ไฟรักทรายเสน่หา
'ทะเลทรายมักแอบซ่อนความรักและมนตร์ขลังเอาไว้เสมอ' ‘เจน’ สาวน้อยลูกครึ่งไทย-อาหรับ รับรู้มาตลอดว่าตนเองเป็นชาวทะเลทราย ทว่าวันหนึ่ง ‘ไฟซารห์’ เจ้าชายหนุ่มรูปงามกลับเข้ามาทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลง...หญิงสาวจะทำเช่นไรเมื่ออดีตถูกเปิดเผยและความรักก็เร่งเร้ารุนแรงจนเธอไม่อาจสั่งการหัวใจตนเองได้
Tags: ทะเลทราย ความรักหวานซึ้ง เข้มข้น

ตอน: 5

สวัสดีตอนดึกๆ ค่ะ
น้อง Siang ขรา ไม่แน่ใจเลยค่ะ แต่จะพยายามให้ทันนะคะ

นอ้งแว่นใส คะ พระเอกกะนางเอกของเราค่ะ ต้องให้ได้คู่กันอย่างสุดความสามารถจ้า

แต่อย่างที่คุณ Zephyr บอก จะทำอย่างไรหนอ อิอิ

*************************************************

วังของเจ้าชายไฟซารห์อยู่ในเขตชานเมืองมีเนื้อที่ประมาณ 10 ไร่ ตัวตึกสีเหลืองโทนน้ำตาลสองชั้นออกแบบด้วยศิลปะแบบฝรั่งเศสผสมกลิ่นอายของอารยธรรมตะวันออกกลาง มีรั้วล้อมรอบและมีสนามด้านหน้า

ห้องที่คนรับใช้พาเจนนาห์ขึ้นมานั้นมีด้านหลังเป็นระเบียงเล็กๆ ประตูเป็นกระจกปิดด้วยผ้าม่านสีครีม ร่างเพรียวบางจึงเดินไปเปิดผ้าม่านออกและมองด้านนอกซึ่งเป็นสนามกว้าง นกตัวเล็กๆ กำลังบินมาเกาะกิ่งไม้ซึ่งมีใบไม้สีเขียวขจี

“นกน้อย”

เจนนาห์พึมพำ การอยู่ในทะเลทรายทำให้น้อยครั้งนักที่เธอจะเห็นบรรยากาศสดชื่นสีเขียวชะอุ่มแบบนี้ ร่างเพรียวจึงนั่งลงที่เก้าอี้นวมข้างหน้าต่าง ดวงตาสีน้ำตาลจ้องมองเจ้าสัตว์ตัวเล็กๆ อย่างรู้สึกผ่อนคลาย ทว่าความง่วงที่สะสมมาตั้งแต่เช้านั่นเองที่ทำให้เธอปิดเปลือกตาและหลับพริ้มลงด้วยความเหน็ดเหนื่อย

กระทั่งหัวค่ำนาร่าห์ให้คนจัดโต๊ะอาหารสำหรับ 3 ที่และนั่งรออยู่ที่ห้องรับรอง หลังจากนั้นไม่นานหลานชายก็เดินลงสมทบ

“อ้าว แล้วเจนนาห์ล่ะ” ผู้เป็นน้าหันมามอง คนโดนถามจึงไหวไหล่น้อยๆ

“อาจจะหลับ ท่าทางเธอคงเพลียน่าดู...หรือบางทีผมคิดว่าน้าควรจะให้ใครไปตามเธอ”

“ก็น้าคิดว่าหลานจะเป็นคนเรียกเธอลงมาน่ะสิ แต่ไม่เป็นไรหรอกให้เธอพักผ่อนไปก่อนก็ได้” หญิงชาวซาราเวียพูดก่อนสังเกตหลานชาย “แล้วก็...เรายังไม่ได้คุยกันเลยนะ ที่หลานบอกว่าเจนนาห์มาจากทะเลทรายหมายถึงอะไร หลานเข้าไปวิหารนั่นมาอีกแล้วใช่ไหม”

เจ้าชายไฟซารห์นั่งลงที่เก้าอี้อีกตัวและคุยเรื่องที่ไปวิหารร้างกับซากีร์จนได้เจอเจนนาห์ และเรื่องวันนี้ที่จู่ๆ ตนก็รู้สึกอยากไปที่นั่นอีกครั้ง

“น้าว่าเจนนาห์แต่งตัวคุ้นๆ” นาร่าห์ตั้งข้อสังเกตอีกครั้ง “ผิวพรรณก็ดี รูปร่างก็ไม่เหมือนชาวทะเลทรายทั่วๆ ไป ถ้าจะบอกว่าเป็นชาวซาราเวียแท้ๆ ก็ไม่น่าใช่อีกเหมือนกัน แต่ผ้าสีฟ้าแบบนั้นเหมือนผ่านการย้อมแบบโบราณ ลายปักที่สวยงาม สมัยนี้พวกที่นิยมการใส่ชุดแบบนั้นก็มีแต่...”

