มนต์สีมุก
เรื่องราวของหญิงสาวที่เพิ่งจะมีอายุครบ 22 ปี ผู้ซึ่งได้เจอกับเหตุการณ์ประหลาดและค้นพบว่าเธอมีความพิเศษบางอย่างในตัว และความพิเศษที่ว่าก็มาพร้อมกับความรับผิดชอบและอันตรายที่เธอหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไหนจะยังเรื่องหัวใจที่ทำให้เธอต้องกลุ้มอีกล่ะ
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: ตอนที่ 2
ตอนที่ 2
เปรี้ยง!
อาวุธปืนในมือหนุ่มใหญ่แผดเสียงดังขึ้น เพียงแต่คุลิกาไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้ หญิงสาวเห็นเพียงแสงสีมุกเหลือบรุ้งสว่างจ้าที่เหมือนจะวูบขึ้นมาจากฝ่ามือที่ยกขึ้นของตัวเธอเอง ชั่วอึดใจแสงนั้นก็หายไป ภาพที่ปรากฏตอนนี้คือหนุ่มใหญ่พยายามเหนี่ยวไกปืนซ้ำหลายครั้งหากไม่มีสิ่งใดออกจากปากกระบอก
“อะไรวะ เป็นไปได้ยังไง”
ผู้คนที่ร้องตกใจเสียงปืนเมื่อครู่เริ่มพากันมามุงดู คนใจร้อนที่ถือปืนในมือดูจะเห็นท่าไม่จึงรีบหุนหันวิ่งกลับขึ้นรถแล้วออกตัวไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งคู่กรณีที่นั่งกองอยู่กับพื้นไว้ ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งที่นั่งชันเข่าอยู่กับพื้นเหมือนจะก้มลงไปทำอะไรบางอย่างมากำไว้ในมือก่อนจะหันมามองคุลิกา คิ้วเข้มนั้นเลิกขึ้นเล็กน้อย ดวงตาที่มองสำรวจใบหน้าของเธอดูเจือแววของความรู้สึกทั้งตกใจและประหลาดใจ
ดูเหมือนไม่มีใครในที่นั้นนอกจากคุลิกาที่ได้เห็นแสงประหลาดที่เหมือนจะพุ่งออกจากฝ่ามือของตนเอง หญิงสาวยืนตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วก่อนหน้า ก่อนจะได้สติหันไปให้ความสนใจกับคนที่ยังนั่งอยู่กับพื้น
“คุณ...เป็นยังไงบ้างคะ”
เมื่อเห็นว่าเธอย่อตัวลงมาเสนอความช่วยเหลือ ชายหนุ่มรีบยกมือขึ้นห้าม “เอ่อ...ผมไม่เห็นไรครับ ผมลุกเองได้ ขอบคุณ”
คุลิกาสะดุดกับอาการที่ดูเหมือนจะหวั่นเกรงนั้น หญิงสาวจึงขยับไปยืนมองห่าง ๆ
อะไรของเขา เราอุตส่าห์หวังดีจะช่วย...ทำท่าเหมือนกลัวเราซะอย่างนั้นแหละ
“คุณไม่เป็นไรก็ดีแล้ว งั้น...ฉันไปละ แล้วทีหลังก็อย่าไปขับรถกวนประสาทใครเขาอีกล่ะ คราวหน้าอาจจะไม่โชคดีเจอคนยิงปืนไม่แม่นแถมพกปืนมีกระสุนนัดเดียวอย่างนี้ก็ได้”
“เดี๋ยว...คุณ...”
หญิงสาวเสียอารมณ์ไปกับท่าทีของชายหนุ่มเมื่อครู่ก่อนหน้าจนไม่สนใจจะหันหลังไปมอง ตั้งหน้าตั้งตาเดินลิ่วกลับเข้าไปยังบริเวณลานจอดเพื่อตัดกลับเข้าไปสู่ตัวโรงแรม
คุลิกาเดินเข้างานฉลองสมรสด้วยอารมณ์ไม่คงที่นักหากเพราะเป็นงานมงคลและได้พบเจอกับเพื่อนร่วมงานที่ส่วนใหญ่คุยสนุก มีอารมณ์ขันช่วยสร้างบรรยากาศสนุกสนานให้กับหญิงสาวได้ไม่ยากนัก เธอพูดคุย หัวเราะลืมเรื่องกวนใจที่เกิดขึ้นก่อนจะเข้างานไปได้สนิท จนกระทั่งพิธีการและงานเลี้ยงฉลองจบลงหญิงสาวก็เดินออกจากงานเลี้ยงมาพร้อมกับเพื่อนร่วมแผนกที่พูดคุยตกลงกันไว้แต่แรกว่าจะแวะไปส่งที่บ้าน
แขกเหรื่อที่มางานเลี้ยงฉลองสมรสทั้งงานที่คุลิกามาร่วมและงานอื่นพากันเดินลงบันไดมายังโถงล็อบบี้ ทั้งแขกโรงแรมและแขกที่มีร่วมงานมงคลหลายกลุ่มนั่งพูดคุยกันอยู่ตามชุดเก้าอี้ที่ทางโรงแรมจัดไว้ให้ ร่างสูงโปร่งที่นั่งอยู่เพียงคนเดียวที่มุมหนึ่งพรวดลุกขึ้นยืนทันทีที่เห็นคุลิกา
ตาคนที่เจอเมื่อเย็น!!
คุลิกาที่เดินคุยกับเพื่อนอยู่ชะงักโดยไม่รู้ตัว เพื่อนร่วมงานสาวดูเหมือนจะตระหนักถึงความผิดปกติจึงเอ่ยถาม
“เป็นอะไรแคท คุยอยู่ดี ๆ ก็เงียบไปเฉย ๆ”
“สงสัยจะเจอผู้ชายโรคจิตเข้าน่ะสิ”
“อะไรนะ โรคจิตไหน”
พร้อมกับคำถามนั้น ‘ผู้ชายโรคจิต’ ก็เดินพรวดเข้ามาพอดีกับที่สองสาวก้าวถึงพื้นชั้นล็อบบี้ คุลิกาไม่สนใจตอบคำถามหากรีบจูงมือเพื่อนเดินเลี่ยงไปทางด้านข้างของตัวโรงแรม
“จอดรถไว้ด้านข้างใช่ไหม รีบไปกันเถอะ”
“เดี๋ยวก่อนคุณ เดี๋ยว”
หญิงสาวไม่ฟังเสียงเรียกนั้นรีบลากเพื่อนให้สาวเท้าหนี นึกรำคาญรองเท้าที่ทำให้เดินเหินได้ไม่สะดวกนักและเพราะหญิงสาวทั้งสองสวมรองเท้าส้นสูงทั้งชายหนุ่มร่างสูงโปร่งก็คงรีบก้าวตามเต็มที่ พอคุลิกาผลักบานประตูกระจกก้าวออกจากโรงแรมก็ถูกมือใหญ่ข้างหนึ่งคว้าหมับเข้าที่ข้อศอกพอดี
“เอ๊ะ! อย่ามาแตะต้องตัวฉันนะ ไม่อย่างนั้นฉันจะร้องให้ลั่นเลยว่าคุณเป็นพวกโรคจิต”
“ผมไม่ใช่พวกโรคจิต ผมแค่อยากคุยกับคุณเรื่องเมื่อเย็น”
“ฉันไม่มีอะไรจะคุย” คุลิกาพยายามดึงแขนข้างที่ถูกจับไว้ ส่วนมืออีกข้างก็ส่งกระเป๋าถือให้เพื่อนสาวแตะลงบนแผ่นอกของชายหนุ่มก่อนจะเอ่ยดังเกือบจะตวาด “ปล่อยอย่ามายุ่งกับฉันนะ ห้ามตามมา”
อีกครั้งที่คุลิกาเห็นแสงสีขาวเหลือบรุ้งคล้ายสีของไข่มุก คราวนี้มันสว่างวาบขึ้นระหว่างฝ่ามือของเธอและร่างของหนุ่มสูงโปร่ง มือใหญ่ที่จับข้อศอกเธออยู่คลายออกทันที ชายหนุ่มยืนนิ่งอยู่กับที่ราวกับเป็นหุ่นขี้ผึ้ง
คุลิกาชะงักเล็กน้อยกับสิ่งที่เกิดขึ้น เหลือบมองเพื่อนร่วมงานที่เหมือนจะมองอย่างสงสัย
แน่ล่ะ...ใครจะไม่แปลกใจ จู่ ๆ นายคนนี้ก็ดันมายืนนิ่งเป็นหุ่นซะอย่างนั้น แล้วไอ้แสงเมื่อกี้มันอะไรกันนะ ดูเหมือนจะไม่มีใครเห็น...ทำไมมีแต่เราคนเดียวที่เห็น นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับเรากันแน่
ลำพังหาคำตอบให้ตัวเองหญิงสาวก็ยังทำไม่ได้ ดังนั้นเธอจึงเลือกที่จะรีบลอยหน้าเอ่ยกลบเกลื่อนขึ้น ราวกับไม่ได้สังเกตอาการยืนนิ่งไม่ไหวติงของชายหนุ่ม
“รู้ภาษาคนก็ดีแล้ว อย่ามายุ่ง อย่ามาตามตื้อฉันอีกเข้าใจไหม”
พูดจบคุลิกาก็รีบจูงเพื่อนสาวให้เดินผละออกไปจากบริเวณนั้นทันที คนที่ถูกดึงตัวมาดูเหมือนจะยังไม่หายข้องใจ เมื่อต่างฝ่ายต่างก็นั่งประจำที่เบาะตอนหน้าของรถยนต์ญี่ปุ่นขนาดกลางจึงเอ่ยถามขึ้น
“นี่มันเรื่องอะไรกัน แล้วทำไมจู่ ๆ หมอนั่นถึงได้ยืนนิ่งยังกับเล่นแปะแข็งอย่างนั้นแหละ ตอนแรกเห็นทำท่าเหมือนจะเดินตามมา”
“จะไปรู้เหรอ สงสัยจะรู้แล้วมั้งว่าฉันไม่ชอบ”
“หา...นี่ตานั่นมาจีบเธอเหรอ”
“ทำไมต้องถามน้ำเสียงแบบนั้นด้วยล่ะ มีคนมาจีบฉันมันผิดตรงไหน” คุลิกาชักฉุน “อีกอย่างฉันไม่ได้ชอบตาโรคจิตนั่นสักหน่อย”
“ดูท่าทางเขาไม่เห็นจะเหมือนคนโรคจิตเลยนะ ดูดีออก สูงโปร่ง มีกล้ามนิด ๆ นี่ขนาดแต่งตัวเสื้อเชิ้ตกางเกงสเลคธรรมดา ๆ ยังดูยังกับนายแบบแน่ะ”
ชายหนุ่มผิวขาวร่างสูงโปร่ง ผมหยักศกสีน้ำตาล ใบหน้ายาวเรียว ใต้คางและรอบริมฝีปากมีไรหนวดเคราปรากฏจาง ๆ จมูกโด่งเป็นสันคนนั้นต้องการอะไรจากเธอก็ไม่รู้ แล้วแสงประหลาดที่เห็นนั่นคืออะไร แล้วที่อยู่ดี ๆ เขาก็ยืนนิ่งไปเฉย ๆ ไม่โต้ตอบ ไม่เดินตามเธอเป็นเพราะอะไรกันแน่ เพราะแสงที่ออกจากมือเธอหรือว่า...
