(เรื่องสั้น)
รวมเรื่องสั้นค่ะ

เขียนขึ้นในวันที่อารมณ์ดี
และอยากให้คนอ่าน อ่านแล้วอารมณ์ดีตามเหมือนกัน

@^__^@
Tags: เรื่องสั้น

ตอน: บางคำรัก (ครึ่งแรก)

นี่เป็นปิดเทอมแรกของการเรียนมหาวิทยาลัย ที่ฉันไม่ได้ลงเรียนซัมเมอร์ !!!

อยากจะก่นด่าระบบลงทะเบียนอันแสนไฮเทค ไฮโซ แต่โลว์ควอลิตี้เสียจริงๆ มีอย่างที่ไหน ทำเด็กปีสามที่กำลังมุ่งมั่นจะเก็บหน่วยกิตเพื่อให้จบสามปีครึ่งอย่างฉัน พลาดลงทะเบียนวิชาที่ร่ำลือกันมาทั้งคณะว่า เกรดง่าย เรียนสบาย แต่ต้องลงตอนซัมเมอร์เท่านั้นนะ แล้วดูสิ ทุกคนเลยแห่แหนกันไปเรียน เล่นเอาฉันที่ตื่นมากดลงทะเบียนช้าไปไม่กี่นาที แถมมาเจอระบบล่มเอาๆ จนต้องพาลพบกับคำว่า "วิชาที่คุณเลือก มีคนลงทะเบียนเต็มแล้วค่ะ"

หมายมั่นปั้นมือมาทั้งเทอมว่าจะเรียนวิชานี้ พอพลาดปุ๊บ จะไปทำอะไรได้นอกจาก เก็บกระเป๋ากลับบ้านนอก ไปนอนเล่นให้ยายเลี้ยงที่ต่างจังหวัดดีกว่า

และนั่น คือเหตุผลที่ทำให้ฉันแบกกระเป๋ากลับมาจังหวัดหนึ่งทางภาคเหนือ บ้านเกิดของแม่ ที่แต่ละปี ฉันจะได้กลับมาแค่ช่วงสงกรานต์ จนเริ่มเรียนปริญญาตรีนี่แหละ ที่การเรียนหนักหน่วงจนกลับไม่ไหว แต่เพราะไอ้วิชาเฮงซวยนั่น ฉันเลยมานั่งจุ้มปุ้กอยู่กับยายและตาตรงนี้

อ้อ ไม่ใช่มีแค่ยายและตาสิ กลับมารอบนี้ มีผู้ชายแปลกหน้าเข้ามาอยู่ในบ้านด้วยอีกหนึ่งคน


“หวัดดีหมอโต้งเขาสิลูก” ยายบอกฉัน ประหนึ่งเหมือนฉันเป็นเด็กอายุไม่กี่ขวบ ให้ธุเจ้าผู้ชายแก่กว่าสักสิบปี ไม่ใช่สี่ห้าปี จากที่ฉันคาดคะเนบนใบหน้าอย่างนี้

แต่เมื่อยายบอก ฉันก็ทำ ฝ่ายนั้นรับไหว้ ก่อนจะขอตัว

หมอโต้ง เป็นนายแพทย์ที่มาประจำที่โรงพยาบาลตำบลที่ยายฉันอาศัยอยู่ แต่ด้วยความขลุกขลักในเรื่องที่พัก เพื่อนของแม่ ซึ่งเป็นพยาบาลอยู่ที่นั่นจึงแนะนำให้หมอมาเช่าบ้านยายฉันอยู่ก่อนชั่วคราว จนกว่าบ้านพักจะเรียบร้อย ฉันฟังมาถึงตรงนี้ก็งง แล้วทำไมต้องเป็นบ้านนี้ด้วยล่ะ ในเมื่อบ้านฉันก็ไม่ได้ใกล้โรงพยาบาลสักหน่อย แต่เอาเหอะ ถ้ายายจะมีรายได้เข้ามาอีกทาง ฉันก็ไม่ว่าอะไร ดีเสียอีก เขาไม่ค่อยอยู่ห้อง กับข้าวกับปลาก็หากินเอง เป็นหมออีก ดูท่าจะเรียบร้อยและสะอาดสะอ้านอยู่ ไม่น่าจะทำอะไรให้ตาและยายแก่ๆของฉันต้องเป็นกังวล

ที่จะไม่ดีอยู่อย่างก็ตรง เขามาอาศัยห้องที่ฉันใช้เป็นที่เก็บสมบัติในวัยเด็กนี่สิ ถามยาย ยายก็ไม่รู้ไม่เห็นไอ้กล่องสมบัติกล่องเล็กๆของฉันเสียด้วย ส่วนจะให้ไปถามเขา ฉันก็ไม่กล้าหรอก หรือจะแอบเข้าห้อง ไปหอบเอากล่องที่ว่านั้นออกมาดี หากก็ทำได้แค่คิด เพราะแค่ชะโงกหน้าลงมาดูลาดเลา ฉันก็พบรังสีอำมหิตอบอวลไปทั่ว

