ในเงาฝันปลายตะวัน
พรนับพัน ชีวิตของเธอจะมีตาอยู่ในทุกๆ ที่ แม้กระทั่งวันที่ตาจากไป หลายๆ สิ่งที่เธอทำก็ยังอยู่ในเงาของ 'ตะวัน' ผู้เป็นตาไม่เคยเปลี่ยน

และเพราะนิสัยที่เอาแต่ใจ โมโหร้าย ไม่สนใครหน้าไหนของพรนับพัน ชีวิตวันๆ หนึ่งเดินออกไปไหนไม่ได้ไกล หากมีเรื่องเข้ามาหาเจ้าหล่อนพร้อมพุ่งชน และนั่นเองทำให้รอบข้างกังวลและอยากจับเธอเปลี่ยนแปลง

ทิวากร ไม่รู้ว่าเขาโชคดี หรือโชคร้ายที่ได้รับหน้าที่จัดการเปลี่ยนมนุษย์ถ้ำ ให้ออกสู่สังคมได้อย่างปกติ แต่ดูเหมือนว่าคนที่ใครมองว่าโชคร้าย กลับเต็มใจรับสภาพ อ้าแขนรับมนุษย์ถ้ำคนนี้ซะด้วย
Tags: มนุษย์ถ้ำ โรแมนติก อมยิ้ม

ตอน: บทที่ 8 : จมูกมด

บทที่ 8
เช้าวันนี้เธอพบว่าทิวากรตื่นสาย แปดโมงเขาก็ยังหลับปุ๋ย คงเพราะได้นอนเต็มอิ่ม หลังจากที่เมื่อคืนทิวากรชวนดูหนังฟังเพลงกันจนดึก จนเธอนึกสงสัย

‘วันนี้คุณไม่ไปจัดวิทยุล่ะ’

‘ผมลาออกแล้ว จัดไปก็มีสายโทรเข้ามาด่าจนไม่เป็นอันทำงาน แต่ช่างเถอะ ชีวิตผมยังมีอะไรให้ทำอีกเยอะ คุณอย่าห่วงเลย’

พรนับพันคลุมผ้าห่มที่ร่วงไปกองแทบเท้าสำหรับคนนอนดิ้นให้เข้าที่ นึกๆ ไปก็ตลกที่ชีวิตของเธอมาหยุดอยู่ที่นี่ ทุกวันเธอจะตื่นนอนมาพบเขา และตื่นเช้าโดยมีเขาอยู่ทานข้าวเป็นเพื่อน เมื่อคืนนี้คนที่บอกไม่เป็นไรคงจะนอนไม่หลับกับการลาออกจากงานวันแรก ถึงได้ตื่นสายแบบนี้ พรนับพันนึกโทษตัวเอง เธอเองคงมีส่วนหลังไปอาละวาดเปิดเปิงใส่อดีตแฟนคลับของเขาแบบนั้น เรื่องจึงยิ่งบานปลาย

ยิ่งเขาผจญปัญหาแบบนี้ เธอยิ่งทิ้งเขาไม่ลง พรนับพันถอนหายใจ อยากกอดปลอบเขาโดยไม่มีสาเหตุ แต่ใจยังไม่กล้าพอ ได้แต่มองเขา และให้กำลังใจ ไม่ว่าจะทำอย่างไร เธอจะไม่ปล่อยให้ทิวากรต้องพบปัญหานี้ได้ไม่จบสิ้น

โทรศัพท์มือถือของเธอส่งเสียงดัง โชคดีที่ในเครื่องนั้นมีแต่เบอร์คนสำคัญไม่ถึงยี่สิบเบอร์ มันจึงไม่หลุดไปหาผู้ไม่หวังดีโทรมาก่อกวน หน้าจอเป็นเบอร์ต่างประเทศ พรนับพันตุ้มๆ ต่อมๆ แต่ก็ยอมกดรับ

“สวัสดีค่ะ”

“ยัยพราวด์ มันเกิดอะไรขึ้น” น้ำเสียงกราดเกรี้ยวของพรพนาทำให้คนฟังเผลอเหงื่อตก พรนับพันลุกออกมาจากโซฟา เลี่ยงไปคุยตรงระเบียง ไม่ให้ไปกวนคนหลับ

“แม่สบายดีไหม ไม่ได้คุยกันตั้งนานแน่ะ”

“หน็อย อย่ามาเปลี่ยนเรื่องกับฉันนะ” สรรพนามอันห่างเหินบ่งบอกอารมณ์พุ่งสูงของคุณพรพนา “แม่ตัวดี ไปก่อวีรกรรมอะไรไว้ ดังไปทั่ว ผู้ใหญ่ที่นี่ยังรู้ แม่เอาหน้าไปไว้ที่ไหนดีเนี่ย”

“เอาไว้ที่เดิมนั่นแหละค่ะ อย่าได้แคร์”

“พราวด์อย่ากวนแม่สิ แม่เขาโกรธจนตัวสั่นแล้ว” เสียงของคุณนับพันดังมาคล้ายคนกลาง ความใจเย็นมีมากกว่า “ผู้ชายคนนั้นกับลูกเป็นอะไรกัน” แต่น้ำเสียงก็ยังเด็ดขาดเอาเรื่อง

“อย่าโกรธพราวด์นะ ที่พราวด์ไม่ได้บอก” พรนับพันบอกอย่างกริ่งเกรง หดคอด้วยความหวาดเสียว บุคคลสองคนที่เธอเกรงกลัวที่สุดในโลกหล้าเห็นจะมีแค่คุณหมอพรพนา กับคุณหมอนับพัน

“มีอะไรที่ฉันจะโกรธแกได้มากกว่านี้ฮะ” น้ำเสียงกราดเกรี้ยวของคุณพรพนายังกระแทกกระทั้นใส่อารมณ์

“มีแน่ค่ะ แต่เอาไว้บอกตอนพ่อแม่กลับมาดีไหม”

