ในเงาฝันปลายตะวัน
พรนับพัน ชีวิตของเธอจะมีตาอยู่ในทุกๆ ที่ แม้กระทั่งวันที่ตาจากไป หลายๆ สิ่งที่เธอทำก็ยังอยู่ในเงาของ 'ตะวัน' ผู้เป็นตาไม่เคยเปลี่ยน

และเพราะนิสัยที่เอาแต่ใจ โมโหร้าย ไม่สนใครหน้าไหนของพรนับพัน ชีวิตวันๆ หนึ่งเดินออกไปไหนไม่ได้ไกล หากมีเรื่องเข้ามาหาเจ้าหล่อนพร้อมพุ่งชน และนั่นเองทำให้รอบข้างกังวลและอยากจับเธอเปลี่ยนแปลง

ทิวากร ไม่รู้ว่าเขาโชคดี หรือโชคร้ายที่ได้รับหน้าที่จัดการเปลี่ยนมนุษย์ถ้ำ ให้ออกสู่สังคมได้อย่างปกติ แต่ดูเหมือนว่าคนที่ใครมองว่าโชคร้าย กลับเต็มใจรับสภาพ อ้าแขนรับมนุษย์ถ้ำคนนี้ซะด้วย
Tags: มนุษย์ถ้ำ โรแมนติก อมยิ้ม

ตอน: บทที่ 1 : ล่าลายเซ็น

บทที่ 1

นักเขียนเงา...อาชีพไม่เปิดหน้า เหมาะยิ่งยวดกับมนุษย์ที่ไม่ต้องพบปะผู้คนมากนัก วันๆ หนึ่งเธอรับจ้างเขียนอัตชีวประวัติให้คน ดาราหลายๆ คนที่ออกพ็อกเกตบุ๊คส์เกลื่อนตลาด มีอย่างน้อยๆ ก็ห้าคนที่ใช้บริการคนเรียบเรียงอย่างเธอ หรืองานประพันธ์เธอก็เลือกใช้เงาของคนอื่น

คนเขาว่ากันว่านักเขียนเป็นอาชีพที่ทำความรู้จักผ่านตัวอักษร แต่สำหรับเธอมันลึกยิ่งกว่านั้น ตัวอักษรของเธอยกให้เป็นชื่อเสียงของคนอื่นไป จากที่เคยเริ่มเขียนคอลัมน์ลงสาสน์มหาวิทยาลัย ก็เริ่มขยับสู่วงการน้ำหมึกจากแวดวงรุ่นพี่ในชมรมวรรณศิลป์ที่กลับมาเยี่ยมเยียน แนะนำงานมาให้ จากดาราท่านหนึ่ง และลูกค้าก็ตามมาเรื่อยๆ พวกเขาใช้งานเธอ เพื่อเป็นชื่อเสียงของเขา

“ทำไมไม่ไปรับจ้างเล่นเฟสบุ๊คส์แฝงตัวเป็นคนดังสักคนล่ะ น่าจะได้เงินดีกว่ามารับจ้างเขียนอัตชีวประวัติแบบนี้ นี่ขนาดหนังสืองานศพแกยังรับเขียนเนี่ยนะ” สาวผมบ็อบ หน้าม้าเต่อกอดหมอนสีขาวใบใหญ่แนบอก นั่งๆ นอนๆ มองเพื่อนทำงานมานานกว่าสามชั่วโมงโดยไม่หยุดพัก เธอเห็นพรนับพันเดี๋ยวพิมพ์ เดี๋ยวหยุดกับสมุด หรือมีตรงไหนไม่เข้าใจก็จะโทรศัพท์ต่อสาย เป็นงานที่ดูเหนื่อย เงินก็ไม่ได้เยอะ

“หนังสืองานศพเป็นจ็อบพิเศษของฉัน ไม่หวังรวยบนร่างใครหรอก ฉันว่ามันเป็นสิ่งสุดท้ายที่คนเป็นจะทำอะไรให้คนตายได้แค่นั้นเอง” พรนับพันกดส่งงานไปยังโรงพิมพ์ที่เธอทำงานอยู่ด้วยให้จัดการพิมพ์ส่งให้ลูกค้าเป็นของชำร่วยในงานศพ ส่วนเธอได้ค่าเขียนเรียบเรียงเล่มเพียงน้อยนิดเท่านั้น เธอรับมาก็แค่อยากช่วย

“ตาแกเสียไปตั้งสามปีแล้ว แกไม่คิดจะก้าวออกมาจากเงาบ้างเหรอ จะเป็นเงาของตาไปถึงเมื่อไหร่ งานเขียนของตาแก จะเป็นของตาได้ยังไง ถึงแกจะใช้ชื่อตา แต่ยังไงคนเขียนมันแกนะยัยพราวด์” หนึ่งดาราเทศนาเพื่อนด้วยเรื่องเดิมๆ ซึ่งอีกฝ่ายก็รับฟังด้วยอาการนิ่งเฉยเมย หยิบเมล็ดทานตะวันของเคียงประจำกายซึ่งวางไม่ห่างตัวออกมาแทะเสียงดังใส่

พรนับพันทิ้งเปลือกเมล็ดทานตะวันอบแห้งลงถังขยะ เอื้อมมือสุดแขนจากเก้าอี้หมุนได้ของตัวเองไปยังสมุดเล่มเก่าซึ่งถูกปิดด้วยเชือกผูกไว้อย่างดี สภาพสมุดเป็นปกผ้าสีน้ำตาลถูกพลิกมองในมือ พรนับพันมองมันด้วยรอยยิ้ม “ฉันจะไม่ใช้ชื่อของตัวเองหรอก ทุกพล็อตที่ฉันใช้เขียนมาจากในนี้ ของตาฉัน ตาฉันชอบจดเรื่องราวมาตั้งนาน เป็นนักเขียนได้ก็ตอนอายุห้าสิบกว่าหลังเออรี่จากงาน ตามีเวลาอยู่กับความฝันไม่นานเท่าไหร่ ฉันเลยอยากจะยืดเวลาความฝันของตาไว้ ไม่ต้องห่วงหรอก เรื่องนี้ฉันกับบรรณาธิการเข้าใจกันดี”

