คานน้อย คอยรัก (จบแล้วค่ะ)
คานน้อย คอยรัก

ในลักษณ์นั้นว่าประหลาด…………….คนบนคานนั้นว่าน่าประหลาด
เป็นเชื้อชาตินักรบกลั่นกล้า…………...เป็นเชื้อชาตินักรักผู้หาญกล้า
เหตุไฉนย่อท้อรอรา…………………..เหตุไฉนย่อท้อรอเวลา
ฤาจะกล้าแต่เพียงวาที…………………ฤาไม่กล้าบอกรักใครสักที

เห็นแก้วแวววับที่ดับจิต…………………เห็นคานแก้วแวววับสดับจิต
ใยไม่คิดอาจเอื้อมให้ถึงที่……………...ใยไม่คิดปีนไปให้ถึงที่
เมื่อไม่เอื้อมจะได้อย่างไรมี……………อย่ามัวรอจงขึ้นมาเร็วรี่
อันมณีฤาจะโลดไปถึงมือ………………บนคานนี้มีรักให้ฝึกปรือ

อันของสูงแม้ปองต้องจิต………………..คานเราสูงไม่เป็นรองของใครอื่น
ถ้าไม่คิดปีนป่ายจะได้ฤา………………..อย่าได้ขืนลงไปให้เสียชื่อ
มิใช่ของตลาดที่อาจซื้อ………………….มิใช่ทองตามตลาดที่อาจซื้อ
ฤาแย่งยื้อถือได้โดยไม่ยอม……………..เพราะเราถือความพอใจจึงลงไป

ไม่คิดสอยมัวคอยดอกไม้ร่วง……………ไม่คิดสอยมัวคอยให้คานทับ
คงชวดดวงบุปผาชาติสะอาดหอม………..รอให้ดับคาคานหรืออย่างไร
ดูแต่ภุมรินเที่ยวบินตอม…………………..ฤาต้องคอยรักแท้จนแก่ใช่ไหม
จึงได้ออมอบกลิ่นสุมาลี…………………..เกาะคานน้อยคอยรักต่อไป
…………………..........จนกว่าจะเจอคนที่ใช่…ใช่ไหมคาน………………
(อ้างอิงกลอนจากบทละครเรื่องท้าวแสนปม)

มาดูเหตุผลของคนที่ยังไม่ลงจากคานกันค่ะ...
อาจจะมีเหตุผลมากมายที่ไม่อยากลงจากคาน
หรืออาจมีเพียงแค่หนึ่งเหตุผลง่ายๆก็คือ...

...ไม่ใช่คนที่ใช่ก็ไม่ใช่...

หรือว่า

...โดนข้อหาหลายใจ เพราะเคยมีแฟนหลายหน...

หรืออาจเป็นเพรา

...เขาบอกให้รอ เราก็รอ...

หรือจริงๆแล้ว

...ขออยู่รอคนสุดท้ายคนนั้นได้ไหม...

หรือลึกลงไป

...กำลังรอเจ้าชายในฝันอยู่อย่างอดทนได้ทุกอย่าง...

หรือกำลังปลอบใจตัวเองว่า

...ครึ่งหนึ่งของฉันยังมาไม่ถึง...ซึ่งสักวันเขาจะมาอยู่ข้างกัน...

หรือกำลังหลอกตัวเองด้วยการปกปิดว่า

...ไม่หวั่นไหว หัวใจไม่ปรารถนา...

ทั้งๆที่จริงๆแล้ว

...อยากรัก อยากฝัน แต่เพราะกลัว ก็เลยไม่กล้ารักใคร...

หรือว่าอาจจะเป็นเหตผลสุดท้ายที่ไม่ค่อยมีใครกล้ายอมรับดังๆว่า

...ไม่เคยมีใครมาจีบ ไม่มีใครสน เรามันคนธรรมดาๆ...

แต่ไม่ว่าจะเหตุผลใด...

เราก็ยังหวังและยังคงรอคอยปาฏิหาริย์ว่าจะได้เจอคนที่ใช่ในสักวัน...


Tags: ดราม่า หวานซึ้ง อบอุ่น หมอรัง สิ้นรัก วายุ ปองขวัญ

ตอน: ยกที่ 89 เด็ดปีกมโนราห์ (100%)


ขออภัยนักอ่านที่ห่างหายไปนานเลย...รอบนี้มาต่อให้ครบร้อยจ้า...
แล้วจะค่อยๆทะยอยตอนต่อไปค่ะ...ครบร้อยยกเมื่อไหร่ก็ปิดฉากเมื่อนั้นค่ะ...
^^
ตอนนี้ เรากำลังเดินทางมาถึงยกที่89 และกำลังจะก้าวสู่ยกที่ 90 แล้วนะคะ
ไม่คิดเลยว่า ขาสั้นๆแบบนี้ จะป่ันนิยายเรื่องเดียวได้เกือบ 100 ตอนแว้ว...
(แต่ไม่อยากพูดถึงเรื่อง...ระยะเวลาในการปั่นเลย...มันช่่าง.....5555)

งั้นไม่ขอพูดพร่ำทำเพลงขัดคอนักอ่านแล้ว...

มาต่อสำหรับ 50% ที่เหลือกันก่อนแล้วคุยกันต่อด้านล่างสุดค่ะ...

มาดูกันว่า ยุทธการเด็ดปีกเป็ดวา เย้ย เด็ดปีกมโนราห์จะเป็นอย่างไรกันค่ะ


ณ เกาะชิงชัง

ซาเนียยังคงไม่เลิกหมดหวังกับการตามหาหลักฐานซึ่งเธอแน่ใจว่าบิดา
จะต้องเก็บรักษาไว้ที่ใดสักแห่งหนึ่ง และคำพูดของบิดายังคงวนเวียนไปมา
ราวกับเป็นปริศนาที่เธอยังหาทางแก้ไม่ได้

‘จำไว้นะลูก…ว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น…ลูกจะอดทน เข้มแข็ง…
และเมื่อไหร่ที่ลูกต้องการอิสรภาพ…ให้นึกถึงนกยูงทอง…เพราะนกมีปีก…
สามารถบินไปไหนก็ได้ด้วยปีกของตัวเอง…และราชินีของนก
จะต้องปกป้องมงกุฏของตัวเองแล้วบินฝ่าโพยภัยนานาไปให้ได้…
แล้วลูกจะพบกับฟ้าที่สวยงาม…’

ซาเนียถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่ารดสายลมที่พัดผ่าน
หากสายลมนี้สามารถนำความรู้สึกและความคิดกังวลของเธอไปยังบิดาได้ก็คงจะดีสิ…

…ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ชีวิตเธอผ่านการสูญเสียมามากมายเหลือเกิน
มากจนเธอไม่คิดเลยว่า เธอจะสามารถข้ามผ่านวันเวลาเหล่านั้นมาได้อย่างไร

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้…ทำให้ซาเนียอดคิดถึงบิดามารดาผู้ล่วงลับไปแล้วจับจิตจับใจ
ความเหงาและความหนาวพาดผ่านสู่ขั้วหัวใจจนต้องห่อตัวขณะที่สายตา
ก็ทอดมองไปยังเส้นขอบฟ้าไกลแสนไกลที่ไม่อาจมองเห็นได้ในยามนี้

…เธออยากกอดพ่อกับแม่ อยากพบอยากเจอท่านทั้งสอง
อยากบอกให้ท่านรับรู้ความรู้สึกคิดถึงน้ี แต่ระยะทางของเราดูช่างห่างไกลกันเหลือเกิน…
ยิ่งคิดถึงท่านทั้งสองมากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือกของสายลมที่พัดผ่าน

แล้วอยู่ๆก็เหมือนมีความอบอุ่นเข้ามาปกคลุม
ผ้าคลุมผืนหนาถูกคลุมลงบนไหล่ของเธอ…ซาเนียหันไปหาเจ้าของผ้า
แล้วระบายยิ้มส่งไปให้อย่างเปิดเผย ร่างหนายืนขนาบข้างๆเธอ

ซาเนียยกมือทั้งสองแล้วรวบผ้าผืนหนามาห่มกายเอาไว้ กอดมันเอาไว้แน่น
ความอบอุ่นดังกล่าวมิได้เกิดจากผ้าผืนดังกล่าวที่ห่อกายเพียงแค่นั้น
แต่ความห่วงใยจากเขาคนที่ยืนอยู่ข้างกายของเธอในยามนี้ด้วย
ที่ทำให้หัวใจที่อ้างว้างของเธออบอุ่นขึ้นทันทีที่เห็นเขามายืนอยู่ข้างๆ

