ไฟรักทรายเสน่หา
'ทะเลทรายมักแอบซ่อนความรักและมนตร์ขลังเอาไว้เสมอ' ‘เจน’ สาวน้อยลูกครึ่งไทย-อาหรับ รับรู้มาตลอดว่าตนเองเป็นชาวทะเลทราย ทว่าวันหนึ่ง ‘ไฟซารห์’ เจ้าชายหนุ่มรูปงามกลับเข้ามาทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลง...หญิงสาวจะทำเช่นไรเมื่ออดีตถูกเปิดเผยและความรักก็เร่งเร้ารุนแรงจนเธอไม่อาจสั่งการหัวใจตนเองได้
Tags: ทะเลทราย ความรักหวานซึ้ง เข้มข้น

ตอน: 6

เจนนาห์ตื่นตั้งแต่เช้าและรีบเข้าไปอาบน้ำจนเรียบร้อย ร่างเพรียวใช้ผ้าขนหนูสีขาวพันรอบตัวไว้ สวมรองเท้าคู่สีขาวซึ่งใหญ่เทอะทะ ผมสีน้ำตาลพราวหยาดน้ำเพราะเพิ่งสระเสร็จ มือเรียวจึงใช้ผ้าผืนเล็กเช็ดมันก่อนที่จะยืนลังเลอยู่หน้าตู้เสื้อผ้าเพราะกำลังคิดว่าตนเองควรจะถามหาชุดเดิมของตนเพื่อจะได้ใส่กลับ แต่เพียงชั่วนาทีเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น

“คุณเจนนาห์คะ ฉันเอาเสื้อผ้าของคุณมาให้ค่ะ”

เสียงของคนรับใช้สาวนั้นทำให้หญิงสาวรู้สึกโล่งใจเพราะคิดว่าอีกฝ่ายคงนำชุดเมื่อวานมาให้แล้ว ร่างเพรียวจึงรีบเดินไปที่ประตูและหมุนลูกบิดเพื่อเปิด สิ่งที่คิดในครั้งแรกก็คือจะยื่นมือออกไปรับของแต่คนที่อยู่หน้าประตูกลับขยับเดินเข้ามาทันทีทำให้หญิงสาวต้องหลบไปอยู่ในซอกด้านหลัง ดวงตาสีน้ำตาลมองหญิงรับใช้ซึ่งกำลังวางเสื้อผ้าสีชมพูอ่อนลงบนเตียง

‘นั่นไม่ใช่ชุดของฉัน’

เกือบเท่าใจคิดปากสีชมพูจึงขยับจะทักท้วงทว่าไม่เร็วไปกว่าร่างสูงของใครอีกคนซึ่งเดินตามผ่านประตูเข้ามาและทำให้เจนนาห์ต้องแอบเข้าไปอีกอย่างตกใจ

“ออกไป”

เสียงทุ้มเรียบๆ นั้นไม่ใช่เสียงไล่ของเจนนาห์แต่เป็นเสียงที่เจ้าชายไฟซารห์ใช้สั่งหญิงรับใช้ ซึ่งนอกจากจะทำให้คนโดนสั่งถอยออกไปแล้วยังทำให้ร่างเพรียวในผ้าขนหนูผืนเดียวแอบหลบเข้าไปอยู่หลังซอกประตูจนมิดชิด เธอหวังใจว่าพอชายหนุ่มไม่เห็นใครก็คงเดินออกไปเอง ทว่าเมื่อหญิงรับใช้ผ่านประตูไปแล้วนางกลับเอื้อมมือจับลูกบิดและดึงมันปิด ปึก! เสียงนั้นทำให้เจ้าชายไฟซารห์หันกลับมามองเล็กน้อยและหันกลับมาอีกครั้งอย่างเต็มตัว ดวงเนตรสีไพลินวาววามจนคนยืนอยู่สะท้านไปทั้งร่าง

“ทำไมเธอถึง...ไปยืนอยู่ตรงนั้น”

ที่สุดราชนิกุลหนุ่มก็เปล่งเสียงออกมา ความรู้สึกตอนนี้ราวกลับถูกตรึงไว้กับร่างอรชร เอวคอดสะโพกกลมกลึง ใบหน้านวลผ่องผมสีน้ำตาลพราวน้ำยาวสลวยลงมาจนเกือบถึงเอว