“ชาวอัลคาซานใช่ไหมครับ” เจ้าชายไฟซารห์ตรัส เมื่อเย็นเขาก็คิดถึงเรื่องนี้มาครั้งหนึ่งแล้วแต่ก็ละลืมไปพอน้าพูดขึ้นอีกครั้งจึงนึกได้

“ใช่จ้ะ มีความเป็นไปได้มากเลยนะ...จริงสิ น้ามีเรื่องจะเล่าให้ฟังนี่นา”

“เรื่องอะไรครับ”

“คือเมื่อกลางวันน้าเพิ่งไปเข้าไปหาแม่ของหลาน แล้วเกิดเรื่องนิดหน่อยเพราะรานีฟารินาห์เพิ่งจะทราบเรื่องที่องค์สุลต่านจะให้เจ้าชายคาซาลแต่งงานกับธิดาของท่านซาราน”

“แต่งงานกับพวกอัลคาซานงั้นเหรอครับ ผมนึกว่าคนในราชวงศ์ไม่ค่อยชอบใจพวกอัลคาซานซะอีก”

“ใครๆ ก็คงคิดว่าอย่างนั้น ยิ่งองค์รานียิ่งแล้วใหญ่ วันนี้ทรงกริ้วมาก ทรงโกรธที่เจ้าชายคาซาลทำท่าจะตกลงทั้งๆ ที่ไม่เคยเห็นหน้าเจ้าสาวเลย เพราะใครๆ ก็รู้ว่าทรงต้องการให้เจ้าชายอภิเษกกับอาลีซ่าลูกสาวท่านรัฐมนตรีการคลัง” นาร่าห์ถอนหายใจเมื่อคิดถึงท่าทางของพี่สาว ทำให้เจ้าชายไฟซารห์นึกสงสารพี่ชายต่างมารดาไม่น้อย

“สงสารเสด็จพี่คาซาล บางทีพระองค์อาจจะอยากเลือกคู่ครองเองก็ได้”

“เฮ้อ! หลานน่ะไม่ได้เติบโตอยู่รั้วในวังท่ามกลางพระญาติเจ้าหญิงเจ้าชายทั้งหลาย หลานคงไม่รู้หรอกว่าจริงๆ แล้วเจ้าชายคาซาลคิดว่าตัวเองน่าสงสารหรือเปล่า” นาร่าห์พูดขึ้น เธอเห็นมาเยอะแล้ว เจ้าชายบางองค์แทบไม่สนใจเลยว่าตนเองจะได้คู่ครองประเภทไหนแต่จะสนใจแค่คู่ครองของตนส่งเสริมตนได้แค่ไหนมากกว่า อีกฝ่ายจึงพูดอย่างอารมณ์ดี

“งั้นก็เป็นโชคดีของผม”

“ทำเป็นพูดดีไปเถอะ เออ จริงสิ แล้วที่หลานบอกว่าพรุ่งนี้จะพาหมอออกไปแต่เช้าน่ะ หมายความว่ายังไง มีใครป่วยงั้นเหรอ แล้วนี่หลานลืมแล้วหรือไงว่าพรุ่งนี้นัดจะเข้าไปพบองค์สุลต่านที่วังซาบัค”

“นั่นสิ ปกติผมไม่ใช่คนลืมง่ายขนาดนี้เลย” เจ้าชายไฟซารห์ตรัสพร้อมตอบคำถามแรกของนาร่าห์ “เรื่องที่เราต้องพาหมอไปตั้งแต่เช้าก็เพราะพ่อของเจนนาห์ไม่สบายแล้วก็อยู่ที่โอเอซิสใหญ่แต่ว่าผมไม่เคยไปที่นั่นไม่ชำนาญทางพอที่จะพาเธอกับหมอเดินทางในทะเลทรายเวลากลางคืน...”

