ในเงาฝันปลายตะวัน
พรนับพัน ชีวิตของเธอจะมีตาอยู่ในทุกๆ ที่ แม้กระทั่งวันที่ตาจากไป หลายๆ สิ่งที่เธอทำก็ยังอยู่ในเงาของ 'ตะวัน' ผู้เป็นตาไม่เคยเปลี่ยน

และเพราะนิสัยที่เอาแต่ใจ โมโหร้าย ไม่สนใครหน้าไหนของพรนับพัน ชีวิตวันๆ หนึ่งเดินออกไปไหนไม่ได้ไกล หากมีเรื่องเข้ามาหาเจ้าหล่อนพร้อมพุ่งชน และนั่นเองทำให้รอบข้างกังวลและอยากจับเธอเปลี่ยนแปลง

ทิวากร ไม่รู้ว่าเขาโชคดี หรือโชคร้ายที่ได้รับหน้าที่จัดการเปลี่ยนมนุษย์ถ้ำ ให้ออกสู่สังคมได้อย่างปกติ แต่ดูเหมือนว่าคนที่ใครมองว่าโชคร้าย กลับเต็มใจรับสภาพ อ้าแขนรับมนุษย์ถ้ำคนนี้ซะด้วย
Tags: มนุษย์ถ้ำ โรแมนติก อมยิ้ม

ตอน: บทที่ 7 : สร้างเรื่อง(อีก)

บทที่ 7
“พี่ต้องการคำอธิบาย” เสียงเอะอะตั้งแต่เคาะประตูห้องอย่างกับจะมีพายุมาลงนั้นทำให้คนที่หลับอุตุฝันดีถึงตา ผงกร่างขึ้นนั่งด้วยความหงุดหงิด

พรนับพันเดินมาเท้าระเบียงมองหาทิวากร แต่ไม่พบ เขาหายไปพร้อมกับเสียงประตูเปิดปิด และประโยคที่ดังลั่นไปทั้งชั้นนั้นบอกถึงพายุลงใส่ทิวากรได้จริง

คนสร้างเรื่องย่นคออย่างสยอง ลางสังหรณ์บอกว่าเธอมาส่วนเอี่ยวด้วยกับเรื่องนี้ น่าจะเป็นเรื่องของเมื่อคืน จากคนไม่ชอบติดตามข่าวสารหยิบโทรศัพท์ที่เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต ปกตินั้นไว้เช็คอีเมลล์ที่รับส่งงานเข้ากูเกิล เสิร์ชคำว่า ทิว ทิวากร ข่าวล่ามาไวอัพเดตแสดงเนื้อข่าวที่น่าตะลึงไม่น้อย

หนุ่มทิว พระเอกดาวรุ่งหักอกแฟนๆ ประกาศมีแฟน ออกสื่อว่าห้ามดื้อ หรือจะอีกสำนัก ตะวัน สาวปริศนา คนรักหนุ่มทิว แคร์บอกขอโทษ พรนับพันหน้าซีดขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งพบความคิดเห็นแต่ละอย่าง ส่วนใหญ่นั้นด่าทอแฟนสาวของทิวที่ไม่ดูเวลา มาประกาศตัวในช่วงขาขึ้นของทิวากร อีกส่วนก็บอกว่าทิวากรแคร์แฟนมากถึงได้กล้าพูดแบบนั้นออกสื่อเห็นแฟนคลับเป็นอะไร

พรนับพันกุมขมับ เธออยากขอโทษให้กับทิวากรอีกหลายๆ ครั้ง ถึงเธอจะนิสัยแย่มากขนาดไหน แต่ไม่เคยคิดทำร้ายคนที่ดีต่อเธอ เขาเดือดร้อนเพราะเธอ

พรนับพันกดโทรศัพท์โอนสายไปต่างประเทศ รู้สึกจนปัญญาที่สุด

“ว่าไงมีอะไร ฉันเพิ่งกลับมาที่พัก”

“เกิดเรื่องแล้วหนึ่ง”

“เรื่องอะไร”

พรนับพันนอนราบกับที่นอน หน้าเคร่งเครียด หลับตาเล่าเรื่องอันน่าปวดหัวที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้หนึ่งดาราทราบไม่มีปิดบัง ได้ยินเสียงกรีดร้องอย่างเสียสติของหนึ่งดาราตามมายาวเหยียด หนึ่งดาราคงไม่ได้ยินว่าเธอเล่ากระแสลบที่มีต่อทิวากรนั้นมันมากขนาดไหน

“แกช่างกล้า เพื่อนใครก็ไม่รู้ ตอนได้ยินคุณทิวตอบกลับมาแกคงช็อก อึ้ง ไม่คิดว่าคุณทิวจะกล้าล่ะซี้”

รู้ดีจริง พรนับพันเข่นเขี้ยวอย่างเคืองขุ่น “ฉันควรจะเลิกยุ่งกับคุณทิวของเธอไหม ฉันทำให้เขาเดือดร้อน”