มาอยู่แค่ไม่กี่อาทิตย์ หมอโต้ง ทำให้ห้องเก็บสมบัติของฉันมีกลิ่นอายของเขาได้มากขนาดนั้นเชียว


ช่วงเวลาแสนสุขที่บ้านยายของฉันก็ตรงกับที่ว่าไว้ทุกประการ นั่นคือ ตื่นมา กิน กินเสร็จ นอน นอนเสร็จกินอีกรอบ ก่อนที่จะลงไปขลุกอยู่ชั้นล่างเพื่ออ่านการ์ตูนเช่า บ้านยายของฉันเป็นบ้านยกพื้นสูงตามแบบโบราณ เหมือนบ้านหลังอื่นๆในละแวกนี้ ต่างตรงที่ มีการก่อห้องชั้นล่างเอาไว้เล็กๆ แบ่งเป็นสองห้อง พร้อมประตูบานเฟี้ยมไว้เปิดปิด เอาไว้เพื่อใช้จอดรถ และห้องชั้นล่างนี่แหละ ที่กลายเป็นห้องพักของหมอโต้ง เพราเขาสามารถเข้าออกได้เลย ไม่ต้องทรมานคนแก่ให้มารอเปิดประตูในยามกลับดึกๆ แล้วรถของเขา ก็สามารถจูงเข้ามาเก็บในบ้านได้เลย แต่อยู่แยกจากห้องนอนเป็นสัดเป็นส่วน ไม่ต้องกลัวหาย ที่จะลำบากก็คือเรื่องห้องน้ำ ที่เขาจะต้องเดินขึ้นมาอาบบนบ้าน จะว่าไป ฉันก็ไม่ค่อยเจอเขาหรอกนะ เพราะเขามักจะออกไปทำงานแต่เช้า กลับมาตอนไหนฉันก็ไม่รู้ เพราะถึงฉันจะตื่นสาย แต่ฉันก็นอนเร็วกว่าชาวบ้านชาวช่องเขาเหมือนกัน มาอยู่อย่างนี้ พอข่าวจบก็ไม่ค่อยมีอะไรทำแล้ว เนื่องจากฉันก็ไม่ดูละคร อินเตอร์เนตก็ไม่มีให้เล่น ได้แต่นั่งแหง่วไปวันๆ

ขนาดฉันที่ว่าชินๆ เพราะอยู่มาตั้งแต่เด็กๆยังเบื่อ แล้วหมอที่เพิ่งมาประจำใหม่ๆอย่างนี้ จะไม่เบื่อ เซ็งและอยากย้ายกลับมากขนาดไหนกันเชียว


“ไหนใครบอกเรียนสบายวะ ไอ้กิ่ง แกโชคดีแล้วรู้ไหม ฮือ...อ”

เสียงเพื่อนโทรศัพท์มาบ่น (หรือว่าโวยวาย) วิชาเกรดง่าย เรียนสบายที่ใครๆพากันทุ่มเทลงทะเบียนจนระบบล่ม เผอิญว่าเป็นปีเฮงเมื่ออ.เจ้าของวิชาจริงๆไม่อยู่ ได้อ.พิเศษมา ในแบบฉบับที่ โหดมาก...ก มันเลยกลายเป็นว่าฉันโชคดีไปที่ลงทะเบียนไม่ทัน

“ฉันจะตายอยู่แล้ว เมื่อไรแกจะกลับเนี่ย กลับมาช่วยทำรายงานหน่อย”

“ไอ้บ้า เปิดเทอมได้สองอาทิตย์ มีรายงานแล้วเหรอ” ฉันถามกลับ ชี้โทรศัพท์ในมือให้ยายดูว่า จะไปคุยกับเพื่อนนะ แล้วเดินเลี่ยงออกมาที่บันไดอีกฝั่ง ก็ฝั่งที่พุ่งตรงลงไปห้องหมอโต้งน่ะแหละ ไฟข้างล่างยังปิดมืด เขาไม่อยู่ ฉันก็สามารถคุยเสียงดังได้ ไม่ต้องเกรงใจเหมือนตอนคุยอยู่ตรงที่ยายดูทีวี

“เออดิ อ.จะโหดไปไหนไม่รู้ นี่ฉันนับวันรออยู่ว่าเมื่อไรจะสงกรานต์ เออ แกจะกลับมาเล่นน้ำที่กรุงเทพมั้ย ข้าวสารไปป่าว”

“ไม่เอาอ่ะ” ฉันเบ้หน้า แทบจะแลบลิ้นใส่ด้วยซ้ำ “คนเยอะ น่าเบื่อ แออัด เดี๋ยวเล่นแถวนี้ล่ะ เห็นพี่ข้างบ้านว่าจะขึ้นกระบะ ไม่ก็ขอไปสิงอยู่หน้าบ้านใครสักคนเอา”

แล้วฉันก็โม้กับเพื่อนไปเรื่อยเปื่อย สัพเพเหระ คุยเรื่องนู้น ทะลุออกเรื่องนี้ วกกลับมาเรื่องเดิม เม้าท์ ให้สมกับที่ไม่ได้เม้าท์กันมาแสนนาน โม้เพลินจนฉันลืมสังเกตว่า ไฟชั้นล่างเปิดแล้ว และมีเสียงคนเดินขึ้นบันไดมา