ทรงเงียบไปสักพักก่อนตัดสินใจลุกขึ้นยืน “ผมจะขึ้นไปตามเจนนาห์มาทานข้าวเอง”

จากนั้นร่างสูงก้าวขึ้นบันไดหลายขั้นนั้นอย่างรวดเร็ว มีคำถามบางอย่างเกิดขึ้นในใจของเขาและคนที่จะตอบได้ก็น่าจะเป็นคนที่อยู่ในห้องข้างบนนั้น มือแกร่งจึงยกขึ้นเคาะประตูเบาๆ สองครั้ง ทว่าความเงียบที่ตอบกลับมาทำให้เจ้าชายไฟซารห์ตัดสินหมุนลูกบิดประตู และมันก็ไม่ได้ล๊อคอยู่อย่างที่คิดไว้

“เจนนาห์...”

เสียงทุ้มเรียกอีกฝ่าย ดวงเนตรสีไพลินกวาดมองเข้าไปในห้องและเห็นว่าคนที่ถูกเรียกนั่งอยู่บนเก้านวมซึ่งหันหลังให้ประตู ผมสีน้ำตาลนั้นยาวพาดผ่านพนักด้านหลัง ศีรษะเอียงมาข้างหนึ่งมากกว่าที่ควรจะเป็น ทำให้คนมองเดาว่าเธอกำลังเพลิดเพลินหรือไม่ก็หลับไปแล้ว

“เจนนาห์”

แม้เรียกอีกครั้งก็ยังไร้เสียงตอบ เจ้าชายไฟซารห์จึงเดินเข้าไปใกล้หน้าต่างกระจกซึ่งเปิดม่านออกทั้งหมดจนแสงจันทร์เต็มดวงสาดส่องกระทบใบหน้านวล คิ้วเรียวสวยราวถูกดินสอชั้นดีขีดเขียน จมูกโด่งดูสวยพอดิบพอดีรับกับเรียวปากสีชมพูอิ่ม เสื้อเชิ้ตของเขาถูกมือเรียวกอดคลุมไว้ประดุจผ้าอุ่นๆ ภาพงดงามตรงหน้าทำให้คนเรียกพิงตัวที่หน้าต่างบดบังแสงจันทร์และมองอีกฝ่ายอยู่เช่นนั้น กระทั่งเจนนาห์เริ่มรู้สึกตัว

“อืม...” เรียวปากสีชมพูเผยอขึ้นและครางเบาๆ ก่อนที่ดวงตาสีน้ำตาลจะกระพริบถี่ๆ เมื่อพบว่ามีคนมองตนเองอยู่ “เอ๊ะ!”

“เจนนาห์” เจ้าชายหนุ่มยังยืนอยู่ในลักษณะเดิมและถามอย่างปกติที่สุด “ยังไม่อาบน้ำอีกหรือไง”

“แล้วทำไม...คุณเข้ามา...ยืนอยู่ที่นี่” เจนนาห์ขมวดคิ้วมองอีกฝ่าย ประสาทสัมผัสในตัวตื่นขึ้นอย่างรวดเร็ว เสื้อเชิ้ตสีดำของอีกฝ่ายนั้นเลื่อนหลุดจากหัวไหล่มาอยู่ในมือ

“ก็เรียกหลายครั้งแล้วแต่เธอไม่ตื่น” ดวงพักตร์คมมองอีกฝ่าย ริมโอษฐ์หยักมุมน้อยๆ หากไม่ได้ยิ้มอย่างเต็มที่ และเจนนาห์ก็คิดว่าช่างดูแอบแฝงมีเล่ห์นัยจนทำให้เธอเดาความคิดของเขาไม่ออกเลย

“แต่คุณก็ควรเรียกจนกว่าฉันจะตื่น ไม่ใช่มายืน...แบบนี้ แล้วคุณมีธุระอะไรกับฉัน”

“ก็ไม่ทำไมหรอก แค่จะมาบอกให้เธอไปทานข้าว...หมายถึงน้านาร่าห์เป็นคนเชิญ”

