กุหลาบซ่อนเพลิง‏
เพราะพวกมันพรากชีวิตลูกเมียเขา

จึงเปลี่ยนเส้นทางชีวิตของสุจริตชนคนหนึ่งให้มุ่งหน้าสู่เพลิงโลกันต์

'ปภพ' ต้องชำระแค้นนี้ให้ได้ ต่อให้ต้องข้ามผ่านกี่ชีวิตคน

รวมทั้งชีวิตของเด็กสาวอย่าง 'อัมพิกา' ผู้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขศัตรู

กุหลาบแรกแย้มกำลังไหม้ไฟ ไฟที่เธอเต็มใจเข้าใกล้

แม้สุดท้ายทั้งกุหลาบและไฟอาจมอดไหม้เหลือเพียงเถ้าธุลี
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๘ ฆาตกรตัวจริง



รถจักรยานยนต์คันเล็กอยู่ห่างลิบๆ เมื่อมองจากกระจกใสบนห้องนั่งเล่นคฤหาสน์ มันวิ่งผ่านรั้วที่ยามเปิดเข้ามา ตรงขึ้นทางลาดเข้าสู่ตัวคฤหาสน์ซึ่งตั้งตระหง่านบนเนื้อที่กว่าสิบไร่

"มาแล้วครับ" ปภพหันบอกผู้เป็นนายซึ่งนั่งไขว่ห้างอ่านหนังสือพิมพ์

อีกไม่ถึงนาทีข้างหน้านี้แล้วสินะที่เขาจะได้เห็นหน้าไอ้ฆาตกรเสียที ก้อนเนื้อในอกเต้นแรงเมื่อเสียงเคาะประตูดังขึ้น เขาเดินไปเปิดให้สาวใช้ที่นำแขกเข้ามา ร่างสูงใกล้เคียงกับตนเดินผ่านหน้าเขา ดวงตาสองคู่ประสานกันเพียงชั่วกะพริบตา ก่อนเจ้าบ้านจะโบกมือไล่คนงานสาวออกไป

เขาได้พิจารณาศัตรูของตนเงียบๆ เมื่อมันนั่งลงตรงข้ามกับพ่อเลี้ยงหนุ่มใหญ่ ชายฉกรรจ์ผู้นั้นมีวัยไล่เลี่ยกับเขา ทว่ามีรูปร่างผอม แก้มตอบมีหนวดเคราหรอมแหรมตัดกับผิวขาวซีดของมัน มองเผินๆ เหมือนคนขี้โรคคนหนึ่ง เว้นแต่แววตาเท่านั้นที่ฉายแววอำมหิต ทะเยอทะยาน มุ่งมาด ขณะรับฟังคำสั่ง

"เมื่อสายคุณเสมอโทรมาแล้ว ของจะมาต้นเดือนหน้านี้เท่าเดิม แต่นายต้องพาลงไปให้ถึงอยุธยานะคราวนี้ คิดว่าต้องใช้เงินเท่าไร"

มันนิ่งไปนิดหนึ่งโดยไม่แม้แต่แอบซ่อนสีหน้าครุ่นคิด ในหัวคงกำลังดีดลูกคิดให้คุ้มค่าความเสี่ยง เมื่อต้องเดินทางไกลกว่าครั้งไหนๆ

"ผมขอเบิกก่อนสักห้าแสน เสร็จงานแล้วเบิกเพิ่มล้านห้าแล้วกัน ของมันเยอะ คนมันน้อยน่ะพ่อเลี้ยง"

"บ๊ะ! คราวที่แล้วแกเบิกรอบแรกสองแสน รอบหลังอีกล้านเองนะเว้ย มันจะขึ้นเร็วกว่าราคาน้ำมันไปไหม"

พ่อเลี้ยงเรืองเดชวางหนังสือพิมพ์ลงกับโต๊ะแรง ใบหน้าอมชมพูระเรื่อตามแรงโทสะที่ถูกโก่งราคา

"โธ่ พ่อเลี้ยงได้กำไรกว่าผมตั้งมาก แล้วคราวนี้ก็ลงไปถึงอยุธยา ความเสี่ยงมันก็มากขึ้นนี่ครับ" มันทำหัวหมอ "อย่างคราวที่แล้วท่านก็รู้ เราเกือบมีปัญหาเพราะนังผู้หญิงชาวบ้าน ดีที่ไอ้เบิ้มมันเอาอยู่ มันเชี่ยวชาญเรื่องพรรค์นี้ดี"

