ในเงาฝันปลายตะวัน
พรนับพัน ชีวิตของเธอจะมีตาอยู่ในทุกๆ ที่ แม้กระทั่งวันที่ตาจากไป หลายๆ สิ่งที่เธอทำก็ยังอยู่ในเงาของ 'ตะวัน' ผู้เป็นตาไม่เคยเปลี่ยน

และเพราะนิสัยที่เอาแต่ใจ โมโหร้าย ไม่สนใครหน้าไหนของพรนับพัน ชีวิตวันๆ หนึ่งเดินออกไปไหนไม่ได้ไกล หากมีเรื่องเข้ามาหาเจ้าหล่อนพร้อมพุ่งชน และนั่นเองทำให้รอบข้างกังวลและอยากจับเธอเปลี่ยนแปลง

ทิวากร ไม่รู้ว่าเขาโชคดี หรือโชคร้ายที่ได้รับหน้าที่จัดการเปลี่ยนมนุษย์ถ้ำ ให้ออกสู่สังคมได้อย่างปกติ แต่ดูเหมือนว่าคนที่ใครมองว่าโชคร้าย กลับเต็มใจรับสภาพ อ้าแขนรับมนุษย์ถ้ำคนนี้ซะด้วย
Tags: มนุษย์ถ้ำ โรแมนติก อมยิ้ม

ตอน: บทที่ 10 : กระเพาะปลาและจีโฉ่ว

บทที่ 10

พรนับพันจัดการธุระตอนเช้าด้วยการไปหาเอื้องกมล พิธีกรสาวเจ้าเนื้อที่เป็นกระบอกเสียงให้เธอเมื่อคืน โชคดีที่ได้พบกันก่อนเจ้าหล่อนจะออกไปทำงาน ได้นัดแนะสิ่งสำคัญไว้ก่อน ซึ่งตรงกับความต้องการของเธอ เอื้องกมลบอกจะเป็นธุระจัดการให้ พรนับพันจึงวางใจ และยิ่งได้รับสายตาชื่นชมกลับมาหลังเสร็จธุระ

“ทนคิดถึงผมไม่ไหวเหรอครับ แค่วันเดียวเองแท้ๆ”

น้ำเสียงกวนหู มาพร้อมร่างสูง เจ้าของผิวขาวจั๊วะหน้าตาดีนั่งลงตรงข้ามเธอ พรนับพันนั่งแกร่วอยู่บริเวณล็อบบี้คอนโดหลังจากที่เอื้องกมลไปได้ประมาณครึ่งชั่วโมง แอบนึกค่อนขอดผู้ชายตรงหน้าที่ลงมาช้าให้เธอคิดถึงพร่ำเพรื่ออยู่ได้

“เปล่ามาทำธุระ เรื่องคิดถึงน่ะเลิกคิดไปได้เลย” คนปากแข็งไม่สนว่าจะทำให้คนฟังแววตาคาดโทษเธอไว้แค่ไหน

“ธุระอะไรล่ะครับ”

“เรื่องแฟนเก่าคุณไง”

หน้าที่ยียวนกวนประสาทขรึมขึ้น ความหนักใจมาทางน้ำเสียง “ผมกำลังรวบรวมหลักฐาน พยาน แล้วก็วานเพื่อนตำรวจตามคดีให้อยู่”

“ฉันจะช่วยคุณเอง ถึงจะไม่ค่อยชอบหน้าแฟนเก่าคุณนักก็เถอะ”

“คุณหึงผมเหรอ” น้ำเสียงรู้ทันเรียกค้อนวงงามไปได้

“ฉันชอบคนในโลกนี้นับคนได้หรอก” สะบัดหน้าหนี เมื่ออีกฝ่ายยังยิ้มรู้ทัน “ฉันชอบช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยากหรอก” พรนับพันยกคำตอบของทิวากรในอดีตมาตอบบ้าง

ทิวากรหัวเราะเสียงสดใส หลังจากข่าวร้ายๆ ผ่านไป เวลานี้เขาก็ยังมีพรนับพันเคียงข้าง “ว่าแต่วันนี้คุณอยากให้ผมพาไปไหน คงไม่ได้มาแค่เพราะคิดถึงหรอกจริงไหม”

พรนับพันแยกเขี้ยวหมั่นไส้ แสร้งหยิบน้ำส้มขึ้นมาจิบแก้เก้อ ก่อนจะตอบด้วยเสียงอันดังฟังชัด สายตาลอบสังเกตสีหน้าท่าทางคนฟังอย่างจับผิด

“ไปห้องเสื้อรุ่งรวิกานต์ค่ะ”

ทิวากรพยักหน้ารับง่ายๆ ซ้ำยังฉุดเธอไปด้วยตัวเอง

“ดีเหมือนกัน ผมไม่ได้เจอน้องรุ่งมาหลายเดือนแล้ว”

ผัวะ พรนับพันไม่เคยคิดเลยว่ากล้ามแขนที่ถูกอำพรางในเสื้อยืดนั้นจะมีแรงสะท้อนกลับมือเธอจนเจ็บ คนจูงเธอนอกจากทำหน้าสะใจ ยังหัวเราะอารมณ์ดีได้น่าหมั่นไส้มากที่สุด

น้องรุ่งอย่างนั้นเหรอ กับเธอเรียกแต่คุณพราวด์ คุณพราวด์ เหอะ งานนี้น้องรุ่งเจอเธอจะรุ่งไม่ออก