“น้าของคุณน่ะเหรอ” เจนนาห์ลุกขึ้นยืนพลางทวนคำ หญิงสาวชาวสวีเดนคนนั้นดูเป็นมิตรแล้วก็มีลักษณะของหญิงที่เป็นได้ทั้งน้าและแม่อย่างเต็มตัว สายตาสีฟ้านั่นทำให้เจนนาห์รู้สึกดีๆ อย่างบอกไม่ถูก เมื่อคิดเช่นนั้นดวงหน้าสวยจึงระบายไปด้วยรอยยิ้มอย่างไม่รู้ตัว ริมฝีปากสีชมพูของเธอเผยอน้อยๆ นัยน์ตาสีน้ำตาลมีแววหวานเหมือนเด็กๆ ที่กำลังฝันถึงขนมปุยฝ้ายอันใหญ่บนโต๊ะที่เต็มไปด้วยสมาชิกของครอบครัว และลืมคิดไปเสียสนิทว่าเมื่อลุกขึ้นยืนนั้นเธอก็ต้องประจัญหน้ากับร่างสูงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เจ้าชายไฟซารห์มองอีกฝ่ายด้วยดวงตาวับวาว ทรงขยับไปใกล้ก้มพระพักตร์ลง จมูกโด่งๆ นั้นอยู่ใกล้ใบหน้านวลแค่คืบ นิ้วแกร่งไล้ลงบนต้นแขนกลมกลึงแผ่วๆ

“และฉันก็คิดว่าคงไม่ดีแน่ถ้าตัวของเธอยังมีแต่ฝุ่นทรายแบบนี้”

“ฉันไม่มีเสื้อผ้า” เจนนาห์พรวดพราดถอยหลังห่างจากเขาอย่างตกใจ ทำให้ขาเรียวสะดุดเก้าอี้โซฟาจนเกือบหงายหลังเจ้าชายไฟซารห์จึงคว้าเอวบางไว้ดึงร่างอรชรนั้นเข้ามาหาตัว มันช่างเป็นช่วงความรู้สึกที่พระองค์อธิบายไม่ถูกและทั้งคู่ก็ตะลึงงันกันอยู่ชั่วนาที

“ปล่อยฉัน” เจนาห์ดันหน้าอกแกร่งให้ออกห่างจากตัว เจ้าชายหนุ่มจึงยืดตัวตรงและเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าก่อนจะเคาะมันสองสามครั้ง

“ในนี้มี อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าซะ จะได้ลงไปทานข้าวกัน” เอ่ยจบวรองค์สูงก็จากไปอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเช่นตอนที่เข้ามา

บนทางเดินซึ่งปูพื้นด้วยกระเบื้องสีขาว วรองค์สูงย่ำเท้าออกห่างจากห้องของร่างงามพลางถอนหายใจเล็กน้อยเมื่อเพิ่งรู้ตัวว่าตนเองผู้หญิงที่บอกว่าตนเองมาจากทะเลทรายนั้นช่างมีบางสิ่งบางอย่างในตัวที่สามารถสะกดคนที่อยู่ใกล้ได้อย่างอยู่หมัด

“เธอท่องมนตร์ใส่ฉันหรือไง”

ทรงลืมไปด้วยซ้ำว่าตนเองขึ้นมาหาหญิงสาวเพื่อจะถามเรื่องอะไร แถมเมื่อลงมาถึงข้างล่างคนรับใช้ยังบอกอีกว่าให้เขาทานข้าวกับเจนนาห์เพียงสองคน

หลังจากนั้นพักใหญ่เจนนาห์จึงเดินลงมาข้างล่าง ร่างงามสวมชุดเข้ารูปสีเหลืองอ่อนที่ดูสะอาดสวยงามกว่าชุดสีฟ้าขาดๆ และไม่หนาเทอะทะอย่างผ้าคลุมสีน้ำเงินที่เธอใช้ในทะเลทราย อีกทั้งชุดนี้ยังเน้นทรวดทรงอรชรหน้าอกอวบอิ่มผิวกายยิ่งขาวผ่องจนกระทั่งคนรับใช้ซึ่งเป็นหญิงเหมือนกันยังอดไม่ได้ที่จะมองซ้ำ

ทว่าการรับประทานอาหารในมื้อนั้นกลับผ่านไปอย่างเงียบเชียบ เมื่อเวลาผ่านไปไม่นานเจ้าชายไฟซารห์ก็ลุกขึ้นจากโต๊ะอาหารก่อนในขณะที่เจนนาห์เรียกขึ้น

“เดี๋ยวก่อนค่ะ...พรุ่งนี้เราจะออกเดินทางตั้งแต่เช้าใช่ไหมคะ”

“เธอกับหมอต่างหาก ฉันอาจมีงานต้องทำในวันพรุ่งนี้ แล้วจะให้คนขับรถไปส่ง” เจ้าชายหนุ่มตอบเรียบๆ ก่อนทำท่าจะเดินจากไป ร่างงามในชุดสีเหลืองอ่อนจึงลุกขึ้นบ้าง