“ด้วยการหลอกคนอ่าน” หนึ่งดาราส่งเสียงหึขัดใจ “ยัยพราวด์เอ๊ย แกน่ะจมอยู่กับเงานี้ไม่ยอมขึ้นมาเผชิญโลกแห่งความจริงเลยรู้ไหม คะแนนเข้าสังคมติดลบ ทำงานบริษัททำได้ไม่กี่เดือนก็หวิดขึ้นโรงพัก ฉันเป็นห่วงแกนะพราวด์ แกรู้ตัวไหมว่านอกจากทุกอย่างที่เกี่ยวกับตา แกแทบไม่มีความรู้สึกต่ออะไรบนโลกนี้แล้ว”

คนถูกว่าเท้าศีรษะกับมือ นึกย้อนดูตามเพื่อนว่ามานั้น เธอเคยทำงานบริษัทมาบ้าง แต่ก็ทนไม่ได้นาน ถึงเธอจะทำงานดี แต่ท้ายที่สุดก็เข้าสังคมกับเพื่อนร่วมงานไม่ได้ การที่เธอไม่ยิ้มให้ใครกลายเป็นว่ามองเธอเป็นคนหยิ่ง และเกลียดกันไป มีโอกาสมาหาเรื่องกระแนะกระแหน คนอย่างพรนับพันไม่เคยทนใครมาก่อน มีเรื่องฝากแผลกลับไป รวมทั้งเธอเองก็โดนรุมสกรัม ในที่สุดด้วยสภาพคนที่รับไม่ได้เธอจึงเลือกลาออก และหันหลังใส่สังคมปั้นหน้า

“พ่อ แม่ แฟร์จ้างเธอมาพูดเท่าไหร่ล่ะ”

สาวผมบ็อบถลึงตามองคนขัดอารมณ์ ก่อนจะพ่นลมแรงออกทางจมูกจนรูขยายกว้าง “ฉันจะไปเรียนต่อต่างประเทศจะห่วงแกบ้างไม่ได้หรือไง พราวด์ฉันไหว้ล่ะ เปิดหัวใจตัวเองบ้าง โลกใบนี้ไม่ได้น่ากลัว แกเองก็ไม่ได้ป่วย” หนึ่งดาราอธิบายอย่างใจเย็น “แกดูสิ แกยังคุยกับฉันได้ปกติ หน้าแกอาจจะตายด้านยิ้มยากไปหน่อย แต่ถ้าแกจะรู้จักทำหน้าผ่อนคลายใส่มวลมนุษย์โลกบ้างฉันจะวางใจขึ้น ไม่ต้องกลัวว่าเวลาแกขาดเพื่อน แกจะไม่เฉาตาย”

“ใครจะไปเฟรนด์ลี่อย่างเธอล่ะหนึ่ง” พรนับพันหมดความสนใจในเรื่องที่สนทนากันอยู่ หมุนเก้าอี้กลับไปหน้าจอคอม หยิบเมล็ดทานตะวันขึ้นมานั่งแทะ ให้ลิ้นสัมผัสรสเค็มปะแล่มต่อไป

“พราวด์แกไม่รักพ่อรักแม่รักน้องหรือเพื่อนที่แกไม่รักอย่างฉันล่ะ แกไม่แคร์เลยใช่ไหม” ได้ผล หนึ่งดารายิ้มกริ่มในใจกับการหมุนเก้าอี้ร้อยแปดสิบองศากลับมาทำหน้ายับยุ่งใส่ “พราวด์แกจะกลายเป็นคนทำร้ายหัวใจทุกคนรู้ไหม แกไม่รู้หรอกว่าลับหลังแก พ่อแม่แล้วก็แฟร์ทุกข์ใจเรื่องแกกันมากขนาดไหน”

“ฉันไม่เคยรู้” พรนับพันตอบเสียงเบา ประกายตาไหววูบไปด้วยความรู้สึกผิด หญิงสาวไม่ได้ล่วงรู้แผนการที่เพื่อนจงใจเล่นงานในจุดอ่อนของเธอสักนิด

“แกต้องแก้ไข เปลี่ยนแปลงตัวเอง พ่อกับแม่แกไปสัมมนางานวิจัยที่ต่างประเทศสามเดือนใช่ไหม”

“เธอรู้อยู่แล้วจะมาถามอีกทำไม”

“อย่าเพิ่งชักใบให้เรือเสียสิยัยพราวด์” หนึ่งดาราเอ็ด และรีบดึงกลับมาเรื่องเดิม “คราวนี้แกต้องเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองให้สำเร็จในสามเดือน แค่ยิ้มได้นานกว่าปกติสัก” ลูกสาวนายทหารยกนิ้วมือชูหรา “ห้าวินาที แล้วก็ยิ้มบ่อยขึ้น ถ้าแกทำได้ฉันจะให้ป๋าปิดบ้านเลี้ยงแกเลย”

“แน่ใจเหรอว่าพ่อกับแม่ฉันจะไม่แตกตื่น” อีกครั้งที่เมล็ดทานตะวันถูกหยิบมาแทะ บอกกรายๆ ว่าอีกไม่กี่นาทีเก้าอี้อาจหันกลับร้อยแปดสิบองศา