ด้วยสายตาแบบนั้นเองคนถูกมองถึงร้อนผ่าวตั้งแต่หัวจรดเท้า ริมฝีปากสั่นขึ้นมาโดยไม่รู้สาเหตุ มือทั้งสองจับกันแน่นทีปมผ้าเช็ดตัว เท้าเรียวแนบชิด เกิดมายังไม่เคยอยู่ในสภาพนี้ต่อหน้าผู้ชายคนไหน และไม่เคยมีใครมองตนเองเช่นนี้มาก่อน ในใจจึงสั่งการว่าตัวเองควรตวาดให้เขาออกไปและรีบก้าวหนีไปที่อื่นซะ

“คุณไฟซารห์!...เข้ามา...เอ๊ย...ไม่ใช่สิ...อย่าเข้ามาต่างหาก”

มือเรียวยกขึ้นตีหน้าผากตัวเองเบาๆ เพราะเสียงสั่นๆ ที่ตนเองสั่งดันเปล่งออกไปอีกอย่าง นั่นยิ่งทำให้คนฟังดวงตาพราวและหยักมุมปากน้อยๆ รอยยิ้มแบบนี้นี่แหละที่เจนนาห์ไม่ชอบ เธอว่ามันดูเจ้าเล่ห์ เดาไม่ออก และพาให้ตนเองกระสับกระส่ายอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งพอร่างสูงเดินเข้ามาหา หญิงสาวก็หามุมเพื่อจะขยับตัวหนีแต่โชคไม่ดีนักที่เท้าเรียวสะดุดรองเท้าสีขาวที่สวมจนเกือบหน้าคะมำ

“ว๊าย!”

จึงเป็นอีกครั้งที่แขนแกร่งช่วยประคองร่างอรชรไว้ในสภาพที่เธอทำอะไรไม่ได้เลยเพราะมือทั้งสองมัวตะปบปมผ้าที่กำลังจะหลุดให้ยึดอยู่กับหน้าอกของตน

“ตายแล้ว”

“ยังสักหน่อย ตัวของเธอยังอุ่นอยู่แลย” เสียงทุ้มนั้นเปล่งเบาๆ ข้างๆ หู แขนแกร่งโอบรอบร่างเจนนาห์จากด้านหลัง ถึงมันจะไม่แน่นนักแต่ก็ใกล้ชิดเสียจนเจนนาห์คิดว่าเธออยากจะละลายหายกลายเป็นไอเสียให้รู้แล้วรู้รอด

“คุณไฟซารห์ ช่วยหยุด หยุดพูดแบบนี้ ทำไมคุณชอบทำให้ฉันล้มนะ” เสียงที่เปล่งนั้นออกแนวพาล ก็ใช่สิ! นี่เป็นหนที่เท่าไหร่แล้วที่เธอล้มต่อหน้าเขา

“ผมน่ะเหรอ” เจ้าชายไฟซารห์หัวเราะในลำคอ “ผมนึกว่าคุณชอบล้มเวลาเจอผมซะอีก”

“ว่าไงนะ นี่คุณหาว่าฉัน...” เจนนาห์หันกลับมาหาเขา ดวงตาสีน้ำตาลแววาวก่อนพูดเสียงดัง “หยุดเลย หยุดคิด หยุดพูด อย่ามองแบบนั้นนะ หลับตา...คุณหลับตาเดี๋ยวนี้เลย”

“หลับตางั้นเหรอ ได้สิ” ราชนิกุลหนุ่มบอก ดวงตาสีไพลินหลับลงแต่ลำแขนแกร่งกลับยังไม่ยอมปล่อย มือเรียวจึงกระแทกอกเขาดัง อึก!

“หลับตาแล้วก็ปล่อยด้วย”

“โอ๊ะ” อีกฝ่ายร้องอย่างไม่จริงจังนัก สีพระพักตร์มีรอยยิ้มจางๆ ในขณะที่อีกคนกระชับผ้าสีขาวและวิ่งไปคว้าชุดบนเตียงหนีเข้าห้องน้ำไปทันที พอได้ยินเสียงประตูปิดดวงเนตรสีไพลินก็ลืมขึ้น คิ้วเข้มกลับกลายเป็นครุ่นคิด ก่อนเลี่ยงไปที่หน้าต่างกระจกมองออกไปยังท้องฟ้าซึ่งแสงแดดส่องสว่างแล้ว



