต์เฮ้าส์ที่จองไปแล้ว ค่อยมาหักเอากับฉันทีหลังก็ได้ อะไรที่เป็นค่าใช้จ่ายของอเล็กซ์ ฉันก็โอนเผื่อไปเข้าบัญชีแกให้แล้วนะ ดังนั้นกินดื่มเที่ยวให้เต็มที่ได้เลย ฉันเป็นสปอนเซอร์เอง”

“เฮ้ย! อเลน นี่นายทำอะไรลงไป” หญิงสาวตกใจขึ้นมา เธอไม่ได้ต้องการให้อเลนทำถึงขนาดนี้เสียหน่อย

“ยังไงมันก็เป็นความรับผิดชอบของฉันน่ะ ที่บังคับให้แกช่วยดูแลพี่ชายให้ ดังนั้นอย่าปฏิเสธความต้องการของฉันเลยนะ”

“แต่...”

“ไม่ต้องมาต่งมาแต่แล้ว ทำตามที่ฉันว่านี่แหละ หวังว่าเที่ยวสเปนหนนี้จะเป็นทริปสุดวิเศษนะ ขอให้โชคดี แค่นี้ก่อนนะ บาย” อเลนเอ่ยตัดบทพร้อมกับตัดสายไปในตัว ทำให้หญิงสาวไม่มีโอกาสได้ทักท้วง

รมิตายืนอึ้งไปอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ไม่สบายใจกับการรับเงินมาจากอเลนอีก ได้แต่คิดว่าไว้กลับประเทศไทยค่อยโอนเงินคืนให้อเลนแล้วกัน
และเพราะอเลนแจ้งมาว่า จัดการเรื่องที่พักและตั๋วเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวให้พี่ชายฝาแฝดเรียบร้อยแล้ว ขอแค่แจ้งชื่อก็เข้าพักได้เลย ดังนั้นรมิตาจึงได้เจริญอาหารมื้อกลางวันเป็นพิเศษ หลังจากกินสลัดผักเข้าไป หญิงสาวก็รับประทานตาปัส ตามเข้าไปอีกสองอย่างก็คือ ไก่พริกไทยดำย่างราดซอสบัลซามิคกับมะเขือยาวทอดสอดไส้อิเบริโกแฮม ตามด้วยเมนูฮิต กุ้งผัดซอสกระเทียมรสเผ็ด จิ้มกับขนมปัง ตบท้ายด้วยอาร์โรซเนโกร ที่แม้หน้าตาข้าวผัดจานนี้จะดำเมี่ยมจนน่ากลัวว่าจะไม่อร่อย แต่เมื่อได้ทานลงไปแล้วรมิตาก็ติดใจเม็ดข้าวอ้วนๆ สั้นๆ ที่เหมือนข้าวญี่ปุ่นซึ่งเคี้ยวแล้วกรุบๆ หนึบๆ หอมกลิ่นทะเลนี้มากและให้รสชาติเผ็ดกำลังดีไม่มากไปน้อยไป

กินไปเยอะขนาดนี้แล้วหญิงสาวยังสั่งของหวานมากินได้อีก อเล็กซ์มองหญิงสาวอย่างทึ่งๆ ว่าอาหารจำนวนนี้หายลงกระเพาะเธอไปได้อย่างไรกัน แม้เขาไม่พูดออกมา แต่สายตาเขาก็บอกทุกอย่าง รมิตาเลยถามขึ้นอย่างขวางๆ

“มองแบบนี้หมายความว่ายังไง”

“คุณนี่เป็นผู้หญิงที่มีความสุขกับการกินจริงๆ นะ” ชายหนุ่มออกปากวิจารณ์ เพราะเห็นว่าพอเธอได้ตักอาหารเข้าปากลิ้มรสชาติอาหารสเปนแท้ๆ แล้วเจ้าหล่อนก็หลับตาพริ้ม และเมื่อลืมตาขึ้นมานัยน์ตาเธอจะเป็นประกายวิบวับบ่งบอกความสุขที่ได้รับขึ้นมาเลยเชียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่รมิตาทานของหวาน ชายหนุ่มใช้คำว่าเคลิบเคลิ้มแทบจะลอยขึ้นสวรรค์มาบรรยายได้เลย ทั้งที่มันก็เป็นเมนูธรรมดาอย่างวาฟเฟิลอบราดซอสสตรอว์เบอร์รี่ แต่แค่เธอตักขึ้นมาชิมก็ทำให้เขาพลอยรู้สึกว่ามันคงอร่อยมาก

รมิตากะพริบตาปริบๆ ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีเจตนาอะไรกันแน่ แต่เธอก็ตอบกลับไปว่า

“คุณพูดผิดแล้ว ต้องบอกว่าฉันมีความสุขกับการกินอาหารอร่อยๆ ต่างหากล่ะ รู้ไหม การกินแต่ของอร่อยๆ จะทำให้เรามีจิตใจที่เบิกบานแจ่มใสนะ คุณเองก็ไม่ใช่คนจนอะไร น่าจะหาเวลาว่างมาลองตระเวนเที่ยวชิมอาหารอร่อยๆ ดู อย่างในกรุงเทพฯ มีร้านตั้งหลายแห่งที่อาหารอร่อยเหมาะสมกับราคา คุณลองว่ามาสิว่าชอบกินอะไรเดี๋ยวฉันช่วยลิสต์รายชื่อให้ เอาหัวเป็นประกันเลยว่าต้องอร่อยทุกร้านแน่ๆ” หญิงสาวเสริมท้ายอย่างคนที่อยากจะแบ่งปันเมนูอร่อยๆ เต็มที่

“ไม่ละ ขอบคุณ ผมไม่ได้ชอบกินขนาดต้องไปตระเวนชิม อีกอย่างของแบบนี้ถ้าไม่มีคนไปกินด้วยคงไม่อร่อยเท่าไรหรอก” อเล็กซ์มองว่ามันจะมีรสชาติยิ่งขึ้นถ้าหากว่าไปกับเพื่อนหรือคนรู้ใจ

“ฉัน อืม...งั้นถ้าเปลี่ยนใจก็บอกแล้วกัน” ตอนแรกรมิตาจะตอบว่าเดี๋ยวเธอไปนั่งเป็นเพื่อนให้เอง แต่การจะเอาตัวผูกพันกับอเล็กซ์มากไปกว่าห้าวันนี้ก็ไม่ใช่เรื่องสมควร ถ้าความแตกว่าเธอเป็นเพื่อนกับอเลน อเล็กซ์คงยิ่งไม่ชอบหน้าเธอเข้าไปอีก แต่อเล็กซ์ก็เหมือนจะรู้ทันว่าเธอคิดจะพูดอะไร เขาเลยชิงถามขึ้นมาก่อน

“คุณจะไปตระเวนชิมอาหารเป็นเพื่อนผมงั้นหรือ?”

คำถามแรกที่โผล่พรวดเข้ามาในใจของหญิงสาวคือ แล้วทำไมเธอต้องไปนั่งเป็นเพื่อนเขาด้วย จะบอกว่าเป็นเพื่อนกัน รมิตาก็ตีกรอบความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับอเล็กซ์ไว้ว่า เพื่อนกันห้าวัน หลังจากนี้ก็คือคนไม่รู้จักกัน แต่จะให้ตอบไปตรงๆ ว่า ไม่! เธอไม่คิดจะไปไหนกับเขาทั้งนั้น รมิตามองว่าเป็นการตัดรอนจนเกินไป หญิงสาวทำเป็นแบ่งรับแบ่งสู้

“ต้องดูก่อน ถ้าฉันว่าง ฉันก็ไปให้นะ ฉันไม่ปฏิเสธของอร่อยๆ อยู่แล้ว เพียงแต่หลังจากทริปสเปนนี่ฉันต้องไปตั้งหน้าตั้งตาเก็บเงินใหม่ น่าจะไม่ค่อยว่างพอจะออกไปนั่งชิวที่ไหนได้”

จู่ๆ ชายหนุ่มก็เกิดอยากเห็นหน้าแฟนของหญิงสาวขึ้นมา อเล็กซ์เลยเปรยๆ ว่า “โรซี่ ถ้าคุณไปกับผม แฟนคุณเขาไม่ว่าเอาหรือ?”

