ในเงาฝันปลายตะวัน
พรนับพัน ชีวิตของเธอจะมีตาอยู่ในทุกๆ ที่ แม้กระทั่งวันที่ตาจากไป หลายๆ สิ่งที่เธอทำก็ยังอยู่ในเงาของ 'ตะวัน' ผู้เป็นตาไม่เคยเปลี่ยน

และเพราะนิสัยที่เอาแต่ใจ โมโหร้าย ไม่สนใครหน้าไหนของพรนับพัน ชีวิตวันๆ หนึ่งเดินออกไปไหนไม่ได้ไกล หากมีเรื่องเข้ามาหาเจ้าหล่อนพร้อมพุ่งชน และนั่นเองทำให้รอบข้างกังวลและอยากจับเธอเปลี่ยนแปลง

ทิวากร ไม่รู้ว่าเขาโชคดี หรือโชคร้ายที่ได้รับหน้าที่จัดการเปลี่ยนมนุษย์ถ้ำ ให้ออกสู่สังคมได้อย่างปกติ แต่ดูเหมือนว่าคนที่ใครมองว่าโชคร้าย กลับเต็มใจรับสภาพ อ้าแขนรับมนุษย์ถ้ำคนนี้ซะด้วย
Tags: มนุษย์ถ้ำ โรแมนติก อมยิ้ม

ตอน: บทที่ 3 : ดื้อ

บทที่ 3

ทิวากรรู้สึกไม่ปลอดภัย เขารู้สึกเหมือนถูกบางอย่างตามมา ตั้งแต่บริเวณลานจอดรถด้านล่างซึ่งเหลือที่จอดอยู่ เขาจึงขี้เกียจขับรถขึ้นไปด้านบน บางครั้งก็ผิดหวัง ผู้พักอาศัยในคอนโดแห่งนี้จะมีที่จอดส่วนตัว แต่คนบางประเภทก็มักนำรถที่มีเกินชาวบ้านมาจอดในที่จอดของคนอื่น

เขาเป็นพวกไม่ชอบมีเรื่องกับใคร ว่าแต่ตอนนี้เขาเองหรือเปล่าที่กำลังถูกอะไรคุกคาม หรือหาเรื่อง มนุษย์เรามักจะรู้สึกตัวได้ว่าตกเป็นเป้าสายตาของใครสักคน ถึงจะมองไม่เห็นหน้า แต่รู้สึกว่าน่าจะมี

ตั้งแต่เข้าสู่วงการ ตนก็พบเจอเหล่าแฟนคลับที่บางคนก็บุกเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวเช่นกัน ยังโชคดีที่ระบบรักษาความปลอดภัยของคอนโดยังใช้งานได้ดี

“คุณทิวระวังครับ”

ทิวากรหันหลังกลับไปมองตรงทางขึ้นคอนโด พบว่ามีร่างๆ หนึ่งตรงดิ่งมาพร้อมเป้บนหลัง ไม่ใช่อาการวิ่ง หรือมุ่งมาทำร้าย ใบหน้าอันคุ้นเคยมึนตึง และหันไปขู่ฟ่อใส่คนที่โดนสะบัดไปหลายรอบด้วยอารมณ์หงุดหงิด

“ฉันไม่ใช่คนร้ายนะ แล้วฉันก็ไม่ได้คิดพิลึกกึกกือกับเขา”

“คุณครับ แฟนคลับคุณทิวก็โกหกว่าไม่ใช่แฟนคลับทั้งนั้น”

“นี่ลุง!” ชายวัยกลางคนในยูนิฟอร์มพนักงานรักษาความปลอดภัยวิ่งมาดักทางของพรนับพัน “ถ้าลุงแตะต้องฉันล่ะก็ ฉันจะบอกว่าลุงรังแกผู้หญิงนะ”

“โถ่ คุณครับ ผมทำตามหน้าที่”

หน้าตาขอร้องไม่เข้ามาในสมองส่วนดีของคนอุกอาจบุกมาบ้านคนอื่น พรนับพันกำลังคิดหาทางทลายด่านลุงตรงหน้า ตัวต้นเหตุที่ทำให้เธอมาที่นี่ก็ยืนทำหน้าสงสัยไม่ไกล

“ดึกแล้ว คุณมาทำอะไรที่นี่”

“ฉันต่างหากต้องถาม ดึกดื่นเที่ยงคืน ทำไมเพิ่งกลับ ฉันตากยุงผื่นขึ้นไปทั้งตัวแล้วเนี่ย” ชูหลักฐานเป็นแขนสองข้างที่มีตุ่มแดงขึ้นเป็นจ้ำหลายจุด “ฉันมาหาคุณ”