“คุณ...คุณชื่อไฟซารห์ใช่ไหมคะ” ตั้งแต่เจอกันเขาถามชื่อเสียงเรียงนามเธอไปแล้ว แต่เธอแทบไม่เคยสนใจเลยว่าเขาชื่อว่าอะไร นี่อาจจะเป็นการแนะนำตัวครั้งแรกและบางทีอาจเป็นครั้งสุดท้ายก็ได้ถ้าเขาจะไม่ไปที่โอเอซิสใหญ่กับเธอในวันพรุ่งนี้

ดวงเนตรสีไพลินวับวาวขณะมองร่างอรชรในชุดเข้ารูปสีเหลือง พระองค์ถอยกลับเล็กน้อยเพื่อนจะยืนอยู่ข้างหน้าเธอและตรัสตอบ

“ไฟซารห์คือชื่อของฉัน...เจนนาห์”

เอ่ยจบวรองค์สูงก็หันกลับไปและเดินออกจากห้องอาหาร ในพระทัยคิดถึงเรื่องในอดีตซึ่งเกิดขึ้นที่วิหารแห่งนั้น สมัยก่อนพระองค์มีคำถามในใจมากมายอยากจะถามใครสักคนที่มาจากอัลคาซานทว่าเมื่อเวลาล่วงเลยมาเนิ่นนานทุกอย่างกลับถูกลืมเลือนลงจนไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไร

ทางด้านนาร่าห์...สาเหตุที่เธอรีบออกจากวังของเจ้าชายไฟซารห์ก็เพราะโทรไปหาพี่สาวแล้วอีกฝ่ายไม่ยอมรับ นางต้องการเล่าเรื่องของเจนนาห์ให้องค์รานีฟังเพราะคิดว่าอีกฝ่ายจะต้องเป็นชาวอัลคาซานแน่ๆ อาการโกรธเกรี้ยวของพี่สาวเมื่อเช้านั้นทำให้นาร่าห์คิดว่าน่าจะรีบรายงานเรื่องที่ชาวอัลคาซานมาพำนักอยู่ที่โอเอซิสใหญ่ให้ฟังเพราะอย่างน้อยเจ้าชายคาซาลก็อาจจะอยากเห็นว่าที่เจ้าสาวก่อนจะตอบตกลงในเงื่อนไขของพระบิดา ทว่าเมื่อถึงวังซาบัคองค์รานีฟารินาห์กลับเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำด้วยอาการวิงเวียนศีรษะและบอกปัดไม่อยากเจอใคร ส่วนอาลีซ่าก็ไม่อยู่แถวๆ นั้นเหมือนเคย นาร่าห์ถึงกับถอนหายใจที่อุตสาห์วิ่งโร่มาถึงนี่แต่ไม่มีใครใส่ใจจะฟังเลยทว่าตอนนั้นหญิงวัย 46 ก็นึกถึงเจ้าชายคาซาลจึงรีบเดินไปด้านซึ่งเป็นที่ประทับส่วนพระองค์แต่พอเดินไปถึงกลับเห็นอาลีซ่าเดินสวนออกมา ด้วยความดีใจจึงรีบเรียกและพูดอย่างลืมนึกสงสัยว่าทำไมอีกฝ่ายถึงมาอยู่ที่นี่เวลามืดค่ำ

“อาลีซ่า ดีแล้วที่เจอเธอ ฉันมีเรื่องด่วนพอดี ถ้าคืนนี้องค์รานีฟารินาห์ทรงเรียกให้เธอเข้าพบหรือพรุ่งนี้ก็ได้ ทันทีที่ทรงตื่นจากบรรทมเธอรีบบอกพี่สาวทีนะว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งเดินทางมาจากทะเลทรายแล้วก็บอกว่าพวกอัลคาซานอยู่ที่โอเอซิสใหญ่ แถมยังมีคนสำคัญของที่นั่นป่วยด้วย ฉันสงสัยว่าบางทีอาจจะเป็นท่านซาราน”

“เอ่อ คือว่า...” อาลีซ่ามีท่าทีตกใจไม่น้อยและหันไปทางเบื้องหลังแต่ไม่ทันจะพูดอะไรต่อ เจ้าชายคาซาลก็ปรากฏตัวออกมา และซักถามเรื่องที่น้าสาวพูดเมื่อครู่อีกครั้งโดยมีอาลีซ่าแอบชำเลืองมองอยู่อย่างขัดใจ





