ไฟรักทรายเสน่หา
'ทะเลทรายมักแอบซ่อนความรักและมนตร์ขลังเอาไว้เสมอ' ‘เจน’ สาวน้อยลูกครึ่งไทย-อาหรับ รับรู้มาตลอดว่าตนเองเป็นชาวทะเลทราย ทว่าวันหนึ่ง ‘ไฟซารห์’ เจ้าชายหนุ่มรูปงามกลับเข้ามาทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลง...หญิงสาวจะทำเช่นไรเมื่ออดีตถูกเปิดเผยและความรักก็เร่งเร้ารุนแรงจนเธอไม่อาจสั่งการหัวใจตนเองได้
Tags: ทะเลทราย ความรักหวานซึ้ง เข้มข้น
ตอน: 8
Siang ไม่เยอะหรอกตะเอง ปมเดียวกันนั่นแหละค่า
แว่นใส พี่ก็เชียร์สองคนนี้อยู่จ้า อิอิ
Zephyr คุณน้าบีดันทำเป็นเยอะกะสาวๆ แต่แบบนางไม่ชอบเจนาห์ค่ะเลยอยากให้หลานตัวเองได้แทนจนออกนอกหน้าเนอะ ^^
ตอนที่ 8
ด้านหลังพระราชวังซาบัคเป็นพื้นที่ซึ่งไม่มีใครมาวุ่นวายนัก ทว่าสวนเขตร้อนแบบโปร่งที่ถูกจัดไว้ใกล้กับตำหนักรับรองก็มีคนมาดูแลตกแต่งอยู่เสมอ ที่นั่งซึ่งเป็นซุ้มเหล็กดัดจึงสะอาดสะอ้านจนเจนนาห์มักถือกระดาษกับปากกามาขีดๆ เขียนๆ แอบนั่งเล่นอยู่คนเดียวหลายครั้งเพราะเมื่อขึ้นไปดูแลบิดาก็มักถูกบีดันซึ่งเพิ่งตามมากีดกันอยู่เสมอ ความจริงเธอก็อยากจะไปหาผู้ชายที่ชื่อไฟซารห์และถามเรื่องที่เขาพูดวันนั้นแต่ไม่รู้เลยว่าจะออกไปจากพระราชวังแห่งนี้ยังไง เพราะที่นี่มันไม่เหมือนทะเลทรายกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตอันเป็นสถานที่ที่ตนเองคุ้นเคย
“แต่คุณก็รู้นี่ว่าฉันอยู่ที่ไหน ทำไมถึงไม่ยอมมาหากันบ้าง”
ริมฝีปากสีชมพูพึมพำ นึกโกรธอีกฝ่ายขึ้นมาครามครัน มือที่ขีดเขียนอยู่นั้นจึงวาดเป็นตัวการ์ตูนเด็กผู้ชายแต่งชุดอาลาดินและมีเขาโง้งเหมือนซาตาน แถมมีตาโตที่ระบายสีฟ้าของปากกาลงไปจนทึบน่ากลัว เสร็จเรียบร้อยก็เขียนชื่อต้นแบบของภาพและลายเซ็นต์ของตนเองกำกับ
“นี่คือไฟซารห์...เจนนาห์วาด”
พอได้ระบายอารมณ์กับกระดาษและปากกา หญิงสาวก็วางมันลงบนเก้าอี้ ดวงตาสีน้ำตาลมองไปรอบๆ อย่างเบื่อๆ ก่อนที่ร่างระหงในชุดสีฟ้าผ้าคลุมสีเดียวกันอันเป็นชุดประจำเผ่าอัลคาซานจะลุกขึ้นยืนและออกเดินตามทางซึ่งปูด้วยอิฐสีส้มไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเจอกับร่างสูงใหญ่ของชายคนหนึ่ง