“เดี๋ยวปั๊ดเหนี่ยว” หนึ่งดาราหวีดมาเสียงสูง “แกถ่ายทิ้งแล้วปล่อยให้คุณทิวเช็ดคนเดียวเนี่ยนะ ตอนนี้แกต้องอยู่เคียงข้างคุณทิว ไม่รู้ล่ะถ้าแกชิ่งล่ะก็ ฉันกลับไปจะจับแกนั่งยางเผา โทษฐานทำตัวดีไม่ถูกที่ถูกเวลา”

“แล้วฉันต้องทำยังไง ฉันมีแต่สร้างปัญหา ขนาดขอแต่งงานยังโดนปฏิเสธ มองเหมือนเป็นเชื้อโรค” พรนับพันเพิ่มความแรงให้ฟังดูสมจริง แต่ปลายทางกรีดร้องอุทานได้น่าหนวกหูเหมือนเคย

“เกิดอะไรขึ้นเนี่ย เพื่อนฉันสมองกลับ ขอผู้ชายแต่งงาน พระเจ้า”

ยิ่งฟังพรนับพันยิ่งรู้สึกแย่ “เออ ถ้าให้ฉันอ่านบันทึกของตาเร็วกว่านี้ ฉันคงคิดได้เร็ว ไม่ต้องรอให้ใครมาพูดปากเปียกปากแฉะ”

“แกอ่านแล้ว!”

“หยุดแหกปากสักทีเถอะ เกรงใจหูฉันบ้าง” คำพูดคำจาเกินหญิงของพรนับพันหยุดการโหวกเหวกได้

“นั่นแหละน่า แกจะเปลี่ยนตัวเองก็ควรพูดให้เพราะสิ เป็นหญิงเป็นนางพูดแหกปงแหกปากเนี่ยนะ”

“อย่านอกเรื่อง เธอช่วยฉันคิดทีว่าควรทำยังไง เพราะเธอแท้ๆ พาเขาเข้ามาในชีวิตฉันน่ะ” การให้ตัวเองรู้สึกผิดน้อยลง คือการโยนความผิดกึ่งหนึ่งให้หนึ่งดารา

“มันถึงคราวซวยของคุณทิวหรอกที่มาสนใจของแปลกแบบแก”

คำว่าสนใจช่วยทำให้เรื่องในครั้งนี้ดูไม่น่าเชื่อมากขึ้น พรนับพันส่ายหัวจนผมกระจาย “เขาแค่อยากช่วยคนตกทุกข์ได้ยากหรอก ไม่มีอารมณ์สนใจอะไรทั้งนั้น เหอะ”

“ถ้าเขาไม่สนใจแก แล้วช่วยคนตกทุกข์ได้ยากจริง เห็นทีคุณทิวคงต้องไปเปิดสมาคมอะไรสักอย่างแล้วล่ะ ไม่มาทนให้แกทำร้ายจิตใจ เหวี่ยงวีนใส่แบบนี้หรอก”

“ฉันไม่ได้ทำ”

“รู้ดีแก่ใจ ถ้าแกจะทิ้งคุณทิวไป ลอยตัวบนกองภาระล่ะก็เห็นดีกัน ตอนนี้ในเมื่อแกมีดวงตาเห็นธรรม รู้ว่าควรทำตัวดีได้ ถึงจะทำไปตามที่ตาขอก็เถอะ ตาแกอยากเห็นหลานมีความสุข แล้วไง แกจะทำยังไงให้วิญญาณตาเห็น รู้สึกว่าแกมีความสุขได้”

ข้อความที่อ่านเพียงครั้งก็จำได้ ความรู้สึกที่ว่าอยากเห็นตาสุข ไม่ว่าจะยามมีชีวิตหรือจากไปขับเคลื่อนจิตใจของเธอ คนๆ เดียวที่เธอนึกออก และมีความเป็นไปได้มากที่สุดคือ...ทิวากร เธอจะต้องทำให้เขาเป็นคนสำคัญ

“เธอว่าถ้าฉันทำให้คุณทิวยอมแต่งงาน มันจะเพิ่มปัญหา หรือว่าจบปัญหา”

“ฉันไม่สนับสนุนถ้าหัวใจของแกยังไม่มีอาการผิดปกติ แกลองให้เวลาคิดมากๆ อย่าคิดอะไรฉาบฉวย มักง่าย ชีวิตคู่ไม่ได้ง่ายอย่างที่แกคิด นอกจากความรักมันยังไม่พอเลย แต่แก แค่รัก แกยังไม่มี อย่าทำร้ายความรู้สึกคุณทิวโดยที่แกรู้เท่าไม่ถึงการณ์อีก”

“ฉันควรทำยังไง”

“เคียงข้างเขา ห้ามหนีปัญหา”

พรนับพันถอนหายใจ วางสายจากเพื่อน หัวสมองยังคงครุ่นคิดไม่ตก ประตูห้องก็เปิดออก หญิงสาวมองเห็นร่างที่ไหล่ลู่ดูตก ใบหน้าเหนื่อยล้า ทิวากรเงยขึ้นมามองเธอพร้อมรอยยิ้ม กลบซ่อนความจริงไว้