แม้เขาจะมิได้กล่าวคำใด แต่เธอก็รู้ดีว่า เขารักและห่วงใย
ดูแลเธอเท่าสิทธิ์ที่เขาพึงมีมาโดยตลอด ไม่เคยข้ามเขตแดน
หรือทำลายเกียรติของเธอเลยแม้แต่ครั้งเดียวนับตั้งแต่วันที่เขาสัญญากับเธอแล้วว่า
เขาจะปกป้องเธอและจะไม่ทำลายเธอ

“ก็อยากดูแลให้มากกว่านี้…แต่พี่รู้ดีว่าตอนนี้พี่ทำได้แค่ให้ผ้าห่มทำหน้าที่แทนพี่”

อยู่ๆเขาก็พูดประโยคที่ทำให้หัวใจน้อยๆสั่นไหว แม้หลายๆครั้งที่เขาดูเหมือน
จะรุกเร้าให้เธอตกปากรับคำเลื่อนตำแหน่งให้เขา แต่เพราะเธอยังไม่พร้อม
สิ่งที่ยังค้างคาใจอยู่ยังไม่ลุล่วง อีกทั้งเธอยังไม่อยากให้เขาต้องตกพุ่มม่าย
เพราะชีวิตของเธอยังคงแขวนอยู่บนเส้นด้าย…มิใช่เพราะเธอหวงตำแหน่ง
แต่เพราะเป็นห่วงอนาคตของเขามากกว่า…

“พี่กลัวนะว่าวันนึงพี่จะห้ามใจตัวเองไม่อยู่จนเผลอทำเกินหน้าที่…”

ซาเนียยิ้มกว้างกับประโยครุกเร้าที่ตามติดมา เธอรู้ดีในเรื่องนี้
และรู้ดีว่าเขาเป็นสุภาพบุรุษลูกผู้ชายตัวจริงเสียงจริง…

ผู้หญิงคนอื่นอาจจะมองว่าการกระทำของเขาในบางครั้งนั้นดูเหมือนจะ
เมินเฉยและดูเหินห่าง แต่เธอรู้จักเขา และรู้ว่าสิ่งที่เขากระทำออกมานั้น
เขาพยายามรักษาระยะห่างไม่ให้ใกล้ชิดกันมากเกินห้ามใจ…

และเพราะเช่นนี้…ที่นับวันเขาก็ยิ่งทำให้เธอรักเขามากขึ้น

“พี่ปราณบอกซาเนียได้มั้ยคะ ว่าอะไรที่ทำให้พี่ปราณต้องอดทน
ทั้งๆที่พีี่ปราณสามารถใช้เล่ห์เหลี่ยม หรือใช้อะไรก็ได้ที่จะทำให้ซาเนีย
ยอมตกอยู่ในอ้อมแขนของพี่ปราณได้โดยละม่อม…”ซาเนียเอ่ยถาม
ด้วยเพราะอยากรู้จากใจจริง เวนไตยจึงตอบโดยมิได้หันมามองหน้าคนถาม

“เพราะพี่เกรงกลัวพระเจ้า…เมื่อก่อนพี่อาจจะเคยทำอะไรแย่ๆไป
แต่พี่เข้าใจแล้วว่าสิ่งที่พี่เคยทำไปนั้นเป็นการหยามเกียรติเธอ
และดูถูกศักดิ์ศรีของพี่เอง แม้ตอนนี้ เธอมาอยู่ในอาณาเขตการปกครองของพี่

พี่อาจจะเอาเปรียบเล็กๆน้อยๆกับเธอได้โดยที่เธออาจจะไม่ได้โกรธเคืองพี่
และพี่ก็แน่ใจว่าพี่มีความสามารถพอที่จะหาเศษหาเลยกับเธอได้
โดยที่เธอยังคงพอใจในตัวพี่ได้โดยไม่ยาก

แต่มันจะมีความหมายอะไรกับการทำแบบนั้นกับเธอ
ในเมื่อสิ่งนี้เป็นสิ่งที่พระเจ้าสั่งห้ามไว้…และพระองค์ย่อมไม่พอใจหากพี่ทำแบบนั้นกับเธอ
ในขณะที่เธอยังมิใช่ภรรยาของพี่ โดยที่เธอยังไม่เป็นที่อนุญาตสำหรับพี่…”

ซาเนียยอมรับว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นมิได้ไกลกับความจริงเลย
เขามีความสามารถดังที่เขาว่าไว้จริงๆ เพราะแค่เขามาอยู่ใกล้ๆ
ก็ทำเธอหวั่นไหวได้มากมายแล้ว

“ขอบคุณนะคะที่ทำให้ซาเนียเข้าใจว่าอะไรคือความรักที่ดี…”

“พี่มิได้รักเธอเพื่ออะไรเลย…นอกจากเพื่อพระเจ้า…”
เวนไตยกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นพร้อมเสริมอีกว่า

“หากเธอจะตามหาความรักที่แท้จริงจากมนุษย์คนใด พี่บอกได้แค่ว่า
เธอไม่จำเป็นต้องตามหาเลย เพราะเธอได้รับมันตั้งแต่วันที่เธออยู่ในท้องของแม่แล้ว
เธอไม่ได้แค่มีรักแท้แค่คนเดียว แต่มีถึงสองคน…พ่อกับแม่ของเธอไงซาเนีย…

และหากเธอจะตามหารักที่ยิ่งใหญ่…พระเจ้าผู้สร้างเธอมามีรักที่ยิ่งใหญ่ให้กับเธอมาตลอด
โดยที่เธออาจจะไม่รู้ตัวเลย…เพราะเธอได้รับมันมาตลอดอย่างไม่เคยขาดตกบกพร่อง…”

ซาเนียหันมายิ้มให้คนพูด นัยน์ตามีน้ำใสๆคลอด้วยความซาบซึ้ง

“หากเธอปรารถนาชายใดมาอยู่ข้างกาย พี่ก็หวังว่าเธอจะรักเขาคนนั้น
โดยไม่ได้ปฏิเสธความรักแท้และรักที่ยิ่งใหญ่ดังกล่าว…และพี่จะดีใจอย่างที่สุด
หากว่าเธอรักพี่เพื่อพระเจ้า…เพราะเมื่อเธอรู้ว่าพระเจ้ารักเธอมากแค่ไหน
เธอก็จะรักพระองค์มากขึ้นๆ จนไม่กล้าแม้แต่จะขัดคำสั่งของพระองค์
รักจนไม่อาจมีรักใดเทียบรักนั้นได้…และเมื่อเธอรักพระองค์
เธอก็จะรักทุกสิ่งที่พระองค์รัก และจะไม่ทำในสิ่งที่พระองค์ไม่พอใจ…
หัวใจของเธอก็จะเต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก เพราะเธอรู้ว่าพระเจ้านั้นทรงรักและเมตตา
ทุกสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างมา…

แล้วเมื่อเธอรักใคร เธอก็จะรักเขาคนนั้นหรือสิ่งนั้นๆเพื่อพระองค์เท่านั้น…
มิใช่รักเขาหรือรักสิ่งนั้นเพื่อสิ่งอื่นใดเลย…รักที่ใครต่างบอกว่าหาเหตุผลไม่ได้
ก็จะกลายเป็นความรักที่มีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ในทันที…”
เวนไตยหยุดเพียงนิดแล้วจึงกล่าวต่ออีกว่า…

“เมื่อก่่อนพี่อาจจะเคยทำเรื่องแย่ๆเอาไว้มากมาย แต่เดี๋ยวนี้พี่อยากเป็นคนดี
อยากเป็นคนที่เธอรัก อยากเป็นคนรักของเธอ
และเหนือสิ่งอื่นใด พี่อยากเป็นคนรักของพระเจ้า…”
ซาเนียน้ำตาร่วงเผาะด้วยความซาบซึ้งใจ เธอจึงไม่ลังเลใจเลยที่จะกล่าวคำว่า…

“ซาเนียพร้อมแล้วค่ะที่จะเปลี่ยนตำแหน่ง…ไม่ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น
ซาเนียไม่กลัวแล้วค่ะ…วันพรุ่งนี้ก็คือเรื่องของวันพรุ่งนี้…
เพราะบางทีพรุ่งนี้ที่ซาเนียกังวลอยู่อาจจะมาไม่ถึงก็ได้…”

เวนไตยยิ้มกว้าง มิใช่เพราะความยินดีที่คนตรงหน้าตอบรับเขา
เพียงแต่ดีใจที่เธอเข้าใจเขา เข้าใจในสิ่งที่เขาพยายามสื่อมาตลอดได้แล้วนั่นเอง…