คืนนั้นที่โอเอซิสใหญ่

ท่านซารานไอแทบตลอดคืนถึงแม้ว่าบีดันจะจัดยาซึ่งทำให้หลับไปแล้วก็ตาม ชีคก้านาบีร่าซึ่งเป็นคนเฝ้าจึงต้องตื่นบ่อยครั้งแต่ด้วยความเป็นห่วงสามีเธอก็ยังดูแลเขาไม่ห่างจนกระทั่งรุ่งเช้าบีดันเดินเข้ามาเธอจึงหลับตาอยู่ที่เก้าอี้ด้านข้าง

“ชีคก้า”

“...บีดันเองหรอกเหรอ” คนถูกเรียกมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน เธอสะบัดศีรษะเล็กน้อยไล่ความง่วงงุนในขณะที่อีกฝ่ายถามขึ้น

“เป็นยังไงบ้าง เมื่อคืนได้ยินเสียงไอหลายครั้ง...ขนาดว่าฉันจัดยาที่ทำให้ร่างกายอยากพักผ่อนแล้วนะ ถ้าเป็นแบบนี้เราคงต้องเพิ่มตัวยาเข้าไป เมื่อคืนยาคงน้อยไป”

บีดันถือถาดใบหนึ่งอยู่เธอวางมันลงบนโต๊ะหยิบถ้วยยาขึ้นมาสองถ้วยพร้อมบอก “ชีคก้าก็ควรไปล้างหน้าล้างตาเปลี่ยนชุดได้แล้ว ฉันจะให้รีฮานไปตามทุกคนมาคุยเรื่องที่เราจะไปพบสุลต่านอัสตาฟาเช้านี้เลย”

“บีดันคิดจะบังคับส่งนีสรีนไปอภิเษกกับองค์รัชทายาทจริงๆ น่ะเหรอ” ชีคก้านาบีร่าถามน้องสาวของสามี อีกฝ่ายจึงพยักหน้าพร้อมถาม

“ชีคก้าน่ะไม่รู้อะไร ฉันบังคับอะไรกัน ไม่คิดบ้างเหรอว่าลึกๆ นีสรีนเองก็ไม่ได้รังเกียจการอภิเษกนักหรอก ไม่มีผู้หญิงคนไหนที่ไม่อยากเป็นรานีหรอกเพียงแต่เธออาจจะรู้สึกเสียหน้าที่ถูกส่งตัวไปแลกกับที่อยู่อาศัยของอัลคาซาน แต่ฉันจะเกลี้ยกล่อมหลานเอง หรือว่าเธอไม่อยากให้ลูกได้ตำแหน่งนี้”

“นีสรีนเป็นลูกของฉันทำไมฉันจะไม่อยากให้เธอได้เป็นรานี...แต่ดูเหมือนท่านชีคจะอยากให้เจนนาห์...”” ชีคก้านาบีร่าเป็นคนเรียบร้อยและเป็นคนไม่ชอบทะเลาะหรือขัดใจใคร เธอหันไปมองทางประตูซึ่งรีฮานยืนอยู่เล็กน้อย

“เจนนาห์ไม่สมควรได้ตำแหน่งนั้น!” บีดันแค่นเสียง “เด็กคนนั้นไม่มีทางยอมแต่งงานเพื่อชาวอัลคาซานหรอก ยิ่งถ้าเธอรู้ความจริง...แล้วก็...ตั้งแต่เมื่อวานฉันยังไม่เจอเธอเลย แต่ก็ดี เงียบหู สบายใจดี”

คนพูดพูดเน้นเสียงประชดก่อนหันไปสั่งรีฮาน “รีฮานรีบไปบอกทุกคนให้พร้อมกันที่กระโจมใหญ่ตอนบ่ายนี้ รวมทั้งนีสรีนกับเจนนาห์ด้วย แต่คนหลังถ้าไม่เจอก็ปล่อยไปเถอะไม่ต้องตามให้เสียเวลา ไปสิ! ฉันจะป้อนยาพี่ซารานแล้วมายืนจ้องแบบนั้นอยู่ได้”

“แต่ผมว่าตอนนี้เราอย่าเพิ่งป้อนยาท่านชีค แล้วรอให้ท่านฟื้นบ้างไม่ดีกว่าหรือครับ โดยเฉพาะยาที่ทำให้หลับทำแบบนี้มันเหมือนการกล่อมประสาทให้ท่านชีคหลับไปเรื่อยๆ มากกว่า” รีฮานพูดขึ้นพร้อมมองหน้าบีดัน อีกฝ่ายจึงตวาดแว้ดขึ้นมา