หญิงสาวสะอึกในความรู้สึก คำว่าเคียงข้างเขาทำให้เธอเดินลงมาหยุดอยู่ตรงหน้าทิวากร สีหน้าเก้อกระดากไม่กล้าสบตาอ่อนแสง เท้าเขี่ยไปมาอยู่ไม่สุข อุบอิบพูดออกไป

“เรื่องเมื่อวานที่ฉันพูดตอนคุณกลับมา ลืมไปเถอะนะ”

พรนับพันรู้สึกตัวลอย เมื่อถูกดึงตัวปลิวเข้าสู่อ้อมกอดอันอบอุ่น ความรู้สึกคุ้นเคย และหัวใจของเธอที่เริ่มตีรัวหนักทำให้นึกประหลาดใจ สภาพจิตใจของทิวากรตอนนี้คงไม่ดีนัก หญิงสาวจึงวางมือ ลูบขึ้นลงไปบนหลังของทิวากร ลมหายใจของเขาเป่าอยู่ข้างแก้ม

“คุณไม่ได้อยู่คนเดียว คุณยังมีฉัน”

“ผมรู้”

ริมฝีปากสีเชอร์รี่ขยายออกเป็นรอยยิ้ม อย่างน้อยการมีตัวตนของเธอที่นี่ก็พอทำให้เขามีที่พึ่งบ้าง “เรื่องที่เกิดขึ้น ฉันรู้ว่าปากฉันมันพาซวย ขอโทษนะ ให้ฉันออกไปขอโทษแฟนคลับของคุณก็ได้” พรนับพันรู้สึกว่าอ้อมแขนที่รัดร่างแน่นขึ้น

“ไม่ต้องทำขนาดนั้นหรอก คุณไม่ผิด”

“ไม่ต้องปลอบใจฉัน ฉันต่างหากที่ต้องปลอบคุณ แต่ฉันปลอบคนไม่เป็น”

“คุณจะอยู่เคียงข้างผมใช่ไหม”

“อืม” พรนับพันรับคำอย่างงงๆ “ฉันไม่ทิ้งคุณไปหรอก”

“คุณจำที่พูดเรื่องเมื่อวานได้ไหม”

หัวคิ้วเรียวย่นเข้าหากัน นึกได้ว่าเมื่อวานเธอพูดอะไรเยอะแยะ “ตอนไหนล่ะ”

“ตอนกลางคืนที่ผมกลับเข้ามาในห้อง”

ไม่ต้องบอกพรนับพันก็รู้ว่าเป็นเรื่องอะไร หญิงสาวเม้มปากไม่ตอบ ก็เธอบอกเองว่าให้เขาลืม ยังมาตอกย้ำให้อายตัวเองทำไมกัน แค่นึกหน้าก็มีไอร้อนจางๆ

“เงียบแบบนี้แปลว่าจำไม่ได้” ทิวากรคลายอ้อมกอด เปลี่ยนมาจับไหล่สองข้าง ดวงตาทอแสงอ่อนล้าออกมา “ผมพูดให้ฟังได้ไหม”

“ฉันบอกให้ลืมไปแล้วไง”

ทิวากรส่ายหน้า ยิ้มละมุน “แต่งงานกับผมนะ”

พรนับพันไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองพยักหน้าตอบรับไป แต่ริมฝีปากที่ทิ้งไว้บริเวณหน้าผากค้างนาน ทิ้งอุณหภูมิร้อนไว้ในร่างเธอ ร่างกายยืนนิ่งเป็นเบื้อใบ้ หาเสียงตัวเองไม่เจอ ตรงกันข้ามกับหัวใจ ที่กระหน่ำบรรเลงเป็นจังหวะแปลก

อย่างนี้หรือเปล่าที่หนึ่งดาราว่าไว้...หัวใจของเธอเกิดอาการผิดปกติแล้ว


เคยมีมนุษย์หน้าไหนรู้จักกันไม่ถึงเดือนแล้วแต่งงานกันบ้าง พรนับพันคิดว่าคงมีอยู่บ้าง แต่น่าจะเกิดจากความรัก เกิดจากครอบครัวจับลูกคลุมถุงชน แต่กับทิวากร จุดเริ่มต้นเราแปลก

‘จะไม่คุยถึงเหตุผล ไม่จัดงาน’

พรนับพันออกปากไปก่อนจะจรดปากกาไปบนแผ่นกระดาษที่เปลี่ยนชีวิตเธอ(เหรอ) โดยมีผู้ใหญ่มาคนหนึ่ง ทิวากรออกปากว่า

‘ผมให้คุณใช้นามสกุลเดิม ไม่ต้องเอานางสาวออก’ ถึงจะดูแปลกเกินไปในสายตา แต่คนไม่ชอบความมากพิธีก็เออออรับคำไปแบบซื่อๆ

เขาจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้น เก็บใบทะเบียนสมรสไป ส่วนเธอยังมึนงงกับชีวิตที่คล้ายว่าจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ทิวากรจงใจปิดหูปิดตาไม่อธิบายว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของเขา ให้เธอสืบเสาะผ่านอินเตอร์เน็ตเอง แต่มันสู้รู้จากปากเขาที่ไหน

วันๆ หนึ่งทิวากรจะออกไปข้างนอกแต่เช้า เขาจะดูแลเรื่องอาหารให้ และทำเผื่อไว้ถึงกลางวัน มื้อเย็นเธอต้องหิ้วท้องรอจนดึกดื่นรอให้เขากลับมา เป็นแบบนี้อยู่นานถึงสัปดาห์ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เขานอนโซฟา เธอนอนเตียง ชีวิตมันน่าเบื่อกระทั่งเธอรู้สึกไม่อยากทนอีกต่อไป

พรนับพันติดต่อกับบอกอ เพื่อขอดูปกหนังสือล่าสุดที่เธอใกล้จะปิดต้นฉบับได้ในระยะเวลาอันใกล้ เรื่องจดทะเบียนนี่เธอเองก็เพิ่งจะโทรบอกนับพันพรให้รู้หลังจากจดไปสามวัน ได้ยินน้องสาวแตกตื่น โวยวายใส่ใหญ่ ในขณะที่เธอตอบเพียงแค่

‘ในความรู้สึกจดไม่จดไม่ต่างกันหรอก’

พรนับพันถอนหายใจกับชีวิตอันน่าอึดอัด ไม่ต้องให้ใครมาบอกเธอก็รู้ว่าเขาหลบหน้า วันหนึ่งคุยกันนับประโยคได้ เอาเถอะ เขาอยากทำอะไรก็ทำ ชีวิตก็เป็นของเธอเหมือนกัน

“พี่ชวินจะไปไหนคะ” เปิดประตูออกมาจากห้องก็พบเพื่อนร่วมชั้นซึ่งเธอไปอาศัยคุยด้วยบ่อยๆ จนสนิทเรียกพี่ เรียกน้า ชวินกลั้นหัวเราะชุดพนักงานเต็มยศขนาดนั้นเธอจะถามหาพระแสงอะไร

“พี่ไปทำงาน แล้วพราวด์จะไปไหนล่ะ”

คนรอโอกาสยิ้มเผล่ถูกใจ “จะไปธุระค่ะ แถวๆ สุขุมวิท พี่ชวินผ่านพวกรถไฟฟ้าไหม ไปหย่อนฉันแถวนั้นก็ได้”

“พี่ไปส่งได้ พี่ก็ทำงานแถวนั้น ว่าแต่เราเถอะ พี่ไปส่งแบบนี้ พรุ่งนี้ห้ามลืมไปทำบุญงานวันเกิดพี่ล่ะ”

“เกือบลืมไปเลย” หญิงสาวยิ้มง่ายขึ้น เพียงแค่ระลึกถึงตา ทุกคนบนโลกก็ดูเป็นมนุษย์ที่น่าสนใจกว่าแต่ก่อน เธอทำทุกอย่างเพื่อให้ตาที่อยู่ในที่ไหนสักที่ได้รู้...เธออยู่ได้ และมีความสุขดี

“เตือนแบบนี้ไม่ลืมแล้วนะ”

คนว่าง่ายขึ้นพยักหน้ารับ เดินเคียงคู่ไปกับพี่ชายห้องตรงข้าม “อย่าลืมชวนคุณทิวนะ”

“ถ้าเขาไม่ว่าง ฉันก็ไปอยู่ดี ติดรถพี่ชวินกับน้ารุจีไปนั่นแหละค่ะ” พยายามไม่ทำน้ำเสียงน้อยใจ แต่ความห่างเหินในใจความทำให้คนฟังรู้

“อย่าหาว่าพี่ยุ่งเลยนะ ตอนนี้คุณทิวเขาปกติดีใช่ไหม”

“เกิดอะไรขึ้นคะ” พรนับพันถามเสียงหลง เธอเองพยายามถามทั้งจากเจ้าตัว และจากน้องสาว ก็ไม่มีใครอธิบายอะไรได้ชัดเจน เธอเองก็ลืมไปว่ายังมีชวิน ที่ไม่น่ารู้ปัญหาภายใน

ชวินรอให้เธอนั่งประจำที่นั่งในรถเรียบร้อย มองเธออย่างสงสารก่อนเริ่มเรื่อง เรื่องที่ทำให้จุดหมายปลายทางของเธอเปลี่ยนไป