ปภพตัวสั่นเทิ้มทันทีที่ได้ยินคำยืนยันการคาดเดาทั้งหมดของเขา มันตอกย้ำว่าสิ่งที่เขาคิดไว้ว่าตรงกับความจริงทุกประการ เหงื่อกาฬซึ้มชื้นทั่วสรรพางค์กายแม้อยู่ในห้องปรับอากาศเย็น นั่นเพราะเขาหมายมาดจะตรงเข้าขยุ้มคอมันให้หักคามือ

"เออ ถ้ากับอีแค่นี้พวกจัดการไม่ได้ก็กลับไปรับจ้างทวงหนี้ให้อาซ้ออาซิ้มเถอะเว้ย หน็อย..."

ไม่มีสักคำที่ผู้เป็นนายแสดงความเสียใจกับเหยื่อ นอกจากส่งเสริมลูกน้อง ขี้ข้าม้าใช้ว่าทำในสิ่งที่สมควรแล้ว หัวใจคนฟังแทบระเบิดด้วยเพลิงแค้นอัดแน่นจนไม่อาจยืนนิ่งอย่างเป็นสุขอีกต่อไป และเพราะเช่นนั้นชายฉกรรจ์ฝั่งตรงข้ามจึงปรายตาขึ้นมอง มีแววติดใจสงสัยในดวงตามัน ก่อนเสียงเอ่ยประโยคต่อไปจะทำให้มันเลิกสนใจเขาชั่วขณะ

"งวดแรกฉันให้เต็มที่สามแสนห้า เสร็จงานมารับอีกล้านสอง" พ่อเลี้ยงเรืองเดชชี้นิ้วเมื่อมันอ้าปากจะค้าน "อย่าลืมว่าแกตั้งตัวได้เพราะใคร แล้วงานนี้ก็ไม่ได้มีแค่เรา ยังมีไอ้เสี่ยเพ้งอีกที่มันคอยตัดราคา แต่ท่านยังไว้ใจฉันมากกว่าเท่านั้นล่ะ"

จักริชชักสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อย แต่มันไม่มีทางเลือกอย่างที่ชีวิตนี้ไม่มีทางเลือกมากนัก ตั้งแต่เกิดมาจากท้องแม่เล้าคุมซ่อง โตมากับพ่อที่เป็นนักเลงทวงหนี้ มองไปทางไหนก็ไม่เห็นแสงสว่างให้พืชเมล็ดนี้เติบโตงอกงามได้เลย เมื่อถูกจับเข้าสถานพินิจครั้งหนึ่งจากคดีฉกชิงวิ่งราว เขาก็สาบานกับตัวเองว่าจะไม่หวนกลับไปให้ถูกจำกัดอิสรภาพอีก เมื่อสังคมไม่ยอมรับคนทำผิด ทางเดียวที่เขาสามารถเดินต่อไปได้คืออยู่ใต้บารมีต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขามาปกป้องเขาได้แทน และบุคคลผู้นั้นคือพ่อเลี้ยงเรืองเดชที่รุ่นพี่ในสถานพินิจชักชวนมาทำงานด้วยนั่นเอง

คิดมาถึงตรงนี้มันก็ต้องยอมรับ ทั้งบ้าน รถ และชีวิตใหม่ที่พ่อเลี้ยงมอบให้นับว่ามากกว่าที่เขาจะคิดฝันในชีวิต ยังไม่รวมร้านคาราโอเกะที่พ่อเลี้ยงสำรองทุนสนับสนุนให้เป็นกิจการส่วนตัวก็ได้พ่อแม่ตนมาดูแล นับว่ามากจนเขาไม่กล้าต่อรองเพิ่มเติม

"ก็ได้ท่าน รู้ล่วงหน้าอย่างนี้ผมจะได้เตรียมหาพรรคพวก แต่คนทำงานใหญ่เดี๋ยวนี้ก็หายากเต็มที"

"ไม่ต้องห่วง ฉันจะส่งคนไปช่วยเคลียร์เส้นทาง"