พอเจนนาห์สวมชุดสีชมพูผ้าคลุมผมลูกไม้สีเดียวกันซึ่งคนรับใช้นำมาให้และเดินออกมาจากห้องน้ำ เธอก็ไม่เห็นเจ้าชายไฟซารห์อยู่ที่เดิมแล้ว หญิงสาวจึงก้าวออกจากห้องในใจคิดแต่จะรีบพาหมอกลับไปรักษาอาการของบิดา และเมื่อเห็นหญิงรับใช้ยืนมองอยู่มาจึงถามขึ้น

“คุณไฟซารห์ล่ะ”

“รออยู่ที่รถค่ะ” คนรับใช้ก็ตอบทันทีเหมือนกันพร้อมเดินนำไปยังด้านหน้าบ้าน

รถขับเคลื่อน 4 ล้อในรูปแบบเก๋งสีน้ำตาลจอดรถอยู่ในลักษณะที่กำลังติดเครื่อง และเมื่อมีคนเปิดประตูให้เจนนาห์จึงรีบขึ้นไปนั่ง เธอมองบุรุษที่ประจำตำแหน่งคนขับเล็กน้อย วันนี้บุรุษหนุ่มอยู่ในเสื้อสีน้ำตาลและแว่นตาสีดำเขาไม่พูดอะไรสักคำนอกจากเหยียบคันเร่งบังคับให้รถคันนั้นจะแล่นไปเบื้องหน้า ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปพอสมควรหญิงสาวก็รู้สึกว่าตนเองไม่ได้ไปโรงพยาบาลอย่างที่คิดไว้

“เราต้องไปรับคุณหมอที่โรงพยาบาล...ใช่ไหมคะ”

“เปล่า” คำตอบสั้นๆ นั้นทำให้ดวงตาสีน้ำตาลเบิกโตขึ้นและหันขวับไปจ้องคนขับ

“แต่เราตกลงกันแล้วว่า เช้านี้คุณจะพาหมอไปรักษาพ่อของฉัน” พอเห็นอีกฝ่ายทำนิ่งเฉยไม่ตอบเจนนาห์ก็นึกฉุน “ถ้าไม่ใช่ก็จอดรถ ฉันจะลง”

“เราจะออกไปในทะเลทรายคาร์นัค หมอล่วงหน้าไปก่อนแล้วตังแต่ฟ้ายังไม่สว่าง ป่านนี้พ่อของเธอคงเจอกับหมอแล้วล่ะ” เจ้าชายไฟซารห์ตรัสเรียบๆ เมื่อคืนนี้มารดาของเขานำเรื่องที่ชาวอัลคาซานมาพักอยู่ที่โอเอซิสใหญ่ไปแจ้งแก่องค์สุลต่าน ชายาคลาร่าก็คงคิดเหมือนกับเขาว่าลักษณะของเจนนาห์ไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดา นางจึงไปเฝ้าสุลต่านอัสตาฟาที่วังซาบัคเมื่อคืนและทูลเรื่องนี้ก่อนจะโทรมาบอกลูกชายตั้งแต่เช้าว่าบิดาของเขาส่งคนล่วงหน้าไปแล้วตั้งแต่ยังไม่เช้า

“ทำไมหมอไม่รอไปพร้อมเรา” เจนนาห์ถามขึ้นอย่างสงสัย คนขับจึงเลี่ยงอย่างฉลาด

“ไม่ดีหรือไง ฉันนึกว่าเธออยากจะให้พ่อได้เจอหมอเร็วๆ ซะอีก”

เจอคำยอกย้อนแบบนั้นเจนนาห์จึงอดไม่ได้ที่จะกัดริมฝีปากมองอีกฝ่าย ความหมั่นไส้ที่เกิดขึ้นประปรายทำให้เธอนั่งเงียบและไม่พูดอะไรอีก

“เธอมาจากอัลคาซานใช่ไหม”

ตอนที่ทรงปริปากถามรถก็ขับออกสู่นอกเมืองแล้ว ทิวทัศน์สองข้างทางเป็นที่ดินรกร้างซึ่งมีคนสร้างบ้านอยู่ประปราย หรือบางช่วงก็เป็นชุมนุนที่มีตึกสองชั้นกลางเก่ากลางใหม่เป็นร้านกาแฟหรือขายของสลับกับบ้านเรือนของชาวซาราเวียซึ่งบังชุมชนแออัดด้านหลังคล้ายกับการใช้วอล์เปเปอร์สวยๆ ขึงปิดความสกปรกก็ไม่ปาน