“ให้ผมไปส่งบ้านใช่ไหม ไปสิ เดี๋ยวผมไปส่ง”

พรนับพันย่นจมูกขัดใจ หันไปหาเรื่องกับคนไม่รู้เรื่องแทน “ลุง เห็นไหมว่าฉันรู้จักเขา ขอคุยกับเขาสองคนเถอะค่ะ”

“คุณทิวว่าไงครับ” ชายวัยกลางคนหันกลับมาถามผู้พักในคอนโดด้วยท่าทีเกรงใจ

“ทำตามนั้นเถอะครับ”

เมื่อบุคคลที่สามถูกเชิญออกไป พรนับพันจึงหันกลับมา บอกสั้นๆ และได้ใจความ “นำไปห้องคุณสิ”

ทิวากรเลิกคิ้วสงสัย แต่มองรูปการที่มีเป้ใบโตบนหลังเขาก็รู้แล้วว่าพรนับพันคิดจะทำอะไร “ทำไมผมต้องทำตามที่คุณบอกล่ะครับ ผมว่ามันไม่มีเหตุผล”

“ถ้าไม่อยากให้ฉันอยู่ ก็เอาสมุดคืนมาสิ นั่นมันของของตาฉัน”

“ไม่ใช่ของตาคุณ แต่มันคือของคุณ” ทิวากรตอบเสียงเรียบ เขาอ่านทั้งหมดจบลงตั้งแต่วันแรกที่ได้มา ในนั้นมีบางสิ่งที่ตาของพรนับพันต้องการทิ้งไว้ให้หลานสาว

พรนับพันรู้สึกประหลาดใจ ยิ่งเขาพูดมาแบบนี้เธอยิ่งอยากรู้ และต้องการสมุดของตามากขึ้น “ถ้าอย่างนั้นก็คืนให้ฉันสิ มันเป็นของๆ ฉัน”

ทิวากรโคลงศีรษะ ยิ้มอ่อนโยนของเขาช่างตรงข้ามกับวาจาอันกระแทกหน้า กระแทกใจให้พรนับพันเจ็บ “ผมคืนไม่ได้ จนกว่าคุณจะเปลี่ยนแปลง” สายตาของเขากวาดมองร่างของพรนับพันแบบผ่านๆ ไม่ได้เสียมารยาท หรือจาบจ้วง แต่ต้องการจะสื่อ “คุณยังคงเหมือนเดิม”

“คุณไม่ทำหน้าที่เปลี่ยนฉันล่ะ เปลี่ยนสิ ให้ทำอะไรก็บอก” คนที่ยอมลงทุนเตรียมมานอนค้างบ้านคนอื่นไม่มีอะไรต้องกลัวอีก แต่เพราะว่าทิวากรไม่ตอบ เธอถึงรู้สึกว่าตัวเองโง่เง่าที่ทำอะไรไม่ได้

“กลับบ้านเถอะผมจะไปส่งคุณเอง”

“ไม่ต้องยุ่งเรื่องของฉันอีก ฉันมาเองกลับเองได้”

พรนับพันสะบัดหน้าหนี เชิดคอตั้ง เธอไม่มีความจำเป็นต้องเสวนากับเขาอีก ในเมื่อทิวากรมุ่งมั่นที่จะพาเธอกลับลูกเดียว นักเขียนสาวกำสายกระเป๋าสะพายไว้แน่น ตั้งใจจะเดินกลับไปพร้อมความพ่ายแพ้

“ตามใจคุณนะครับ”

พรนับพันหันหลังกลับไป พบเพียงแผ่นหลังของเขาที่มุ่งไปยังลิฟต์ ไม่เหลียวหลัง และไม่เสนอความช่วยเหลือ รั้งรอใดๆ หญิงสาวยืนคว้างท่ามกลางความเงียบ และความเดียวดาย สิ่งหนึ่งที่เธอคิดก็คือ

เขาก็เหมือนคนอื่นๆ เป็นเพียงสัตว์ประหลาดบนโลกของเธอ


ทิวากรสวมเสื้อกล้ามกางเกงนอนออกมาจากห้องน้ำ ใช้ผ้าขนหนูซับน้ำบนศีรษะที่เพิ่งสระมา มองนาฬิกาที่เคลื่อนอยู่ข้างกำแพงพบว่าเป็นเวลาตีหนึ่งกว่า ไม่รู้ป่านนี้พรนับพันจะถึงบ้านหรือยัง