ตั้งแต่เกิดเรื่องที่เธอโทรเข้าไปในคลื่นวิทยุ แฟนคลับหลายกลุ่มออกมาไม่เห็นด้วย ทุกคนคิดว่าทิวากรเพิ่งเกิดมาในวงการแสดงฐานะพระเอกไม่ทันไรก็เปิดตัวว่ามีแฟนออกสื่อ ซ้ำยังไม่มีใครรู้ว่าแฟนของทิวากรเป็นใคร ผู้คนเริ่มขุดคุ้ยหาว่าตะวันเป็นใคร โชคดีที่มาตรการในคอนโดเข้มแข็ง ข่าวที่ว่าเธออยู่ห้องเดียวกับทิวากรจึงไม่รั่วไหล หรือกระทั่งจดทะเบียนสมรสกันแล้ว

งานอีเวนท์ของทิวากรถูกยกเลิก พรีเซนเตอร์หลายตัวที่จะเซ็นหลุดมือไป ประวัติของทิวากรถูกนำมาตีแผ่ และข่าวเสียๆ ก็เริ่มแพร่ออกมา โดยจงใจเล่นที่ตัวของทิวากร

“แน่ใจนะพราวด์ พี่ว่าคุณทิวคงไม่อยากให้พราวด์มาที่นี่” ชวินมาส่งถึงที่ตึกทำงานใหญ่ที่ทิวากรทำงานอยู่ ถึงจะไม่ได้อยากพามาส่งเพราะรู้ว่าน่าจะเกิดปัญหาใหญ่ตามมา แต่เขาเองก็ไม่อยากให้ทั้งทิวากร และพรนับพันปิดข่าวอีกฝ่ายแบบนี้

“ขอบคุณพี่ชวินมากนะคะ”

พรนับพันยืนส่งกระทั่งรถเก๋งญี่ปุ่นของชวินแล่นหายไปจากสายตา หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ชั่งใจว่าจะกดหาทิวากรดีหรือไม่ แต่เธออยากรู้สภาพปัญหาที่แท้จริงทั้งหมดก่อน โทรศัพท์จึงถูกเก็บเข้ากระเป๋า พรนับพันพบแผ่นผ้าเขียนข้อความหยาบคายถูกวางหน้าตึก

‘ลูกไม่มีพ่อแม่’ ‘กกหญิงหน้ามืด’ ‘หล่อหน้าหลอก’ และอีกหลายๆ อย่างเกินกว่าจะทนอ่านต่อไปได้ พรนับพันนึกโกรธที่ข้อความพวกนั้นยังถูกเขียนอยู่โดยที่ไม่มีใครเก็บ ร่างสมส่วนหายใจเข้ายาว ระงับอารมณ์โกรธ เดินไปกระชากผ้าผืนยาวออกรวดเดียวดังแควก สายตาฟาดฟันกับคนกลุ่มย่อมที่ยืนละล้าละลังรวมตัวกัน

“เธอเป็นใคร ยังสนับสนุนคนแบบนั้นอีกเหรอ โง่หรือไง”

บางคนสวมชุดนักเรียน แต่ยืดอกยืดไหล่ เชิดหน้าอยู่แถวหน้าๆ โดยมีป้าๆ ใส่อารมณ์ยุแยงทางด้านหลัง ที่แท้พวกยามหรือพนักงานในตึกมาจัดการไม่ได้เพราะมีมนุษย์แปลกกลุ่มนี้เฝ้ายิ่งกว่ามหาหวงกระดูก

“แล้วทำไม ฉันจะเอามาเหยียบๆ” โยนผ้าลงพื้นและเริ่มต้นใช้เท้าบี้อย่างไม่ใยดี เรียกเสียงกรีดร้องอย่างกับมีใครโดนเชือด “งานการไม่มีทำหรือไง ว่างนักก็ไปเรียนหนังสือไป๊ ส่วนพวกป้าๆ ใครมีลูกมีสามีก็ไปดูแลสิ หรือถ้ายังไม่มีก็ไปหาซะ ไม่สนับสนุนเขายังมีหน้ามากีดกัน ป้ายสี โรคจิตหรือไง”

ผู้หญิงแท้หญิงเทียม กรีดเสียงร้องเสียสติ หลายมือชี้มายังพรนับพัน ต้นเสียงหนึ่งสั่งการลั่น

“จัดการมัน นังนี่มันติ่งคนทรยศแฟนคลับ”

“เป็นคนดีๆ ไม่ชอบ อยากเป็นหมา มาเป็นหมู่เลยนะ” คนมีเรื่องเป็นกิจวัตรยกมือตั้งการ์ดรอเอาร่างรับมือหลายคู่ ฝ่าเท้าหนักๆ จากเด็ก จากผู้ใหญ่ แต่ก่อนจะมาถึงตัว พรนับพันก็ถูกแผ่นหลังของใครบดบัง กางปีกปกป้อง

“พี่ทิว” หลายเสียงกรีดร้อง ตะลึงตะลานกันไป แต่คนถูกปกป้องหัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ ไม่รู้ว่าใบหน้าของทิวากรจะเป็นอย่างไร

“ผมขอร้องนะครับ อย่ามีเรื่องกัน”

น้ำเสียงอ่อนโยนพยายามไกล่เกลี่ย ตรงข้ามกับเหล่าอดีตแฟนคลับที่เต้นพล่าน ชี้มือชี้ไม้มายังบุคคลด้านหลังเขาไม่หยุดหย่อน