“ใช่” เจนนาห์ตอบสั้นๆ

“แล้วพ่อของเธอ”

“พ่อของฉันชื่อซาราน”

“ท่านเป็นชีคแห่งอัลคาซาน” เจ้าชายไฟซารห์ขยายประโยคนั้นพร้อมทำเสียงในลำคอ “เธอเป็นลูกสาวของท่านชีค ทำไมไม่บอกคนอื่นๆ ตั้งแต่แรกล่ะ?”

“ก็ไม่มีใครถาม...คุณถามแต่ชื่อฉัน ซึ่งฉันก็บอกไปแล้วแต่คุณไม่ได้ถามอย่างอื่นนี่” เจนนาห์ตอบอย่างไม่คิดว่าแปลก

“การเป็นลูกท่านชีค หัวหน้าเผ่าอัลคาซานที่ยิ่งใหญ่ในทะเลทราย เธอว่ามันไม่น่าบอกคนอื่นหรือไง”เจ้าชายไฟซารห์มองอีกฝ่ายยิ้มๆ ผู้หญิงคนนี้ไม่เหมือนคนอื่นเลยจริงๆ

“สำหรับฉันก็คือไม่ ฉันเป็นชาวอัลคาซานและเป็นลูกของท่านชีคซาราน โอเค มันอาจจะน่าภูมิใจ แต่ทำไมฉันต้องป่าวประกาศบอกใครด้วย”

“ก็ถ้าบอกว่าเป็นลูกสาวท่านชีคอาจจะมีคนแย่งกันวิ่งเข้ามาช่วยเหลือเธอก็ได้” ตอนท้ายคนพูดเหยียดมุมปากน้อยๆ เจนนาห์จึงหันมาจ้องเขา

“รวมถึงคุณด้วยงั้นสิ”

“ไม่” เจ้าชายไฟซารห์ไหวไหล่ก่อนตรัส “ถ้าเป็นแบบนั้นฉันจะช่วยเธอตั้งแต่แรกทำไม”

“เจนก็เหมือนกัน เป็นใครไม่เห็นสำคัญ คนเราถ้าคิดจะช่วยกันไม่เห็นต้องคำนึงถึงเรื่องฐานะหรืออะไรพวกนั้นเลย” เจนนาห์มีสีหน้าดีขึ้น อย่างน้อยก็รู้สึกดีใจว่าคนที่นั่งข้างๆ ตนเองนี้ไม่ใช่คนที่คบกับใครที่ฐานะ หญิงสาวผ่อนลมหายใจเบาๆ อย่างสบายใจขึ้น

“งั้น...ขอถามอะไรหน่อยสิ” เจ้าชายหนุ่มตรัสขึ้นด้วยเสียงเรียบๆ

“คำถาม?” เจนนาห์หันกลับมามองคนขับอีกครั้งอย่างรอฟัง อีกฝ่ายจึงพูดขึ้นทั้งๆ ที่ยังมองตรงไปบนถนน ใบหน้าคมยังประดับด้วยแว่นสีดำหรูเช่นเดิม พระองค์มีคำถามเกี่ยวกับชาวอัลคาซาน...เรื่องเมื่อเกือบยี่สิบปีที่แล้วยังค้างคาอยู่ในพระราชหฤทัยแม้ว่าตอนนั้นจะมีพระชนมายุประมาณ 8-9 ขวบก็ตาม แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็ยังติดตรึงอยู่ในใจ

“คุณจะถามอะไร”

เสียงของเจนนาห์ทำให้ชายหนุ่มออกจากภวังค์เขาเงียบไปพักใหญ่เหมือนกำลังนึกว่าควรถามอะไ และก็ถามขึ้นจนได้ “เธอเป็นลูกสาวคนเดียวเหรอ”

“ไม่ใช่ ฉันมีพี่สาวหลายคน”

“อย่างนั้นเหรอ...”