“เฮ้ย แก ฉันลืมเล่าว่ะ มีคนมาเช่าห้องที่บ้านฉันอยู่อ่ะ เป็นหมอ”

เสียงเพื่อนกรี๊ดมาทางโทรศัพท์ ทำเอาฉันต้องหัวเราะ ว่าแล้วเชียวว่าถ้าเล่าต้องได้ยินเสียงกรีดร้องด้วยความอยากเห็น

“หน้าตาเป็นไงวะ”

“ก็ขาวๆ ตี๋ๆหน่อย ใส่แว่นด้วยนะ สูงด้วยมั้ง จำไม่ได้แล้วว่ะ ตั้งแต่มาอยู่ เพิ่งเจอหน้าครั้งเดียว อะไรนะ จะให้ถ่ายรูปให้ดู ฝันไปเถอะย่ะ ฉันจะเอาเวลาที่ไหนไปเจอเขา นี่ก็ยังไม่กลับเลย ไฟไม่เห็นเปิด อ๊ะ”

ท้ายประโยคเริ่มเปลี่ยน เมื่อหันกลับมาไม่ได้พบว่าไฟเปิดแล้ว แต่เป็นเจ้าของห้องนั่นต่างหาก ที่ยืนมองอยู่ก่อนแล้ว มือที่ถือโทรศัพท์พาลจะร่วง ฉันยกมือไหว้เขางุดๆ

“สวัสดีค่ะหมอ เอ่อ ขอโทษค่ะ” ประโยคหลังขอโทษทั้งที่มารบกวนในส่วนนี้ และขอโทษที่เผลอนินทาไปเต็มๆ

“ไม่เป็นไรครับน้อง” เขายิ้มให้ แต่ฉันไม่ทันจะจับอะไรได้มากหรอก หน้ามันเอาแต่ก้ม และค่อยๆเดินเลี่ยงออกมา

“คุยต่อก็ได้นะ ผมขึ้นมาดูเฉยๆว่าเสียงอะไร นึกว่าผีหลอก ได้ยินงึมงำๆ เดี๋ยวก็หัวเราะ เดี๋ยวก็เงียบ”

ว่าแล้วก็หัวเราะหึหึ ก่อนจะเดินลงบันไดไปยังห้องส่วนตัวของเขา แต่มันเป็นห้องเก็บสมบัติของฉัน

“ไอ้กิ่ง เป็นไรวะ เมื่อกี้เสียงผู้ชายที่ไหนวะ เสียงหมอเหรอ”

“เออ เสียงหมอ” ฉันกระซิบ “หมอแม่งดุว่ะ หาว่าฉันเป็นผี ตูจะบ้า”

ฉันแทบจะด่าคนที่เพิ่งเดินลงไปนั่นด้วย ไอ้หมอบ้า แต่คำด่าแทบจะหลุดหาย เมื่อได้ยินเพื่อนบอกกลั้วหัวเราะ

“เขาเจอแกตอนผูกสามแกละอยู่หรือเปล่า ทรงผมนั้นของแกอ่ะ ไม่ใช่ผีก็เหมือนคนบ้าอยู่แหละวะ”

ไอ้เพื่อนบ้า ทำเป็นรู้ดี


หลังจากเจอกันไม่ทันรู้ตัวในวันนั้น ชีวิตของฉันกับคนเช่าบ้านก็ไม่ค่อยโคจรมาเจอกันอีก บางทีฉันก็ชักจะเลือนๆว่าเออ ฉันมีคนอยู่ร่วมบ้านด้วยนะ จนกระทั่งวันนี้

“อ่าว หมอโต้งหยุดเหรอ”

ยายของฉันทักคนที่กำลังเดินออกมาจากห้องน้ำ ในสภาพล่อแหลม หมิ่นเหม่ต่อสายตากุลสตรีหื่นอย่างฉันมาก ผ้าขนหนูสีขาวผูกอยู่ตรงเอว หยดน้ำแพรวพราวเกาะอยู่เต็มกล้ามอก กล้ามแขน และเอ่อ กล้ามท้องขาวๆนั่น มันทำให้ฉันตาค้าง

ไม่ใช่แค่ฉันที่ช็อคกับสภาพที่เห็น แต่หมอก็ดูทำหน้าช็อคๆกับคนที่มาเห็นด้วย

“ครับยาย ขอโทษทีครับ”

“โทษทีๆ ยายเดินมาเอาของอ่ะจ้ะ กิ่ง ไปหยิบมาสิลูก” ยายชี้นิ้วสั่งฉันให้เดินไปยกกล่องที่ตั้งอยู่มุมบ้านมา อันที่จริง มันก็ไม่ใช่ความผิดเขานะที่จะออกมาในสภาพนี้ บ้านฝั่งนี้ไม่ค่อยมีใครเข้ามาใช้กันนักหรอก มันเลยเป็นที่สุมของ และก็ว่างจนฉันเข้ามาคุยโทรศัพท์ได้นั่นไง

