ในเงาฝันปลายตะวัน
พรนับพัน ชีวิตของเธอจะมีตาอยู่ในทุกๆ ที่ แม้กระทั่งวันที่ตาจากไป หลายๆ สิ่งที่เธอทำก็ยังอยู่ในเงาของ 'ตะวัน' ผู้เป็นตาไม่เคยเปลี่ยน
และเพราะนิสัยที่เอาแต่ใจ โมโหร้าย ไม่สนใครหน้าไหนของพรนับพัน ชีวิตวันๆ หนึ่งเดินออกไปไหนไม่ได้ไกล หากมีเรื่องเข้ามาหาเจ้าหล่อนพร้อมพุ่งชน และนั่นเองทำให้รอบข้างกังวลและอยากจับเธอเปลี่ยนแปลง
ทิวากร ไม่รู้ว่าเขาโชคดี หรือโชคร้ายที่ได้รับหน้าที่จัดการเปลี่ยนมนุษย์ถ้ำ ให้ออกสู่สังคมได้อย่างปกติ แต่ดูเหมือนว่าคนที่ใครมองว่าโชคร้าย กลับเต็มใจรับสภาพ อ้าแขนรับมนุษย์ถ้ำคนนี้ซะด้วย
และเพราะนิสัยที่เอาแต่ใจ โมโหร้าย ไม่สนใครหน้าไหนของพรนับพัน ชีวิตวันๆ หนึ่งเดินออกไปไหนไม่ได้ไกล หากมีเรื่องเข้ามาหาเจ้าหล่อนพร้อมพุ่งชน และนั่นเองทำให้รอบข้างกังวลและอยากจับเธอเปลี่ยนแปลง
ทิวากร ไม่รู้ว่าเขาโชคดี หรือโชคร้ายที่ได้รับหน้าที่จัดการเปลี่ยนมนุษย์ถ้ำ ให้ออกสู่สังคมได้อย่างปกติ แต่ดูเหมือนว่าคนที่ใครมองว่าโชคร้าย กลับเต็มใจรับสภาพ อ้าแขนรับมนุษย์ถ้ำคนนี้ซะด้วย
Tags: มนุษย์ถ้ำ โรแมนติก อมยิ้ม
ตอน: บทที่ 5 : จอมเหวี่ยง
บทที่ 5
กลิ่นน้ำมันหอมระเหยอ่อนๆ เป็นสิ่งแรกที่พรนับพันรับรู้ได้ อาการร่างหนัก หัวหนัก ขนาดแค่ลืมตายังรู้สึกทรมานทำให้เธอได้แต่ปล่อยร่างกายให้หลับตาต่อไป รู้สึกว่าศีรษะหนุนอยู่บนหมอนนุ่ม และที่นอน
“ไข้ขึ้นทั้งคืนเลย” เสียงผู้หญิงดังอยู่ไม่ไกล พรนับพันฟังต่อไปอย่างหวาดระแวง “แม่เช็ดตัวให้เขาไปหลายครั้งแล้ว ตอนนี้ก็ยังรุมๆ อยู่ ถ้ายังไม่ฟื้น ก็ต้องพาไปหาหมอ”
“ไม่รู้ว่าเขาเป็นใครมาจากไหนนะครับ” น้ำเสียงผู้ชายนุ่มหู ฟังดูอาทร
พรนับพรกลั้นใจ เปิดเปลือกตาขึ้นมองห้องที่สว่างด้วยแสงของโคมไฟ อากาศอุณหภูมิห้องไม่ร้อนไม่หนาว มีบุคคลสองคนกำลังสนทนาอยู่ข้างๆ ที่นอนที่เธอนอนอยู่
“ที่นี่ที่ไหน” น้ำเสียงแหบแห้งเรียกความสนใจของสองคนต่างวัยให้หันมามองอย่างยินดี คนๆ หนึ่งเดินไปเปิดไฟให้สว่างไสว ภาพใบหน้ายินดีของคนสองคนทั้งที่เป็นคนแปลกหน้าทำให้พรนับพันพูดไม่ออก
“เป็นยังไงบ้างหนู” พรนับพันได้ยินเสียงเป็นห่วงเป็นใยของสตรีร่างท้วม แววตาจริงใจ และหวังดีทำให้เธอคลายความระแวงลงไป
“ดีขึ้นแล้วค่ะ”
“ทานยาหน่อยนะ เช็ดตัวอย่างเดียวคงไม่ช่วยอะไรมาก” ผู้ชายหน้าเรียวสวมแว่น กับส่วนสูงไม่เกินร้อยเจ็ดสิบ ในชุดนอนลายทางหยิบยาในถ้วย และน้ำมาให้
พรนับพันมองทั้งสองคนอย่างสนใจ ไม่ยอมรับความปรารถนาดีของทั้งสองในตอนนี้จนกว่าจะรู้สิ่งที่เธอต้องการ “ที่นี่ที่ไหนคะ แล้วฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
“หนูสลบหน้าห้องตรงข้ามเราจ้ะ พวกเราเห็นพอดี เลยพามาพักที่นี่” รุจีตอบ เธอนั่งอยู่ข้างเตียง “หนูไข้ขึ้นสูงทั้งคืน แผลที่เข่าน้าก็ทายา ทำแผลให้แล้วนะจ๊ะ”
ความสงสัยมลายหายไป พรนับพันพยายามลุกขึ้น สำรวจว่าตอนนี้อยู่ในชุดนอนยาวสีน้ำเงิน มีลูกไม้ตรงชายชุด ก็ใคร่รู้โดยไม่ต้องถามว่าชุดนี้เป็นของใคร
“ตอนนี้กี่โมงคะ”
“ตีหนึ่งครับ คุณสลบไปตั้งแต่เที่ยง” ลูกชายของรุจีตอบให้
“ฉันต้องกลับไปที่ห้อง” พรนับพันกลั้นใจหย่อนขาลงพื้น หยัดกายขึ้นยืน อาการปวดหัว เจ็บเข่ายังพอมีอยู่บ้าง แต่ไม่เกินความอดทนของเธอ
“ทานยาหน่อยนะหนู หรือจะนอนที่นี่ก่อนก็ได้”
พรนับพันไม่อยากทำร้ายความหวังดีของคนแปลกหน้าทั้งสอง รับยามาทานอย่างว่าง่าย “ขอบคุณที่ช่วยเหลือนะคะ ฉันต้องกลับแล้ว”
“หนูอยู่ห้องของคุณทิวเหรอจ๊ะ”
ชื่อของบุคคลที่ยามนี้มีคะแนนติดลบอยู่ในใจทำให้พรนับพันแค่นยิ้ม ขณะหันหลังให้กับแม่ลูกทั้งสอง “แค่ชั่วคราวค่ะ”
รุจีกับชวินคอยเดินตามคนป่วยมาด้วยความเป็นห่วง ชวินเป็นคนกดออดหน้าห้องของทิวากรให้ และไม่นาน ราวกับว่าทิวากรเองก็พร้อมสำหรับรับแขกผู้มาเยือน ประตูห้องจึงเปิดออกเร็ว
“พาคนป่วยมาส่งครับ”
ชวินถอยออกไปยืนด้านข้าง เผยผู้หญิงใบหน้าซีดเผือด ดวงตาแห้งผากยืนกอดอกเมินหน้าเจ้าของห้อง ไม่คิดจะมอง “คุณเขาสลบ ผมกับแม่เลยพาไปที่ห้องครับ ไข้เธอขึ้น คุณเขาเพิ่งฟื้นก็ขอกลับมาที่ห้องเลย” ชวินอธิบายยาวเหยียดเพราะเห็นประกายตาแข็งกร้าวของเจ้าของห้องจ้องเขม็งไปยังพรนับพันในนาทีแรก แต่พอรู้เหตุผลแววตาก็อ่อนลง กระทั่งแสดงความเป็นห่วงออกมา
“ขอบคุณคุณน้ากับคุณชวินมากนะครับ เดี๋ยวผมดูแลคุณพราวด์ต่อเอง”
พรนับพันยกมือไหว้รุจีกับชวินอย่างนอบน้อม “เดี๋ยวฉันจะเอาชุดไปคืนนะคะ”
“รักษาร่างกายให้หายนะหนู มีอะไรขาดเหลือไปหาน้าได้” รุจียิ้มเอ็นดูเด็กรุ่นลูก หันไปบอกลาเจ้าของห้องแล้วจึงพาชวินกลับไป
พรนับพันสบตากับทิวากรชั่วครู่ ปราศจากคำพูดจะกล่าวกับเขาจึงกระแทกไหล่เขาเข้าไปในห้อง ผิวเนื้อที่ยังร้อนผ่าวสัมผัสกายของชายหนุ่ม ทำให้เขารู้ว่าพรนับพันยังอาการไม่ดีนัก
“ผมเป็นห่วงคุณมาก ตามหาคุณไปทั่ว” ทิวากรบอกจากใจจริง “คุณเป็นอะไรมากหรือเปล่า ทำไมจู่ๆ เป็นไข้ได้”
“ฉันจะนอน หุบปากคุณซะ ฉันรำคาญ” ท่าทางเย็นชาแสดงออกกลับไปไม่มีปิดบัง พรนับพันไม่สนว่าเขาจะยิ่งเกลียดเธอหรือไม่ เพราะยามนี้เธอเองก็ไม่คิดเรียกร้องให้เขาแสดงออกกับเธอดีขึ้นกว่าเดิม “ยกเว้นว่าคุณจะคืนสมุดมาให้ฉัน ฉันจะไม่วุ่นวายในชีวิตคุณอีก”
“ผมขอโทษ” ทิวากรนั่งกับพื้นพรม ศีรษะอยู่ระดับร่างที่นอนเหยียดยาวในผ้าห่ม หันร่างหนีเขาไปอีกด้าน “คุณโกรธผมใช่ไหม ผมขอโทษที่ว่าคุณ แต่ผมไม่อยากให้คุณใช้อารมณ์กับทุกเรื่อง คุณต้องอดทน มีเหตุผลให้มากกว่านี้”
“ฉันจะไม่ทำอะไรทั้งนั้น ไม่ทำสักอย่างที่คุณชอบหรือพอใจ จากนี้ฉันจะไม่ทำ คุณไม่มีวันเป็นตาของฉัน และถ้าคุณอยากเป็นตาของฉันนัก ก็ไปตายซะ ฉันจะเขียนหนังสืองานศพแถมให้ฟรีๆ”