ห้องเสื้อรุ่งรวิกานต์ตามที่หนึ่งดาราส่งข้อมูลมาให้นั้นเป็นห้องเสื้อใหญ่ที่เปิดมาห้าปี แต่แบรนด์ดังนี้โลดแล่นอยู่ในสังคมชั้นสูงของเมืองไทยได้ไม่ยาก ทุกปีจะมีการจัดงานแฟชั่นโชว์แสงดฝีมือ พรนับพันนึกทึ่งกับความสามารถของผู้หญิงอายุยี่สิบเจ็ดย่างยี่สิบแปดกับการดูแลห้องเสื้อในอาคารสองชั้นขนาดสามคูหา ข้างล่างเป็นห้องกระจกตั้งหุ่นสีขาว หุ่นดำ สวมชุดแปลกตา อย่างชุดหนึ่งที่เธอมองเห็นสะดุดตั้งแต่รถจอดหน้าร้าน ก็คือชุดในหุ่นสีดำ ตัวชุดเป็นขนนกสีแดงเพลิง เกาะอก ลากยาวมาถึงช่วงเอว ก่อนจะเล่นเฉดสีขนนกเป็นสีเขียว เหลือง ฟ้า เป็นระดับลงมายาวระพื้น

ส่วนชุดเจ้าสาวก็ออกแบบได้ไม่มีใครเหมือน อย่างชุดเจ้าสาวกระโปรงสั้น พองฟูเป็นชั้นวนเป็นก้นหอย แขนกุด บนศีรษะมีวัตถุประหลาดคล้ายรังนกปลอมประดับหัว พรนับพันหลุดขำ เธอคงเข้าใจผิดว่านี่คือชุดแต่งงาน

พนักงานในชุดยูนิฟฟอร์มเสื้อเชิ้ตขาว ทับสูทดำแขนสั้นสวมกางเกงผ้าลายสก็อต ปลายขาริ้วเป็นแฉก เปิดประตูต้อนรับแขกทั้งสอง พรนับพันเผลอจ้องการแต่งตัวของพนักงานด้วยความแปลกใจ โดยเฉพาะกางเกง อ้าปากค้าง ลืมเก็บอาการ

“น้องรุ่งนี่เก่งนะ ทำคุณตะลึงได้”

พรนับพันได้สติ กระแอมนิดหนึ่ง อดกระทุ้งศอกใส่เอวคนช่างพูดไม่ได้ แต่สายตาก็ยังมองรอบๆ ร้านที่มีชุดแปลกตา เป็นเอกลักษณ์ไม่มีใครเหมือนดี แม้ใจจริงจะไม่ได้อยากชื่นชม

“พี่ทิว” หญิงสาวผมซอยสั้น หน้าแต่งจัดจ้าน แม้แต่อายชาโดว์ที่ใช้ยังเป็นสีเขียวสว่าง ชุดที่สวมคงความมีสไตล์ของเจ้าของห้องเสื้อดัง เสื้อผ้าชีฟองแขนยาวสีขาว ถูกตัดเป็นวงกลมขนาดเท่าไข่บริเวณหัวไหล่สองข้าง กับเอี๊ยมยีนส์สีเขียว แย้มยิ้มยินดีกับการพบทิวากร ก่อนหันมายิ้มเผื่อแผ่ให้ผู้หญิงข้างกายทิวากรด้วย “สวาดีค่ะคุณพราวด์” เห็นสีหน้าประหลาดใจของพรนับพัน รุ่งรวิกานต์รีบออกตัว “เห็นคุณทำคุณลุงคุณป้าพูดถึงไม่หยุด เลยจำได้ค่ะ”

“ท่าทางจะพูดถึงแต่เรื่องไม่ดีใช่ไหมคะ”

รุ่งรวิกานต์มองหน้าแหยจึงรีบเอ่ยปลอบ “คุณพราวด์ไม่เห็นเหมือนที่คุณลุงคุณป้าว่าไว้เลยค่ะ รุ่งคิดอยู่แล้วว่าพี่ทิวต้องเลือกคนไม่ผิด”

ท่าทางเป็นมิตร บวกกับความแปลกที่โดนใจทำให้อคติในใจของพรนับพันลดฮวบฮาบ ยิ้มรับกลับไป รู้สึกแก้มร้อนกับคำชมของอีกฝ่าย

“หยุดหว่านเสน่ห์ใส่คุณพราวด์ได้แล้วน้องรุ่ง”

รุ่งรวิกานต์หัวเราะ “ก็บอกแล้วว่าไม่ใช่ทอม นี่พี่ทิวไม่เชื่อกันเลยใช่ไหม”

“หาแฟนสิ จะได้เชื่อ”

“นั่นไงแฟนรุ่ง” รุ่งรวิกานต์ชี้มือไปยังหุ่นหลายตัวในห้อง “เลือกมาให้รุ่งสักตัวสิ”

บทสนทนาที่ดูเหมือนพี่น้องคุยกัน และเธอไม่เห็นประกายตาแปลกในดวงตาของรุ่งรวิกานต์ ไฟร้อนๆ ในใจจึงดับลง เหลือเพียงแค่รอเวลาให้หุ้นส่วนร้านนี้ปรากฏตัว คุณนายจรัสศรี

“คุณพราวด์คะ อย่าลืมให้รุ่งตัดชุดแต่งงานให้นะคะ ตัดให้ฟรีไม่คิดเงิน” คนใจป้ำที่ไม่เคยตัดชุดราคาต่ำกว่าหลักหมื่น และมากสุดเฉียดหลักล้านออกตัวสุดฤทธิ์

พรนับพันยิ้มเนือย นึกเสียดายที่เธอออกกฎตอนจดทะเบียนว่าไม่จัดงาน รู้อย่างนี้...