“ไม่!” ช่างสมานสามัคคีกันได้ถูกเวลา

สองเสียงเข้มนั้นทำให้พรนับพันยอมจำนน ตั้งสติรอตั้งรับระเบิดลูกยักษ์ พร้อมสะเก็ดอีกหลายกระบุง งานนี้ถึงตัวไม่อยู่ แต่เชื่อได้ว่าคำเทศนาจะบินลอยมาไวยิ่งกว่าคองคอด

“พราวด์จดทะเบียนสมรสกับคุณทิวแล้ว”

“คุณพรทำใจดีๆ” เสียงของพ่อดังมาอย่างตระหนก ก่อนจะกรอกเสียงกรุ่นโกรธเลิกใจเย็นใส่เธอ “ให้แม่ฟื้นก่อน พ่อกับแม่จะโทรมาอีกรอบ เรามีเรื่องต้องคุยกันอีกยาว” และเสียงสัญญาณที่หายไปพานให้ใจคนฟังร้อนรน

พรนับพันรู้สึกใจเสีย หน้าซีด อยากจะเป็นลมตามมารดาไป แต่สติยังคงมีเหลือ บอกให้รู้ว่าปัญหาอีกมากมายจะยังดาหน้ามาไม่จบไม่สิ้น หญิงสาวถอนหายใจยาวยืด คิดหาทางออกของการเผชิญหน้ากับพ่อแม่ไม่ออก อีกไม่นานพ่อแม่ต้องรีบกลับมาสะสางคดีความกับลูกสาวจอมก่อเรื่องอย่างเธอแน่

“ถ้าพ่อแม่คุณโทรมา คุณให้ผมคุยแทนเถอะนะ” เสียงทุ้มดังห่างจากเธอเพียงแค่ก้าวเดียว พรนับพันยืนตาค้างที่ทิวากรอยู่ใกล้เธอขนาดนี้ “ขอโทษที่ผมแอบฟัง”

“ไม่เป็นไร มันก็ไม่ใช่ความลับอะไร”

“มีปัญหาใช่ไหม” ทิวากรเห็นว่าพรนับพันหลบตา เลี่ยงที่จะตอบได้แต่ยิ้มปลอบใจ “ครั้งหน้าให้ผมเคลียร์เองนะ ผมไม่อยากเห็นคุณกังวล”

ข้อความที่ใส่ใจนั้นทำคนฟังยิ่งมองสบตากับผู้พูดไม่ได้ กระแอมกระไอ พยักหน้ายอมรับไป “เดี๋ยวฉันไปทำบุญบ้านเลี้ยงเด็กกำพร้ากับพี่ชวิน น้ารุจี ยัยแฟร์ก็ไปด้วย ส่วนเพื่อนพี่ชวินที่บอกจะไปด้วยตอนแรกติดธุระไปไม่ได้ค่ะ คุณจะไปด้วยกันไหม”

“ผม...”

พรนับพันยิ้ม จับมือทาบแก้มเขาเบาๆ “พักผ่อนจิตใจบ้างเถอะนะคะ ที่นั่นคงไม่มีเรื่องวุ่นวายอะไรอีก”

“คุณเปลี่ยนไปรู้ตัวไหม”

หญิงสาวเอียงคอมอง ก่อนจะแสร้งทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ “ฉันเปลี่ยนกับแค่บางคน แต่กับคนบางประเภท ฉันเปลี่ยนตัวเองไม่ลงหรอก”

ภาพพรนับพันอาละวาดหน้าตึกทำงาน เหยียบแผ่นผ้า และตั้งการ์ด ผรุสวาทใส่เหล่าฝูงชนนั้นลอยมา พานให้คนที่ไม่อยากพบเจอพรนับพันเวอร์ชั่นไม่รับแขกต้องยิ้มแหย

อยู่ในประเภทที่เจ้าตัวยอมเปลี่ยนให้ย่อมดีกว่าเห็นๆ


ธุระที่เธอทำตอนเมื่อวานนั้นทำให้ได้หนังสือมาลังใหญ่หลังไปขูดรีดเอากับทางบอกอเพื่อมาบริจาคเด็กที่บ้านเด็กกำพร้า เป็นของเพิ่มพูนจินตนาการความรู้จากหนังสือหลายประเภท นอกจากนั้นยังมีอาหารหลายชนิดที่น้ารุจีขนมาทำที่โรงครัวของบ้านเด็กกำพร้า กระเพรา ต้มยำ ผัดผัก ขนมหวานอย่างกล้วยบวชชี และขนมเค้กสั่งทำอีกหลายปอนด์ โดยที่มีพรนับพัน นับพันพรเป็นลูกมือ ส่วนใหญ่งานสับ ล้างผัก หั่นหมูจะเป็นของพรนับพันที่ทำอาหารไม่ค่อยเป็น ทางด้านเอนเตอร์เทนจึงยกให้กับสองหนุ่ม เด็กๆ ที่เห็นทิวากรพากันกรีดร้องอย่างดีใจ

หลังจากตักอาหารกลางวันให้เด็กๆ ผ่านการเป่าเค้กพรนับพันจึงมีโอกาสได้ว่าง มองรอยยิ้ม ความสุขบนหน้าเด็กเล็กเด็กใหญ่ที่ยังคงมีความหวังในชีวิต ถึงพวกเขาจะไร้ซึ่งพ่อแม่ เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เธอตั้งปณิธานว่าวันเกิดตัวเองจะต้องมาทำแบบนี้อีกให้ได้

“น่าเสียดายที่คุณทองภูไม่ได้มา ติดถ่ายละคร”

“ใครล่ะทองภู” คนไม่ชอบดาราถามพาซื่อ คุ้นๆ ว่าเคยได้ยินชื่อนี้มา

“เพื่อนคุณทิว แฟร์บังเอิญเจอเขาเมื่ออาทิตย์ก่อน ตอนนั้นคุณทองภูเขามาช่วยแฟร์จากโจรกระชากกระเป๋า” นับพันพรเล่าดวงตาเป็นประกาย

“เป็นโรคตกหลุมรักหรือเปล่าเนี่ย”

นับพันพรมองค้อนพี่สาว “คุณทองภูเขาเองก็แวะเวียนมาหาแฟร์บ่อยๆ”