เกิดความเงียบงันขึ้น พรนับพันรู้ว่าคำพูดของเธอแรงปานใด แต่เธอไม่ต้องการเปิดใจให้ใครอีก เขาทำลายความรู้สึก ความเชื่อที่เธอพร้อมจะเปิดรับภายในวันเดียวได้
“คุณคงเหนื่อยมากแล้ว พักผ่อนเยอะๆ จะได้หายไข้ไวๆ” ทิวากรบอกเสียงขรึม
“คุณไม่มีทางเปลี่ยนฉันได้หรอก ฉันจะไม่มีวันเปลี่ยน เหมือนที่ฉันจะเกลียดคุณ”
“ผมขอโทษที่ดูแลคุณได้ไม่ดี ผมยินดีให้คุณเกลียดผม แต่ผมไม่ยอมให้สมุดคืนคุณง่ายๆ”
“คอยดูกันไปสิ” พรนับพันกัดปากจนเจ็บ เธอไม่เคยคิดว่าตัวเองจะโกรธใครสักคนได้มากขนาดนี้ โกรธที่เขาเอาแต่ทำในสิ่งที่เธอไม่ชอบ ในเวลานี้แค่เอาคืนเขาเล็กน้อยๆ หรือสร้างความลำบากให้เขาบ้าง สักนิดก็ยังดี
“ฉันจะนอนข้างบน”
“ตกลง”
ทิวากรยอมทุกอย่าง เจ้าของห้องยิ้มให้เนือยๆ ขณะที่อีกฝ่ายลุกขึ้นมาทำหน้าดุ วันนี้หลังจากที่เขาไปห้ามไม่ไห้น้ำหนาวถูกสามีตบตี แล้วกลับมาที่ห้องไม่เจอเธอ ไม่สิ เป็นความผิดของเขาที่สะเพร่าลืมให้กุญแจและการ์ดกับพรนับพัน ทำให้ตอนเย็นที่เขาต้องไปทำหน้าที่ดีเจที่คลื่นวิทยุก็ต้องให้คนอื่นมาจัดแทน เพื่อออกตามหาพรนับพัน โทรหานับพันพร ฝ่ายนั้นก็ไม่ได้รับการติดต่อจากพี่สาวเช่นกัน
พรนับพันเบือนหน้าหนีรอยยิ้มของทิวากร แววตาสำนึกผิด ไม่มีแววอวดดี ถือดี แข็งกร้าวอย่างคนต่อว่าต่อขานเธอเมื่อเช้าอีก
“ผมดีใจที่คุณกลับมา”
สาวหัวดื้อจิกแขนตัวเองจนเจ็บ เม้มปากแน่น รู้สึกโกรธตัวเธอเอง ทั้งที่หัวใจอยากจะเกลียด โกรธเขาให้มาก ก็ถูกสั่นคลอนด้วยคำพูดของเขาเข้าแล้ว
ทำไมเขาต้องใส่ใจเธอทั้งที่เป็นภาระเขาด้วย...พรนับพันได้แต่คิด และไม่เข้าใจมากขึ้น แต่เมื่อคิดได้ว่ายามที่เขามีโอกาสใส่ใจ อย่างในตอนเช้าที่เอนอนตากแดดทั้งที่ตัวเปียกจนไข้ขึ้น เขาล่ะหายไปอยู่ที่ไหน คิดแล้วหน้าก็ยิ่งบึ้งตึง
อาการหนักอึ้ง ปวดหัวทุเลาลงไปมาก พรนับพันหลับตาพริ้มสบายกับอากาศเย็นสบายใต้เครื่องปรับอากาศ โชคดีที่ร่างกายของเธอเป็นอย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไร ป่วยเหมือนจะหนักแต่หายง่ายได้ด้วยยาเพียงเม็ดเดียว แต่ที่เธอยังไม่ยอมตื่น ลืมตาก็เพราะบรรยากาศเย็นสบาย มีเสียงเพลงสากลดนตรีไพเราะเบาลื่นหูทำให้เธอยังสุขกับการนอนบนที่นอนนุ่มนี้
ห้องบนชั้นสองเป็นห้องไม่ได้ปิดทึบ รอบด้านโปร่ง มีเพียงระเบียงกั้น เธอสามารถมองลงมาพบกับห้องโถงซึ่งใช้นอนมาหนึ่งคืนได้สะดวก พรนับพันขยับตัวใต้ผ้าห่ม บริเวณเข่ารู้สึกตึงจนเจ็บ หน้านิ่ว อยากจะร้องโอดครวญ แต่การเคลื่อนไหว เสียงจังหวะย่างก้าวดังขึ้นมาเสียก่อน พรนับพันจึงแกล้งหลับต่อ
ทิวากรวางกล่องปฐมพยาบาลลงบนโต๊ะตัวเล็ก เลื่อนเก้าอี้เบาะนุ่มสีฟ้าติดล้อชิดขอบเตียง ผ้าห่มที่เลิกขึ้นมาคลุมกลางตัวเผยช่วงขายาวสองข้าง บริเวณเข่ามีผ้ากอซปิดแผล และมีแผลที่เริ่มแห้งเป็นเส้นยาวมีรอยจากการใส่ยาเหลืองอยู่ให้เห็น
กล่องพยาบาลถูกเปิดเพื่อหยิบขวดน้ำเกลือสำหรับล้างแผลออกมา สำลีพยาบาลเช็ดแผล ทิวากรหันกลับมาเปิดแผล แผลถลอกยังไม่แห้ง รอยแผลยังดูสด ทิวากรใช้สำลีชุบน้ำเกลือเช็ดแผลอย่างเบามือ พยายามสร้างความระคายเคืองที่แผลให้น้อยสุด
พรนับพันรับรู้ทุกการกระทำของทิวากรได้แม้จะหลับตา การเคลื่อนไหวของเขาปรากฏชัดในมโนภาพทางความคิด แม้กระทั่งการลงน้ำหนักมือขณะทำความสะอาดแผล ใส่ยา หญิงสาวต้องเกร็งตัวเอง ในใจของเธอตีกันระหว่างลืมตาขึ้นมองเขา หรือจะอาศัยว่าทิวากรเข้าใจว่าหลับจัดการเอาคืน
ทิวากรจัดการปิดแผลเรียบร้อย ความคิดด้านร้ายก็พลันจู่โจมพรนับพัน ขาที่ตึงจากแผลจงใจเหวี่ยงใส่ตำแหน่งที่เธอคาดว่าทิวากรอยู่ ออกแรงเอาตัวเหวี่ยงไปด้วย ปรากฏว่าพบเพียงความว่างเปล่า ร่างวืดพลาดจากเป้าหมาย กระแทกพนักเก้าอี้ให้เจ็บหนักกว่าเดิมจนต้องลืมตาขึ้นมา
เสียงหัวเราะดังตอบรับการกระทำเด็กๆ ของเธอ พรนับพันย่นจมูก นิ่วหน้า จับข้อเท้าที่เพิ่งเตะพนักเก้าอี้ไป “ตลกอะไรนักหนา” มองค้อนร่างของทิวากรซึ่งยืนอยู่ข้างเตียง จัดการกับกล่องปฐมพยาบาลอยู่
“เจ็บไหม” ทิวากรอมยิ้มกับแววตาแสนพยศร้าย
“ไม่เจ็บ” พรนับพันกัดฟันตอบ
“อยากกินอะไรไหม ผมจะไปทำมาให้ เดินขึ้นๆ ลงๆ ขาอาจจะยังเจ็บอยู่”
“แผลแค่นี้ ไม่ใช่ขาโดนตัดนะ อีกอย่างฉันอยากกินเครื่องใน มีไหมล่ะ” เชิดคอถาม หัวเราะหึ “หามาไม่ได้หรอก”
“เดี๋ยวคุณแฟร์มา บอกว่าจะมาเยี่ยมคุณ แล้วก็จะซื้อของโปรดมาให้”
พรนับพันเบะปาก เอนตัวลงนอนอีกครั้ง “โทรฟ้องยัยแฟร์เรอะคุณ นิสัยเสียจริง”
“เมื่อวานคุณหายตัวไป ผมก็ต้องโทรถามทุกคนที่ผมรู้ว่าเกี่ยวกับคุณทั้งนั้นแหละครับ”
“จริงๆ คนวุฒิภาวะสูงไม่ควรมายุ่งวุ่นวายกับคนวุฒิภาวะทางอารมณ์ต่ำให้เสียอารมณ์”
ทิวากรหยีบกล่องปฐมพยาบาลด้วยแขนข้างหนึ่ง สายตาประสานกับพรนับพัน จากคำพูดประชดประชันนั้นตอกย้ำความผิดเมื่อวานของเขา
“ผมขอโทษที่ว่าความจริงออกไป” ทิวากรกระตุกยิ้มมุมปาก ส่งท้ายก่อนหมุนตัวจากไป ปล่อยให้พรนับพันปล่อยกำปั้นซัดใส่หมอน ในใจเกิดความหงุดหงิด อีกครั้งที่เธอเล่นงานทิวากรไม่สำเร็จ ไหนจะยังเจ็บเท้าฟรี
ให้ทุกข์ยังไม่ถึงท่าน ทุกข์นั้นก็ไม่น่าถึงตัวเร็วนักสิ พรนับพันยิ่งนึกยิ่งพาล
พรนับพันจัดการซักเสื้อผ้า โดยไม่สนคำคัดค้านจากเจ้าของห้องว่าให้พักผ่อน ตากเสื้อผ้าที่ระเบียงเสร็จ น้องสาวของเธอก็มาเคาะห้อง เนื่องจากทิวากรเป็นคนลงไปรอรับด้วยตัวเอง แต่เธอไม่ได้พบเพียงแค่น้องสาว ผู้หญิงคนหนึ่งก็ติดสอยห้อยตามมาด้วย ใบหน้ามีร่องรอยฟกช้ำ หุ่นก็ดูบอบบางคล้ายจะปลิดปลิวไปตามลมได้
เครื่องหมายคำถามบนหน้าของเธอคงชัดเจนมาก ทิวากรจึงผายมือแนะนำผู้หญิงคนนั้นให้เธอรู้จัก “น้ำหนาวเพื่อนผม” และเขาผายมือมาทางเธอ “คุณพราวด์ เป็น...”