หนึ่งดาราเกลียดสัญญาณไม่สนโลกของเพื่อน เธอลุกขึ้นยืน กวาดมือเทเมล็ดทานตะวันอบแห้งหลายขนาดที่เหลือใส่ถังขยะ ยืนปากเป่าหน้าม้าตัวเองจนผมปลิวขึ้นไปและกลับมาอยู่ทรงเช่นเดิมเหมือนในภาพยนตร์เกาหลีที่ฮิตฮอตหลายปีก่อน ไม่ใส่ใจว่าจะยิ่งทำให้คนไม่สนโลกทำหน้าง้ำงอ มองตาละห้อยเสียดายตามเมล็ดทานตะวันแค่ไหน

“อย่างแรกเลย แกควรทำทุกอย่างที่แกคิดว่าฉันจะแตกตื่น ทุกๆ อย่าง ให้ฉันเห็นก่อนที่ฉันจะไปเรียนอังกฤษอาทิตย์หน้า”

“ขอบอกว่าที่ฉันทำเพื่อให้ครอบครัวแล้วก็เพื่อนของฉันสบายใจ ส่วนตัวฉันเอง จะเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยนมันไม่ต่างกันนักหรอก” พรนับพันยอมตามใจเพื่อน

หนึ่งดาราตบไหล่เพื่อนด้วยแรงไม่เบา พยักหน้าเห็นด้วยเต็มที่

“ถ้ามันง่ายขนาดนั้น แกก็รีบๆ ทำให้ฉันดูได้แล้ว”


พรนับพันหน้าหงิก เมื่อห้านาทีก่อนแม่เพื่อนตัวดีโยนสมุดเล่มเล็กมาให้ บอกกับเธอว่า ‘แกต้องล่าลายเซ็นผู้ชายมาให้ครบสิบคนภายในหนึ่งชั่วโมง ขอย้ำว่าฉันต้องการแค่ผู้ชาย แกจะเอาเรื่องแผนการไปเปิดโปงยังไงก็ได้ ทำมาให้ได้นะ อย่าให้รู้ว่าหลอกฉัน ฉันสั่งลูกน้องคอยดูอยู่’

หนึ่งดาราเป็นผู้หญิงร้ายกาจ เจ้าแผนการ แล้วทำไมต้องผู้ชาย พรนับพันไม่ทันได้ถาม แม่เพื่อนตัวดีก็รีบสะบัดผมบ็อบเดินหายไป ยิ่งกว่านกรู้ว่าเธอจะพยศใส่ หญิงสาวถึงได้นั่งหน้าบอกบุญไม่รับกินเวลาเปล่าๆ ในร้านกาแฟไปห้านาที แม้แต่พนักงานชายยังไม่กล้ามาบริการเทน้ำเปล่าเพิ่มให้

“นี่น้อง!” พนักงานในร้านสะดุ้งกันถ้วนหน้า คนใช้เสียงตะโกน และห้วนแข็งจึงยอมลดลดท่าทีเกรี้ยวกราดลง เป็นโบกมือเรียกเหย็งๆ

“จะรับอะไรเพิ่มครับ”

“ในร้านนี้มีพนักงานผู้ชายกี่คนน่ะน้อง”

“สี่คนครับ”

พรนับพันพยักหน้า มือข้างหนึ่งวางทาบกับโต๊ะ อีกข้างใช้นิ้วดันสมุดที่หนึ่งดารามอบหมายงานยักษ์ไปให้คนตรงหน้า “ไปเรียกเพื่อนมาเซ็นให้พี่ที มีกี่คนมาเซ็นให้หมด มีคนโรคจิตอยากได้” ย่นจมูก หน้าเบ้เหน็บแนมเพื่อนสาวที่หลบมุมอยู่ไม่ไกล และได้ยินเสียงอันดังสุดห้าวของพรนับพัน

ชายหน้าละอ่อนมองหน้าเพื่อนอีกสามคน สายตากึ่งขอความช่วยเหลือ แต่เมื่อเพื่อนที่เหลือสนใจงานในมือมากกว่าจึงก้มหน้าก้มตาตอบไป “คุณหนึ่งบอกว่าห้ามพวกเราให้ลายเซ็นครับ” หันรีหันขวางบอกทางสว่าง “แต่บอกให้ไปหาเอานอกร้านครับ”

“ได้ค่าจ้างเท่าไหร่” เสียงเข้มขู่ต่ำ

“เห็นใจพวกเราเถอะครับ คุณหนึ่งเป็นลูกค้าประจำของเรา บอกว่าหากคุณลูกค้าต้องการอะไรเพิ่มสั่งได้เลยนะครับ เพราะจ่ายเงินแล้ว”

ยัยเพื่อนตัวแสบ... คนหมดทางหนีได้แต่คว้ากระเป๋าสะพายข้างใช้มือถักมาถือ มองค้อนพนักงานที่สมรู้ร่วมคิดกับหนึ่งดารากันหมด แค่เธอต้องเดินล่าผู้ชาย ไม่สิแค่ล่าลายเซ็นผู้ชาย แค่นี้ภารกิจของเธอก็ดูจะสิ้นหวังเป็นไปไม่ได้ ได้แต่ท่องนะโมในใจให้ใจร่มๆ เย็นๆ เธอยังไม่อยากให้หนึ่งดาราหัวเราะเยาะกับความพ่ายแพ้ครั้งนี้

“ขอบคุณครับ” พนักงานคนนั้นก้มศีรษะค้อมขนานกับพื้นอย่างโล่งอกส่งท้าย พรนับพันอ้าปากอยากอาละวาดว่าจะกลัวอะไรนักหนา ก็นึกยั้งทันเพราะไม่อยากมีเรื่อง พนักงานยังไงก็คงไม่รู้เรื่อง

