ในเงาฝันปลายตะวัน
พรนับพัน ชีวิตของเธอจะมีตาอยู่ในทุกๆ ที่ แม้กระทั่งวันที่ตาจากไป หลายๆ สิ่งที่เธอทำก็ยังอยู่ในเงาของ 'ตะวัน' ผู้เป็นตาไม่เคยเปลี่ยน

และเพราะนิสัยที่เอาแต่ใจ โมโหร้าย ไม่สนใครหน้าไหนของพรนับพัน ชีวิตวันๆ หนึ่งเดินออกไปไหนไม่ได้ไกล หากมีเรื่องเข้ามาหาเจ้าหล่อนพร้อมพุ่งชน และนั่นเองทำให้รอบข้างกังวลและอยากจับเธอเปลี่ยนแปลง

ทิวากร ไม่รู้ว่าเขาโชคดี หรือโชคร้ายที่ได้รับหน้าที่จัดการเปลี่ยนมนุษย์ถ้ำ ให้ออกสู่สังคมได้อย่างปกติ แต่ดูเหมือนว่าคนที่ใครมองว่าโชคร้าย กลับเต็มใจรับสภาพ อ้าแขนรับมนุษย์ถ้ำคนนี้ซะด้วย
Tags: มนุษย์ถ้ำ โรแมนติก อมยิ้ม

ตอน: บทที่ 4 : จักรยาน

พรนับพันทำหน้าง้ำ ดันตัวลุกขึ้นนั่งโดยเลี่ยงศีรษะที่ก้มต่ำออกมาจนเผลอตกจากเก้าอี้ หน้าทิ่มพื้น หญิงสาวเม้มปากแน่นทั้งที่เพิ่งคว่ำหน้าจูบพื้นได้ด้วยท่าทางพิกล และน่าอายขนาดอยากจะเอาหน้าจมพื้นพรมหายไปให้รู้แล้วรู้รอด ไม่ต้องเงยหน้า เปิดหูรับฟังเสียงหัวเราะเหนือหู

“จะให้ผมช่วยไหม”

“หันหลังไปก่อนได้ไหม ก่อนที่ฉันจะโกรธ” พรนับพันกัดฟันพูด ในช่วงที่เธอตัดสินใจผงกศีรษะขึ้นแล้วพบว่าเขาหันหลังไปตามที่เธอขอ หญิงสาวรู้สึกว่าปากทำการยิ้มออกมาได้เอง “หันกลับมาได้แล้ว” ปัดเนื้อตัวที่มีเศษพรมติดตามผิวออก นั่งหลังพิงกับโซฟา เหยียดขายาว

“ผมคุณ” ทิวากรชี้นิ้วไปยังผมของตัวเองบอกถึงสิ่งที่เห็นบนศีรษะพรนับพัน

หญิงสาวคลำศีรษะตาม พบเศษพรมติดตามผมอีกนิดหน่อย ตีหน้ามุ่ย “พรมราคาถูกหรือไง”

“นั่นน่ะสิ”

ทิวากรรับคำ ห่อนยอบตัวลงนั่งยองเสมอใบหน้ากับพรนับพัน กล่าวขอโทษเบาๆ ขณะเอื้อมมือไปหยิบเศษพรมออกจากหัวคิ้ว ข้างแก้ม ดวงตาเป็นประกายขำกับอาการนั่งอึ้ง ตาค้างของอีกฝ่าย หรือเขาจะทำให้ไก่ตื่น ทิวากรหดมือกลับ ใช้สายตาสำรวจใบหน้าผิวเนียนใสเหมือนเด็ก แก้มขาวขึ้นสีชมพูจางๆ ริมฝีปากสีเชอร์รี่เม้มแน่น

“ทีนี้สารภาพได้หรือยังครับว่าใครโทรมา” ทิวากรปลุกด้วยความจริงที่พรนับพันยังมีติดตัว

หญิงสาวถูกดึงสู่ความผิด ดวงตาค้างโต กลายเป็นฉายอาการไม่พอใจ “ลืมถาม เลยไม่รู้ แฟนคุณมั้ง”