พรนับพันมองเขาอย่างท้าทาย แต่ในเมื่อเขาจงใจเว้นไว้ พร้อมกับหน้าตาอันลำบากใจ เท่ากับยิ่งเพิ่มความหงุดหงิดแก่เธอ “เป็นภาระชิ้นโตของเขา” พูดจบ สาวกางเกงขาสั้น เสื้อยืดสีตุ่นก็แสยะยิ้มให้เพื่อนของทิวากร
“มีอะไรมาให้พี่บ้าง หิวจะแย่ คิดถึงเครื่องใน” ทำหน้ามุ่ยพลางลูบท้อง ไม่สนใจว่านับพันพรจะทำหน้ากลืนไม่เข้าคลายไม่ออก พอจะเดาได้ว่าพรนับพันคงก่อปัญหาให้กับทิวากรไว้ไม่น้อย
“ลาบหมูใส่ตับ ต้มยำไส้อ่อนค่ะ แล้วก็มีแกงส้มไข่ชะอม ปลาสามรส” นับพันพรเดินตามไปยังส่วนครัว เขม้นมองเข่ามีผ้าปิดแผล และแผลถลอกเป็นเส้นยาวบริเวณขา “ไปทำอะไรมาคะพี่พราวด์”
“ขี่จักรยาน”
“อย่างพี่พราวด์เนี่ยนะคะจะขี่จักรยาน”
พรนับพันยืนพิงเคาว์เตอร์สะอาดในครัว ซึ่งวางของอย่างเป็นระเบียบ ส่งสายตาไม่พอใจไปยังคนที่นั่งบนโซฟา สายตาของทิวากรมีประกายตาแปลกต่อผู้หญิงที่ชื่อน้ำหนาว
“ไม่มีวันขี่อีกแน่”
“แฟร์ก็ว่าอย่างนั้น แล้วแผลนั่นใครทำให้ล่ะคะ พี่พราวด์คงไม่จัดการกับแผลได้ดีแบบนี้แน่” นับพันพรมองล้อเลียน นึกอยากไล่ต้อน “คุณทิวดูแลพี่ดีไหม”
“หิว อย่าถามพี่ให้มากเลย คนกำลังมีไข้อยู่แท้ๆ ซักมากเดี๋ยวไข้ก็กลับหรอก” คนบ่ายเบี่ยงโยนเรื่องออกไปไกลตัว
“ทานยาอีกสักเม็ดนะคะ ไข้จะได้ไม่กลับ พักผ่อนให้มากๆ ด้วย วันนี้ห้ามทำงานดึกดื่น รีบนอนแต่หัวค่ำ”
พรนับพันอ้าปากพะงาบๆ ล้อเลียนคุณหมอ โคลงศีรษะกวน ปล่อยให้น้องสาวซึ่งเป็นแขกเทอาหาร และมีพี่สาวยืนป่วนโดยไม่ทำอะไรเลย นอกจากยกออกมาวางบนโต๊ะ
“ถ้าคุยกันจนติดลมบนไม่หิวก็ไม่ต้องกินนะ ฉันกับน้องจะกินกันแล้ว อย่ามาหาว่าไม่ชวน” คนขี้หงุดหงิดนั่งเรียบร้อยบนโต๊ะอาหารขนาดหกที่นั่ง ครั้งแรกที่เห็นนั้นพรนับพันยังนึกสงสัยว่าห้องแบบนี้ของผู้ชายคนเดียวทำไมต้องมีโต๊ะใหญ่ แต่ดูๆ แล้วห้องของทิวากรจะเป็นห้องสาธารณะใครจะมาใครจะไปน่าจะมีบ่อย
“พี่พราวด์เสียมารยาทจัง”
“พี่ไม่เคยต้มหนังสือมารยาท หนังสือสมบัติผู้ดีกินนี่” คนหิวจัดการตักข้าวมาสองจาน เหลือบตาเห็นร่างสูงของทิวากรยืนอยู่ข้างๆ น้ำใจของเธอไม่มีเหลือพอแบ่งปันให้เขาในเวลานี้ แค่เห็นเขาเธอก็ยิ่งหงุดหงิด ไม่สนใจว่าตัวเองจะอยู่ในฐานะผู้อาศัย
“นั่งก่อนหนาว” ทิวากรนั่งลงข้างกับน้ำหนาว “วันนี้เกรงใจคุณแฟร์มากเลยนะครับ ไม่เห็นต้องซื้ออะไรมากมายขนาดนี้”
“แฟร์ซื้อให้ฉัน เพราะรู้ว่าฉันอยากกิน คุณน่ะต้องขอบคุณฉัน ไม่อย่างนั้นไม่ได้กินของดี รสชาติเยี่ยมแบบนี้หรอก”
“พี่ทิวทนไปได้ยังไงคะ” น้ำหนาวกล่าวขึ้นอย่างทนไม่ได้ “ทำไมคุณทำตัวแบบนี้คะ” ตำหนิพรนับพันตรงๆ
นับพันพรหายใจเข้าลึก มือวางประกบมือพี่สาวบนโต๊ะ ตั้งใจบอกให้ใจเย็นๆ แต่คงไม่ทัน
“ทำไมล่ะ หึงเหรอ ร่องรอยบนหน้านี่เกิดจากความปากดีของเธอหรือเปล่า อยากเจ็บเพิ่มไหม ถ้าไม่ก็ก้มหน้าทานไป แต่ถ้าเห็นหน้าฉันแล้วทานไม่ลง ก็ออกไปซะ เพราะฉันไม่มีทางไปไหนแน่ จะแสดงกิริยาแย่ๆ อย่างนี้ต่อไป”
น้องสาวก้มหน้า ยกมือกุมขมับไม่ปิดอาการหวาดเสียว ถึงเป็นหมอ รักษาคนมานักต่อนัก แต่คนที่เธอรักษาไม่หาย กลับเป็นพี่สาวจอมร้ายกาจของเธอเอง พูดจาแต่ละอย่างไม่เคยคิดถนอมน้ำใจ เอะอะว่าหาเรื่อง วางมวย ทั้งที่ตัวเองไม่ได้เก่งอะไรหรอก เคยหน้าช้ำปากแตกไปหาเรื่องคนอื่นมาก็ออกจะบ่อย สมัยเรียนถูกฝ่ายปกครองเรียกพบแบบปีเว้นปีทีเดียว
“คุณพราวด์ ขอโทษหนาวเขาเดี๋ยวนี้ คุณควรให้เกียรติแขกของผม”
“ไม่!” พรนับพันยิ้มมุมปาก เลิกคิ้วท้าทาย ก่อนจะหันมาจัดการอาหารเมนูโปรด ปล่อยผู้หญิงหน้าช้ำเจ็บใจ และทิวากรโกรธจนหน้าดำหน้าแดง
“พี่พราวด์ แฟร์ว่าพี่ทำผิดนะคะ”
“พี่รู้ เพราะพี่จงใจทำ ใครบางคนจะได้ทนไม่ได้” พรนับพันยิ้มใส่ตาเจ้าของห้อง ให้ทิวากรรู้ว่าเขาคือบุคคลที่ถูกกล่าวถึง “เสียบรรยากาศจริงๆ กินๆ เถอะ วันนี้พี่อยากนั่งรถเล่นข้างนอก วันนี้เธอว่างใช่ไหมแฟร์”
“แฟร์ไม่ได้หูฝาดใช่ไหม”
พรนับพันเหยียดยิ้ม “ที่นี่แย่กว่าการที่พี่พบเจอคนแปลกหน้าข้างนอกอีก”
นับพันพรรู้สึกผิดเท่าทวี เธอไม่น่าถามเปิดประเด็นให้พี่สาวตัวร้ายพูดจาทำร้ายจิตใจเจ้าของห้องได้ไม่มีหยุดหย่อน
“กินเข้าไปเยอะๆ นะคะ” ตักเนื้อปลาสามรสเอาใจ ทั้งที่ในใจคิดไว้ว่า กินเข้าไปเยอะๆ ปากจะได้ไม่ว่างพูดอีก
นับพันพรอยากจะหัวเราะเสียงดังให้กับคนเก่งแต่ปาก เอาเข้าจริงก็ไม่ได้อยากออกไปข้างนอกอย่างปากว่า เพราะเจ้าตัวคว้าคอมพิวเตอร์มาเครื่องหนึ่ง และเคาะห้องที่อยู่เยื้องกัน แนะนำตัวอย่างเป็นทางการ รวมทั้งแนะนำเธอ บอกว่าผู้ใหญ่ใจดีที่ยิ้มมาให้นี้เป็นคนช่วยเมื่อวานตอนไข้ขึ้น
แรกๆ พรนับพันก็ดูตั้งใจช่วยงานน้ารุจีด้วยการเรียนรู้การถักตุ๊กตาไหมพรมไปให้บ้านเด็กกำพร้าดีอยู่ แต่ถักไม่ทันเสร็จสักตัว ก็หาเรื่องวางมือไปจัดการกับงานที่คอมพิวเตอร์ ปล่อยให้หมออย่างเธอมานั่งทำต่อ
“พี่พราวด์ชอบใจร้อนแบบนี้ล่ะค่ะ”
“ทุกอย่างต้องมีสาเหตุจริงไหมจ๊ะ”
“จริงค่ะ” นับพันพรมองพี่สาวที่นั่งอยู่ห่างออกไป พลางถอนใจ เธอเองก็อยากจะให้ทุกคนเข้าใจพรนับพันบ้าง แม้ว่าเจ้าหล่อนจะไม่เคยต้องการให้ใครรู้จัก “พี่พราวด์ตอนเกิด เกิดมาในช่วงที่พ่อแม่เพิ่งเรียนหมอจบใหม่ๆ ถึงพ่อแม่จะแต่งงานกันแต่ว่าชีวิตของพ่อแม่ก็ยังทุ่มเทให้กับงาน พี่พราวด์ถึงโตมากับตาค่ะ ตาปลูกฝังความเข้มแข็งไว้ในตัวพี่พราวด์ แฟร์เกิดตามมาหลังจากนั้นสี่ปี ถ้าไม่มีพี่พราวด์แฟร์อาจตายไปแล้วค่ะ”
รุจีหยุดมือที่กำลังถักหมวกสวมตุ๊กตากระต่ายแล้วตั้งใจฟัง นับพันพรยิ้มเศร้า เหตุผลที่เธอไม่เคยโกรธพรนับพันสักครั้ง มีที่มาเช่นกัน