เหตุผลที่เขาใจร้ายไม่ให้พรนับพันค้างที่นี่ส่วนหนึ่งก็เพราะว่ามันจะทำให้พรนับพันกลายเป็นเป้าสายตา และถูกคนในคอนโดจดจ้อง ถ้าหากว่าเขาไม่ใช่ดาราไม่มีเหตุผลที่เขาจะสนใจสายตาใครด้วยซ้ำ แต่นี่พรนับพันจะถูกต่อว่าเอาได้

ชายหนุ่มถอนหายใจ ยังรู้สึกเป็นห่วงแม้ว่าจะไล่ส่งไปแบบนั้น หยิบโทรศัพท์ส่วนตัวที่บันทึกเบอร์ของนับพันพรกดโทรออก ตอนนี้ต่อให้มีเบอร์ของพรนับพันเขาก็ยังไม่อยากโทรหา รู้แน่ว่าต้องทะเลาะกัน

“สวัสดีค่ะคุณทิว”

“คุณพราวด์กลับถึงบ้านหรือยังครับ”

“พี่พราวด์โทรมาบอกว่าจะไปค้างข้างนอกค่ะ บอกค้างบ้านเพื่อน วันนี้จะไม่กลับ”

ทิวากรสะอึก ใจหายไปกว่าครึ่ง “ตอนนี้คุณพราวด์ก็ยังไม่ถึงบ้านเหรอครับ คุณพราวด์มีเพื่อนอยู่ที่ไหนอีกหรือเปล่า” ถ้าเกิดพรนับพันหายตัวไป เขาจะโทษใครไม่ได้นอกจากตัวเอง

“มีค่ะ แต่พี่หนึ่งเพิ่งบินไปอังกฤษตอนสายๆ”

“คนอื่นล่ะครับ”

“สนิทขนาดไปขอนอนพักด้วยก็ไม่มีแล้วค่ะ พี่พราวด์เพื่อนน้อย ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ไม่ออกจากบ้านไปไหนหรอกค่ะ”

ความเป็นห่วงแล่นอยู่ในความนึกคิดของทิวากร ถ้าเป็นดังที่นับพันพรว่ามา คนสุดท้ายที่พบพรนับพันก็คือเขา “คุณพราวด์มาหาผมครับ”

“จริงเหรอคะ อย่างนี้ก็คงไม่ยอมกลับง่ายๆ” น้ำเสียงอย่างคนที่รู้จักกันดีบอกมา สุ้มเสียงเริ่มเป็นห่วง “พี่พราวด์น่าจะอยู่แถวนั้นแหละค่ะ ไม่ไปไหนไกลหรอก”

“ผมเพิ่งไล่เขาให้กลับบ้าน”

“พี่พราวด์ไม่กลับหรอกค่ะ” นับพันพรบอกมาอย่างมั่นใจ “คุณทิวจะทำยังไงคะ ถ้าพี่พราวด์จะดื้อจนกว่าจะพักที่ห้องคุณได้”

ทิวากรนึกทวนคำถาม ในใจเขารู้สึกเป็นห่วงมากกว่ามานึกถึงเหตุผลอื่นๆ ซึ่งไม่จำเป็นเลยในเวลานี้ “ผมก็คงต้องยอม”

“ขอโทษแทนพี่พราวด์ด้วยนะคะ เพราะสมุดเล่มนั้นแท้ๆ ถ้าคุณทิวเหนื่อย หรือทนพี่พราวด์ไม่ได้ ก็ยกสมุดให้พี่พราวด์ไปเถอะค่ะ ไว้แฟร์กับพี่หนึ่งค่อยนึกหามุกใหม่มาใช้กับพี่พราวด์”

“ผมรับปากว่าจะช่วยก็ต้องช่วยสิครับ จริงๆ พรุ่งนี้ก็ตั้งใจไปหาคุณพราวด์อยู่แล้ว ในเมื่อคุณพราวด์มาหาก่อน ผมจะได้ไม่ต้องไปหา” ทิวากรพยายามพูดให้อีกฝ่ายสบายใจ บางครั้งก็รู้สึกแปลกใจเหมือนกัน เพราะที่จริง ชีวิตของเขากับพรนับพันก็ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกันได้ จากที่เคยเจอกันครั้งหนึ่งที่ภูกระดึง เขาไม่เคยลืม แต่ก็ไม่คาดคิดว่าจะได้พบอีก มาตอนนี้จะถอยกลับไปสู่ช่วงเวลาที่ไม่รู้จักกันก็คงไม่ทัน