เขารู้ดีว่าผู้หญิงตรงหน้าเขามักกังวลทุกๆเรื่องที่ยังมาไม่ถึง
จนทำให้วันเวลาของวันนี้ผ่านไปราวกับไร้ค่าไร้ความหมาย
เพราะเธอได้มอบความหมายและคุณค่าให้กับวันเวลาที่ยังมาไม่ถึง
มอบความสำคัญให้กับเรื่องราวที่ยังไม่เกิดขึ้น…
เลยทำให้เธออาจพลาดเรื่องราวดีๆและสิ่งดีๆรอบๆกายไปได้
เพราะมัวมองข้ามภูเขาในขณะที่ตรงเท้าของตนมีหินสวยงาม
หรืออาจจะเป็นอัญมณีเม็ดงามให้ชื่นชมอยู่…

“พี่ดีใจที่เธอเข้าใจพี่สักที…”ซาเนียยิ้มกว้างอีกครั้งก่อนจะหันไปที่ท้องทะเลสีดำ

“ซาเนียกลัวเสมอกับทะเลสีมืด ไม่ได้กลัวน้ำทะเลที่เปลี่ยนสี
แต่กลัวว่าทะเลสีดำจะหอบสิ่งใดมา…กลัวเพราะมันมองไม่เห็นอะไร
กังวลเพราะว่าไม่อาจคาดเดาอะไรได้เลย…มันมืดไปหมด…แต่ดูภาพตอนนี้สิคะ”
หญิงสาวพูดแล้วชี้ไปยังท้องทะเลกว้าง…

“ซาเนียเพิ่งสังเกตเห็นสิ่งนี้ในวันนี้ เพราะก่อนหน้านี้ ซาเนียมัวแต่มองไปยังท้องฟ้า
ท้องฟ้าที่แม้จะมืดแค่ไหน แต่มันก็ไม่น่ากลัวเท่าท้องทะเลสีดำ
เพราะมันมีดาวระยิบระยับส่องแสงเป็นประกาย ทำให้เรามีความหวังเสมอ…
ว่าในความมืดมนย่อมมีแสงสว่าง…หวังเสมอว่าสักวันจะคว่้าดาวมาไว้ในมือได้สำเร็จ…
ทั้งที่มันไม่มีวันเกิดขึ้นเลย…แต่ตอนนี้ พี่ปราณทำให้ซาเนียสามารถเปิดตา
เห็นบางอย่างในท้องทะเลสีดำ…
ซาเนียเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าดาวในน้ำก็มีจริง…และมันก็สวยเหลือเกิน…”

เวนไตยระบายยิ้มออกมาเมื่อมองไปยังผืนน้ำที่พรายน้ำนับร้อยนับพัน
กำลังพร่างพรายเหมือนแสงดาวในคลื่นลม ยิ่งดึกก็ยิ่งเห็น สิ่งนี้แหล่ะที่เขา
มองเห็นมาตลอดชีวิตที่ได้ผูกพันกับท้องทะเล เพียงแค่นึกว่าเมื่อไหร่
ซาเนีย หญิงสาวคนนี้จะมองเห็นความงามดังกล่าวเสียที…

ทั้งๆที่เขาเห็นเธอออกมายืนดูทะเลยามค่ำคืนเป็นประจำ
แต่อาจเพราะเธอเลือกแต่จะแหงนหน้ามองดูท้องฟ้ามากกว่าจะสนใจมองท้องทะเลสีดำ
จึงทำให้เธอพลาดโอกาสในการเห็นดาวในน้ำที่สวยงามไม่แพ้ดาวบนฟ้าเลย


บางครั้ง…ชีวิตที่เราเคยจินตนาการว่าต้องสวยงามเช่นนั้นเช่นนี้
อาจจะไม่สวยงามเท่ากับการได้สัมผัสกับสิ่งสวยงามที่เป็นความจริงรอบๆกายเรา
ความจริงอาจจะลบภาพอันสวยงามของจินตนาการลงไปบ้าง

แต่ใครเล่าจะเข้าใจได้ว่า…แท้จริงแล้วความจริงคือสิ่งสวยงามกว่าจินตนาการ…

เหมือนความจริงตรงหน้าเขาในตอนนี้ นั่นมิใช่ดาวในน้ำ แต่มันคือพรายน้ำ
ที่กำลังส่องแสงในความมืดบนพื้นน้ำแห่งท้องทะเล

ซึ่งสวยไม่แพ้ดาวบนท้องฟ้าเลย…


“พี่ดีใจที่นี่คืออีกหนึ่งความสวยงามที่เธอมองเห็นเสียที…”
ซาเนียหันมามองคนพูดด้วยความแปลกใจ เวนไตยจึงเฉลยให้ฟัง

“ความรักทำให้เรามองเห็นโลกในด้านบวก…เมื่อหัวใจถูกบรรจุไปด้วยความรัก
เราก็จะมองเห็นโลกนี้สวยงาม จนทำให้สามารถมองเห็นสิ่งดีๆที่ซุกซ่อน
อยู่ในความทุกข์ยากลำบาก มองอุปสรรคและปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่ในด้านบวก
มองผู้คนด้วยหัวใจที่เที่ยงธรรมมากขึ้น…และทำให้มีเมตตาธรรม
มีการให้และพร้อมจะเสียสละได้มากขึ้นเรื่อยๆ…”

ซาเนียเริ่มเห็นด้วยกับแนวคิดนี้ ทั้งๆที่เมื่อก่อนเธอกับเขาคิดอะไรไ
ม่ค่อยจะดำเนินไปในทิศทางเดียวกันนัก

แต่เดี๋ยวนี้เหมือนมีบางอย่างกำลังช่วยทำให้เธอและเขาสามารถจูนเข้าหากันได้
ปรับคลื่นความถี่เข้าหากันจนสามารถเชื่อมเข้าหากันได้มากกว่าเมื่อก่อน

จนบางครั้ง…แม้ไม่ต้องพูดสิ่งใดก็เข้าใจกันได้ด้วยซ้ำ…

…นี่…ใช่ความรู้สึกที่เรียกว่า “รัก” หรือเปล่า…

สิ่งนี้ใช่ไหมที่ทำให้เธอและเขาค่อยๆปรับเข้าหากันได้…


“แต่งงานกับพี่นะซาเนีย…”ซาเนียระบายยิ้มเต็มดวงหน้าทั้งปากทั้งตา
ก่อนจะพยักหน้าเป็นคำตอบ…

“ต่อไปเราก็จะมีเจ้าตัวน้อยวิ่งเล่นซุกซนบนชายหาดแห่งนี้ด้วยกันหลายๆคนเลยดีมั้ย”

ซาเนียยิ้มเขินกับถ้อยคำดังกล่าว เธอไม่ปฏิเสธ เพราะเธอเองก็เคยฝันใฝ่
อยากทำหน้าที่แม่ อยากมีลูกๆหลายคน
แม้จะรู้ว่าการคลอดนั้นยากและเป็นทุกข์สักแค่ไหน
แต่เธอก็อยากมีลูกอย่างน้อยก็สามคนล่ะ…

“ซาเนียจะพยายาม แต่พี่ปราณต้องสัญญานะคะว่าจะรักซาเนียไปนานๆ…
ห่วงใยไปตลอด…รับปากซาเนียได้มั้ยคะ…”
เวนไตยยิ้มอย่างเปิดเผยพร้อมกับพยักหน้า…

“พี่รับปากว่าจะรักเธอไปตลอด…”







ทางด้านเกาะรังรัก

“เวนไตยโทรมาบอกว่า…ซาเนียตกลงแต่งงานด้วยแล้ว
และจะจัดพิธีแต่งงานที่เกาะชิงชังในวันศุกร์ที่จะถึงนี้
อยากเชิญทุกคนบนเกาะรังรักไปร่วมพิธีด้วย…”

รังสิมันต์บอกกล่าวกับนีสรีนด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ต่างจากแววตาที่ดูจะเปี่ยมไปด้วยความยินดี…

และถ้อยคำดังกล่าวก็เรียกแววตาของคนที่กำลังเอาแต่ก้มพับเสื้อผ้าลูกน้อยของเขาอยู่
ให้เงยขึ้นมามองเขา แล้วเขาก็ได้เห็นรอยยิ้มพิมพ์ใจของเธอ
ได้เห็นลักยิ้มของเธอ ลักยิ้มที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร…

แน่นอนว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นภรรยาในนามนีสรีนยิ้มจนเห็นแก้มบุ๋ม
ลักยิ้มแบบนี้ที่หยุดหัวใจของเขาให้อยู่กับเธอมาจนทุกวันนี้

และเหมือนว่าคนยิ้มจะรู้ตัวเมื่อเห็นอีกฝ่ายมองเธอด้วยแววตามีความหมายมากกว่าทุกครั้ง…
แววตาที่เธอไม่ได้เห็นมานานแล้ว…ด้วยสายตาที่ซาบซึ้งตราตรึงใจเธอ
จนทำให้รู้สึกหวั่นไหวข้างในหัวใจ…