หรือว่าหมอนั่นจะเล่นกลอะไรกับเรา หาทางตีสนิท...ไอ้แสงนั่นก็เห็นตอนที่อยู่ต่อหน้านายคนนั้นนี่นา
คุลิกาอดไม่ได้ที่จะหันไปมองที่ประตูกระจกด้านข้างของโรงแรม หากจังหวะนั้นมีคนกลุ่มใหญ่เดินออกมาจากตัวโรงแรมหญิงสาวจึงมองไม่เห็นว่าร่างสูงโปร่งนั้นยังคงยืนอยู่ที่เดิมหรือไม่
จะยืนอยู่ได้ยังไงล่ะ แกล้งเสร็จแล้วอาจจะรีบขึ้นรถแล้วแอบขับตามมาก็ได้ สงสัยจะเจอโรคจิตจริง ๆ ซะแล้วเรา เบญจเพสมาเร็วจริง ๆ ด้วย
“เพิ่งจะเจอกันหนเดียวก็ตามตื้อฉันขนาดนี้ ฉันว่าโรคจิตแน่ รีบออกรถเถอะเดี๋ยวจะกลับบ้านดึก”
พงศ์พลินพยายามจะฝืนอำนาจลึกลับที่ตรึงร่างเขาไว้กับที่ ประตูกระจกข้างโรงแรมเปิดออกหลายครั้ง หญิงสาวหลายคนเหลือบมอง ยิ้มให้เขาและต้องหน้าเจื่อนไปเมื่อเห็นว่าเขายืนนิ่งไม่ตอบสนองอะไร นานพักใหญ่กว่าความรู้สึกหนักอึ้งขยับตัวไม่ได้นั้นจะค่อยคลายไป เขาเริ่มกรอกตาไปมาได้ พยายามฉีกยิ้มตอบคนที่เดินผ่านไปมา
ชายหนุ่มพยายามยกแขนอีกครั้งแต่ยังขยับได้ไม่มากนัก เขาจึงออกแรงมากขึ้นและครั้งหลังนี้ผลที่ได้รับนั้นเกินคาดเพราะเหมือนแรงตรึงที่มองไม่เห็นนั้นจะสลายไปหมดสิ้น แขนของเขาลอยหวือขึ้นหมุนเลยไปข้างหลังดึงเอาไหล่และลำตัวตามไปด้วย
จังหวะนั้นหญิงสาวที่เดินผ่านและทำท่าจะยิ้มให้ หุบยิ้มแทบไม่ทันและคงมองเขาเหมือนเป็นคนสติไม่ค่อยดีจึงรีบเดินหนีไปทันที
“โธ่เว้ย!”
พงศ์พลินสบถออกมาแผ่วเบาก่อนจะรีบเดินไปที่รถยนต์ของตนเอง เปิดประตูเข้าไปนั่งประจำเบาะคนขับ นึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเย็นหลังจากที่เขาขับรถปาดไปปาดกลับกับหนุ่มใหญ่เลือดร้อนจนเกิดเรื่อง
หลังจากหนุ่มใหญ่คนนั้นขับรถหนีไปจากจุดเกิดเหตุและหญิงสาวในชุดชมพูเดินผละไปแล้ว พงศ์พลินก็ใช้มือข้างหนึ่งยันร่างลุกขึ้นยืนขณะที่ตายังมองตามร่างที่สวมชุดเดรสนั้น บรรดาไทยมุงพากันวิพากษ์วิจารณ์ไปต่าง ๆ หากเมื่อเห็นว่าไม่มีเหตุอะไรร้ายแรงไม่นานทุกคนก็ละความสนใจ ชายหนุ่มเดินกลับไปที่รถเปิดประตูก้าวเข้าไปนั่งยกมือข้างที่กำของสิ่งหนึ่งเอาไว้ขึ้นมาค่อยคลายออกมองสิ่งที่วางอยู่บนฝ่ามือใหญ่
มันคือกระสุนปืนที่บิดเบี้ยวราวกับกระทบเข้ากับอะไรบางอย่าง...ชายหนุ่มนึกทบทวนเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ เขาแน่ใจว่าได้เห็นบางสิ่งปะทุออกมาจากปากกระบอกปืนขู่นั้น คะเนจากระยะห่างระหว่างตนกับหนุ่มใหญ่คนนั้นพงศ์พลินคิดว่าเขาจะต้องถูกยิงเข้าตรงไหนสักที่ แต่แปลกเขาซึ่งอยู่ใกล้ที่สุดกลับได้ยินเพียงเสียงคล้ายโลหะกระทบกับอะไรบางอย่างก่อนจะหล่นลงบนพื้นเท่านั้น
เขาเปิดกล่องเก็บของที่คอนโซลหน้า วางกระสุนปืนบิดเบี้ยวนั้นลงไปก่อนจะตัดสินใจเลี้ยวรถเข้าไปยังลานจอดของโรงแรม นั่งรออยู่ที่โถงล็อบบี้ตั้งใจจะสอบถามบางเรื่องกับหญิงสาว แต่แล้วกลับเจอดีเข้าเสียก่อน
ผู้หญิงคนนั้น...
พงศ์พลินนึกถึงเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นถึงสองครั้งสองคราเมื่อได้เจอหญิงสาว และนึกถึงเรื่องราวที่ตนเคยได้ยินมาตั้งแต่เล็กจนโต เรื่องเล่าที่เขาเคยลังเลที่จะเชื่อ
ชายหนุ่มบิดกุญแจติดเครื่องยนต์นำพาหนะคู่ใจออกจากบริเวณลานจอดของโรงแรม มุ่งตรงกลับบ้าน
บ้านหลังใหญ่หรืออาจจะเรียกได้ว่าคฤหาสน์หลังนั้นปลูกสร้างบนเนื้อที่เป็นสัดส่วน ซึ่งเป็นมรดกตกทอดจากมารดาของพงศ์พลิน บิดาของเขาแม้จะไม่ได้มีฐานะแต่เดิมทัดเทียมภรรยาแต่เพราะความอุตสาหะและมีหัวทางธุรกิจ การลงทุนซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ซึ่งทำกำไรงาม เพราะผู้ให้กำเนิดทั้งสองต่างมุ่งแต่การสร้างฐานะทำธุรกิจจนมีฐานะมั่งคั่ง ชายหนุ่มจึงเติบโตขึ้นโดยมีความใกล้ชิดกับปู่มากกว่า
ปู่พุ่มไม่ได้อยู่ร่วมบ้านใหญ่หากเลือกจะปลูกบ้านชั้นเดียวอยู่ลึกเข้าไปทางด้านหลัง พัฒน์ลูกชายคนเดียวยอมตามใจบิดา ออกเพียงทุนในการสร้าง ส่วนแบบแปลนของบ้านนั้นปู่พุ่มเป็นคนคิดและคอยดูแลควบคุมช่างให้สร้างตามความต้องการของตน ‘สภาพ’ ภายในบ้านหลังเล็กนั้นจึงไม่ค่อยมีใครได้รู้เห็น แม้แต่แม่บ้านที่รับหน้าที่ดูแลทำความสะอาดก็จะได้รับอนุญาตให้เข้าไปทำในส่วนที่ปู่พุ่มอนุญาตเท่านั้น
ชายหนุ่มดับเครื่องยนต์เมื่อถอยเข้าช่องจอดประจำเรียบร้อยแล้ว บรรดาสาวใช้ต่างรู้นิสัยเขาว่าไม่ค่อยชอบให้ใครมาปรนนิบัติดูแลนัก พงศ์พลินเข้าออกบ้านแบบเงียบ ๆ เขาพกรีโมทเปิดประตูรั้ว มีกุญแจเปิดประตูตัวบ้าน จะกลับดึก กลับเช้าก็ไม่เคยมีใครต้องเดือดร้อน
เขาดูเวลาบนหน้าปัดนาฬิกาข้อมือ สี่ทุ่มกว่าเป็นเวลาที่ปกติผู้เป็นปู่คงจะนอนหลับไปแล้ว แต่พงศ์พลินอยากจะลองเดินไปดูให้รู้แน่ เขาอยากจะเล่าให้ปู่ฟังถึงสิ่งที่ได้พบเจอมาในวันนี้ ชายหนุ่มเปิดกล่องเก็บของหยิบกระสุนปืนบิดเบี้ยวติดมือไปด้วย
ร่างสูงโปร่งเพิ่งจะเลี้ยวที่มุมตัวตึกใหญ่เมื่อปะทะเข้ากับร่างของอีกคนหนึ่ง ใครคนนั้นส่งเสียงร้องอย่างตกใจ พงศ์พลินเกือบทำกระสุนปืนที่กำอยู่หลุดมือ
“โอย ๆ”
“ปู่”
ชายหนุ่มทันมองเห็นปู่พุ่มเซถอยหลังไปเล็กน้อย ก่อนจะทรงตัวยืนนิ่งได้ แม้จะอายุเจ็ดสิบกว่าปีแล้วแต่ชายชรายังคงดูปราดเปรียวเกินวัย มือเหี่ยวย่นข้างหนึ่งนั้นถือวัตถุบางอย่างอยู่ มันมีลักษณะคล้ายกับเข็มทิศ ตัวหน้าปัดส่องแสงสีฟ้าเรือง เข็มที่มีปลายลูกศรข้างหนึ่งหมุนตามเข็มนาฬิกาอย่างรวดเร็วก่อนที่จะหยุดและชี้มาทางพงศ์พลิน
ปู่พุ่มชะโงกซ้ายทีขวาทีเหมือนจะมองว่ามีใครอยู่ด้านหลังของหลานชายเมื่อไม่พบก็ขมวดคิ้ว
“แปลก...มันเกิดอะไรขึ้น เข็มทิศชี้ชัดว่าแถวนี้ต้องมีพลังเวทมนต์สูงมาก แกไม่ได้พาใครกลับบ้านมาเหรอเจ้าพงศ์ แกไม่ได้เจอเวทนรีหรอกเหรอ”
