(เรื่องสั้น)
รวมเรื่องสั้นค่ะ

เขียนขึ้นในวันที่อารมณ์ดี
และอยากให้คนอ่าน อ่านแล้วอารมณ์ดีตามเหมือนกัน

@^__^@
Tags: เรื่องสั้น

ตอน: เพ(ร)าะรัก

ผมชอบผู้หญิงมือสวย

ไม่ปฏิเสธหรอกครับ ว่าจุดสนใจของผู้ชายทุกคน เริ่มต้นที่หน้าตา แต่หลังจากนั้นนี่สิ เราจะพิจารณาด้านไหนก็แล้วแต่รสนิยมของแต่ละคน

อย่างก๊วนเพื่อนตัวดีของผม รายหนึ่งขอมองนม เอ่อ เอาใหม่ รายหนึ่งขอมองหน้าอก อีกรายชอบมองขา หลายคนขอมองก้น (ขอโทษถ้าไม่สุภาพ แต่มันคือความจริงของชีวิตนะครับคุณผู้หญิง) มีอยู่หลายครั้งที่พวกเราพากันสะกิดให้จับตามองผู้หญิงที่ถูกตาถูกใจจากทางด้านหลัง (ก็จากบั้นท้ายของพวกหล่อนน่ะแหละ) แต่พอหันกลับมาเจอหน้าปุ๊บ ประโยค “เห็นหลังอยากเห็นหน้า เห็นหน้าอยากหงายหลัง” ก็ลอยขึ้นมาในหัวทุกๆคนทุกที

แต่ไม่ว่าใครจะชอบมองตรงไหน ผมก็ยังยืนยันว่าผมชอบผู้หญิงที่มือสวย

สงสัยมันจะเป็นความหลังฝังใจมาตั้งแต่วัยเด็ก สมัยเด็กๆผมเข้าโรงพยาบาลบ่อย เจอจับฉีดยาอยู่เป็นประจำ ภาพสุดท้ายที่เห็นก่อนน้ำตาจะไหลรินเป็นสาย พร้อมเสียงแผดก้องโรงพยาบาล ก็คือมือสวยๆของคุณพี่พยาบาลทั้งหลายที่ฉีดยาให้ผม เจ็บบ้างไม่เจ็บบ้าง แปลกดีเหมือนกันที่ภาพพวกนี้มันฝังใจผม ทำให้ผมชอบมองผู้หญิงที่มือ เวลาเห็นมือเรียวๆ สวยๆ ขาวไม่ขาวช่างมันเหอะ แค่นั้น ผมก็อยากจะมองหน้า แต่ไม่มีอาการหงายหลังแน่นอนเพราะผมถือคติ “คนสวยมักจะมือไม่สวย แต่คนน่ารักมักจะมือสวยมาก” อย่าถามผมว่าแล้วผู้หญิงที่หน้าตาธรรมดาล่ะ มือจะสวยหรือไม่สวย เพราะสำหรับผม ขึ้นชื่อว่าผู้หญิง ก็มีความน่ารักอยู่ในตัวทุกคน ขึ้นอยู่กับว่า จะไปหลบซอกมุมไหนเท่านั้นเอง

นี่ไม่ได้ตอบแบบผู้ชายเจ้าชู้นะครับ ผมแค่เอ็นดูทุกคน โดยเฉพาะคนมือสวยๆ


วันนี้ ผมรู้สึกว่า ผมเจอคนที่มือสวยที่สุดเท่าที่เคยเจอมาแล้วล่ะครับ

ถ้าไม่ใช่เพราะคุณนายแม่ของผมกลัวผมบนศีรษะเสียทรงจนไม่ยอมเข้าครัวแล้วล่ะก็ ผมคงไม่เจอเธอ ก็แหม ผู้ชายกับตลาดนัด มันเข้ากันซะที่ไหนล่ะ ไอ้ตัวผมก็ไม่ค่อยได้มาผูกสมัครรักใคร่กับตลาดนัดประจำหมู่บ้านที่ตั้งแผงขายทุกวันอังคารกับศุกร์อย่างนี้หรอกครับ ลำพังแค่เดินชอปปิ้งตามห้าง (ประเภทถือของให้สาวๆน่ะ) พวกผมก็เบื่อจะแย่อยู่แล้ว นี่ทั้งไม่มีแอร์ ทั้งอยู่ริมถนน ทั้งขนาดใหญ่ประมาณน้องๆสนามฟุตบอล ผมก็รู้สึกว่า ขอนอนกระดิกเท้าอยู่บ้านสบายๆดีกว่า แต่นั่นแหละครับ นอกจากจะกลัวผมเหม็นเพราะกลิ่นอาหารแล้ว คุณนายแม่ท่านยังกลัวผมที่เซตมาอย่างดีไปถูกแดดถูกลมถูกฝุ่นอีกด้วย ผมเลยต้องระเห็จมาซื้อกับข้าวไปประทังชีวิตคนในครอบครัวกันแทน โดยที่คนออกคำสั่งไม่ได้เตือนผมสักนิดเลยว่า ตลาดนัดเย็นวันศุกร์ต้นเดือนเช่นนี้ คนมันเยอะแยะมหาศาลขนาดที่ผมหาที่จอดรถแทบไม่ได้ ไม่งั้นผมไม่เอารถใหญ่ออกมาให้เสียเวลาหรอกครับ

กว่าจะจอดรถ กว่าจะเดินดุ่มๆไปซื้ออะไรน่ากินๆมาได้ ก็รู้สึกอึดอัดจะแย่แล้ว แต่ตอนขากลับนี่สิ สายตาผมก็ไปสะดุดกับร้านขายต้นไม้เล็กๆที่อยู่ก่อนที่ที่ผมไปจอดรถเข้าให้ แปลกใจอยู่เหมือนกัน ที่ทำไมตอนแรกไม่เห็น เห็นผมเป็นหนุ่มสมัยใหม่ ไฮเทคโนโลยีขนาดนี้ ผมน่ะชอบปลูกต้นไม้มากๆ ชอบสีเขียวๆ เดินตลาดนัดมันน่ารำคาญ แต่ทุกบ่ายวันพุธ ผมชอบหนีงานไปดูต้นไม้ที่สวนจตุจักรประจำ