นีสรีนจึงต้องรีบก้มหน้าซ่อนความหวั่นไหวนั้นจากสายตาของเขาทันที

“เป็นข่าวดีจริงๆ…”รังสิมันต์เดินมาหยุดและนั่งลงข้างๆหญิงสาวที่เอาแต่ก้มหน้า
ก่อนจะกระซิบข้างๆแก้มหญิงสาวว่า

“เธอว่ามั้ย…”

คนฟังถึงกับหน้าแดง และยิ่งตกใจเมื่อเขาพูดประโยคถัดมา
ในขณะที่ช่วยเธอพับเสื้อผ้าของลูกน้อยให้ด้วย

“ฉันเพิ่งรู้ว่า…นีสรีน…แผลงมาจากคำว่านัสรีนในภาษาอาหรับ
ที่แปลว่าดอกกุหลาบขาว…เธอคือดอกกุหลาบขาว…”

รังสิมันต์เน้นคำและหยุดอย่างจงใจก่อนจะกล่าวต่อไปว่า

“ยัยตัวเล็กของฉันเขาชอบดอกกล้วยไม้ ชอบเอื้องผึ้งเป็นชีวิตจิตใจ
เพราะเป็นดอกไม้ที่แม่ของเค้ารัก…แต่ดอกไม้ที่ยัยตัวเล็กของฉันรัก
และชอบใจจริงๆคือดอกกุหลาบขาว โดยเฉพาะกุหลาบขาวต้นนั้น
ต้นที่เก่าแก่ที่สุดที่ปลูกตรงศาลาในสวนกุหลาบของร้านสุดทางรัก…
ซึ่งเป็นต้นกุหลาบพันธุ์เดียวกับต้นกุหลาบที่ถูกปลูกไว้
ตรงศาลากลางสวนกุหลาบขาวที่เกาะแห่งนี้…
หากคำนวณดูอายุของมันก็คงพอๆกัน ห่างกันไม่เท่าไหร่…
และต้นกุหลาบขาวที่นี่มีมากจนจะกลายเป็นสัญลักษณ์ของเกาะไปแล้ว…”

รังสิมันต์วางเสื้อลูกน้อยที่พับเสร็จแล้วไว้ในตะกร้า
ก่อนจะยกมือขึ้นเชยคางของคนที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตา
เพื่อที่จะได้สบตาของเธอขณะกล่าวประโยคต่อมาว่า

“ฉันเชื่อว่าต้นกุหลาบขาวที่นี่กับที่ร้านสุดทางรักต้องเกิดมาจากฝีมือการปลูก
ของคนๆเดียวกัน…และคนๆนั้นก็คือพ่อกับแม่ของเธอ…เธอถึงได้ชื่อว่า…นีสรีน…"
คนได้ฟังถึงกับเบิ่งตาโต รังสิมันต์จึงกระตุกยิ้มที่มุมปากนิดนึง

"ชื่อที่พ่อกับแม่ของเธอตั้งใจจะตั้งให้ตั้งแต่รู้ว่ามีเธออยู่ในท้องแล้ว…
แต่ไม่เคยเรียกขานชื่อนี้ของเธอเลย…พ่อเธอไม่อยากเรียกชื่อนี้และเก็บชื่อนี้
เอาไว้ไม่บอกใคร…แล้วเรียกชื่อที่พ่อของฉันตั้งให้เธอในภายหลังจากการคลอดแทน…”

นีสรีนถึงกับกลืนน้ำลายลงคอ ตกใจกับสิ่งที่หลุดมาจากปากของคนตรงหน้า
เขารู้เรื่องนี้มาจากใคร…ใครกันที่รู้เรื่องนี้…เพราะนอกจากเธอ
และพ่อกับแม่ของเธอแล้วก็ไม่น่าจะมีใครรู้เรื่องนี้อีก…หรือว่า…

“เธอเจตนาใช้ชื่อนี้เพื่อให้พ่อของเธอรู้จักเธอเพียงแค่คนเดียว…
แต่เธอลืมไปว่า…แม่ของพี่ก็รู้เรื่องชื่อนี้ของเธอ…หรือเธอลืมไปว่าแม่ของเธอ
กับแม่ของพี่เป็นเพี่อนรักกัน…มีหรือที่ทั้งสองจะไม่เอ่ยปากแก่กันในเรื่องนี้”

รังสิมันต์เฉลยเพราะรู้ดีว่าคนตรงหน้ากำลังสงสัยในเรื่องนี้อยู่…
แล้วเปลี่ยนคำสรรพนามแทนตัวเองทันที…

“ท่านอาจจะลืมเรื่องชื่อนี้ไปแล้ว แต่ความทรงจำในก้นสมองย่อมผุดขึ้นได้
เมื่อมีปัจจัยมากระตุ้น…”นีสรีนน้ำตาคลอเมื่อได้ยินเช่นนั้น…

“ที่จริงแล้วเกาะนี้เป็นเกาะที่พ่อกับแม่ของเธอเป็นผู้เข้ามาบุกเบิกถากถาง
และปลูกต้นกุหลาบขาวไว้เป็นสัญลักษณ์…และพี่เพิ่งรู้ข้อมูลลับมาว่า
ผืนดินใต้ต้นกุหลาบเหล่านั้นมีอัญมณีล้ำค่่าซ่อนตัวอยู่…ไดอารี่ของพ่ออีกเล่ม
ที่พี่เพิ่งค้นเจอในห้องของแม่พี่บอกกับพี่ว่า ที่นี่มีเพชรสีที่หายากอยู่ไม่น้อย
มีเพียงพ่อเธอกับพ่อของพี่ที่รู้เรื่องนี้ และแม่ของพี่ก็เพิ่งมารับรู้เรื่องนี้ในภายหลัง
เมื่อได้เปิดอ่านไดอารี่ของพ่อพี่หลังจากที่ท่านเสียชีวิตไปแล้ว…
แม่พี่ถึงได้หวงแหนเกาะแห่งนี้ยิ่งกว่าจงอางหวงไข่

และพ่อของเธอก็รู้ดีจึงยื่นข้อเสนอให้เรือนหอของเธอกับพี่อยู่ที่นี่
หากแม่พี่ไม่ยอม พ่อของเธอก็จะไม่ยกเธอให้กับพี่อย่างเด็ดขาด…”

รังสิมันต์ปล่อยมือออกจากคางของคนปากแข็งที่ไม่ยอมเอ่ยคำใดออกมา
ทว่าเขาก็ยังพูดพร่ามต่อไป…

“ไม่แปลกที่หลายปีที่ผ่านมา เกาะแห่งนี้จึงไม่เคยสงบสุขเลยแม้แต่สักวันเดียว
เพราะมีคนคอยสร้างกระแสให้เกาะแห่งนี้ไม่น่าอยู่ เป็นเขตอิทธิพล
ไม่แตกต่างจากเกาะชิงชัง และเป็นเกาะสำคัญที่นายจอมพลกับนายจอมทัพ
ต้องการครอบครอง…เพราะพี่แน่ใจว่าสองพี่น้องนั่นน่าจะรู้ในเรื่องนี้ด้วย…
ไม่อย่างนั้นคงจะไม่ห้ำหั่นกันกับคุณอากุมพล มือขวาของแม่พี่
จนท่านต้องเสียชีวิตลง…พวกนั้นต้องการทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ครอบครองที่นี่…”

รังสิมันต์ลุกขึ้นแล้วเดินไปยังเปลของลูกน้อยก่อนจะอุ้มลูกขึ้นมาไว้
ในอ้อมกอดแล้วพามาหาคนเป็นแม่ที่แท้จริงที่นั่งนิ่งอยู่…

“พี่ดีใจที่ได้ใช้ชีวิตคู่กับเธอ เธอที่มีพ่อที่เป็นคนดีมีคุณธรรมอย่างที่มนุษย์หลายคน
ไม่อาจทำได้…พ่อเธอพยายามซ่อนอัญมณีล้ำค่าไว้ให้อยู่กับที่ที่มันควรจะอยู่
มิใช่เพื่อครอบครอง แต่เพื่อต้องการปกป้องผืนดินแห่งนี้ไม่ให้ลุกเป็นไฟ
ไม่ให้มนุษย์ที่หิวกระหายทำลายผืนดินอันอุดมแห่งนี้ไป…
ด้วยการปลูกกุหลาบขาว สัญลักษณ์ของความรักอันบริสุทธิ์
และสัญลักษณ์แห่งความลับเอาไว้…

และพี่ก็ตั้งใจว่าตราบเท่าที่ชีวิตพี่ยังอยู่ พี่จะปกป้องอัญมณีเหล่านี้ให้อยู่ในแผ่นดินต่อไป…
เพราะความงามเช่นนี้ หากถูกนำออกมาจากที่ของมันเมื่อไหร่…
การแย่งชิงก็จะไม่มีวันสิ้นสุดลง…
เพื่อนรักอาจฆ่ากันได้เพราะการแย่งชิงในสิ่งนี้…
และเกาะแห่งนี้ก็จะไม่มีวันสงบสุขอีกเลยก็ได้…”