หญิงสาวเงยหน้าขึ้นจากจานขนมมาตอบ “ฉันยังไม่มีแฟน”

อเล็กซ์เลิกคิ้วนิดๆ แล้วนึกสงสัยว่า แล้วโรซี่ไม่อยากให้ใครเห็นรูปที่จูบแก้มเขากันล่ะ...

“ฉันไม่มีแฟน แต่มีคนที่ชอบ...เพียงแต่เขาเพิ่งเข้าพิธีแต่งงานไปเมื่อไม่กี่วันก่อนนี่เอง”

น้ำเสียงเศร้าๆ ของเธอทำให้อเล็กซ์ชะงักไป เขาไม่รู้จะพูดปลอบตามมารยาทว่าอะไรดี อีกอย่างเขาก็เป็นอีกคนหนึ่งที่คนที่ชอบแต่งงานไปกับ...น้องชายตัวเอง

ความเงียบครอบคลุมโต๊ะอาหารอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ก่อนที่รมิตาจะกลับมาร่าเริงเหมือนเดิม

“นี่ถ้าฉันมีแฟน ในเดตแรกเขาต้องทำหน้าช็อกเวลาเห็นบิลค่าอาหารแน่ๆ แล้วหลังจากนั้น...ไม่สิ ก่อนจ่ายค่าอาหาร เขาคงจะบอกกับฉันว่า โรซี่ คุณกินจุเกินไป ผมรับเลี้ยงคุณไม่ไหวหรอกนะ เราคงไปด้วยกันไม่ได้ ลาก่อน แล้วก็ควักเงินส่วนค่าอาหารของเขามาจ่ายแล้วลุกเดินจากไป ทิ้งให้ฉันนั่งเศร้าแล้วสั่งของหวานมากินฉลองต่ออีกสักสองสามอย่าง” ในประโยคของผู้ชาย หญิงสาวดัดเสียงให้ใหญ่ขึ้นจนดูน่าขบขัน จุดรอยยิ้มจางๆ บนมุมปากของอเล็กซ์ขึ้นมาได้ แต่รมิตามองไม่เห็นเพราะมัวสาละวนอยู่กับวาฟเฟิลที่เหลืออยู่ในจานแทน
ชายหนุ่มเอ่ยขำๆ “เขาอาจจะไม่จ่ายก็ได้นะ”

“ฉันไม่ตาถั่วขนาดเลือกคู่เดตที่ไม่ยอมจ่ายเงินค่าอาหารส่วนของตัวเองมาหรอก” หญิงสาวค้อนปะหลับปะเหลือกใส่

อเล็กซ์ว่ารมิตาใช้คำประหลาดๆ “ว่าแต่เมื่อกี้บอกว่ากินฉลองงั้นเหรอ?”

“แหง มันต้องฉลองสิ เนื่องในโอกาสที่สลัดผู้ชายที่ไม่สามารถดูแลฉันได้ไปนี่”

“ถ้าคุณจะกินน้อยลงกว่านี้อีกนิด เขาก็น่าจะดูแลคุณได้นะ” อเล็กซ์อดแก้ตัวให้ผู้ชายในจินตนาการคนนั้นไม่ได้

“ไม่ล่ะ ถ้าต้องแอ๊บทำเป็นกินกระจุ๋มกระจิ๋มละก็ เปิดเผยไปตรงๆ เลยดีกว่าว่าฉันมีกระเพาะที่ใหญ่เกินตัว จะได้ไม่มาโดนข้อหาหลอกลวงทีหลัง”

...และแล้ววาฟเฟิลคำสุดท้ายก็หายเข้าปากของเธอไป

“อืม นับว่าตรงไปตรงมาดีนะ”

“อีกอย่างนะ ฉันรู้ตัวเองหรอกน่าว่าเป็นคนกินเยอะน่ะ ปกติฉันก็ออกค่าอาหารเองตลอดนะ ไม่ใช่ให้ผู้ชายจ่ายแต่ฝ่ายเดียวเสียหน่อย ฉันแฟร์พอน่ะ ใครกินคนนั้นก็จ่ายไป ยกเว้นมื้อที่มีคนรับปากว่าจะเป็นเจ้าภาพ”

“ดูเหมือนว่า...มื้อนี้ผมจะไม่ได้รับปากนะ” อเล็กซ์แสร้งพูดออกตัว เพื่อดูปฏิกิริยากระฟัดกระเฟียดของอีกฝ่าย

“ไม่ต้องห่วง ก่อนสั่งอะไรลงไป ฉันคำนวณเงินในกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว ฉันมีเงินจ่ายน่ะ” รมิตาตอบเสียงกระแทกนิดๆ เธอย่นจมูกให้เขา ก่อนจะเรียกบริกรมาคิดเงิน อเล็กซ์ไม่ได้ต่อปากต่อคำต่อ นอกจากเฝ้าสังเกตสาวไทยอย่างเงียบๆ ที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ เขามีความรู้สึกเห็นใจให้ในฐานะคนที่ตกอยู่ในสภาพเดียวกัน อคติที่มีให้หญิงสาวเลยลดลงไปโดยปริยาย

*************************************************

มหาวิหารซานตามาเรีย มอนต์เซอร์รัต แห่งหุบเขามอนต์เซอร์รัต

หนึ่งชั่วโมงกว่าถัดมาจากในร้านอาหาร รมิตาก็ได้มายืนอยู่ในลานจอดรถของมหาวิหารแล้วด้วยฝีมือขับรถของสารถีหนุ่มรูปหล่อ เมื่อลงจากรถได้ หญิงสาวก็แทบจะลืมนายแบบที่อยู่ข้างๆ ไปเลย เธอมัวแต่สาละวนอยู่กับการถ่ายรูปมุมนั้นมุมนี้ของศาสนสถานซึ่งมีรายละเอียดที่งดงามแปลกตาพร้อมกับจดบันทึกสิ่งต่างๆ ลงไปในสมุด โดยมีอเล็กซ์เดินตามมาเงียบๆ ซึ่งเมื่อเห็นว่าหญิงสาวกำลังเพลิดเพลินมากและไม่มีทีท่าจะให้เขาเป็นนายแบบแต่อย่างใด ชายหนุ่มผู้ไม่คุ้นเคยกับการมีใครสักคนร่วมทางไปเที่ยวด้วยกันก็แยกตัวออกไปเดินสำรวจสถานที่นี้ตามลำพัง โดยไม่ได้บอกให้รมิตารับทราบ กว่าหญิงสาวจะรู้ตัวว่าตัวเองแยกกับอเล็กซ์ก็ผ่านไปร่วมยี่สิบนาทีแล้ว รมิตาวิ่งหน้าตื่นออกมายังด้านนอกเพื่อตามหาชายหนุ่ม จนกระทั่งพบว่าเขายืนอยู่ริมหน้าผา หันหน้ามองเทือกเขาสูงชันที่โอบล้อมมหาวิหารนี้อยู่อยู่ ณ จุดชมวิวนั่นเอง