สมองผมบอกให้ลองเข้าไปหาอะไรสีเขียวๆเชยชมหน่อยซิ ชื่อร้านเป็นป้ายไม้เล็กๆ มีเชือกถักพันไว้เป็นตัวอักษร ดูดิบๆแต่ก็สวยอยู่เหมือนกัน ที่ทำให้ผมยิ้มออกมาได้ก็คือ ป้ายร้านแขวนอยู่บนกิ่งไม้ใหญ่ของต้นโมกที่อยู่หน้าร้าน แปลกดีนะ

“สวัสดีค่ะ” เสียงใสๆเอ่ยขึ้นต้อนรับ เจ้าของเสียงผุดลุกขึ้นจากดงกระถางต้นไม้ ปัดไม้ปัดมือเข้ากับกางเกงขาสั้นสีดำที่สวมใส่อยู่ ก่อนจะส่งยิ้มให้ผม “หาต้นอะไร ถามได้นะคะ”

“หาต้นรัก” อารมณ์ผู้ชายที่เอ็นดูทุกคนทำให้ผมหลุดประโยคนั้นออกไป คนถามทำหน้าเหวอเล็กน้อย แต่ก็มีรอยยิ้มมาแทนที่อย่างรวดเร็ว

“มีค่ะ” เธอว่าพลางชี้มือไปทางฝั่งซ้ายของผม และนั่น ก็ทำให้สายตาของผมสะดุดกึก

นิ้วชี้ของเธอเรียวยาวมาก มือก็ดูสมส่วน แม้จะไม่ขาวอย่างสาวๆสมัยนี้ แต่ผิวสีน้ำผึ้งเหมือนคนที่อยู่กลางแจ้งตลอดเวลาก็ดูดี ดีเกินกว่าจะละสายตาไปได้ ทั้งๆที่จริงๆแล้ว ผมควรจะมองตามมือที่ชี้ไป แต่ช่วยไม่ได้ สายตาผมมันหยุดอยู่แค่นิ้วชี้ของเธอนั่นแหละ

“คุณคะ” เธอหันมามองหน้า “ไปดูมั้ยคะ”

“ครับๆ”

ผมเดินตามเธอเข้าไปยั่งอีกฝั่ง ต้นรักใส่ลงกระถางเรียงราย อยู่ตรงหน้า แต่ตาผมก็ยังมองมือเธออยู่ เจ้าของมือทรดลงนั่งยองๆตรงต้นรัก มือจับกระถาง ปัดเศษดินเศษอะไรไปตามเรื่อง

“ดอกรักบางที่เขาก็เรียกปอเถื่อนค่ะ ปลูกง่ายค่ะ แต่ที่แพงเพราะไม่ค่อยมีคนปลูกพันธุ์ดีๆแล้ว ถ้าจะเอาไปปลูกจริงๆ อย่าเผลอไปเด็ดดอกมันนะคะ ยางมันมีพิษ ขนาดพวกชาวสวนที่เก็บดอกรักขาย ยังต้องป้องกันตัวเองดีๆเลยค่ะ คุณคะ ฟังฉันอยู่หรือเปล่าเนี่ย”

ท้ายประโยคสาวเจ้าเริ่มสงสัย คงเพราะผมมัวแต่มองตามมือของเธอที่ขึ้นๆลงๆกับกระถางนั่นแหละ

“ฟังครับ ตกลงผมเอาต้นนึง”

เธอส่งยิ้มหวานให้ผม เอาล่ะ ทฤษฎีของผมใช่ได้อยู่ เธอยิ้มแล้วน่ารักเชียวครับ แก้มกลมๆ น่าหยิกเชียว แต่มือนี่สิ ยามเธอยกกระถางขึ้นใส่ถุง (หนักพอดู ดูท่าเธอจะแข็งแรงด้วย ซัดผมทีคงกระเด็นไปไกล) แล้วมายื่นส่งให้ผม ละสายตาจากมือเธอไม่ได้เชียว

ปลายนิ้วของเราสัมผัสกันนิดหนึ่งตอนที่ผมยื่นเงินให้ ที่แปลกใจก็คือ ตรงปลายนิ้วมันดูด้านๆ แต่เอาเหอะ ผมไม่สน มือเธอสวยซะอย่าง

“แล้วมาอุดหนุนใหม่นะคะ”

แน่นอนอยู่แล้วจ้ะยาหยี ต่อมเอ็นดูทุกคนของผมกำเริบอีกครั้งจนแทบอยากจะตะโกนคำนี้ออกไป คงไม่ต้องโดดงานไปเดินสวนทุกวันพุธแล้วล่ะมั้ง ร้านขายต้นไม้ดีๆ คนขายน่ารักๆ มือสวยๆ ก็อยู่ไม่ไกลจากบ้านผมเท่านี้เอง


หลังจากต้นรัก ผมก็วนเวียนไปที่ร้านตลอด ทุกๆสัปดาห์ก็เลยจะมีสารพัดพันธุ์พืชให้ที่บ้านผมแปลกใจอยู่เรื่อยว่าขยันขนมาจากไหน บางครั้งได้ไม้ดอก บางหนได้ไม้ประดับ บางทีได้กล้วยไม้ บางครั้งได้มาสองสามต้น วนไปเวียนมาอยู่อย่างนี้ ทำให้ผมพอคุ้นเคยกับคนขายได้บ้าง แม่ค้าแก้มกลมมือสวยของผมนั่นแหละ (กล้าใส่คำว่าของผมเต็มปากเต็มคำเลยครับงานนี้)

“อ่าว มาอีกแล้ว ชอบต้นไม้จริงจังเลยนะคะเนี่ย”

เธอทักผมพร้อมส่งยิ้มให้เหมือนทุกครั้ง แหม ไม่อยากจะบอกเลยว่า นอกจากชอบต้นไม้แล้ว ยังชอบคนขายด้วย

“คราวนี้หาต้นอะไรคะ”