“วัดไซ้ส์เผื่อไว้ก่อนก็ได้นี่นา”

รุ่งรวิกานต์พูดเสร็จก็ลากตัวพรนับพันไปวัดขนาดตัว โดยไม่สนใจคำคัดค้านอ้อมแอ้มไม่เต็มปาก ปล่อยให้ทิวากรมองตามอย่างคิดหนัก ตัวเขายังมีบาปติดตัว หากพรนับพันรู้เรื่องจดทะเบียนสมรสปลอมล่ะก็ เขาคงไม่ได้ฝันถึงงานแต่งงานแน่


พรนับพันแม้จะยินดีที่รุ่งรวิกานต์ออกปากว่าจะตัดชุดรองานแต่งงานของเธอ แต่ในใจกลับรู้สึกหวิวแปลกๆ เธอไม่รู้ว่ามันจะมีวันนั้นไหม ในเมื่อระยะเวลาที่ผ่านมา ระหว่างเธอกับทิวากรเป็นอะไรกันนั้น เธอเองก็ให้คำจำกัดความไม่ถูก ผูกพันกัน เคียงข้างกัน แต่ไม่เคยพูดถึงเรื่องความรู้สึกจริงๆ กันสักครั้ง

คนจมอยู่กับความคิดของตัวเองขณะที่สายตาเหม่อมองชุดแต่งงาน ขมวดคิ้วมองเงาที่สะท้อนอยู่ในเงากระจก ภาพผู้หญิงเจ้าเนื้อ มาวันนี้สวมเสื้อที่ไหล่เป็นปีกสูงสีเหลืองจัด ปากแดงเม้มแน่น มองเธออย่างกรุ่นโกรธกันมาสักชาติหนึ่ง

พรนับพันยิ้มเยาะกับตัวเอง ก่อนจะหมุนตัวมายิ้มแต้ใส่คนที่เธอมาดักรอที่นี่ในวันนี้ ตามที่หนึ่งดาราให้ข้อมูลมา

‘คุณจรัสศรีจะมาห้องเสื้อทุกวันจันทร์ พุธ ศุกร์’

“สวัสดีค่ะ คุณแม่” ยกมือสวัสดีอย่างอ่อนน้อม แต่น้ำเสียงออกจะยั่วโมโหโทโสด้วยการเน้นย้ำสรรพนามที่คนฟังไม่ยินดีปรีดา

“ฉันไม่ได้รับหล่อนเป็นลูก”

“พราวด์ก็มีพ่อแม่แค่ท่านล่ะคนแหละค่ะ” จงใจเดินเข้าไปใกล้ ลอยหน้าลอยตาตอบ “แต่ในฐานะลูกสะใภ้ ก็ต้องมีแม่สามีอีกคนจริงไหมคะ คุณแม่ไม่รู้จักสำนวนหนึ่งเหรอคะ เลิฟมีเลิฟมายด็อก”

ยิ่งพูดหน้าขาวผ่องมีรอยเหี่ยวย่นเพียงนิดบิดเบี้ยวอย่างเจ็บปวดเหลือแสน มือกำแน่น เตรียมกรีดร้องอย่างเหลืออด แต่ทิวากรมาห้ามทัพไว้ก่อน คนเป็นลูกรีบพยุงแม่ไว้ ไม่วายส่งสายตาดุใส่คนช่างแกล้ง

“ถ้าลูกไม่เลิก แม่จะตายให้ดู แม่รับผู้หญิงแบบนี้ไม่ได้ มารยาทหญิงไทยรึก็ไม่มี ปากคอแทบจะกินหัวหงอกอย่างฉัน หน้าตาบ้านๆ แบบนี้ไม่เหมาะอะไรกับลูกทิวของแม่เลยนะลูก” หันไปฟ้องลูกชาย พลางทำท่าน้ำตาซึมเรียกร้องความเห็นใจ

คนถูกพูดถึงแต่เรื่องดีๆ กลอกตาหน่าย ดีเท่าไหร่แล้วที่ไม่ถอนหายใจให้ตัวเองโดนว่าเพิ่มอีก “คุณทิวกับพราวด์เราอยู่ด้วยกันแล้วค่ะ”

“เธอโกหกฉัน”

พรนับพันยิ้มเป็นต่อไม่นำพากับสายตาของทิวากรที่สั่งให้เธอหยุดพูด “ราวครึ่งเดือนได้ค่ะ อยู่ที่นั่นสบายมาก คุณทิวทำอาหารให้ทาน ดูหนังด้วยกัน แล้วก็...” เว้นวรรคให้คนฟังคิดต่อ

ดูเหมือนความคิดไปเองจะได้ผล เพราะคุณนายนั้นหน้าแดงก่ำ แข้งขาอ่อน เรียกหายาดมจ้าละหวั่น

“คิดอะไรไปไกลคะ ก็แค่พูดคุยกันเฉยๆ คนอย่างฉันกุลสตรีอาจไม่ค่อยมี แต่เรื่องอย่างว่า ฉันไม่ทำให้เสื่อมเสียกับตัวเองหรอกค่ะ เกิดไปกันไม่รอดจริง ฉันก็ยังไม่มีอะไรเสียหาย”

“เห็นไหมลูก ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้จริงจังกับลูก”

ความคิดของสตรีกลางคนอันยึดมั่นในความคิดของตัวเองทำให้พรนับพันอ่อนใจ เธอเองก็ไม่ใช่คนทน จะให้มาดิ้นๆ ชี้โบ๊ชี้เบ๊บอกทิวากรว่าเธอไม่ปลื้มแม่เขาก็คงทำไม่ได้ เธอเกรงใจ

พรนับพันขมวดคิ้ว นึกพิจารณาตัวเองอย่างตกใจ คนอย่างเธอนี่นะมีความเกรงใจ...