“ผมช่วย”

เขากุลีกุจอเดินเข้ามาช่วยยก กล่องที่มันก็ไม่ได้ใหญ่และหนักมากหรอก ฉันยกไหวน่า อย่า !! บอกว่าอย่าเดินเข้ามา กล้ามขาวๆมันทำให้ตาลาย พาลจะเป็นลม

“ไม่เป็นไรค่ะ หนูยกได้”

ฉันยื้อเขาไว้ด้วยประโยค พร้อมแสดงท่าทีเหมือนรังเกียจเพราะเล่นหันหลังบังกล่องซะมิด เขาคิดไงไม่รู้ แต่จริงๆแล้วฉันไม่ได้รังเกียจนะ แต่ฉันอายหุ่นเขา ฉัน แพ้ กล้าม

“เอ่อ หมอเพิ่งอาบน้ำเสร็จ เดี๋ยวเปรอะค่ะ”

ฉันว่า พลางค่อยๆอุ้มกล่องขึ้นมา

“คุณยายจะเอาไปทำอะไรเหรอครับ” เขาถาม เสียงดังอยู่ข้างๆหูนี่เอง ฉันประคับประคองกล่องก่อนจะค่อยๆปลีกตัวออกมา ห่างจากจุดที่เขายืน เพราะกลิ่นสบู่ มันยังลอยติดจมูกอยู่เลย

“บ้านยายชมที่อยู่บ้านใต้น่ะหมอ จะมีงานบุญ ยายเลยจะเอาพวกจานชามไปไว้ เดี๋ยวก็จะให้กิ่งมันเอาขึ้นรถเครื่องไป หมอว่างก็ไปได้นะ งานทำบุญวันเกิดน่ะจ้ะ อังคารหน้า”

“ผมเข้าเวร แต่ก็ขอบคุณนะครับ”

ยายยิ้มให้ ก่อนจะเดินตามหลังฉันออกมา ตอนนี้ในหัวของฉันมันไม่ได้เป็นภาพอะไรทั้งนั้นแหละ นอกจากภาพหมอนุ่งผ้าเช็ดตัว มีหยดน้ำเกาะแพรวพราว ถ้าในนิยายที่ฉันเคยอ่าน เขาจะเรียกผู้ชายผิวเข้มโชว์อกและซิกส์แพ็คว่า ผิวช็อกโกแลต อย่างหมอโต้งก็คงไม่ต่างกัน แต่เป็นไวท์ช็อกโกแลตสินะ

ให้ตายเหอะ ฉันชอบกินไวท์ช็อกโกแลต


วันสงกรานต์ เป็นวันที่ฉันรอคอยมาตลอดตอนสมัยเด็กๆ รอ ที่จะได้ขึ้นรถกระบะเล่นสาดน้ำกับใครๆเขา รอ ทั้งๆที่รู้ว่า หลังจากความสนุก มันจะเป็นความหนาวสั่นและทรมาน ยามที่เราทั้งเปียกม่อล่อกม่อแลก ทั้งเพลียแดด และเหนื่อยมาทั้งวัน ช่วงขากลับนี่แหละ มันจะทรมานลมอย่างสุดๆเลย

นี่ก็เป็นอีกปี ที่ฉันอาศัยเกาะรถกระบะเขาไปเที่ยวเล่น แต่ต่างจากตอนเด็กๆตรงที่ ฉันแทบจะกลายเป็นผู้นำกลุ่ม เป็นหัวโจกคอยกำกับดูแลเด็กๆบนรถซะแล้ว

ฉันเตรียมตัวออกจากบ้านตั้งแต่เช้าตรู่ หลังจากกินข้าวเสร็จ สวมหมวกและหอบขันเรียบร้อย ฉันก็เดินมาที่รถจักรยานคู่กาย แต่ภาพที่เห็นทำเอาเสียฤกษ์ ยางแบนแต๊ดแต๋เชียว

“ยาย ที่สูบอยู่ไหนอ่ะ วันก่อนหนูยังเห็นตรงข้างกี่ทอผ้าเลย”

“หมอโต้งยืมไปนะกิ่ง ลองไปดูที่ห้องหมอสิ เบาๆนะ เผื่อหมอจะยังไม่ตื่น”

ฉันตาเหลือก ไม่ได้เหลือกเพราะกลัวไปทำเสียงดังจนหมอตื่น แต่เหลือกเพราะกลัวหมอจะตื่นมาโชว์ไวท์ช็อกโกแลตนั่นอยู่แล้วต่างหากเล่า

ฉันย่องขึ้นบันไดบ้าน ย่องๆเข้าเขตบ้านฝั่งที่หมออยู่ ชะโงกหน้าลงไปดูลาดเลา รถเครื่องของหมอยังจอดอยู่ และที่สูบที่ฉันต้องการก็อยู่ไม่ห่างกัน หมอจะเอามาทำอะไร ที่สูบอย่างนี้มันสูบกับรถมอเตอร์ไซค์ได้ที่ไหนเล่า