เสียงทุ้มเปรยขึ้นเหมือนไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่ทว่าพลันนั้นหญิงสาวก็ต้องตกใจเมื่อรถหยุดอย่างกะทันหันเพราะมีเด็กหญิงและชายในชุดมอซอกำลังเดินข้ามถนนมาพอดี ทรงเหยียบเบรกอย่างเร็วและดีที่พระองค์และหญิงสาวคาดเข็มขัดนิรภัยไว้จึงไม่เป็นอะไรมาก

พอตั้งสติได้เจนนาห์ก็รีบปลอดเซฟตี้เบลล์และวิ่งลงจากรถไปเพราะเห็นว่าเด็กหญิงวัยประมาณ 7 ขวบหน้ารถนั้นล้มลงที่พี้นอีกทั้งกำลังร้องไห้อย่างเสียขวัญ เด็กผู้ชายซึ่งมีอายุประมาณ 10 ขวบจึงช่วยพยุงลุกขึ้น

“เป็นไงบ้าง” เจนนาห์รีบถามอย่างเป็นห่วง เด็กผู้ชายจึงเงยหน้ามองเธอด้วยสายตาโกรธๆ

“พวกคุณทำเธอเจ็บ!”

ชั่ววินาทีนั้นหญิงสาวก็ชะงักทันที ความจำสมัยเด็กนั้นเลือนรางแต่ความรู้สึกในใจนั้นเหมือนกับเคยเจอเรื่องราวแบบนี้มาก่อน

“หนุ่มน้อย” เจ้าชายไฟซารห์เรียกเจ้าหนูวัย 10 ขวบก่อนมองไปทางเจนนาห์ “เธอไม่รู้เรื่องหรอก ฉันเองที่ขับรถไม่ดี ไหนดูสิเจ็บมากหรือเปล่า”

“ไม่ต้องมาแตะต้องเธอนะ” เด็กชายคนนั้นดุเจ้าชายไฟซารห์ คนโดนดุจึงเลิกคิ้วอย่างเหลือเชื่อ ดวงตาสีไพลินมองมายังเจนนาห์ที่ยังจ้องเด็กทั้งสองเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ พร้อมยกมือขึ้นในลักษณะยอมแพ้

“โอเค ยอมแพ้แล้วแต่ตกลงว่าไม่เป็นไรใช่ไหม”

เด็กชายวัย 10 ขวบก้มลงไปมองเด็กหญิงอย่างห่วงใย เขาปัดเสื้อผ้าของเธอให้หายเปรอะแม้เนื้อผ้าของมันจะไม่ใช่ใหม่เอี่ยมแล้วก็ตาม หลังจากนั้นก็หันมาส่ายหน้าบอกผู้ใหญ่ว่าไม่เป็นไรพร้อมจูงเด็กหญิงไปอีกด้านของถนน เจ้าชายไฟซารห์เห็นแบบนั้นก็วิ่งกลับไปยังด้านคนขับและหยิบอะไรบางอย่างออกมาก่อนวิ่งตามเด็กสองคนนั้นไป ทรงหย่อนเงินจำนวนหนึ่งใส่กระเป๋าเด็กน้อยและพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาสีไพลินมองไปยังเบื้องหลังของตึกสูงที่ตั้งอยู่ริมถนนก่อนเดินกลับมหาเจนนาห์ซึ่งยังยืนอยู่ที่เดิม

“เจนนาห์...เจนนาห์”

“คะ” เมื่อถูกเรียกหญิงสาวก็ออกจากภวังค์ คนเรียกเลยนึกขำ

“ตกลงว่าตกใจที่โดนเด็กตวาดหรือว่าช๊อคกันแน่”

“ไม่...ไม่ใช่นะ” เจนนาห์ค้อนเขาขวับ เธอแปลกใจตนเองเหลือเกินที่จู่ๆ ก็รู้สึกแบบนั้นขึ้นมา มันเป็นความคุ้นเคยเหมือนตนผ่านเหตุการณ์แบบนั้นมาก่อนแต่นึกยังไงก็นึกไม่ออก หรือว่าเธอจะเคยฝันถึงเรื่องแบบนี้

“ขึ้นรถเถอะ”

เธอได้ยินเสียงของเจ้าชายไฟซารห์และก็ปฏิบัติตามที่เขาสั่งอย่างเลื่อนลอยเนื่องจากยังพยายามนึกถึงเรื่องเมื่อครั้งเด็กๆ

“ตอนที่เราเด็กๆ...”