พรนับพันโคลงศีรษะ มองหน้าสีชมพูของคุณหมอแล้วได้แต่หัวเราะเบาๆ แต่ยิ่งทำให้นับพันพรตกตะลึง “พี่พราวด์หัวเราะ”

“ทำไม ตลกอะไร” รีบทำหน้านิ่ง เสียงแข็ง

“ถ้าเป็นเมื่อก่อนไม่ฟังแฟร์พล่ามเรื่องพวกนี้หรอก”

โดนจี้มากๆ ว่าเปลี่ยนจากเดิม พรนับพันจึงแยกเขี้ยวใส่ นับพันพรจึงปล่อยเสียงหัวเราะกลับคืน หันไปเล่นกับเด็กๆ ที่ถูกใจตุ๊กตาถักไหมพรม กับของเล่นที่ซื้อมาแบ่งกันเล่นอีกหลายอย่าง

พรนับพันเงยขึ้นพบกับดวงตายิ้มเป็นมิตรจากครูใหญ่ ที่เด็กๆ ในบ้านแห่งนี้เรียกขาน สตรีวัยใกล้เกษียณ ผมรวบตึง โครงหน้ายาว แก้มตอบ กับร่างเล็ก สวมเสื้อเชิ้ตแขนยาว กระโปรงคลุมเข่าเดินมาหาเธออย่างแน่วแน่

“คุณพราวด์ใช่ไหมคะ”

“ค่ะ” พรนับพันมีสีหน้ามึนงงเล็กน้อย ไม่ค่อยเจอรอยยิ้มจากคนที่คุยกันครั้งแรกนัก ส่วนใหญ่เจอหน้ายักษ์เธอก็เผ่นแน่บไปหมด

“ฉันอยากคุยกับคุณน่ะค่ะ”

“ฉันเหรอคะ” พรนับพันเหลือบมองการเล่นเกมบนเวทีขนาดย่อม ที่มีการเปิดเพลงประกอบจังหวะ และคนตัวสูงหน้าหล่ออย่างกับหลุดมาจากทีวีคนนั้นก็กำลังมีรอยยิ้มอันผ่อนคลาย จนเธอเผลอยิ้มตาม

“ทิวเคยอยู่ที่นี่ค่ะ”

“คะ?” ด้วยความสงสัย คราวนี้พรนับพันจึงตัดสินใจเดินตามทิพย์ไปยังโต๊ะม้าหิน

“คุณคงรู้มาจากข่าวตามสื่อใช่ไหมคะ”

พรนับพันขมวดคิ้ว ทำหน้าเคร่งเครียดขณะส่ายหน้าเป็นคำตอบ “ฉันไม่ชอบดูข่าวค่ะ ยิ่งข่าวบันเทิงฉันไม่สนใจเลย ช่วงนี้ฉันยิ่งทำเป็นไม่สนใจข่าวเสียๆ พวกนั้น”

“ฉันถึงอยากมาพูดกับคุณ ฉันรู้ว่าคุณคือคนสำคัญของทิวเขา จริงไหมคะ” รอยยิ้มเอ็นดูของครูทิพย์ทำให้เธอเพียงแค่ทำหน้านิ่ง ไม่ค่อยแน่ใจว่าตัวเธอนั้นสำคัญกับทิวากรจริงไหม

“ข่าวที่ออกมาว่าทิวเป็นเด็กกำพร้า ส่วนหนึ่งก็จริง อีกส่วนไม่จริงค่ะ ฉันรู้ว่าไม่ควรเอาเรื่องของทิวมาพูดลับหลังเขา แต่ฉันอยากให้คุณช่วย ทิวเขาน่าสงสารนะคะ”

“ฉันยิ่งภูมิใจนะคะ ที่เขาโตมาที่นี่ แล้วเป็นทิวากรที่เก่ง ฉันเชื่อว่าพ่อแม่ของเขาถ้ายังอยู่ต้องภูมิใจมากแน่ๆ”

ครูทิพย์พยักหน้าเห็นด้วย “เขาเป็นความภูมิใจของเราค่ะ ทิวเขาพยายามด้วยตัวเอง ขนาดมีพ่อแม่บุญธรรมก็ยังชอบหนีมาอยู่ที่นี่ พอทำงานก็ยังเอาเงินมาช่วยที่นี่ทุกปี ไม่ลืมว่าตัวเองมาจากไหน”

“พ่อแม่บุญธรรมเหรอคะ” พรนับพันรู้สึกว่าตัวเองรู้จักทิวากรน้อยเหลือเกิน เธอแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขา

หลังจากนั้นครูทิพย์ก็เล่ารายละเอียดถึงเจ้าสัวกวีกับคุณนายจรัสศรี เจ้าของธุรกิจรถนำเข้า ที่รักทิวากรดังลูกแท้ๆ เพราะทั้งสองไม่มีลูก และเจ้าสัวไม่คิดมีภรรยารองจึงตัดสินใจรับเด็กไปอุปการะสักคน เวลานั้นทิวากรอายุย่างสิบขวบ หน้าตาผิวพรรณดี จึงสะดุดเจ้าสัวกับคุณนายแต่แรกเห็น ทิวากรย้ายไปอยู่อย่างไม่เต็มใจ ถึงเลี้ยงดูอย่างดีแค่ไหน แต่หัวใจทิวากรกลับวิ่งมาที่นี่เสมอ ทิวากรไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเป็นลูกคนบ้านนั้น กระทั่งเวลานี้ ทิวากรยังคงเมินเฉยใส่ จะกลับไปเฉพาะวันสำคัญต่างๆ เท่านั้น

พรนับพันยังคิดไม่ตกในเรื่องที่เพิ่งรับรู้ สัญญาณอันตรายก็ปรากฏอีกครั้ง รถหลายคันพาเหรตเข้ามาเขตรั้วสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า คนหลายชีวิตในรถลงมาพร้อมกล้อง และไมค์ หญิงสาวลุกขึ้นยืนมองตาค้าง เห็นทุกคนกรูไปยังเวทีที่มีทิวากรยืนอยู่