“เห็นแก่ผมอย่าทะเลาะกันได้ไหมครับ ผมขอล่ะ” ทิวากรส่งสายตาอ้อนวอนให้ผู้เป็นแม่ และเธอสลับไปมา คนกลางแบบกลืนไม่เข้าคายไม่ออกทำให้เธอยอมลดความแรงลงบ้าง นิดหนึ่ง

“ขอโทษนะคะคุณแม่” อดไม่ได้ที่จะส่งยิ้มยั่วโมโหให้กลับคนที่เธอกล่าวขอโทษ

จรัสศรีเมิน ทำเสียงฮึดฮัด “กว่าแม่จะได้เจอลูกก็ยากเย็น แต่ต้องมาเสียบรรยากาศเพราะใครบางคนแถวนี้ มันใช่ที่หรือเปล่าฮึ ให้เป็นพ่อเราก่อนเถอะ ขี้คร้านจะอ้อนวอนกราบกรานเลิกรา หาทางกลับบ้านไม่เจอ”

“แม่ครับ ผมขอล่ะนะ”

“วันนี้พวกเราไปทานข้าวกันสักมื้อดีกว่านะคะ เป็นการสมานไมตรี” รุ่งรวิกานต์กลั้วหัวเราะ พยายามทำให้บรรยากาศมาคุสงบด้วยรอยยิ้ม แต่คนที่เป็นอริกันแต่เริ่มกลับยังไม่มีใครยอมถอนสายตาหลีกหนี จ้องกันจนแทบจะเผาห้องเสื้อนี้ได้

“แม่ไม่ไปหรอก”

“กลัวอะไรหรือเปล่าน้า ถึงไม่ไป”

เพียงแค่ถูกท้า คุณแม่ผู้ไม่ยอมใครถึงกับเต้นพล่าน ประกาศกร้าว “ดำรงไปจองเหลาเลย”

พรนับพันยิ้มกริ่ม ชะโงกหน้ามองหน้าคนที่ชื่อดำรง เป็นลุงอายุไม่น้อย สวมเสื้อสีดำกางเกงสีเดียวกัน หน้ากลมๆ คิ้วตกแบบนั้นดูคุ้นตา คล้ายกับ...

“ไปกันเถอะ” พรนับพันเลิกคิด เธอถูกทิวากรแตะศอกให้เดินไปด้วยกัน ไม่วายมีอาการลอบถอนใจให้เธอเห็น

คงจะโล่งใจเรื่องเธอกับแม่เขายุติสงครามกันชั่วคราว

“ขอโทษนะที่ทำให้คุณลำบากใจ ฉันเองก็ทนเป็นฝ่ายตั้งรับอย่างเดียวไม่ไหว”

“ไปทานข้าวเถอะนะ ผมขอแค่...”

“ใจเย็นกว่านี้” พรนับพันพยักหน้ารับแกนๆ “ฉันรู้ คุณเองก็อย่าลืมย้ำแม่คุณด้วยล่ะ”

ทิวากรพรูลมหายใจอย่างอึดอัด นอกจากเรื่องของแม่กับพรนับพันจะทำให้เขาคิดมากขึ้น ยังมีเรื่องความลับอีก ขืนพรนับพันได้พบกับดำรง เลขาของแม่ที่เขายืมตัวมาใช้ปลอมแปลงเอกสาร จัดฉากจดทะเบียนตอนนั้น เรื่องคงแดงขึ้นมา


เข้ามานั่งในภัตตาคารใจกลางกรุงไม่ทันเก้าอี้ร้อน เมนูอาหารยังไม่ทันได้จด พรนับพันก็ตกตะลึงกับกระเพาะปลาที่ถูกเทราดใส่ศีรษะของเธอทั้งชาม เท่านั้นไม่พอ ยังตบท้ายด้วยน้ำส้ม ด่าสาดเสียเทเสียสารพัด

“แกมันแย่ อย่ามายุ่งกับพี่ทิวนะ หน้าอย่างเธอเหมาะกับกระเพาะปลานี้ที่สุด”

พรนับพันรู้สึกแสบแผลบนหน้าผากกับการมีของร้อนๆ ราดลงมาบนหัว กลิ่นจีโฉ่วเหม็นหึ่ง เธอไม่เวลามานั่งอาย หรือถูกสายตาตระหนกตาใจของชาวบ้านชาวช่องมองมาลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว มือคว้าข้อมือคนกระทำการอุกอาจ

“เธอเป็นใคร เอาบัตรประชาชนมาซิ ฉันอยากรู้จัก” ผู้หญิงผมหยิกยาว หน้าแหลม จมูกแฟบ สวมชุดสายเดี่ยวสีดำ ทำตาหลุกหลิก พยายามบิดมือออก

“ฉันไม่ให้”

“น้อง” พนักงานในร้านที่บังเอิญเข้ามาเสิร์ฟอาหารถูกเรียกเสียงดัง พรนับพันยังเชิดหน้าอยู่ได้แม้บนหัวจะประกอบไปด้วยอาหารหลากชนิด เธอสั่งเสียงกร้าว “ค้นบัตรของผู้หญิงคนนี้ ฉันเป็นผู้เสียหาย ต้องการรู้ประวัติคนหาเรื่อง”

รุ่งรวิกานต์ออกมายืนข้างเธอ หยิบโทรศัพท์มากดถ่ายภาพมือกระเพาะปลาหลายช็อต โดยไม่ให้ติดพรนับพัน “ได้รูปมาประจานแบบนี้ ลงเน็ตแปบเดียวก็รู้แล้วค่ะ เดี๋ยวก็มีคนมาบอกประวัติให้ถึงที่”

“อย่านะ!”

“แล้วคุณทำแบบนั้นทำไม” ทิวากรลุกขึ้น ทำเสียงเข้ม

“ถามเขาสิ” คู่กรณีของพรนับพันชี้นิ้วไปยังจรัสศรี ฉวยโอกาสที่ทุกคนมัวตกตะลึงผลักพรนับพันจนก้นจ้ำเบ้า หลังกระแทกเก้าอี้จนล้มคว่ำไปตัวหนึ่ง ทั้งจุก ทั้งเจ็บ และอาย แต่เหนืออื่นใด เธอโกรธขึ้นมาในใจ

เธอปล่อยคนลงมือหนีไปได้...