ช่างเถอะไว้ไปเอาเรื่องกับหนึ่งดาราแบบทบต้นทบดอก หากจะให้เธอทำอะไรอย่างน้อยควรให้อิสระ เวลาทำใจที่มากพอสิ พรนับพันเดินกำสมุดเล่มเล็กแน่น มองคนที่เดินสวนผ่านไปมาด้วยสายตาเบื่อหน่าย ที่นี่ครบครันทุกสรรพสิ่ง แต่เธอจำไม่ได้แล้วว่ามาครั้งล่าสุดนั้นมาเมื่อกี่เดือนก่อน หรือกระทั่งว่ามาทำอะไร

บุคคลหลากหลายวัย บ้างเดินคู่ บ้างเดินเดี่ยว จู่ๆ ภาพผู้คนที่เดินขึ้นภูกระดึงผ่านเธอไปกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าก็หวนกลับมา การเดินทางของเธอที่ไม่เคยยิ้มให้ใคร ไม่เคยได้รับมิตรภาพ แต่ไม่น่าเชื่อว่าการเดินทางที่ไม่คาดหวังในมิตรภาพ กลับส่งใครบางคนมารับรู้ช่วงเวลาที่แย่ที่สุดในชีวิตพร้อมเธอคนหนึ่ง

วันรุ่งขึ้นหลังจากตาเสีย เธอถูกเขาขอร้องให้อยู่ดูพระอาทิตย์ขึ้นด้วยกัน ไหว้พระ แล้วจึงลงจากเขา พรนับพันในวันนั้นเธอเลือกปฏิเสธที่จะบอกชื่อกับเขา ต่างคนต่างแยกย้ายกันกลับ เธอเองก็คงทำให้เขาหมดสนุกไปเยอะ ต้องมามัวนั่งปลอบหญิงแปลกหน้า ซ้ำยังต้องลงภูก่อนเวลาจริงอีก

“วันนี้มีงานประกวดดนตรีด้วย ที่รักพาเขาไปดูทีนะ” เสียงผู้หญิงดังอยู่เหนือขึ้นไปจากขั้นบันไดเลื่อนที่เธอกำลังจะลงไปชั้นล่างได้ทำตัวกลายเป็นมนุษย์แอบฟัง ภาพแผนการล่าลายเซ็นค่อยๆ ชัดในสมอง

“จะดูวงดนตรี หรือดูพิธีกรกันแน่”

“พิธีกรอะไรเล่า” หนุ่มสาววัยมหาวิทยาลัยส่งเสียงงุ้งงิ้งน่ารำคาญอีกหลายประโยคให้พรนับพันเข่นเขี้ยวด้วยความหงุดหงิด รำคาญ ทีแรกเธอตั้งใจจะหันไปถามว่างานจัดที่ใด แต่แค่มองผ่านช่องว่างที่ห้างทำบริเวณตรงกลางโปร่ง ให้ทุกชั้นมองเห็นชั้นล่างได้อย่างทั่วถึงเธอก็พบว่ามีคนนั่งอยู่หนาตา วงดนตรีวงหนึ่งกำลังส่ายหัวขึ้นลงกับทำนองเร้าใจ เธอไม่รอช้าที่จะมุ่งไปจุดนั้น

ทีนี้ล่ะ เธอจะเอาลายเซ็นเกินสิบคนมาสนองคนคิดแผนการพวกนี้เอง


การแสดงของวงดนตรียังคงดำเนินไปด้วยแรงเชียร์จากแฟนคลับทีมใครทีมมัน บางวงที่มาแสดงความสามารถเข้าตาก็ช่วงชิงเสียงเชียร์ไปได้ไม่น้อย ทิวากรนั่งอยู่ด้านข้าง โบกมือให้กับเหล่าแฟนคลับ และผู้พบเห็น ฉีกรอยยิ้มกว้างเป็นมิตร หลายคนขอลายเซ็นขอจับมือกัน คนอย่างเขาก็พร้อมจะให้

“น้องเซ็นให้พี่หน่อยสิ เมื่อกี๊ดูเล่นดีนี่นา” น้ำเสียงแข็งกระด้าง ห้วน ยิ่งกว่ามะนาวไม่มีน้ำดังอยู่ไม่ไกลจากเขานัก ทิวากรเงยหน้าจากสคริปต์ หันไปมองเห็นแผ่นหลังของผู้หญิงผมหางม้ายืนบงการมากกว่ามาขอลายเซ็นนักร้องเข้าประกวด ที่เตรียมพร้อมรอขึ้น ไม่ใช่ขึ้นแล้ว

“ครับๆ” เจ้าเด็กพวกนั้นก็รับคำ คว้ามาเซ็น ไม่ยอมแก้ความเข้าใจผิด ซ้ำยังทำหน้าปลื้มปริ่มกับภาพลักษณ์หนุ่มสวมผมเดฟโฟ่ทั้งหกคน

“นี่จะแสดงตลกพักเบรกกันเหรอ” เสียงนั้นยังคงดังมาให้ทิวากรได้ยิน ชายหนุ่มนั่งไขว่ห้าง มือวางบนเข่า หันศีรษะไปทิศทางคนช่างวิพากษ์อย่างสนใจ “อ้าว กดซะแรงดินสอหักเลย พี่มีแค่ดินสอด้วย”

“คุณครับ” ทิวากรนึกครึ้มปรบมือเรียกอีกสองจังหวะ คนถูกเรียกนอกจากไม่หัน กลับเมินคนเรียกทั้งๆ ที่รู้ว่าถูกเรียก คนเรียกทำหน้าเก้อ เลิกคิ้ว รอให้คนตามหาเครื่องเขียนได้ทำหน้ายุ่งต่อไป

ผู้หญิงหน้าหงิก หน้าง้ำ หันกลับมา ประกายตาที่สบกันทำให้ทิวากรยิ้มค้าง แหงนหน้ามองผู้หญิงคนที่เขาปรบมือเรียกเมื่อครู่มาหยุดยืนตรงหน้า แบมือขอสิ่งที่มือเขาถืออยู่