“นึกไม่ออกเหมือนกัน มีต้นอะไรแนะนำมั้ย” คราวนี้ผมหมดมุขจริงๆ

เธออมยิ้มแก้มตุ่ย สายตาวิบวับ อารมณ์ดีใจ ว่าลูกค้ารายใหญ่เดินมาให้เชือดอีกแล้ว แม่ค้ารายนี้ จะเชือดทั้งตัวทั้งหัวใจผมก็ยอม

“เขียวหมื่นปี ที่บ้านมีหรือยัง เป็นไม้มงคลน่ะค่ะ”

ถึงที่บ้านจะมีแล้ว แต่ถ้าเธอเอ่ยมาอย่างนี้ ผมก็เอาอีกแหละ เธอเดินนำผมไปยังจุดวางกระถางของต้นไม้ที่เธอว่า เราทั้งคู่นั่งยองๆ มองต้นเขียวหมื่นปีในกระถางใบสวย สีมันเขียวจับตาดีจริงๆ แต่มือเธอที่แตะใบของมันอยู่นี่สิ จับตาผมยิ่งกว่า

“เชื่อกันว่าปลูกแล้วจะอายุยืน มันเขียวตลอดปีเลยค่ะ ปลูกง่าย ไม่ต้องมีแดดจัดมันก็อยู่ได้” พอผมตกลงใจเอาต้นนี้ เธอก็อธิบายเคล็ดลับการปลูกให้ฟังใหญ่ เสียงเจื้อยแจ้วฟังเพลินๆ ผมมองตามคนพูดแล้วนึกครึ้มในใจไม่ได้ เธอก็เหมือนต้นไม้น่ะแหละ เย็นตา เย็นใจดีจริงๆ

“ว้าย” เธอร้องเสียงดังจังหวะที่เธออุ้มกระถางลุกขึ้น อาการเซน้อยๆทำให้ผมตกใจจนต้องประคองกระถางเอาไว้ด้วยเหมือนกัน แบบว่า คว้าตรงมือเธอเด๊ะ ไม่ได้ตั้งใจนะครับ มันเป็นรีแอคชั่น

มือเธอนุ่มกว่าที่คิด ผมคิดว่ามันจะหยาบกว่านี้ซะอีก มือของคนปลูกต้นไม้ ยกกระถาง พรวนดิน แบกสายยางอะไรพวกเนี้ย เล็บที่ตัดสั้นเจียนมนอย่างดี เข้ากับมือเธอชะมัดเลย เราสบตากัน สาวแก้มกลมของผมแก้มแดงขึ้นมากระทันหัน คือปกติเธอก็แก้มแดงเรื่อๆประสาคนเจอแดดบวกสุขภาพดีอยู่แล้ว มาโดนผมแต๊ะอั๋ง เอ๊ย ช่วยเหลือซะขนาดนี้ เหมือนสีหน้าจะแดงขึ้นกว่าปกติ

ผมอมยิ้มแก้มตุ่ยบ้าง อาศัยลูกเนียนไม่ยอมปล่อยมือ แต่พอคนตรงหน้าสายตาเริ่มส่งแสงเขียวเรือๆ โอเค ปล่อยก็ได้

“มือนุ่มนะครับ” ผมไม่วายหยอด

“ไม่เท่าไรหรอกค่ะ ทำงานกับดินอย่างนี้”

“แต่ตรงปลายๆดูแปลกๆ”

“ปลายนิ้วน่ะเหรอ” เธอมองหน้า คงสงสัยว่าผมไปแตะปลายนิ้วเธอตอนไหน เมื่อกี้ก็แอบแตะนิดหนึ่งด้วยแหละ “พอดีฉันเล่นดนตรีด้วยน่ะค่ะ กำลังฝึกอูคูเลเล่เพลินๆเลย”

ผมพอคุ้นเคยเครื่องดนตรีชนิดนี้มาบ้าง นึกภาพมือซ้ายเธอกดคอร์ด มือขวาเกากีต้าร์ฮาวายตัวจิ๋วแล้ว ก็นึกชอบใจพิลึก นิ้วเธอเรียวยาว เหมาะกับเครื่องดนตรีประเภทนี้ดีเหมือนกัน

“ว่าจะเอาไว้เล่นให้ต้นไม้ฟัง เผื่อมันจะออกดอกสวยๆเยอะๆ”

“แค่นี้ก็เยอะแล้ว” ผมว่า

เธอวางกระถางลงบนโต๊ะ ผูกเชือกป่านเข้ากับกระถางตามแบบฉบับของที่ร้าน ตรงปลายเชือกก่อนจะผูกเป็นโบนั้นจะแขวนป้ายชื่อร้านเอาไว้ ผมชอบมองตอนเธอทำกิจกรรมแบบนี้มาก นิ้วที่ไขว้โบว์มันดูน่ามองจริงๆ

“ผมว่าคุณเป็นคนมือเย็นนะ ปลูกอะไรก็งาม”

“แหงสิ ไม่งั้นฉันจะเปิดร้านขายต้นไม้เหรอ” เธอโอ่ ไม่มีถ่อมตัวเลย ดูท่าเธอจะรู้ทันความคิดผม เลยขำออกมา “บ้านฉันมือเย็นทั้งบ้านค่ะ ที่ปลูกๆกันเนี่ย ฝีมือพ่อกับพี่ชายซะมากกว่า พ่อยังเคยว่าขำเลยๆ บอกว่า ถ้าจะมีแฟน หาแฟนมือร้อนมา พ่อไม่รับเป็นลูกเขย”

“ผมก็มือเย็นนะ”

มือที่ตัดปลายเชือกชะงัก ก่อนจะทำตามขั้นตอนต่อไปปกติ

“เอ้า ผมพูดจริงๆน้า ผมนี่มือเย็นอยู่เหมือนกัน ไปดูต้นไม้บ้านผมได้ แทบไม่มีตาย” เพราะถ้าผมไม่ดูและ คุณนายแม่ก็ทำให้อยู่แล้ว รายนั้นมือเย็นสุดๆแล้วล่ะ แต่ความจริงข้อนี้ผมจะพูดไปทำไม

“เชื่อค่ะ ไม่งั้นคงไม่มาซื้อต้นไม้บ่อยๆหรอก ถ้าปลูกแล้วตาย แป๊บนึงก็เบื่อแล้วค่ะ”