คนที่มารับเธอไม่ต่างจากเบาะส่งเสียงครวญเบาๆ พรนับพันเพิ่งรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้รับแรงกระแทกทั้งหมด แต่มีทิวากรมารับไว้ พรนับพันใช้ศอกยันกับพื้นลุกขึ้น ศีรษะชุมน้ำเหนียวเหนอะเผลอกระทบปากคนช่วยอย่างจัง

“มารับฉันทำไม ให้ฉันเจ็บไปคนเดียวสิ มาเจ็บทำไมกันสองคน คิดว่าตัวเองเป็นพระเอกหรือไง สภาพฉันตอนนี้มันไม่ใช่นางเอกหรอกนะ” คนหัวเหม็นทำหน้ามุ่ย มีรุ่งรวิกานต์หิ้วปีกเธอขึ้นยืนจนทรงตัวได้ ก่อนที่ทิวากรจะลุกขึ้นยืนบ้างด้วยตัวเอง

“ฉันสาบานได้ เรื่องนี้ฉันไม่รู้เรื่อง ฉันโดนใส่ร้าย ถึงฉันจะไม่ชอบเธอ ฉันก็ไม่ทำวิธีต่ำๆ แบบนี้หรอก” จรัสศรีหน้าเผือดด้วยความตะลึงตั้งแต่เกิดเหตุการณ์เทกระเพาะปลา ยกมือปิดปากร้องอุทานหลายครั้ง

พรนับพันจ้องตาอีกฝ่าย ก่อนจะส่ายหน้า ยอมรับ ตบท้ายด้วยการยิ้มให้กำลังใจ “ฉันเชื่อค่ะ”

“ไปล้างผมก่อนดีกว่านะคะคุณพราวด์”

รุ่งรวิกานต์ทำหน้าที่พาพรนับพันเลี่ยงไปเข้าห้องน้ำ ความวุ่นวายไม่กี่นาทีนั้นทำให้ผู้จัดการร้านต้องเข้ามาขอโทษขอโพย และจะขอรับผิดชอบต่อความเสียหายทั้งหมด ทิวากรจับมือมารดาที่เย็นเฉียบไว้บีบเบาๆ

“แม่ไม่ต้องคิดมากนะครับ”

“ลูกเชื่อแม่ใช่ไหม”

“ก็ถ้าแม่จะแสดงออกว่าเป็นมิตรกับคุณพราวด์มากกว่านี้ ใครๆ ก็จะไม่เชื่อว่าแม่ทำหรอกครับ”

เจอลูกชายดักทางล้อมไว้ จรัสศรีทำได้เพียงบ่นพึมพำ ขมุบขมิบปากไม่เห็นด้วยนัก แต่อาการของพรนับพันที่ไม่วีนกับเธอทั้งที่ถูกใส่ร้าย ก็ทำให้เธอไม่ต้องรู้สึกอับอายขึ้นมา ไม่อยากยอมรับนัก แต่ว่าผู้หญิงคนนี้ก็ใช้ได้


รุ่งรวิกานต์รับผ้าขนหนูสะอาดจากพนักงานมาเช็ดผมที่เปียกลู่ หลังการล้าง และสระในอ่างล้างหน้าของพรนับพัน เสื้อแขนยาวตัวนอกถูกนำออกไป เหลือแค่เสื้อยืดสีครีมแขนกุด ที่มีคราบน้ำส้มเปื้อนอีกเล็กน้อย

“เดี๋ยวแวะเปลี่ยนชุดที่ห้องเสื้อรุ่งก่อนนะคะพี่พราวด์” รุ่งรวิกานต์เปลี่ยนการเรียกให้ดูสนิทมากขึ้นโดยไม่ขอคำปรึกษาจากคนถูกเรียก “ไม่รู้ว่าร้านปล่อยให้คนบ้ามาทำแบบนี้ได้ยังไง”

“ก็คงจะเป็นแฟนคลับโรคจิตของคุณทิว” พรนับพันหัวเราะหึ โกรธที่เธอต้องมาเหม็นด้วยเรื่องน่าตลก ที่เป็นตลกร้ายกาจ

“ต้องโรคจิตเข้าขั้นนะคะ ยังมาใส่ร้ายคุณป้าอีก”

“อย่างนี้แหละค่ะ คงตั้งใจยุให้แตก” แม้ว่าพรนับพันเองจะไม่ได้ปลื้มกับสีหน้า และวาจาของจรัสศรีที่ต้อนรับขับไล่เธอตลอด แต่สายตาตระหนกตอนเห็นเธอโดนเหมือนจริงกระทั่งเธอเชื่อว่าคุณนายไม่รู้เห็นด้วย มาคิดๆ ดูคนอย่างคุณนาย ภรรยาเจ้าสัวใหญ่คงไม่ลดตัวลงต่ำมาเล่นวิธีน่าทุเรศแบบนี้

“พี่พราวด์ไม่เชื่อใช่ไหมคะ”

“แล้วก็ไม่เชื่อด้วยว่าคนที่ทำจะไม่มีใครบงการ มันอ่อนเกินไปนะคะที่แฟนคลับแอนตี้แฟนของศิลปินคนโปรดจะจงเกลียดจงชังขนาดนี้ มันดูเหลือเชื่อเกินไป”

“อาจจะมีอยู่จริง สำหรับแฟนคลับโรคจิตประเภทนั้น แต่คงไม่ใช่สำหรับในกรณีนี้” พรนับพันลองวิเคราะห์ด้วยตัวเอง โทรศัพท์พกพาดังขึ้นเบอร์แปลกตาขึ้นที่หนาจอ

“ผมลาวาครับ ผมคอยส่งคนตามดูคุณอยู่”

“อะไรนะ!” เรื่องนี้สิที่ทำให้พรนับพันโกรธจริง

“ผมสงสัยว่าใครมุ่งร้ายกับคุณ ผู้หญิงคนนั้นถูกจ้างมาครับ ผมเห็นเขาคุยกับใครสักคนตอนก่อเรื่องเสร็จ แล้วเธอก็พูดว่า กระเพาปลาชามเดียวก็ได้เงินหลักหมื่น”