“เหลวไหล! นี่เจ้ากล้าเถียงฉันงั้นเหรอ ซารานเป็นพี่ของฉันนะแล้วเธอเป็นใคร อย่าคิดว่าการที่ท่านชีคให้เกียรติยกย่องจะทำให้เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาคัดค้านการรักษาของฉัน อยู่ใกล้ยัยเด็กนอกคอกนั่นจนโดนปั่นหัวไปหมดแล้วใช่ไหม”

“เจนนาห์ไม่เคยทำแบบนั้น” รีฮานขมวดคิ้วมุ่น ชีคก้านาบีร่าจึงขัดขึ้น

“พอเถอะรีฮาน อย่าพูดแบบนั้นเลย บีดันเป็นน้องสาวของท่านซาราน เธอย่อมทำทุกอย่างให้ท่านชีคหายดีอยู่แล้วล่ะ...ส่วนยานี่เดี๋ยวฉันจะเป็นคนป้อนท่านชีคเอง” ชีคก้านาบีร่าห้ามปรามคนสนิทของท่านซารานก่อนหันไปหาบีดัน “เธอก็ไม่ต้องห่วงหรอก ถ้ายังไงบีดันก็ออกไปเตรียมปรุงยาสำหรับมื้อต่อไปดีกว่า ตอนนี้ฉัน...ฉันคิดว่า...ฉันอยากจะอยู่ใกล้ๆ ท่านซารานจนกว่าจะถึงการประชุม อย่ามาทะเลาะกันเลยขอร้องล่ะ”

น้ำเสียงของชีคก้าส่อแววเครียดๆ เธอไม่อยากฟังใครทะเลาะกันทั้งนั้นเพราะเครียดเรื่องอาการป่วยของสามีมากพออยู่แล้ว

“งั้นเจ้าไม่ต้องไป ฉันจะให้คนอื่นไปตามและเริ่มประชุมทันที!”

บีดันพูดอย่างโมโหพร้อมจ้องรีฮานด้วยใบหน้าขมึงตึงเพราะถึงจะไม่พอใจแต่ก็ไม่อยากมีเรื่องกับอีกฝ่ายนักเนื่องจากชายหนุ่มคนนี้แม้จะเป็นเพียงคนที่ถูกซื้อตัวมาแต่ตลอดเวลาผู้ที่รีฮานสนิทสนมใกล้ชิดได้รับความไว้วางใจจากท่านซารานและชีคก้ามากจนเหมือนญาติคนหนึ่งทีเดียว

รีฮานฟังที่ชีคก้าพูดแล้วยังขมวดคิ้วด้วยความกังวล ชายวัย 30 เดินออกจากกระโจมมุ่งหน้าไปยังขอบเขตโอเอซิส ดวงตาสีเข้มมองดวงอาทิตย์ซึงเพิ่งจะโผล่พ้นขอบฟ้าแล้วนึกเป็นห่วงเจนนาห์ขึ้นมาซึ่งตอนนั้นเองที่เขาสังเกตเห็นม้าสีดำยืนเตร็ดเตร่อยู่ด้านหนึ่งของโอเอซิส



เมื่อบีดันเป็นผู้จัดการตามเองการประชุมจึงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วสมใจของเธอ บุคคลสำคัญของชาวอัลคาซานมารวมกันอยู่ที่กระโจมใหญ่ซึ่งเป็นของชีคซาราน บีดัน ชีคก้านาบีร่า นีสรีน ก็อยู่ด้วย ทุกคนมาหารือกันเรื่องที่สุลต่านอัสตาฟายื่นข้อเสนอมา และหลังจากที่คุยกันมาได้สักพักหนึ่ง บีดันก็สรุป

“นีสรีนเหมาะสมที่สุดแล้ว”

“แต่นีสรีนไม่ยินยอมไม่ใช่หรือไง” ผู้อาวุโสคนหนึ่งจึงค้านอย่างไม่เต็มเสียงนัก เธอเกรงบีดันแต่ก็ไม่อยากจะขัดแย้งกับลูกสาวคนโตของท่านชีค

“ก็ใช่...” นีรีสใช้สายตาคมๆ ตวัดมาทางผู้เฒ่าคนนั้นรู้สึกเสียหน้าไม่น้อยที่ต้องกลับคำแต่บีดันก็ออกหน้าแทน

“ถึงนีสรีนจะไม่อยากถูกส่งไปเหมือนเป็นตัวประกัน แต่ถ้าเพื่อชาวอัลคาซานเธอก็ต้องยอมทำอยู่แล้ว”

“ก็ดีเหมือนกันนะ” ผู้อาวุโสคนหนึ่งพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ฉันก็คิดเหมือนกันว่าการมีชาวอัสคาซานเป็นรานีของซาราเวียสักคน มันก็ย่อมดีกว่าจะส่งเด็กที่ไม่ใช่ชาวอัลคาซานโดยกำเนิดอย่าง...”