พงศ์พลินส่ายหน้าก่อนอธิบาย “ผมว่าผมเจอแต่ผมไม่ได้เธอพาเธอกลับมาด้วยครับปู่”
“อะไรนะ แกเจอ...แล้วทำไมไม่พากลับมา เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
“ผมว่าเราไปคุยที่บ้านปู่ดีกว่านะ ขืนยืนคุยกันตรงนี้เกิดพ่อมาได้ยินเข้า เดี๋ยวก็ทะเลาะกันอีก”
“เออ จริง ๆ”
ชายชรารีบดึงแขนหลานชายให้เดินตามไปยังบ้านชั้นเดียวที่ลูกชายออกเงินปลูกสร้างให้ ด้านนอกของตัวบ้านฉาบปูนทาสีไข่ไก่ภายในเป็นผนังอิฐสีส้มแก่ เมื่อเข้าไปภายในตัวบ้านแทนที่จะหยุดคุยกันที่ห้องรับแขกเล็ก ๆ ปู่พุ่มกลับพาเดินไปลึกเข้าไปขยับรูปภาพทิวทัศน์ที่แขวนอยู่บนผนังอิฐด้านหนึ่งก่อนจะออกแรงกดก้อนอิฐก้อนหนึ่ง พื้นบริเวณโถงรับแขกเลื่อนเปิดออกเป็นช่องสี่เหลี่ยมเผยให้เห็นบันไดหินที่นำทางไปสู่ห้องใต้ดินลับ
ห้องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ นั้นมีขนาดราวแปดคูณแปดเมตร ครั้งแรกที่พงศ์พลินได้เข้ามายังห้องนี้เป็นตอนที่เขายังเป็นเด็กหนุ่มวัยราวสิบปี จำได้ว่าเขารู้สึกตื่นตาตื่นใจตั้งแต่พื้นโถงเลื่อนออกจนกระทั่งเข้ามาในห้องลับที่ติดตั้งแผงไฟแทนที่จะเป็นแท่นคบเพลิงแขวนผนังนี้ นอกจากผนังด้านที่เป็นบันไดแล้ว ผนังด้านหนึ่งของห้องเป็นตู้หนังสือที่มีหนังสือที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อที่ปู่พุ่มสนใจเป็นพิเศษ ด้านหนึ่งเป็นชั้นอุปกรณ์ช่างที่ชายชรายังคงหยิบจับมาประดิษฐ์ข้าวของเครื่องใช้เป็นงานอดิเรกเป็นประจำ ส่วนอีกด้านติดร่างแผนที่ขนาดใหญ่ บนแผนที่นั้นมีมุดปักอยู่หลายจุดแต่ละจุดโยงกันไปมาด้วยด้ายหลากสี กลางห้องมีโต๊ะสำหรับทำงานช่างตัวใหญ่
ชายหนุ่มหวนนึกถึงครั้งแรกที่เขาได้รู้จักห้องนี้ พร้อมทั้งได้ฟังเรื่องเล่าเกี่ยวกับบรรพบุรุษจากผู้เป็นปู่ เรื่องที่พ่อเหมือนไม่เคยจะสนใจทั้งยังไม่พอใจทุกครั้งหากมีใครเอ่ยถึงให้ได้ยิน
พัฒน์ผู้เป็นพ่อมักใช้เวลากับการทำงานมากกว่าอย่างอื่น ส่วนนิภาผู้เป็นแม่ก็มีหน้าที่ทั้งรับผิดชอบงานของครอบครัว ออกงานสังคมสานสายสัมพันธ์ที่จะเกื้อหนุนการทำงานของสามี เวลาว่างวัยเด็กของพงศ์พลินจึงมีเพียงปู่ที่เด็กน้อยจะนึกถึงในตอนนั้น
‘ปู่ครับ ปู่’
เด็กชายพงศ์พลินผลักประตูเดินเข้าบ้านของปู่อย่างที่คนทำงานในบ้านไม่กล้าทำเพราะได้รับคำสั่งอย่างเด็ดขาดไม่ให้เข้ามายุ่มย่ามโดยไม่ได้รับอนุญาต เด็กชายหกขวบมองซ้ายมองขวาไม่เห็นผู้เป็นปู่จึงวิ่งไปที่ประตูห้องนอนหมุนลูกบิดผลักบานประตูไม้เข้าไปมองสำรวจดูก็ไร้เงาของปู่พุ่ม
เด็กน้อยทำหน้าละห้อย ผิดหวังที่ไม่ได้เจอปู่เดินคอตกไปที่ประตูทางเข้าบ้าน หากยังไม่ทันจะหมุนลูกบิดเปิดประตูออกจากบ้าน เสียงคล้ายกับหินเสียดสีกันดังยาวก็เรียกให้หันกลับไปมอง
พื้นห้องตอนนี้ค่อยเลื่อนเปิดออกเห็นเป็นช่องสี่เหลี่ยมผืนผ้า เด็กน้อยจ้องเขม็งอย่างตื่นตาตื่นใจ กระทั่งเห็นปู่เดินขึ้นมาจากบันไดหิน พงศ์พลินก็วิ่งเข้าไปเกาะขา
‘ปู่...ทำไมพื้นมันถึงมีช่องได้ล่ะครับ แล้วปู่เดินขึ้นมาได้ยังไง’
ปู่พุ่มถอนใจหนักหน่วง ‘เจ้าพงศ์ทำไมถึงเข้ามาไม่บอกไม่กล่าว ไม่ให้ใครพามา ปู่สั่งห้ามกับพวกแม่บ้านแล้วนี่ว่าไม่ให้ใครเข้ามาโดยที่ปู่ไม่อนุญาต’
‘แต่ปู่ไม่ได้ห้ามผมนี่ครับ’ เด็กน้อยดูไม่สนใจอะไรเพราะตามองแต่ช่องลับที่สามารถเดินลงไปได้ ‘แล้วปู่ลงไปทำอะไรครับ ข้างล่างมีอะไร ผมขอดูได้ไหมครับปู่’
‘เจ้าพงศ์’ ปู่พุ่มเสียงเข้มขึ้นเล็กน้อยเมื่อย่อตัวลงมาให้อยู่ในระดับที่จะสามารถมองสบตาหลานชายได้ขณะสนทนากัน ‘ปู่จะอนุญาตให้เจ้าลงไปได้ ถ้าเจ้าสัญญากับปู่ข้อหนึ่งก่อน’
‘สัญญาครับ’ เด็กน้อยรีบเอ่ยปากรับคำทันที
‘ไม่ใช่คำสัญญาเพราะอยากรู้อยากเห็นแบบนี้ การตกปากสัญญาอะไรกับใคร เจ้าต้องฟังสิ่งที่เขาพูดให้ดีเสียก่อน อย่าสักแต่ว่ารับปากแต่ไม่คิดจะรักษาสัญญา’
‘ปู่จะให้ผมสัญญาอะไรครับ’
‘เจ้าจะต้องไม่เล่าเรื่องที่ปู่มีห้องลับอยู่ในบ้านให้คนอื่นฟังเด็ดขาด ปู่จะเล่าทุกเรื่องที่เจ้าอยากรู้แล้วเจ้าก็จะต้องไม่ปริปากบอกให้ใครฟังเช่นเดียวกัน รับปากกับปู่ได้ไหม’
ครั้งนี้เด็กชายนิ่งคิดอยู่ชั่วขณะหนึ่งก่อนที่จะเอ่ยรับคำอีกครั้ง ด้วยอาการที่จริงจังและหนักแน่นกว่าเดิม ปู่พุ่มยิ้มอย่างพอใจก่อนจะขยับตัวยืนขึ้น ยื่นมือให้หลานชายก้าวตามลงบันไดหินไป เมื่อต่างก็ก้าวพ้นจากพื้นห้องไปแล้วผู้เป็นปู่ก็เอื้อมมือไปกดที่อิฐก้อนหนึ่งบนผนังข้างบันไดเสียงหินใหญ่เสียดสีกันดังขึ้นอีกครั้งพื้นห้องที่เปิดอยู่ค่อยเลื่อนปิดซ่อนสองปู่หลานไว้ในห้องใต้ดินพร้อมกับหลอดไฟที่ติดตั้งไว้ภายในห้องลับติดสว่างขึ้น
โต๊ะและชั้นเก็บเครื่องมือเป็นสิ่งแรกที่เด็กชายวิ่งเข้าไปหา หลายสิ่งบนโต๊ะและในชั้นเป็นของมีคมที่ดูมีอันตราย ปู่พุ่มกระแอมเตือนเบา ๆ พงศ์พลินเลยหันไปให้ความสนใจกับอีกมุมของห้องซึ่งมีแผนที่ติดผนังและมีมุดปักยังกระจายไปทั่ว
‘แผนที่อะไรครับปู่’
‘แผนที่ที่บอกถึงการค้นพบอะไรบางอย่าง’ ปู่พุ่มหันไปมองทางผนังด้านที่มีตู้หนังสืออยู่ ‘ถ้าอยากรู้ว่าสิ่งที่หาอยู่เป็นอะไรเจ้าก็ลองไปดูที่ตู้หนังสือสิ’
พงศ์พลินวิ่งไปดูที่ตู้หนังสือ อ่านชื่อจากสันปกของหลายเล่มแล้วต้องหันกลับไปถามปู่ด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น ดวงตาเบิกกว้างอย่างตื่นเต้น
‘เวทมนต์ พ่อมด แม่มด ปู่ตามหาพวกนี้อยู่เหรอครับ’
ปู่พุ่มพยักหน้าแทนคำตอบ
‘ปู่เป็นนักล่าปิศาจ หรือว่าล่าแม่มดเหมือนในหนัง’
ครั้งนี้ปู่ตอบเด็กชายด้วยอาการส่ายหน้าเล็กน้อย ‘ปู่ตามหา...แต่ไม่ได้ล่า’
‘ไม่ได้ล่า แล้วตามหาทำไมครับ ปู่เคยเจอพ่อมด แม่มดจริง ๆ หรือยังครับ แล้วเรื่องที่ปู่ทำอยู่พ่อรู้ด้วยไหมครับ แล้ว...’