ฉันก้าวลงบันไดอย่างเร็ว แต่พยายามทำให้เสียงเบาที่สุด ความลำบากของการอยู่บ้านไม้ก็อยู่ตรงนี้แหละ เดินลงส้นเท้าหน่อยนึงก็เสียงดังแล้ว ก้าวลงมาถึงขั้นสุดท้ายได้ ฉันก็แทบจะถลาไปหยิบที่สูบ จังหวะเดียวกับที่มือกำลังแตะ ประตูห้องหมอก็เปิดออกพอดี

“เฮ้ย / เย้ย”

เสียงแรกมาจากปากบางของไวท์ เอ๊ย ของหมอโต้ง ส่วนเสียงหลัง เป็นเสียงของฉันเอง

หมอมองหน้าฉันงงๆ ก่อนจะหลุดขำออกมา ส่วนฉัน จ้องหน้าหมอนิ่ง ไม่กล้ามองต่ำไปกว่าคอ กลัวหมอโชว์กล้ามน่ะ

“ว่าไงครับ”

หมอถามยิ้มๆ เดินตรงเข้ามาหา อย่า !!! อย่าเดินมาใกล้ ตอนนี้ฉันมองต่ำกว่าคอหมอและเจอกับ เสื้อกล้ามสีขาว พร้อมกางเกงม่อฮ้อมผ้าเปื่อย ชุดนอนหมอเหมือนชุดนอนพ่อฉันเลยแฮะ

“มะ มาเอาที่สูบยางค่ะ หมอไม่ทำงานเหรอคะ” ฉันคว้าที่สูบไว้แนบอก ทั้งๆที่ควรจะตอบแล้วบอกลา ทำไมฉันถึงถามกลับอย่างนั้นก็ไม่เข้าใจ

“อาบน้ำแล้วก็จะออกไปแล้วล่ะ จะไปเล่นสงกรานต์เหรอ”

“ใช่ค่ะ”

“ผมทรงนี้เท่ดีนะ แต่ผมเห็นทีไรตกใจทุกที”

หมอเดินเข้ามาใกล้อีกนิด แต่ยังรักษาระยะห่างกันอยู่ ให้ใบหน้าฉันอยู่ตรงกับหน้าหมอ ซึ่งในความจริง ถ้ายืนเทียบจริงๆ หน้าฉันน่าจะอยู่แถวๆ ไหล่หมอมากกว่า แต่ฉันเริ่มงง ทรงผม เอ๊ ฉันก็ไว้ผมซอยตามประสาวัยรุ่น หมอก็น่าจะเห็นบ่อยๆ มันจะเท่ตรงไหน เหวอ...อ

ฉันอ้าปากค้าง เมื่อนึกออกว่าฉันผูกผมสามแกละเพื่อเตรียมไปเล่นน้ำเต็มที่ แกละหนึ่งชี้อยู่ทางซ้าย แกละหนึ่งชี้อยู่ทางขวา อีกแกละเป็นทรงซามูไรอยู่กลางหัว ชี้ขึ้นประหนึ่งหงอนไก่สั้นๆ เพราะผมหน้าของฉันมันยาวไม่เท่ากัน นี่สินะ ทรงเท่ของหมอ ฮือ...อ ฉันอาย ขอสัญญากับตัวเองตรงนี้เลยว่า ถ้าหมออยู่ ฉันจะไม่ทำผมทรงนี้อีกเด็ดขาด

ไอ้หมอบ้า มาแซวเขา แงงงงง


“ฮัดเช้ย”

“เล่นน้ำสามสี่วัน เป็นไข้เลยเห็นมั้ยกิ่ง ยายบอกแล้วแดดมันแรง อย่าออกไป”

ยายดุเมื่อเห็นฉันจามเป็นรอบที่ร้อยของวัน แหม นิดๆหน่อยๆ นานๆทีจะได้ปล่อยแก่ เล่นน้ำสงกรานต์แบบนันสต็อปอย่างนี้สักที แต่ก็คงจะเพราะแก่จริงๆน่ะแหละ จมูกฉันถึงได้ฟุดฟิดน้ำมูกไหลย้อยแบบนี้ ทีตอนเด็กๆไม่เห็นเป็นไร

“ไปหาหมอมั้ย แต่เอ๊ะ เราก็มีหมออยู่นี่หน่า”

ง่ะ ยายจะไปกวนเขาทำไม ฉันว่าออกไปตามที่คิด แถมสำทับอีกรอบว่า กินยาเดี๋ยวก็หาย

“นี่ตาก็เข้าไปนอนที่สวน มะรืนยายก็จะไปนอนวัด อยู่คนเดียว อยู่ได้ป่าวกิ่ง เห็นเราไม่สบายอย่างนี้ ไม่อยากปล่อยไว้เลย จะหาข้าวหาปลากินยังไง”

“โธ่ ยายจ๋า” ฉันสูดน้ำมูกฟืด ไออีกนิดหน่อย “ไปเหอะ อยู่ได้ๆ ไม่ต้องห่วง”