พรนับพันกัดริมฝีปากยามใช้ความคิด เธอเองไม่ชอบให้ใครมาหาเรื่อง แต่ถ้าเรื่องมันจะมาหาเธอก็ช่างปะไรสิ เธอไม่สนใจโลกภายนอกอยู่แล้ว ชีวิตในห้อง มีคนส่งข้าวส่งน้ำสบายใจ ไม่ต้องไปพบใครดีออก เธอไม่ต้องทนสายตาใครๆ เหมือนที่ทิวากรต้องพบในสายงาน

“ฉันคือตะวัน” พรนับพันกล่าวเสียงดัง เดินออกมาจากด้านหลังทิวากร “เป็นแฟนคลับโรคจิต ฉันหวังในตัวเขา”

ดวงตาหลายคู่มองอย่างตะลึง คนที่ได้สติก่อนหยิบโทรศัพท์มือถือมากดถ่ายคลิปไว้เตรียมเผยแพร่ พรนับพันมองปฏิกิริยาเหล่านั้นอย่างเตรียมใจ เธอไม่สนว่าจะถูกทิวากรกระชากมือแล้วลากเข้าไปในตัวตึกอย่างแรงจนตัวเกือบปลิว เสียงของเธอยังคงทำงานไปไม่หยุด

“คุณทิวโดนฉันหลอก ฉันก็แค่หวังผล ทำไมล่ะ พวกเธอก็หวังครอบครองเขาไม่ใช่เหรอ ถึงได้เต้นเป็นเจ้าเข้า อยากเป็นเหมือนฉันก็ทำบุญให้มันเยอะๆ สิ”

เพราะต้องวิ่งตามแรงฉุด และพูดยาว พอทิวากรหยุดเดิน เธอจึงออกอาการเหนื่อยหอบ หายใจโยนจนต้องนั่งยองกุมหน้าอก เธอไม่ใช่คนชอบออกกำลังกาย โดนแค่นี้ก็เหนื่อยแล้ว

“อย่าเพิ่งพูด ฉันขอเหนื่อยแปบได้ไหม”

“ไม่ได้” ทิวากรยืนกอดอก ทำหน้ายักษ์ถมึงทึงใส่ “ทำแบบนี้ทำไม ผมไม่เคยคิดว่าจะเห็นคุณมาอยู่ที่นี่”

“ฉันเป็นคนก่อเรื่องก็ควรรับผิดชอบ”

“ไม่ใช่ว่าทำให้ยุ่งขึ้นหรือไง”

พรนับพันลุกขึ้นยืน หัวใจยังเต้นแรงด้วยความเหนื่อย สบตากราดเกรี้ยวของทิวากร ยิ่งรู้สึกว่ามีช่องว่างมากมายที่ทำให้เธอไกลจากเขา

“ขอโทษที่ทำให้รู้สึกอย่างนั้น ถ้าสิ่งที่คุณต้องการคือให้ฉันไปจากที่นี่ ฉันก็จะไป” พรนับพันมองอีกฝ่ายอย่างตัดพ้อ หมุนตัวจะเดินไปยังทางที่เข้ามา แขนของเธอก็ถูกกระชากอย่างแรงจนเจ็บ ทิวากรกำมันจนเธอหน้าเบ้

“อย่ามาประชดผม คุณอยากเจ็บตัวจากคนข้างนอกหรือไง”

พรนับพันเบือนหน้าหนี ไหวไหล่ทำเก่ง “ฉันโดนมาเยอะ ร่างกายฉันรับได้ กี่มือกี่เท้าก็ไม่ตายหรอก”

“คุณมันบ้า!” ทิวากรสบถออกมา “ไปรอผมที่ห้อง ผมจะพาคุณกลับเอง”

“ถ้าฉันเป็นภาระในชีวิตคุณขนาดนี้ ก็ปล่อยฉันไปเถอะ ฉันอยู่ไป มีค่าอะไรกับคุณบ้าง ถ้ายังมีความลับกันแบบนี้ ฉันจะอยู่เคียงข้างคุณไปเพื่ออะไร” พรนับพันกล่าวออกมาเสียงเครือ เธอยังเข้มแข็งพอไม่ให้น้ำตาไหลออกมา “ทั้งที่ปัญหาเกิดเพราะฉัน คุณจะแบกมันไว้คนเดียวได้ยังไง ถ้าเนื้อมันร้ายก็ตัดทิ้งไปสิ ฉันยินดี”

คนเสนอตัวว่าเป็นเนื้อร้ายเชิดหน้าพูด แต่คนฟังไม่สนที่จะสนอง ดันเธอเข้ามาในห้องสี่เหลี่ยมขนาดเล็ก มีโซฟา เครื่องปรับอากาศสบาย มีคนอยู่ก่อนหน้าอีกสองคน

“ฝากดูแลเธอสักครู่นะครับ อย่าให้สติแตก เดี๋ยวผมมา”