“ผมไม่มีแฟน”

“ใครอยากรู้ล่ะ” พรนับพันลอยหน้าลอยตาถามยียวน

“วันหลังจะรับโทรศัพท์ก็อย่าตะคอกใส่ปลายสายอีกนะครับ มันไม่ดี คุณเองก็จะกลายเป็นคนไม่มีมารยาท”

“ตบหน้ายังไม่เจ็บเท่านี้เลย” พรนับพันส่งเสียงหึ หน้ายับยู่ “วันหลังก็ช่วยรับๆ ไปสักที ปล่อยให้ปลุกคนหลับได้ยังไง”

“ผมไปซื้อของสดมาเข้าตู้ ไม่ทันเอาโทรศัพท์มือถือติดตัวไป”

“แก้ตัว” พรนับพันดันร่างขึ้นนั่งบนโซฟา สอดตัวไปใต้ผ้าห่มผืนนุ่ม เหยียดกายเตรียมปิดตานอนให้สบายอีกสักรอบ

“สายแล้วคุณควรจะตื่นนะ”

“ยุ่งจริง” ร่างระหงหันหนี เปลี่ยนเป็นท่านอนตะแคงไปยังทิศที่ไม่มีทิวากร ดึงผ้าปิดหน้า จมศีรษะไปบนหมอนนุ่มหลับตาพริ้ม “จะนอน”

“ตามใจ วันนี้ผมอุตส่าห์จะพาคุณไปทำความฝันของตาคุณ” ทิวากรยิ้มกริ่ม ยืนตรงเตรียมหันไปยังทิศทางของห้องครัว มือนุ่มขาวเนื้อรีบโผล่มาจากผ้าห่มจับข้อมือเขาไว้แน่น หน้าตาของพรนับพันสว่างไสว ตื่นเต็มตา เขย่าแขนเขาด้วยอาการลิงโลด

“ไม่โกหกฉันนะ จริงๆ นะ”

“ถ้าคุณจะไม่นอนต่อ”

พรนับพันรีบลุกขึ้นยืน จัดทรงผมยุ่งเหยิงให้เข้าที่ ใช้หลังมือปาดคราบน้ำลายขาวออก หัวเราะแหะ “จะอาบน้ำ แต่งตัวให้พร้อมเลย”

“เก็บที่นอนของคุณให้เรียบร้อยด้วยนะครับ”

หญิงสาวเดินไปไม่กี่ก้าวเบรกเอี๊ยด วิ่งกลับมาพับผ้าห่มทบหลายครั้งจนเหลือขนาดพอดีวางไปบนทิศที่ปลายเท้าหันออก ตีมือสองสามครั้ง

“เรียบร้อยดีใช่ไหม”

ทิวากรอมยิ้ม พยักหน้าแทนการตอบปากเปล่า ร่างกลมกลึงก็กระโดดโผกอดเขาอย่างลืมตัว เส้นผมยาวละเอียดสัมผัสข้างแก้ม กลิ่นแชมพูหอมติดจมูก เสียงหวานกล่าวตื่นเต้นข้างหูเขาซ้ำไปมา

“ขอบคุณมากเลยนะ ขอบคุณ” กระโดดบนปลายเท้าไปสักพักก็รีบผละออกไปจัดการทำธุระส่วนตัว อารมณ์ดีจัดขนาดฮัมเพลงธรณีกรรแสงทำนองเร็ว ปล่อยให้คนถูกกอดยืนอึ้ง มองพายุลูกย่อมแปรสภาพเป็นสายลมอุ่นยามเช้า สดใส และ น่ารัก... รอยยิ้มบนหน้าเขาก็ยิ่งเบิกบาน

เวลาพรนับพันแสดงความดีใจแบบนี้ เขาเองรู้สึกว่าหากเป็นแบบนี้ทุกครั้ง หัวใจเขาจะพานกระดอนออกมานอกอกให้เจ้าหล่อนได้ยินในสักวัน ถ้าเขายังควบคุมหัวใจได้ไม่ดี