ทั้งสองสบตาอย่างรู้กัน นับว่าบรรลุข้อตกลงก่อนที่ผู้มีอิทธิพลจะกดปุ่มบนโทรศัพท์ฐานเรียกวิเชียรมาจัดการเรื่องเงินต่อไป

"ไม่เอาคนเดิมนะท่าน ทางลัดอะไรของมัน เปลี่ยวก็จริงแต่ดันแจ๊กพ็อตเจอสองแม่ลูก"

"ก็นังนั่นมันซวยเองนี่หว่า" เรืองเดชเอ่ยกลั้วหัวเราะในลำคอ แล้วจึงหรี่ตาลงเป็นจริงจัง "คราวนี้ฉันมีที่ปรึกษาใหม่ มันรู้จักเส้นทางสายหลักสายรองดี จริงไหมปภพ"

ชายหนุ่มค้อมศีรษะเล็กน้อยเก็บซ่อนสายตาอาฆาต โอกาสของเขามาถึงแล้ว คราวนี้ล่ะเขาจะกำจัดพวกมันทั้งขบวนการ และหากเขาไม่พลาดท่าเสียก่อน ก็ถึงฆาตพ่อเลี้ยงหนุ่มใหญ่ผู้มีใจคออำมหิต โหดเหี้ยมไม่ต่างจากลูกน้อง ผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์เลวร้ายทั้งมวลเป็นรายต่อไป!

....................................

แผนที่ขนาดใหญ่มาตราส่วนละเอียดถูกกางแผ่บนโต๊ะไม้สักภายในห้องทำงานเก็บเสียงของเจ้าบ้าน โดยมีพ่อเลี้ยงเรืองเดชนั่งเป็นประธานฟังลูกน้องสรุปรายงาน

สมหมายและยอดธงยืนฟังรุ่นน้องที่ได้รับความไว้วางใจอธิบายเส้นทาง ปภพไม่ได้ปรึกษาหารือกับใครเลยนอกจากเก็บตัวคิดคนเดียวเงียบๆ ซึ่งทำให้ผู้ที่ทราบจุดประสงค์หลักของน้องเขยไม่สบายใจ

"ด่านผ่านทางก่อนเข้าอยุธยามันมีตำรวจนี่นา จะไม่เสี่ยงไปหน่อยเหรอ" ยอดธงท้วงติง

ปภพรู้สึกถึงแสงตาทุกคู่มองมาอย่างคอยคำตอบ เขาต้องเก็บซ่อนแววตามาดร้ายขณะมองตอบทุกๆ คน ยืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

"ตำรวจพวกนั้นมันก็ได้แต่คอยรีดไถเก็บส่วยรถบรรทุก แต่ในเมื่อเราใช้รถกระบะก็น่าจะปลอดภัย ไม่ควรต้องไปอ้อมให้เสียเวลา"

"ทำงานนี้ไม่มีคำว่า 'น่าจะ' " ผู้เป็นนายเอ่ยเสียงขรึม ไร้แววปรานี เล่นหัวกับลูกน้องดังเคย "นายมั่นใจกี่เปอร์เซ็นต์ ตอบมาตามตรง"

ชายหนุ่มสบตาตอบแน่วแน่ "เก้าสิบครับ"

"แล้วอีกสิบ..."

"มันอาจจะไม่ตั้งด่านวันนั้นก็ได้"

พ่อเลี้ยงเรืองเดชหรี่ตาพิจารณาบุรุษตรงหน้า ไม่มีแววทีเล่นทีจริงหรือตอบเพื่อเอาใจเขาแต่อย่างใด มีเพียงสีหน้าราบเรียบเดียวที่เขาเห็นนับแต่ได้มันมาทำงานให้ หากในดวงตามีแววถือดี ดื้อดึง พลอยให้คนมองอยากพิสูจน์ดูสักครา

จากรอยยิ้มบางอย่างพึงพอใจในคำตอบค่อยแปรเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะเบา แล้วจึงดังขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุด

"เอาวะ ลองดูสักตั้ง"

ยอดธงขยับกายอึดอัด อดไม่ได้ที่จะโต้แย้ง "แต่ท่าน... ผมว่าเราอ้อมสักหน่อย ยอมเสียเวลาดีกว่ามีปัญหานะครับ"