“อย่าตอกย้ำฉัน คุณควรพูดเนื้อๆ นะ สรุปผู้หญิงคนนั้นถูกจ้างมา” ขมับพรนับพันเต้นไปด้วยความแค้น ฟันกัดกรอด ใครก็ตามที่ทำให้ชีวิตเธอปั่นป่วนขนาดนี้ ได้เห็นดีกัน

“จะรู้คนว่าจ้างได้ไหม”

“ไม่รู้หรอกครับ คนพวกนี้ติดต่อกันทางโทรศัพท์ เขาไม่มาให้เปลืองตัว ส่วนเรื่องเงิน โอนเข้าบัญชีก็จบเห่ ตามตัวไม่ได้ อย่าบอกให้ผมถึงขนาดตามผู้หญิงคนนั้นต่อเลยนะครับ เปลืองแรงเปล่าๆ สู้ตามคุณแล้วรอว่าจะมีใครมาก่อกวนอีก สนุกกว่า”

“คุณบอกว่าสนุกเหรอ” พรนับพันโกรธจนอยากเห็นน้ำหน้านายดำนักลูกชายเพื่อนป๋าของหนึ่งดารา แล้วจัดการสั่งสอนให้หายแค้น

“โอ๊ะ โอ ขอโทษนะครับที่ทำให้ของขึ้น ผมก็แค่ระวังภัยให้คุณน่า ตอนนี้คนของผมตามล่าไอพีคนโพสต์ข้อความเสียๆ กันสนุกเชียว ถึงปิดหนีก็พอตามเจอได้ แต่ยังสาวไปไม่ถึง ตอนนี้คุณต้องระวังตัวไว้ละกัน ไม่อย่างนั้นก็ทำตามที่มันต้องการ”

“มันต้องการอะไร”

“ให้คุณเลิกยุ่งกับคุณทิวากรไงครับ เขาก็ออกจะประกาศเจตนาโจ่งแจ้งนะผมว่า”

พรนับพันรู้ว่าเธอไม่มีทางทำตามความต้องการนั้นของพวกนั้นได้ “อย่างนั้นก็คอยตามชีวิตฉันให้ดี ถ้ามีใครมุ่งร้ายฉันอีก คราวนี้คุณห้ามปล่อยให้มันลอยนวล ตะครุบตัว แล้วอัดให้น่วมเลย”

รุ่งรวิกานต์ที่อยู่ฟังในเหตุการณ์ด้วยกลืนน้ำลายเอื๊อกให้กับความโหดของพรนับพัน ฝ่ายนั้นพอวางสายก็บ่นอย่างคนเสียอารมณ์

“เป็นนักสืบ ตามชีวิตฉัน แต่ทำอะไรคนราดกระเพาะปลาไม่ได้ บ้าจริง”

“ใครว่าทำไม่ได้คะ” รุ่งรวิกานต์ยิ้มเอาใจ ชูโทรศัพท์ในมือโบกไปมา “เขาเล่นแรงมา เราก็แฉกลับ รุ่งถ่ายเป็นคลิปมาด้วย ชัดเจนเลยค่ะ”

“ฝากคุณรุ่งด้วยนะคะ งานนี้ฉันไม่มีทางยอมอยู่เฉยเหมือนกัน”

เจ้าของห้องเสื้อดังพยักหน้าเห็นด้วย ภูมิใจให้กับความไม่หวั่นเกรงต่อปัญหาใดๆ ที่พรนับพันพบเจอ ความกล้า บ้าบิ่นแบบนี้ล่ะ ถึงจะบุกบั่น สู้กับแฟนคลับโรคจิตของทิวากร ยาวไปถึงพ่อแม่ได้


กลับมาจัดการสระผมใหม่ อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยความขุ่นมัว ในหัวก็เอาแต่คิดว่าเรื่องครั้งนี้ใครกันทำการก่อกวน แต่คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก สวมชุดนอน กางเกงขาสั้นผ้าสบายออกมาจากห้อง ผ้าเช็ดผมคาดไหล่เดินลงมาจากชั้นสอง เสียงโทรทัศน์ฉายละครตอนสองทุ่มดังมา บนที่นั่งโซฟามีร่างของน้ำหนาวนั่งอยู่

“ดูละครแค่นี้ต้องร้องไห้ด้วยเหรอ” เสียงสะอื้น กับกองกระดาษทิชชู่ย่อมๆ บนโต๊ะ บ่งบอกว่าละครมันคงมีผลต่อจิตใจน้ำหนาวพอตัว “เปลืองกระดาษบ้านฉัน”

“พระเอกป่วยจะตายนี่คะ”

พรนับพันมองคนเล่าอย่างกับเห็นเป็นตัวประหลาด นั่งลงข้างๆ ตั้งแต่น้ำหนาวมาอยู่ที่นี่ ตอนเช้าเธอก็มีอะไรให้ทาน ไม่ต้องหิ้วท้องรอ หรือทานแค่น้ำเต้าหู้อีก ถือว่ามาอยู่ก็ยังมีประโยชน์ต่อท้องเธอบ้าง

ภาพในจอทีวีกำลังดำเนินไปถึงฉากที่ตัวร้ายฉุดกระชากนางเอกที่ร้องไห้ปานโลกถล่มออกห่างจากนางเอกที่กำลังจะได้รู้ว่าพระเอกป่วยหนักอยู่ในโรงพยาบาล ห่างเพียงประตูกั้น

“ใจร้ายจัง คนเขียนเขาสร้างสรรค์ดีนะ ไม่ใช่ว่าตอนจบจะให้พระเอกนอนตายโดดเดี่ยวในห้องใช่ไหม”