เขาแพ้ความสดใสซึ่งหลบซ่อนอยู่ในตัวพรนับพัน และยิ่งรู้สึกอยากเป็นสายลม หรือแสงอาทิตย์สว่างๆ คอยขับไล่เมฆหมอกออกไปจากจิตใจของผู้หญิงปิดตายคนนี้

เท่าที่คนอย่างเขาจะทำได้


หลังทานอาหารเช้าอย่างข้าวต้มทรงเครื่องฝีมือของทิวากรไปถึงสองชาม พรนับพันถึงกับบ่นอุบว่าสิ่งเดียวที่ข้าวต้มในชามนี้ขาดคือเครื่องใน พานให้คนทำหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง

“คุณเป็นพวกผีกระสือเหรอ ชอบกินไส้ เครื่องในเป็นอาจิณ” คนจูงจักรยานเข้าไปในลิฟต์กล่าวติดตลก ปล่อยให้คนที่เดินตามต้อยๆ ในเสื้อยืดสีขาว กางเกงขาสั้นอวดเรียวขาผ้ายีนส์สีเดียวกับเสื้อนั้นเดินตามหน้างอ

“คุณบอกได้หรือยังว่าจะไปไหน” พรนับพันถามอย่างสนใจ มองชั้นที่ทิวากรกดคือชั้นที่เหนือขึ้นไปอีกห้าชั้น ภายในลิฟต์ว่างเปล่า เพราะเป็นเวลาสายและยังเป็นต้นสัปดาห์ ใครๆ ก็ออกไปทำงานกันทั้งนั้น

“ไปทำตามความฝันแรกของตาคุณไง” จักรยานสีน้ำเงินราคาไม่ถึงหมื่น ซึ่งทิวากรซื้อไว้ขี่เล่นแก้เบื่อ ออกกำลังกาย หรืออกไปไหนมาไหนใกล้ๆ ละแวกนี้ ไม่ได้มีที่นั่งข้างหลัง แต่มีที่ไว้สำหรับยืน

“มันคืออะไร”

“ผมอยากจะตั้งกฎก่อนที่จะเริ่มทำความฝันของตาคุณ” ทิวากรจูงจักรยานออกมาจากลิฟต์ เดินออกมายังนอกประตูกระจก สวนร่มรื่นซึ่งกินพื้นที่ขนาดหนึ่งงาน ต้นไม้เขียวชอุ่มยืนต้นออกดอกสีเหลือง มีสระน้ำเล็กๆ และม้านั่งยาว ทำทางเดินไว้สำหรับวิ่ง ในบริเวณสวนหย่อมบนตึกสูงนี้มีเพียงเธอและเขาเท่านั้น

ทิวากรตั้งขาตั้งจักรยาน ก่อนหันมาพลางกอดอก สบดวงตากลมโตแฝงความออยากรู้ด้วยรอยยิ้ม “มองผมเป็นตาของคุณ ใช้ความรู้สึกของคุณ สิ่งที่คุณอยากทำกับตากับผมแทน”

“ให้คุณเป็นตา” พรนับพันทวนคำเสียงสูง และส่ายหน้าปฏิเสธคราเดียวกัน “คุณหล่อไม่ได้ครึ่งของตาฉันเลย”

“ถ้าคุณทำไม่ได้ คุณจะเปิดใจให้ผมไม่ได้”

พรนับพันเอียงคอ หัวคิ้วชนกัน ท่าทางเต็มไปด้วยความสงสัย พินิจเขาอย่างถี่ถ้วน ก็พบเพียงแววตาจริงใจ ไม่ใช่คำโป้ปด “แน่ใจเหรอว่าฉันจะมองคุณให้เหมือนกับตาฉันได้”

“มันอยู่ที่ตัวคุณ”

“ต้องตลอดไปไหม” ยังคงมีคำถามไม่จางหายไปจากใบหน้า

“นั่นก็ขึ้นอยู่กับหัวใจของคุณ คุณจะทำได้หรือเปล่า”