“แฟร์ฝากพี่พราวด์ด้วยนะคะ ถ้าพี่พราวด์ทำอะไรให้โกรธ อย่าถือโทษเลย แฟร์เองจะบังคับให้พี่พราวด์กลับก็ไม่ได้ ในชีวิตพี่พราวด์มีคนเดียวที่ยอมลงให้ก็คือตา พ่อ แม่เท่านั้นค่ะ แล้วก็หวังว่าพี่พราวด์จะยอมอ่อนลงให้คุณทิวเหมือนกันนะคะ”

“ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมรับปากอะไรไว้ก็จะทำให้ได้”

ทิวากรวางสายลงด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เขาไม่รู้ว่าจะเริ่มหาพรนับพันที่ไหน แต่เขาจะต้องหาเธอให้พบ แล้วจะไม่ปล่อยให้คลาดสายตาอีกเด็ดขาด

ใครจะคิดว่าพรนับพันจะดื้อขนาดนี้...


เสียงเคาะประตูไม้ซึ่งปิดขวางกั้นจากบริเวณภายนอกไม่ได้ทำให้พรนับพันสะเทือน หญิงสาวฉวยโอกาสตอนที่ลุงยามเดินตรวจตราคอนโดบุกเข้ามาในห้องเฝ้าตรงทางออก แล้วจัดการล็อกประตู ปิดเสีย ทำให้อีกฝ่ายเข้ามาไม่ได้ ส่วนตัวเธอก็หยิบหูฟังขึ้นมาสวมปิดการได้ยิน มือรัวคีย์บอร์ดบนคอมพกพา เริ่มงานของเธอโดยไม่สนว่าจะอยู่สถานที่ใด ยังไงเธอก็ไม่กลับ แต่ก็ไม่มีทางง้อเขาเด็ดขาด

ชายวัยกลางคนเดินเป็นยักษ์ติดจั่น อยากจะโทรไปหาให้ทิวากรลงมาลากตัวหญิงคนนี้ก็เกรงว่าจะรบกวน หรือเข้าทางของเจ้าหล่อน เรียกเท่าไหร่ก็ไม่สะเทือน ซ้ำยังเอางานมาทำไม่สนใครหน้าไหน

“พี่บุญสมครับ” บุญสมหันไปหาที่มาของเสียง สีหน้าโล่งอกมากกว่าอะไรทั้งนั้น คนที่เขาอยากให้มาลงมาแล้ว “เห็นผู้หญิงคนนั้นไหมครับ”

“อยู่นั่นไงครับ”

ทิวากรมองไฟสว่างโร่ในห้องสี่เหลี่ยมแคบที่มีที่นั่ง โต๊ะ และจอฉายภาพจากกล้องวงจรปิดอีกหลายเครื่อง ผู้หญิงคนหนึ่งนั่งหันหลังให้จอทีวีเล็กเหล่านั้น ตั้งคอมพิวเตอร์บนโต๊ะ นั่งก้มหน้า

“พี่บุญสมลำบากแย่เลยนะครับ”

“คุณทิวลำบากกว่าผมครับ” บุญสมหัวเราะจืดชืด “เดี๋ยวผมไปเดินตรวจที่อื่นสักห้านาทีนะครับ” พูดจบจึงเดินเลี่ยงไป เปิดโอกาสให้ทิวากรได้จัดการกับคนเจ้าปัญหา

ทิวากรนึกทึ่งกับน้องสาวของพรนับพันที่รู้ใจพี่สาวอย่างมาก รู้กระทั่งว่าพี่ตัวเองจะไม่ไปที่ไหนไกล และในที่สุดเขาเองจะเป็นฝ่ายเดินกลับมาหา ไม่ว่าเจ้าหล่อนจะตั้งใจให้มันเกิดขึ้นแบบนี้หรือไม่ แต่เขา ก็หยุดยืนจ้องหน้าที่ก้มลงหน้าคอมพิวเตอร์ หลับตาพริ้ม มือหยุดพิมพ์ และหูสองข้างยังคงถูกปิดไว้ด้วยหูฟังสีดำ

กระจกบานเกล็ดที่ไขปิดไม่สนิท กั้นคนในห้องไว้นั้น ไม่เป็นอุปสรรคสำหรับทิวากร ชายหนุ่มไปหยุดอยู่เบื้องหน้า ก้มตัวลงมาเพื่อให้ใบหน้าอยู่ระดับเดียวกับคนที่นั่ง สายตาสังเกตท่าทางการหลับพริ้มหน้าคอมพิวเตอร์ มือนิ่งไม่ขยับ

“คุณพราวด์ครับ”