“เอ๊ะ” เจนนาห์อุทานพร้อมหยุดชะงัก เธอมองคนตัวใหญ่ในชุดสีขาวยาวกรอมข้อเท้าซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าและกำลังมองกลับมาด้วยความแปลกใจ ก่อนนึกได้ว่าตนเองไม่ได้อยู่ในทะเลทรายคาร์นัค ‘ฉันต่างหากที่เป็นคนแปลกหน้าสำหรับที่นี่’ หญิงสาวคิดในใจก่อนถอยหลังหลบให้เขา
“เธอคือ?” เสียงชายหนุ่มวัยประมาณ 29 ถามขึ้น หญิงสาวจึงตอบพร้อมถามกลับบ้าง
“ฉัน...เป็นลูกสาวของชีคซาราน...แล้วคุณล่ะคะ”
“เจ้าชายคาซาล” คำแนะนำเรียบๆ พร้อมเชิดพระพักตร์เล็กน้อยนั้นทำให้เจนนาห์ตาโตและรีบทำความเคารพ
“เจ้าชายคาซาล...ขออภัยเพคะ ฝ่าบาทคงมาเยี่ยมพ่อ”
“อืม...ถ้าเธอเป็นลูกสาวท่านซารานทำไมเมื่อวันก่อน...วันที่ท่านซารานมาที่นี่ทำไมฉันไม่เห็นเธอ”
เจ้าชายคาซาลยังไม่ยอมเดินต่อ พระองค์ยกพระหัตถ์ขึ้นประสานกันที่พระอุระและมองสาวสวยเบื้องหน้าอย่างแปลกใจ เพราะคิดว่าหญิงสาวผมและนัตย์ตาสีน้ำตาลหวานราวน้ำผึ้งอีกทั้งมีรูปร่างเพรียวระหงคนนี้ไม่มีทางที่ใครได้เจอแล้วจะจำไม่ได้
“วันนั้น...หม่อมฉันไม่ได้อยู่ที่โอเอซิสใหญ่และเพิ่งตามมาทีหลังเพคะ” เจนนาห์ตอบและยังก้มหน้า คนที่ยืนอยู่จึงเงียบไปชั่วนาทีก่อนพูดขึ้นช้าๆ
“ถ้าอย่างนั้นฉันขอเดาว่าเธอชื่อ...เจนนาห์”
เจ้าของชื่อจึงเงยมองดวงพักตร์ของอีกฝ่ายอย่างแปลกใจเนื่องจากไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะรู้จักตนเอง และเมื่อเห็นเจ้าชายคาซาลแย้มสรวลอย่างคนที่แน่ใจว่าตนเองถูก เจนนาห์จึงพูดพร้อมหยักมุมปาก
“น่าตกใจจัง ทรงเดาแม่นยังกับแม่หมอยิปซีในอียิปต์”
“แม่หมอยิปซีในอียิปต์งั้นเหรอ” เจ้าชายคาซาลขมวดขนงเล็กน้อยก่อนหัวเราะในลำคอ เพิ่งรู้ว่าพวกผู้หญิงก็มีอารมณ์ขันเช่นกัน คราวนี้ทรงก้าวช้าๆ และชวน “เดินไปด้วยกันสิ ฉันจะไปเยี่ยมท่านซาราน เธอก็คงไม่ได้มีธุระสำคัญที่อื่นใช่ไหม”
“ค่ะ ไม่มีค่ะ” เจนนาห์ตอบรับพร้อมก้าวตามวรองค์สูงใหญ่
“เธอเป็นน้องสาวของนีสรีน?” เจ้าชายคาซาลถามอีกครั้ง
“ใช่เพคะ” เจนนาห์ตอบและนึกถึงเรื่องที่ได้ยินจากบีดัน นีสรีนกำลังจะได้อภิเษกสมรสกับเจ้าชายคาซาล และถึงมันจะเป็นข้อตกลงทางการเมืองแต่เธอก็อยากจะสร้างเครดิตให้พี่สาวเหมือนกัน “พี่นีสรีนเป็นผู้หญิงที่สวยแล้วก็เก่งการบ้านการเรือนที่สุดในอัลคาซาน"