หญิงสาวที่เหนื่อยจนหอบแฮกนั้นเกือบจะอ้าปากตะโกนต่อว่าชายหนุ่มออกไปแล้ว แต่เพราะสังเกตเห็นเสียก่อนว่าตอนนี้อเล็กซ์กำลังยืนอยู่บนที่นั่งพักง่ายๆ เป็นยกพื้นสูงราว 45 เซนติเมตรซึ่งก่อด้วยปูนสร้างไว้รอบริมหน้าผา ปราศจากโครงเหล็กหรืออะไรขึ้นมากางกั้น ดังนั้นแค่ก้าวไปข้างหน้าเดียวเท่านั้น ชายหนุ่มก็จะดิ่งพสุธาที่ระดับความสูง 1,236 เมตรโดยปราศจากร่มชูชีพ

รมิตาตกใจจนทำอะไรไม่ถูก หัวใจหล่นวูบไปกองอยู่แทบเท้า จะอ้าปากเรียกชื่อไปก็กลัวว่าอเล็กซ์จะหันมาแล้วเกิดก้าวพลาดขึ้นมา เธอเลยได้แต่รีบเร่งไปยังจุดที่อเล็กซ์ยืนอยู่ ในขณะที่พยายามจะหาทางแก้สถานการณ์น่าหวาดเสียวตรงหน้า

“มาอยู่ตรงนี้นี่เอง ฉันตามหาตั้งนานแน่ะ” รมิตาที่เดินเข้ามาใกล้ๆ อเล็กซ์ พยายามปรับน้ำเสียงให้ดูเป็นปกติที่สุด ชายหนุ่มผินหน้ามามองคนที่อยู่ด้านล่างเล็กน้อยแล้วหันกลับไปตามเดิม

“ถ่ายรูปเสร็จแล้วหรือ?”

“ยัง ฉันหานายแบบของฉันไม่เจอ ก็เลยยังถ่ายรูปไม่เสร็จ”

“อย่าพูดให้ขำหน่อยเลยน่า คุณไม่ได้ต้องการให้ผมเป็นนายแบบชัดๆ พอมาถึงที่นี่คุณก็ไล่กดชัตเตอร์รัวไม่ก็จดบันทึก ไม่เห็นว่าคุณจะอยากให้ผมเป็นแบบให้ตรงไหนเลย” อเล็กซ์พูดออกมาตรงๆ

รมิตามีสีหน้าเจื่อนๆ ไป ที่ถูกจับพิรุธได้ เธอเสพูดแก้เกี้ยวไปว่า “แหม อยากให้ฉันสนใจก็ไม่บอก”

อเล็กซ์ปรายตามองเหมือนบอกให้รมิตาอย่าได้สำคัญตัวผิด “เข้าใจผิดแล้ว ผมแค่จะบอกว่า คุณไปทำธุระของคุณให้เสร็จเถอะ เดี๋ยวผมรออยู่แถวนี้แหละ”

“ไปด้วยกันเถอะน่า ไปคนเดียวฉันเหงานะ ถ้าเกิดฉันซุ่มซ่ามเดินตกบันไดขึ้นมาแล้วจะทำยังไง” หญิงสาวทำใจกล้า เอื้อมมือไปจับมือของอเล็กซ์ไว้ คิดอยู่ในใจว่าขอกันเหนียวไว้ก่อน อย่างน้อยถ้าเขาคิดจะโดดลงไป เขาก็ต้องสะบัดมือเธอก่อนแหละ เขาคงไม่อยากพาเธอตกไปตายด้วยแน่ๆ

มือของรมิตาเย็นเฉียบมาก ทั้งนี้เป็นเพราะส่วนหนึ่งโดนลมเย็นๆ พัดเข้ามาตลอดด้วยบวกกับอาการตื่นตระหนกที่กลัวว่าอเล็กซ์จะโดดหน้าผา อุณหภูมิที่แตกต่างกันและการจับที่ออกแรงเสียแน่นหนาราวกับกลัวว่าเขาจะหลุดมือเธอไปได้ ทำให้อเล็กซ์ต้องหมุนตัวกลับมามองหญิงสาวซึ่งมีใบหน้าซีดขาว และดวงตาดำขลับไม่อาจปกปิดความวิตกกังวลได้ เขาไพล่คิดไปเองว่าโรคกลัวความสูงของเธอคงจะกำเริบขึ้นอีกแน่ๆ

ใจหนึ่งเขานึกอยากจะฉุดเธอขึ้นมายืนบนนี้ด้วยกัน แต่ก็กลัวว่าหญิงสาวจะหัวใจวายตายเสียก่อน

“ถ้าคุณตกบันไดก็แค่ร้องตะโกนออกมา ยังไงตอนนี้ก็ยังไม่มืด ต้องมีคนผ่านไปเห็นคุณบ้างแหละ” อเล็กซ์ไม่คิดจะตามไปด้วย

รมิตากระตุกมือเขาเบาๆ แล้วเอ่ยเสียงค่อยว่า “ลงมาคุยกันได้ไหม ฉันเมื่อยคอที่ต้องแหงนหน้าคุยกับคุณแล้วนะ”

มุมปากของชายหนุ่มโค้งขึ้นนิดๆ กับคำแก้ตัวของเธอพลางนึกในใจว่า

‘เมื่อยคอจริง หรือว่ากลัวความสูงกันแน่’

“งั้นขึ้นมายืนด้วยกันเป็นไง จะได้ไม่เมื่อย” เขาชวนพร้อมกับจับมือบางเสียแน่น ใบหน้าเรียวของหญิงสาวถอดสีอย่างเห็นได้ชัด นัยน์ตาเบิกกว้างพร้อมกับส่ายหน้าหวือจนดูน่าขัน

“ไม่ละ อยู่ข้างล่างดีกว่า”

อเล็กซ์เอ่ยชวน “ขึ้นมายืนตรงนี้เห็นวิวก็ชัด ได้รับลมเย็นๆ ดีออก รู้สึกเหมือนถูกปลดปล่อยจากทุกอย่างเลยนะ”

“ฉันไม่ใช่โรส ไม่จำเป็นต้องขึ้นไปรับลมเย็นๆ บนที่สูงก็ได้”

“โรส?” อเล็กซ์เลิกคิ้วสูงอย่างตามไม่ทันมุก

“ภาพยนตร์ไททานิคไง ฉันไม่ใช่นางเอกเรื่องนั้น ไม่ต้องรับลมเย็นๆ ก็ได้ เพราะงั้นลงมาได้แล้ว คุณแจ็ค ดอว์สัน” หางเสียงของเธอเข้มขึ้นเพราะชักไม่สนุกกับการถูกอเล็กซ์แกล้ง

อเล็กซ์หัวเราะเบาๆ ในลำคอก่อนจะถามขึ้นอย่างนึกสนุก “แล้วถ้าผมไม่ลงไปล่ะ?”

แต่รมิตาไม่สนุกด้วย เธอเริ่มหมดความอดทนกับคนที่เล่นแง่อยู่ได้ “คุณจะลงมาดีๆ หรือจะให้ฉันต้องใช้กำลัง?”