“ขอยืมปากกาได้ไหมคุณ”

ประกายตาไม่เป็นมิตรทำให้ทิวากรยิ่งอยากแกล้ง ชายหนุ่มปรับสีหน้าเป็นปกติ ดึงปากกาที่เกือบจะเฉียดมือคนขอให้ไกลห่าง ตีกับแผ่นสคริปต์ที่อยู่ในมืออีกข้างด้วยหน้าตาเยาะเย้ย

“คุณกินมะนาวก่อนมาหรือเปล่า”

“มะนาวอะไร” ห้วน สั้นเหมือนเดิม

ทิวากรทำหน้ายียวน ส่ายหัวไปมาช้าๆ ปล่อยให้อีกฝ่ายค้างคาใจต่อไป “ไม่ บอก”

“คิดว่าฉันง้อหรือไง” ร่างที่เขาเคยเจอมาแล้วในอดีตกำลังจะหมุนตัวจากไป ทิวากรรีบฉวยสมุดเล่มเล็กในมือมาทันที “ฉันไม่ได้อยากได้ลายเซ็นคุณนะ รกสมุดเปล่าๆ”

ชายหนุ่มส่ายหัว จรดปากกาลงไปในหน้ากระดาษว่างในแนวตั้ง เกือบชิดหน้า เขียนไปเหลือบตาขึ้นมองว่าอีกฝ่ายจะแอบอ่านหรือไม่ ใช้เวลาไม่นานทิวากรก็คืนสมุดพร้อมยิ้มเผล่ ยักคิ้วท้าทาย

“ถ้าแน่จริงก็โทรมาหาผมแล้วกัน ส่วนปากกาผมให้ ให้คุณไปล่าลายเซ็นเด็กหนุ่มต่อ อีกอย่างนะ น้องๆ พวกนั้นเขามาประกวดร้องเพลง ถ้าผมทักคุณว่ามาห้างแต่จะไปเล่นปาหี่ คุณจะดีใจไหม อยากขออะไรใครอย่าเอาแต่ได้สิคุณ ใจเขาใจเรา หัดคิดถึง ถนอมน้ำใจบ้าง”

สาวผมม้าเม้มปากแน่น สมุดที่ถูกยัดใส่มือคืนถูกกำจนเสียรูปไปหมด “ฉันไม่ใช่เด็กที่ให้คุณมาสอน”

“ก็เหมือนว่าคุณคิดเองไม่ได้นี่ครับ” ทิวากรตอกกลับไปพอเจ็บแสบ หัวเราะอารมณ์ดี เดินเลี่ยงออกไปยืนข้างเวทีรอขึ้นประกาศให้วงต่อไปทำการแสดง ชายหนุ่มหันกลับมามองอีกครั้ง เผื่อจะได้พบว่ามีผู้หญิงหน้ายักษ์รองับหัวเขาอยู่

แต่มันก็เหมือนกับวันนั้น วันที่จากกันเมื่อสามปีที่แล้ว เธอมาเร็ว และยังคงจากไปเร็ว ไม่เหลือร่องรอยให้เขาได้รู้จักอีกตามเคย


“คนเดียว!”

สมุดเจ้าปัญหาวางแปะลงบนคอนโซลรถขณะที่คนไปล่าลายเซ็นมานั้นทำหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาว ปล่อยให้เพื่อนที่ต้องขับรถบ่นพึมไม่ได้หยุด

“แกนี่มันไม่ได้เรื่องเลย ปากบอกจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง แต่ที่ฉันเห็นแกไปเข้าหาแต่ละคนอย่างกับไปท้าเขาขึ้นสังเวียน คิดว่าตัวเองเป็นเดอะร็อคหรือไง”

“ก็ได้มาคนหนึ่งไง คนนี้ไม่ได้ขอ เสนอตัวเขียนให้เองเฉย”

เอี๊ยด!!! หนึ่งดาราเหยียบเบรกรถสุดตัว โชคดีที่ถนนในหมู่บ้านของพรนับพันไม่มีใครมาขับต่อท้ายในเวลานี้ไม่อย่างนั้นอาจได้มีการด่าไปถึงบรรพบุรุษเป็นแน่ ในขณะที่คนไม่ทันตั้งหลักเอาศีรษะไปกระแทกรับกับคอนโซลรถพอดิบพอดีดังปั้ก หน้าผากขึ้นสีเข้มฝากความเจ็บไว้ไม่เบา

“เจอกบกระโดดตัดหน้ารถเหรอ” คนเจ็บยกมือลูบหน้าผากเหม่งของตัวเอง

“แกไม่ได้ขอแต่เขาให้ลายเซ็นมาเอง” หนึ่งดาราพูดพึมพำ แทบไม่ได้ยินเรื่องกบที่เพื่อนเอามาใช้พูดเหน็บ สีหน้ามีเลศนัยขึ้นยามหยิบบันทึกที่พรนับพันไม่สนใจจะเปิดดูมาอ่าน หน้าๆ หนึ่งมีลายมือเป็นระเบียบเขียนไว้ อ่านจบหนึ่งดาราวางกลับไปที่เดิม ทำราวกับไม่ได้อ่านข้อความนั้น

“เธอเงียบทำไมเนี่ย ในนั้นเขียนอะไร”

หนึ่งดารามองค้อนเพื่อนที่มีเวลาตั้งมากไม่รู้จักอ่าน งานนี้เธอจะไม่มีวันให้เพื่อนได้อ่านข้อความในนั้นง่ายๆ เด็ดขาด จนกว่า... ลูกสาวนายทหารแอบกระหยิ่มยิ้มในใจ เริ่มเคลื่อนรถไปส่งเพื่อนยังหน้าบ้าน เธอรู้จักนิสัยพรนับพันดี หากไม่พูดไม่ตอบในเรื่องที่เจ้าหล่อนสงสัย สักพักเจ้าตัวก็จะลืม ไม่ใส่ใจ อาจจะลืมไปด้วยซ้ำว่าเคยอยากรู้อะไรเมื่อชั่วโมงก่อน