จบคำพูดของทิวากร เป็นครั้งแรกที่อีกฝ่ายแสดงออกแทบจะทันที พรนับพันพุ่งเข้ามากอดเขาไว้แน่น หลับตาพริ้มซึมซับไออุ่นจากเขา ชายหนุ่มได้สติก็พอนึกรู้ ว่ายามนี้พรนับพันได้เริ่มทำในสิ่งที่เขาร้องขอ มือที่เคยอยู่ข้างลำตัวจึงยกขึ้นลูบศีรษะ

“ฉันคิดถึงตา”

“ผมรู้” ทิวากรดันร่างนุ่ม หน้าหมองออก มือจับต้นแขนทั้งสองข้างไว้มั่น “แต่ผมว่าสิงที่ตาคุณอยากเห็น คือการที่คุณมีชีวิตที่ดีนะครับ”

“ฉันจะทำให้คุณเห็น”

ชายหนุ่มยิ่งรู้สึกพึงพอใจ ในคราแรกนั้นเขาคิดเสมอว่าพรนับพันเป็นผู้หญิงดื้อ ยึดมั่นในความคิดของตนเอง แต่เพียงแค่มีคำว่าตา มีของสำคัญที่เธอต้องการอยู่ในมือเขา พรนับพันก็ยอมลงให้ และเริ่มที่จะเปลี่ยนแปลง

“ผมเชื่อคุณ เอาล่ะ ทีนี้เรามาทำความฝันแรกของตาคุณดีกว่า” ทิวากรวกกลับมาเรื่องเดิม จับแฮนด์จักรยาน เอาขาตั้งขึ้น ก่อนจะส่งให้พรนับพัน

“ฉันเหรอ”

“คุณต้องขี่ ผมจะซ้อน”

“ฉันไม่ได้ขี่จักรยานมาหลายปีแล้ว” พรนับพันทำหน้าสยดสยอง “คุณนั่นแหละขี่ ขี่ให้ดู ตาฉันเคยทำ”

“คุณเคยขี่เป็น ก็เหมือนกบที่จำศีลในถ้ำ พอตื่นมาก็ยังกระโดดได้ไงครับ”

“ไม่เหมือน ฉันขี่คนเดียวก็ยากแล้ว ให้คุณซ้อนอีกได้ล้มหน้าคว่ำแน่”

พรนับพันต้องยอมจับแฮนด์จักรยานทั้งที่ไม่เต็มใจเมื่อทิวากรปล่อย และถอยไปยืน มือล้วงกระเป๋าห่างออกไปอีกสามก้าว

“ถ้าฉันล้มคุณต้องห้ามหัวเราะ” พรนับพันขู่ฟ่อ

“ผมจะให้คุณปั่นไปคนเดียวก่อน” ทิวากรบอก

หญิงสาวลังเล ไม่มั่นใจเมื่อขึ้นมานั่งบนอานสูง ขนาดแค่ลองทรงตัวทั้งที่ขายังยืนบนพื้น เธอยังสัมผัสได้ถึงความไม่มั่นคง “คุณคอยพยุงอยู่ข้างหลังได้ไหม”

ทิวากรอมยิ้ม เดินมาประจำตำแหน่งด้านหลัง จับกาบหลังของจักรยานไว้มั่น สายตาจ้องตรงไปยังแผ่นหลังของพรนับพันที่ตรงสง่า

“เริ่มล่ะนะ” สิ้นคำของชายหนุ่ม จักรยานที่เจ้าตัวเอนเอียงในตอนแรกก็พุ่งทะยานไปตามทางอย่างมั่นคง ดังที่ชายหนุ่มว่าไว้

กบ ที่จำศีล เมื่อถึงคราวกระโดดออกจากถ้ำ ทำไมจะทำไม่ได้

ทิวากรวิ่งตามอยู่รอบหนึ่งก่อนจะปล่อยมือ แรกๆ เขายังคอยตอบคำถาม และปลอบคนที่ลืมการขี่จักรยานไม่ให้ตื่นกลัว แต่พอพ้นไปหนึ่งรอบ พรนับพันก็ทะยานออกไปได้ด้วยตัวเอง โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งเขาอีก