“มากับครูเถอะค่ะคุณ ทิวเขาสั่งเอาไว้” ในจุดที่เธอกับครูทิพย์นั่งอยู่เยื้องมาด้านหลังอาคาร และหากไม่สังเกตคนด้านในก็จะไม่ทันได้เห็น

“คุณทิวน่ะเหรอคะ” ทิพย์ฉุดมือเธอออกห่างจากอาคารกลาง เดินไปยังห้องพักครู โดยที่เธอพบว่านับพันพรก็ถูกครูอีกท่านพามาถึงในเวลาใกล้กัน นับพันพรหน้าตาตื่นยังไม่ทันหาย

“พวกคุณหลบอยู่ในนี้นะคะ ครูจะล็อกห้องนี้ไว้ เดี๋ยวทิวจัดการนักข่าวเสร็จจะมารับพวกคุณเอง”

ทิพย์พูดรัวเร็ว รีบจัดการปิดห้องให้เรียบร้อยจึงออกไป พรนับพันถอนหายใจเฮือกโต เลือกนั่งบนเก้าอี้ที่สอดใส่ไว้ใต้โต๊ะไม้ที่มีกองเอกสารอยู่เต็ม นับพันพรดึงเก้าอี้อีกตัวมานั่งข้างโต๊ะ

“คุณทิวเขารู้เหรอคะว่านักข่าวจะมา”

“ไม่หรอก เขาแค่ระวังไว้ก่อน” พรนับพันนึกเคืองที่อีกฝ่ายเล่นเผชิญปัญหาคนเดียวอีกครั้ง

“คุณทิวเขาเป็นห่วงพี่พราวด์นะคะ คงไม่อยากให้เจอปัญหาอีก แค่วันนั้นคลิปออกไปทั่วว่าทำอะไรไว้ก็โดนกระแสหนักขึ้นไปอีก”

“กลัวสร้างปัญหาเพิ่มสิไม่ว่า” พรนับพันหน้าง้ำ

“ถึงได้ซ่อนพี่พราวด์ไว้ไง นี่ยังอุตส่าห์เอาแฟร์มาเก็บด้วยอีกคน กลัวนักข่าวตามสืบจนรู้มั้ง น้องอยู่ด้วยมีหรือพี่จะไม่อยู่” นับพันพรคาดเดาอย่างชาญฉลาด “ว่าแต่ใครเป็นคนบอกนักข่าวคะ”

“พี่จะไปรู้เหรอ” พรนับพันซุกหน้าไปบนโต๊ะ มีเรื่องมากมายให้คิดจนปวดหัว ไม่ใช่แค่ปัญหาข่าวคาวระหว่างเธอกับทิวากร ยังมีเรื่องพ่อแม่บุญธรรมของเขาอีก

จากแรกเริ่มที่มีเธอเป็นตัวปัญหาเพียงคนเดียว ทำไมปัญหาถึงได้งอกเงยตามมาอีก ยังมีอีกเรื่องที่เธอคิดไม่ตกในตอนนี้อีกอย่าง

“แฟร์ พ่อแม่รู้เรื่องพี่จดทะเบียนแล้ว แม่ถึงกับเป็นลม”

นับพันพรหัวเราะหึ มองพี่สาวอย่างกับเป็นตัวประหลาด “ขนาดแฟร์ยังรู้ตอนจดไปสามวันแล้ว ยังตกใจ พ่อแม่ที่เลี้ยงมาแต่อ้อนแต่ออด จะไม่สะเทือนใจกับการกระทำของลูกสาวก็แปลกล่ะค่ะ”

“หัดพูดให้พี่รู้สึกดีบ้างเถอะ ตอกย้ำกันเข้าไป” พรนับพันยังไม่อยากบอกอีกเรื่องว่าถ้าขืนหนึ่งดารารู้เรื่องนี้อีกคน เธอคงโดนดักเชือดแน่ โทษฐานบอกให้รู้เป็นคนสุดท้าย ก็เธอกลัวแม่ยกคุณทิวจะอาละวาดหนักสุดนี่นะ

เสียงฝีเท้าดังขึ้นชัดเจนเมื่อเดินบนพื้นไม้ สองพี่น้องหยุดพูดกะทันหัน มองเงาที่ลอดผ่านช่องประตู ได้ยินบทสนทนาชัดเจน

“ก็ไหนแหล่งข่าวแจ้งมาว่าแฟนคุณทิวก็มาไง ทำไมไม่เห็นวะ”

“ซ่อนอยู่หรือเปล่า”

เงานั้นหยุดตรงหน้าห้องที่พรนับพันกับนับพันพรอยู่ สองสาวจดจ้องด้วยใจระทึก มือจับกันแน่น พรนับพันไม่ได้กลัวหรอกกับแค่นักข่าว หากว่าเธอจะไม่ได้เกี่ยวพันกับทิวากร ป่านนี้เธอเดินออกไปชกหน้าคนที่มายุ่งวุ่นวายชีวิตส่วนตัวของเธอแล้ว ยามนี้เธอได้แต่ใจเย็น เพื่อทิวากร

“ข่าวด่วน เจ้าสัวจะแถลงข่าวเย็นนี้รีบไปเตรียมตัวเถอะ”

เสียงตะโกนดังมาทำให้นักข่าวหน้าประตูห้องนี้ผละจากไป นับพันพรถึงกับโล่งอก แต่พรนับพันยังนิ่งงัน ค่อนข้างมั่นใจว่าเจ้าสัวนั้นต้องใช่เจ้าสัวกวี พ่อบุญธรรมของทิวากร

พรนับพันนึกอยากเป็นลม นอนโรงพยาบาลสักสามวัน ปิดหูปิดตาไม่ต้องรับรู้เรื่องอะไรอีก หน้าของเธอซีดเซียว ยามที่ประตูเปิดออกอีกครั้ง ใบหน้าอันเหนื่อยล้าของทิวากรกำลังมองมาด้วยความเป็นห่วง

หญิงสาวไม่รู้ว่าทำไมขาของเธอจึงเดินเร็วไปหยุดตรงหน้าเขา และมือสองข้างตวัดโอบรอบเอวของทิวากรไว้แน่น พลางหลับตา หูสองข้างได้ยินเสียงจังหวะหัวใจอันมั่นคง มันเหมือนกับว่าเรี่ยวแรงของเธอที่หายไป...กลับมาเต็มร้อย พร้อมสู้อีกครั้ง