“ใช้กำลัง? ไม่ประมาณตัวเลยนะ” ไม่ว่าจะคิดยังไง ชายหนุ่มก็มองว่าพละกำลังของเขามากกว่าเธออยู่ดี

“ฉันจะแหกปากร้องขอความช่วยเหลือ ถึงตอนนั้นกำลังของฉันบวกกับคนอื่นๆ ในละแวกนี้ต้องลากตัวคุณลงมาได้แน่นอน ถ้าอยากดังเป็นข่าวในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นของสเปนก็เอาเลย”

“เอะอะอะไรก็ใช้กำลังข่มขู่ไม่ก็ใช้สื่อคุกคาม คุณนี่ไม่ไหวเลยจริงๆ” ฟังอเล็กซ์ค่อนแคะแล้ว รมิตาอยากจะพกขากล้องมาจริงๆ จะได้ฟาดหัวเขาให้สลบแล้วลากลงมาสียที ไม่ต้องกลัวว่าเขาจะทำเธอใจหายใจคว่ำเอาตอนไหน

“อเล็กซ์ คุณต้องจินตนาการไม่ออกแน่ๆ ว่า ตอนนี้ฉันอยากจะทำอะไรกับคุณที่สุด”

“คุณคงไม่ได้อยากโน้มคอผมลงไปแล้วจูบผมใช่ไหม?” ชายหนุ่มเอ่ยแหย่เล่น

“ใครจะไปอยากทำแบบนั้นกัน!” รมิตาร้องเสียงสูง มือของอเล็กซ์ที่เธอจับไว้กลายเป็นของร้อนที่หญิงสาวอยากจะสะบัดทิ้งขึ้นมาทันที แต่ตอนนี้กลายเป็นว่ามือเธอถูกจับไว้แน่นแทน

“ลงมาเดี๋ยวนี้นะ ถ้าไม่ลง ฉันจะร้องจริงๆ ด้วย” ว่าแล้วก็ไม่พูดพล่ามทำเพลงอีกต่อไป หญิงสาวอ้าปากกว้างเตรียมส่งเสียงร้อง อเล็กซ์เลยจำต้องกระโดดลงมาจากยกพื้น มืออีกข้างยกปิดปากของสาวไทยได้ทันก่อนที่เสียงเธอจะหลุดออกไป

“เป็นผู้หญิงขี้โวยวายจริงๆ เลยนะ”

รมิตาตวัดตาค้อนใส่ทันควัน แกะมือเขาออกจากปากเธอแล้วว่า “เป็นผู้ชายก็อย่าเล่นตัวให้มากนัก ผู้หญิงเขาเชิญลงมาแล้วก็ช่วยลงมาเร็วๆ หน่อย เล่นตัวอยู่ได้ นึกว่าหล่อหรือไงฮะ”

“รู้สึกว่า เมื่อตอนเช้ายังมีคนชมผมว่าหน้าตาเพอร์เฟ็กต์อยู่เลยนะ คงไม่ต้องบอกใช่ไหมว่า หล่อหรือเปล่า?”

เมื่อรู้สึกตัวว่าพลาดซ้ำ รมิตาก็ยิ่งหัวเสียไปใหญ่ ใบหน้างอง้ำเป็นจวัก

“ค่ะ พ่อคนหล่อเหลาเพอร์เฟ็กต์ ไปทำหน้าที่ของคุณได้แล้ว” ว่าแล้วก็คว้ามือหนาของเขาไว้และออกแรงลากให้ชายหนุ่มเข้าไปในมหาวิหารด้วยกัน ไม่กล้าปล่อยให้อเล็กซ์อยู่ตามลำพังอีก ด้านอเล็กซ์เพราะนึกขำอีกฝ่ายอยู่เลยยอมให้ถูกลากไปไม่ขัดขืนแต่อย่างใด ลืมไปเสียสนิทเลยว่าปกติตัวเองเป็นคนถือตัวแค่ไหน และเคยยอมให้คนแปลกหน้ามาแตะเนื้อต้องตัวที่ไหนกัน

*************************************************

ด้วยเหตุการณ์น่าหวาดเสียวในตอนช่วงบ่าย ระหว่างที่อเล็กซ์ขับรถมาที่บาร์เซโลนา หญิงสาวจึงเงียบ ตกอยู่ในอาการครุ่นคิดตลอดเวลา เพราะชักไม่อยากจะให้อเล็กซ์อยู่คนเดียว แต่ก็รับปากเขาไว้แล้วว่า ช่วงกลางวันเป็นเวลาของเธอ ส่วนช่วงเย็นเป็นต้นไปเป็นเวลาอิสระของเขาที่อยากไปทำอะไรที่ไหนก็ได้ แล้วเธอควรจะทำยังไงดี? เธอนั่งไตร่ตรองอยู่นานมาก และเมื่อรถแล่นเข้าสู่ตัวเมืองบาร์เซโลนาในช่วงหกโมงเย็น หญิงสาวก็ตัดสินใจจะเหนี่ยวรั้งอเล็กซ์ไว้อีกหน

“มองหน้าผมทำไม มีอะไรจะพูดก็พูดออกมาสิ” อเล็กซ์เป็นฝ่ายเปิดฉากขึ้นมาเสียก่อน เพราะทนรำคาญกับสายตาที่แวะเวียนมาหยุดที่ตัวเขาหลายรอบไม่ไหว

“ฉันหิวข้าว ไปกินข้าวมื้อเย็นเป็นเพื่อนฉันหน่อยได้ไหม” รมิตาเอ่ยด้วยน้ำเสียงขอร้อง

“รู้สึกว่า...คุณจะกินเวลาของผมมาแล้วหนึ่งชั่วโมงนะ แล้วตอนนี้เราก็ยังไม่ถึงที่พักดีเลยด้วยซ้ำ คุณสายและทำให้เวลาอิสระของผมน้อยลงไปด้วย” ชายหนุ่มไม่ตอบรับคำขอและเลือกจะพูดเตือนว่ารมิตาเคยบอกอะไรไว้และทำได้ตามที่รับปากหรือไม่

“แล้วคุณมีโปรแกรมไปทำอะไรตอนเย็นนี้ล่ะ” สาวไทยตัดสินใจจะลืมยางอายไว้ชั่วคราว ด้วยการถามออกไปโต้งๆ มีเจตนาเกาะติดอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งอเล็กซ์ก็ตอบกลับมาให้รมิตาต้องหน้าหงาย

“ไม่มีคุณอยู่ในโปรแกรมของผมก็แล้วกัน”

หญิงสาวอึ้งกับคำพูดไร้เยื่อใยไมตรีจนเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเค้นพลังใจออกมาใช้อีกหน

“แค่ไปกินข้าวด้วยกันเอง ฉันไม่อยากกินข้าวคนเดียวน่ะ เดี๋ยวเลี้ยงข้าวก็ได้ ไปกินด้วยกันเถอะนะ นะ รับรองเลยร้านที่ฉันพาไปมันอร่อยแน่นอน” รมิตาพยายามจะโน้มน้าวจิตใจของสารถีหนุ่มให้คล้อยตามเธอ

อเล็กซ์เหลือบมองหญิงสาวที่นั่งข้างตัว รู้สึกประหลาดใจไม่น้อย เขาคิดว่าโรซี่ไม่น่าจะมีปัญหาในการรับประทานอาหารคนเดียวหรอก ในทางกลับกัน เขาว่าเธอจะพอใจกับการได้ใช้เวลาตามลำพังในการลิ้มรสอาหารที่สั่งมามากกว่า เพราะฉะนั้นที่มาชวนเขาไปกินข้าวด้วย เธอต้องมีแผนการอะไรแน่ๆ

“เรื่องนี้ไม่อยู่ในข้อตกลงแต่แรก” อเล็กซ์ยังคงบอกปัดไป

“งั้นก็ตกลงกันใหม่ไง นะ วันนี้ฉันเดินทั้งวัน หิวจนไส้จะขาดแล้ว แค่ไปกินนั่งกินข้าวเป็นเพื่อนฉันเองนะ ไปกินอาหารอร่อยๆ แถมยังไม่ต้องเสียเงินด้วย ดูสิ คุณออกจะได้ประโยชน์นะ สงสารฉันหน่อยเถอะน่า นั่งกินข้าวคนเดียว เหงาออก” รมิตากลั้นความอับอายที่ต้องร้องขอเขาอย่างผู้หญิงงี่เง่าไม่มีที่ไป ฝืนพูดเกลี้ยกล่อมออกไป

“ถ้าจำไม่ผิด คุณมีเพื่อนอยู่นี่นา เรียกเขาออกมากินเป็นเพื่อนสิ”

“โมนิก้ากินอาหารเย็นตั้งสี่ทุ่มครึ่ง วันนี้ฉันเหนื่อยแล้ว นี่เดี๋ยวกะว่ากินอาหารเย็นแล้วจะเข้านอนเลย วันพรุ่งนี้เราสองคนต้องจับตั๋วรถไฟไปมาดริดแต่เช้านะ ฉันรอเพื่อนฉันไม่ไหวหรอก”

อเล็กซ์เงียบไปครู่หนึ่ง เขาเห็นสายตาคาดหวังของหญิงสาว สุดท้ายก็พยักหน้าตอบตกลงไป ทำให้คนที่มีสีหน้าอึมครึมมาตลอดทางนั้นมีสีหน้าโล่งใจอย่างเห็นได้ชัด...