“ตอนแฟร์เกิด แฟร์ไม่ค่อยแข็งแรง พ่อแม่เคยเกือบตัดสินใจที่จะเอาแฟร์ออกตอนที่อยู่ในท้อง” เรื่องนี้พ่อแม่ยินดีเล่าให้ฟังตอนเธอจำความได้ “แต่พี่พราวด์ไม่ยอมค่ะ เด็กสี่ขวบที่ฝันอยากมีน้อง กรีดร้อง ไม่พูดไม่จากับพ่อแม่ ในที่สุดพ่อแม่ก็ต้องยอม ประคับประคองจนแฟร์รอดมาได้ พี่พราวด์เองก็ดูแลแฟร์กระทั่งโต ไม่ให้ใครมารังแก ไม่ให้ใครมาแกล้ง” พูดจบก็ยิ่งยิ้ม
“พี่น้องรักกันดีนะคะ”
“นินทาอะไรพี่หรือเปล่ายัยแฟร์” พรนับพันถามมา ดวงตาหรี่มองไม่วางใจ ได้ยินชื่อตัวเอง แต่จับใจความไม่ชัด
“หลายเรื่องค่ะ ดีๆ ทั้งนั้น” นับพันพรคล้ายว่าพูดประชด แต่ใจความคือความจริง โชคดีที่พรนับพันเลิกใส่ใจ ไปคร่ำเคร่งกับงานต่อ
“คุณน้าจะสอนอะไร เตือนอะไรพี่พราวด์ทำได้เลยนะคะ พี่พราวด์เองก็ชอบก่อความวุ่นวายเป็นกิจวัตร แฟร์เองก็เป็นห่วงพี่พราวด์ค่ะ” คนเป็นน้องออกปากขอกับรุจี ไม่รู้ว่าทำไมจึงเชื่อใจ หญิงกลางคนตรงหน้า แต่คนที่ช่วยพี่เธอในช่วงเวลาป่วยมาได้ก็ถือว่าเชื่อได้ในระดับหนึ่ง
“น้าว่าคนเรามีความแตกต่างในตัวเอง นิสัยคนร้ายกาจบางคน อาจจะดูจริงใจกว่าคนแสดงออกดีแต่ว่าพร้อมจะหลอกเราก็ได้นะคะ”
“หน้าเนื้อใจเสือใช่ไหมคะ” นับพันพรหัวเราะเบาๆ “ระดับพี่พราวด์เป็นเสือตั้งแต่หน้าค่ะ แต่เชื่อใจได้แน่นอน”
“เหมือนจะชม” พรนับพันค่อนแคะ เดินออกมานั่งแปะบนพื้น “มีอะไรอยากเผาพี่ให้น้าจีฟังอีกไหม”
สตรีสองวัยกลั้นยิ้มกับหน้าบึ้ง ปากยื่นออกของผู้หญิงเจ้าของหัวข้อสนทนา
“น่าจีจะทำไปให้เด็กวันไหนเหรอคะ”
“วันเกิดลูกชายน้าจ้ะ เสาร์หน้า หนูไปด้วยกันไหม จะมีทำอาหารไปเลี้ยงเด็กด้วย ตอนนี้มีแค่น้า ตาชวิน แล้วก็เพื่อนเขาอีกสองสามคน ถ้าว่างหนูสองคนไปด้วยกันสิจ๊ะ ถ้าคุณทิวว่างน้าก็ฝากชวนด้วยเลย”
ชื่อของทิวากรทำให้หน้าตาน่ามองยิ่งบึ้งตึง งอง้ำ นับพันพรนึกอยากแซวเล่น “กลัวอะไรคุณทิวคะ”
“ไหน ใครกลัว หน้าอย่างนี้กลัวเหรอ” ทำท่าหลังตรง ยืดไหล่ เบะปาก
“ไม่กลัว แต่ไม่พอใจที่เขาไม่สนใจหรือเปล่าคะ”
“พูดมากจริง ใครเจาะปากให้เธอมาพูดเนี่ยแฟร์” พรนับพันถลึงตามองดุ
นับพันพรแทนที่จะสลดกับการถกว่ากลับยิ่งหัวเราะเสียงใส โคลงศีรษะไม่ถือความ หันเหความสนใจไปที่เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้น เป็นคนห้องตรงข้ามโทรมา
“สวัสดีค่ะคุณทิว”
พรนับพันกลอกตา เบะปาก ไม่ยอมลุกไปไหน ถึงไม่พอใจกับทิวากร แต่ความอยากรู้ฉุดให้เธอยังนั่งฟังแบบเสียมารยาท ใครใช้ให้นับพันพรลอยหน้าลอยตาคุยให้ได้ยินกัน
“อ๋อ จะออกไปข้างนอก เลยโทรมาบอกก่อน”
“จะบอกทำไมไม่มาบอกเอง ไกลนักนี่ อยู่แค่ห้องน้าจี” พรนับพันบ่นดังๆ
สักพักเสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น นับพันพรจึงวางโทรศัพท์ หันมาเล่นงานพี่สาวตัวเองแทน “ไปเลยค่ะ คนที่พี่อยากเจอมาหาแน่ะ หรือกลัวล่ะคะ”
รุจียิ้มเอ็นดูการตอบโต้ของสองพี่น้อง ที่กล่าวถึงอีกหนึ่งหนุ่ม ในสถานการณ์จากคนไม่รู้ ก็พอมองออกว่าสองคนนี้มีความคิดต่อหนึ่งหนุ่มอย่างไร คนพี่อยากหนีแต่คนน้องอยากสนับสนุนต่อไป
พรนับพันพอถูกท้าเข้าให้ก็รีบลุกขึ้นยิ่งกว่าที่นั่งโดนไฟเผา แอบนิ่วหน้าเพราะรีบลุกไปหน่อย แผลบริเวณเข่าซึ่งตึงจึงประท้วง หญิงสาวเดินไปทางประตูห้อง ไม่รู้ทำไมต้องยืนทำใจอยู่เกือบนาทีกว่าจะยอมเปิดประตู
“มีอะไร”
“ทำไมคุณถึงชอบทำหน้าเป็นนางยักษ์อยู่เรื่อย ไม่เมื่อยเหรอครับ เดี๋ยวบึ้ง เดี๋ยวงอ”
พรนับพันหน้าตึง “ไม่ชอบนางยักษ์ ก็ไปหาลูกเจี๊ยบไร้สมองที่อื่นโน่น ฉันไม่เปลี่ยนตัวเองเพื่อคุณแน่”
“ผมไม่ได้ขอให้คุณเปลี่ยนเพื่อผม แต่ให้เปลี่ยนเพื่อคนอื่นครับ”
“ก็ดี ฉันจะทำให้คุณเห็น ยกเว้นทำกับคุณ” เน้นเสียงในประโยคท้าย กอดอกเมินหน้า ถามเสียงห้วน “มีอะไร จะไปไหนก็ไปสิ จะโทรมากวนน้องฉันทำไมมิทราบ คราวนี้ถึงฉันเข้าห้องไม่ได้ ก็ไม่โง่เป็นลมหน้าห้องคุณอีกแน่”
“ผมไปทำงานจะกลับมาถึงหลังเที่ยงคืน กุญแจกับการ์ดนี่ผมให้คุณเก็บไว้” ทิวากรบอกอย่างใจเย็น ยื่นของสองสิ่งรอให้พรนับพันมารับไป แต่อาการปั้นปึ่ง เก็บมือไว้ข้างหลังทำให้เขาต้องยอมจับมืออุ่นมาวางกุญแจกับการ์ดลงไปเอง “คุณอยากทานอะไรก่อนนอนไหม ผมจะไปหามาให้”
“โจ๊กพิเศษใส่เครื่องใน ข้างโรงพยาบาล... ไงหามาได้ไหม” ชื่อโรงพยาบาลที่น้องสาวทำงานตั้งอยู่คนละมุมเมืองจากที่เธอและทิวากรอยู่ หญิงสาวยิ้มมุมปากสาแก่ใจที่เห็นเขาทำหน้าคิดหนัก
“ไว้ผมจะไปซื้อมา ต้องไปส่งหนาวแถวนั้นพอดี” ทิวากรจุดรอยยิ้มรู้ทัน เดินขึ้นหน้ามา ลดเสียงเพื่อให้ได้ยินกันแค่สองคน “คุณคิดว่าผมจะยอมแพ้คุณง่ายๆ เหรอครับ ผมน่ะชอบการแข่งขัน”
พรนับพันชูกำปั้นขึ้น กลั้นเสียงกรีดร้องไว้ อดทนอย่างเต็มที่ไม่ให้ประทุษร้ายผู้ชายหน้ากวน ยิ้มร้ายจอมยั่วอารมณ์เธอ
ทิวากรส่งเสียงจุ๊ๆ ยกนิ้วทาบริมฝีปากปรามทั้งที่หน้ายังยิ้ม “ไว้ผมกลับมาให้คุณทำร้ายร่างกายนะครับ ใจเย็นๆ” ร่างสูงผละจากไป ปล่อยให้สาววัยสามสิบอารมณ์ร้อนยืนกระทืบเท้า ฮึดฮัด แต่ทำอะไรไม่ได้
“อย่างคุณฉันไม่แตะต้องให้เสียเซลล์ที่ผิวหนังหรอก”
……………………………………………………..
คุณ konhin นั่นสิ ผลของการลืม แต่ไปๆ มาๆ ยัยพราวด์ก็ชอบเรียกร้องความสนใจดีนะคะ ฮา
คุณ Sukhumvit66 กระซิบๆ ไม่ต้องสงสารนานค่ะ เดี๋ยวพราวด์ก็ก่อเรื่องอีก
คุณ mhengjhy เจอแฟนเก่า ลืมกันเลย
คุณ OhLaLa รอเนอะว่าหนาวยังมีอิทธิพลไหม แล้วพราวด์จะยอมเหรอ
คุณ นักอ่านเหนียวหนึบ หนาวยังมาน้อยๆ ค่ะ ยังมีอีกเรื่อยๆ แต่พราวด์ก็ยังสร้างเรื่องได้เรื่อยๆ เหมือนกัน เอ๊ะ?