รังสิมันต์นั่งลงแล้ววางลูกน้อยลงบนตักก่อนจะลูบหัวทุยๆนั่น…
แล้วกล่าวกับคนที่นั่งเงียบต่อไปว่า

“เพราะนอกจากเกาะแห่งนี้แล้ว เกาะชิงชังก็ยังเป็นขุมสมบัติอันมหาศาล…
พ่อของเธอก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ปกป้องเกาะแห่งนั้นมาตลอดเช่นกัน…

แม้เกาะแห่งนั้นจะต้องกลายเป็นเกาะร้าง กลายเป็นเกาะชิงชัง…
แต่พี่เชื่อว่า…ในภาพอันน่ากลัวแบบนั้นย่อมนำมาซึ่งความปลอดภัยจากมนุษย์ผู้หิวโหย…
ย่อมดีกว่าการให้มนุษย์ทั้งหลายรับรู้ความจริง…
เพราะมันจะเป็นตัวปลุกความอยากของมนุษย์ออกมาให้ห้ำหั่นแย่งชิงกัน…
และฆ่ากันบนหน้าแผ่นดินอย่างไม่มีจบสิ้นต่อไป…

เพราะสำหรับมนุษย์บางจำพวกแล้ว แม้จะได้ครอบครองทุกอย่างในโลกนี้แล้ว
ก็ไม่มีคำว่า...เพียงพอ…ความกระหายอยากในหัวใจของมนุษย์นั้นยากจะหยั่งถึง
ว่ามีพื้นที่ความจุมากแค่ไหนถึงจะถมจนเต็มอิ่ม…

และพี่จะสานต่อเจตนารมย์ของพ่อเธอต่อไป…
พี่จะปกป้องต้นกุหลาบขาวทุกต้นบนเกาะแห่งนี้ไม่ให้ใครมาทำลาย
และพี่ก็จะปกป้องกุหลาบขาวที่พ่อของเธอรักด้วยชีวิตและจิตใจของพี่”

นีสรีนเงยหน้าขึ้นมามองคนพูดแล้วสบตาเขานิ่งนานก่อนจะปลดผ้าคลุมผม
แล้วค่อยๆถอดหน้ากากที่ปิดบังใบหน้าที่แท้จริงของเธอออกต่อหน้าของเขา

รังสิมันต์มองภาพภรรยาสุดรักสุดหวงตรงหน้าอย่างตกตะลึง

เขาเริ่มเข้าใจแล้วว่า เธอปลอมแปลงหน้้าตาของเธอด้วยเทคนิคเดียวกัน
กับที่อากิโกะเคยทำและดูจะแยบยลยิ่งกว่าด้วยซ้ำ…

ซึ่งย่อมแสดงให้เห็นว่าอากิโกะอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้อย่างมิต้องสงสัยเลย


“รักขอโทษที่โกหกและหลอกลวงพี่…”

โฉมหน้าของนีสรีนหายไปแทนด้วยโฉมหน้าของสิ้นรัก
พร้อมกับคำพูดแรกที่ถูกเปล่งออกมาให้รังสิมันต์ได้ยินหลังจากไม่ได้ยินเสียงนี้
มานานร่วมหลายเดือน

ชายหนุ่มวางลูกน้อยลงบนตักของหญิงสาวตรงหน้าที่ยื่นมือมารับลูกน้อย
เอาไว้ก่อนจะคุกเข่าลงกับพื้นห้อง ใช้สองแขนรวบร่างนีสรีนหรือสิ้นรัก
กับลูกน้อยเอาไว้แล้วซบหน้าลงตรงลูกน้อยในตักของภรรยาพร้อมรอยยิ้มสุขใจ

“พี่ต่างหากที่ต้องขอโทษเธอกับทุกๆเรื่องที่ผ่านมา ขนาดพี่ทำให้เธอผิดหวัง
เจ็บช้ำมากมายขนาดไหน แต่เธอก็ไม่ได้ทิ้งพี่ไป ไม่ได้ทิ้งลูกน้อยไปเลย…
ซ้ำยังอยู่ดูแลเราสองพ่อลูกอย่างดี ไม่มีขาดตกบกพร่อง…”

รังสิมันต์กล่าวเสร็จก็เงยหน้าขึ้นสบตากับภรรยานิ่ง

“พี่ต่างหากที่ทำหน้าที่บกพร่องและยังไม่ไว้ใจเธอ ไม่มั่นใจเธอ
ยามที่เธอถูกใส่ร้ายแทนที่พี่จะเชื่อมั่นในตัวเธอและคอยปกป้องเธอ
อย่างที่เคยตั้งปนิธานกับตัวเองไว้ พี่ก็ทำไม่ได้เลย…

พี่ขอโทษนะยัยตัวเล็ก ต่อไปพี่จะพยายามไม่ทำผิดพลาดอีก
จะปกป้องเธอและลูกของเรา จะซื่อสัตย์ต่อเธอ…และจะรักไปตลอด…”

สิ้นรักยิ้มทั้งน้ำตาคลอเบ้าก่อนจะก้มลงจูบตรงกลางกระหม่อมของสามี
ด้วยความรักและห่วงใย

“รักรักพี่รังอย่างเคยและเข้าใจพี่รังเสมอค่ะ…รู้ว่าพี่รังเจ็บปวดแค่ไหน
กับการเข้าใจว่ารักมีชู้…รักจึงต้องทำทุกอย่างเพื่อให้พี่รังรู้ความจริง

แม้จะเจ็บปวดและต้องอดทนแค่ไหนที่ต้องทำในสิ่งที่ค้านกับความต้องการของอารมณ์
แต่รักก็พร้อมที่จะแบกและแบ่งทุกข์ในใจของพี่รัง…
ขอแค่พี่รังกลับมาเป็นคนเดิม คนที่เชื่อมั่นในความรัก…”

รังสิมันต์ยิ้มกว้างและจูบตรงกลางหน้าผากของสิ้นรักอย่างทนุถนอม

“พี่รังจะได้เข้าใจว่าของนอกกายและเปลือกนั้นสามารถสร้างและปั้นแต่งได้ไม่ยาก…
แต่ความรักความภักดีที่เป็นของข้างในนั้น…จะสร้างแค่วันสองวันคงไม่มีใครทำได้…
เราจึงต้องพยายามรักษาและดูแลมันอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้”

รังสิมันต์กอดสิ้นรักเอาไว้อีกครั้งพร้อมกับกล่าวตอบว่า

“ขอบใจที่ไม่ถือสาพี่…ขอบใจที่อดทนกับคนอย่างพี่มาตลอด…”

“เธอคือยอดอัญมณีที่คงความแข็งแกร่งและส่องแสงท้าทายต่อภัยรอบตัว
เป็นมณีอย่างที่เป็นอยู่อย่างนั้น เป็นมณีเนื้อแท้ และยังเป็นกุหลาบขาวในใจพี่
เป็นนีสรีน…และต่อจากนี้ไป…พี่ก็จะขอเรียกเธอว่านีสรีน…”

สิ้นรักยิ้มกว้างพร้อมกับพยักหน้ารับด้วยความเต็มใจ…


หากพ่อไม่บอกเล่าเธอในเรื่องนี้…เธอคงไม่รู้ว่าแท้ที่จริงแล้ว
พ่อกับแม่หวังอยากให้เธอมีชื่อว่า…นีสรีน…ตั้งแต่รู้ว่ามีเธออยู่ในครรภ์

เพราะชื่อ…สิ้นรัก…นั้น เป็นชื่อที่บิดาสามีของเธอเป็นผู้ตั้งให้หลังจากเธอคลอดออกมา
เธอที่เกิดมาโดยปราศจากแม่แท้ๆคอยเลี้ยงดูอุ้มชู…

“แล้วยัยตัวเล็กล่ะคะ…พี่รังจะเอายัยตัวเล็กไปไว้ที่ไหน…”

สิ้นรักเอียงคอถามด้วยรอยยิ้มหวาน รังสิมันต์จึงตอบด้วยความรู้สึกหมั่นไส้ว่า

“ก็ยังจะเรียกอยู่ เพราะมันเรียกจนติดปากไปแล้วนี่…”

ว่าแล้วก็ดึงจมูกคนตรงหน้าอย่างหมั่นเขี้ยว ก่อนจะลุกขึ้นไปนั่นข้างๆ
แล้วดึงภรรยาคนเดิมเข้ามากอดด้วยความรัก…