เสียงอะแฮ่มดังหลายครั้งติดของนับพันพรสร้างความรำคาญแก่เธอยิ่งนัก พรนับพันจำใจลดแขนลงข้างตัว เสียดายอ้อมกอด และการสูดกลิ่นกายสะอาดจากทิวากร หันไปมองค้อนคนขัดจังหวะ แต่พอหันหน้าออกนอกประตู สายตาครูหลายคน รวมทั้งคุณน้ารุจ และพี่ชวินที่มองมา ทำให้เธอรู้สึกหน้าร้อนผ่าวอย่างบอกไม่ถูก ได้แต่เกาะชายเสื้อของทิวากร ก้มหน้างุดเดินตามต้อยๆ เป็นเด็ก และมีเสียงหัวเราะของเขาดังหลอกหลอนได้อย่างน่าหงุดหงิดกว่าเดิม

เอาเถอะ ทิวากรหัวเราะได้ อายนิดๆ หน่อยๆ ก็ช่างมัน


ตั้งแต่กลับมาโทรศัพท์ของทิวากรดังไม่หยุด เบอร์หน้าจอโทรศัพท์น่าจะเป็นเบอร์สำคัญเขาถึงหน้าเสียเพียงแค่เห็น แต่ก็ไม่ยอมกดรับ ซ้ำยังกดปิดเสียง ไม่เสียมารยาทขนาดตัดสาย

พรนับพันนั่งสงบในรถของทิวากร ไม่มั่นใจว่าจะบอกเรื่องสำคัญที่ไปทราบมาอย่างไร ทำได้เพียงขยับตัวอึดอัดไปมา

“มีอะไรก็พูดเถอะครับ ผมเห็นแล้วอึดอัดแทน มันไม่ใช่คุณเลย” ทิวากรหัวเราะ พยายามยิ้มให้ดูเหมือนไม่เป็นอะไร ทั้งที่สภาพจิตใจตอนนี้ก็ไม่ปกตินัก

“ฉันไปคุยกับครูทิพย์มา ครูทิพย์เล่าให้ฉันฟังเรื่องของคุณ” พรนับพันลอบมองอาการของทิวากร เมื่อยังเห็นว่าเขารับฟังดีอยู่จึงพูดต่อ “ฉันได้ยินครูทิพย์พูดถึงเจ้าสัวกวี”

“คุณอยากรู้อะไรเหรอ”

“ฉันไม่ได้อยากรู้อะไรหรอก แต่แค่สงสัย ฉันได้ยินพวกนักข่าวเขาบอกกันว่าเจ้าสัวจะจัดแถลงเย็นนี้ ฉันไม่มั่นใจว่าจะเป็นเจ้าสัวกวีไหม แล้วเป็นเรื่องของคุณหรือเปล่า”

“คุณไม่สงสาร ไม่สมเพชชีวิตผมเหมือนคนอื่นที่รู้ประวัติผมเหรอ” คำถามด้วยน้ำเสียงโทนเดียว แฝงความเคลือบแคลง

“มนุษย์เราเลือกเกิดไมได้ แต่เลือกเป็นได้นี่นา อีกอย่างคุณเองยังดูเป็นผู้เป็นคนกว่าฉันเลย” คนรู้ตัวเองดีแค่นยิ้ม “ฉันทำอะไรไม่ค่อยได้เรื่อง อะไรที่ได้เรื่องก็มีแต่เรื่องไม่ดี เรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับคุณ ฉันขอโทษ บางทีถ้าฉันกับคุณไม่ต้องมาเจอกัน อาจไม่มีเรื่องวุ่นๆ พวกนี้ก็ได้”

ทิวากรหัวเราะเบาๆ ช่วงที่รถติดไฟแดง จึงเอื้อมมือมาจับมือนุ่มบีบไว้ “เราอย่าเครียดกันเลยนะ มาใช้ชีวิตที่ปกติกันเถอะ”

“ยังไงคะ”

ทิวากรยิ้มกริ่ม ตั้งหน้าตั้งขับรถไปเงียบๆ ไม่ถึงสิบนาที จุดมุ่งหมายของทั้งสองก็คือสวนสาธารณะใหญ่ใจกลางกรุง พรนับพันหันมองคนที่กำลังจอดรถราวกับเป็นผู้ร้าย

“คุณกำลังคิดทำอะไร”

“ความฝันของตาคุณไง เดินสวนสาธารณะ”

ข้อนั้นเธอพอรู้ ไม่เถียง แต่มันใช่เรื่องไหม “ฉันรู้ว่าตอนนี้ฉันควรเก็บตัว อยู่ให้ห่างๆ คุณ อย่าสร้างข่าวจริงไหม”

“จะกลัวทำไม ในเมื่อมีคนคอยปั่นข่าวพวกเราตลอดเวลา” ทิวากรพูดโดยไม่อธิบายอะไรเพิ่มเติม เดินลงจากรถ อ้อมมาเปิดประตูฝั่งพรนับพัน ยื่นมือมารอ

และเพราะชักช้าไม่ทันใจ ทิวากรจึงออกแรงฉุด จับข้อมือเล็กไว้มั่นดึงออกมาจากในรถ พรนับพันทำหน้ามุ่ย ไม่พอใจ ปกติไม่ชอบการถูกจับจ้องจากสายตาชาวบ้านชาวช่องที่ไม่รู้จักมักจี่กัน พรนับพันเตรียมชักมืออันเย็นเฉียบกลับ แต่อีกฝ่ายยังคงรั้งไว้ไม่ปล่อย ปิดประตูล็อกเรียบร้อยด้วยกุญแจอัตโนมัติ

“ถ้าฉันควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ไม่ดีเวลามีคนมาต่อว่า คุณนั่นแหละที่จะเดือดร้อน”

“มันเป็นบททดสอบของคุณ ไม่ว่าผลมันจะเป็นยังไง ผมพร้อมจะเผชิญ”