“อยากมาเจอคนขายด้วยมากกว่า” ผมหยอดอีก คราวนี้อย่าไปโทษอารมณ์เอ็นดูทุกคนของผมเลยครับ โทษมือสวยๆของเธอดีกว่า ที่ทำผมเผลอตัวเผลอใจได้ตลอดเวลา

“พูดงี้หลายคนแล้วค่ะ” เจ้าของร้านสบตา แก้มกลมๆเจือสีชมพูขึ้นอีก “แต่อย่างที่บอก แป๊บเดียว เดี๋ยวก็เบื่อ”

“ผมไม่เบื่อง่ายๆหรอก จริงๆนะ” ผมสบตายืนยัน แม้ยังไม่ค่อยมั่นใจเหมือนกัน แต่อย่างที่ผมเคยบอกครับ เธอเหมือนต้นไม้ เย็นตา เย็นใจ มองยังไงก็ไม่เบื่อ และผมเชื่อว่า คนที่อยู่กับต้นไม้ได้ ก็ต้องเป็นคนใจเย็นพอตัวแหละ

“ถามจริงๆเหอะ นอกจากจะต้องมือเย็นแล้ว พ่อคุณวางสเป็คลูกเขยไว้ยังไงอีก”

เธอส่งเงินทอนให้ผม เอ่ยเสียงเย้า

“ตกลงจะจีบพ่อหรือจีบลูก”

“อ่าว ก็ต้องเข้าทางพ่อสิ แล้วมั่นใจแล้วเหรอไงว่าผมจะจีบ”

แป่ว เธอหุบยิ้มทันควัน สงสัยปากปีจอของผมจะทำพิษแล้ว

“อ่า ...”

“ขอบคุณที่มาอุดหนุนค่ะ” เธอตัดบท แล้วเดินหลบไปทางหลังร้าน ไม่ได้เดินเคียงไปหน้าร้านเป็นกำลังใจให้ผมยามแบกต้นไม้ไปขึ้นรถเหมือนเคย

สงสัยผมจะทำพลาดไปนิดแล้วล่ะงานนี้


อาทิตย์ต่อมา ผมไม่เห็นเจ้าของร้านมือสวยอีก แต่เป็นผู้ชายร่างใหญ่ หน้าตามีเค้าของเธอ ผิวคล้ำแดดกว่าหน่อย เดินมารับแขกอย่างผมแทน เขาถามผมเหมือนที่เธอถามว่าดูต้นอะไร คราวนี้ผมไม่รู้จะหยิบมุขอะไรมาเล่นได้เพราะสายตาเขาจ้องผมเขม็ง คนขายหน้าตาไม่รับแขกอย่างนี้ แขกก็ขวัญกระเจิงหมดน่ะสิคร้าบ...บ...บ

สุดท้ายก็ต้องชี้มือส่งๆไปยังต้นอะไรสักต้น ที่ตอนนี้ผมก็ยังจำชื่อไม่ได้เลย เขาผูกเชือกเป็นโบว์ให้ผมเหมือนที่เธอทำ แต่ผูกได้ไม่สวยเท่าเธอหรอก

ผมเดินคอตกกลับไปที่รถ แต่ไม่เป็นไร อาทิตย์หน้ายังมาได้อีก

แต่ผมก็เจอคนรับแขกคนเดิมอย่างนี้เป็นเดือนๆ ตั้งแต่วันที่ปากปีจอผมทำพิษ เธอก็หายหน้าไป ไม่รู้งอนผมหรือเปล่า ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ จะไปบอกเธอจริงๆจังๆว่า ใช่ ผมจีบเธอ ผมได้ต้นไม้แบบที่ไม่ประสงค์จะทราบนามมาอีกหลายต้น ยิ่งช่วงหลังๆผมไปร้านบ่อยกว่าเดิม เพราะกลัวว่าเธอจะมาร้านวันอื่น แต่ทุกครั้งก็เจอกับคนหน้าดุคนเดียว คนเดิมน่ะแหละ

ดุอย่างนี้ ไปทำโรงเรียนฝึกสอนสุนัขจะดีกว่ามั้ง ลูกสมุนคงดุได้ใจกันทุกตัว


พักหลังคุณนายแม่ของผมเริ่มบ่นว่าผมไปหาต้นอะไรมาให้ปลูกก็ไม่รู้ ถามว่าต้นอะไรก็ตอบไม่ได้ (ก็ตาคนขายมัน เอ๊ย เขาไม่ยอมบอกอะไรผมเลยนี่ครับ) บอกให้ไปหาในเนทผมก็ไม่ยอมหา คุณนายเธอต้องมาอาศัยลูกเดาว่ามันจะชอบแดด หรือมันจะชอบน้ำ หรือไม่อยากเจอแดด ไม่อยากสังเคราะห์แสงเพราะเดี๋ยวจะอ้วนเกิน สารพัดจะเดา แต่ผมก็เห็นมันสวยงามเจริญเติบโตดีทุกต้นน่ะแหละ

“แหงสิยะ เพราะฉันน่ะใส่ใจ” เธอว่า พลางริดใบเสีย ต้น(อะไรก็ไม่รู้)ที่อยู่ตรงหน้าเธอ ข้างหน้าเปลที่ผมนอนไกวเล่นอยู่

“ผมนึกว่าเพราะแม่มือเย็นซะอีก”

“โอ๊ย แค่มือเย็นมันจะไปพอทำอะไร” เธอโบกไม้โบกมือ แต่ไอ้ใบเสียๆน่ะ กระเด็นมาหาผมด้วย แม่ขำใหญ่ ตอนผมสะบัดใบที่ติดหน้าทิ้ง “มันต้องดูแล ใส่ใจ เอาใจ เคยได้ยินมั้ยไอ้หมา ...” ไม่ต้องแปลกใจครับ เวลาแม่อารมณ์ดีจะเรียกผมเป็นน้องสุนัขผู้ซื่อสัตย์ทุกที และแม่ก็อารมณ์ดีบ่อยๆซะด้วยสิ “เค้าว่าปลูกต้นไม้ ก็เหมือนปลูกความรัก ต้องดูแล เอาใจใส่ ต้นไม้มันก็มีธรรมชาติของมัน เหมือนคนเราน่ะแหละ ธรรมชาติก็ต่างกันไป ถ้าเราเอาแต่ความสะดวก ความถนัดของเราเข้าว่า ต้นไม้มันจะไปงอกงามได้ที่ไหน คบใครรักใคร ถ้าเราเอาแต่ใจของตัวเอง ความรักมันก็ไม่เติบโตหรอกนะไอ้หมา”