พรนับพันปั่นไปจนกระทั่งวนกลับมาอีกหนึ่งรอบ ผู้ชายที่เธอคิดว่าจับอยู่ยืนยิ้มภูมิใจอยู่ด้านข้างในขณะที่จิตใจคนที่ปั่นรู้สึกลิงโลดในอก ภาพในอดีตตอนเธอเป็นเด็กหวนกลับมา เธอเกือบจะลืมไปแล้วว่าขี่จักรยานเป็นตอนไหน เพราะจักรยานเป็นยานพาหนะเพียงสิ่งเดียวที่ตาอนุญาตให้คนอย่างเธอขี่ได้

‘เราน่ะใจร้อน อารมณ์เสียง่าย อย่าไปขับรถขับราเลยนะ ขี่จักรยานแถวบ้านก็พอ ตากลัวเราไปขับรถชนชาวบ้านเขา’

หญิงสาวหัวเราะอย่างเบิกบาน หลับตาพริ้ม เหมือนว่าเธอกลับไปเป็นเด็กตัวน้อย คอยสั่งการ สายลมอุ่นๆ ผ่านผิวไป สองขายังคงปั่น แม้กระทั่งเสียงเข้มห้วนของบางคนที่ตะโกนคอแทบแตกเธอก็ยังไม่ได้ยิน มารู้สึกตัวตื่นจากฝันอีกที อาการลอยคว้างกลางอาการหลังกระแทกบางสิ่งดังกึก และความเย็นซ่ากระทบผิวจนชุ่มฉ่ำ พรนับพันจึงยืนขึ้นพลางกะพริบตาปริบๆ งงงวย

สบสายตากับทิวากรซึ่งยื่นมือมาจากขอบบ่อบัว ดวงตาเต็มไปด้วยความเป็นห่วง พรนับพันก้าวเดินไปข้างหน้าอีกก้าวก็ทรุดฮวบลงไปนั่งแปะในบ่อบัวอีกครั้ง รู้สึกมีสิ่งมีชีวิตแหวกว่ายผ่านตัวของเธอ

“คุณพราวด์”

“เจ็บเข่า” ทำหน้ามุ่ย ใช้มือยันพื้นสระขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล ก่อนจะมีมือของทิวากรยื่นมาจับพยุงตรงข้อพับแขน

“ทำไมหลับตาปั่นแบบนั้น รู้ไหมว่าถ้าไม่ใช่สระ คุณอาจตกตึกไปแล้วก็ได้” ทิวากรส่ายศีรษะ น้ำเสียงดุ เข้มงวด “ผมไม่คิดว่าใครจะหลับขณะปั่นจักรยานได้”

“ไม่ต้องมายุ่ง” คนที่ไม่ชอบให้ใครมาดุสะบัดแขนออกอย่างแรง เข่าที่เจ็บจากการกระแทกพื้นจึงเซและเตรียมหงายไปนอนในสระบัวอีกครั้ง แต่คราวนี้ทิวากรไวพอจะเอื้อมมือมารั้งเอวคอดเข้าหาตัว รัดไว้แน่นไม่ยอมให้คนดื้อดิ้นหลุดอีก

“คุณนี่ทำไมวุฒิภาวะทางอารมณ์ถึงได้ต่ำขนาดนี้ ผมสอนนิดเตือนหน่อยไม่ได้หรือไง ผมพูดความจริงก็ทำหน้ารับไม่ได้” ทิวากรรีบดักคอสาวผมเปียกลู่แนบไปกับหน้า หยดน้ำเกาะพราวไปทั่วตัว ผิวซึ่งขาวดูซีด และอ่อนแอขึ้นอีก กอปรกับแววตาแข็งกร้าวดื้อด้านไม่คิดฟัง ทิวากรได้แต่อ่อนใจ “กลับห้องกันเถอะ อาบน้ำเปลี่ยนชุด เดี๋ยวผมทำแผลให้” เลื่อนสายตามอเข่าเป็นแผลถลอก มีของเหลวสีแดงไหลออกจนน่าหวาดกลัว