คุณ yimyum พาพี่ทิวมาง้อแล้วค่ะ อิอิ
ว่าจะอัพตั้งแต่เมื่อวาน แต่ก็ช้าจนวันนี้ ขอให้สนุกนะคะ เดี๋ยวเที่ยงคืนนี้มาใหม่ ขอบคุณทุกคอมเมนท์ ทุกไลค์ และนักอ่านเงาทุกท่านค่า :D
กลิ่นน้ำมันหอมระเหยอ่อนๆ เป็นสิ่งแรกที่พรนับพันรับรู้ได้ อาการร่างหนัก หัวหนัก ขนาดแค่ลืมตายังรู้สึกทรมานทำให้เธอได้แต่ปล่อยร่างกายให้หลับตาต่อไป รู้สึกว่าศีรษะหนุนอยู่บนหมอนนุ่ม และที่นอน
“ไข้ขึ้นทั้งคืนเลย” เสียงผู้หญิงดังอยู่ไม่ไกล พรนับพันฟังต่อไปอย่างหวาดระแวง “แม่เช็ดตัวให้เขาไปหลายครั้งแล้ว ตอนนี้ก็ยังรุมๆ อยู่ ถ้ายังไม่ฟื้น ก็ต้องพาไปหาหมอ”
“ไม่รู้ว่าเขาเป็นใครมาจากไหนนะครับ” น้ำเสียงผู้ชายนุ่มหู ฟังดูอาทร
พรนับพรกลั้นใจ เปิดเปลือกตาขึ้นมองห้องที่สว่างด้วยแสงของโคมไฟ อากาศอุณหภูมิห้องไม่ร้อนไม่หนาว มีบุคคลสองคนกำลังสนทนาอยู่ข้างๆ ที่นอนที่เธอนอนอยู่
“ที่นี่ที่ไหน” น้ำเสียงแหบแห้งเรียกความสนใจของสองคนต่างวัยให้หันมามองอย่างยินดี คนๆ หนึ่งเดินไปเปิดไฟให้สว่างไสว ภาพใบหน้ายินดีของคนสองคนทั้งที่เป็นคนแปลกหน้าทำให้พรนับพันพูดไม่ออก
“เป็นยังไงบ้างหนู” พรนับพันได้ยินเสียงเป็นห่วงเป็นใยของสตรีร่างท้วม แววตาจริงใจ และหวังดีทำให้เธอคลายความระแวงลงไป
“ดีขึ้นแล้วค่ะ”
“ทานยาหน่อยนะ เช็ดตัวอย่างเดียวคงไม่ช่วยอะไรมาก” ผู้ชายหน้าเรียวสวมแว่น กับส่วนสูงไม่เกินร้อยเจ็ดสิบ ในชุดนอนลายทางหยิบยาในถ้วย และน้ำมาให้
พรนับพันมองทั้งสองคนอย่างสนใจ ไม่ยอมรับความปรารถนาดีของทั้งสองในตอนนี้จนกว่าจะรู้สิ่งที่เธอต้องการ “ที่นี่ที่ไหนคะ แล้วฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
“หนูสลบหน้าห้องตรงข้ามเราจ้ะ พวกเราเห็นพอดี เลยพามาพักที่นี่” รุจีตอบ เธอนั่งอยู่ข้างเตียง “หนูไข้ขึ้นสูงทั้งคืน แผลที่เข่าน้าก็ทายา ทำแผลให้แล้วนะจ๊ะ”
ความสงสัยมลายหายไป พรนับพันพยายามลุกขึ้น สำรวจว่าตอนนี้อยู่ในชุดนอนยาวสีน้ำเงิน มีลูกไม้ตรงชายชุด ก็ใคร่รู้โดยไม่ต้องถามว่าชุดนี้เป็นของใคร
“ตอนนี้กี่โมงคะ”
“ตีหนึ่งครับ คุณสลบไปตั้งแต่เที่ยง” ลูกชายของรุจีตอบให้
“ฉันต้องกลับไปที่ห้อง” พรนับพันกลั้นใจหย่อนขาลงพื้น หยัดกายขึ้นยืน อาการปวดหัว เจ็บเข่ายังพอมีอยู่บ้าง แต่ไม่เกินความอดทนของเธอ
“ทานยาหน่อยนะหนู หรือจะนอนที่นี่ก่อนก็ได้”
พรนับพันไม่อยากทำร้ายความหวังดีของคนแปลกหน้าทั้งสอง รับยามาทานอย่างว่าง่าย “ขอบคุณที่ช่วยเหลือนะคะ ฉันต้องกลับแล้ว”
“หนูอยู่ห้องของคุณทิวเหรอจ๊ะ”
ชื่อของบุคคลที่ยามนี้มีคะแนนติดลบอยู่ในใจทำให้พรนับพันแค่นยิ้ม ขณะหันหลังให้กับแม่ลูกทั้งสอง “แค่ชั่วคราวค่ะ”
รุจีกับชวินคอยเดินตามคนป่วยมาด้วยความเป็นห่วง ชวินเป็นคนกดออดหน้าห้องของทิวากรให้ และไม่นาน ราวกับว่าทิวากรเองก็พร้อมสำหรับรับแขกผู้มาเยือน ประตูห้องจึงเปิดออกเร็ว
“พาคนป่วยมาส่งครับ”
ชวินถอยออกไปยืนด้านข้าง เผยผู้หญิงใบหน้าซีดเผือด ดวงตาแห้งผากยืนกอดอกเมินหน้าเจ้าของห้อง ไม่คิดจะมอง “คุณเขาสลบ ผมกับแม่เลยพาไปที่ห้องครับ ไข้เธอขึ้น คุณเขาเพิ่งฟื้นก็ขอกลับมาที่ห้องเลย” ชวินอธิบายยาวเหยียดเพราะเห็นประกายตาแข็งกร้าวของเจ้าของห้องจ้องเขม็งไปยังพรนับพันในนาทีแรก แต่พอรู้เหตุผลแววตาก็อ่อนลง กระทั่งแสดงความเป็นห่วงออกมา
“ขอบคุณคุณน้ากับคุณชวินมากนะครับ เดี๋ยวผมดูแลคุณพราวด์ต่อเอง”
พรนับพันยกมือไหว้รุจีกับชวินอย่างนอบน้อม “เดี๋ยวฉันจะเอาชุดไปคืนนะคะ”
“รักษาร่างกายให้หายนะหนู มีอะไรขาดเหลือไปหาน้าได้” รุจียิ้มเอ็นดูเด็กรุ่นลูก หันไปบอกลาเจ้าของห้องแล้วจึงพาชวินกลับไป
พรนับพันสบตากับทิวากรชั่วครู่ ปราศจากคำพูดจะกล่าวกับเขาจึงกระแทกไหล่เขาเข้าไปในห้อง ผิวเนื้อที่ยังร้อนผ่าวสัมผัสกายของชายหนุ่ม ทำให้เขารู้ว่าพรนับพันยังอาการไม่ดีนัก
“ผมเป็นห่วงคุณมาก ตามหาคุณไปทั่ว” ทิวากรบอกจากใจจริง “คุณเป็นอะไรมากหรือเปล่า ทำไมจู่ๆ เป็นไข้ได้”
“ฉันจะนอน หุบปากคุณซะ ฉันรำคาญ” ท่าทางเย็นชาแสดงออกกลับไปไม่มีปิดบัง พรนับพันไม่สนว่าเขาจะยิ่งเกลียดเธอหรือไม่ เพราะยามนี้เธอเองก็ไม่คิดเรียกร้องให้เขาแสดงออกกับเธอดีขึ้นกว่าเดิม “ยกเว้นว่าคุณจะคืนสมุดมาให้ฉัน ฉันจะไม่วุ่นวายในชีวิตคุณอีก”
“ผมขอโทษ” ทิวากรนั่งกับพื้นพรม ศีรษะอยู่ระดับร่างที่นอนเหยียดยาวในผ้าห่ม หันร่างหนีเขาไปอีกด้าน “คุณโกรธผมใช่ไหม ผมขอโทษที่ว่าคุณ แต่ผมไม่อยากให้คุณใช้อารมณ์กับทุกเรื่อง คุณต้องอดทน มีเหตุผลให้มากกว่านี้”
“ฉันจะไม่ทำอะไรทั้งนั้น ไม่ทำสักอย่างที่คุณชอบหรือพอใจ จากนี้ฉันจะไม่ทำ คุณไม่มีวันเป็นตาของฉัน และถ้าคุณอยากเป็นตาของฉันนัก ก็ไปตายซะ ฉันจะเขียนหนังสืองานศพแถมให้ฟรีๆ”
เกิดความเงียบงันขึ้น พรนับพันรู้ว่าคำพูดของเธอแรงปานใด แต่เธอไม่ต้องการเปิดใจให้ใครอีก เขาทำลายความรู้สึก ความเชื่อที่เธอพร้อมจะเปิดรับภายในวันเดียวได้
“คุณคงเหนื่อยมากแล้ว พักผ่อนเยอะๆ จะได้หายไข้ไวๆ” ทิวากรบอกเสียงขรึม
“คุณไม่มีทางเปลี่ยนฉันได้หรอก ฉันจะไม่มีวันเปลี่ยน เหมือนที่ฉันจะเกลียดคุณ”
“ผมขอโทษที่ดูแลคุณได้ไม่ดี ผมยินดีให้คุณเกลียดผม แต่ผมไม่ยอมให้สมุดคืนคุณง่ายๆ”