ใบหน้าง่วงเงยขึ้นตาปรือ ยกมือขึ้นใช้หลังมือขยี้หนังตา ปากบิดเบี้ยวเพียงแค่พบต้นเสียงว่าเป็นบุคคลที่เธอกำลังนึกถึงให้หงุดหงิด หูฟังที่ไม่ได้เปิดเพลงแล้วเงียบสนิท ทำให้เธอได้ยินคำพูดของทิวากรทุกคำ

“ไม่ต้องมาไล่ซ้ำ”

“แล้วไม่อยากให้ไล่ทำไมยังไม่กลับล่ะครับ” การสนทนาผ่านซี่บานเกล็ดไม่เป็นอุปสรรคใดๆ “เปิดประตู แล้วมาคุยกันดีๆ เถอะนะ”

“ไม่ต้องยุ่งหรอก ฉันอยู่ของฉันแบบนี้ได้”

พรนับพันปิดคอมพิวเตอร์ เก็บหูฟังเขากระเป๋า รูดซิปปิดเรียบร้อย ไม่รอให้เกิดการสนทนาใดๆ ด้วยการเปิดประตูห้องพักเล็กของพักงานรักษาความปลอดภัย

“คุณจะไปไหนคุณพราวด์”

“กลับบ้านไง” พรนับพันตอบด้วยท่าทีเฉยชา ไม่หยุดเดินเพื่อมุ่งไปทางออก

“แปลว่าคุณทำเพื่อเรียกร้องความสนใจงั้นสิครับ” ทิวากรไม่ลดละเพื่อจะเดินตาม “ไม่อย่างนั้นคุณไม่รอจนกระทั่งผมลงมาตาม แล้วถึงจะเพิ่งกลับ”

พรนับพันทำหูทวนลม เธอไม่เรียกรถแท็กซี่ ไม่พึ่งบริการสาธารณะ แต่มุ่งหน้าเดินไปตามฟุตบาท และไม่สนว่าจะมีใครตามติดเธอยิ่งกว่าเงา

“คุณพราวด์เลิกดื้อ เลิกเอาแต่ใจได้แล้ว ถ้าอยากกลับจริงผมจะไปส่ง อย่ามาเดินมืดๆ แบบนี้ ถึงคุณจะหน้าตาไม่ได้สวยอะไรมากมาย แต่คุณก็เป็นผู้หญิง เคยคิดบ้างไหมถ้าคนมันหน้ามืด ให้ขี้เหร่ยังไงก็ไม่สน” ทิวากรออกปากวิจารณ์ด้วยถ้อยคำรุนแรง คิดจะได้เห็นปฏิกิริยารุนแรงของพรนับพันตอบโต้ บางทีเธออาจโกรธ และปล่อยหมัดสวนมา หรือคิดหาทางทำให้เขาเจ็บปวด ซึ่งไม่ใช่การมองกลับมาด้วยแววตาว่างเปล่า สะบัดหน้า และกลับหลังหันเดินไปทิศทางตรงกันข้าม

ไม่ตอบโต้ ไม่สวนกลับ มีแต่ความเงียบ ทิวากรถอนหายใจยอมแพ้ “ผมให้คุณกลับเองไม่ได้หรอกครับ ผมว่าคุณคงกลับไม่ถึงบ้าน แล้วถ้าไม่อยากให้ผมส่ง ก็อยู่มันซะที่นี่ จะอยู่ไปถึงเมื่อไหร่ ผมตามใจคุณ”

พรนับพันหันกลับมา รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ประดับมุมปาก “ฉันไม่ได้ง้อ ไม่ได้เรียกร้องความสนใจ คุณเสนอมาให้เองนะ” ถอดกระเป๋าสะพายออกจากหลัง ส่งให้อย่างเต็มใจ “อีกอย่างคนอย่างฉัน ไม่เคยให้ใครมาจำกัดความหน้าฉันแค่คำว่าสวย หรือไม่สวย ของภายนอกพรรค์นั้นมันก็แค่คำไร้สาระ”

“แน่ใจนะครับว่าไม่ได้โกรธ” ทิวากรเอ่ยถามยิ้มๆ เพราะคนไม่สนว่าตัวเองจะสวยหรือไม่นั้นแก้ตัวเสียเหนื่อย

“นำไปสักที” ดวงตาขุ่นขวาง มองฟาดฟันตอบกลับมายิ่งกว่าตอกย้ำว่าอารมณ์นั้นไม่คงที่แค่ไหน

ทิวากรเผยรอยยิ้มกว้าง สอดแขนข้างเดียวสะพายเป้น้ำหนักไม่มากนัก นึกติดใจว่าคงบรรจุเสื้อผ้าเป็นหลัก เขาคิดถึงบรรยากาศธรรมชาติ ป่าเขา ในวันที่เขาไม่คาดหวังจะพบเจอใคร อยากจะไปเพียงคนเดียว ใครคนหนึ่งที่เขายื่นมือเข้าช่วย ก็ทำช่วงเวลาสั้นๆ ที่เขาวางแผนไว้ไม่กี่วันเปลี่ยนแปลง