“จะทำอะไรแบบวันนี้ก็ช่วยเตือนก่อน ฉันจะได้ทำใจ” นักเขียนเงาสาวหน้าง้ำ ทีแรกตั้งใจจะเล่นงานเพื่อน แต่ก็เพราะว่าตัวเองหมดอารมณ์ที่จะทำภารกิจของเพื่อนให้สำเร็จตั้งแต่พบผู้ชายคนนั้นสั่งสอน จึงพกความผิดหวังโยนใส่หน้าเพื่อนแทน

“ถ้าอย่างนั้นแกก็ต้องเตรียมใจไว้ให้มากๆ เพราะคราวนี้ฉันจะหาตัวพ่อมากำราบนิสัยแก”

“ตัวพ่ออะไร” ความหวาดระแวงไม่ไว้ใจปรากฏชัดในน้ำเสียง

หนึ่งดาราหัวเราะหึ ยิ้มเยื้อน ชี้นิ้วสั่งให้เพื่อนจัดการเนรเทศลงจากรถ ก่อนจะเปรยทิ้งท้ายให้ความอยากรู้ของพรนับพันทำงานยิบๆ

“เดี๋ยวก็รู้น่า ก่อนฉันไปเรียน ฉันต้องจัดการเรื่องของแกให้เสร็จก่อน”

เสียงประตูปิดดังกว่าปกติตามอารมณ์คนปิดที่ขุ่นข้อง หนึ่งดารารอให้มั่นใจว่าเพื่อนเดินหน้าหงิกเข้าบ้านหลังโตของตัวเองไปแล้วจึงปล่อยเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น ยกมือตีพวงมาลัยครื้นเครง ตัวพ่อที่เธอว่ามาอยู่ในชีวิตของเพื่อนตั้งแต่สามปีก่อนแล้ว ทำไมพรนับพันถึงได้ทิ้งๆ ขว้างๆ ผู้ชายแบบนี้ไปได้ เชื่อได้ร้อยทั้งร้อยว่าคนอย่างพรนับพันถึงได้อ่านข้อความพวกนี้ก็จะไม่มีวันโทรไป...และเธอนี่ล่ะ ที่ต้องทำหน้าที่ชักใยอยู่เบื้องหลัง

นึกถึงข้อความในหน้ากระดาษนั้นคนอ่านยังนึกเขินแทน จนต้องยกมือทาบแก้ม อยากจะเปลี่ยนชื่อตัวเองเป็นพรนับพันวันนี้ให้รู้แล้วรู้รอด

‘ถึงคุณที่จำผมไม่ได้ ผมไม่รู้หรอกว่าคุณจะเอาลายเซ็นไปทำอะไร แต่จากวันนั้นที่ภูกระดึง จนถึงวันนี้ ดูเหมือนคุณจะเพิ่มนิสัยอยากกินหัวคนเพิ่มนะครับ ถ้าอยากมากินหัวผมก็โทรมาที่... ผมจะบอกชื่อผมให้คุณรู้ก่อนจะกินหัวผม ดีใจที่ได้เจอกันอีกนะครับ ถึงคุณจะจำผมไม่ได้เลยก็ตาม’


อารมณ์ยามค่ำนั้นพรนับพันมักจะตาสว่าง เธอไม่ได้สนใจละคร หรือกรี๊ดดาราหน้าขาวผ่านโทรทัศน์ สิ่งที่เธอทำคือการวาดรูปตามสิ่งที่ตาเขียนทิ้งไว้ในสมุดพล็อต ครึ่งหนึ่งของกำแพงห้องขนาดห้าคูณหกเมตรนั้นจึงมีแผ่นกระดาษแปะรูปประหลาดมากมาย ทั้งคนที่หน้าตาดีแต่ศีรษะไม่มีกะโหลกปิดเนื้อสมองจากตัวเอกในนิยายเรื่องแรกของตา หรือตัวละครที่ดังจากหน้ากระดาษในเรื่องโลกเกินจินตนาการที่พรนับพันเริ่มมาเขียนในนามปากกานัยน์ตะวัน นามปากกาของตานั้น เป็นเรื่องที่เธอหยิบจินตนาการของตาใส่เข้าไป จากแต่เดิมที่ตาจะเขียนนิยายแนววิทยาศาสตร์มีกลิ่นแฟนตาซีจางๆ เมื่อถึงมือเธอ กลิ่นแฟนตาซีเข้มขึ้น และเข้าถึงวัยรุ่นได้มากกว่า

หากเธอไม่เคยอ่านงานของตาตั้งแต่หนังสือเล่มแรกยังไม่ออก ยามว่างก็มักจะใช้เวลากับตา ในช่วงที่ตาพิมพ์หนังสือไม่ไหว เธอก็คือมือของท่าน พรนับพันแปะกระดาษที่มีรูปผืนฟ้าที่ว่างเปล่า มีเพียงปุยเมฆ ซึ่งในนิยายของเธอทุกคนต่างแสวงหาเพื่อจะขึ้นไป หากใครรู้ตอนจบที่นัยน์ตะวันร่างไว้ในเล่มจบ อาจมีไข่เน่าส่งตรงถึงสำนักพิมพ์

คนวาดแปะรูปจบรูปสุดท้ายข้างกำแพง ซึ่งเหลืออีกกว่าห้าสิบเปอร์เซ็นต์ที่เธอจะเขียนในเรื่องโลกเกินจินตนาการเล่มจบ เสียงรถวิ่งเข้ามาก็ดึงความสนใจเธอไป เวลานี้ก็มีเพียงนับพันพรเพียงคนเดียวที่จะกลับมา