“คอยดูกันไปสิ” พรนับพันกัดปากจนเจ็บ เธอไม่เคยคิดว่าตัวเองจะโกรธใครสักคนได้มากขนาดนี้ โกรธที่เขาเอาแต่ทำในสิ่งที่เธอไม่ชอบ ในเวลานี้แค่เอาคืนเขาเล็กน้อยๆ หรือสร้างความลำบากให้เขาบ้าง สักนิดก็ยังดี
“ฉันจะนอนข้างบน”
“ตกลง”
ทิวากรยอมทุกอย่าง เจ้าของห้องยิ้มให้เนือยๆ ขณะที่อีกฝ่ายลุกขึ้นมาทำหน้าดุ วันนี้หลังจากที่เขาไปห้ามไม่ไห้น้ำหนาวถูกสามีตบตี แล้วกลับมาที่ห้องไม่เจอเธอ ไม่สิ เป็นความผิดของเขาที่สะเพร่าลืมให้กุญแจและการ์ดกับพรนับพัน ทำให้ตอนเย็นที่เขาต้องไปทำหน้าที่ดีเจที่คลื่นวิทยุก็ต้องให้คนอื่นมาจัดแทน เพื่อออกตามหาพรนับพัน โทรหานับพันพร ฝ่ายนั้นก็ไม่ได้รับการติดต่อจากพี่สาวเช่นกัน
พรนับพันเบือนหน้าหนีรอยยิ้มของทิวากร แววตาสำนึกผิด ไม่มีแววอวดดี ถือดี แข็งกร้าวอย่างคนต่อว่าต่อขานเธอเมื่อเช้าอีก
“ผมดีใจที่คุณกลับมา”
สาวหัวดื้อจิกแขนตัวเองจนเจ็บ เม้มปากแน่น รู้สึกโกรธตัวเธอเอง ทั้งที่หัวใจอยากจะเกลียด โกรธเขาให้มาก ก็ถูกสั่นคลอนด้วยคำพูดของเขาเข้าแล้ว
ทำไมเขาต้องใส่ใจเธอทั้งที่เป็นภาระเขาด้วย...พรนับพันได้แต่คิด และไม่เข้าใจมากขึ้น แต่เมื่อคิดได้ว่ายามที่เขามีโอกาสใส่ใจ อย่างในตอนเช้าที่เอนอนตากแดดทั้งที่ตัวเปียกจนไข้ขึ้น เขาล่ะหายไปอยู่ที่ไหน คิดแล้วหน้าก็ยิ่งบึ้งตึง
อาการหนักอึ้ง ปวดหัวทุเลาลงไปมาก พรนับพันหลับตาพริ้มสบายกับอากาศเย็นสบายใต้เครื่องปรับอากาศ โชคดีที่ร่างกายของเธอเป็นอย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไร ป่วยเหมือนจะหนักแต่หายง่ายได้ด้วยยาเพียงเม็ดเดียว แต่ที่เธอยังไม่ยอมตื่น ลืมตาก็เพราะบรรยากาศเย็นสบาย มีเสียงเพลงสากลดนตรีไพเราะเบาลื่นหูทำให้เธอยังสุขกับการนอนบนที่นอนนุ่มนี้
ห้องบนชั้นสองเป็นห้องไม่ได้ปิดทึบ รอบด้านโปร่ง มีเพียงระเบียงกั้น เธอสามารถมองลงมาพบกับห้องโถงซึ่งใช้นอนมาหนึ่งคืนได้สะดวก พรนับพันขยับตัวใต้ผ้าห่ม บริเวณเข่ารู้สึกตึงจนเจ็บ หน้านิ่ว อยากจะร้องโอดครวญ แต่การเคลื่อนไหว เสียงจังหวะย่างก้าวดังขึ้นมาเสียก่อน พรนับพันจึงแกล้งหลับต่อ
ทิวากรวางกล่องปฐมพยาบาลลงบนโต๊ะตัวเล็ก เลื่อนเก้าอี้เบาะนุ่มสีฟ้าติดล้อชิดขอบเตียง ผ้าห่มที่เลิกขึ้นมาคลุมกลางตัวเผยช่วงขายาวสองข้าง บริเวณเข่ามีผ้ากอซปิดแผล และมีแผลที่เริ่มแห้งเป็นเส้นยาวมีรอยจากการใส่ยาเหลืองอยู่ให้เห็น
กล่องพยาบาลถูกเปิดเพื่อหยิบขวดน้ำเกลือสำหรับล้างแผลออกมา สำลีพยาบาลเช็ดแผล ทิวากรหันกลับมาเปิดแผล แผลถลอกยังไม่แห้ง รอยแผลยังดูสด ทิวากรใช้สำลีชุบน้ำเกลือเช็ดแผลอย่างเบามือ พยายามสร้างความระคายเคืองที่แผลให้น้อยสุด
พรนับพันรับรู้ทุกการกระทำของทิวากรได้แม้จะหลับตา การเคลื่อนไหวของเขาปรากฏชัดในมโนภาพทางความคิด แม้กระทั่งการลงน้ำหนักมือขณะทำความสะอาดแผล ใส่ยา หญิงสาวต้องเกร็งตัวเอง ในใจของเธอตีกันระหว่างลืมตาขึ้นมองเขา หรือจะอาศัยว่าทิวากรเข้าใจว่าหลับจัดการเอาคืน
ทิวากรจัดการปิดแผลเรียบร้อย ความคิดด้านร้ายก็พลันจู่โจมพรนับพัน ขาที่ตึงจากแผลจงใจเหวี่ยงใส่ตำแหน่งที่เธอคาดว่าทิวากรอยู่ ออกแรงเอาตัวเหวี่ยงไปด้วย ปรากฏว่าพบเพียงความว่างเปล่า ร่างวืดพลาดจากเป้าหมาย กระแทกพนักเก้าอี้ให้เจ็บหนักกว่าเดิมจนต้องลืมตาขึ้นมา
เสียงหัวเราะดังตอบรับการกระทำเด็กๆ ของเธอ พรนับพันย่นจมูก นิ่วหน้า จับข้อเท้าที่เพิ่งเตะพนักเก้าอี้ไป “ตลกอะไรนักหนา” มองค้อนร่างของทิวากรซึ่งยืนอยู่ข้างเตียง จัดการกับกล่องปฐมพยาบาลอยู่
“เจ็บไหม” ทิวากรอมยิ้มกับแววตาแสนพยศร้าย
“ไม่เจ็บ” พรนับพันกัดฟันตอบ
“อยากกินอะไรไหม ผมจะไปทำมาให้ เดินขึ้นๆ ลงๆ ขาอาจจะยังเจ็บอยู่”
“แผลแค่นี้ ไม่ใช่ขาโดนตัดนะ อีกอย่างฉันอยากกินเครื่องใน มีไหมล่ะ” เชิดคอถาม หัวเราะหึ “หามาไม่ได้หรอก”
“เดี๋ยวคุณแฟร์มา บอกว่าจะมาเยี่ยมคุณ แล้วก็จะซื้อของโปรดมาให้”
พรนับพันเบะปาก เอนตัวลงนอนอีกครั้ง “โทรฟ้องยัยแฟร์เรอะคุณ นิสัยเสียจริง”
“เมื่อวานคุณหายตัวไป ผมก็ต้องโทรถามทุกคนที่ผมรู้ว่าเกี่ยวกับคุณทั้งนั้นแหละครับ”
“จริงๆ คนวุฒิภาวะสูงไม่ควรมายุ่งวุ่นวายกับคนวุฒิภาวะทางอารมณ์ต่ำให้เสียอารมณ์”
ทิวากรหยีบกล่องปฐมพยาบาลด้วยแขนข้างหนึ่ง สายตาประสานกับพรนับพัน จากคำพูดประชดประชันนั้นตอกย้ำความผิดเมื่อวานของเขา
“ผมขอโทษที่ว่าความจริงออกไป” ทิวากรกระตุกยิ้มมุมปาก ส่งท้ายก่อนหมุนตัวจากไป ปล่อยให้พรนับพันปล่อยกำปั้นซัดใส่หมอน ในใจเกิดความหงุดหงิด อีกครั้งที่เธอเล่นงานทิวากรไม่สำเร็จ ไหนจะยังเจ็บเท้าฟรี
ให้ทุกข์ยังไม่ถึงท่าน ทุกข์นั้นก็ไม่น่าถึงตัวเร็วนักสิ พรนับพันยิ่งนึกยิ่งพาล
พรนับพันจัดการซักเสื้อผ้า โดยไม่สนคำคัดค้านจากเจ้าของห้องว่าให้พักผ่อน ตากเสื้อผ้าที่ระเบียงเสร็จ น้องสาวของเธอก็มาเคาะห้อง เนื่องจากทิวากรเป็นคนลงไปรอรับด้วยตัวเอง แต่เธอไม่ได้พบเพียงแค่น้องสาว ผู้หญิงคนหนึ่งก็ติดสอยห้อยตามมาด้วย ใบหน้ามีร่องรอยฟกช้ำ หุ่นก็ดูบอบบางคล้ายจะปลิดปลิวไปตามลมได้
เครื่องหมายคำถามบนหน้าของเธอคงชัดเจนมาก ทิวากรจึงผายมือแนะนำผู้หญิงคนนั้นให้เธอรู้จัก “น้ำหนาวเพื่อนผม” และเขาผายมือมาทางเธอ “คุณพราวด์ เป็น...”