“ฉันโง่ล้มเอง ก็จัดการเองได้ ไม่ต้องมาทำว่าฉันเป็นภาระหรอก”

ทิวากรเห็นอาการรั้น และเริ่มพยศด้วยการทุบตี จึงปล่อยคนดื้อให้โวยวายสมใจอยาก หันไปจูงจักรยานที่มีล้อบิดเบี้ยวเสียรูปทรงยกจูงออกไป ไม่มีการพูดเอาใจ หรือปลอบโยน เพราะทิวากรเองก็ไม่อยากตามใจให้พรนับพันเสียนิสัยไปมากกว่านี้

พรนับพันกัดฟันกรอด เดินกะเผลก ทิ้งน้ำหนักลงขาข้างที่เข่ากระแทกพื้นเจ็บน้อยกว่า ข้ามขอบสระมายืนบนพื้น ชั่งใจว่าจะเดินออกประตูที่ทิวากรเดินออกไปดีหรือไม่ แต่สุดท้ายอารมณ์ขุ่นในใจทำให้เธอไม่อยากพบหน้าเขาในยามนี้ ตัดสินใจนั่งเหยียดขาบนพื้น แหงนหน้ามองฟ้าใส ปุยเมฆลอยเอื่อย

อาบแดดให้ตัวแห้ง แล้วค่อยกลับไปมึนตึงใส่ทิวากรอีกสักครั้ง ยามนี้เธอยังมีตาไหลวนอยู่ในความทรงจำ เธอยังจำได้ดีถึงคำตา

‘เจ้าอารมณ์ ขี้โกรธ ขี้โมโห แบบนี้ตาจะจากไปได้ยังไง ตายังอยากเห็นคนที่ทนเราได้ก่อนตาย’

พรนับพันนอนราบไปบนพื้น หลับตารับไอแดด หัวสมองไม่อยากคิดอะไรให้เหนื่อยนัก ก็แค่อยากพัก

คนอย่างเธอ ไม่มีใครทนได้นานหรอก ไม่ต้องพูดว่าใครจะ ’รับ’ ได้เลย


ทิวากรมองเหลียวหลังพบเพียงความว่างเปล่า บางทีเขายังนึกแปลกใจ หากว่าเขาพบร่างของพรนับพันสิที่แปลก ป่านนี้จะทำอะไรแปลกพิสดารอยู่ก็ไม่รู้ ชายหนุ่มนึกพลางถอนใจ ตั้งใจจะเก็บจักรยานเข้าห้องให้เรียบร้อย และไปจัดการผู้หญิงจอมดื้อ ร่างสูงซึ่งยืนเขี่ยเท้าหน้าประตูก็ทำให้เขาเลิกคิ้วมองแปลกใจ

“นายมาถึงนี่ มีอะไรล่ะทองภู”

“เมื่อเช้าใครรับโทรศัพท์นายกัน ไม่เห็นมีสาวมาติดพันตั้งหลายปีแล้วนี่หว่า” หนุ่มผิวสีแทน หน้าคมเข้มยิ้มล้อเลียน

“แล้วนายโทรมามีอะไรหรือเปล่า” ทิวากรเสียบการ์ด และไขกุญแจเปิดห้องให้เพื่อนเข้ามา

“จะโทรมาถามว่านายสนใจไปออกรายการด้วยกันไหม ติดต่อมาให้ฉันกับนายออกคู่เลย” ทองภูเดินตามเข้ามา ปิดประตูให้

“ไม่ล่ะ ฉันขี้เกียจนั่งมองแฟนคลับละเมอกัน” จักรยานคันเก่งถูกพิงไว้ข้างฝา เขากะว่าตอนเย็นตั้งใจจะนำติดรถไปซ่อม