เมื่อเอารถไปคืนเรียบร้อยแล้ว รมิตาก็พาชายหนุ่มมาแถวปลาซา รีอัล เลือกร้านอาหารที่หมายตาไว้ตั้งแต่แรกซึ่งมีราคาเป็นมิตรกับกระเป๋าสตางค์ ส่วนรสชาตินั้นได้สอบถามเพื่อนสาวโมนิก้าไว้แล้วว่าอร่อยสมราคาอยู่ โชคดีที่ร้านมีเมนูภาษาอังกฤษด้วย ไม่งั้นเธอคงต้องใช้ภาษามือกันยกใหญ่เพื่อสั่งอาหารแน่ๆ

รมิตาเลือกสั่งแอปเปิ้ลยัดไส้เนื้อแกะ มะเขือยัดไส้ และไส้กรอกคาตาลันสูตรพิเศษอันเป็นเมนูอาหารของชาวคาตาลัน ที่ขึ้นชื่อของร้าน ระหว่างนั้นก็จิ้มขนมปังทามะเขือเทศที่ตัดเป็นชิ้นพอดีคำเข้าปากไปพลางๆ

ด้านอเล็กซ์ที่เฝ้ามองดูปฏิกิริยาของหญิงสาวก็ได้แต่ลอบถอนหายใจเบาๆ เพราะรมิตาเหมือนจะไม่มีแผนการอะไรทั้งนั้น

เธอหิว...และต้องการอาหาร

ส่วนเขาก็คงเป็นสิ่งของใช้ประกอบฉาก...ระหว่างที่เธอนั่งสวาปามอาหารเข้าไปเติมเต็มกระเพาะสี่มิติของเธอ

อเล็กซ์ยกแก้วคาวา ขึ้นมาจิบ รมิตามีเรื่องที่ทำให้เขาไม่เข้าใจมากเกินไป และเขาต้องการข้อมูลมากกว่านี้เพื่อตัดสินใจว่าจะทำอะไรกับเธอต่อไปดี

“ถ้าพ่อครัวร้านนี้ออกมาเห็นว่าคุณกินเสียเกลี้ยงจานแบบนี้ เขาต้องปลื้มใจมากแน่เลย”

หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมาค้อนใส่ก่อนจะว่า “คุณรู้ไหม เราต้องให้เกียรติอาหารอร่อยๆ ด้วยการกินให้หมดต่างหาก อีกอย่างกินทิ้งกินขว้างไม่ใช่สไตล์ฉัน” ว่าพลางเหล่ใส่จานของชายหนุ่มที่กินไม่หมดอย่างไม่ชอบใจนักเท่าไร

“การฝืนกินให้หมดจานก็ไม่ใช่สไตล์ผมเหมือนกัน” ไม่ใช่อาหารไม่อร่อย แต่เป็นเพราะว่าเขาไม่มีอารมณ์จะกินอะไรต่างหาก “อีกอย่างคนเราต้องรู้จักความพอดีนะ กระเพาะผมใส่ได้แค่ไหนก็ใส่ไปแค่นั้น”

รมิตาอยากเอาส้อมจิ้มหน้าอเล็กซ์จริงๆ ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นคนเริ่มแขวะก่อนก็เถอะ หญิงสาวตัดสินใจจะเปลี่ยนเรื่อง ไม่งั้นโต๊ะอาหารอาจจะแปรเปลี่ยนเป็นสมรภูมิรบทางน้ำลายก็ได้

“ฉันยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคุณเลย คุณทำงานอะไรหรือคะ”

“พนักงานบริษัท มนุษย์เงินเดือนทั่วไป”

รมิตาไม่รู้ว่าเขาไม่อยากอวดหรือว่าไม่อยากให้เธอรับรู้กันแน่ แต่ความที่เขาพักโรงแรมหรูระดับห้าดาว เสื้อผ้าและเครื่องประดับกายที่เป็นของแบรนด์เนมทั้งนั้น ต่อให้เธอไม่เคยรู้จักเขามาก่อน คำว่ามนุษย์เงินเดือนทั่วไปก็ไม่เข้ากับเขาสักเท่าไร แต่รมิตาเองก็ไม่มีสิทธิ์ไปตำหนิเขา เพราะเธอเองก็ไม่ได้บอกข้อมูลทุกอย่างให้เขารู้เหมือนกัน

“คุณมาเที่ยวบาร์เซโลนาใช่ไหมคะ คงไม่ได้มาติดต่อธุรกิจอะไรใช่ไหม?” หญิงสาวซักถามไปเพราะเห็นว่าเขาไม่มีโปรแกรมไปเที่ยวที่เมืองอื่นเลย นอกจากอยู่ที่บาร์เซโลนา อีกอย่างเขาดูไม่แคร์อะไรเลยตอนที่เธอกำหนดโปรแกรมท่องเที่ยวเอง นั่นก็แปลว่าเขาคงไปเที่ยวมาหมดแล้ว ไม่ก็ไม่ได้ต้องการจะไปเที่ยวที่ไหนเลย

“ใช่ ผมมาพักร้อน เปลี่ยนบรรยากาศหน่อยก่อนจะกลับไปเจออากาศร้อนๆ ที่เมืองไทย แล้วคุณล่ะ แค่มาตามหาชายในฝันในบาร์เซโลนาหรือว่ายังไง”

รมิตามองข้ามคำพูดส่อเสียดของอเล็กซ์ไปแล้วบอกเล่าไปตามตรง

“ฉันมาทำงานแล้วก็เที่ยวไปในตัวค่ะ”

“โชคดีจริงๆ ที่ได้ทำงานไปด้วยเที่ยวไปด้วย...คุณเป็นช่างภาพมากี่ปีแล้วล่ะ”

เห็นอเล็กซ์เข้าใจผิดไป หญิงสาวเลยชี้แจงเพิ่ม

“เอ่อ จริงๆ ฉันเป็นแค่ช่างภาพมือสมัครเล่นเท่านั้น อาชีพหลักจริงๆ ของฉันคือคอลัมนิสต์นิตยสารท่องเที่ยวต่างหาก ส่วนเรื่องถ่ายรูปนี่เป็นงานอดิเรกกับรายได้เสริมค่ะ และเผอิญคุณโชคร้ายที่หน้าตาดีเกินไปและอยู่ในที่ๆ ฉันมองเห็นได้ ฉันเลยต้องจับคุณไว้ให้อยู่หมัด เพื่อเงินและของรางวัลของการประกวดถ่ายภาพ” รมิตาเอ่ยประชดประชันแถมท้ายมาด้วย

“ของรางวัลเป็นอะไรกัน” อเล็กซ์นึกสนใจขึ้นมา

“ตั๋วเครื่องบินไป-กลับเที่ยวยุโรปสิบวันสิบคืนค่ะ”

“เพราะของแค่นี้ถึงต้องลงทุนตามตื๊อผมเหมือนสตอล์กเกอร์ เลยเหรอ?”