พรนับพันมองเขาอย่างท้าทาย แต่ในเมื่อเขาจงใจเว้นไว้ พร้อมกับหน้าตาอันลำบากใจ เท่ากับยิ่งเพิ่มความหงุดหงิดแก่เธอ “เป็นภาระชิ้นโตของเขา” พูดจบ สาวกางเกงขาสั้น เสื้อยืดสีตุ่นก็แสยะยิ้มให้เพื่อนของทิวากร
“มีอะไรมาให้พี่บ้าง หิวจะแย่ คิดถึงเครื่องใน” ทำหน้ามุ่ยพลางลูบท้อง ไม่สนใจว่านับพันพรจะทำหน้ากลืนไม่เข้าคลายไม่ออก พอจะเดาได้ว่าพรนับพันคงก่อปัญหาให้กับทิวากรไว้ไม่น้อย
“ลาบหมูใส่ตับ ต้มยำไส้อ่อนค่ะ แล้วก็มีแกงส้มไข่ชะอม ปลาสามรส” นับพันพรเดินตามไปยังส่วนครัว เขม้นมองเข่ามีผ้าปิดแผล และแผลถลอกเป็นเส้นยาวบริเวณขา “ไปทำอะไรมาคะพี่พราวด์”
“ขี่จักรยาน”
“อย่างพี่พราวด์เนี่ยนะคะจะขี่จักรยาน”
พรนับพันยืนพิงเคาว์เตอร์สะอาดในครัว ซึ่งวางของอย่างเป็นระเบียบ ส่งสายตาไม่พอใจไปยังคนที่นั่งบนโซฟา สายตาของทิวากรมีประกายตาแปลกต่อผู้หญิงที่ชื่อน้ำหนาว
“ไม่มีวันขี่อีกแน่”
“แฟร์ก็ว่าอย่างนั้น แล้วแผลนั่นใครทำให้ล่ะคะ พี่พราวด์คงไม่จัดการกับแผลได้ดีแบบนี้แน่” นับพันพรมองล้อเลียน นึกอยากไล่ต้อน “คุณทิวดูแลพี่ดีไหม”
“หิว อย่าถามพี่ให้มากเลย คนกำลังมีไข้อยู่แท้ๆ ซักมากเดี๋ยวไข้ก็กลับหรอก” คนบ่ายเบี่ยงโยนเรื่องออกไปไกลตัว
“ทานยาอีกสักเม็ดนะคะ ไข้จะได้ไม่กลับ พักผ่อนให้มากๆ ด้วย วันนี้ห้ามทำงานดึกดื่น รีบนอนแต่หัวค่ำ”
พรนับพันอ้าปากพะงาบๆ ล้อเลียนคุณหมอ โคลงศีรษะกวน ปล่อยให้น้องสาวซึ่งเป็นแขกเทอาหาร และมีพี่สาวยืนป่วนโดยไม่ทำอะไรเลย นอกจากยกออกมาวางบนโต๊ะ
“ถ้าคุยกันจนติดลมบนไม่หิวก็ไม่ต้องกินนะ ฉันกับน้องจะกินกันแล้ว อย่ามาหาว่าไม่ชวน” คนขี้หงุดหงิดนั่งเรียบร้อยบนโต๊ะอาหารขนาดหกที่นั่ง ครั้งแรกที่เห็นนั้นพรนับพันยังนึกสงสัยว่าห้องแบบนี้ของผู้ชายคนเดียวทำไมต้องมีโต๊ะใหญ่ แต่ดูๆ แล้วห้องของทิวากรจะเป็นห้องสาธารณะใครจะมาใครจะไปน่าจะมีบ่อย
“พี่พราวด์เสียมารยาทจัง”
“พี่ไม่เคยต้มหนังสือมารยาท หนังสือสมบัติผู้ดีกินนี่” คนหิวจัดการตักข้าวมาสองจาน เหลือบตาเห็นร่างสูงของทิวากรยืนอยู่ข้างๆ น้ำใจของเธอไม่มีเหลือพอแบ่งปันให้เขาในเวลานี้ แค่เห็นเขาเธอก็ยิ่งหงุดหงิด ไม่สนใจว่าตัวเองจะอยู่ในฐานะผู้อาศัย
“นั่งก่อนหนาว” ทิวากรนั่งลงข้างกับน้ำหนาว “วันนี้เกรงใจคุณแฟร์มากเลยนะครับ ไม่เห็นต้องซื้ออะไรมากมายขนาดนี้”
“แฟร์ซื้อให้ฉัน เพราะรู้ว่าฉันอยากกิน คุณน่ะต้องขอบคุณฉัน ไม่อย่างนั้นไม่ได้กินของดี รสชาติเยี่ยมแบบนี้หรอก”
“พี่ทิวทนไปได้ยังไงคะ” น้ำหนาวกล่าวขึ้นอย่างทนไม่ได้ “ทำไมคุณทำตัวแบบนี้คะ” ตำหนิพรนับพันตรงๆ
นับพันพรหายใจเข้าลึก มือวางประกบมือพี่สาวบนโต๊ะ ตั้งใจบอกให้ใจเย็นๆ แต่คงไม่ทัน
“ทำไมล่ะ หึงเหรอ ร่องรอยบนหน้านี่เกิดจากความปากดีของเธอหรือเปล่า อยากเจ็บเพิ่มไหม ถ้าไม่ก็ก้มหน้าทานไป แต่ถ้าเห็นหน้าฉันแล้วทานไม่ลง ก็ออกไปซะ เพราะฉันไม่มีทางไปไหนแน่ จะแสดงกิริยาแย่ๆ อย่างนี้ต่อไป”
น้องสาวก้มหน้า ยกมือกุมขมับไม่ปิดอาการหวาดเสียว ถึงเป็นหมอ รักษาคนมานักต่อนัก แต่คนที่เธอรักษาไม่หาย กลับเป็นพี่สาวจอมร้ายกาจของเธอเอง พูดจาแต่ละอย่างไม่เคยคิดถนอมน้ำใจ เอะอะว่าหาเรื่อง วางมวย ทั้งที่ตัวเองไม่ได้เก่งอะไรหรอก เคยหน้าช้ำปากแตกไปหาเรื่องคนอื่นมาก็ออกจะบ่อย สมัยเรียนถูกฝ่ายปกครองเรียกพบแบบปีเว้นปีทีเดียว
“คุณพราวด์ ขอโทษหนาวเขาเดี๋ยวนี้ คุณควรให้เกียรติแขกของผม”
“ไม่!” พรนับพันยิ้มมุมปาก เลิกคิ้วท้าทาย ก่อนจะหันมาจัดการอาหารเมนูโปรด ปล่อยผู้หญิงหน้าช้ำเจ็บใจ และทิวากรโกรธจนหน้าดำหน้าแดง
“พี่พราวด์ แฟร์ว่าพี่ทำผิดนะคะ”
“พี่รู้ เพราะพี่จงใจทำ ใครบางคนจะได้ทนไม่ได้” พรนับพันยิ้มใส่ตาเจ้าของห้อง ให้ทิวากรรู้ว่าเขาคือบุคคลที่ถูกกล่าวถึง “เสียบรรยากาศจริงๆ กินๆ เถอะ วันนี้พี่อยากนั่งรถเล่นข้างนอก วันนี้เธอว่างใช่ไหมแฟร์”
“แฟร์ไม่ได้หูฝาดใช่ไหม”
พรนับพันเหยียดยิ้ม “ที่นี่แย่กว่าการที่พี่พบเจอคนแปลกหน้าข้างนอกอีก”
นับพันพรรู้สึกผิดเท่าทวี เธอไม่น่าถามเปิดประเด็นให้พี่สาวตัวร้ายพูดจาทำร้ายจิตใจเจ้าของห้องได้ไม่มีหยุดหย่อน
“กินเข้าไปเยอะๆ นะคะ” ตักเนื้อปลาสามรสเอาใจ ทั้งที่ในใจคิดไว้ว่า กินเข้าไปเยอะๆ ปากจะได้ไม่ว่างพูดอีก
นับพันพรอยากจะหัวเราะเสียงดังให้กับคนเก่งแต่ปาก เอาเข้าจริงก็ไม่ได้อยากออกไปข้างนอกอย่างปากว่า เพราะเจ้าตัวคว้าคอมพิวเตอร์มาเครื่องหนึ่ง และเคาะห้องที่อยู่เยื้องกัน แนะนำตัวอย่างเป็นทางการ รวมทั้งแนะนำเธอ บอกว่าผู้ใหญ่ใจดีที่ยิ้มมาให้นี้เป็นคนช่วยเมื่อวานตอนไข้ขึ้น
แรกๆ พรนับพันก็ดูตั้งใจช่วยงานน้ารุจีด้วยการเรียนรู้การถักตุ๊กตาไหมพรมไปให้บ้านเด็กกำพร้าดีอยู่ แต่ถักไม่ทันเสร็จสักตัว ก็หาเรื่องวางมือไปจัดการกับงานที่คอมพิวเตอร์ ปล่อยให้หมออย่างเธอมานั่งทำต่อ
“พี่พราวด์ชอบใจร้อนแบบนี้ล่ะค่ะ”
“ทุกอย่างต้องมีสาเหตุจริงไหมจ๊ะ”
“จริงค่ะ” นับพันพรมองพี่สาวที่นั่งอยู่ห่างออกไป พลางถอนใจ เธอเองก็อยากจะให้ทุกคนเข้าใจพรนับพันบ้าง แม้ว่าเจ้าหล่อนจะไม่เคยต้องการให้ใครรู้จัก “พี่พราวด์ตอนเกิด เกิดมาในช่วงที่พ่อแม่เพิ่งเรียนหมอจบใหม่ๆ ถึงพ่อแม่จะแต่งงานกันแต่ว่าชีวิตของพ่อแม่ก็ยังทุ่มเทให้กับงาน พี่พราวด์ถึงโตมากับตาค่ะ ตาปลูกฝังความเข้มแข็งไว้ในตัวพี่พราวด์ แฟร์เกิดตามมาหลังจากนั้นสี่ปี ถ้าไม่มีพี่พราวด์แฟร์อาจตายไปแล้วค่ะ”
รุจีหยุดมือที่กำลังถักหมวกสวมตุ๊กตากระต่ายแล้วตั้งใจฟัง นับพันพรยิ้มเศร้า เหตุผลที่เธอไม่เคยโกรธพรนับพันสักครั้ง มีที่มาเช่นกัน
“ตอนแฟร์เกิด แฟร์ไม่ค่อยแข็งแรง พ่อแม่เคยเกือบตัดสินใจที่จะเอาแฟร์ออกตอนที่อยู่ในท้อง” เรื่องนี้พ่อแม่ยินดีเล่าให้ฟังตอนเธอจำความได้ “แต่พี่พราวด์ไม่ยอมค่ะ เด็กสี่ขวบที่ฝันอยากมีน้อง กรีดร้อง ไม่พูดไม่จากับพ่อแม่ ในที่สุดพ่อแม่ก็ต้องยอม ประคับประคองจนแฟร์รอดมาได้ พี่พราวด์เองก็ดูแลแฟร์กระทั่งโต ไม่ให้ใครมารังแก ไม่ให้ใครมาแกล้ง” พูดจบก็ยิ่งยิ้ม
“พี่น้องรักกันดีนะคะ”