ปรัชญาหัวใจของแม่นี่ลึกซึ้งดีจริงๆ

“ผมจะไปคบใคร รักใครเขาล่ะแม่”

“ก็หนูคนขายต้นไม้นี่ไง”

ประโยคของแม่ทำผมแทบพลัดตกจากเปล

“รู้ได้ไงอ่ะ”

“ฉันเดินตลาดนัดบ่อยกว่าแกนะยะ” คุณนายแม่องค์เริ่มลง ถึงจะแค่หันข้าง แต่ผมเห็นนะ ว่าแม่อมยิ้ม สายตามีเลศนัยแปลกๆ “ร้านนั้นฉันเดินผ่านบ่อย ทำไมจะไม่รู้ว่าคนขายน่ารักขนาดไหน”

“มือก็สวยมากๆด้วย” ผมเพ้อเบาๆ แต่แม่คงไม่ได้ยิน

“แค่ใช้ไปซื้อกับข้าววันเดียว มีต้นไม้กลับมาหนึ่งต้น พอไม่ได้ใช้ไปเดินตลาดนัด ก็มีต้นไม้กลับมาทุกอาทิตย์ ยิ่งกว่าไปเดินจตุจักรอีก ฉันเป็นแม่แกมาตั้งกี่ปี ทำไมจะไม่รู้ ว่าไอ้ลูกหมาของฉัน มันคิดอะไรอยู่”

“คิดปลูกต้นไม้ไงแม่” ผมย้อน แม่คว้าดินในกระถางมาปาใส่ คราวนี้มันเข้าปากผมพอดีเป๊ะ แม่มือแม่นจริงๆ

“ปลูกต้นรักหรือเปล่าเถอะ”

“ก็อยากอยู่ แต่ไม่รู้เค้าไปไหนแล้ว ไปร้านก็ไม่เจอ ไม่เห็นหน้าเห็นมือมาเป็นเดือนๆแล้วเนี่ย” ผมบ่นอุบอิบ “อีกอย่าง ผมยังไม่ถึงรักหรอกแม่ แค่ชอบ”

“แค่ชอบมันก็ต้องใส่ใจ ดูแลกันได้แล้วล่ะ สงสัยจะรดน้ำพรวนดินผิดวิธี ต้นรักมันถึงเฉา”

แม่ว่าเยาะๆ ผมได้แต่มองแสงแดดที่ส่องผ่านกิ่งใบของต้นมะม่วงต้นใหญ่ที่ผมนอนผูกเปลอยู่ นั่นสินะ สงสัยจะรดน้ำพรวนดินผิดวิธี ไปหยอกเล่นแรงไปหน่อย สาวเจ้าหนีไปเลย

ผมละสายตามองไปยังต้นรัก ต้นไม้ต้นแรกที่ผมซื้อมาจากร้านของเธอ มันออกดอกงดงาม เอาน่า ต้นรักในใจของผมมันก็ต้องงดงามได้เหมือนกัน

ถ้าเพียงแต่ ต้นไม้ต้นนั้นมันจะยังอยู่ที่เดิมน่ะนะ


เป็นอีกครั้งในรอบสัปดาห์ ที่ผมแวะร้านขายต้นไม้ร้านนี้ ป้ายร้านยังคงอยู่ที่เดิม ต้นไม้ยังคงวางเรียงรายอยู่เหมือนเดิม ที่แปลกไปคงจะเป็น เสียงดนตรีที่ดังออกมา

ผมเดินเข้าไปข้างในอย่างคนคุ้นเคย มาบ่อยซะจนรู้ว่า โต๊ะคนขายอยู่ตรงไหน มุมนั่งในร้านมีตรงไหนบ้าง และก็อย่างที่ผมคิด ต้นไม้ของผมนั่งดีดอูคูเลเล่อยู่ตรงนั้น

“สวัสดีครับ”

ผมเอ่ยทัก เสียงดนตรีแหลมตามสไตล์กีต้าร์ฮาวายหยุดลงทันทีเมื่อได้ยินเสียงผม คนเล่นเงยหน้ามองผม ส่งยิ้มให้ แก้มกลมๆของเธอยังคงมีสีแดงระเรื่ออย่างคนสุขภาพดี ผมมองไล่ไปที่มือคู่ที่ทำให้ผมสะดุดตาตั้งแต่ครั้งแรกที่มา มันวางแปะอยู่บนกีต้าร์สี่สายในท่าเดิม มือขวาตรงส่วนบอดี้ ส่วนมือซ้ายที่ผมเห็นนั่นสิ ทำให้ใจผมกระตุก

มือซ้ายของเธอวางอยู่ในส่วนที่ใช้กดคอร์ด นิ้วเรียวยาวตัดเล็บสั้นแบบที่ผมคุ้นตา แต่ที่ไม่คุ้นเลยคือ แหวนทองชมพูที่นิ้วนางข้างซ้ายของเธอ ไม่เจอหน้ากันเกือบสองเดือน เธอมีแหวนมาจับจองที่นิ้วนางข้างซ้ายซะแล้ว

“สวัสดีค่ะ ไม่เจอกันตั้งนาน”

“ใช่ ไม่เจอกันตั้งนาน” เสียงผมเครียดขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ เธอคงรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลง แต่ก็ยังทำใจดีสู้เสือ (เสือที่กำลังจะคลั่งด้วย ฮึ่ม)

“ดูต้นอะไรคะรอบนี้”

“แค่แวะมาดูเฉยๆน่ะแหละ คงไม่ซื้ออะไรแล้วล่ะครับ” ทั้งๆที่มั่นใจความรู้สึกของตัวเองว่าเป็นแค่ชอบ แต่พอเจออย่างนี้ ผมก็เจ็บจี๊ดๆได้เหมือนกัน