ท่าทีของทิวากรที่กลายเป็นคนเอาแต่ใจแทนเธอนั้นทำให้พรนับพันถอนหายใจยอมรับ เพียงแค่ออกจากบริเวณลานจอดรถ สายตาของผู้ไม่รู้จักก็พุ่งมองมาได้แหลมคมยิ่งกว่าลูกดอก หลังจากพบเห็น ส่วหนึ่งก็หันไปซุบซิบกันสนุกปาก บางส่วนที่มาคนเดียวยกโทรศัพท์ขึ้นถ่าย บางคนถึงกับเดินตาม

หัวใจของพรนับพันเต้นตระหนก ไอร้อนพวยพุ่งขึ้นหน้า ความโกรธไม่พอใจเป็นไฟผลาญอก เธอนึกอยากกระชากคอเสื้อคนเหล่านั้นมาถามว่าหน้าเธอมีอะไรผิดปกตินักหรือถึงได้มองอยู่ได้ แต่เพราะว่ามีมือของทิวากรบีบเตือนสติเธอเสมอนั้น ใจร้อนๆ ของเธอจึงหวนกระหวัดถึงเขา

ปัญหามากมายล้วนเริ่มมาจากเธอ เธอยังคิดเพิ่มปัญหาให้กับเขาอีกหรือ พรนับพันพรูลมหายใจ หยุดเดินอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่ ยิ้มตอบรอยยิ้มของเขา แม้ว่ามันจะดูจืดเจื่อนแค่ไหนก็ตาม

“คุณเก่งกว่าที่ผมคิด”

“ไม่เลยสักนิด” รอยยิ้มเจื่อนแปรเปลี่ยนเป็นกังวล เหงื่อผุดเต็มหน้าผาก เธอถอยหลังไปชิดต้นไม้ ใช้ความใหญ่บดบังสายตา เธอเกลียดสายตาอยากรู้อยากเห็นพวกนั้น หรือบางส่วนที่ตั้งท่าจะเดินมาหา

“ก็ดีกว่าที่ผมคิด” ทิวากรปลอบใจ เดินเอามือไพล่หลัง พยักหน้าเรียก “เดินอีกสักรอบนะ ผมยังเห็นคุณเกร็งอยู่เลย”

พรนับพันอ้าปากค้าง นึกบ่นคนเผด็จการ เธอเคยเอาแต่ใจมาไม่น้อยก็จริง แต่ไม่เคยถึงขั้นบังคับจิตใจใครขนาดนี้ ไม่เห็นหรือไงว่าเธอรู้สึกย่ำแย่แค่ไหน แต่แผ่นหลังที่เดินไวห่างออกไปโดยไม่รอนั้นทำให้พรนับพันตัดสินใจได้ จึงเร่งเท้ากลายเป็นวิ่งเหยาะ พอทันทิวากร จึงลดความเร็วเท้าเปลี่ยนเป็นเดิน มืออันเย็นเฉียบกุมไว้แน่น

เหตุผลที่เธอกลัวไม่ใช่คน แต่เป็นประกายตาพร้อมทิ่มแทงพวกนั้นต่างหาก และเธอต้องอดทนความไม่พอใจไว้ แทนการระเบิดออกมา และทำลายทิวากร มันช่างยากเย็นเสียจริง

ความสุขคืออะไร มันใช่แบบนี้จริงหรือ


มาถึงคอนโด ทิวากรไม่ได้ขึ้นมาด้วย เขาเพียงแค่มาส่งเธอ และขับรถออกไป พรนับพันมองตามท้ายรถด้วยความรู้สึกเจ็บแปลกๆ ที่อก กำแพงบางอย่างที่เธอไม่รู้กางกั้นขวางเธอกับทิวากรไว้อย่างแน่นหนา เขาไม่ถึง และที่สำคัญสุดเหนืออื่นใด ทิวากรไม่พร้อมจะให้เธอเข้าไป

พรนับพันเดินเข้ามาในห้องด้วยความรู้สึกวูบโหวง อยากล้มตัวลงนอนพักให้หายเหนื่อย โทรศัพท์เจ้ากรรมก็ช่างดังไม่ดูเวลา

“พี่พราวด์ เปิดทีวีเดี๋ยวนี้ ข่าวบันเทิงช่อง...” นับพันพรสั่งมาตามสาย

พรนับพันขยับตัวอย่างเกียจคร้าน แต่ก็ยอมลุกขึ้นเพื่อเปิดทีวีที่เธอไม่ค่อยใส่ใจ หรือให้ความสำคัญ ใช้รีโมทกดไปยังช่องที่นับพันพรว่ามา ภาพงานแถลงข่าว มีผู้หญิงร่างท้วมสวมเครื่องประดับเต็มชุด ผมสีดำดัดหยิกเป็นลอนทั้งหัว ใบหน้าเจ้าเนื้อเกินปกติมีรอยเคร่งเครียด กับผู้ชายร่างผอม คอยาว หัวเกือบล้านนั้นกำลังพูด ข้อความด้านล่างข่าวอธิบายว่า

‘งานแถลงข่าวเรื่องลูกชาย คำสารภาพของเจ้าสัวกวี และคุณนายจรัสศรี’

“ผมไม่อยากให้ทุกคนเชื่อข่าวพวกนั้น ผู้หญิงคนนั้นมีเจตนาที่ไม่ดีต่อลูกชายของพวกเรา ดูจากการเข้าหาตาทิวก็ดูมีเจตนาแอบแฝง” พรนับพันนั่งไขว่ห้าง กอดอก ปากยกขึ้นเป็นสระอิ อยากอาเจียน ในขณะที่เจ้าสัวพูด คุณนายก็จีบมือหนีบผ้าเช็ดหน้าซับขอบตาเป็นระยะ “ทิวของเรามีคู่หมั้นเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้ว คือหนูรุ่งรวิกานต์”