“คุณเคยให้ใครถือกระเป๋าแบบนี้ไหม มีผู้ชายโชคร้ายสักคนแบบผมหรือเปล่า”

พรนับพันทำหน้าตาเบื่อหน่าย ไม่เสียเวลาคิดสักเสี้ยววินาที “ต่อให้มี ฉันก็ไม่เคยจำ สิ่งที่ฉันจะจำในโลกนี้ มีแค่เรื่องของฉัน ฉัน และฉัน”

“ดูคนเป็นคนชอบคิดถึงคนอื่นดีนะครับ”

“คุณเองก็ไม่ใช่คนช่างประชดประชันเหมือนกัน” หญิงสาวแขวะกลับไป ยิ้มมุมปากใส่บุญสมขณะเดินผ่าน เธอคิดมาดีแล้วว่าการอยู่นิ่งๆ และรอเวลามันต้องได้ผลกับผู้ชายอย่างทิวากร หากว่าเขาเป็นสุภาพบุรุษ หรือผู้ชายที่ไม่ใจร้าย

“ถ้าเกิดว่าผมไม่ตามหาคุณ คุณจะทำยังไง”

ร่างสมส่วนใช้นิ้วชี้แตะปลายคาง ทำเสียงยาวอืมในลำคอ ยิ้มสาแก่ใจ “ฉันไม่ทันคิด เพราะที่ฉันคิด คือรู้ว่าคุณจะมา”

เสียงหัวเราะห้าวดังขึ้น ทิวากรก้มหน้ามองผู้หญิงที่เขาเผลอตัวมาช่วยด้วยสีหน้าสดใส “ผมว่าคุณรู้จักผมดีจังเลยนะครับ รู้สึกดีจริงๆ” บอกความรู้สึกจริงๆ ออกไป

พรนับพันส่งเสียงหึ ไม่ยอมสบตาคู่สนทนา หน้าร้อนวูบ บ่นเสียงเบาขณะที่สัญญาณลิฟต์ดังขึ้นพอดี ทิวากรจึงไม่ทันได้ยิน

“ฉันไม่เคยทำให้ใครรู้สึกดีมาก่อน”

ทางเดินโล่งเมื่อลิฟต์เปิดออก บริเวณชั้นนี้มีห้องพักอยู่เพียงไม่กี่ห้อง ห้องด้านในสุดคือห้องของทิวากร บนพื้นปูลาดด้วยพรมแดง ลายปักสีทองเป็นรูปพระอาทิตย์ ซึ่งพรนับพันมองเสี้ยวแฉกของพระอาทิตย์อย่างถูกใจ ผนังทางเดินเป็นสีขาวสะอาดสะอ้าน ประตูไม้หมายเลขชั้น และลำดับเลขห้องที่สามเป็นห้องที่ทิวากรอยู่ การ์ดถูกเสียบ สัญญาณประตูดังติ๊ดทีหนึ่งจึงเปิดออก

ทิวากรเดินเข้าไป นอกจากไฟตรงหน้าประตูที่สว่างอัตโนมัติ ในครึ่งนาทีต่อมา ภาพที่พรนับพันเห็นหลังจากเจ้าของห้องกดสวิตซ์ไฟก็คือห้องเพดานกว้างขนาดใหญ่ ห้องโทนสีขาวสะอาด ตัดกันด้วยของสีสันสด ไม่ว่าจะพรมตรงพื้นเป็นวงกลมสีสวย เก้าอี้สีส้ม และสีเขียวทรงสูง หน้าบาร์ขนาดย่อมมุมหนึ่ง มุมใหญ่ด้านล่างเป็นห้องนั่งเล่นขนาดกว้าง โซฟาบุผ้านุ่มสีเหลืองเข้ม จอทีวีขนาดสี่สิบสองนิ้วตั้งตระหง่าน ด้านขวามือเป็นห้องน้ำ และช่องขนาดสองคูณสามเมตรมีเคาว์เตอร์วางเครื่องครัวอยู่หลายชนิด ด้านซ้ายของคอนโดทำเป็นสองชั้น โดยตรงชั้นบันไดขึ้นทำเป็นชั้นหนังสือ บรรจุเต็มแน่น

“คุณนอนบนห้องข้างบนเลยนะครับ”