“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”

เสียงตวาดนั้นดังมาจากด้านหน้ากระโจมพร้อมปรากฏภาพของท่านซารานกำลังเดินเข้ามาโดยการพยุงของชายคนหนึ่งในเผ่า

“แค่กๆๆๆ พวกเจ้าคิดจะทำอะไรกัน แค่กๆ คิดว่าคำพูดของฉันไม่มีความหมายหรือไง”

เขาหยุดไอหลายครั้งแต่ดวงตาก็ยังมีแววเข้มแข็ง แม้จะมีความสลึมสลือเจือปนอยู่บ้างแต่ก็มีสติสัมปชัญญะมากกว่าหลายวันที่ผ่านมา บีดันเห็นเช่นนันก็นิ่วหน้าอย่างคาดไม่ถึง นางเหลือบไปมองชีคก้านาบีร่าเนื่องจากอีกฝ่ายเฝ้าสามีอยู่ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว

“ฉันคิดว่าท่านซารานไม่จำเป็นต้องดื่มยานอนหลับ ถึงเขาจะตื่นขึ้นมาไอแต่ฉันก็สามารถอดนอนและเฝ้าเขาได้” ชีคก้านาบีร่ายอมรับ พอรีฮานเล่าว่าเจนนาห์กำลังไปตามหมอจากในเมือง นางก็ตัดสินใจที่ป้อนแต่ยาที่ทำให้ชุ่มคอและไม่ยอมป้อนยานอนหลับให้สามีอีก ยาที่บีดันผสมให้พี่ชายกินนั้นมีผลให้อาการของท่านซารานดีขึ้นก็จริงแต่ยานอนหลับที่นางจัดก็ส่งผลให้เขาง่วงงุนไม่รู้สึกตัวตลอดเวลาเช่นกัน

“พี่ซาราน” บีดันพึมพำ “ถ้าอย่างนั้น...เราก็มาคุยกัน...พวกเราทุกคนคิดแบบนั้นจริงๆ อภิเษกกับองค์รัชทายาทก็หมายความว่าคุณหนูของอัลคาซานอาจจะได้เป็นรานีคนต่อไป นีสรีนเป็นลูกของชีคก้านะ ยังไงเธอก็เหมาะสมที่สุด”

“แค่กๆ เจนนาห์เองก็มีสิทธิ์ที่จะรับตำแหน่งรานีแห่งซาราเวียเพื่อชดเชยสิ่งที่เธอเสียไป แม่ของเจนนาห์...แค่กๆ”

“ผู้หญิงเพศยา ร้อยเล่ห์มารยา!”

“บีดัน! แค่กๆๆๆ” ท่านซารานตวาดพร้อมไอติดๆ กันหลายครั้ง ตัวของชายมีอายุงอลงอย่างเจ็บปวดเพราะการแค่นเสียงออกมานั้นทำให้ลำคอเจ็บแสบจนปวดลงไปถึงช่องท้อง ความเจ็บป่วยกอปรกับพึ่งฟื้นจึงทำให้ร่างสูงล้มลงทันที

“ท่านชีค”

หลายคนเรียกขึ้นอย่างตกใจในขณะเดียวกันนั้นรอบๆ โอเอซิสใหญ่ทะเลทรายสีทองก็เกิดความเปลี่ยน ฝุ่นสีทองกระจายคละคลุ้งไปในอากาศและเมื่อจางจึงปรากฏรถยนต์หลายคันข้างนอกกระโจม


***********************************************************



แพรพริมา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 12 มี.ค. 2557, 23:28:33 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 มี.ค. 2557, 23:28:33 น.

จำนวนการเข้าชม : 1380





<< 4   6 >>
Siang 13 มี.ค. 2557, 08:16:34 น.
จะรอสอยเป็นรูปเล่มนะคะ


แพรพริมา 13 มี.ค. 2557, 21:20:36 น.
ขอบคุณค่าน้องสาว


Zephyr 18 มี.ค. 2557, 16:49:37 น.
ฝุ่นนั่น เจนนาห์ใช่มะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account