รมิตาเชื่อแล้วว่า เธอไม่มีทางญาติดีกับอเล็กซ์ได้แน่ๆ เขาสามารถทำให้เธอของขึ้นได้ทุกๆ สองวินาทีเลยทีเดียว เก้าในสิบประโยคที่คุยกัน หากไม่ค่อนแคะก็กล่าวหานำหน้าไว้ก่อน ถึงแม้ว่าเรื่องนี้เธอจะเป็นฝ่ายผิดมาตั้งแต่แรกก็เถอะ แต่อเล็กซ์ไม่คิดจะญาติดีกับคนที่ต้องเห็นหน้ากันไปอีกถึงสี่วันเลยรึไงกันนะ

หญิงสาวตอบเสียงสะบัดไปว่า “สำหรับคุณ มันอาจจะเป็นของแค่นั้น แต่สำหรับฉัน รางวัลคือรางวัล การได้ไปเที่ยวยังที่ต่างๆ คือสิ่งที่ฉันต้องการและโปรดปราน ยิ่งเป็นของฟรีแล้วมีใครไม่ชอบบ้าง? ฉันไม่ใช่พนักงานบริษัททั่วไปที่มีเงินพักโรงแรมหรูหราคืนหนึ่งไม่ต่ำกว่าหมื่นสองนี่นา...ดังนั้นพอมีหนทางไปเที่ยวฟรีได้ ฉันย่อมไม่ยอมพลาดอยู่แล้ว”

อเล็กซ์คิดว่าของรางวัลที่รมิตากล่าวถึงไม่น่าจะเป็นแรงจูงใจที่มากพอจะท้าพนันเขา และเท่าที่ที่เขาสัมผัสได้ รมิตาไม่ใช่ผู้หญิงที่เอาแต่ใจ เห็นตัวเองเป็นศูนย์กลางจักรวาล แล้วบีบบังคับคนอื่นให้ทำตาม มันจะต้องมีอะไรสักอย่างที่มากกว่านี้ซ่อนอยู่เบื้องหลัง แต่เขามองเจตนาไม่ออกจริงๆ เซ็กส์ก็ไม่ใช่ หรือต้องการตีสนิทให้เขาตายใจก่อน?

“อืม การรู้จักประหยัดและขวนขวายในสิ่งที่ต้องการก็เป็นเรื่องที่ดี แต่นั่นก็สมควรอยู่ภายใต้เงื่อนไขของการไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนไปด้วย”

เส้นความอดทนของหญิงสาวขาดลงแล้ว “โอ๊ย! ฉันรู้แล้วว่าฉันเป็นคนผิดที่ลากคุณมาด้วย เมื่อไรคุณจะเลิกทำให้ฉันรู้สึกแย่เสียทีเนี่ย”
อเล็กซ์ยักไหล่ “แย่หน่อยนะ ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน”

“ฉันต้องทำยังไง คุณถึงจะหยุดแขวะฉันเสียที เห็นไหมว่าตัวฉันเลือดโชกเพราะฝีปากคมกริบของคุณไปหมดแล้ว” รมิตาเปิดสาบเสื้อเชิ้ตยีนตัวนอกออกเล็กน้อยประกอบคำพูด มุมปากของชายหนุ่มโค้งขึ้น ความขบขันเต้นระริกอยู่ในดวงตาสีฟ้าสวย แววสมใจปรากฏขึ้นวูบหนึ่งก่อนจะจางหายไป

“คืนนี้คุณนั่งดื่มเป็นเพื่อนผมแล้วกัน แล้วพรุ่งนี้ผมจะได้เลิกต่อว่าคุณสักที”

หญิงสาวทวนถามอย่างงงๆ อเล็กซ์มักมีข้อเสนอแปลกๆ โผล่ขึ้นมาเสมอ “ดื่มงั้นเหรอ?”

คนเสนอบอกเงื่อนไขที่แสนจะง่ายดายให้ฟัง “ใช่ ไปดื่มเป็นเพื่อนผม แล้วทุกอย่างที่แล้วมา ผมจะให้มันแล้วไปแล้วกัน”

หญิงสาวไม่ค่อยอยากจะดื่มเท่าไร เธอห่วงว่ามันจะทำให้โปรแกรมไปเที่ยวรวนไปหมด

“ฉันไม่อยากจะขัดคอคุณหรอกนะ แต่พรุ่งนี้เราต้องออกแต่เช้านะ ขึ้นรถไฟตอนแปดโมง เกิดเมาค้างทั้งคู่ เดี๋ยวตารางไปเที่ยวก็รวนหมดหรอก คุณน่ะไม่มีปัญหา แต่ฉันน่ะมีแน่ๆ”

อเล็กซ์มองนาฬิกาข้อมือแล้วว่า “ตอนนี้เพิ่งสองทุ่ม ไว้สี่ทุ่มครึ่ง ผมจะปล่อยคุณกลับโรงแรมแล้วกัน แล้วพรุ่งนี้เช้าผมจะโทรไปปลุกคุณให้เอง ไม่ปล่อยให้คุณพลาดรถไฟรอบเช้าแน่นอน”

“ได้ ไปก็ไป คุณอยากจะไปต่อไหนล่ะ” ในใจของเธอระแวงขึ้นมานิดๆ เพราะรู้สึกว่าอเล็กซ์ให้เงื่อนไขที่ง่ายเกินไปสำหรับเธอ แต่ก็เพราะอยากให้บรรยากาศในอีกสี่วันข้างหน้าดีขึ้น หากแค่การดื่มเป็นเพื่อนเขาจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น เธอก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรเสียหาย อีกทั้งก็เข้ากับความต้องการของเธอพอดีที่ไม่กล้าปล่อยให้อเล็กซ์อยู่คนเดียว

“ผมไม่ชอบที่วุ่นวาย คุณเลือกเลยแล้วกัน”

และแล้วทั้งคู่ก็ออกจากร้านอาหารไปนั่งฟังเพลงพลางจิบเครื่องดื่มที่แจ๊ซบาร์ในย่านบาร์รี โกธิก ซึ่งเป็นสถานที่ที่รมิตาชื่นชอบมาก การได้เดินผ่านอาคารเก่าแก่ยุคกลางในยามราตรีทำให้หญิงสาวเก็บรูปได้อีกหลายรูป

ถึงปากจะบอกว่าอยากได้เพื่อนดื่ม แต่อเล็กซ์ยังคงไร้มนุษยสัมพันธ์อยู่ดี นอกจากสั่งเครื่องดื่มของตัวเองแล้วและบอกให้เธอสั่งได้ตามสบาย เขาก็ปิดปากเงียบต่อไป ซึ่งรมิตาไม่รู้ว่าเขาเงียบเพราะไม่มีอะไรจะคุย หรือจมอยู่กับความคิดของตัวเองกันแน่

หญิงสาวดื่มวิสกี้ไปอึกหนึ่งหลังจากที่ทนเงียบที่น่าอึดอัดมาหลายนาทีและดื่มหมดไปแล้วถึงสองแก้ว

“คุณเลี้ยงเครื่องดื่มฉัน...ใจดีแบบนี้ต้องมีปัญหาแน่” รมิตาเริ่มบทสนทนาได้อย่างไม่เป็นมิตร เพราะนึกขวางระคนคาใจผู้ชายที่กลัวพิกุลร่วงจากปาก

อเล็กซ์ต้องการอะไร เขาแค่อยากได้เพื่อนมานั่งดื่มเป็นเพื่อนเขาเงียบๆ งั้นเหรอ? หรือตั้งใจจะให้ทรมานเธอด้วยความเงียบตลอดสองชั่วโมงข้างหน้ากันแน่

อเล็กซ์ค่อยกลับมาให้ความสนใจคนที่นั่งข้างตัว “ปัญหาอะไร? หรือคุณคิดว่าผมจะมอมเหล้าคุณ?”