เธอร้องอ้าวเบาๆ มือคว่ำกีต้าร์ตัวเล็กไว้ข้างตัว เดินมาหาผม ถามน้ำเสียงห่วงใย

“มีปัญหาอะไรหรือเปล่าคะ ไม่สบายเหรอ นั่งพักก่อนมั้ย”

“ไม่ล่ะ” ตาผมจับไปที่มือข้างซ้ายของเธอ แหวนทองชมพูยังคงกระแทกใจผมอย่างแรง

“ลาล่ะครับ”

ว่าแล้วก็เดินดุ่มๆจากมา ไม่ได้หันกลับไปมองเลยว่า คนที่ผมอยากเจอมาตลอดเดือนสองเดือนนี้ จะทำสีหน้าเช่นไร


วันหยุดอาทิตย์นี้คุณนายแม่ของผมทิ้งผมให้อยู่บ้านคนเดียว ตัวเองหนีไปปล่อยแก่กับเพื่อนสมัยทำงานที่จังหวัดติดทะเล แต่เรื่องอาหารการกินไม่ต้องห่วงครับ เต็มตู้ ถึงแม้คุณนายจะกลับมาเย็นวันอาทิตย์ แต่จากเสบียงที่เห็น ผมว่า มันกินได้ถึงอาทิตย์หน้าเลยล่ะมั้ง

ผมนอนไกวเปลตรงที่เดิม สายลมเอื่อยๆที่พัดมา บวกกับลมเย็นๆ ทำผมเริ่มเคลิ้ม หนังสือเล่มบางที่หยิบติดมือว่าจะมานอนอ่านเริ่มไร้ประโยชน์ มันย้ายที่จากเหนือสายตาไปอยู่บนหน้าอกแทน นับแกะยังไม่ทันถึงสิบ ผมก็เริ่มจะเคลิ้มหลับ แต่เสียงออดก็มาทำลายสุนทรียภาพของผมเสียก่อน

ใครกันที่มาเยี่ยมเยือนในวันนี้

ผมเดินเลาะสวนออกมา เพื่อจะพบกับต้นไม้ของผม ยืนถือกระถางต้นไม้ใบเล็กอยู่หน้าประตูรั้วบ้าน ใบหน้ากลมส่งยิ้มให้ แก้มที่น่าหยิกยังคงทำหน้าที่ของมันได้ดี ผมเลื่อนสายตาไปยังมือซ้ายอัตโนมัติ แหวนทองชมพูย้ายไปอยู่ที่ไหนแล้วก็ไม่รู้

“เอาต้นไม้มาส่งค่ะ”

“ผมไม่ได้สั่งนี่”

“คุณแม่คุณไปสั่งไว้ที่ร้านเมื่อเช้าค่ะ บอกให้เอามาส่งให้คุณ เลือกเวลาสายๆหน่อย เพราะคุณเป็นคนนอนตื่นสาย”

แม่นะแม่ ขายกันอีกแล้ว

“ต้นอะไรน่ะ”

ผมถาม คนตอบทำหน้ามุ่ย แก้มเริ่มจะตุ่ยๆ บ่นอุบอิบ

“ใจคอจะไม่เปิดประตูให้ฉันเข้าไปหน่อยเหรอคะ ถืออยู่อย่างนี้มันหนักนะ”

เธอแค่หลอกล่อให้ผมเปิดประตูผมรู้ แหม กระถางใหญ่กว่านี้เธอยังแบกมาแล้วเลย แต่เอาเถอะ ผมยอมโดนหลอก

ผมผลักประตูรั้วเล็กให้เธอก้าวเข้ามา ก่อนจะปิดประตู รับกระถางจากมือสวยๆคู่นั้นมาถือไว้เอง ผมเดินนำหน้ามายังศาลากลางสวน มองหามุมเหมาะๆที่จะวางต้นไม้ไว้แถวๆนั้น

“ต้นอะไรล่ะครับ”

“พุดพิชญาค่ะ”

เธอว่า ชื่อนี้ทำให้ผมต้องขมวดคิ้ว ชื่อคุ้นๆ

“ชื่อร้านต้นไม้ของคุณนี่หน่า”

เธอยิ้มกว้าง รอยยิ้มของเธอทำใจผมกระตุกคืนมาจากอาการขวัญเสียยามเห็นแหวนได้เกือบร้อยเปอร์เซนต์แล้ว

“ชื่อของฉันด้วยค่ะ”

เธอก้มตัวลงนั่งยองๆที่กระถางต้นไม้ นิ้วเรียวจับกลีบดอกไม้สีขาวเล็กๆอย่างเบามือ

“พุดพิชญาเป็นพันธุ์ไม้จากศรีลังกา ชื่อของมันจริงๆแปลว่า ดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์ ชอบแดดจัดๆ ดินร่วนๆ ถึงจะไม่สวยมาก แถมไม่มีกลิ่นหอมอีก แต่มันก็เป็นต้นไม้ที่ปลูกง่าย ตายยาก” เธอเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ผม “พ่อบอกว่า ฉันก็เหมือนต้นนี้สมชื่อแหละค่ะ ไม่สวย ไม่มีกลิ่นหอมให้ใครสนใจ แต่ฉันก็เลี้ยงง่าย เข้าใจฉันนิดเดียว ฉันก็เติบโตในใจใครๆได้แล้ว”

เธอลุกขึ้นยืน หันกลับมาเผชิญหน้ากับผม ซึ่งตอนนี้ใบ้กิน เพราะไม่เข้าใจว่า อะไร ทำไม ยังไง

“แม่ของคุณไปหาฉันที่ร้าน ท่านบอกว่า มีเจ้าของต้นไม้คนหนึ่งป่วยใจอยู่ อยากได้ต้นไม้ไปให้เขาปลูก เผื่อจะดีขึ้นบ้าง”

“จริงเหรอ”

ผมถามออกไป แต่พิจารณานิสัยคุณนายแม่ดีๆแล้ว นั่นเป็นสิ่งที่ท่านทำได้แน่นอน แม่ผมชอบทำอะไรแปลกๆอยู่แล้ว