ดวงตาเปล่งประกายเมื่อครู่ตวัดมองลูกน้องเก่าขวับ นิ้วชี้ซึ่งสวมแหวนทองวงใหญ่ชี้ส่ายไปมาเป็นสัญญาณเตือน

"แกนั่นแหละที่พาไอ้พวกนั้นอ้อมไปเจอชาวบ้านทะเล่อทะล่า ถ้าไอ้จักรมันไม่ไหวตัวทัน เรื่องเส้นทางขนยาของเรามันคงไม่เป็นความลับต่อไป"

ปภพหันมองชายฉกรรจ์ข้างซ้ายมือตน ที่แท้คนวางแผนเส้นทางคราวนั้นคือยอดธง เพื่อนร่วมงานที่ดีของเขาตลอดมา และสมหมายก็คงจะรู้ล่วงหน้าเช่นตอนนี้ แต่ทำไมถึงไม่ห้ามปรามเพื่อนตนเอง ทำไมไม่หาทางเตือนน้องสาวให้รู้ตัว

ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งรู้สึกเหมือนตนเองถูกหลอก สมหมายบอกความจริงไม่หมด แล้วยังมีอะไรอีกบ้างที่อีกฝ่ายปิดบัง เขาคิดไม่ออกเสียแล้วว่าพี่ภรรยาพาเขาเข้ามาที่นี่ทำไม เมื่อฝ่ายนั้นดูจะพยายามกันเขาออกห่างจากเป้าหมายที่เคยมีด้วยกัน

"สมหมาย นายเห็นด้วยใช่ไหม"

พ่อเลี้ยงเปิดโอกาสให้ลูกน้องอีกคนแสดงความเห็นโดยตั้งธงคำตอบไว้แล้ว สมหมายอยู่มานานพอจะรู้ว่าเจ้านายต้องการคำตอบใด

"ครับ"

เสียงหัวเราะในลำคอเป็นการตัดบทสนทนาทั้งหมด

“ดี แล้วปภพ...นายเตรียมไปพบจักรกับฉัน”

แม้จะมีความเห็นแย้งกัน แต่ทั้งสามก็ช่วยกันพับเก็บแผนที่ออกไป ยอดธงเดินนำลิ่ว เว้นแต่สมหมายที่อยู่โยงคอยรับใช้พ่อเลี้ยงเรืองเดชภายนอกห้องตามตารางหน้าที่ประจำวันของตน หากผู้เป็นน้องเขยทราบดีว่าคืนนี้พวกเขาคงมีเรื่องพูดคุยกันอีกมากทีเดียว

........................


"ไปข้างนอกด้วยกันหน่อยสิ"

คำชวนง่ายๆ ของรุ่นพี่ยามหัวค่ำวันนั้นได้รับการตอบรับง่ายๆ จากน้องเขยเช่นกัน ชายฉกรรจ์สองคนขึ้นรถจักรยานยนต์ออกมา ด้วยต่างก็เป็นเวลาพักของคนทั้งคู่ สมหมายเป็นผู้ขี่โดยมีร่างสูงใหญ่ซ้อนท้ายตามแต่ผู้ขี่จะพาไป

แล้วรถก็มาหยุดยังหน้าร้านอาหารกึ่งผับที่มีป้ายรูปภาพหญิงสาวหน้าตาดีติดหรา มันอยู่ระหว่างทางเข้าตัวเมือง เพียงรถเลี้ยวเข้าไปก็ได้ยินเสียงดนตรีดังออกมานอกร้าน ก่อนกลิ่นอับอวลกลิ่นบุหรี่จะลอยเข้าจมูกทันทีที่เปิดประตูเข้าไป

สมหมายปฏิเสธพนักงานสาวที่มาเชิญไปนั่งโต๊ะว่างหน้าเวที แต่เขาเดินไปนั่งยังเก้าอี้โซฟาทรงโค้งเข้ามุมยังมุมมืดสงบอย่างคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้ดี แล้วจึงสั่งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์พร้อมทั้งกับแกล้ม ต่างฝ่ายต่างรอให้หญิงสาวในเครื่องแบบร้าน...เสื้อเชิ้ตรัดรูปกับกระโปรงสั้นผสมเครื่องดื่มให้ เมื่อลูกค้าไม่มีทีท่าสนใจบริการเสริมนอกเหนือจากนั้นเจ้าหล่อนจึงผละไป