พรนับพันออกจากห้อง พลางเหยียดแขนยืดเส้นยืดสาย ไฟหน้าห้องสว่างส่องทางเดินบนพื้นไม้ปาร์เกต์ขัดมันสะท้อนเงาเธอขึ้นมา ร่างของน้องสาวซึ่งอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีชมพูกางเกงยีนส์ชูถุงอาหารที่รู้ว่ามีใครรออยู่

“โจ๊กไม่ใส่ไข่ แต่ขอเพิ่มหมูเพิ่มไส้อ่อนของพี่พราวด์”

“ไม่ต้องสาธยายละเอียดขนาดนั้นก็ได้” คนรับถุงมามองค้อน

“พี่พราวด์จะกินเครื่องในเยอะไปไหน เป็นซอมบี้เหรอคะ คอลเลสเตอรอลมันสูงนะ” แพทย์ประจำบ้านหมาดๆ เริ่มลงความเห็นกับพฤติกรรมติดเครื่องในของพี่ “กินอย่างอื่นบ้างก็ได้นะคะ”

“มาอีกแล้วนิสัยคุณหมอ”

“คนเขาห่วงนะคะ” นับพันพรค้านจนเหนื่อย จึงพูดในสิ่งที่เพิ่งรู้มา “พี่พราวด์จะออกสังคมเหรอคะ”

พรนับพันนิ่วหน้า ส่ายหัวดิก เดินลงบันไดเพื่อไปยังห้องครัว “ไม่นะ พี่จำไม่ได้ว่าบอกจะออกสังคม แฟร์ก็รู้ว่าพี่เกลียดการปั้นหน้า”

“ระดับเกลียดของพี่พราวด์มันล้ำหน้ากว่านั้นค่ะ” คุณหมอเดินตาม “พี่น่ะเกลียดการออกไปข้างนอก ไม่ได้กลัวคนเข้ามาคุย แต่พี่ไม่ชอบให้ใครมาคุยด้วย พี่จะเอาอะไรก็สั่งแฟร์ สั่งพี่หนึ่ง ไม่ก็สั่งตามอินเตอร์เน็ต ใช้ชีวิตเป็นมนุษย์ถ้ำ อันตรายนะคะ”

มนุษย์ถ้ำเริ่มรู้ได้ด้วยตัวเองว่าใครใส่ข้อมูลเหล่านี้ลงไปในหัวของนับพันพร น้องสาวที่ขยันทำงานยิ่งชีพ พรนับพันหยิบชามและช้อน กลับมานั่งให้นับพันพรซักฟอกบนโต๊ะโดยไม่คิดหนีแก้ตัวใดๆ

“ก็อยากจะเปลี่ยน แต่มันไม่ง่ายหรอก ยัยหนึ่งเอาอะไรมาเล่าให้แฟร์ฟังบ้างล่ะ”

คุณหมอขยับตัวอึดอัด ยิ้มลังเล ขืนบอกว่ารู้ไปจนถึงแผนการใหม่ที่อีกฝ่ายเพิ่งโทรมานัดแนะกับเธอเมื่อชั่วโมงก่อนหมดแล้ว มีหวังปีศาจตรงหน้าได้ระเบิดถ้ำพังไปทั้งแถบแน่ๆ

“นิดหน่อยค่ะ บอกแค่ว่าพี่พราวด์จะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ได้ก่อนพ่อแม่กลับมา ถ้าพี่พราวด์ยืนยันว่าจะเปลี่ยนตัวเองจริงๆ แฟร์จะเอาของของตาอีกชิ้นมาให้พี่พราวด์” คนมีความลับสำคัญรีบบอกกล่าวต่อก่อนคนตรงหน้ากลายเป็นลูกน้อยหน่าในกองทัพ “แฟร์เก็บไว้เพราะกลัวว่าพี่พราวด์จะทำอะไรแผลงๆ ตามสมุดบันทึกของตาค่ะ”

“จะมีอะไรแผลงๆ กว่าสมุดพล็อตของตาอีกเหรอไง” พรนับพันไม่ได้ตกใจตื่นตัว คำว่าสมุดบันทึก และความแปลก เธอว่าที่เธอมีอยู่ซึ่งตาให้เธอเก็บไว้ในวันที่ตาอยู่โรงพยาบาลนั้นแปลกที่สุด ในสมุดที่เธอมีตาบรรจุสิ่งมีชีวิตแปลกๆ ด้วยข้อความในจินตนาการเต็มไปหมด อย่างที่ท่านชอบคิดมาตลอดชีวิตที่ต้องเครียดกับการเป็นนักวิจัยในห้องแล็บ

“มันบันทึกความฝันของตา ร้อยอย่างที่อยากทำก่อนที่ตาจะจากไปค่ะ”

มือที่เทซอสปรุงรสใส่ไปค้างท่านั้น สายตาเลื่อนขึ้นมองคนพูดราวกับพบสมบัติล้ำค่า “เธอว่าอะไรนะแฟร์”

“ถ้าอยากได้ พี่พราวด์ต้องสัญญาว่าในสามเดือน พี่พราวด์ต้องเปลี่ยนตัวเอง ใครสั่งให้ทำอะไร แล้วเห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อพี่ พี่ก็ต้องทำให้สำเร็จ”

“ใครจะมาบงการชีวิตพี่ได้” ซอสปรุงรสสีเข้มเจิ่งนองหน้าโจ๊ก พรนับพันได้สติมองอย่างสยดสยอง พยายามเกลี่ยออกแต่กลายเป็นว่ามันคลุกเคล้าเข้าเป็นเนื้อเดียวกับข้าว จึงเลื่อนความสนใจกลับไปหาน้องสาวอีกครั้ง