‘พอ ๆ เจ้าพงศ์ รัวคำถามแบบนี้ปู่จะตอบเจ้าได้ยังไงกัน’
ปู่พุ่มลากเก้าอี้ตัวหนึ่งมาหย่อนตัวลงนั่งก่อนตบมือลงบนเก้าอี้อีกตัวอย่างจะเรียกให้หลานชายนั่งตาม
‘ถ้าเจ้าใจเย็นสักหน่อยปู่จะค่อย ๆ เล่าให้เจ้าฟังเดี๋ยวนี้ล่ะ’
พงศ์พลินปีนขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้เงยหน้ามองปู่อย่างตั้งใจ เรื่องเล่าซึ่งปู่พุ่มเคยได้ยินมาตั้งแต่เด็กถูกถ่ายทอดให้กับทายาทคนสุดท้ายของตระกูล
‘เรื่องที่ปู่จะเล่าปู่ได้ยินได้ฟังมาจากปู่ของปู่อีกที ถ้าจะนับแล้วต้องเรียกว่าเป็นเทียดของเจ้า ตระกูลเรารับราชการต่อกันมาหลายชั่วอายุ จนถึงรุ่นเทียดพฤกษ์ ท่านก็รับราชการเหมือนกับบรรพบุรุษ จนเข้าวัยหนุ่มท่านก็ได้พบรักกับเทียดทับทิม ท่านเองก็เป็นลูกหลานของขุนน้ำขุนนางในสมัยนั้นเหมือนกัน
ทั้งคู่ครองรักกันอย่างมีความสุขจนกระทั่งมีลูกชายด้วยกันคนนึง แต่แล้วก็เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น...’
‘เกิดอะไรขึ้นครับปู่’
‘ศัตรู...ตามหาจนเจอเทียดทับทิม’
‘ศัตรูเหรอครับ’
‘ใช่...พวกที่มีเวทมนต์สีดำซึ่งต้องการพลังอำนาจด้วยการยึดเอาพลังจากคนที่มีพลังบริสุทธิ์’
‘เทียดทับทิมเป็นแม่มดเหรอครับปู่’
‘จะเรียกว่าอย่างนั้นก็คงไม่ผิด ท่านมีพลังพิเศษ...แต่ท่านไม่เคยใช้พลังนั่นทำร้ายใคร เทียดพฤกษ์เองก็ไม่เคยระแคะระคาย จนกระทั่งนักล่าปรากฏตัวขึ้น
ตอนนั้นเทียดพฤกษ์กลับจากราชการทันได้เห็นว่ามีผู้หญิงในชุดคลุมสีดำ หน้าตาน่าเกลียดน่ากลัวกำลังพยายามจะทำร้ายเทียดทับทิมด้วยพลังบางอย่างที่เทียดพฤกษ์เองก็มองไม่เห็น เทียดทับทิมเองก็ต่อสู้ด้วยพลังที่เทียดพฤกษ์มองไม่เห็นเหมือนกัน รู้แต่ว่าข้าวของบนเรือนล้มระเนระนาดไปหมดตอนที่สองคนนั้นโบกมือไปมาเหมือนร่ายคาถา เวทมนต์อะไรบางอย่างใส่กัน’
‘เหลือเชื่อเลยครับปู่’
‘ใช่...เทียดพฤกษ์เล่าให้ฟังว่าท่านก็แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ตอนที่เห็นคนในเรือนพากันหยุดยืนนิ่งเหมือนกับเป็นหุ่น พอวิ่งขึ้นเรือนไปเท่านั้นแหละก็เห็นว่าเทียดทับทิมกำลังต่อสู้กับผู้หญิงลึกลับคนนั้นอยู่
การกลับมาถึงเรือนของเทียดพฤกษ์ทำให้ผู้หญิงคนนั้นเห็นทางได้เปรียบ ใช้วิธีหายตัวแวบตัวก็มายืนอยู่หลังเทียดพฤกษ์ ใช้เล็บที่คมกริบจ่อที่คอหอยของเทียดพฤกษ์’
พงษ์พลินที่รับฟังและเชื่อเรื่องเล่าของปู่แทบจะกลั้นใจขณะรอฟังเรื่องราวต่อ ปู่พุ่มระบายลมหายใจยาว
‘ผู้หญิงคนนั้นบังคับให้เทียดทับทิมส่งเข็มกลัดทับทิมที่ท่านมักจะพกติดตัวเสมอให้แลกกับการไว้ชีวิตเทียดพฤกษ์กับคุณทวดของเจ้าที่ตอนนั้นยังเด็กมาก’
‘แล้วเทียดทับทิมยอมให้ไหมครับ’
‘ความรักที่มีต่อสามีและลูกทำให้เทียดทับทิมยอมมอบอัญมณีประจำตัวให้กับผู้หญิงชุดดำคนนั้น’
‘เหมือนพวกแม่มดดำแน่ ๆ เลยใช่ไหมครับปู่’
‘ปู่เองก็ไม่รู้หรอกว่าจะเรียกอย่างนั้นได้ไหม บางทีเวทมนต์ของเทียดทับทิมกับผู้หญิงประหลาดคนนั้นคงไม่ได้เหมือนที่เจ้าเห็นในหนังหรอกนะ ปู่ไม่เคยเป็นกลับตา ไม่รู้ว่าเป็นยังไงกันแน่ ทุกอย่างก็ได้ยินมาจากคำบอกเล่าของเทียดพฤกษ์เท่านั้น’
‘แล้วเรื่องเป็นยังไงต่อครับปู่’
‘พอเทียดทับทิมส่งเครื่องประดับนั่นให้ ผู้หญิงคนนั้นก็ส่งเสียงหัวเราะน่ากลัว แล้วก็หายวับไปกับตา เทียดทับทิมหมดสติล้มลงทันที ท่านล้มป่วยหมดเรี่ยวแรง ก่อนที่ท่านจะสิ้นท่านได้เล่าเรื่องที่ไม่เคยมีใครได้ยินให้เทียดพฤกษ์ฟัง’
‘เรื่องอะไรเหรอครับ’
‘เรื่องเล่าจากปากของนกตัวนึง...สัตว์เลี้ยงของเทียดทับทิม’
‘นกพูดได้?’
‘ใช่...นกพูดได้ ไม่ใช่แค่พูดตามคนแต่สามารถพูดจาเล่าเรื่องราวอะไรต่ออะไรให้คนฟังได้ นี่ก็เป็นหนึ่งในเรื่องน่าประหลาดใจที่เทียดพฤกษ์ได้ฟังจากปากเทียดทับทิม’ ปู่พุ่มเอ่ยแล้วลงจากเก้าอี้เดินไปหยิบเอาสมุดเล่มหนึ่งที่ถูกซุกซ่อนเอาไว้ในตู้หนังสือ ถือมันมายื่นให้พงศ์พลิน ‘แล้วทุกอย่างเทียดพฤกษ์ก็ได้จดบันทึกเอาไว้ในสมุดเล่มนี้ ถ้าเจ้าอยากรู้ก็ลองอ่านดู’
บันทึกในสมุดนั้นทำให้พงศ์พลินเชื่อและหมกมุ่นในสิ่งที่ปู่พุ่มเล่าให้ฟังอยู่พักใหญ่ก่อนที่จะถูกพัฒน์ผู้เป็นพ่อบังคับให้จดจ่ออยู่กับเรื่องของการเรียน การสร้างอนาคต ประกอบกับการเติบโตจากเด็กชายเป็นเด็กหนุ่มกระทั่งเป็นชายหนุ่มที่ต้องรับผิดชอบสืบต่องานของพ่อทำให้เขาสนใจเรื่องที่ปู่เล่าให้ฟังน้อยลงเรื่อย ๆ กระทั่งการได้เจอกับหญิงสาวที่เหมือนจะมีพลังแปลกประหลาดในวันนี้กระตุ้นเตือนให้นึกถึงสิ่งที่ปู่เคยเล่าให้ฟังอีกครั้ง
“เข็มทิศที่เทียดทับทิมให้ไว้ สามารถทำให้เราตามหาตัวคนที่มีพลังเหมือนเทียดทับทิมได้จริง ๆ อย่างที่ปู่เล่าให้ฟังใช่ไหมล่ะเจ้าพงศ์”
พงศ์พลินได้แต่พยักหน้ายอมรับ จริงอยู่เขาไม่ขัดปู่ ไม่เคยห้ามปู่ไม่ให้พูดเรื่องที่พ่อคิดว่าเหลวไหล เป็นไปไม่ได้ แต่พอเติบโตรู้ความมากขึ้นเขาก็ไม่คิดว่าเรื่องเล่านั้นจะเป็นความจริงขึ้นมาได้ ถ้าไม่ได้พบเจอเข้ากับตัวเอง
“เราไม่มีทางรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นจะรู้ตัวหรือยังว่ามีอันตราย แต่เมื่อเจ้าเจอเธอแล้ว เราคงจะเตือนให้เธอระวังตัวได้”
ชายหนุ่มได้แต่ยิ้มแห้งตอบคำของผู้เป็นปู่...จะตอบได้อย่างไรว่านอกจากสงสัยว่าเธอมีพลังพิเศษแล้ว เขาไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับเธอเลยสักอย่าง แถมยังไม่สามารถติดตามเธอไปจนรู้ว่าเธอเป็นใครอยู่ที่ไหน
เปรี้ยง!