คนเดียวที่เจนนาห์สนิทสนมด้วยก็มีรีฮาน และพอคิดแบบนั้นสมองของหญิงสาวก็แว่บไปถึงเสียงหวานๆ ของแม่ที่เคยได้ยินเมื่อยังเยาว์ บทเพลงภาษาไทยอะไรสักอย่างที่เธอเองก็จำไม่ได้เหมือนกัน

ภาพดวงตาสีน้ำตาลที่วิบวับและหรี่ลงเป็นบางครั้ง ริมฝีปากสีชมพูอิ่มที่ชิดติดกัน นิ้วเรียวยกขึ้นแตะริมฝีปากและเม้มลงในบางครั้ง ทำให้คนขับหยักมุมปากน้อยๆ เพราะเธอตั้งใจทำมันเสียจนไม่ได้สังเกตสักนิดว่าบุรุษหนุ่มหยิบโทรศัพท์ขึ้นแนบหูและตอบรับเบาๆ ก่อนเก็บมันลงกระเป๋าเหมือนเดิม กระทั่งเขาจอดรถลงที่โอเอซิสร้างห่างจากชายแดนไปไม่เท่าไหร่

“เอ๊ะ จอดรถทำไมคะ” เจนนาห์ร้องเบาๆ เธอมองภาพโอเอซิสเปลี่ยวร้างและหันมามองหน้าคนขับอย่างไม่เข้าใจ

“เพราะฉันไม่ใช่ชาวอัลคาซาน ฉันไม่รู้ว่าโอเอซิสใหญ่ไปทางไหน และที่เดียวที่ฉันรู้จักในทะเลทรายก็คือที่นี่ อยากพักหน่อยไหม” เอ่ยจบคนพูดก็ดับเครื่องและเปิดประตูรถเดินลงไปทันที เจนนาห์จึงก้าวตามและท้วง

“แต่ฉันรู้...ฉันไม่อยากพัก ฉันอยากกลับเร็วๆ ฉันเป็นห่วงพ่อจะแย่แล้ว”

“พ่อของเธอได้เจอหมอแล้วล่ะ พวกเขาสวนกับเราเข้าไปในซาบัคแล้ว ไม่ต้องห่วงหรอกน่า รับรองว่านั่นคือหมอที่ดีที่สุดในซาราเวีย พ่อของคุณไม่เป็นหรอก”

“หมายความว่ามีคนพาพ่อไปโรงพยาบาลแล้วงั้นเหรอคะ ถ้าท่านไม่เป็นอะไรมากทำไมต้องไปโรงพยาบาลด้วยล่ะ” เจนนาห์วิ่งตามร่างสูงก่อนต่อว่าเขา

“ก็ตรวจให้แน่ใจยังไงล่ะ เอ็กซเรย์อย่างละเอียด อย่าลืมสิว่าพ่อของเธอคือท่านซารานพระสหายของสุลต่านอัสตาฟา” เจ้าชายไฟซารห์ยังเดินนำไปเรื่อยๆ และคนที่เดินตามก็ลืมคิดไปสนิทว่าตนเองอยู่ที่ไหนจนกระทั่งยืนอยู่เบื้องหน้ารูปปั้น ‘เทพีแห่งแสงจันทร์’

“สวยใช่ไหม”

เจ้าชายไฟซารห์ถามและมองหญิงสาวซึ่งยืนชะงักเงยหน้าขึ้นก่อนถอยห่างเธอเล็กน้อย “ที่ฉันแวะมาที่นี่ก่อน ก็เพราะคิดว่าเธอคล้ายรูปปั้นนี้”

เจนนาห์หันขวับมาหาคนพูดทันที ลักษณะนั้นทำให้หญิงสาวยืนหน้ารูปปั้นและหันมาในทางเดียวกัน เธอมองบุรุษหนุ่มด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม



************************************************************





แพรพริมา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 มี.ค. 2557, 12:01:26 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 มี.ค. 2557, 12:09:06 น.

จำนวนการเข้าชม : 1362





<< 5   7 >>
แว่นใส 16 มี.ค. 2557, 17:35:56 น.
เคยเจอกันแน่เลย


Zephyr 18 มี.ค. 2557, 17:48:54 น.
เจนเคยวิ่งตัดหน้ารถเจ้าชายเหรอ
รึ เจ้าชายเคยขับรถเฉี่ยวเจน


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account