“รองลงมาล่ะ”
“ก็พี่โซฟีล่า พี่ลาดียา...” คนโดนถามไล่ชื่อพี่สาวและญาติๆ หลายคน
“ไม่มีชื่อของเธอเลยนี่ ถ้างั้นหมายความว่าเธอไม่เก่งงั้นเหรอ หรือว่าทำได้แต่ไม่อยากอวด” เจ้าชายคาซาลเหยียดมุมโอษฐ์เท่าที่ทรงเรียนรู้จากมารดาและอาลีซ่า มีผู้หญิงน้อยคนนักที่จะบอกว่าคนอื่นเก่งกว่าตัวเอง แต่เจนนาห์กลับยอมรับอย่างไม่ขัดเขิน
“ไม่เก่งเลยเพคะ บีดันบอกว่าหม่อมฉันเก่งแต่เรื่องไม่เป็นเรื่อง แม่ชีคก้ายังเคยดุเป็นประจำว่าหม่อมฉันเป็นแค่เด็กไม่รู้จักโต”
“คนเราต้องมีสักอย่างสิ...ที่เราคิดว่าเก่งกว่าคนอื่น แม้แต่คนที่ถ่อมตัวที่สุด ก็ต้องคิดเข้าข้างตัวเองอยู่ในใจ...สวยกว่า ดีกว่า หรืออย่างน้อยก็ไม่น้อยหน้าใคร” เจ้าชายคาซาลหันมาถามเจนนาห์ หญิงสาวจึงหยุดเดิน ดวงตาสีน้ำตาลมองว่าที่องค์รัชทายาทแห่งซาราเวีย อดคิดไม่ได้ว่าความเห็นของเขานั้นแตกต่างจากเธอเหลือเกิน
“นั่นอาจจะเป็นความคิดของคนอื่นๆ แต่สำหรับหม่อมฉัน...หม่อมฉันไม่เคยคิดว่าตัวเองเก่งกว่าหรือดีกว่าใคร เพราะถ้าเราคิดแบบนั้นเราก็จะหยุดพัฒนาตัวเอง และก็คิดเสมอว่าตนเองเลิศเลอ สูงส่ง ทำถูกอยู่เสมอ หม่อมฉันชอบมองสิ่งที่อยู่สูงๆ อย่างชื่นชม มากกว่าการขึ้นไปยืนอยู่บนที่สูงๆ แล้วก็มองคนอื่นอย่างสมเพชเวทนา เพราะความรู้สึกมันจะต่างกันโดยสิ้นเชิง”
ดวงเนตรสีน้ำตาลเข้มมองเจนนาห์อย่างนึกไม่ถึงก่อนที่หญิงสาวจะร้องขึ้นอย่างนึกได้
“ตายล่ะ ฝ่าบาทเสด็จไปก่อนเถอะเพคะ หม่อมฉันลืมของ”
“ลืมของงั้นเหรอ” เจ้าชายคาซาลขมวดขนงเล็กน้อยก่อนถามขึ้น “แต่เธอจะตามเข้าไปในตำหนักใช่ไหม”
“ค่ะ แน่นอนค่ะ หม่อมฉันจะตามเข้าไป” คนตอบหยักมุมปากน้อยๆ และก้มศีรษะทำความเคารพก่อนเดินกลับไปทางที่เพิ่งจากมาอย่างรวดเร็ว
ภายในซุ้มเหล็กดัดทาสีขาวเจนนาห์รีบเดินตรงเข้าไปหมายจะหยิบปากกาและสมุดโน้ตของตนเอง ทว่าเมื่อมาถึงสองสิ่งนั้นกลับไม่อยู่เสียแล้ว หญิงสาวย่อตัวลงกับพื้น ก้มๆ เงยๆ หาอยู่สักครู่จนกระทั่งมีคนยื่นมันมาตรงหน้า
“หานี่อยู่หรือไง”
“ใช่ค่ะ” สาวสวยวัย 23 คว้าสมุดเล่นนั้นไว้ทันที เธอมองภาพซาตานน้อยตาสีฟ้าก่อนหายใจออกอย่างโล่งใจ จนกระทั่งใครคนนั้นถามขึ้น
“เธอวาดรูปใคร?”