“ฉันไม่ได้สติแตกนะ” พรนับพันแผดเสียงดัง ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาที่ว่าง หลับตาด้วยความเครียดจัด การที่เธอมาที่นี่ยิ่งเพิ่มปัญหาให้กับทิวากรจริงหรือ

“สวัสดีครับ” หนุ่มมาดฮิพฮอพสวมเสื้อตัวโคร่ง ติดตุ้มหูที่จมูก และหูอีกหลายรูผงกหัวทักทาย

“อืม” พรนับพันขานรับในคอ

“เดี๋ยวพี่ทิวก็มาครับ” ปองภพพยายามชวนคุย พอเดารู้ได้ว่าตัวต้นเหตุของเรื่องวุ่นวายที่ทิวากรเผชิญอยู่นั้นมาจากใคร “ใจเย็นๆ นะครับ อย่าใจร้อน อยู่นิ่งๆ เดี๋ยวปัญหาทุกอย่างก็จบ”

“ฉันอยู่นิ่งๆ มาเจ็ดวันแล้วมันจบไหมล่ะ ไอ้ป้ายข้างนอกพวกนั้นทำไมมันยังมีฮะ บริษัทไม่คิดแก้ข่าว ทำความเข้าใจให้มากขึ้นหรือไง”

ปองภพมองหน้าหญิงรุ่นพี่ที่เป็นคนดูคิวงานให้ทิวากรด้วยอาการขอความช่วยเหลือ นาถขยับตัวอึดอัดนิดหนึ่ง ก่อนจะเรียกความมั่นใจออกปากบ้าง

“คุณคือตะวันใช่ไหมคะ”

“ฉันชื่อพรนับพัน ชื่อพราวด์ ตะวันชื่อตาฉัน ฉันเอามาใช้ตอนโทรศัพท์แค่ตอนนั้น”

“พี่ชื่อนาถนะคะ เป็นคนรับงานให้ทิวเขา”

“ผู้จัดการส่วนตัวเหรอคะ” พรนับพันถามอย่างสนใจ “ถ้าอย่างนั้นก็น่าจะจัดการเรื่องพวกนี้ได้”

“พี่ดูแค่งานค่ะ ส่วนเรื่องส่วนตัวเราจะไม่ก้าวก่าย” นาถไม่ได้บอกว่าตนโดนทิวากรตอกหน้าหงายว่าห้ามยุ่งตั้งแต่วันแรกที่ไปเคาะเรียกหน้าห้องแล้ว ใบหน้าโกรธ ตวาดแบบนั้นเธอไม่ขอยุ่งเกี่ยวอีกเด็ดขาด ปล่อยไปตามเวรละกัน ในเมื่อทิวากรบอกจะจัดการเอง

“พวกแฟนคลับเขาเป็นอย่างนั้นกันหมดไหมคะ ถ้ารักกันจริงทำไมไม่ยินดีที่ศิลปินที่รักมีความรัก กลับเอาเรื่องแย่ๆ มาด่าทอ ฉันไม่เคยรู้ว่ามีคนประเภทนี้อยู่ด้วย”

“พวกเขาศรัทธาเลยล่ะครับ ยิ่งมีกระแสดัง ทั้งละคร ไหนจะถูกจับคู่กับดาราดังอย่างคุณทองภู”

“ผู้หญิงชื่อเหมือนผู้ชายนะคะ” พรนับพันทำหน้าพิศวง

“ก็คู่จิ้นชายชายไงครับ”

“จิ้นคืออะไรคะ แล้วสมัยนี้เขาจับคู่ชายกับชายเป็นคู่เกย์เหรอ พิลึกคน” คนยิ่งฟังยิ่งปวดหัวกับสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ตรงกันข้ามกับคนมองอีกสองคนที่มองเธอเป็นเด็กหลังเขา นึกไปถึงว่าทิวากรอาจไปเดินเก็บมาจากเขาไหนสักที่

สายตาที่อยากรู้อยากเห็นของสองคนนั่นยิ่งสร้างความอึดอัดรำคาญใจแก่พรนับพัน “ห้องน้ำอยู่ไหนคะ”

“เดี๋ยวพี่พาไปดีไหมคะ” นาถทำท่าลุก

“ไม่ต้องครับผมพาไปเอง” ทิวากรกลับเข้ามาอีกครั้ง หน้าตายังมีความโกรธผสมความไม่พอใจแปะไว้ “ไปได้แล้วคุณพราวด์”

พรนับพันบอกลาสองคนสั้นๆ ก่อนจะถูกจับข้อมือลากให้เดินไป อาการอย่างคนไม่กล้าปล่อยให้คลาดสายตา และกลัวเธอไปก่อเรื่องยิ่งทำให้ในใจของพรนับพันไม่พอใจพอกัน

“ฉันจะไปทำธุระด้วย ไปส่งฉันที”