อาวุธปืนในมือหนุ่มใหญ่แผดเสียงดังขึ้น เพียงแต่คุลิกาไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้ หญิงสาวเห็นเพียงแสงสีมุกเหลือบรุ้งสว่างจ้าที่เหมือนจะวูบขึ้นมาจากฝ่ามือที่ยกขึ้นของตัวเธอเอง ชั่วอึดใจแสงนั้นก็หายไป ภาพที่ปรากฏตอนนี้คือหนุ่มใหญ่พยายามเหนี่ยวไกปืนซ้ำหลายครั้งหากไม่มีสิ่งใดออกจากปากกระบอก
“อะไรวะ เป็นไปได้ยังไง”
ผู้คนที่ร้องตกใจเสียงปืนเมื่อครู่เริ่มพากันมามุงดู คนใจร้อนที่ถือปืนในมือดูจะเห็นท่าไม่จึงรีบหุนหันวิ่งกลับขึ้นรถแล้วออกตัวไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งคู่กรณีที่นั่งกองอยู่กับพื้นไว้ ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งที่นั่งชันเข่าอยู่กับพื้นเหมือนจะก้มลงไปทำอะไรบางอย่างมากำไว้ในมือก่อนจะหันมามองคุลิกา คิ้วเข้มนั้นเลิกขึ้นเล็กน้อย ดวงตาที่มองสำรวจใบหน้าของเธอดูเจือแววของความรู้สึกทั้งตกใจและประหลาดใจ
ดูเหมือนไม่มีใครในที่นั้นนอกจากคุลิกาที่ได้เห็นแสงประหลาดที่เหมือนจะพุ่งออกจากฝ่ามือของตนเอง หญิงสาวยืนตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วก่อนหน้า ก่อนจะได้สติหันไปให้ความสนใจกับคนที่ยังนั่งอยู่กับพื้น
“คุณ...เป็นยังไงบ้างคะ”
เมื่อเห็นว่าเธอย่อตัวลงมาเสนอความช่วยเหลือ ชายหนุ่มรีบยกมือขึ้นห้าม “เอ่อ...ผมไม่เห็นไรครับ ผมลุกเองได้ ขอบคุณ”
คุลิกาสะดุดกับอาการที่ดูเหมือนจะหวั่นเกรงนั้น หญิงสาวจึงขยับไปยืนมองห่าง ๆ
อะไรของเขา เราอุตส่าห์หวังดีจะช่วย...ทำท่าเหมือนกลัวเราซะอย่างนั้นแหละ
“คุณไม่เป็นไรก็ดีแล้ว งั้น...ฉันไปละ แล้วทีหลังก็อย่าไปขับรถกวนประสาทใครเขาอีกล่ะ คราวหน้าอาจจะไม่โชคดีเจอคนยิงปืนไม่แม่นแถมพกปืนมีกระสุนนัดเดียวอย่างนี้ก็ได้”
“เดี๋ยว...คุณ...”
หญิงสาวเสียอารมณ์ไปกับท่าทีของชายหนุ่มเมื่อครู่ก่อนหน้าจนไม่สนใจจะหันหลังไปมอง ตั้งหน้าตั้งตาเดินลิ่วกลับเข้าไปยังบริเวณลานจอดเพื่อตัดกลับเข้าไปสู่ตัวโรงแรม
คุลิกาเดินเข้างานฉลองสมรสด้วยอารมณ์ไม่คงที่นักหากเพราะเป็นงานมงคลและได้พบเจอกับเพื่อนร่วมงานที่ส่วนใหญ่คุยสนุก มีอารมณ์ขันช่วยสร้างบรรยากาศสนุกสนานให้กับหญิงสาวได้ไม่ยากนัก เธอพูดคุย หัวเราะลืมเรื่องกวนใจที่เกิดขึ้นก่อนจะเข้างานไปได้สนิท จนกระทั่งพิธีการและงานเลี้ยงฉลองจบลงหญิงสาวก็เดินออกจากงานเลี้ยงมาพร้อมกับเพื่อนร่วมแผนกที่พูดคุยตกลงกันไว้แต่แรกว่าจะแวะไปส่งที่บ้าน
แขกเหรื่อที่มางานเลี้ยงฉลองสมรสทั้งงานที่คุลิกามาร่วมและงานอื่นพากันเดินลงบันไดมายังโถงล็อบบี้ ทั้งแขกโรงแรมและแขกที่มีร่วมงานมงคลหลายกลุ่มนั่งพูดคุยกันอยู่ตามชุดเก้าอี้ที่ทางโรงแรมจัดไว้ให้ ร่างสูงโปร่งที่นั่งอยู่เพียงคนเดียวที่มุมหนึ่งพรวดลุกขึ้นยืนทันทีที่เห็นคุลิกา
ตาคนที่เจอเมื่อเย็น!!
คุลิกาที่เดินคุยกับเพื่อนอยู่ชะงักโดยไม่รู้ตัว เพื่อนร่วมงานสาวดูเหมือนจะตระหนักถึงความผิดปกติจึงเอ่ยถาม
“เป็นอะไรแคท คุยอยู่ดี ๆ ก็เงียบไปเฉย ๆ”
“สงสัยจะเจอผู้ชายโรคจิตเข้าน่ะสิ”
“อะไรนะ โรคจิตไหน”
พร้อมกับคำถามนั้น ‘ผู้ชายโรคจิต’ ก็เดินพรวดเข้ามาพอดีกับที่สองสาวก้าวถึงพื้นชั้นล็อบบี้ คุลิกาไม่สนใจตอบคำถามหากรีบจูงมือเพื่อนเดินเลี่ยงไปทางด้านข้างของตัวโรงแรม
“จอดรถไว้ด้านข้างใช่ไหม รีบไปกันเถอะ”
“เดี๋ยวก่อนคุณ เดี๋ยว”
หญิงสาวไม่ฟังเสียงเรียกนั้นรีบลากเพื่อนให้สาวเท้าหนี นึกรำคาญรองเท้าที่ทำให้เดินเหินได้ไม่สะดวกนักและเพราะหญิงสาวทั้งสองสวมรองเท้าส้นสูงทั้งชายหนุ่มร่างสูงโปร่งก็คงรีบก้าวตามเต็มที่ พอคุลิกาผลักบานประตูกระจกก้าวออกจากโรงแรมก็ถูกมือใหญ่ข้างหนึ่งคว้าหมับเข้าที่ข้อศอกพอดี
“เอ๊ะ! อย่ามาแตะต้องตัวฉันนะ ไม่อย่างนั้นฉันจะร้องให้ลั่นเลยว่าคุณเป็นพวกโรคจิต”
“ผมไม่ใช่พวกโรคจิต ผมแค่อยากคุยกับคุณเรื่องเมื่อเย็น”
“ฉันไม่มีอะไรจะคุย” คุลิกาพยายามดึงแขนข้างที่ถูกจับไว้ ส่วนมืออีกข้างก็ส่งกระเป๋าถือให้เพื่อนสาวแตะลงบนแผ่นอกของชายหนุ่มก่อนจะเอ่ยดังเกือบจะตวาด “ปล่อยอย่ามายุ่งกับฉันนะ ห้ามตามมา”
อีกครั้งที่คุลิกาเห็นแสงสีขาวเหลือบรุ้งคล้ายสีของไข่มุก คราวนี้มันสว่างวาบขึ้นระหว่างฝ่ามือของเธอและร่างของหนุ่มสูงโปร่ง มือใหญ่ที่จับข้อศอกเธออยู่คลายออกทันที ชายหนุ่มยืนนิ่งอยู่กับที่ราวกับเป็นหุ่นขี้ผึ้ง
คุลิกาชะงักเล็กน้อยกับสิ่งที่เกิดขึ้น เหลือบมองเพื่อนร่วมงานที่เหมือนจะมองอย่างสงสัย
แน่ล่ะ...ใครจะไม่แปลกใจ จู่ ๆ นายคนนี้ก็ดันมายืนนิ่งเป็นหุ่นซะอย่างนั้น แล้วไอ้แสงเมื่อกี้มันอะไรกันนะ ดูเหมือนจะไม่มีใครเห็น...ทำไมมีแต่เราคนเดียวที่เห็น นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับเรากันแน่
ลำพังหาคำตอบให้ตัวเองหญิงสาวก็ยังทำไม่ได้ ดังนั้นเธอจึงเลือกที่จะรีบลอยหน้าเอ่ยกลบเกลื่อนขึ้น ราวกับไม่ได้สังเกตอาการยืนนิ่งไม่ไหวติงของชายหนุ่ม
“รู้ภาษาคนก็ดีแล้ว อย่ามายุ่ง อย่ามาตามตื้อฉันอีกเข้าใจไหม”
พูดจบคุลิกาก็รีบจูงเพื่อนสาวให้เดินผละออกไปจากบริเวณนั้นทันที คนที่ถูกดึงตัวมาดูเหมือนจะยังไม่หายข้องใจ เมื่อต่างฝ่ายต่างก็นั่งประจำที่เบาะตอนหน้าของรถยนต์ญี่ปุ่นขนาดกลางจึงเอ่ยถามขึ้น
“นี่มันเรื่องอะไรกัน แล้วทำไมจู่ ๆ หมอนั่นถึงได้ยืนนิ่งยังกับเล่นแปะแข็งอย่างนั้นแหละ ตอนแรกเห็นทำท่าเหมือนจะเดินตามมา”
“จะไปรู้เหรอ สงสัยจะรู้แล้วมั้งว่าฉันไม่ชอบ”
“หา...นี่ตานั่นมาจีบเธอเหรอ”
“ทำไมต้องถามน้ำเสียงแบบนั้นด้วยล่ะ มีคนมาจีบฉันมันผิดตรงไหน” คุลิกาชักฉุน “อีกอย่างฉันไม่ได้ชอบตาโรคจิตนั่นสักหน่อย”
“ดูท่าทางเขาไม่เห็นจะเหมือนคนโรคจิตเลยนะ ดูดีออก สูงโปร่ง มีกล้ามนิด ๆ นี่ขนาดแต่งตัวเสื้อเชิ้ตกางเกงสเลคธรรมดา ๆ ยังดูยังกับนายแบบแน่ะ”
ชายหนุ่มผิวขาวร่างสูงโปร่ง ผมหยักศกสีน้ำตาล ใบหน้ายาวเรียว ใต้คางและรอบริมฝีปากมีไรหนวดเคราปรากฏจาง ๆ จมูกโด่งเป็นสันคนนั้นต้องการอะไรจากเธอก็ไม่รู้ แล้วแสงประหลาดที่เห็นนั่นคืออะไร แล้วที่อยู่ดี ๆ เขาก็ยืนนิ่งไปเฉย ๆ ไม่โต้ตอบ ไม่เดินตามเธอเป็นเพราะอะไรกันแน่ เพราะแสงที่ออกจากมือเธอหรือว่า...