ชื่อบุคคลใหม่อันไพเราะทำใจคนฟังผ่านหน้าจอตะลึง พรนับพันแทบหยุดหายใจกับความจริงอันนั้น ถึงไม่มีตัวของรุ่งรวิกานต์มาร่วมงานนี้ แต่ถูกกล่าวถึงอย่างมีน้ำหนักจากผู้ใหญ่ทำให้เธอทนฟังต่อไปไม่ได้จนจบ เกรงว่าความอดทนอันน้อยนิดจะทำให้เธอทุ่มโทรทัศน์ฝังผนังขนาดใหญ่ลงพื้นพังในพริบตา

น้ำหนาวก็คนหนึ่ง นี่ยังมีโจทก์มาเพิ่มอีกคน พรนับพันอยากได้ยินคำอธิบายทั้งหมดจากปากของทิวากร แต่เขาไม่อยู่ที่นี่ในเวลาที่เธอต้องการ

เวลานี้เธอจะเอาตัวเข้ามาในปัญหาไม่รู้จบ ปัญหาที่ไร้ทางออกนี้เพื่ออะไร เพื่อใคร เพื่อคนที่กันเธอออกจากทุกปัญหาอย่างนั้นเหรอ มันไม่ยุติธรรมเลยจริงๆ

หนึ่งดาราโทรเข้ามาอย่างตระหนกอีกคน พรนับพันโคลงศีรษะ อยากรู้นักว่าเพื่อนมีสมาธิกับการเรียนมากแค่ไหน ดูจดจ่อกับชีวิตเธอ บางทีอาจรู้มากยิ่งกว่าเธอเสียอีก

“ยัยพราวด์ ฉันอยากไปอยู่กับแก จัดการปัญหาให้เดี๋ยวนี้เลยให้ตายสิ”

ขอบคุณที่ยังเหลือหนึ่งดาราไว้ให้เธอคนหนึ่ง หญิงสาวหัวเราะฝืดเฝื่อน “ฉันทำอะไรอยู่ ทำอะไรลงไปบ้าง ฉันงง สับสนไปหมดแล้ว ฉันเกือบจะลืมว่าชีวิตแรกเริ่มของฉันเป็นยังไง ที่แน่ๆ ไม่ใช่แบบนี้”

“ใจเย็นๆ ฉันเป็นใครยะ ฉันนางสาวรู้ทุกอย่างทั่วราชอาณาจักร”

ยกเว้นเรื่องเธอจดทะเบียนน่ะสิ พรนับพันไม่นึกเสี่ยงบอกไปให้ชีวิตพังไปมากกว่านี้

“ฉันท่องอินเตอร์เน็ทตามข่าวแกกับคุณทิว ฉันเจอหลายยูซเซอร์ที่จงใจทำลายข่าว ตั้งใจปั่นกระแสไม่เลิก ฉันกำลังให้ลูกชายเพื่อนป๋าฉันสืบให้อยู่ พอบอกว่าแกเกิดเรื่องวุ่น ป๋าฉันก็ตอบรับคำขอฉันเลย” ยกป๋าของตัวอย่างภูมิใจ “แกต้องห้ามวู่วามแบบที่ลงมือทำไปอีก แกเห็นแล้วใช่ไหมว่าความใจร้อนของแก ยิ่งทำให้เรื่องมันแย่ขึ้นไปอีก”

“ยิ่งกว่ารู้ ฉันกำลังฝึกความใจเย็น ความอดทนอยู่” พรนับพันตอบเสียงเนือย การทำตัวเป็นคนใจเย็นมันดูดพลังกายเธอไปหมด

“ไม่น่าเชื่อว่าฉันจะได้ยินประโยคแบบนี้จากแก”

“เข้าเรื่องต่อเถอะ ฉันอยากรู้ว่าต้องทำยังไงต่อไป ตอนนี้พ่อแม่ฉันรู้เรื่องก็โกรธใหญ่ ถึงกับโทรข้ามประเทศมาว่าฉัน”

“ทุกปัญหามีทางออกเชื่อสิ ฉันต้องรับผิดชอบเหมือนกัน เพราะฉันพาแกออกมาจากถ้ำ”

คนถ้ำค้อนโทรศัพท์หน้าคว่ำ แต่ในใจอุ่นไปด้วยความตื้นตัน ไม่ว่าจะไกลแค่ไหนมิตรภาพระหว่างเธอกับหนึ่งดาราก็ยังเหนียวแน่น

“ฉันเพิ่งดูบทสัมภาษณ์ของพ่อแม่คุณทิวจบ ถึงเขาจะพยายามให้ลูกชายลอยตัวเหนือปัญหา แต่ทำไม่สำเร็จหรอก แกกับคุณทิวเพิ่งเดินอวดสายตาชาวบ้านที่สวนสาธารณะนี่ ไหนจะยังมีภาพที่บ้านเลี้ยงเด็กกำพร้าออกมาอีก รุ่งรวิกงกานต์อะไรนั่นปิ้วแล้วล่ะ คุณทิวใช้การกระทำพาแกออกสังคมแทนการตอบสื่อ”

“รูปที่บ้านเลี้ยงเด็กกำพร้าเหรอ” พรนับพันถามเสียงหลง เธอหนีนักข่าวแล้ว แล้วภาพจะมาจากที่ไหน

“คุณทิวอัพเองในไอจี เป็นภาพแอบถ่ายแกตอนกำลังหั่นผัก ยิ้มให้กับเด็กๆ”

พรนับพันไม่รู้ว่าไอจีคืออะไร แต่จากการฟัง หัวใจของเธอก็เผลอเต้นจังหวะแปลก อยากจะยิ้มกับสิ่งที่ทิวากรแอบทำโดยไม่บอก และคงมีคนที่รับรู้อีกมากมายในการกระทำครั้งนี้

“สงสัยตอนไปภูกระดึงครั้งนั้นไม่ใช่ว่าคุณทิวจะแอบถ่ายรูปแกไว้ด้วยหรอกนะ”

คำว่าภูกระดึงฉุกใจคนฟังอีกครั้ง “ภูกระดึงเกี่ยวอะไรกับคุณทิว”

“นี่แกยังจำเขาไม่ได้อีกเหรอ”