ละครตัดโฆษณา น้ำหนาวจึงตอบคำถามคนไม่มีอารมณ์ติดละคร “พระเอกหายไปหลายปีเพื่อรักษาตัวจนหาย แล้วก็กลับมาหานางเอกที่ยังรอ ไม่แต่งงานต่อให้บังคับแค่ไหน สุดท้ายพวกเขาก็จะครองคู่กันค่ะ”

“เล่ามาขนาดนี้ไม่ต้องดูก็ได้เนอะ”

น้ำหนาวยุติบทสนทนากับคนช่างวิจารณ์ พรนับพันเดินขึ้นห้องไปหนีบคอมพิวเตอร์มานั่งทำงานเป็นเพื่อน ไม่ได้อยากจะดูอะไรนักหรอกละครที่มีแต่เพลงเศร้าวังเวง กระทั่งเพลงจบขึ้นเธอจึงเงยหน้าขึ้นมาจากคอม น้ำหนาวเป็นคนเริ่มบทสนทนา

“คุณมีอะไรจะคุยกับฉันหรือเปล่าคะ”

พรนับพันเซฟงาน ปิดคอม ขยับตัว ในใจรู้สึกอึดอัด แต่เธอก็อยากจะพูด “คุณเคยเป็นแฟนเก่าของคุณทิวใช่ไหม”

น้ำหนาวยิ้มกับคำถามนั้น รู้เจตนาที่พรนับพันอ้าปากทีเดียว “ค่ะ พี่ทิวกับฉันคบกันมาเกือบห้าปี”

“แล้วทำไมคุณถึงไปแต่งงานกับหมอนั่นได้ล่ะ อย่างกับทิ้งทองไปคว้าอุจจาระเลยนะ” พรนับพันเห็นหน้าเสียอีกฝ่าย จึงยิ้มแหย “ขอโทษที”

น้ำหนาวปิดโทรทัศน์ พิงศีรษะกับพนักโซฟา ยิ้มเศร้า “มันเป็นช่วงเวลาที่ฉันเคยคิดว่าตัวเองตัดสินใจถูก ตอนนั้นช่วงปีหลังๆ ที่ฉันคบกับพี่ทิว ช่วงที่พี่ทิวเพิ่งเข้าวงการละครใหม่ๆ ชีวิตของฉันโดนปั่นป่วน โดนโทรขู่ โดนคนมาสาดของเสียใส่ ฉันใช้ชีวิตหลอนในช่วงปีสุดท้ายที่คบกับพี่ทิวค่ะ มันหวาดระแวง ไม่ปลอดภัย ถึงพี่ทิวพยายามปกป้องฉันเต็มที่ แต่เขาทำไม่ได้ตลอดเวลา แล้วช่วงนั้น ครอบครัวก็แนะนำคุณกรดิษฐ์ เขาทำดีกับฉันทุกอย่าง ในระยะเวลาสามเดือน เขาทำให้ฉันวางใจ แล้วฉันก็ทรยศต่อความรักพี่ทิว”

น้ำหนาวเริ่มสะอื้นอีกครั้ง แต่ไม่ใช่ผลจากละคร มันคือละครชีวิตจริงของตัวเอง “ฉันรู้จักเขาน้อยเกินไป ตัดสินใจคิดสั้น ชีวิตฉันถึงได้เป็นแบบนี้ เขานอกใจฉันตั้งแต่เดือนแรกที่แต่งงาน เวลาเขาเมาเหล้า เขามักจะทำร้ายฉัน เวลาเขาโกรธ เขาก็จะทำร้ายฉันเหมือนกัน ครึ่งปีหลังจากแต่งงาน ฉันรู้ตัวว่าท้อง แต่เป็นช่วงระยะเวลาไม่นาน ฉันก็เสียลูกไป”

ความสะเทือนใจแม้เวลาจะผ่านมาเนิ่นนานก็ไม่ทำให้บาดแผลเก่าหายไป พรนับพันจับมือคนที่เธอเคยนึกไม่ชอบหน้าไว้เป็นกำลังใจให้ คนที่ผ่านเรื่องมา โดยเฉพาะเธอเคยพบหมอนั่น แค่นึกแผลบนตีนผมเธอยังรู้สึกเจ็บไม่หาย จากคนไม่เคยเห็นใจกัน มาวันนี้พรนับพันเริ่มรู้ซึ้งถึงชะตากรรมที่น้ำหนาวเคยเผชิญ

“ฉันเสียใจด้วย ฉันจะช่วยให้คุณพ้นๆ จากคนเลวนั่นไวๆ เอง”

“คุณคิดว่าฉันไม่เคยพยายามเหรอคะ” น้ำหนาวทำหน้าเหนื่อย “ฉันไม่เห็นหนทางอะไรเลย”

“คุณไม่รู้จักสมญานามฉันค่ะ เพื่อนๆ สมัยเรียน ชอบเรียกฉันว่าปีศาจจำศีล ฉันจะไม่เป็นพิษกับคนที่ไม่ยุ่งวุ่นวายกับฉัน แต่กับแค่หายใจแรงให้ฉันรำคาญ ก็ถูกฉันหมายหัวไว้ละ”

“คุณต้องการอะไร” น้ำหนาวดักทางเพราะรู้ทัน

“ถ้าคุณไม่มีปัญหาชีวิต จิตใจคุณไม่อ่อนแอ คุณก็จะไม่มาหวังพึ่งคุณทิวบ่อยๆ อีก”

การตอบอย่างตรงไปตรงมา ไม่หลบตา ไม่มีแววลังเล ทำให้น้ำหนาวนึกชม “คุณเองก็อย่าทำเหมือนฉัน เข้มแข็ง อดทนให้มากๆ คุณแกร่งกว่าฉันเยอะค่ะ”