หรือว่าหมอนั่นจะเล่นกลอะไรกับเรา หาทางตีสนิท...ไอ้แสงนั่นก็เห็นตอนที่อยู่ต่อหน้านายคนนั้นนี่นา
คุลิกาอดไม่ได้ที่จะหันไปมองที่ประตูกระจกด้านข้างของโรงแรม หากจังหวะนั้นมีคนกลุ่มใหญ่เดินออกมาจากตัวโรงแรมหญิงสาวจึงมองไม่เห็นว่าร่างสูงโปร่งนั้นยังคงยืนอยู่ที่เดิมหรือไม่
จะยืนอยู่ได้ยังไงล่ะ แกล้งเสร็จแล้วอาจจะรีบขึ้นรถแล้วแอบขับตามมาก็ได้ สงสัยจะเจอโรคจิตจริง ๆ ซะแล้วเรา เบญจเพสมาเร็วจริง ๆ ด้วย
“เพิ่งจะเจอกันหนเดียวก็ตามตื้อฉันขนาดนี้ ฉันว่าโรคจิตแน่ รีบออกรถเถอะเดี๋ยวจะกลับบ้านดึก”
พงศ์พลินพยายามจะฝืนอำนาจลึกลับที่ตรึงร่างเขาไว้กับที่ ประตูกระจกข้างโรงแรมเปิดออกหลายครั้ง หญิงสาวหลายคนเหลือบมอง ยิ้มให้เขาและต้องหน้าเจื่อนไปเมื่อเห็นว่าเขายืนนิ่งไม่ตอบสนองอะไร นานพักใหญ่กว่าความรู้สึกหนักอึ้งขยับตัวไม่ได้นั้นจะค่อยคลายไป เขาเริ่มกรอกตาไปมาได้ พยายามฉีกยิ้มตอบคนที่เดินผ่านไปมา
ชายหนุ่มพยายามยกแขนอีกครั้งแต่ยังขยับได้ไม่มากนัก เขาจึงออกแรงมากขึ้นและครั้งหลังนี้ผลที่ได้รับนั้นเกินคาดเพราะเหมือนแรงตรึงที่มองไม่เห็นนั้นจะสลายไปหมดสิ้น แขนของเขาลอยหวือขึ้นหมุนเลยไปข้างหลังดึงเอาไหล่และลำตัวตามไปด้วย
จังหวะนั้นหญิงสาวที่เดินผ่านและทำท่าจะยิ้มให้ หุบยิ้มแทบไม่ทันและคงมองเขาเหมือนเป็นคนสติไม่ค่อยดีจึงรีบเดินหนีไปทันที
“โธ่เว้ย!”
พงศ์พลินสบถออกมาแผ่วเบาก่อนจะรีบเดินไปที่รถยนต์ของตนเอง เปิดประตูเข้าไปนั่งประจำเบาะคนขับ นึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเย็นหลังจากที่เขาขับรถปาดไปปาดกลับกับหนุ่มใหญ่เลือดร้อนจนเกิดเรื่อง
หลังจากหนุ่มใหญ่คนนั้นขับรถหนีไปจากจุดเกิดเหตุและหญิงสาวในชุดชมพูเดินผละไปแล้ว พงศ์พลินก็ใช้มือข้างหนึ่งยันร่างลุกขึ้นยืนขณะที่ตายังมองตามร่างที่สวมชุดเดรสนั้น บรรดาไทยมุงพากันวิพากษ์วิจารณ์ไปต่าง ๆ หากเมื่อเห็นว่าไม่มีเหตุอะไรร้ายแรงไม่นานทุกคนก็ละความสนใจ ชายหนุ่มเดินกลับไปที่รถเปิดประตูก้าวเข้าไปนั่งยกมือข้างที่กำของสิ่งหนึ่งเอาไว้ขึ้นมาค่อยคลายออกมองสิ่งที่วางอยู่บนฝ่ามือใหญ่
มันคือกระสุนปืนที่บิดเบี้ยวราวกับกระทบเข้ากับอะไรบางอย่าง...ชายหนุ่มนึกทบทวนเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ เขาแน่ใจว่าได้เห็นบางสิ่งปะทุออกมาจากปากกระบอกปืนขู่นั้น คะเนจากระยะห่างระหว่างตนกับหนุ่มใหญ่คนนั้นพงศ์พลินคิดว่าเขาจะต้องถูกยิงเข้าตรงไหนสักที่ แต่แปลกเขาซึ่งอยู่ใกล้ที่สุดกลับได้ยินเพียงเสียงคล้ายโลหะกระทบกับอะไรบางอย่างก่อนจะหล่นลงบนพื้นเท่านั้น
เขาเปิดกล่องเก็บของที่คอนโซลหน้า วางกระสุนปืนบิดเบี้ยวนั้นลงไปก่อนจะตัดสินใจเลี้ยวรถเข้าไปยังลานจอดของโรงแรม นั่งรออยู่ที่โถงล็อบบี้ตั้งใจจะสอบถามบางเรื่องกับหญิงสาว แต่แล้วกลับเจอดีเข้าเสียก่อน
ผู้หญิงคนนั้น...
พงศ์พลินนึกถึงเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นถึงสองครั้งสองคราเมื่อได้เจอหญิงสาว และนึกถึงเรื่องราวที่ตนเคยได้ยินมาตั้งแต่เล็กจนโต เรื่องเล่าที่เขาเคยลังเลที่จะเชื่อ
ชายหนุ่มบิดกุญแจติดเครื่องยนต์นำพาหนะคู่ใจออกจากบริเวณลานจอดของโรงแรม มุ่งตรงกลับบ้าน
บ้านหลังใหญ่หรืออาจจะเรียกได้ว่าคฤหาสน์หลังนั้นปลูกสร้างบนเนื้อที่เป็นสัดส่วน ซึ่งเป็นมรดกตกทอดจากมารดาของพงศ์พลิน บิดาของเขาแม้จะไม่ได้มีฐานะแต่เดิมทัดเทียมภรรยาแต่เพราะความอุตสาหะและมีหัวทางธุรกิจ การลงทุนซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ซึ่งทำกำไรงาม เพราะผู้ให้กำเนิดทั้งสองต่างมุ่งแต่การสร้างฐานะทำธุรกิจจนมีฐานะมั่งคั่ง ชายหนุ่มจึงเติบโตขึ้นโดยมีความใกล้ชิดกับปู่มากกว่า
ปู่พุ่มไม่ได้อยู่ร่วมบ้านใหญ่หากเลือกจะปลูกบ้านชั้นเดียวอยู่ลึกเข้าไปทางด้านหลัง พัฒน์ลูกชายคนเดียวยอมตามใจบิดา ออกเพียงทุนในการสร้าง ส่วนแบบแปลนของบ้านนั้นปู่พุ่มเป็นคนคิดและคอยดูแลควบคุมช่างให้สร้างตามความต้องการของตน ‘สภาพ’ ภายในบ้านหลังเล็กนั้นจึงไม่ค่อยมีใครได้รู้เห็น แม้แต่แม่บ้านที่รับหน้าที่ดูแลทำความสะอาดก็จะได้รับอนุญาตให้เข้าไปทำในส่วนที่ปู่พุ่มอนุญาตเท่านั้น
ชายหนุ่มดับเครื่องยนต์เมื่อถอยเข้าช่องจอดประจำเรียบร้อยแล้ว บรรดาสาวใช้ต่างรู้นิสัยเขาว่าไม่ค่อยชอบให้ใครมาปรนนิบัติดูแลนัก พงศ์พลินเข้าออกบ้านแบบเงียบ ๆ เขาพกรีโมทเปิดประตูรั้ว มีกุญแจเปิดประตูตัวบ้าน จะกลับดึก กลับเช้าก็ไม่เคยมีใครต้องเดือดร้อน
เขาดูเวลาบนหน้าปัดนาฬิกาข้อมือ สี่ทุ่มกว่าเป็นเวลาที่ปกติผู้เป็นปู่คงจะนอนหลับไปแล้ว แต่พงศ์พลินอยากจะลองเดินไปดูให้รู้แน่ เขาอยากจะเล่าให้ปู่ฟังถึงสิ่งที่ได้พบเจอมาในวันนี้ ชายหนุ่มเปิดกล่องเก็บของหยิบกระสุนปืนบิดเบี้ยวติดมือไปด้วย
ร่างสูงโปร่งเพิ่งจะเลี้ยวที่มุมตัวตึกใหญ่เมื่อปะทะเข้ากับร่างของอีกคนหนึ่ง ใครคนนั้นส่งเสียงร้องอย่างตกใจ พงศ์พลินเกือบทำกระสุนปืนที่กำอยู่หลุดมือ
“โอย ๆ”
“ปู่”
ชายหนุ่มทันมองเห็นปู่พุ่มเซถอยหลังไปเล็กน้อย ก่อนจะทรงตัวยืนนิ่งได้ แม้จะอายุเจ็ดสิบกว่าปีแล้วแต่ชายชรายังคงดูปราดเปรียวเกินวัย มือเหี่ยวย่นข้างหนึ่งนั้นถือวัตถุบางอย่างอยู่ มันมีลักษณะคล้ายกับเข็มทิศ ตัวหน้าปัดส่องแสงสีฟ้าเรือง เข็มที่มีปลายลูกศรข้างหนึ่งหมุนตามเข็มนาฬิกาอย่างรวดเร็วก่อนที่จะหยุดและชี้มาทางพงศ์พลิน
ปู่พุ่มชะโงกซ้ายทีขวาทีเหมือนจะมองว่ามีใครอยู่ด้านหลังของหลานชายเมื่อไม่พบก็ขมวดคิ้ว
“แปลก...มันเกิดอะไรขึ้น เข็มทิศชี้ชัดว่าแถวนี้ต้องมีพลังเวทมนต์สูงมาก แกไม่ได้พาใครกลับบ้านมาเหรอเจ้าพงศ์ แกไม่ได้เจอเวทนรีหรอกเหรอ”
พงศ์พลินส่ายหน้าก่อนอธิบาย “ผมว่าผมเจอแต่ผมไม่ได้เธอพาเธอกลับมาด้วยครับปู่”
“อะไรนะ แกเจอ...แล้วทำไมไม่พากลับมา เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
“ผมว่าเราไปคุยที่บ้านปู่ดีกว่านะ ขืนยืนคุยกันตรงนี้เกิดพ่อมาได้ยินเข้า เดี๋ยวก็ทะเลาะกันอีก”
“เออ จริง ๆ”