“นอกจากพี่รังแล้ว รักไม่ต้องการใคร ไม่เคยคิดจะรักคนอื่นอีกเลย
ไม่เคยมีใครทำให้รักรู้สึกแบบนี้ได้เหมือนพี่รังเลย…ต่อให้พี่รังไล่รักเท่าไหร่
รักก็ไม่ไปง่ายๆหรอกค่ะ…แม้หลายครั้งพี่รังจะทำเย็นชาใส่
ทำเหมือนต้องการจะผลักใสให้รักไปไกลๆ
จนหลายๆครั้ง รักก็อยากจะลืมพี่ไปจากใจให้ได้จริงๆสักที แต่ก็ตัดใจทำไม่ได้
ในเมื่อรักรู้ว่าพี่ยังรักรักอยู่ จะให้รักเลิกรักพี่รัง…รักทำไม่ได้หรอกค่ะ…
เพราะที่ๆรักอยากอยู่ที่สุดก็คือข้างๆพี่รัง…ก็เลยบินไปไหนไม่ได้อีกแล้ว…
เพราะปีกของรักถูกพี่รังเด็ดไปตั้งแต่วันที่เราได้กลับมาเจอกัน

ตั้งแต่นั้นมา รักก็บินไปไหนไม่รอด จอดสนิทคารังของพี่…”

รังสิมันต์ถึงกับยิ้มกว้างกับสำนวนเปรียบเปรยของภรรยาสุดที่รัก
จนต้องมอบรางวัลใหญ่ด้วยการจุมพิตหนักตรงแก้มข้างขวา…

“ชื่นใจพี่ที่สุด…แม่มโนราห์ไร้ปีกของพี่…
งั้นพี่ก็ไม่ต้องเสียเวลาเด็ดปีกเธอให้เหนื่อยอีกแล้วน่ะสิ…”

“แน่นอนที่สุดค่ะ…ขอยืนยันว่าต่อให้พี่รังคืนปีกให้ก็ไม่บินไปไหน
จะอยู่เฝ้ารังเลี้ยงลูกอย่างนี้แหล่ะ…อย่ามาไล่ให้ไปไหนเชียว…

ขอบอกว่านอกจากจะไม่ยอมไปไหนแล้ว จะอยู่กันท่าไม่ให้พี่รังนอกลู่นอกทาง
ได้อย่างเด็ดขาดด้วย…เห็นหน้าตาโง่ๆแบบนี้…ไม่ใช่ขี้ๆนะจะบอกให้…”

สิ้นรักยักคิ้วเป็นการเตือน

“งั้นก็สบายใจได้…เพราะนอกจากเป็ดวานาโนน้องรหัสไอ้ลมแล้ว
พี่ก็ไม่คิดจะต้อนเป็ดที่ไหนกินอีกแน่นอน…กว่าจะต้อนเป็ดสำเร็จ
กว่าจะถอนขน กว่าจะได้กิน…เป็ดน้อยๆก็กลายเป็นเป็ดย่างสามสิบเข้าไปแล้ว
พอได้กินเป็ดย่างสามสิบก็รู้ทันทีว่าเป็ดตัวนี้ไม่ใช่เป็ดปักกิ่ง
แต่เป็นเป็ดวาตัวเดียวที่สามารถทำให้กินอิ่มไปชั่วชีวิต…”

สิ้นรักยิ้มเขินกับคำหยอกเอินนั่น…
ไม่คิดเลยว่า…ทุกอย่างที่เธอกังวลมาตลอดจะลงเอยได้ง่ายดายแบบนี้…
ไม่คิดเลยว่า…เธอกับสามีจะเข้าใจกันได้เร็วกว่าที่คาดคิดไว้…

จะขอบคุณสิ่งใดได้นอกจากต้องขอบคุณพระเจ้า…
ที่เปิดใจให้เราสองคนได้หันกลับมาพูดจาดีๆต่อกัน หันหน้าเข้าหากัน
และพูดกันด้วยเหตุและผลด้วยกันทั้งสองคน…

“พี่รักเธอนะ…”รังสิมันต์กระซิบบอกภรรยาสุดที่รักเบาๆ
เพราะการบอกรักกันเป็นอาหารบำรุงความรักให้เจริญงอกงาม

“รักก็รักพี่รังค่ะ…”สิ้นรักพูดขณะสบตารังสิมันต์…
สุขใจที่ได้ครอบครัวอันแสนอบอุ่นกลับมา…

เธอคิดไม่ผิดเลยที่เลือกจะอดทนเพื่อประคองความรัก
ประคองครอบครัวมาตลอดโดยไม่เดินหันหลังจากไปอย่างที่อารมณ์ใฝ่ต่ำ
คอยกระซิบกระซาบในทรวงอก คอยโน้มนำเธอให้โกรธเขา
คอยยุยงให้เธอทิ้งเขาไปพร้อมกับลูกอยู่เสมอ…

ถ้าวันนั้นเธอหอบลูกน้อยหนีจากเขาไป เธอกับเขาอาจจะไม่มีวันนี้ก็ได้
ใครจะรู้ว่าชีวิตจริงของเราจะเหมือนกับนิยายหรือละครหลายๆเรื่องหรือไม่
ที่พระเอกจะคอยพลิกแผ่นดินตามหานางเอกและลูกรักที่หนีจากเขาไป…

เขาอาจจะทำเช่นนั้นหรืออาจจะเสียชีวิตไปก่อนที่เราจะได้เจอกันอีกครั้งก็เป็นได้…
ใครจะไปรู้ ในเมื่อไม่มีใครจะหยั่งรู้เวลาของชีวิต…ไม่มีใครหยั่งรู้วันข้างหน้า
เธอจึงอยากใช้ทุกห้วงลมหายใจอยู่ข้างๆเขา
คอยมอง คอยดูแลเขา…คอยห่วงใยเขาอยู่ใกล้ๆ…ไม่ขอเสี่ยงด้วยการหนีจากเขาไปไหน…

และเมื่อมีโอกาส เธอก็พร้อมจะพูดบอกเขาว่าเธอรักเขามากแค่ไหนทันที
ที่ได้รับโอกาสนั้น…และจะพยายามอยู่กับเขาให้นานเท่านานเท่าที่จะทำได้…

มีสิ่งดีๆอะไรก็จะมอบให้เขา ทำให้เขาสุดกำลังสุดหัวใจ
หากวันใดที่ต้องพรากจากกันไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด
เธอก็มั่นใจว่าเธอได้ทำให้กับเขาอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว…

“สัญญากับรักได้มั้ยคะว่าต่อไป…เราจะปรึกษาหารือกันและกัน
จะฟังกันและกัน และจะเชื่อใจกันและกัน…”

สิ้นรักขอคำสัญญาจากอีกฝ่าย
รังสิมันต์จึงค่อยๆลูบผมหญิงสาวเบาๆขณะพูดว่า…

“ต้นเหตุที่พี่ทำผิดพลาด มันจะไม่เกิดขึ้นอีก…พี่สัญญา…”

สิ้นรักระบายยิ้มด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสุขในหัวใจ
ราวกับความขุ่นมัวในหัวใจได้ถูกชำระล้างจนสะอาด…
หัวใจเธอตอนนี้สว่างไสว อาบไปด้วยแสงแสงที่ได้ขจัดจุดดำในหัวใจของเธอไปจนหมดสิ้น…

เธอรู้ดีว่าไม่ใช่เพราะเขาที่ทำให้หัวใจเธอสว่าง แต่เป็นเพราะเธอที่ยอมต้อนรับ
แสงสว่างเข้ามาสถิตย์ในหัวใจนั่นเอง…





“พ่อดีใจด้วยที่ลูกกับเขาลงเอยกันได้แบบนี้…”

บันลือยิ้มออกมาเมื่อได้รับข่าวจากลูกสาวที่โทรมาหาเขายามเช้าตรู่
ก่อนรุ่งอรุณจะมาเยือน…

และอดรู้สึกมีความสุขไม่ได้ที่ลูกสาวมักจะนึกถึงเขาเป็นคนแรกเสมอ
เมื่อได้รับข่าวดีและข่าวร้ายในชีวิต…

“ขอบคุณพ่อบันนะคะที่รับฟังหนุ่ยและเป็นที่ปรึกษาที่ดีเสมอมา…
ขอบคุณที่เข้าใจหนุ่ย คอยตักเตือนหนุ่ย…พ่อคือสิ่งมหัศจรรย์ในชีวิตของหนุ่ย…
หนุ่ยรักพ่อนะคะ…”สิ้นรักกล่าวคำว่ารักให้พ่อฟังผ่านมือถือ…
แม้จะไม่ได้เห็นหน้ากัน แต่เธอก็เดาสีหน้าบิดาได้…

“พ่อก็รักหนุ่ยนะลูก…หนุ่ยสามารถกลับมาหาพ่อได้เสมอเท่าที่ต้องการ…”