“ฉันนอนข้างล่างได้ ฉันรู้ว่าตัวเองเป็นคนมารบกวน” พรนับพันเดินมานั่งยังโซฟาตัวใหญ่ปรับนอนได้ หยิบหมอนอิงใบโตกอดแนบอก “วางกระเป๋าฉันได้เลยนะ”

“คุณไม่รู้สึกอะไรบ้างเหรอครับที่มานอนบ้านคนอื่น กลัว นอนไม่หลับ”

พรนับพันฟังคำของเจ้าของห้องหน้าตาสดใส หญิงสาวส่ายศีรษะจนผมหางม้าสะบัดไปมา “ไม่เลย ฉันชอบห้องนี้ อยู่ได้สบายมาก”

ดาราหนุ่มยิ้มเอ็นดู มุมเอาแต่ใจถูกแทนที่ด้วยความตื่นเต้น ถูกใจ คล้ายกับเด็ก ประกายตาสดใสจดจ้องยังกรอบรูปวิวธรรมชาติกรอบทองขนาดใหญ่หลายกรอบข้างฝาหนัง

“ที่นี่ดูมีชีวิตชีวา ไม่เหมือนที่อื่น”

“มีคนช่วยผมแต่งที่นี่” ทิวากรวางกระเป๋าบนพื้นข้างโซฟา นึกถึงความทรงจำเก่าๆ ที่ดี รอยยิ้มก็ออกมาเอง

“ท่าทางจะเป็นคนสำคัญของคุณ เขาอยู่ที่ไหนล่ะ แนะนำให้ฉันรู้จักสิ” พรนับพันชะเง้อคอยาวมองหาใครสักคนที่น่าจะมี

“ผมยกห้องน้ำข้างล่างนี่ให้คุณ มีห้องเสื้อผ้าเล็กๆ อีกห้อง คุณก็ใช้ไว้เก็บเสื้อผ้าละกัน” ทิวากรเปลี่ยนเรื่อง ในขณะที่พรนับพันก็ไม่ได้ใส่ใจกับคำตอบจึงเพียงไหวไหล่ บู้ปาก

“จนกว่าคุณจะบอกว่าฉันเปลี่ยนแปลงจากเดิม แล้วคืนสมุดให้ฉัน ฉันถึงจะยอมไป”

ทิวากรถอนหายใจเฮือกโต ผู้หญิงตรงหน้าไม่ใช่แค่เจ้าอารมณ์ ร้ายกาจ แต่ยังฉลาดเหลือล้น บีบให้คนอย่างเขาหมดทางเลือกได้

“ถึงวันนั้นผมจะบอกคุณ แต่คุณไม่กลัวว่าคนอื่นจะมองคุณไม่ดีเหรอครับ”

พรนับพันเอนตัวลงกับโซฟา ยืดกายเหยียดยาว หลับตาพริ้มขณะตอบ “ต่อให้พ่อแม่ฉันรู้ แล้วบังคับให้คุณรับผิดชอบฉัน คุณอย่ากังวลเลย เพราะฉันก็ไม่ยอมให้ใครรับผิดชอบชีวิตฉันเหมือนกัน ใครจะมองยังไงฉันไม่สนใจ ความจริงเป็นยังไงมีแค่ฉัน แค่คุณที่รู้ดี มีอะไรที่ต้องกลัวอีก หรือคุณกลัว”

“ถึงผมเป็นดารา ผมก็คงไม่กลัวแล้วล่ะครับ” ทิวากรพูดกลั้วหัวเราะ “คุณเองยังยอมเอาชีวิตมาแลกเพื่อสมุดบันทึกเล่มเดียวเลย”

จะไม่แปลกเลยถ้าคำพูดนั้นจะได้รับค้อนวงโตจากพรนับพันเป็นของกำนัลส่งท้ายยามดึก พานให้ทิวากรเกิดความรู้สึกประหลาดในใจ จากนี้ชีวิตเรียบง่ายของเขา คงหมด และไม่มีวันเหมือนเดิม อย่างน้อยก็ดำเนินไปช่วงเวลาหนึ่ง


เสียงโทรศัพท์ดังไม่หยุดตั้งแต่สิบนาทีก่อน กระทั่งตอนนี้ คนที่โทรเข้ามาก็ยังเพียรโทรมาเช่นเดิม หญิงสาวคลำมือป่ายไล่ไปบนโซฟา เลื่อนมือออกไป แตะบนโต๊ะทรงกลม ฐานสูง จับกระบอกโทรศัพท์ได้ก็ยกหูแนบ ทั้งที่ยังนอนคว่ำหลับตา คางวางเกยกับหมอนอิง

“พี่ทิวคะ”