“จริงๆค่ะ ท่านบอกว่า ต้นอะไรก็ได้ แต่พอถามชื่อฉัน ท่านบอกว่า งั้นเอาต้นพุดพิชญานี่แหละ ฉันก็เลยเอามาส่งให้คุณ บริการนี้เฉพาะคุณน่ะคะ เห็นเป็นลูกค้าประจำ”

เฉพาะผม คำนี้ทำเอาตัวแทบลอย เธอมองหน้าเหมือนจะพูดอะไรอีก แต่ก็ไม่พูด งั้นผมขอเป็นฝ่ายเริ่มต้นบทสนทนาก่อนแล้วกัน

“คุณหายไปไหนมา” ผมเดินเข้ามานั่งในศาลา ส่งผลให้คนส่งต้นไม้ต้องเดินตามเข้ามาด้วย

“ฉันไปเที่ยว พักร้อนน่ะค่ะ” เธอนั่งตรงข้ามกับผม มือประสานกันบนโต๊ะ ซึ่งนั่น ทำให้ผมละสายตาไปไม่ได้อีกแล้ว “จริงๆวันนั้นฉันก็กะจะบอกคุณแล้วล่ะ แต่เผอิญฉัน เอ่อ ทำกิริยาไม่สมควรไปซะก่อน”

“เรื่องวันนั้นผมขอโทษ” ผมทอดเสียงอ่อน คราวนี้ผมรู้สึกว่า หน้าตาเธอดึงดูดความสนใจของผมได้มากกว่ามือแล้ว พวงแก้มแดงระเรื่อนั่นล่ะ น่ามองกว่าเป็นไหนๆ

“ฉันก็ต้องขอโทษ ฉันอาจจะอยากได้ยินประโยคอย่างอื่นมากกว่าก็ได้ พอมันไม่ใช่ก็เลย น็อตหลุด” เธอว่าขำๆ “แต่นั่นแหละค่ะ ฉันไปดูแลบ้านที่ต่างจังหวัดอยู่เกือบเดือน แล้วก็ไปต่างประเทศ กลับมาก็วุ่นวายเรื่องข้าวของ ต้นไม้ที่บ้าน เพิ่งมาร้านได้ไม่ถึงอาทิตย์เลย”

“ผมแวะไปร้านบ่อยๆ แต่ไม่เห็นใครเลยนอกจาก คนตัวสูงๆ หน้าดุๆ”

“พี่ชายฉันเองค่ะ”

ผมพอเข้าใจแล้วว่าทำไมเขามองผมอย่างไม่สบอารมณ์ขนาดนั้น คงพอระแคะระคายว่าผมไปก้อร่อก้อติกน้องสาวของเขาน่ะแหละ

“พี่พฤกษ์ก็บอกอยู่เหมือนกันว่าคุณมาร้าน”

“เขามองผมซะจนขวัญหายหมดเลย” ผมเริ่มเรื่องใหม่ ที่ยังค้างคาใจอยู่ “วันก่อนผมเห็นแหวนที่นิ้วนางข้างซ้ายของคุณ”

“แหวนนามสกุลของฉันเองค่ะ ปกติเวลาไปเที่ยวฉันจะใส่ไว้ หลอกคนอื่นๆน่ะค่ะว่าแต่งงานแล้ว จะได้ไม่วุ่นวาย ไม่คิดว่า แค่ลืมถอดหน่อยเดียว ใครบางคนจะเข้าใจผิดไปด้วยเลย”

ใช่ เธอทำผมเข้าใจผิดด้วยอีกคน

“ขอโทษแล้วกันนะคะ” เธอลุกขึ้นยืน “ต้องกลับร้านแล้วล่ะ พี่พฤกษ์เฝ้าร้านให้อยู่ เขาจะต้องไปทำธุระที่อื่นอีก”

“คุณรู้มั้ยว่าทำไมแม่ผมถึงบอกว่า เอาต้นพุดพิชญาก็ได้”

ผมลุกขึ้นยืนบ้าง ตาจับจ้องแขกที่ตอนนี้ทำหน้าตาครุ่นคิด ก่อนที่เธอจะส่ายหน้าแทนคำตอบว่า ไม่รู้

“แม่ผมรู้ใจลูกชายอย่างผมว่ากำลังป่วยใจเกี่ยวกับต้นไม้อยู่” ผมว่าพลางสาวเท้าเข้าใกล้ “ไม่ใช่สิ ผมป่วยใจเกี่ยวกับคนขายต้นไม้”

“ฉันน่ะเหรอ”

“ใช่” ผมสบตาเธอนิ่ง “วันนั้นที่คุณถามผมว่า ตกลงจะจีบพ่อหรือจีบลูก ใจจริงน่ะ คำตอบของผมคือจีบลูกสาวนะ แต่พอตอบผิดชอยส์ แถมเจ้าของคำถามยังหนีไปไหนก็ไม่รู้อีก ผมก็เลยป่วย”

เธอหน้าแดง หลบตาผมวุ่นวาย มือไม้อยู่ไม่สุข ผมฉวยโอกาสนี้จับมือเธอขึ้นมาทั้งสองข้าง มือของเธอยังคงนุ่มเหมือนเดิม ไม่ต่างจากที่ผ่านๆมา

“แม่ไปถาม อยากให้เอาต้นไม้มาส่ง ต้นอะไรก็ได้ ผมรู้ เป็นแม่ลูกกันมาตั้งเกือบสามสิบปี ถ้าคุณตอบว่าคุณชื่ออะไร แม่ผมก็จะบอกว่าเอาต้นนั้น ถ้าคุณชื่อ นก แมว หนู แม่ก็จะบอกให้หาต้นนก ต้นแมว ต้นหนูมาส่งให้ผมให้ได้ โชคดีที่คุณชื่อพุดพิชญา เพราะผมว่า คุณคงนึกภาพต้นนก แมว หนู ที่แม่ผมว่าไม่ออกแน่ๆ”