ยายฉันต้องไปนอนวัดเพื่อรักษาศีลทุกๆวันพระ เมื่อตอนสงกรานต์ที่เป็นวันพระใหญ่ก็ไปมาแล้วรอบหนึ่ง ถัดมาอาทิตย์นี้ ยายก็ต้องไปนอนอีก แต่ว่า คราวนี้จะไปเตรียมงานวัดประจำปีที่กำลังจะมีขึ้นอีกสองอาทิตย์ด้วย อาจจะดูแปลก แต่สงกรานต์บ้านยายฉันไม่มีงานอะไรหรอก นอกจากทำบุญตามธรรมดา แต่หลังจากนั้น จะมีงานวัดที่ถือเป็นงานช้างของตำบลเลยก็ว่าได้ คราวนี้ฉันก็หมายมั่นปั้นมือเต็มที่ ยิงปืน ปาโป่ง ชิงช้าสวรรค์ แม่จะเล่นให้หมดเลย ฮ่าๆๆๆๆๆ

“เดี๋ยวต้องฝากหมอโต้งให้ช่วยดูแล”

ยายง่ะ ทำอย่างกับเจอเขาบ่อยๆ

“โอ๊ย หมอเขาก็ธุระเยอะอยู่แล้ว จะไปกวนเขาทำไม อีกอย่าง กว่าเขาจะกลับ หนูก็ปิดไฟปิดบ้านนอนแล้วยาย เอาน่า ไม่ต้องห่วง”

ฉันแทบจะเข้าไปกอดประจบ ถ้าไม่ติดว่ากำลังเป็นหวัดและใกล้จะจามรอบที่หนึ่งร้อยหนึ่งของวันแล้วล่ะก็ ... ฮัดเช้ย


“ไอ้กิ่งงงงง เมื่อไรจะกลับ”

เพื่อนฉันโทรมาโวยวายกรีดร้องเป็นรอบที่สิบนับตั้งแต่ลงเรียนซัมเมอร์

“กลับมาได้หรือเปล่า กลับมาหาฉันทีได้ไหมคนดี ...”

มันร้องเป็นเพลง เรียกเสียงหัวเราะจากฉันได้ดีทีเดียว ฉันเปิดประตูบานเฟี้ยมหน้าบ้าน ปล่อยหมาออกจากสุ่มไก่ (อ่านไม่ผิดค่ะ หมาบ้านฉันมันนอนในสุ่มไก่ ติดมุ้งกันยุงด้วยนะ) ไอ้กิ้งโคล้งตัวดีกระดิกหางดิ๊กๆ เลียมือฉันแผล่บๆ ก่อนสะบัดตูดลงจากบ้าน ไปเที่ยวเล่นตามประสาของมัน

“ยังไม่กลับ คิดถึงกันล่ะซี่” ฉันปีนขึ้นนั่งบนระเบียง มองดูหยดน้ำค้างที่เกาะอยู่บนดอกกล้วยไม้ สายตาเลยไปถึงหน้าต่างห้องฉันล่าง มันเปิดอยู่ แปลว่าหมอยังไม่ออกจากบ้านสินะ

“คิดถึงแก และรายงานของฉัน ฉันกำลังจะตายยยยยย” แล้วมันก็บ่นเกี่ยวกับอาจารย์สุดเฮี้ยบมาอีกยืดยาว เล่นเอาฉันหัวเราะก้องตั้งแต่เช้า วันที่ต้องอยู่คนเดียวนี่เลย

“เอาน่า กลับก่อนแกส่งรายงานแน่ เดี๋ยวจะไปช่วย”

“แล้วไม่มีออนลงออนไลน์บ้างเลยนะ ช่วยทางนั้นก็ได้”

“บ้านไม่มีเนตเล่น ส่วนโทรศัพท์ แกก็เห็นว่ารุ่นใหม่ล่าสุดแค่ไหน ถ่ายรูปได้ก็บุญแล้ว” เอาจริงๆนะ เทคโนโลยีกับฉันนี่ไม่ถูกโฉลกกันเลย

เพื่อนบ่นอะไรมายืดยาว วันนี้ก็เป็นอีกวันที่มันต้องไปเรียนซัมเมอร์ วิชาเรียนง่าย ที่กลายเป็นเรียบแทบตายก็อาจจะไม่ได้ A ขึ้นมา ฉันหัวเราะ สลับกับโต้ตอบเพื่อน เริ่มเม้าท์เพื่อนจนเสียงเริ่มดัง พอนึกได้ก็หรี่เสียง เบือนสายตากลับไปยังหน้าต่างห้อง ก็เห็นยังเปิดอยู่ ก่อนจะกลับมาเม้าท์ต่อ สลับกับมองไปอย่างนั้นเรื่อยๆ พอเพื่อนถึงมหาวิทยาลัยก็วางสาย ฉันก็ชักจะสงสัย ตกลงหมอไปทำงานแล้วลืมปิดหน้าต่างหรือเปล่าวะ ไม่ได้การ ต้องลองไปด้องๆมองๆ