สิ้นรักถึงกับน้ำตาร่วงเมื่อได้ยินคำนั้นจากบิดาที่มักจะบอกเช่นนี้กับเธอเสมอ
ไม่ว่ายามที่อ่อนล้า อ่อนแรง สับสน หรือเจ็บปวดกับความรัก

กี่ครั้งกี่คราว พ่อคนนี้ก็พร้อมที่จะเอ่ยคำว่าเข้าใจ และเจ็บปวดไปกับเธอเสมอ
เป็นรักที่ไม่ได้ต้องการการครอบครอง แต่เป็นรักที่พร้อมที่จะแบ่งแบกทุกข์ในใจของเธอ
ผู้ที่ไม่เคยรักเธอน้อยลง และรักอยู่เช่นนั้น
ผู้ที่พร้อมจะอ้าแขนรับเธอเสมอเมื่อเธอกลับไปหา พร้อมที่จะปลอบใจ

ยามเมื่อเธอพร้อมที่จะบินอีกครั้งก็พร้อมจะปล่อยให้เธอได้โบยบินไป
พร้อมกับย้ำเตือนให้ฟังถึงประโยคนี้เสมอ…

“พ่อบันมาอยู่กับหนุ่ยเถอะนะคะ…เรามาอยู่ด้วยกันนะคะ…”

สิ้นรักเริ่มอ้อนวอนบิดาทั้งๆที่รู้ว่าคำตอบที่จะได้กลับมานั้นเป็นเช่นไร
เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธออ้อนวอนให้บิดามาอยู่ด้วย…

“พ่อก็อยากทำแบบนั้น…อยากทำมาตลอด…แต่ถ้าการที่พ่ออยู่ใกล้ๆหนุ่ย
แล้วทำให้หนุ่ยไม่อาจเป็นต้นไม้ที่ยืนต้นสง่างามโดยไม่ต้องพึ่งพาร่มเงาของต้นพ่อ
พ่อก็ไม่อยากทำ…พ่อไม่อยากให้ลูกของพ่อเป็นต้นไม้ที่หล่นอยู่ใต้ต้น

ตอนนี้หนุ่ยมีรังแล้ว พ่ออยากให้หนุ่ยสร้างรังของหนุ่ยด้วยตัวของหนุ่ย
กับคนที่หนุ่ยเลือกมาเป็นคู่ชีวิต แล้วพ่อจะคอยดูแลอยู่ไกลๆ…
แต่จะไม่ยอมให้คลาดสายตา…ลูกไม่เคยโดดเดี่ยว…จำไว้…”

สิ้นรักเริ่มสะอื้นและไม่เคยอายเลยที่จะร้องไห้แบบเด็กๆกับบุคคลผู้นี้

“แต่หนุ่ยอยากดูแลพ่อ…อยากทำหน้าที่ลูกที่กตัญญูบ้าง…”

“ทุกวันนี้ลูกก็ทำหน้าที่นั้นอยู่…ขอแค่หนุ่ยเป็นคนดี คิดดี ปฏิบัติดี
รักและเชื่อฟังพ่อ แค่นี้ที่พ่อหวังจากลูก…

พ่อไม่ได้เลี้ยงลูกมาเพื่อหวังให้ลูกมาเลี้ยงพ่อตอนแก่ชรา
แต่พ่อหวังจะเห็นลูกเจริญเติบโตไปเป็นคนดีและอบรมเลี้ยงดูลูกๆของลูกให้เป็นคนดี
เป็นประชาชาติที่ดีต่อไป…การที่หนุ่ยยังรักและคิดถึงพ่อ โทรมาหาพ่อบ่อยๆ
เล่าเรื่องราวๆต่างในชีวิตให้พ่อฟังแบบนี้ มันทำให้พ่อไม่เคยรู้สึกว่าลูก
อยู่ไกลเลยแม้แต่วันเดียว…พ่ออยู่ทางนี้มีคนดูแลมากมาย…หนุ่ยไม่ต้องกังวลนะลูก”

สิ้นรักถึงกับหน้างอ เพราะกี่ครั้งๆพ่อของเธอก็พูดเช่นนี้…ไม่ยอมมาอยู่ใกล้ๆเธอ
พอเธอจะขอไปอยู่ใกล้ๆก็ไม่ยอมอีก…เธอก็แค่อยากอยู่ใกล้ๆ
เพื่อที่จะได้เห็นความเป็นไปของพ่อด้วยตาของเธอเอง

เนื่องจากพักหลังๆมานี้ เธอรู้สึกเหมือนพ่อพยายามบิดบังซ่อนเร้นอะไรบางอย่าง
ไม่ให้เธอรู้…

“จำคำพ่อไว้นะหนุ่ย…ไม่มีใครจะพรากจากกันได้จริงๆ
หากว่ายังมีการคิดถึง นึกถึงกันอยู่ตลอด…เพราะความคิดถึงเร็วกว่าความเร็วของแสง…
อย่าลืมว่าจิตของคนเรานั้นเร็วกว่าแสง…ขึ้นอยู่กับว่าสถานีรับจะรับสัญญาณจิตของเรา
ได้รึเปล่าเท่านั้นเอง…ถ้าหากเรามีสถานีคอยรับส่งในคลื่นความถี่ที่ตรงกัน
จิตของเราก็จะส่งถึงกันได้…”

“หนุ่ยจะคิดถึงและจะรำลึกถึงพ่อบันเสมอๆ…”

“พ่อก็เช่นกัน…ดูแลตัวเองนะลูก…”

“ค่ะ…พ่อบันก็ต้องดูแลตัวเองดีๆด้วยนะคะ…ขอพระเจ้าทรงคุ้มครองนะคะ…”

“ขอพระเจ้าทรงคุ้มครองลูกของพ่อด้วย…”พูดจบบันลือจึงวางสายจากลูกสาว
แล้วหันหน้าสู่ท้องทะเลที่ตอนนี้พระอาทิตย์กำลังโผล่พ้นขอบฟ้าขึ้นมาทีละนิดๆ

เขาเองก็ไม่แน่ใจเลยว่า จะมีโอกาสได้มองดูพระอาทิตย์ขึ้นลงได้อีกนานสักเท่าไหร่…

ซึ่งนั่นหาใช่สิ่งที่เขากังวลเลย

…เขาวางใจต่อพระเจ้าและมอบหมายแด่พระเจ้าจนหมดหัวใจแล้ว…

หากจะบอกว่าเขาพร้อมเสมอที่จะคืนกลับไปหาพระองค์ก็คงไม่ผิดนัก

…ตะวันมีขึ้นมีลง ชีวิตคนก็เฉกเช่นกัน

ความตายเป็นสัจธรรมของเที่ยง…ไม่มีชีวิตใดเลี่ยงหลบสิ่งนี้ได้…

สุดท้ายแล้ว ก็ไม่มีใครจะแบกสิ่งใดกลับไปได้เลย เว้นแต่ความดีและความชั่ว
ที่จะคอยติดตามไปเท่านั้น…

ดังนั้น…ใยเราจะต้องโลภ ต้องช่วงชิงสิ่งที่มิได้เป็นความแน่นอนเหล่านี้เอาไว้มั่น
ราวกับมันจะอยู่คู่เราไปตลอด…

ในเมื่ออย่างไรแล้ว เราก็เอามันไปด้วยไม่ได้
หากมองให้ลึกลงไปแล้ว ไม่มีสิ่งใดที่จะเป็นของเราเลย…
เราไม่เคยมีสิทธิ์ในสิ่งใดอย่างแท้จริง

ทุกอย่างที่เราเคยได้รับ และได้รับอยู่กับที่จะได้รับในอนาคต
ย่อมไม่แตกต่างไปจากของที่ถูกให้ยืมมาแค่ชั่วครู่ชั่วยามเพียงเท่านั้น…
แล้วในที่สุดไม่มันจากเรา เราก็จากมัน…

เพราะแม้แต่คนที่เรารักมากที่สุด เราก็มิอาจรั้งเขาเอาไว้หรือเอาเขาไปอยู่ด้วยได้…

สุดท้ายแล้ว เมื่อถึงเวลา เราก็ต้องปล่อยและทิ้งทุกอย่างเอาไว้ที่นี่
แม้จะอยากปล่อยหรือไม่อยากปล่อยก็ตาม

เขาจึงเลือกใช้ชีวิตที่ผ่านมาเสมือนนักเดินทาง โดยที่โลกนี้เปรียบเสมือนต้นไม้
เขาจึงหวังเพียงแค่ร่มเงาของต้นไม้ให้นั่งพักเพียงชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น
โดยที่นักเดินทางกับต้นไม้มิได้มีอะไรข้องเกี่ยวกัน…

ซึ่งสุดท้ายแล้วนักเดินทางก็ต้องลาจากต้นไม้ต้นดังกล่าวไปพร้อมกับกระเป๋าสะพาย
ที่มีเพียงความดีกับความชั่วแบกไปเพียงเท่านั้น…เพราะคงมิอาจแบกต้นไม้
และร่มเงาของมันหรือโลกใบนี้กับความสุขบนโลกใบนี้ไปด้วยได้แน่…

นี่คือ…สัจธรรมที่เขาและทุกชีวิตบนโลกนี้จะได้ลิ้มรสชาติของมัน…





.....โปรดติดตามตอนต่อไป......