“คุณเล่าให้ฉันฟังได้ไหม เรื่องของคุณทิว ฉันอยากรู้ว่าเขาเคยทำอะไรมาบ้าง ครั้งแรกที่ฉันเจอเขาก็เมื่อสามปีที่แล้ว บนภูกระดึง เจอกันแค่สองวัน กว่าจะมาพบกันอีกก็ไม่นานมานี้เอง”

“วันที่พี่ทิวรู้ว่าฉันตัดสินใจแต่งงาน ไม่บอกเลิกกับเขาด้วยซ้ำ วันรุ่งขึ้นพี่ทิวก็ตัดสินใจยกเลิกงาน หนีไปไหนไม่รู้ คงจะเป็นช่วงนั้น”

พรนับพันขยับตัวอย่างสบาย นั่งกอดเข่า หลังตรงด้วยท่าที่ถนัด เธอรู้สึกไม่เบื่อที่ได้รู้ว่าเขาชอบสีเขียว ได้รู้ว่าเขารักการถ่ายภาพ และมีคว้ารางวัลด้านถ่ายภาพมาแต่สมัยเรียน หรือจะงานละครที่เล่นไปทั้งหมดห้าเรื่อง แต่เพิ่งได้เป็นพระเอกเต็มตัวในเรื่องที่ห้าที่กำลังดังเป็นพลุแตก เป็นดีเจมานานตั้งแต่ยังเรียนมหาวิทยาลัยไม่จบ หรือจะเรื่องทางบ้านพ่อแม่บุญธรรมที่อยากให้ทิวากรไปบริหารงานธุรกิจครอบครัวเต็มที แต่ทิวากรเป็นคนทิฐิสูง เขาไม่ยอมรับว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่เด็กกำพร้ามาแต่ตัวพึงได้ การฟังน้ำหนาวเล่ามายิ่งทำให้พรนับพันตั้งใจฟัง ดูเวลาก็อดตกใจไม่ได้ เพราะทั้งคนเล่า และคนทำหน้าที่ไม่ต่างจากสัมภาษณ์นั้นไม่มีใครออกอาการง่วงสักคน เวลาบอกว่าเป็นหกโมงเช้า นับพันพรเพิ่งออกจากเวรกลับมา หลังจากโดนอาจารย์หมอขอให้ช่วยอยู่

“ตื่นกันเช้าจังนะคะ”

“ใครบอกยังไม่ได้นอนสักคน” พรนับพันตอบ

“อ้าว ทำไมพี่พราวด์กับคุณหนาวไม่นอนคะ” คุณหมอที่มุ่งไปยังตู้เย็นเทน้ำเย็นดื่มถาม

“คุณพราวด์อยากฟังเรื่องพี่ทิวน่ะค่ะ” น้ำหนาวลุกจากท่านั่งเหยียดขาบนพื้นตอบยิ้มๆ “เดี๋ยวทานมื้อเช้ากันก่อนดีกว่านะคะ”

“คุยกันมาทั้งคืนยังลำบากคุณหนาวอีก พี่พราวด์นี่ก็ ดูสิ” นับพันพรหัวเราะคิก ต่อภาพพรนับพันอ้าปากหาวกว้าง ตาเริ่มปรือง่วง และทิ้งตัวนอนเหยียดยาวหลังจากน้ำหนาวลุก “สงสัยคุณหนาวทำเสร็จ ค่อยขุดมาทานค่ะ”

“ให้เขาฝันถึงพี่ทิวไปก่อนก็ได้ค่ะ” แม่ครัวจำเป็นของบ้านนี้ไม่วายกล่าวแซว

…………………………………………………………….
คุณ yimyum พราวด์ยังทำอะไรได้แปลกๆ อีกเยอะค่ะ

ตุณ Sukhumvit66 ใจกล้าแบบนั้นอาจมีแค่ครั้งเดียว ฮา

คุณ นักอ่านเหนียวหนึบ อ่านๆ ไป นอกจากเธอจะเจ้าอารมณ์ เธอยังแย่งซีนพระเอกด้วย เย้ย ไม่ใช่

คุณ OhLaLa ต้องขออนุญาตพราวด์ค่ะ ไม่รู้ว่าเธอจะหวงไหม

คุณ konhin พราวด์โดนเล่นงานอีกแล้ว

เรื่องรสหวานบันดาลรักพระเอกเจ็บทั้งเรื่อง แต่เรื่องนี้กลับกัน นางเอกโดนเล่นงานทั้งเรื่อง คนเขียนใจร้ายชะมัด T^T ขอบคุณทุกคอมเมนท์ ทุกไลค์ และนักอ่านเงาทุกท่านนะคะ



ปวรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 15 มี.ค. 2557, 12:14:19 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 15 มี.ค. 2557, 12:14:38 น.

จำนวนการเข้าชม : 1973





<< บทที่ 9 : ยาวิเศษ   บทที่ 11 : การท้าทาย >>
konhin 15 มี.ค. 2557, 13:33:13 น.
เริ่มเก็ดแล้วว่าชีวิตพราวไม่มีทางสงบสุข ฮ่าๆๆ


อัศวินนภา 15 มี.ค. 2557, 13:55:48 น.
เรื่องนี้สนุกมากๆเลยค่ะ ตามงานมาทุกเรื่อง ชอบนางเอกเรื่องนี้ง่ะ


นักอ่านเหนียวหนึบ 15 มี.ค. 2557, 15:52:32 น.
หืมมมมมม บทบู๊ไม่เป็นรองใครจริงๆ นางเอกเรื่องนี้
พระเอกก็ยืนหน้าหล่อไปเฉยๆ นะ
5555
แบบนี้ สามียัยน้ำหนาวจะมีส่วนเอี่ยวด้วยปะเนี่ยย


Sukhumvit66 15 มี.ค. 2557, 15:52:53 น.
แสดงว่าคนร้ายก็ตามตั้งแต่แฟนเก่าแล้วซิ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account