“ก็...” เจนนาห์กำลังจะตอบแต่ก็นึกเอะใจเงยหน้ามอง และภาพบุรุษที่มองเห็นก็ทำให้ร่างเพรียวรีบลุกจนสะดุดเท้าตนเองกระทั่งล้มนั่งลงกับพื้นอีกครั้ง
“โอ๊ย!”
“เธอล้มอีกแล้ว” เจ้าชายไฟซารห์หัวเราะเบาๆ คนที่ล้มจึงนึกโมโห
“ก็เพราะคุณนั่นแหละ เจอกันทีไรคุณต้องทำฉันล้มทุกทีเลย”
“ฉันเป็นคนทำงั้นเหรอ โอเค” ราชนิกุลหนุ่มตรัสยิ้มๆ พร้อมยื่นมือให้ “ลุกขึ้นมาสิ”
“ไม่ต้องหรอก ฉันลุกเองได้” ร่างเพรียววางสมุดลงก่อนค่อยๆ ลุกขึ้นปัดฝุ่นดินตามตัว คนที่ยืนมองจึงถามอีกครั้ง
“ตกลงบอกได้หรือยังว่ารูปใคร ใช่รูปฉันหรือเปล่า”
“รูปอะไร?” คนวาดปิดสมุดลงพรึ่บ! ซ่อนรูปภาพนั้นอย่างไม่ยอมรับ
“ฉันเพิ่งรู้นะว่าตัวเองน่ารักขนาดนั้น” เจ้าชายไฟซารห์ยิ้มกริ่มพร้อมนั่งลงที่เก้าอี้สีขาวภายในซุ้ม คนที่ถือสมุดอยู่จึงขมวดคิ้วน้อยๆ
“คุณแอบหยิบสมุดของคนอื่นไปดู ไม่รู้สึกผิดบ้างหรือไง”
“รู้สึกผิด?...เธอต้องขอบคุณฉันถึงจะถูกที่เก็บสมุดไว้ให้ เพราะถ้ามีคนเก็บได้...” เจ้าชายไฟซารห์เงียบไปทรงจะบอกว่าถ้ามีคนเก็บได้คงตำหนิเธอแน่ๆ ที่เอารูปพระองค์มาล้อเล่นแบบนี้
“ใครเก็บได้ก็ช่างสิ แล้วคุณมาที่นี่ทำไม” เจนนาห์กอดสมุดเล่นนั้นไว้ก่อนถามเขา อีกฝ่ายจึงนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนชี้ที่เก้าอี้ตรงหน้า
“นั่งสิ”
“มีอะไรหรือเปล่าคะ” เจนนาห์ถามพลางนั่งลงตามที่อีกฝ่ายบอก
“ฉันมีเรื่องจะเล่าให้เธอฟัง...”
เจ้าชายหนุ่มมองคนที่อยู่ตรงหน้าพลางคิดทบทวนไปมาหลายรอบ เมื่อวันก่อนพอทรงรู้ว่าซากีร์จะไปรับบีดันที่โอเอซิสใหญ่ พระองค์ก็สั่งให้ทหารองครักษ์ใช้ความสามารถในการพูดชวนบีดันคุยเรื่องของเจนนาห์ในระหว่างการเดินทางกลับมาที่เมืองซาบัค
‘กระหม่อมทำตามที่ฝ่าบาทสั่งแล้ว แต่สังเกตจากการพูดและสีหน้าท่าทางบีดันจะไม่ชอบหลานสาวคนเล็กสักเท่าไหร่ครับ พอกระหม่อมถามถึงแม่ของเจนนาห์นางก็ทำปากขมุบขมิบและหยุดคุยไปเฉยๆ แม้ว่ากระหม่อมจะลองถามอีกเธอก็ทำท่าอึดอัดเหมือนคนที่อยากจะพูดแต่พูดไม่ได้ แถมทำหน้าเหมือนไม่ชอบใจเอามากๆ ด้วย...กระหม่อมไม่รู้ว่าสิ่งที่ทราบมาจะเป็นประโยชน์ต่อฝ่าบาทหรือเปล่า...แต่ถ้าฝ่าบาทยังติดใจสงสัยละก็ ตอนที่ไปส่งบีดันกระหม่อมเพิ่งจะรู้จักกับผู้หญิงชาวบ้านคนหนึ่งซึ่งเป็นชาวอัลคาซาน คิดว่าเธอคงต้องรู้อะไรบ้าง...’