"นายบอกฉันได้ไหมว่าจะทำอะไร"

เมื่อแอลกอฮอล์ค่อยซึมสู่กระแสเลือด เขาจึงมีความกล้าพอจะเปิดอกคุย

แทนที่จะตอบ ปภพอดเอ่ยถึงเรื่องที่ตนไม่พอใจไม่ได้ "พี่หมายไม่ได้บอกผมว่าไอ้ยอดคือคนวางแผนเส้นทางคืนนั้น ทำไมพี่ ทั้งที่คนฆ่าพรกับลูกมันอยู่รอบตัวเรา แต่ผมกลับไม่รู้อะไรเลย"

"คนฆ่าพรกับลูกคือไอ้จักร ฉันบอกนายแล้วว่าคนอื่นไม่เกี่ยว" ผู้พูดเน้นเสียงกระซิบ "และเพราะฉันรู้ว่าความแค้นของนายมันเกินกว่าเหตุไปมากแล้วปภพ นายกำลังวางกับดักทุกด้านล้อมตัวเองไว้ แล้วนายนั่นแหละ นายจะย่อยยับไปพร้อมคนพวกนั้นเอง"

ชายหนุ่มกระดกเครื่องดื่มลงคอรวดเดียวหมดแก้ว ความขมปร่าซ่านไปทั้งกระพุ้งแก้มผ่านลำคอ มันเย็นวาบในท้องแต่กลับร้อนทั่วสรรพางค์กาย

"หมายความว่าพี่จะล้มเลิกความตั้งใจ..." เขาเค้นเสียงลอดไรฟัน

ไม่มีคำตอบจากชายหนุ่มรุ่นพี่ ใบหน้าคล้ำหมองลงทุกวันจากความวิตก เป็นทุกข์ น้องเขยของเขาคนนี้ยังไม่เคยเห็นความโหดเหี้ยมถึงขีดสุดของพ่อเลี้ยงเรืองเดช ความทรมานของคนคิดคดทรยศที่มีเพียงทางหนีเดียวคือความตายยังดีเสียกว่า ไม่มีใครหันหลังให้แล้วจะอยู่บนโลกนี้ต่อไปได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคนคนนั้นได้รับความไว้วางใจสำคัญมากเท่าไร ก็เหมือนมีเงื้อมเงาปิศาจตามตัวตลอดไป

"ฉันก็อยากทำอย่างนั้น ให้เบาะแสตำรวจจัดการไอ้จักรกับพวก แล้วจบทุกอย่างซะเถอะปภพ แล้วนายก็ออกไปทำงานต่างประเทศสักพัก กลับมาคงพอตั้งตัวได้หรอก แต่ฉันมันถลำลึกเกินไปแล้ว"

เขาจะตั้งตัวได้อย่างไรเมื่อความรู้มีเพียงแค่ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ทางจะได้เงินเดือนสูงก็มีเพียงการกู้หนี้ยืมสินไปทำงานต่างแดนเท่านั้น แล้วก็มีงานนี้ที่ค่าตอบแทนคุ้มค่า...อย่างที่แม้แต่สมหมายก็ไม่อาจถอยกลับนั่นไง

"ผมทำไม่ได้ ถ้าพี่ไม่อยากเกี่ยวข้องผมก็เข้าใจ แต่ยังไงผมก็เคารพพี่หมายเสมอ"

เขาวางธนบัตรสีแดงพับหลายใบลงบนโต๊ะก่อนลุกจากไป ไม่ฟังเสียงเรียกตามมา

ปภพโบกเรียกรถกระบะซึ่งต่อท้ายเป็นที่นั่งผู้โดยสารสองแถวหันหน้าเข้าหากัน เขานั่งอย่างไม่มีจุดหมาย รู้แค่ว่ารถมุ่งหน้าเข้าสู่ตัวเมือง พร้อมกับความคิดซึ่งทำงานอย่างหนัก เขาจะทำอย่างไรให้ได้ย้ายเข้าสู่ขบวนการนั่นเต็มตัว เมื่อนั้นระเบิดที่เขาจุดจะได้ห่างไกลผู้ที่ตนเคารพรักดุจพี่ชายแท้ๆ ออกมา ให้ความเลวร้ายตกที่เขาคนเดียว

.............................