พรนับพันลุกขึ้นด้วยอาการเหม่อลอย เธอจำได้ว่ารูปข้างฝาผนังมีรูปหนึ่งที่บอกสถานที่ว่าเป็นภูกระดึง ภาพทะเลหมอกยามเช้ามีไอลอยต่ำ ท่ามกลางผู้คนมากมายที่ดื่มดำธรรมชาติ คนที่อยู่ตรงกลางเฟรมกล้อง หันหลัง กระชับผ้าคลุมไหล่ลายใบไม้ พรนับพันยกมือแตะรูปที่อยู่เบื้องหน้า น้ำตาไหลออกมาไม่รู้ตัว

ทำไมเธอจำตัวเองไม่ได้... และทำไมเธอถึงกล้าลืมผู้ชายที่ประคองเธอในวันที่สูญเสียคนที่เป็นความฝันในชีวิตไปคือเขาจริงๆ ใช่ไหม

“หนึ่งเธอรู้มานานเท่าไหร่แล้ว”

“สมุดที่ฉันให้แกไปขอลายเซ็นไง คุณทิวเขาจำแกได้ตั้งแต่วันนั้นแหละ”

ทิวากรจำเธอได้มาตลอด ความรู้สึกดีใจ เต็มตื้นในอก พูดอะไรไม่ออกนอกจากร่ำไห้ ในขณะที่เธอทุกข์ใจ อึดอัดคับข้อง สิ่งที่เธอได้รับรู้ในตอนนี้ทำให้เธอหยุดร้องไห้ไม่ได้ ความอุ่นวาบในความรู้สึกนี้คืออะไร แต่เธอชอบ ชอบความรู้สึกนี้ที่สุด

“แกปกติดีอยู่ไหม”

“อย่าบอกคุณทิวว่าฉันรู้แล้วนะ”

“ทำไมล่ะ แกน่าจะดีใจ”

“ฉันอยากจะทำตัวเป็นคนความจำไม่ดี ที่จำภาพตัวเองในห้องเขาไม่ได้น่ะสิ” พรนับพันมองภาพได้ไม่รู้เบื่อ

“หมั่นไส้” หนึ่งดาราโวยมาตามสาย “ฉันได้ความคืบหน้ายังไงจะรีบแจ้นมารายงานแกนะ ตอนนี้หน้าที่แกก็คือ เข้าหาพ่อแม่คุณทิวเขา ทำให้เขารู้ว่าแกเหมาะสมกับลูกชายเขาที่สุด”

พรนับพันหัวเราะออกมา เธอเกือบลืมไปแล้วว่าเหตุผลที่เธอมาที่นี่นั้นเพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเอง แต่เหตุผลจริงของหนึ่งดาราคงจะเป็นการยัดเยียดเพื่อนให้กับผู้ชายอย่างทิวากร

“ถึงเธอไม่บอก ฉันก็ตั้งใจทำแบบนั้น”

“เพื่อนฉันเปลี่ยนไป” หนึ่งดาราส่งเสียงหวีดแหลม แต่มันเต็มไปด้วยความดีใจ

“แต่เธอต้องช่วยฉันอย่างสิ” พรนับพันยิ้มเจ้าเล่ห์ เชื่อมั่นในฝีมือเพื่อนผู้รอบรู้ของเธอ “ขอตารางกิจวัตรของพ่อแม่คุณทิว”

สิ้นคำขอน้ำเสียงล้อเลียนก็ดังมาอีกหลายประโยค พรนับพันหลับตาฟัง รู้สึกหน้าร้อนผ่าว แต่ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกดี

ยิ่งเธอรู้ว่าเคยเจอกับทิวากรมาก่อน ยิ่งมั่นใจได้ว่า ทิวากร คือผู้ชายที่ตาส่งมาให้ เขามาในวันที่เธออ่อนแอที่สุด และมาในวันที่เธอควรออกจากเงาของตา ก้าวสู่โลกแห่งความจริง

และได้พบกับความรู้สึกพิเศษในใจนี้...แล้วเขาล่ะ รู้สึกยังไงกับเธอ ได้แต่ตั้งคำถามนั้นไว้ในใจ

....................................................................................................
คุณ yimyum จะค่อยๆ หวานขึ้นค่า ^^

คุณ OhLaLa อยากเฉลยที่มันปุบปับ แต่ตอนนี้มันยาวไปแล้ว เลยกั๊กไว้ตอนหน้าค่ะ เอาปมทิวมาเล่าให้ฟังก่อน

คุณ mhengjhy ตอนนี้เขินไม่เท่าตอนที่แล้วเนอะ

คุณ konhin ทุกอย่างมีสาเหตุนะคะ พราวด์ต้องเจออะไรอีกเยอะ

ขอบคุณทุกคอมเมนท์ ทุกไลค์ และนักอ่านเงาทุกท่านค่า ขอให้มีความสุขกับการอ่าน  ตอนนี้ยาวๆ กันไปเลย



ปวรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 13 มี.ค. 2557, 15:16:15 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 13 มี.ค. 2557, 15:16:15 น.

จำนวนการเข้าชม : 1864





<< บทที่ 7 : สร้างเรื่อง(อีก)   บทที่ 9 : ยาวิเศษ >>
Sukhumvit66 13 มี.ค. 2557, 16:18:31 น.
ดีใจมาก ๆเลยที่พราวน์จะลุกขึ้นสู้ เย่เย้


yimyum 13 มี.ค. 2557, 19:15:39 น.
อร๊ายยยยยยยยย>< พราวด์รู้แล้ว......
ลุ้นๆๆๆๆๆ


konhin 13 มี.ค. 2557, 20:01:01 น.
พ่อแม่ฝ่ายนั้นก็นะ แรงใช้ได้ แต่จะว่าไปก็ไม่รู้จักหนูพราว คิดแบบที่เห็นก็ไม่แปลก


OhLaLa 13 มี.ค. 2557, 21:29:06 น.
พราวน์เริ่มเปลี่ยนไป แต่ทิวนี่สิ่งกำลังคิดอะไร ยังไงอยู่น้า


นักอ่านเหนียวหนึบ 14 มี.ค. 2557, 00:53:41 น.
โอ้ยยยยย ฉาบฉึ้งงงงง 555


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account