ชายชรารีบดึงแขนหลานชายให้เดินตามไปยังบ้านชั้นเดียวที่ลูกชายออกเงินปลูกสร้างให้ ด้านนอกของตัวบ้านฉาบปูนทาสีไข่ไก่ภายในเป็นผนังอิฐสีส้มแก่ เมื่อเข้าไปภายในตัวบ้านแทนที่จะหยุดคุยกันที่ห้องรับแขกเล็ก ๆ ปู่พุ่มกลับพาเดินไปลึกเข้าไปขยับรูปภาพทิวทัศน์ที่แขวนอยู่บนผนังอิฐด้านหนึ่งก่อนจะออกแรงกดก้อนอิฐก้อนหนึ่ง พื้นบริเวณโถงรับแขกเลื่อนเปิดออกเป็นช่องสี่เหลี่ยมเผยให้เห็นบันไดหินที่นำทางไปสู่ห้องใต้ดินลับ
ห้องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ นั้นมีขนาดราวแปดคูณแปดเมตร ครั้งแรกที่พงศ์พลินได้เข้ามายังห้องนี้เป็นตอนที่เขายังเป็นเด็กหนุ่มวัยราวสิบปี จำได้ว่าเขารู้สึกตื่นตาตื่นใจตั้งแต่พื้นโถงเลื่อนออกจนกระทั่งเข้ามาในห้องลับที่ติดตั้งแผงไฟแทนที่จะเป็นแท่นคบเพลิงแขวนผนังนี้ นอกจากผนังด้านที่เป็นบันไดแล้ว ผนังด้านหนึ่งของห้องเป็นตู้หนังสือที่มีหนังสือที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อที่ปู่พุ่มสนใจเป็นพิเศษ ด้านหนึ่งเป็นชั้นอุปกรณ์ช่างที่ชายชรายังคงหยิบจับมาประดิษฐ์ข้าวของเครื่องใช้เป็นงานอดิเรกเป็นประจำ ส่วนอีกด้านติดร่างแผนที่ขนาดใหญ่ บนแผนที่นั้นมีมุดปักอยู่หลายจุดแต่ละจุดโยงกันไปมาด้วยด้ายหลากสี กลางห้องมีโต๊ะสำหรับทำงานช่างตัวใหญ่
ชายหนุ่มหวนนึกถึงครั้งแรกที่เขาได้รู้จักห้องนี้ พร้อมทั้งได้ฟังเรื่องเล่าเกี่ยวกับบรรพบุรุษจากผู้เป็นปู่ เรื่องที่พ่อเหมือนไม่เคยจะสนใจทั้งยังไม่พอใจทุกครั้งหากมีใครเอ่ยถึงให้ได้ยิน
พัฒน์ผู้เป็นพ่อมักใช้เวลากับการทำงานมากกว่าอย่างอื่น ส่วนนิภาผู้เป็นแม่ก็มีหน้าที่ทั้งรับผิดชอบงานของครอบครัว ออกงานสังคมสานสายสัมพันธ์ที่จะเกื้อหนุนการทำงานของสามี เวลาว่างวัยเด็กของพงศ์พลินจึงมีเพียงปู่ที่เด็กน้อยจะนึกถึงในตอนนั้น
‘ปู่ครับ ปู่’
เด็กชายพงศ์พลินผลักประตูเดินเข้าบ้านของปู่อย่างที่คนทำงานในบ้านไม่กล้าทำเพราะได้รับคำสั่งอย่างเด็ดขาดไม่ให้เข้ามายุ่มย่ามโดยไม่ได้รับอนุญาต เด็กชายหกขวบมองซ้ายมองขวาไม่เห็นผู้เป็นปู่จึงวิ่งไปที่ประตูห้องนอนหมุนลูกบิดผลักบานประตูไม้เข้าไปมองสำรวจดูก็ไร้เงาของปู่พุ่ม
เด็กน้อยทำหน้าละห้อย ผิดหวังที่ไม่ได้เจอปู่เดินคอตกไปที่ประตูทางเข้าบ้าน หากยังไม่ทันจะหมุนลูกบิดเปิดประตูออกจากบ้าน เสียงคล้ายกับหินเสียดสีกันดังยาวก็เรียกให้หันกลับไปมอง
พื้นห้องตอนนี้ค่อยเลื่อนเปิดออกเห็นเป็นช่องสี่เหลี่ยมผืนผ้า เด็กน้อยจ้องเขม็งอย่างตื่นตาตื่นใจ กระทั่งเห็นปู่เดินขึ้นมาจากบันไดหิน พงศ์พลินก็วิ่งเข้าไปเกาะขา
‘ปู่...ทำไมพื้นมันถึงมีช่องได้ล่ะครับ แล้วปู่เดินขึ้นมาได้ยังไง’
ปู่พุ่มถอนใจหนักหน่วง ‘เจ้าพงศ์ทำไมถึงเข้ามาไม่บอกไม่กล่าว ไม่ให้ใครพามา ปู่สั่งห้ามกับพวกแม่บ้านแล้วนี่ว่าไม่ให้ใครเข้ามาโดยที่ปู่ไม่อนุญาต’
‘แต่ปู่ไม่ได้ห้ามผมนี่ครับ’ เด็กน้อยดูไม่สนใจอะไรเพราะตามองแต่ช่องลับที่สามารถเดินลงไปได้ ‘แล้วปู่ลงไปทำอะไรครับ ข้างล่างมีอะไร ผมขอดูได้ไหมครับปู่’
‘เจ้าพงศ์’ ปู่พุ่มเสียงเข้มขึ้นเล็กน้อยเมื่อย่อตัวลงมาให้อยู่ในระดับที่จะสามารถมองสบตาหลานชายได้ขณะสนทนากัน ‘ปู่จะอนุญาตให้เจ้าลงไปได้ ถ้าเจ้าสัญญากับปู่ข้อหนึ่งก่อน’
‘สัญญาครับ’ เด็กน้อยรีบเอ่ยปากรับคำทันที
‘ไม่ใช่คำสัญญาเพราะอยากรู้อยากเห็นแบบนี้ การตกปากสัญญาอะไรกับใคร เจ้าต้องฟังสิ่งที่เขาพูดให้ดีเสียก่อน อย่าสักแต่ว่ารับปากแต่ไม่คิดจะรักษาสัญญา’
‘ปู่จะให้ผมสัญญาอะไรครับ’
‘เจ้าจะต้องไม่เล่าเรื่องที่ปู่มีห้องลับอยู่ในบ้านให้คนอื่นฟังเด็ดขาด ปู่จะเล่าทุกเรื่องที่เจ้าอยากรู้แล้วเจ้าก็จะต้องไม่ปริปากบอกให้ใครฟังเช่นเดียวกัน รับปากกับปู่ได้ไหม’
ครั้งนี้เด็กชายนิ่งคิดอยู่ชั่วขณะหนึ่งก่อนที่จะเอ่ยรับคำอีกครั้ง ด้วยอาการที่จริงจังและหนักแน่นกว่าเดิม ปู่พุ่มยิ้มอย่างพอใจก่อนจะขยับตัวยืนขึ้น ยื่นมือให้หลานชายก้าวตามลงบันไดหินไป เมื่อต่างก็ก้าวพ้นจากพื้นห้องไปแล้วผู้เป็นปู่ก็เอื้อมมือไปกดที่อิฐก้อนหนึ่งบนผนังข้างบันไดเสียงหินใหญ่เสียดสีกันดังขึ้นอีกครั้งพื้นห้องที่เปิดอยู่ค่อยเลื่อนปิดซ่อนสองปู่หลานไว้ในห้องใต้ดินพร้อมกับหลอดไฟที่ติดตั้งไว้ภายในห้องลับติดสว่างขึ้น
โต๊ะและชั้นเก็บเครื่องมือเป็นสิ่งแรกที่เด็กชายวิ่งเข้าไปหา หลายสิ่งบนโต๊ะและในชั้นเป็นของมีคมที่ดูมีอันตราย ปู่พุ่มกระแอมเตือนเบา ๆ พงศ์พลินเลยหันไปให้ความสนใจกับอีกมุมของห้องซึ่งมีแผนที่ติดผนังและมีมุดปักยังกระจายไปทั่ว
‘แผนที่อะไรครับปู่’
‘แผนที่ที่บอกถึงการค้นพบอะไรบางอย่าง’ ปู่พุ่มหันไปมองทางผนังด้านที่มีตู้หนังสืออยู่ ‘ถ้าอยากรู้ว่าสิ่งที่หาอยู่เป็นอะไรเจ้าก็ลองไปดูที่ตู้หนังสือสิ’
พงศ์พลินวิ่งไปดูที่ตู้หนังสือ อ่านชื่อจากสันปกของหลายเล่มแล้วต้องหันกลับไปถามปู่ด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น ดวงตาเบิกกว้างอย่างตื่นเต้น
‘เวทมนต์ พ่อมด แม่มด ปู่ตามหาพวกนี้อยู่เหรอครับ’
ปู่พุ่มพยักหน้าแทนคำตอบ
‘ปู่เป็นนักล่าปิศาจ หรือว่าล่าแม่มดเหมือนในหนัง’
ครั้งนี้ปู่ตอบเด็กชายด้วยอาการส่ายหน้าเล็กน้อย ‘ปู่ตามหา...แต่ไม่ได้ล่า’
‘ไม่ได้ล่า แล้วตามหาทำไมครับ ปู่เคยเจอพ่อมด แม่มดจริง ๆ หรือยังครับ แล้วเรื่องที่ปู่ทำอยู่พ่อรู้ด้วยไหมครับ แล้ว...’
‘พอ ๆ เจ้าพงศ์ รัวคำถามแบบนี้ปู่จะตอบเจ้าได้ยังไงกัน’
ปู่พุ่มลากเก้าอี้ตัวหนึ่งมาหย่อนตัวลงนั่งก่อนตบมือลงบนเก้าอี้อีกตัวอย่างจะเรียกให้หลานชายนั่งตาม
‘ถ้าเจ้าใจเย็นสักหน่อยปู่จะค่อย ๆ เล่าให้เจ้าฟังเดี๋ยวนี้ล่ะ’
พงศ์พลินปีนขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้เงยหน้ามองปู่อย่างตั้งใจ เรื่องเล่าซึ่งปู่พุ่มเคยได้ยินมาตั้งแต่เด็กถูกถ่ายทอดให้กับทายาทคนสุดท้ายของตระกูล
‘เรื่องที่ปู่จะเล่าปู่ได้ยินได้ฟังมาจากปู่ของปู่อีกที ถ้าจะนับแล้วต้องเรียกว่าเป็นเทียดของเจ้า ตระกูลเรารับราชการต่อกันมาหลายชั่วอายุ จนถึงรุ่นเทียดพฤกษ์ ท่านก็รับราชการเหมือนกับบรรพบุรุษ จนเข้าวัยหนุ่มท่านก็ได้พบรักกับเทียดทับทิม ท่านเองก็เป็นลูกหลานของขุนน้ำขุนนางในสมัยนั้นเหมือนกัน
ทั้งคู่ครองรักกันอย่างมีความสุขจนกระทั่งมีลูกชายด้วยกันคนนึง แต่แล้วก็เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น...’