ฉันเดินลงบันไดหน้าบ้าน บักกิ้งโคล้งมองมาแป๊บนึง ก่อนจะนอนหมอบอย่างขี้เกียจอยู่ ชิชิ ไอ้หมาติดตา ฉันรู้ว่ามันกำลังงอนที่ไม่ได้ไปสวนด้วย แต่ตากลัวฉันจะเป็นอะไรเลยให้มันอยู่เฝ้าบ้านเป็นเพื่อน ดูจากสภาพตอนนี้ ฉันชักไม่แน่ใจว่าใครต้องเฝ้าใครแทน ฉันมองเมินมันก่อนจะเดินดุ่มๆ ย่องๆ มายังหน้าต่างห้องหมอโต้ง ชะโงกหน้าไปดูนิดนึง สภาพห้องดูเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย มันดูใหม่ขึ้น ข้าวของก็ไม่ได้รกอย่างเมื่อก่อน ฉันกวาดตามองซ้ายมองขวา หาไม่เจอว่าหมอนอนตรงไหน มันมีมุมอับที่ทำให้ฉันมองไม่เห็น คาดว่ามุมนั้นล่ะมั้ง ที่หมอนอนอยู่

แต่ฉันไม่รู้เลยว่า มุมอับที่ฉันมองไม่เห็น มันกลับเป็นมุมที่ทำให้คนที่นั่งอยู่บนฟูก มองเห็นฉันได้ชัดเจน

“มีอะไรเหรอครับ”

เสียงหมอโพล่งออกมาทำฉันผงะ แต่ผงะผิดข้างไปนิด หน้าผากเลยชนกับขอบหน้าต่างอย่างจัง

“โอ๊ย” ร้องออกมาแล้วก็ไอ ด้วยสำลักน้ำลาย เจ้าของห้องรีบปรี่เข้ามาดูฉัน มีแค่หน้าต่างเหล็กดัดเท่านั้นที่กั้นเราไว้

“หวัดดีค่ะ” ฉันยกมือไหว้อย่างทุลักทุเล ก่อนจะเอามือคลำหน้าผากเบาๆ ไม่แตก แต่อาจจะโน

“ไหน ให้ผมดูหน่อย”

เขายื่นมืออกมานอกเหล็กดัด ฉันก้าวถอยหลัง แต่ตาน่ะ จับอยู่ที่แขนหมอไปแล้ว ... ไวท์ช็อกโกแลตแท่งยาว เอ๊ะ หรือเหมือนป๊อกกี้ที่ยังไม่ได้เคลือบมากกว่านะ

“ไม่เป็นไรค่ะ ทายาหม่องเดี๋ยวก็หาย”

“ตามใจ ว่าแต่มีอะไรครับ” เขาเลิกคิ้วถาม มุมปากมีรอยยิ้มที่กวนชะมัด

“สงสัยว่าทำไมหมอยังไม่ไปทำงานอีก”

“วันนี้ผมหยุด” เขาปรายตามองไปยังโทรศัพท์ที่วางอยู่บนฟูก “เลยนอนเล่น ขี้เกียจน่ะ”

“อ๋อค่ะ” ฉันไม่รู้จะพูดอะไรอีก

“คุณยายไปนอนวัดใช่มั้ยวันนี้” เขาถาม ตอนนี้สองแขนกอดอก ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ที่เห็นฉันยังคลำหน้าผากไม่เลิก

“ใช่ค่ะ เอ๊ะ แล้วปกติวันหยุดหมอทานข้าวยังไงอ่ะคะ” ฉันถาม เริ่มกลัว ถ้าเกิดหมอตอบว่า ทานกับคุณยาย ฉันคงช็อคตายแน่ๆ ยายไม่อยู่ ฉันจะไปทำอะไรให้เขาทานได้

“ผมหาทานเองอยู่แล้ว คุณล่ะ ทานอะไรยัง”

“ยังค่ะ ว่าจะเจียวไข่” ฉันคิดเมนูที่พอทำได้ มันเช้าเกิน ร้านอะไรยังไม่ค่อยเปิดหรอก หรือถ้าจะพึ่งจริงๆ ก็คงเป็นตลาด ไม่ก็เซเว่น ฉันก็ขี้เกียจเกิน

“เจียวเผื่อผมด้วยได้ไหม” เขายิ้มให้ อ๊ายยย เพิ่งสังเกตว่าหมอมีลักยิ้ม “ผมขี้เกียจออกไปข้างนอกน่ะ นะ ทำให้ผมกินหน่อย”

“เอ่อ ก็ได้ค่ะ” นอกจากจะแพ้กล้ามแล้ว ฉันชักจะแพ้รอยยิ้มหมอ “แต่หนูเจียวเป็นแต่แบบด้านๆนะ ถ้าหมออยากกินแบบกรอบๆหนูทำไม่เป็น”

“แบบไหนผมก็กินได้ เดี๋ยวเจอกันข้างบนนะครับ คุยตรงนี้นานๆแล้วผมรู้สึกตัวเองเป็นสัตว์อยู่ในกรงแล้วคุณมาเที่ยวดูยังไงไม่รู้ เหล็กดัดนี่ทำผมอยากจะเป็นบ้า”