เขาคิดเสมอว่าในสังคมประกอบด้วยคนดีคนเลวปะปนกัน เราอาจเดินสวนกันเมื่อไรก็ได้โดยรู้หน้าไม่รู้ใจ แต่สิ่งหนึ่งซึ่งเขาเคยคิดคือคนดีนั้นคือคนส่วนใหญ่ของสังคมทุกที่ ทว่ายิ่งนานวันโลกใบใหม่ที่เขารู้จักก็ยิ่งตอกย้ำว่าเขาคิดผิดไป

ร้านคาราโอเกะที่เขาเข้าไปตามที่ได้รับมอบหมายอยู่ในซอยใกล้แหล่งชุมชนและห้างร้าน แม้เป็นเวลามืดค่ำแต่กลับพลุกพล่านด้วยผู้คนหลากหลายอาชีพที่พักอาศัย ณ แฟล็ตในซอยนั้น หากจะมีคนแปลกหน้าแปลกถิ่นมาเพิ่มอีกสักคนก็ไม่น่าสงสัยแต่อย่างใด

ร่างสูงใหญ่ในเสื้อแจ๊คเก็ตผ้าร่มสีดำสวมทับเสื้อยืดสีเดียวกัน กับกางเกงยีนสีซีด ผลักประตูกระจกที่มีหญิงสาวนุ่งน้อยห่มน้อยส่งยิ้มให้จากหน้าร้านเข้าไป ที่นี่แทบไม่ต่างจากสถานบันเทิงที่สมหมายพาไปเมื่อหลายวันก่อนแต่ซอมซ่อกว่า กลุ่มลูกค้าก็คงจะต่ำลงมาถึงผู้หาเช้ากินค่ำกระมัง ปภพปล่อยให้เด็กสาวคนหนึ่งในร้านตรงมาคล้องแขน เสียงออดอ้อนออเซาะเชิญชวนให้ไปนั่งกินดื่มกับเธอ

"ฉันมาหานายจักร ไปบอกเขาให้หน่อย" เขาเอ่ยถึงธุระเป็นการปฏิเสธ

อีกฝ่ายซ่อนความผิดหวังบนสีหน้าไม่มิด ก่อนจะปล่อยท่อนแขนกำยำอย่างแสนเสียดาย

"เดี๋ยวหนูไปบอกให้ก็ได้ แต่พี่อย่าไปกับใครนะ"

เขาพยักหน้าส่งๆ ไม่มีความคิดจะใช้บริการเจ้าหล่อนสักนิด เขาจะไม่ยอมทำร้ายสมพรครั้งสอง แม้ว่าเธอจะรับรู้หรือไม่ก็ตาม

หญิงสาวคนเดิมกลับมาตามเขาเข้าไปยังห้องสี่เหลี่ยมคับแคบหลังเคาน์เตอร์บัญชี ประตูซึ่งทำจากเหล็กบุสักหลาดถูกผลักเข้าไป แล้วเขาก็ได้พบหน้ามันอีกครั้ง คนที่ตนได้รับมอบหมายให้มาหานั่งเหยียดขาจากโซฟาพาดบนโต๊ะกระจก พร้อมด้วยผู้ที่เขาไม่คุ้นหน้าอีกสองคนนั่งล้อมวงร่ำสุราอยู่ด้วยกัน

ชายหนุ่มลังเลว่าควรหยิบแผนที่ที่เตรียมมาหรือปืนในกระเป๋าสะพายมากกว่ากัน...