“ไม่ใช่ไปก่อเรื่องอีกนะ” คำถามระแวงไม่ปิดบัง

“กลัวก่อเรื่องก็บอกให้ตัดฉันทิ้งไปสิ เลิกยุ่ง เลิกเกี่ยวกัน ฉันจะได้ไม่ต้องสนใจว่าใครจะเป็นจะอยู่ยังไง ยังไงคุณก็ทำให้ฉันรู้สึกแบบนั้นอยู่แล้วนี่” ประโยคสุดท้ายประชดตามอารมณ์

“คุณบอกจะอยู่เคียงข้างผม ลืมแล้วหรือไง”

“คุณนั่นแหละที่ลืม ไหนล่ะ เคียงข้างที่คุณนิยาม คืออะไร เอาเก็บไว้ที่ห้อง เลี้ยงเหมือนหมูเหมือนหมา ไม่ต้องรับรู้อะไรสักอย่าง คุณนั่นแหละบ้า” คนไม่อ่อนไหวน้ำตาคลอหน่วย แต่อดกลั้นไว้สุดกำลัง เบือนหน้าหนี ความอดทนตลอดเจ็ดวันเป็นช่วงเวลาที่เธอรู้สึกเป็นคนโง่เง่า

ทิวากรมาประจำที่นั่งคนขับ ถอนหายใจด้วยความไม่สบายใจ หลายวันที่ผ่านมาเขาไม่อยากให้พรนับพันรับรู้ปัญหาที่เขากำลังเผชิญ

“ผมจัดการได้”

“โกหก ฉันไม่เห็นคุณจะทำหน้าว่าจัดการได้เลย”

“ข่าวมันมีเดี๋ยวก็หมดไป มาไวไปไว”

พรนับพันดึงมือของทิวากรมากุมไว้หน้าตาเฉย “ฉันคิดว่าเวลานี้ฉันควรทำแบบนี้ ฉันควรอยู่ข้างๆ คุณ” เห็นสายตาเกือบจะยิ้มของอีกฝ่าย หญิงสาวรีบขัด “ฉันแค่ทำตามที่ยัยหนึ่งว่ามาว่าฉันห้ามลอยตัวหนีปัญหา และสิ่งที่ฉันต้องทำคือการอยู่ข้างๆ คุณ”

“คุณมีเพื่อนที่ดีนะ” ในที่สุดเธอก็ได้เห็นรอยยิ้มของทิวากร

“แล้วฉันล่ะ ไม่ใช่คนดีเหรอ” พรนับพันปลดมือออก แสร้งทำหน้าบึ้ง สัมผัสได้ถึงบรรยากาศทางอารมณ์ที่ดีขึ้น เธอจะต้องอยู่ข้างๆ เขาไม่ว่าจะมีปัญหาใด

“คุณร้ายที่สุด” ทิวากรขำออกมากับอาการอ้าปากเตรียมพ่นไฟ และหุบฉับกลายเป็นอมยิ้มเมื่อฟังจนจบ “และดีที่สุดในชีวิตผม ขอบคุณที่อยู่ข้างๆ ผมนะครับ” บีบกระชับมือนุ่มเป็นการยืนยัน

...........................................................
คุณ นักอ่านเหนียวหนึบ ไปเรื่อยๆ ชอบมีอะไรแปลกๆ มาดลใจทิวนะคะ สงสัยจะความร้ายกาจของพราวด์

คุณ Sukhumvit6 ตอนนี้อาจมีตะลึงกันเล็กน้อย เดี๋ยวไปหน้าๆ จะรู้เองนะคะ

คุณ OhLaLa ทิวน่าสงสารเนอะ แต่ดูเต็มใจขึ้นกว่าตอนที่แล้ว

คุณ yimyum สมุดที่เจอเป็นของตาค่ะ ส่วนเล่มที่ทิวเขียนให้อยู่กับหนึ่ง เดี๋ยวตอนหน้านะคะ มีอะไรมาเซอร์ไพร้ส์พราวด์

ขอบคุณทุกคอมเมนท์ ทุกไลค์ และนักอ่านเงาทุกท่านค่า อาจจะงงกันทำไมอยู่ดีๆ ปุบปับจดทะเบียนกันซะงั้น ตอนหน้านะคะ



ปวรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 11 มี.ค. 2557, 13:09:00 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 11 มี.ค. 2557, 13:09:00 น.

จำนวนการเข้าชม : 2127





<< บทที่ 6 : ก่อกวน   บทที่ 8 : จมูกมด >>
yimyum 11 มี.ค. 2557, 14:03:47 น.
ชอบอ่ะ


OhLaLa 11 มี.ค. 2557, 14:22:48 น.
ตอนนี้ดูอะไรก็ปุ๊ปปั๊ป อะไรทำให้ทิวจดทะเบียนกับพราวน์ รอตอนต่อไปนะคะ


mhengjhy 11 มี.ค. 2557, 14:40:21 น.
ว้าย ว้าย เขิน


konhin 11 มี.ค. 2557, 21:28:25 น.
โหยยยยย แรงจริงแฟนคลับ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account