ท่าทางเหล่มองเหมือนติดจะดูหมิ่นนิดๆ ว่าเธอไม่ประมาณตัวนั้น ทำให้รมิตารู้สึกโมโหในใจแต่ปากก็ว่า

“ก็ไม่แน่”

ชายหนุ่มย้ำชัดอีกหน “ผมเคยบอกไปแล้วว่าคุณไม่ตรงสเปคผม ต่อให้ผมเมาเหล้าจนมองเห็นคุณสวยขึ้นอีกสี่สิบเปอร์เซ็นต์ก็ไม่ช่วยให้ผมรู้สึกอะไรกับคุณขึ้นมาหรอก โรซี่”

“มีใครบอกคุณไหมว่า คุณปากเสียเกินไปแล้ว” อาจจะเพราะคาวาในร้านอาหารมาผสมกับวิสกี้จากบาร์ของที่นี่ รมิตาเลยยิ่งกล้าพูดตรงๆ

“เพิ่งได้ยินจากคุณเป็นคนแรกนี่แหละ”

หญิงสาวเหลือกตาขึ้นอย่างเหลือเชื่อ “โอ้ คนอื่นเขาทนคุณได้ยังไงกันนะ”

“ที่เป็นแบบนี้เพราะไม่มีใครเข้าหาผมแบบที่คุณทำต่างหากล่ะ”

“ชีวิตนี้คุณไม่เคยเจอผู้หญิงมาบีบบังคับเลยหรือไงกันฮะ”

“ไม่เคย” ชายหนุ่มตอบในแง่ของความสัมพันธ์กับเพศตรงข้าม

“เป็นเกียรติจริงๆ ที่ได้บังคับคุณเป็นคนแรก” รมิตาตอบประชดเข้าให้

อเล็กซ์หัวเราะในลำคอก่อนจะสาดเหล้าดีกรีแรงเข้าปากไปบ้าง “คุณน่าจะภูมิใจนะ ผมไม่ค่อยจะเลี้ยงดริ๊งก์ใครง่ายๆ เสียด้วย”

“ถ้าแลกมาด้วยแผลเหวอะหวะเพราะถูกคุณกัดไปทั่วแบบนี้ ฉันยอมจ่ายเองดีกว่า” หญิงสาวนึกเซ็งอยู่ในใจ แทนที่เธอจะได้เพื่อนใหม่ ได้เครื่องดื่มฟรี และพรุ่งนี้มันน่าจะไม่มีปัญหาอะไรอีก แต่ทุกอย่างก็ลงเอยแบบเดิม คือ อเล็กซ์ยังคงไม่มีทางเป็นเพื่อนของเธอได้ และตัวเธอยังต้องมาทนให้เขาจิกกัดอีก ข้อดีที่มากับเขามีแค่อย่างเดียว คือ ได้เหล้าฟรี ที่แถมมาหน่อย คือ คืนนี้เขาน่าจะไม่มีความคิดอยากจะไปตายที่ไหน หากมองในแง่นี้ก็นับว่าเธอทำได้ตามวัตถุประสงค์ดั้งเดิมของตัวเอง

อเล็กซ์หันมามองหญิงสาวเต็มตา นัยน์ตาของเขาแวววาวเป็นประกายเข้มข้นสะท้อนแสงไฟ ขณะที่เอ่ยช้าๆ ด้วยน้ำเสียงทุ้มและพร่านิดๆ ว่า “ผมยังไม่เคยกัดคุณสักครั้งเลย”

รมิตารู้สึกเหมือนถูกไฟฟ้าช็อตไปชั่วขณะ หัวใจกระตุกวาบ สัมผัสได้ถึงอันตรายบางอย่างที่จู่โจมเข้ามาโดยไม่ทันตั้งตัว หญิงสาวรีบหลบเข้าไปในกำแพงหัวใจที่คิดว่าเธอจะปลอดภัยหากซ่อนตัวอยู่ในนั้น ก่อนจะละล่ำละลักตอบกลับไป

“ฉันหมายถึงคำพูดของคุณต่างหากล่ะ แล้วฉันก็ไม่ชอบถูกกัดด้วย ถ้าคุณกัดฉันจริงๆ ฉันกัดคุณตอบแน่แล้วไม่จบแค่นั้นหรอกนะ มันจะตามมาด้วยอัปเปอร์คัตให้คุณลงไปกองกับพื้นเลย คอยดูสิ” คนอวดเก่งกำมือเป็นหมัดชูขึ้น แสดงออกว่าจะเล่นงานอีกฝ่ายแน่ๆ หากถูกทำร้ายร่างกายขึ้นมาจริงๆ

“ไม่จำเป็นต้องคอยดูหรอก ยังไงมันก็ไม่เกิดขึ้น...” อเล็กซ์ยื่นหน้าเข้าใกล้เป็นเชิงยั่วโมโห จนรมิตาเบนตัวออกห่างอัตโนมัติ เห็นปฏิกิริยาเก่งแต่ปากของหญิงสาวแล้ว อเล็กซ์เลยแหย่เพิ่ม ทั้งที่ไม่ใช่วิสัยของตัวเองที่จะเย้าแหย่ใครนัก ต้องยอมรับว่ารมิตามีความสามารถในการกระตุ้นให้เขาตามรังแกเธอได้ดีจริงๆ

“ยกเว้นเสียแต่ว่าคุณจะมอมเหล้าผมแล้วจับผมกดลงบนเตียง แบบนั้นอาจจะเกิดเหตุสุดวิสัยขึ้นมาก็ได้”

หญิงสาวขึ้นเสียง หน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ “ไม่มีทาง! ฉันไม่มีวันจับคุณกดลงบนเตียงแน่ๆ”

“ไว้ใจได้เหรอ ผมยิ่งเป็นชายในฝันของคุณอยู่”

ด้วยความโกรธที่ถูกยั่วทำให้รมิตาเผลอพูดออกไป “คุณก็แค่คล้ายเขาเท่านั้น อย่ามาได้ใจไปหน่อยเลย นิสัยต่างกันลิบลับแบบนี้ ฉันไม่เอามาทำยาหรอก”

“คล้าย? คนที่คุณแอบชอบ เขาหน้าตาเหมือนผมงั้นเหรอ?” อเล็กซ์เก็บข้อมูลต่อไปเรื่อยๆ

“กะ...ก็แค่คล้ายนิดหน่อย ตรงสีผมกับโครงหน้าเท่านั้นเองแหละ” จะปฏิเสธไปก็ไม่แนบเนียนเสียแล้ว รมิตาเลยยอมรับไปบางส่วนแทน
“นี่คืนนี้ผมต้องระวังตัวจากคุณหรือเปล่า?”

“ฉันไม่ทำอะไรคุณหรอก ถึงคุณจะเหมือนเขาแค่ไหนก็ตาม แต่มีเหตุผลแค่ข้อเดียวเท่านั้นที่คุณจะปลอดภัยจากฉันล้านเปอร์เซ็นต์” หญิงสาวยืนยันเสียงหนักแน่น หน้าตาขึงขัง ทำให้อเล็กซ์ออกปากถามต่ออย่างอยากรู้อยากเห็น

“เหตุผลอะไร?”

“เพราะคุณไม่ใช่เขายังไงล่ะ”

ประโยคที่รมิตาพูดออกมากระแทกใจของชายหนุ่มเข้าอย่างจัง แต่ไม่ใช่แค่อเล็กซ์ที่ชะงักไป ตัวเธอเองก็ได้รับผลกระทบเหมือนกัน รมิตามองใบหน้าหล่อเหลาคมคายด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวซึ่งเคยซ่อนอยู่ภายใน แต่อาจเพราะเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไป ทำให้ความรู้สึกที่มีทั้งหมดทะลักทลายออกมาจนได้

ทั้งที่เหมือนกันขนาดนี้แท้ๆ แต่ก็ไม่ใช่...