ขอคุยกับนักอ่านที่เขียนมาคุยกับโยจากคอมเม้นท์ในยกก่อนหน้านิดนึงนะคะ

1.คุณ konhin มารอบนี้ก็กะมาคลายปมให้อีกเช่นกันค่ะ
ยกหน้าไม่น่าจะช้าค่ะ เพราะปัั่นไปได้เกือบสมบูรณ์แล้ว
ขอบคุณนะคะที่ยังคงติดตามอ่านกันอยู่ เฮะๆ

2.คุณaom...ขอบคุณค่ะสำหรับกำลังใจที่มอบให้เต่าโย โยเอาที่เหลือมาฝากแล้วนะคะ


3.คุณแว่นใส…เขาว่าคนที่ฉลาดที่สุดคือคนที่แกล้งโง่ได้นานที่สุดค่ะ…อิอิ…
งานนี้เป็ดวาโดนถอนขนคารังไปเรียบร้อยแล้วค่ะ…

4.คุณตามหาฝัน…ต้องขอโทษที่ผลุบๆโผล่นะคะ ช่วงหลังๆมานี้ภารกิจมากมาย
เลยไม่ค่อยมีเวลาให้กับงานเขียนเท่าไหร่นัก…โยเองก็คิดถึงนักอ่านในเว็บเลิฟเสมอค่ะ
เข้ามาอ่านคอมเม้นท์ตลอดเลบ…ขอบคุณมากๆนะคะสำหรับกำลังใจที่มีให้โยมาตลอด

5.คุณsupayalak…หลังจากหดหัวไปได้พักใหญ่ก็โผล่หัวจากกระดอง
มาแว้วนะตัวเอง…รอบนี้มาให้ละมุนละไมนิดๆ…แต่รับรองว่า…
บทท้ายๆจะมาให้หวานอย่างที่ไม่เคยหวานมาก่อนค่ะ เพื่อนักอ่าน
ที่รอเต่าโยคลานขึ้นยอดตาล…โยเลยกะจะเอาน้ำตาลมาฝากให้ได้
แต่อาจจะต้องกินน้ำตาไปบ้างนิดๆก่อนได้กินน้ำตาลนะจ๊ะ…อิอิอิ…

6.คุณPat…กลับมาอีกรอบแล้วค่ะสำหรับเต่าขาสั้นสายเสมอ…
ขอโทษสุดๆที่หายหัวไปนานเป็นประจำและถี่ๆด้วย
ด้วยภารกิจต่างๆของคนที่อายุยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆค่ะ…เฮะๆ

7.คุณตุ๊งแช่…เป็ดวาโดนถอนขนไปแบบละมุนละไมกว่าที่คิดใช่มั้ยคะ…
อย่างว่าค่ะ…หมอรังเขารู้จักเข้าทางเมีย…เลยถอนขนเป็ดมาได้อย่างละม่อม
เพราะเป็ดดันสมยอม…อิอิ

8.คุณmallow…นำที่เหลือมาเสริฟแล้วจ้า…ตอนนี้สุขภาพเต่าโย
ดีขึ้นเป็นลำดับแล้วค่ะ…แต่งานก็ยังหนักตามอายุเหมือนเดิม…เฮะๆ

9.คุณแม่มดน้อย…อยากจะHappy New Year 2014 ในแบบสากล
และของจีน (ตรุษจีน) แต่เห็นว่าใกล้ปีใหม่ไทยแล้ว ตอนนี้คงไม่เหมาะซะแว้ว…เฮะๆ…
ขอบคุณค่ะที่ยังคงคิดถึงเต่าโย…จุ๊บๆนะคะ
ปล.ปีใหม่ที่ผ่านมาโยได้ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดกับเรื่องหัวใจไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
งานที่เคยทำก็เลยเลิกไป…ตอนนี้ได้เริ่มต้นอะไรใหม่ๆ ไม่อยากจะเชื่อว่า
ทุกอย่างจะดีขึ้นเรื่อยๆค่ะ…คนเราจึงไม่ควรหมดหวังเลยไม่ว่าจะด้วยกรณีใดๆ…

10.คุณบัวขาว…อยากจะสวัสดีปีใหม่เช่นกันค่ะ…แต่คิดว่าไม่เหมาะเลย…เฮะๆ
เพราะตอบเม้นช้าไปหลายเดือนเลย…เฮะๆ…ขอบคุณนะคะสำหรับกำลังใจ
ที่มอบให้เต่าโยมาตลอดไม่ว่าจะในวันที่ยากจะผ่านได้…จุ๊บๆนะคะ

11.คุณgoldensun…นำหมอรังมาฝากกันแล้วค่ะ…ต้องขอโทษที่ทิ้งนักอ่านไปเรื่อยๆ
แต่ก็ยังโผล่หัวอยู่นะคะ…แค่ผลุบๆโผล่ๆตามแต่โอกาสจะเอื้ออำนวย
ในการปั่นนิยายค่ะ…เพราะช่วงพักหลังๆไม่ค่อยมีเวลาปั่นนิยายเลย…

12.คุณfiendfiend…ขอบคุณค่ะสำหรับกำลังใจ…โยนำที่เหลือมาให้แล้วนะคะ
ตอนหน้าคิดว่าจะพยายามมาให้เร็วกว่าเดิมค่ะ…เฮะๆ…


สุดท้ายนี้…ขอขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่ติดตามอ่านผลงานของเต่าโยนะคะ
เรื่องนี้มาถึง 11%สุดท้ายแล้ว อีก 11 ตอนก็ปิดฉากแล้วจ้าาาาา…
อย่างไรก็อย่าลืมแวะมาเป็นกำลังใจให้กันอีกนะคะ…

รักและคิดถึงเสมอ

“เต่าโย”



yoraya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 13 มี.ค. 2557, 00:23:00 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 13 มี.ค. 2557, 00:23:00 น.

จำนวนการเข้าชม : 2964





<< ยกที่ 89 เด็ดปีกมโนราห์(50%)   ยกที่ 90 เมื่อยามสนธยา >>
konhin 13 มี.ค. 2557, 05:58:34 น.
จะเขียนเป็นร้อยตอนก็ไม่ว่าค่าาา ชอบบบบ ว่าแต่ทำไมปล่อยนกต่อให้หายไป แต่ก็ดี ไม่มีก้าง ในที่สุดก็ได้หวานกัน


แว่นใส 13 มี.ค. 2557, 09:46:27 น.
ยินดีที่กลับมา หลังจากหายไปนานเลย พ่อบันไม่สบายเหรอคะ


ตุ๊งแช่ 13 มี.ค. 2557, 10:59:22 น.
หวานแพคคู่เลย ตอนท้ายเหมือนพ่อบันจะถึงวาระสุดท้าย เขียนซะคนอ่านปลงแทนเลย หุหุ

รอตอนที่ 100


ใบบัวน่ารัก 13 มี.ค. 2557, 16:11:13 น.
เฮ้อ เพราะระแวง
ไม่ไว้ใจกัน
ยานนนน นายยยยนานข้ามปีเลยน้า


goldensun 13 มี.ค. 2557, 18:29:31 น.
กลับมาส่งเรื่องให้อ่านก็ยินดีมากๆ แล้วค่ะ เข้าใจกันซะที ทั้งสองคู่เลยค่ะ จะเสียใจก็เรื่องพ่อบันลือนี่แหละ เหมือนจะใกล้บั้นปลายชีวิตแล้ว ส่วนพวกผู้ร้าย ก็คงใกล้จับตัวได้แล้วสินะคะ


supayalak 13 มี.ค. 2557, 21:23:29 น.
เย้ ยยยยย ในที่สุดเต่าโยก็กลับมาแล้ว ดีใจจังเลย อยากบอกว่าเมื่อวานยังนึกถึงอยู่เลยว่าจะสงจดหมายไปหาสักหน่อย สงสัยต้องรู้แน่ๆ เลยใช่ไหมค่ะว่าจิตความคิดถึงส่งไปถึง ดีใจที่กลับมาค้า คึดถึงพี่รังกะรักมากกว่าเต่าโยจิดนึง อิอิอิอิ


Pat 13 มี.ค. 2557, 22:38:11 น.


aom 14 มี.ค. 2557, 11:08:04 น.
ดีใจที่อัพ และดีใจที่เข้าใจกันแล้ว ^____^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account