เมื่อซากีร์ลงท้ายเช่นนั้นพระองค์จึงเอ่ยปากอนุญาต ต่อจากนั้นก็เข้าไปพบพระมารดาเพื่อถามเกี่ยวกับเรื่องเมื่อเกือบยี่สิบปีที่แล้วด้วย
‘จะรื้อฟื้นอีกทำไมไฟซารห์ ไม่มีใครอยากพูดถึงเรื่องนั้นหรอก’
‘แต่จนถึงตอนนี้ก็ไม่ใครเคยเจอสองคนนั้นเลยนะครับผมไม่เข้าใจว่าทำไมเสด็จพ่อถึงปิดเรื่องนี้ ทุกๆ คนก็ทำเฉยเมยเหมือนมันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทั้งๆ ที่มีคนตาย มีคนหายสาปสูญ’
‘ลูกไม่เคยลืมเรื่องนั้นเลยเหรอไฟซารห์ ตั้งเกือบยี่สิบปีแล้วนะ...อ้อ ถ้าอย่างนั้น...นี่ใช่ไหมสาเหตุที่ทำให้ลูกขอไปเรียนต่อที่สวีเดนแล้วก็ไม่อยากจะกลับมา’
‘ถ้าแม่รู้สึกเอ็นดูใครสักคน...มีความสุขเวลาได้อยู่ใกล้ ได้ดูแล ได้ปกป้อง แล้วจู่ๆ วันหนึ่งสิ่งเหล่านั้นก็หายไปราวกับไม่เคยมีตัวตน แม่จะรู้ว่าผมรู้สึกยังไง’
“ว่าไงล่ะ คุณจะเล่าเรื่องอะไรกันแน่”
เสียงของเจนนาห์ทำให้ราชนิกุลหนุ่มออกจากภวังค์ ดวงเนตรสีไพลินจ้องหญิงสาวตรงหน้าก่อนผ่อนลมหายใจออกมาเล็กน้อย ทรงมีหลายอย่างอยากจะถามเจนนาห์แต่เมื่อถึงเวลาจริงๆ กลับไม่รู้จะเริ่มอย่างไร
“...จำเด็กผู้ชายกับเด็กผู้หญิงที่เราเจอเมื่ออาทิตย์ที่แล้วได้ไหม” ในที่สุดก็ทรงเท้าความ อีกฝ่ายจึงพยักหน้าดวงตาสีน้ำตาลแวววาวเหมือนเข้าสู่ความทรงจำ ความรู้สึกบางอย่างที่เกิดขึ้นในวันนั้นยังอบอวลอยู่ในใจ
“จำได้สิคะ เด็กผู้ชายที่ปกป้องเด็กผู้หญิงคนหนึ่งอย่างกล้าหาญ โตขึ้นเขาจะต้องกลายเป็นชายหนุ่มที่อบอุ่นที่สุดแน่ๆ เลย”
“งั้นเราไปเยี่ยมพวกเขาไหม” จู่ๆ ก็ทรงยืนขึ้นและเอื้อมคว้าแขนหญิงสาว เจนนาห์พยายามชักแขนกลับก็ทำไม่ได้จึงได้รีบเดินตามอีกฝ่ายและลืมเรื่องที่รับปากเจ้าชายคาซาลว่าจะตามเข้าไปเสียสนิท