หญิงสาวอยากให้คนที่อยู่กับเธอเป็นอเลน คนที่จะไปเที่ยวสเปนกับเธอทั้งห้าวันเป็นอเลน อยากได้เขามาอยู่ข้างๆ เล่าเรื่องตลกให้เธอฟัง พูดคุยกันเรื่องไร้สาระไปจนถึงเรื่องซีเรียส และทำให้มันทั้งวันของเธอสดใสไปตลอด…

อันที่จริงเธอขอแค่อเลนยังไม่แต่งงานก็พอ ไม่ต้องมาเคียงข้างเธอก็ได้ แต่...อเลนเจอคนที่เขารักแล้ว และเขาแต่งงานแล้ว ด้วยจิตสำนึกที่มีทำให้รมิตารู้สึกว่า แค่คิดถึงอเลนก็เป็นบาปแล้ว เธอจะต้องตัดใจให้เร็วที่สุด แต่แผลที่เกิดขึ้นมันสดใหม่เกินไป วันที่อเลนโทรมาบอกว่าเขาจะแต่งงานนั้นเปรียบเหมือนวันโลกแตกของเธอก็ไม่ปาน เธอจำไม่ได้ว่าตัวเองส่งเสียงอวยพรไปให้เขาได้ยังไง โชคยังพอเข้าข้างอยู่บ้างตรงที่วันที่เขาแต่งงานนั้นเธอติดงานพอดี หากไม่ติดธุระละก็ หญิงสาวไม่แน่ใจว่าตัวเองจะมีความกล้าพอจะเผชิญหน้ากับคู่บ่าวสาว และเอ่ยปากแสดงความยินดีได้ยังไง ตัวเธอที่ภายในตายซากไปแล้วต้องใส่หน้ากากยิ้มแย้มอยู่ในงานแต่งงานของคนที่เธอชอบ...

คลื่นอารมณ์ถาโถมเข้าใส่ น้ำตาหยดหนึ่งจึงไหลออกมาจากนัยน์ตาดำขลับโดยที่เธอไม่รู้ตัว อเล็กซ์ตกใจ ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะร้องไห้ออกมา มือของเขายื่นไปแตะซีกหน้าของหญิงสาวที่ตกอยู่ในภาวะเศร้าโศกจนไม่ได้ระวังตัวเท่าเก่า นิ้วโป้งอุ่นๆ เช็ดหยดน้ำใสที่ดูคล้ายไข่มุกยามต้องแสงไฟออกไป รมิตามองเขานิ่งๆ ไม่ได้พูดอะไรออกมา

เพราะผ่านประสบการณ์มาเหมือนกัน ความร้าวรานแบบนั้นไม่ใช่สิ่งที่โกหกกันได้ หัวใจของอเล็กซ์อ่อนลงยวบยาบ อคติที่มีต่อรมิตาดูเหมือนจะโดนสายน้ำใสๆ พัดหายไปหมด ชายหนุ่มไม่มีเจตนาทำให้หญิงสาวต้องนึกถึงเรื่องเศร้า อเล็กซ์ถึงกับต่อว่าตัวเอง ทั้งที่เขาเองก็มีสภาพไม่ต่างอะไรกับรมิตาแท้ๆ การสะกิดแผลของคนอื่นไม่ใช่เรื่องที่เขาจะทำสักนิด

“ผมขอโทษ”

น้ำเสียงของอเล็กซ์ฟังดูอ่อนโยนมากที่สุดในความรู้สึกของรมิตา และทำให้หญิงสาวรู้สึกตัวว่าได้เผยด้านที่อ่อนแอออกไปแล้ว เธอเสหันไปทางอื่นขณะยกมือขึ้นปาดน้ำตาทิ้งไป ก่อนจะกระดกเหล้าจนหมดแก้ว แสร้งทำเหมือนไม่ยี่หระอะไร

“คุณไม่ต้องขอโทษหรอก ฉันแค่อ่อนไหวง่ายไปหน่อยเท่านั้นเอง”

กระแสเสียงสั่นๆ อย่างคนที่พยายามฝืนควบคุมตัวเองทำให้ชายหนุ่มยิ่งเกิดความสงสาร แต่เขาก็รู้ว่ารมิตาไม่ได้ต้องการใครมาเห็นใจ พอๆ กับเขานั่นแหละ

อเล็กซ์ทำท่าเหมือนจะพูดอะไร แต่แล้วก็ไม่ได้พูดออกมา เขารู้ว่าหญิงสาวไม่ได้ต้องการคำปลอบใจใดๆ ทั้งสิ้น เธอต้องการเวลาในการกลบหลุมฝังความรู้สึกที่โผล่พ้นขึ้นมานี่ต่างหาก ฝังมันให้มิดเสียแล้วทำเหมือนตัวเองไม่เป็นอะไร นั่นคือวิธีที่เขาจัดการกับตัวเอง แม้ว่าบางเวลาที่อยู่คนเดียว เจ้าความรู้สึกรวดร้าวนี้จะเยี่ยมหน้ามาทักทายเขาก็ตาม แต่เขาก็ทราบดีว่า สักวันมันจะผ่านไป สิ่งที่เขาต้องทำมีแค่ทนให้ผ่านช่วงเวลาที่เรียกว่าเยียวยาจิตใจนี่ไปก่อน รมิตาก็คงเหมือนกัน และเขาไม่ควรซ้ำเติมเธอไปมากกว่านี้

‘...เราสองคนก็แค่คนอกหักสองคนมาเจอกัน ทำไมเขาต้องตั้งแง่กับเธอตลอดเวลา แทนที่จะใช้เวลาที่เหลืออยู่ให้สนุกไปกับกติกาที่มีนะ ยังไงซะผ่านห้าวันนี่ไปก็คงไม่มีทางโคจรมาพบกันใหม่อยู่แล้ว’

จู่ๆ อเล็กซ์ก็เอ่ยขึ้นมาว่า “ผมชักจะชอบคุณขึ้นมาเสียแล้วสิ โรซี่”

“หือ? คุณพูดว่าอะไรนะ” รมิตาทำเสียงไม่เชื่อหูออกมา

“ผมว่า...ผมชักจะชอบคุณขึ้นมาแล้ว” ใบหน้าของอเล็กซ์มีรอยยิ้มจางๆ ประกอบคำพูดตัวเอง หากเป็นผู้หญิงคนอื่นอาจจะใจละลายไปเรียบร้อยแล้ว แต่รมิตาไม่ได้อยู่ในอารมณ์หวั่นไหวและเคลิ้มไปกับคำพูดของเขา เธอว่า

“ถ้านั่นหมายความว่าคุณจะเป็นมิตรกับฉันมากขึ้น และพรุ่งนี้คุณจะไม่ทำให้ความดันฉันขึ้นเกินร้อยห้าสิบ ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดีค่ะ”

“งั้นก็ดื่มเพื่อมิตรภาพใหม่ของเราสองคนแล้วกัน” อเล็กซ์ยกแก้วขึ้น รมิตามองตาเขาแล้วนิ่งไปก่อนจะตอบรับด้วยการชนแก้วกับเขา

*************************************************
ไม่รู้มีใครรออ่านอยู่ไหม ที่ทำให้รอก็ขออภัยด้วยค่า
แต่เอาเป็นว่า ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามานะคะ ^^



ท้องฟ้า
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 26 ก.พ. 2557, 04:04:48 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 26 ก.พ. 2557, 04:04:48 น.

จำนวนการเข้าชม : 1015





<< เปิดฉาก   กัด >>
ree 26 ก.พ. 2557, 11:22:05 น.
รออ่าน บรรยายของกินได้น่าอร่อยมั่ก อ่านแล้วอยากไปมั่ง


ไม้เอก 26 ก.พ. 2557, 19:15:10 น.
รอติดตามอยู่ตลอดคร้าาา ^^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account