‘เกิดอะไรขึ้นครับปู่’
‘ศัตรู...ตามหาจนเจอเทียดทับทิม’
‘ศัตรูเหรอครับ’
‘ใช่...พวกที่มีเวทมนต์สีดำซึ่งต้องการพลังอำนาจด้วยการยึดเอาพลังจากคนที่มีพลังบริสุทธิ์’
‘เทียดทับทิมเป็นแม่มดเหรอครับปู่’
‘จะเรียกว่าอย่างนั้นก็คงไม่ผิด ท่านมีพลังพิเศษ...แต่ท่านไม่เคยใช้พลังนั่นทำร้ายใคร เทียดพฤกษ์เองก็ไม่เคยระแคะระคาย จนกระทั่งนักล่าปรากฏตัวขึ้น
ตอนนั้นเทียดพฤกษ์กลับจากราชการทันได้เห็นว่ามีผู้หญิงในชุดคลุมสีดำ หน้าตาน่าเกลียดน่ากลัวกำลังพยายามจะทำร้ายเทียดทับทิมด้วยพลังบางอย่างที่เทียดพฤกษ์เองก็มองไม่เห็น เทียดทับทิมเองก็ต่อสู้ด้วยพลังที่เทียดพฤกษ์มองไม่เห็นเหมือนกัน รู้แต่ว่าข้าวของบนเรือนล้มระเนระนาดไปหมดตอนที่สองคนนั้นโบกมือไปมาเหมือนร่ายคาถา เวทมนต์อะไรบางอย่างใส่กัน’
‘เหลือเชื่อเลยครับปู่’
‘ใช่...เทียดพฤกษ์เล่าให้ฟังว่าท่านก็แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ตอนที่เห็นคนในเรือนพากันหยุดยืนนิ่งเหมือนกับเป็นหุ่น พอวิ่งขึ้นเรือนไปเท่านั้นแหละก็เห็นว่าเทียดทับทิมกำลังต่อสู้กับผู้หญิงลึกลับคนนั้นอยู่
การกลับมาถึงเรือนของเทียดพฤกษ์ทำให้ผู้หญิงคนนั้นเห็นทางได้เปรียบ ใช้วิธีหายตัวแวบตัวก็มายืนอยู่หลังเทียดพฤกษ์ ใช้เล็บที่คมกริบจ่อที่คอหอยของเทียดพฤกษ์’
พงษ์พลินที่รับฟังและเชื่อเรื่องเล่าของปู่แทบจะกลั้นใจขณะรอฟังเรื่องราวต่อ ปู่พุ่มระบายลมหายใจยาว
‘ผู้หญิงคนนั้นบังคับให้เทียดทับทิมส่งเข็มกลัดทับทิมที่ท่านมักจะพกติดตัวเสมอให้แลกกับการไว้ชีวิตเทียดพฤกษ์กับคุณทวดของเจ้าที่ตอนนั้นยังเด็กมาก’
‘แล้วเทียดทับทิมยอมให้ไหมครับ’
‘ความรักที่มีต่อสามีและลูกทำให้เทียดทับทิมยอมมอบอัญมณีประจำตัวให้กับผู้หญิงชุดดำคนนั้น’
‘เหมือนพวกแม่มดดำแน่ ๆ เลยใช่ไหมครับปู่’
‘ปู่เองก็ไม่รู้หรอกว่าจะเรียกอย่างนั้นได้ไหม บางทีเวทมนต์ของเทียดทับทิมกับผู้หญิงประหลาดคนนั้นคงไม่ได้เหมือนที่เจ้าเห็นในหนังหรอกนะ ปู่ไม่เคยเป็นกลับตา ไม่รู้ว่าเป็นยังไงกันแน่ ทุกอย่างก็ได้ยินมาจากคำบอกเล่าของเทียดพฤกษ์เท่านั้น’
‘แล้วเรื่องเป็นยังไงต่อครับปู่’
‘พอเทียดทับทิมส่งเครื่องประดับนั่นให้ ผู้หญิงคนนั้นก็ส่งเสียงหัวเราะน่ากลัว แล้วก็หายวับไปกับตา เทียดทับทิมหมดสติล้มลงทันที ท่านล้มป่วยหมดเรี่ยวแรง ก่อนที่ท่านจะสิ้นท่านได้เล่าเรื่องที่ไม่เคยมีใครได้ยินให้เทียดพฤกษ์ฟัง’
‘เรื่องอะไรเหรอครับ’
‘เรื่องเล่าจากปากของนกตัวนึง...สัตว์เลี้ยงของเทียดทับทิม’
‘นกพูดได้?’
‘ใช่...นกพูดได้ ไม่ใช่แค่พูดตามคนแต่สามารถพูดจาเล่าเรื่องราวอะไรต่ออะไรให้คนฟังได้ นี่ก็เป็นหนึ่งในเรื่องน่าประหลาดใจที่เทียดพฤกษ์ได้ฟังจากปากเทียดทับทิม’ ปู่พุ่มเอ่ยแล้วลงจากเก้าอี้เดินไปหยิบเอาสมุดเล่มหนึ่งที่ถูกซุกซ่อนเอาไว้ในตู้หนังสือ ถือมันมายื่นให้พงศ์พลิน ‘แล้วทุกอย่างเทียดพฤกษ์ก็ได้จดบันทึกเอาไว้ในสมุดเล่มนี้ ถ้าเจ้าอยากรู้ก็ลองอ่านดู’
บันทึกในสมุดนั้นทำให้พงศ์พลินเชื่อและหมกมุ่นในสิ่งที่ปู่พุ่มเล่าให้ฟังอยู่พักใหญ่ก่อนที่จะถูกพัฒน์ผู้เป็นพ่อบังคับให้จดจ่ออยู่กับเรื่องของการเรียน การสร้างอนาคต ประกอบกับการเติบโตจากเด็กชายเป็นเด็กหนุ่มกระทั่งเป็นชายหนุ่มที่ต้องรับผิดชอบสืบต่องานของพ่อทำให้เขาสนใจเรื่องที่ปู่เล่าให้ฟังน้อยลงเรื่อย ๆ กระทั่งการได้เจอกับหญิงสาวที่เหมือนจะมีพลังแปลกประหลาดในวันนี้กระตุ้นเตือนให้นึกถึงสิ่งที่ปู่เคยเล่าให้ฟังอีกครั้ง
“เข็มทิศที่เทียดทับทิมให้ไว้ สามารถทำให้เราตามหาตัวคนที่มีพลังเหมือนเทียดทับทิมได้จริง ๆ อย่างที่ปู่เล่าให้ฟังใช่ไหมล่ะเจ้าพงศ์”
พงศ์พลินได้แต่พยักหน้ายอมรับ จริงอยู่เขาไม่ขัดปู่ ไม่เคยห้ามปู่ไม่ให้พูดเรื่องที่พ่อคิดว่าเหลวไหล เป็นไปไม่ได้ แต่พอเติบโตรู้ความมากขึ้นเขาก็ไม่คิดว่าเรื่องเล่านั้นจะเป็นความจริงขึ้นมาได้ ถ้าไม่ได้พบเจอเข้ากับตัวเอง
“เราไม่มีทางรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นจะรู้ตัวหรือยังว่ามีอันตราย แต่เมื่อเจ้าเจอเธอแล้ว เราคงจะเตือนให้เธอระวังตัวได้”
ชายหนุ่มได้แต่ยิ้มแห้งตอบคำของผู้เป็นปู่...จะตอบได้อย่างไรว่านอกจากสงสัยว่าเธอมีพลังพิเศษแล้ว เขาไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับเธอเลยสักอย่าง แถมยังไม่สามารถติดตามเธอไปจนรู้ว่าเธอเป็นใครอยู่ที่ไหน

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 1 มี.ค. 2557, 11:40:30 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 มี.ค. 2557, 23:21:40 น.
จำนวนการเข้าชม : 1949
<< ตอนที่ 1 | ตอนที่ 3 >> |

กมลภัทร 1 มี.ค. 2557, 11:43:54 น.
ตอบเมนท์นะครับ
ตามหาฝัน >>>> มาโพสต์ต่อแล้วครับ
จิงโกะ >>>> มาช้า ยังดีกว่าไม่มาเนอะ
lovemuay >>>> เรื่องมันยาววววว ค่อย ๆ รู้ไปพร้อมตัวละครนะครับ
Sukhumvit66 >>>> หลุดลอดสายตาจนได้ ขอบคุณที่ทักมาครับ มีการเปลี่ยนชื่อแม่นางเอกกลางอากาศเล็กน้อย
Pat >>>> ^_^
ืnasa >>>> เป็นแฟนตาซีครับ แต่ไม่ได้ถึงกับลึกลับ ดำมืดอะไรอย่างนั้น
Zephyr >>>> ก็นิดนึงครับ...แคทจะได้แสดงอิทธิฤทธิ์หน่อย
ตอบเมนท์นะครับ
ตามหาฝัน >>>> มาโพสต์ต่อแล้วครับ
จิงโกะ >>>> มาช้า ยังดีกว่าไม่มาเนอะ
lovemuay >>>> เรื่องมันยาววววว ค่อย ๆ รู้ไปพร้อมตัวละครนะครับ
Sukhumvit66 >>>> หลุดลอดสายตาจนได้ ขอบคุณที่ทักมาครับ มีการเปลี่ยนชื่อแม่นางเอกกลางอากาศเล็กน้อย
Pat >>>> ^_^
ืnasa >>>> เป็นแฟนตาซีครับ แต่ไม่ได้ถึงกับลึกลับ ดำมืดอะไรอย่างนั้น
Zephyr >>>> ก็นิดนึงครับ...แคทจะได้แสดงอิทธิฤทธิ์หน่อย




Sukhumvit66 1 มี.ค. 2557, 18:49:30 น.
มารอตอนต่อไปจร้า..
มารอตอนต่อไปจร้า..


panon 4 มี.ค. 2557, 14:54:53 น.
รอตอนต่อไปค่ะ
รอตอนต่อไปค่ะ