ต้นไม้ของผมหัวเราะกิ๊ก นึกภาพตามแล้วเธอคงขำ

“ที่ผมต้องการน่ะ ไม่ใช่ต้นพุดพิชญาในกระถางที่คุณอุตส่าห์ยกมาให้หรอก แต่เป็นพุดพิชญาที่ยืนอยู่ตรงหน้าผมตรงนี้ต่างหากล่ะ” ผมอมยิ้ม ชอบจริงๆยามเห็นสีหน้าของเธอขัดเขิน เธอสบตาผม ในแววตานั้น ผมเห็นรอยแห่งความคาดหวังจางๆ “คุณจะเป็นต้นไม้ในหัวใจของผมได้มั้ย”

“เป็นดอกไม้ได้มั้ย” เธอถาม

“ไม่ได้” ผมตอบเสียงนุ่ม (เท่าที่ชีวิตนี้จะเคยทำมา) “เป็นต้นไม้ล่ะ มั่นคง ร่มเย็น พุดพิชญาออกดอกทั้งปีหรือเปล่า ต้นมันคงแข็งแรงพอที่จะฝังรากไว้ในใจผมนานๆนะ”

“นานแค่ไหน”

“ก็จนกว่าหัวใจจะหมดแรง”

เธอยิ้มกว้าง

“ตกลงนะ”

เธอสบตาผม ถามคำถามที่ทำให้คนฟังต้องหัวเราะ

“คุณมือเย็นใช่มั้ย”

“คุณก็เห็นต้นไม้ในบ้านผมแล้วหนิ” แน่นอนครับ อย่าไปกระซิบบอกเธอล่ะว่าแม่ผมช่วยปลูก

“ต้นพุดพิชญาต้นนี้ไม่ต้องอาศัยคนมือเย็นมากหรอก ถามเผื่อไปงั้นแหละ กลัวพ่อไม่ชอบ” เธออมยิ้มน้อยๆ

“สรุปว่าตกลง” ผมยังอยากได้คำยืนยันเพื่อความมั่นใจ

“ถ้าเลี้ยงต้นพุดพิชญาในกระถางนั่นให้ไม่ตายได้ พุดพิชญาตรงหน้าต้นนี้ก็ไม่ตายง่ายๆหรอกค่ะ จะฝังราก เกี่ยวใจให้แน่น ไปไหนไม่ได้เลย คอยดู”

เธอว่าอย่างมันเขี้ยว แก้มกลมๆของเธอทำเอาผมอยากจะก้มลงสูดความหอมดูสักที แต่ไม่เอาดีกว่า เรายังมีเวลาปลูกต้นรักด้วยกันอีกนาน

เพราะถ้าต้นไม้ต้นหนึ่งเติบโตได้เป็นสิบเป็นร้อยปี ต้นรักของเราก็น่าจะอยู่ยืนยิ่งกว่านั้น ผมกับเธอจะขยันรดน้ำ พรวนดิน ใส่ปุ๋ย ใส่ใจ ดูแล มันคงไม่ตายได้ง่ายๆหรอก

อย่าลืมเอาใจช่วยผมด้วยแล้วกันนะครับ

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

อยากเขียนเรื่องสั้นเกี่ยวกับต้นไม้มานานแล้ว เรียกว่าชื่อเรื่องนี้ตั้งรอไว้เป็นปีสองปีแล้วค่ะ 555
พอดีเกิดอาการเบื่อบทความที่ต้องเขียนส่ง แว๊บมาเขียนเรื่องสั้นก่อนดีกว่า จะได้มีแรงปั่นบทความต่อได้อีก

เป็นเรื่องสั้น ที่ยาวที่สุดเท่าที่เคยเขียนมาเลยค่ะ (ไม่นับเรื่องยาดมนั่นนะ เพราะอันนั้นยังเขียนไม่จบ 555)

เขียนไปเขินไป อยากเป็นคนปลูกต้นไม้บ้างงงงง

@^__^@



สะเรนี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 21 มิ.ย. 2554, 03:12:53 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 ก.ค. 2559, 19:42:11 น.

จำนวนการเข้าชม : 2226





<< ความลับ   บางคำรัก (ครึ่งแรก) >>
mottanoy 21 มิ.ย. 2554, 05:57:20 น.
หนุกค่ะชอบ


น้องแสตมป์ 21 มิ.ย. 2554, 06:59:40 น.
น่าร้ากกกกอ่ะ


ลูกกวาดสีส้ม 21 มิ.ย. 2554, 10:55:51 น.
หวานแหววค่ะ


คิมหันตุ์ 21 มิ.ย. 2554, 11:14:25 น.
น่ารั๊กอ่ะ ^ ^


ปูสีน้ำเงิน 21 มิ.ย. 2554, 14:35:01 น.
ชอบเหมือนกันเลย ที่บ้านเคยมีอยู่ต้นนึง แต่มาตายตอนน้ำท่วมที่ผ่านมานี่เองเสียดายมาก นี่ว่าจะไปหามาลงกระถางใหม่นะ

ปล.เนื้อเรื่องน่ารักมากๆ แล้วเอาเรื่องสั้นมาลงอีกนะ


ธารณ์ 21 มิ.ย. 2554, 16:33:54 น.
น่ารักดีค่ะ ^0^


tity 21 มิ.ย. 2554, 20:42:59 น.
น่ารัก


สะเรนี 21 มิ.ย. 2554, 21:19:15 น.
หวัดดีค่า

คุณ mottanoy ... ขอบคุณค่า
คุณ น้องแสตมป์ ... ขอบคุณค่า
คุณ ลูกกวาดสีส้ม ... แหววมากป่าว 555
คุณ คิมหันตุ์ ... ขอบคุณค่ะ
คุณ ปูสีน้ำเงิน ... ที่บ้านมีเหมือนกันค่ะ ตอนนี้มาอยู่ห้องตัวคนเดียว ว่าจะหามาปลูกอีก มันปลูกง่ายจริงๆเนาะ
คุณ ธารณ์ ... ขอบคุณค่า
คุณ tity ... ขอบคุณค่ะ


Setia 22 มิ.ย. 2554, 09:02:17 น.
น่ารักดีนะคะ


หยกสีน้ำผึ้ง 15 ก.ค. 2554, 22:19:23 น.


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account