มือหมอจิ้มหน้าต่างเหล็กดัดตรงหน้า ส่งยิ้มให้ฉันอีกรอบ ก่อนจะหายตัวเข้าไปในมุมที่ฉันมองไม่เห็น

เอ่อ ว่าแต่ หมอจะกินไข่เจียวฝีมือฉันได้จริงๆเหรอนั่น


“พอได้มั้ยอ่ะ ถ้าไม่ไหว เดี๋ยวหนูปั่นจักรยานไปตลาดให้ก็ได้นะ”

ฉันมองเพื่อนร่วมบ้านที่เคี้ยวไข่เจียวอยู่ตรงหน้าด้วยท่าทางแหยๆ ให้ตายเหอะ อยู่กับหมอทีไร ฉันรู้สึกจ๋องๆ แล้วก็ตัวเล็กลงกว่าเดิม 80% ทุกที

หมอเคี้ยวข้าว ไม่พูดไม่จาอะไร ท่าทางดูครุ่นคิด

“หมอ กินได้มั้ย” ฉันถามย้ำอีก รู้สึกใจเต้นตึกตัก ประหนึ่งรอผลสอบที่หมอเป็นคนให้คะแนน แต่รอบนี้มันมีแค่ผ่าน กับ ไม่ผ่าน

“ก็ได้อยู่” เขากลืนข้าวลงคอ “แต่ผมชักสงสัย ตอนอยู่กรุงเทพคุณทำอะไรบ้าง”

“หนูอยู่กับพ่อแม่ แม่ทำกับข้าวให้กินตลอดแหละ”

“อืม วิถีเด็กกรุงเนาะ ผมก็เป็น แต่พออยู่หอมันก็เลยต้องทำอะไรบ้างน่ะ”

“หมอพูดแบบนี้หมอจะบอกว่า หมอทำไข่เจียวอร่อยกว่าหนูทำรึป่าว” หูฉันหาเรื่องไปเองหรือเปล่าไม่รู้ แต่หมอฟังจบปุ๊บหัวเราะก๊ากทันที

“ไม่ได้หมายความอย่างนั้นสักหน่อย อีกอย่าง ผมน่ะรุ่นพี่คุณนะ เรียกหมอเฉยๆได้ไง” เขาตักข้าวเข้าปากอีก เคี้ยวตุ้ยๆไป มองหน้าฉันไป

“แล้วไง ต้องเรียกว่าพี่หมอเหรอ แล้วไม่ต้องให้ยายหนูเรียกหมอว่าหลานหมอเหรอไง”

“พาลนี่หว่า” หมอว่า “เรียกพี่หมอแหละ โอเคนะ”

“เจ้าค่ะ” ฉันบ่นก่อนก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อไป จะว่าไป นี่ก็เป็นมื้อแรกที่เราได้กินข้าวด้วยกันเลยนะ แถมเป็นครั้งแรกที่คุยกันดีๆ ไม่ออกแนวมาเจอแล้วเหวอๆด้วยกันทั้งคู่ด้วย

ว่าแต่ มันกลายเป็นแบบนี้ไปได้ยังไง
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ครึ่งหลังแปะไว้อีกสองสามวันมาแปะ
พรุ่งนี้เข้าเวรเช้า ปั่นงานนอกด้วย 555 ป่วยอีกต่างหาก

เรื่องนี้เขียนไปเรื่อยๆค่ะ แต่มีที่มาจากความทรงจำในอดีต
อยากจะบอกว่าหมอไวท์ช็อกโกแลตน่ะ มีตัวตนจริงๆนะ
ภาพยังติดตาอยู่เลย กร๊ากกกกก



สะเรนี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 18 ก.ย. 2554, 21:55:09 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 18 ก.ย. 2554, 21:55:09 น.

จำนวนการเข้าชม : 2066





<< เพ(ร)าะรัก   บางคำรัก (ครึ่งหลัง) >>
Setia 18 ก.ย. 2554, 22:18:14 น.
ไม่เห้นเป็นไรเลย แบบนี้ก็น่ารักดีออก
จินตนาการตามแล้วชักน้ำลายไหลแฮะ
ชอบทั้งไวท์ทั้งดาร์ก ช็อกโกแลตเลย
ชอบดาร์กมากกว่านะ แต่ไวท์ก็กินได้


sumiya 18 ก.ย. 2554, 22:33:32 น.
ชอบอ่านเรื่องสั้นของคุณเสี่ยวเหมจังเลยค่ะ อ๊ายยคุณหมอไวท์ช็อค*0*
ปล.นอกจากรอเรื่องสั้นแล้วก็ยังรอคุณเสี่ยวเหมอัพใจสั่งรักเหมือนกันน้า 5555


sai 18 ก.ย. 2554, 22:40:06 น.
น่ารักดี พี่หมอ


คิมหันตุ์ 18 ก.ย. 2554, 23:30:46 น.
กรีดๆ น่ารักๆ...อิอิ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account