"นี่เหรอคนใหม่ของท่าน" เสียงถามดังมาจากชายร่างยักษ์

จักริชลุกยืนจับมือทักทายแทนคำตอบ มือซีดซึ่งยังคงถือแก้วทรงเตี้ยบรรจุน้ำอำพันค้างไว้วาดมาโอบไหล่อีกฝ่าย ปภพยืนตัวเกร็งด้วยความรังเกียจ เคียดแค้นจับใจ

"รู้จักปภพไว้ ส่วนนี่ไอ้เบิ้มกับไอ้แสน...ทีมฉัน"

ดวงตาคมกล้ามองตามมือที่ผายแนะนำ แล้วเขาก็ต้องขบกรามแน่นเมื่อเห็นว่าใครมีส่วนในการฆาตกรรมลูกและเมียเขาอีกคน มันเป็นชายฉกรรจ์วัยสี่สิบเศษรูปร่างสูงใหญ่ ลำตัวหนาราวคิงคองตรงข้ามกับศีรษะเล็กกลมและผมซึ่งแหลมชี้ด้วยเจลแต่งผมเป็นมัน

แค่จินตนาการถึงผู้ชายหลายคนพยายามย่ำยีและฆ่าภรรยาเขา ปภพก็แทบบ้า ซ้ำร้ายมันยังโหดเหี้ยมผิดมนุษย์มนา เลวทรามยิ่งกว่าเดรัจฉาน แม้แต่เด็กตาดำๆ ไร้ทางสู้ มันยังฆ่าแกงได้ลง

"อ้าวเฮ้ย เก็บโต๊ะๆ ทำงานก่อนพวก" จักริชร้องสั่งลูกน้อง

ชายร่างใหญ่คนหนึ่งกับร่างเล็กคนหนึ่งช่วยกันหยิบขวดแอลกอฮอล์พร้อมทั้งจานกับแกล้มลงวางพื้น มันปัดกางเกงเมื่อลุกนั่งดีๆ ก่อนชายหนุ่มจะสงบสติอารมณ์เปิดกระเป๋านำแผนที่มากาง เขาต้องอดกลั้นเพื่อแผนการที่ตั้งใจไว้อย่างดี จะไม่ยอมลุแก่โทสะดังที่สมหมายมักหวาดระแวงในตัวเขาให้ได้

คนวางเส้นทางอธิบายแผนการตามที่พ่อเลี้ยงเรืองเดชเห็นชอบให้ทั้งสามคนรับทราบ ก่อนปิดท้ายด้วยคำสั่งล่าสุดที่เขาเพิ่งหารือกับท่านก่อนมาที่นี่

"ฉันจะไปกับเบิ้ม ส่วนนาย...ท่านให้ไปกับแสน จะได้ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง รีรอกันจนเกิดเรื่องอย่างคราวที่แล้วอีก"

พวกมันหันมองหน้ากันสายตาเลิ่กลั่ก ปภพนึกรู้ว่าคนอย่างพวกมันห่วงอะไร ไม่มีอะไรสำคัญกับคนพรรค์นี้เกินกว่าเงิน

"ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องนับฉันรวมในตัวหารพวกนายหรอก ฉันทำตามคำสั่งของท่านเท่านั้น"

ชายร่างเล็กนามว่าแสนยิ้มเผล่อย่างโล่งใจ ตรงข้ามกับเพื่อนมันอีกสองคนที่พยายามเกลื่อนสีหน้า หากไม่พ้นสายตาชายหนุ่มอยู่ดี
............................

ตอนนี้เครียดหน่อยนะคะ
ปภพกำลังก้าวสู่โลกมืืดเต็มขั้น ด้วยการทำสิ่งผิดกฎหมายซะเอง
มาลุ้นกันว่าเขาแข็งใจทำมันสำเร็จหรือไม่ เหอๆ
เรื่องนี้แพรวลุ้นวันต่อวันเลยค่ะว่าจะได้อัพถึงบทไหน อยู่เป็นเพื่อนกันก่อนน้าาา



ภาพิมล_พิมลภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 มี.ค. 2557, 16:14:16 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 มี.ค. 2557, 16:14:16 น.

จำนวนการเข้าชม : 1380





<< บทที่ ๗ รักต้องห้าม   บทที่ ๙ คนที่ไม่มีใครสนใจ >>
ปริยาธร 12 มี.ค. 2557, 20:43:48 น.
เห็นด้วยค่ะว่าตอนนี้เครียดจริงๆ ด้วย


ภาพิมล_พิมลภา 12 มี.ค. 2557, 22:09:55 น.
พี่นุ้ย - ตอนนี้อ้อมถูกหักค่าตัวค่ะ 55


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account