“นินทาอะไรพี่หรือเปล่ายัยแฟร์” พรนับพันถามมา ดวงตาหรี่มองไม่วางใจ ได้ยินชื่อตัวเอง แต่จับใจความไม่ชัด
“หลายเรื่องค่ะ ดีๆ ทั้งนั้น” นับพันพรคล้ายว่าพูดประชด แต่ใจความคือความจริง โชคดีที่พรนับพันเลิกใส่ใจ ไปคร่ำเคร่งกับงานต่อ
“คุณน้าจะสอนอะไร เตือนอะไรพี่พราวด์ทำได้เลยนะคะ พี่พราวด์เองก็ชอบก่อความวุ่นวายเป็นกิจวัตร แฟร์เองก็เป็นห่วงพี่พราวด์ค่ะ” คนเป็นน้องออกปากขอกับรุจี ไม่รู้ว่าทำไมจึงเชื่อใจ หญิงกลางคนตรงหน้า แต่คนที่ช่วยพี่เธอในช่วงเวลาป่วยมาได้ก็ถือว่าเชื่อได้ในระดับหนึ่ง
“น้าว่าคนเรามีความแตกต่างในตัวเอง นิสัยคนร้ายกาจบางคน อาจจะดูจริงใจกว่าคนแสดงออกดีแต่ว่าพร้อมจะหลอกเราก็ได้นะคะ”
“หน้าเนื้อใจเสือใช่ไหมคะ” นับพันพรหัวเราะเบาๆ “ระดับพี่พราวด์เป็นเสือตั้งแต่หน้าค่ะ แต่เชื่อใจได้แน่นอน”
“เหมือนจะชม” พรนับพันค่อนแคะ เดินออกมานั่งแปะบนพื้น “มีอะไรอยากเผาพี่ให้น้าจีฟังอีกไหม”
สตรีสองวัยกลั้นยิ้มกับหน้าบึ้ง ปากยื่นออกของผู้หญิงเจ้าของหัวข้อสนทนา
“น่าจีจะทำไปให้เด็กวันไหนเหรอคะ”
“วันเกิดลูกชายน้าจ้ะ เสาร์หน้า หนูไปด้วยกันไหม จะมีทำอาหารไปเลี้ยงเด็กด้วย ตอนนี้มีแค่น้า ตาชวิน แล้วก็เพื่อนเขาอีกสองสามคน ถ้าว่างหนูสองคนไปด้วยกันสิจ๊ะ ถ้าคุณทิวว่างน้าก็ฝากชวนด้วยเลย”
ชื่อของทิวากรทำให้หน้าตาน่ามองยิ่งบึ้งตึง งอง้ำ นับพันพรนึกอยากแซวเล่น “กลัวอะไรคุณทิวคะ”
“ไหน ใครกลัว หน้าอย่างนี้กลัวเหรอ” ทำท่าหลังตรง ยืดไหล่ เบะปาก
“ไม่กลัว แต่ไม่พอใจที่เขาไม่สนใจหรือเปล่าคะ”
“พูดมากจริง ใครเจาะปากให้เธอมาพูดเนี่ยแฟร์” พรนับพันถลึงตามองดุ
นับพันพรแทนที่จะสลดกับการถกว่ากลับยิ่งหัวเราะเสียงใส โคลงศีรษะไม่ถือความ หันเหความสนใจไปที่เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้น เป็นคนห้องตรงข้ามโทรมา
“สวัสดีค่ะคุณทิว”
พรนับพันกลอกตา เบะปาก ไม่ยอมลุกไปไหน ถึงไม่พอใจกับทิวากร แต่ความอยากรู้ฉุดให้เธอยังนั่งฟังแบบเสียมารยาท ใครใช้ให้นับพันพรลอยหน้าลอยตาคุยให้ได้ยินกัน
“อ๋อ จะออกไปข้างนอก เลยโทรมาบอกก่อน”
“จะบอกทำไมไม่มาบอกเอง ไกลนักนี่ อยู่แค่ห้องน้าจี” พรนับพันบ่นดังๆ
สักพักเสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น นับพันพรจึงวางโทรศัพท์ หันมาเล่นงานพี่สาวตัวเองแทน “ไปเลยค่ะ คนที่พี่อยากเจอมาหาแน่ะ หรือกลัวล่ะคะ”
รุจียิ้มเอ็นดูการตอบโต้ของสองพี่น้อง ที่กล่าวถึงอีกหนึ่งหนุ่ม ในสถานการณ์จากคนไม่รู้ ก็พอมองออกว่าสองคนนี้มีความคิดต่อหนึ่งหนุ่มอย่างไร คนพี่อยากหนีแต่คนน้องอยากสนับสนุนต่อไป
พรนับพันพอถูกท้าเข้าให้ก็รีบลุกขึ้นยิ่งกว่าที่นั่งโดนไฟเผา แอบนิ่วหน้าเพราะรีบลุกไปหน่อย แผลบริเวณเข่าซึ่งตึงจึงประท้วง หญิงสาวเดินไปทางประตูห้อง ไม่รู้ทำไมต้องยืนทำใจอยู่เกือบนาทีกว่าจะยอมเปิดประตู
“มีอะไร”
“ทำไมคุณถึงชอบทำหน้าเป็นนางยักษ์อยู่เรื่อย ไม่เมื่อยเหรอครับ เดี๋ยวบึ้ง เดี๋ยวงอ”
พรนับพันหน้าตึง “ไม่ชอบนางยักษ์ ก็ไปหาลูกเจี๊ยบไร้สมองที่อื่นโน่น ฉันไม่เปลี่ยนตัวเองเพื่อคุณแน่”
“ผมไม่ได้ขอให้คุณเปลี่ยนเพื่อผม แต่ให้เปลี่ยนเพื่อคนอื่นครับ”
“ก็ดี ฉันจะทำให้คุณเห็น ยกเว้นทำกับคุณ” เน้นเสียงในประโยคท้าย กอดอกเมินหน้า ถามเสียงห้วน “มีอะไร จะไปไหนก็ไปสิ จะโทรมากวนน้องฉันทำไมมิทราบ คราวนี้ถึงฉันเข้าห้องไม่ได้ ก็ไม่โง่เป็นลมหน้าห้องคุณอีกแน่”
“ผมไปทำงานจะกลับมาถึงหลังเที่ยงคืน กุญแจกับการ์ดนี่ผมให้คุณเก็บไว้” ทิวากรบอกอย่างใจเย็น ยื่นของสองสิ่งรอให้พรนับพันมารับไป แต่อาการปั้นปึ่ง เก็บมือไว้ข้างหลังทำให้เขาต้องยอมจับมืออุ่นมาวางกุญแจกับการ์ดลงไปเอง “คุณอยากทานอะไรก่อนนอนไหม ผมจะไปหามาให้”
“โจ๊กพิเศษใส่เครื่องใน ข้างโรงพยาบาล... ไงหามาได้ไหม” ชื่อโรงพยาบาลที่น้องสาวทำงานตั้งอยู่คนละมุมเมืองจากที่เธอและทิวากรอยู่ หญิงสาวยิ้มมุมปากสาแก่ใจที่เห็นเขาทำหน้าคิดหนัก
“ไว้ผมจะไปซื้อมา ต้องไปส่งหนาวแถวนั้นพอดี” ทิวากรจุดรอยยิ้มรู้ทัน เดินขึ้นหน้ามา ลดเสียงเพื่อให้ได้ยินกันแค่สองคน “คุณคิดว่าผมจะยอมแพ้คุณง่ายๆ เหรอครับ ผมน่ะชอบการแข่งขัน”
พรนับพันชูกำปั้นขึ้น กลั้นเสียงกรีดร้องไว้ อดทนอย่างเต็มที่ไม่ให้ประทุษร้ายผู้ชายหน้ากวน ยิ้มร้ายจอมยั่วอารมณ์เธอ
ทิวากรส่งเสียงจุ๊ๆ ยกนิ้วทาบริมฝีปากปรามทั้งที่หน้ายังยิ้ม “ไว้ผมกลับมาให้คุณทำร้ายร่างกายนะครับ ใจเย็นๆ” ร่างสูงผละจากไป ปล่อยให้สาววัยสามสิบอารมณ์ร้อนยืนกระทืบเท้า ฮึดฮัด แต่ทำอะไรไม่ได้
“อย่างคุณฉันไม่แตะต้องให้เสียเซลล์ที่ผิวหนังหรอก”
……………………………………………………..
คุณ konhin นั่นสิ ผลของการลืม แต่ไปๆ มาๆ ยัยพราวด์ก็ชอบเรียกร้องความสนใจดีนะคะ ฮา
คุณ Sukhumvit66 กระซิบๆ ไม่ต้องสงสารนานค่ะ เดี๋ยวพราวด์ก็ก่อเรื่องอีก
คุณ mhengjhy เจอแฟนเก่า ลืมกันเลย
คุณ OhLaLa รอเนอะว่าหนาวยังมีอิทธิพลไหม แล้วพราวด์จะยอมเหรอ
คุณ นักอ่านเหนียวหนึบ หนาวยังมาน้อยๆ ค่ะ ยังมีอีกเรื่อยๆ แต่พราวด์ก็ยังสร้างเรื่องได้เรื่อยๆ เหมือนกัน เอ๊ะ?
คุณ yimyum พาพี่ทิวมาง้อแล้วค่ะ อิอิ
ว่าจะอัพตั้งแต่เมื่อวาน แต่ก็ช้าจนวันนี้ ขอให้สนุกนะคะ เดี๋ยวเที่ยงคืนนี้มาใหม่ ขอบคุณทุกคอมเมนท์ ทุกไลค์ และนักอ่านเงาทุกท่านค่า :D

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 8 มี.ค. 2557, 11:48:46 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 8 มี.ค. 2557, 11:48:46 น.
จำนวนการเข้าชม : 2035
<< บทที่ 4 : จักรยาน | บทที่ 6 : ก่อกวน >> |


Sukhumvit66 8 มี.ค. 2557, 14:04:15 น.
เจอแบบนี้คุณทิวภูมิคุ้มกันต้องเยอะจริง ๆนะนี่
ไม่งั้น..ทนไม่ไหวแน่นอน
เจอแบบนี้คุณทิวภูมิคุ้มกันต้องเยอะจริง ๆนะนี่
ไม่งั้น..ทนไม่ไหวแน่นอน

OhLaLa 8 มี.ค. 2557, 20:18:17 น.
อินกับพรนับพัน หมั่นไส้ทิวพอหนาวมาก็กลับไปสนใจหนาวมากกว่า พรนับพันก็เลยวีนเหวี่ยง
อินกับพรนับพัน หมั่นไส้ทิวพอหนาวมาก็กลับไปสนใจหนาวมากกว่า พรนับพันก็เลยวีนเหวี่ยง