“ช่วยฉันหน่อยเถอะ นายก็รู้เพราะกระแสฉันกับนาย ช่วงนี้งานฉันก็เริ่มเข้ามา”

“ละครฉันยังไม่ทันจบ นายจะมาแบ่งกระแสสิ” ด้วยสนิทกันมานาน ทิวากรจึงออกปากได้อย่างไม่เกรงใจ “ไว้ฉันค่อยคิดดูอีกที แต่ตอนนี้ฉันยังอยากพักทำงานหน้าจอไปสักพัก ขอจัดวิทยุอย่างเดียวก่อน”

“ตามใจ” ทองภูนั่งไปบนโซฟา นึกเอะใจกับผ้าห่มที่พับอยู่อย่างเป็นระเบียบ “ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครล่ะ” ในที่สุดความสงสัยที่ทำให้ทองภูแล่นมาถึงนี่ก็ถูกยกมาถามอีกครั้ง

ทิวากรเทน้ำเย็นในตู้เย็นใส่แก้ว ยื่นส่งให้กับทองภู มองกระเป๋า และของใช้อีกหลายอย่างที่พรนับพันเอามากองบนโต๊ะก็ได้แต่ยอมรับความจริง “นายไม่รู้จักหรอก”

“ก็แนะนำสิ หรืออยากเก็บไว้ กลัวฉันแย่งหรือไง”

เจ้าของห้องแค่นเสียงหัวเราะ ใจหนึ่งยังหงุดหงิดกับความดื้อ รั้น ทั้งที่เขาพยายามพูด ว่า เตือนเท่าไหร่ก็ไม่ฟัง แต่อีกใจก็เป็นห่วง พรนับพันไม่ยอมลดกำแพงของตัวเองลง เพียงแค่ไม่พอใจ เธอจะแสดงอาการต่อต้านออกมา และเขายอมรับว่าเป็นห่วงกับการหนีหน้าเขาแบบนี้

“เขาไม่อยู่”

หน้าตาคนตอบไม่อยู่ในโหมดเล่นหัวได้ ทองภูจึงเก็บปากเงียบ และอัดความสงสัยใคร่รู้ไว้ในใจต่อ โทรศัพท์ของทิวากรก็ดังแทรกขึ้นมา ชายหนุ่มเดินไปหยิบเพื่อกดรับอย่างเสียไม่ได้

“สวัสดีครับหนาว”

หน้าตาที่มีความกังวลถูกแทนที่ด้วยความเคร่งเครียด “ใจเย็นๆ นะครับ เดี๋ยวผมรีบไปหา”

ทองภูลุกขึ้นตาม รู้ได้จากน้ำเสียงว่ามีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น

“ฉันจะไปหาหนาว” ทิวากรหยิบพวงกุญแจรถ เดินคู่กับทองภูออกไป ลืมบางคนที่เขาทอดทิ้งไว้เบื้องหลัง


ตัวเปียกแล้วนอนตากแดดนานถึงครึ่งชั่วโมงทำให้พรนับพันรู้สึกปวดหัว เข่าที่ยังไม่ได้ทำแผล แต่ปล่อยให้เลือดแห้งเอง ร่างกายหนักจนเธออยากจะล้มลงนอนเหมือนเดิม แล้วโทรเรียกนับพันพรให้มาพาเธอกลับบ้าน

ครั้งนี้เธอคาดผิดที่คิดว่าเขาจะเดินกลับมา พรนับพันกลืนก้อนขมในคอ กัดฟัน พาตัวเองเกาะกำแพงเดินกลับมา กลิ่นตัวยามนี้มีกลิ่นน้ำบ่อบัวติดตัว ลงลิฟต์กลับมาถึงชั้นห้องของทิวากร เธอก็พบเพียงความว่างเปล่า และประตูห้องที่ปิดสนิท

พรนับพันเม้มปากแน่น ทิฐิอันหนักอึ้งทำให้เธอไม่ของ้อผู้ชายซึ่งไม่ดูดำดูดีเธอ แต่เรี่ยวแรงที่มีก็ทำให้เธอไปไหนไม่ได้ไกล โทรศัพท์ของพรนับพันอยู่ในห้องพัก รวมถึงกระเป๋าเงิน ทุกอย่างประจวบเหมาะ เขาทำให้เธอไร้ที่ไป