หัวคิ้วบางแทบจะชนกัน ตาปรือขึ้น อาการง่วงงุนยังไม่หาย “ไม่อยู่” น้ำเสียงกระด้างแข็งตอกกลับไป

“คุณเป็นใคร” น้ำเสียงหวานจ๋อยจากปลายเสียงแข็งขึ้น

“ไม่บอกหรอก ปล่อยให้งง” ว่าเสร็จก็จงใจหาวเสียงดังใส่กระบอกโทรศัพท์ เหลือบมองนาฬิกาหน้าปัดสีรุ้ง “เพิ่งแปดโมงเช้า ฉันยังนอนไม่พอเลย”

“พี่ทิวอยู่ไหน”

“ไม่รู้ไม่ชี้ แล้วก็เลิกโทรกวนได้แล้ว จะนอน” พรนับพันหัวเราะยั่ว กวนประสาทส่งท้าย กระแทกโทรศัพท์ลงแป้นเสียงดัง หลับตาพริ้มไปได้ไม่ถึงนาทีเสียงโทรศัพท์ในห้องก็ดังอีกครั้ง หญิงสาวส่งเสียงครางขัดใจ เอื้อมโทรศัพท์คว้ามากรอกเสียงตะคอกลงไป

“หยุดก่อกวนสักที!”

“คุณเป็นใคร” คำถามเดิม แต่คราวนี้เปลี่ยนเส้นเสียง จากผู้หญิงเป็นผู้ชาย

พรนับพันเกิดอาการขี้เกียจเจรจา ตะโกนออกมาเสียงดังกว่าเดิม ทั้งที่ก้มหน้า “คนที่อยู่ในห้องนี้ ไม่ต้องโทรมาแล้วนะ จะนอน”

กริ๊ก...วางสายเสร็จ พรนับพันทำเสียงงึมงำ อารมณ์หมั่นไส้ “ป็อบปูลาร์เหลือเกิน หญิงคนชายคน เหอะ แล้วหายไปไหนเนี่ย”

“เสียมารยาทแล้วยังบ่นเจ้าของห้องปาวๆ อีกเหรอครับ”

“เฮ่ย!” พรนับพันพลิกกายจากท่านอนคว่ำเป็นหงาย ผมยาวสยายไม่ได้รวบเป็นหางม้าล้อมกรอบหน้า สายตาปะทะกับแววตาคมดุที่ก้มมองมาระยะห่างไม่ถึงหนึ่งฟุตของทิวากร

............................................................
คุณ OhLaLa งานนี้ต้องติดตามค่ะ ว่าทิวไปภูกระดึงทำไม

คุณ yimyum พราวด์จอมเหวี่ยงค่ะ พาคนอื่นฮา ไปเรื่อยๆ พราวด์จะค่อยๆ น่ารักขึ้น

คุณ konhin ปีนคอนโดคงไม่ไหวค่ะ แต่ไปอาละวาดกับพี่ยามแกได้

คุณ Sukhumvit66 ทำไมมองพราวด์เป็นคนแบบนั้นคะ ฮา นนางทำให้คิดได้แบบนั้นจริงๆ

คุณ นักอ่านเหนียวหนึบ เดาไปถูกไหมเอ่ย อิอิ ตอนนี้ให้อยู่กันสองคนไป ตอนหน้าค่อยว่ากันใหม่ ลองเดากันต่อไปค่า

ขอบคุณทุกคอมเมนท์ ทุกไลค์ และนักอ่านเงาทุกท่านค่า เรื่องนี้จะไปเรื่อยๆ อาจมาแบบวันเว้นวัน หรือทุกวันนะคะ ตามอารมณ์จริงๆ พบกันตอนหน้าค่า



ปวรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 มี.ค. 2557, 11:21:50 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 มี.ค. 2557, 11:21:50 น.

จำนวนการเข้าชม : 1820





<< บทที่ 2 : ไม่ใช่คนตลก   บทที่ 4 : จักรยาน >>
OhLaLa 4 มี.ค. 2557, 13:26:43 น.
แหม่ๆ พราวน์ปากบอกไม่สนใจ แต่ทำไมรู้ใจทิวจัง เอาล่ะสิ ตอนนี้ได้อยู่ห้องเดียวกันไม่รู้ใครจะป่วนใคร


Sukhumvit66 4 มี.ค. 2557, 18:26:46 น.
เฮอ ๆ งานเข้าแล้วคุณทิว


yimyum 4 มี.ค. 2557, 19:03:31 น.
เอิ่ม...พราวด์จะรอดไหมน้า...


konhin 5 มี.ค. 2557, 02:56:06 น.
นางเจ๋งจริงๆ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account