“อยากได้ไหมคะ”

“พี่ต้องเชื่อฟังเธอใช่ไหม” พรนับพันค่อนขอด สะบัดหน้า กอดอกหันไปอีกทาง ไม่นึกอยากทานโจ๊กคลุกซอสปรุงรสเค็มปี๋ขึ้นมา “พี่เป็นของพี่แบบนี้มันผิดตรงไหน”

“ก่อนอื่นพี่อายุจวนจะสามสิบแล้ว”

“ไม่เห็นจะแคร์ สี่สิบพี่ก็ไม่แคร์นะ อายุก็แค่ตัวเลข” พรนับพันไหวไหล่

“ตั้งแต่เรียนจบมาพี่เคยไปงานแต่งงานใครไหมคะ งานบวช หรืองานเลี้ยงอะไรก็ได้”

“มันเป็นงานไร้สาระที่สุดที่พี่นึกออก”

“ไม่ใช่ว่าไม่มีใครเชิญพี่ไปหรอกนะคะ” คำพูดจี้ใจดำเผลอทำให้คนฟังสะอึก นับพันพรยื่นมือมาจับมือของพี่สาวบีบไว้เบาๆ “แฟร์อยากเห็นพี่มีเพื่อนบ้าง หรืออย่างน้อยๆ ก็สามารถออกไปซื้อของ ไปทานข้าวข้างนอกได้ปกติ แฟร์ไม่อยากให้พี่จำกัดตัวเองอยู่ในกรอบแคบๆ เพียงเพราะว่าพี่ไม่ต้องการไปอยู่ในโลกที่ไม่ปรับตัวเข้าหาพี่ เชื่อแฟร์เถอะค่ะว่าสิ่งที่พี่หนึ่งพูด หรือแฟร์พูด เราหวังดีกับพี่พราวด์จริงๆ” รีบออกตัวเมื่อประกายตาไม่เห็นด้วยของพรนับพันเจิดจ้าขึ้น

“พี่ไม่เคยคิดแบบนั้น การใช้ชีวิตแบบไม่ต้องยุ่งกับใคร ก็ไม่ทำให้ใครต้องเดือดร้อนดีออก”

นับพันพรถอนมือออกจากมือพี่สาว ลุกขึ้น รู้ดีว่ายังไงอธิบายไปอีกคนก็คงไม่ฟัง แต่จะทำแทน “ตามใจนะคะ แฟร์ถือว่าแฟร์พูดแล้ว”

“เดี๋ยวสิ” น้องสาวยืนหันหลัง ยิ้มแป้น ยอมหยุดเพื่อรอฟังสิ่งที่ต้องการ คืนนี้เธอคงได้คุยผลลัพธ์นี้กับหนึ่งดาราไปอีกชั่วโมง “พี่บอกว่าจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง พี่ก็ต้องทำให้ได้สิ”

“ถ้าอย่างนั้นแฟร์จะฝากสมุดเล่มนั้นไว้กับคนๆ หนึ่ง พี่พราวด์ต้องไปเอาคืนด้วยตัวเอง”

“ใครล่ะ” พรนับพันถามเสียงดัง เริ่มเอาเรื่องขึ้นมา แต่คุณหมอก็รู้ทันรีบทิ้งช่วงเวลา ปล่อยให้คนหมดทางเลือกนั่งคอตกอยู่ตรงหน้าชามโจ๊กต่อไป

ใครกันที่จะถูกหนึ่งดารากับนับพันพรส่งมาวุ่นวายในชีวิตเธอ แต่ให้รู้ก่อนเถอะว่าคนๆ นั้นเป็นใคร เธอจะไปเอาของของตาคืนทันที

........................................................................................................
พามาส่งค่า ตอนนี้เพิ่งเขียนจบบทที่สองเอง ไปช้าๆ ไปเรื่อยๆ ปล. เรื่องนี้พระเอกน่ารักอีกแล้ว เตรียมหัวใจไว้ให้ดีๆ นะคะ
คุณ Sukhumvit66 ดีใจมากๆ ค่าที่ยังมารอกันเหมือนเดิม รอมากรี๊ดทิวกันนะคะ
คุณ OhLaLa น่ารักจัง เดี๋ยวจะพยายามมาต่อไวๆ นะคะ พักนี้สปีตเต่า ฮา
ขอบคุณทุกคอมเมนต์ ทุกไลค์ และนักอ่านเงาทุกท่านนะคะ ^^ จะพยายามแก้ปัญหาการตันด้วยการร่างพล็อตให้จบก่อน



ปวรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 1 มี.ค. 2557, 10:00:58 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 1 มี.ค. 2557, 11:07:24 น.

จำนวนการเข้าชม : 2717





<< บทนำ : ลาจาก   บทที่ 2 : ไม่ใช่คนตลก >>
Sukhumvit66 1 มี.ค. 2557, 11:57:52 น.
เพราะอะไรทำให้นางเอกมความคิดสุดกู่ขนาดนี้..


yimyum 1 มี.ค. 2557, 13:48:27 น.
พรนับพันจะจำได้ไหมเน้อ....ผู้ชายคนนั้นอ่ะ


OhLaLa 1 มี.ค. 2557, 15:52:30 น.
ชื่อพรนับพัน กับนับพันพร น่ารักจังค่ะ แต่พี่น้องคู่นี้เป็นอะไรที่ต่างกันสุดๆ เลยนะคะ ดูพราวด์เป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูง จะเตรียมรอกรี๊ดทิวนะคะ


konhin 2 มี.ค. 2557, 03:28:05 น.
โอ๊ะ พระเอกจำได้แต่นางเอกไม่แม้แต่จะคิดจำ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account