พรนับพันรู้สึกเกลียด ในหัวคิดว่าทุกอย่างเป็นแผนการที่เขาใช้บีบให้เธอยอมแพ้ และกลับบ้าน ทิวากรคงจะเกลียดกันมาก ถึงได้ทำแบบนี้

ความรู้สึกด้านลบตีรวนในหัว พรนับพันกอดตัวเองที่รู้สึกหนาวขึ้นมาจนสั่น ปากซีดกัดไว้จนเจ็บ เขาเก่งมากที่ทำให้เธอคิดถึงบ้านได้มากขนาดนี้

ร่างบางทรุดนั่งกองหมดสภาพ หลังพิงผนัง ดวงตาเหม่อมองความว่างเปล่า เธอไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น และจะไม่เรียกร้องสิ่งใดจากเขาอีก มีโอกาสเธอจะเอาของของตาคืน และไม่หวนกลับมาให้ทิวากรใช้สายตาดูแคลนอีกเด็ดขาด

ประตูห้องที่อยู่เยื้องไปเปิดออก พรนับพันหันกลับไปมอง ในหัวแทบไม่ได้ยินสรรพเสียงใดๆ อีก ขณะที่ร่างของเธอร่วงไปกองกับพื้นตามแรงโน้มถ่วงของโลก


.....................................

คุณ OhLaLa พราวด์เป็นมนุษย์ปากร้ายใจหนักค่ะ นางเอกเรื่องนี้ยิ่งเขียนยิ่งน่ารัก(เหรออออ เพิ่มอออ่างร้อยตัว)

คุณ Sukhumvit66 งานเข้าค่ะ เข้าถาวรด้วย อิอิ ยิ่งอยู่ชีวิตทิวจะยิ่งวุ่นวายมาก

คุณ yimyum ว่าแต่รอดไหมน้า รอดูตอนหน้าค่ะ นางมารพราวด์รีเทิร์น

คุณ konhin คราวนี้คงเจ๋งไม่ออกค่ะ

หวานนิดๆ ดราม่าหน่อยๆ ขอบคุณทุกคอมเมนท์ ไลค์ และนักอ่านเงาทุกท่านนะคะ ตอนนี้เพิ่งเคลียร์บทห้าเสร็จ ตอนหน้าอาจต้องเตรียมเปลือกทุเรียนปาใส่นางมารพราวด์นิดหนึ่ง ฮ่าๆๆๆ



ปวรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 มี.ค. 2557, 01:07:42 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 มี.ค. 2557, 02:34:56 น.

จำนวนการเข้าชม : 1875





<< บทที่ 3 : ดื้อ   บทที่ 5 : จอมเหวี่ยง >>
konhin 6 มี.ค. 2557, 01:33:46 น.
หึๆๆ ลืมกันได้ลง


Sukhumvit66 6 มี.ค. 2557, 02:53:34 น.
ทีนี้ละนอกจากปิดประตูใจแล้ว พราวน์จะยังก่อกำแพงโบกปูน
เสริมใยเหล็กใส่ทิวด้วยซินะ สงสารทิวจิงเบย..


mhengjhy 6 มี.ค. 2557, 10:27:54 น.
โอ้ยแรงงง ลืมกันได้ง้ายยยย


OhLaLa 6 มี.ค. 2557, 10:42:15 น.
หนาวกยังมีอิทธิพลทางจิตใจกับทิว วิ่งไปหาจนลืมพราวน์เลย


นักอ่านเหนียวหนึบ 6 มี.ค. 2557, 21:40:17 น.
กึ้ดดดดด
ยัยหนาววววววแน่ๆๆ ที่โทรมาตอนเช้า


yimyum 7 มี.ค. 2557, 00:47:34 น.
ลืมพรนับพันได้ไง พี่ทิวใจร้าย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account