นอกเขตเมืองซาบัคเป็นเส้นทางลาดยางกลางเก่ากลางใหม่ สองข้างทางเป็นที่อยู่อาศัยสลับกับที่โล่งกว้าง บริเวณชุมชมนั้นมีตึกเก่าๆ สองชั้นซึ่งเป็นร้านขายของหรือบ้านเรือนตั้งอยู่ ซึ่งพอถึงจุดหมายเจ้าชายหนุ่มก็จอดรถขับเคลื่อน 4 ล้อสีบอร์นเงินและพาเจนนาห์เดินเข้าไปตามซอกตึก
“ท่าทางคล่องแคล่วจัง”
เจนนาห์แซว อีกฝ่ายจึงหันมามองหน้าหญิงสาวและหยักมุมปากน้อยๆ แต่ไม่พูดว่าอะไร จนกระทั่งทางแคบๆ นั้นขยายเป็นที่ดินกว้างและเต็มไปด้วยสิ่งปลูกสร้างซึ่งแออัดกันอยู่ ภาพที่เห็นนั้นจะเรียกว่าบ้านก็น่าใช่แต่แทนที่ฝาผนังเหล่านั้นจะเป็นปูนโบกหนาแน่นกลับกลายเป็นสิ่งของที่สามารถหยิบมาใช้ได้โดยไม่เสียเงิน เช่นผ้าพลาสติกเก่าๆ เศษป้าย เศษกระดาษ หรือวัสดุแข็งๆ
“พี่ชาย”
เสียงนั้นดังขึ้นเกือบจะทันทีที่ทั้งสองโผล่พ้นซอกตึก เจนจิรามองเด็กผู้หญิงวัย 4 ขวบซึ่งเธอเคยเจอเมื่อวันก่อน แม้ตอนนั้นคิ้วเรียวยังขมวดน้อยๆ กับสภาพเบื้องหน้าทว่าก็ยังคลี่ยิ้มให้เด็กน้อย ถ้าจะให้คำจำกัดความกับสิ่งที่เธอเห็นก็คงต้องใช้คำว่า ‘ชุมชนแออัด’ หรือ ‘สลัม’ ดีๆ นี่เอง
“อาหมัด พี่ชายมา”
ละตีฟาตะโกนเรียกเด็กผู้ชายซึ่งไม่นานก็เดินตามออกมาจากบ้านซึ่งสร้างจากโครงไม้และผ้าพลาสติกกั้นเป็นฝา
“ว่าไงสาวน้อยละตีฟา”
เจ้าชายไฟซารห์เรียกพร้อมอุ้มเด็กผู้หญิงคนนั้นขึ้นและยกมือทักทายเด็กผู้ชายที่เดินเข้ามาหา ภาพที่เห็นทำให้เจนนาห์แน่ใจว่าเขาเคยมาที่นี่แล้วก่อนหน้าที่จะพาเธอมาในวันนี้ ทั้งหมดเดินผ่านเพิงพักต่างๆ ไปนั่งที่เศษปูนหักๆ ด้านหลังซึ่งปรับที่ร้างให้เป็นสนามดินทรายเรียบ มีของเล่นเก่าๆ วางอยู่เกลื่อนกลาด
“พวกเขาเคยอยู่ในทะเลทราย” บุรุษหนุ่มเปรยขึ้นก่อนเล่าต่อ “แต่ทุกวันนี้โลกร้อนขึ้นแหล่งน้ำใต้ดินกลายเป็นน้ำเค็มที่ใช้การอะไรไม่ได้ พวกเขาก็เลยอพยพกันเข้ามาอยู่ในซาราเวีย มาอย่างคนที่ไร้ที่ทำกิน มาตายเอาดาบหน้าเพราะอยู่ในทะเลทรายก็ตายเหมือนกัน”
“ชาวทะเลทรายงั้นเหรอ” เจนนาห์พึมพำ ในขณะที่ร่างสูงลุกขึ้นยืนใช้เท้าหยุดลูกบอลซึ่งมีคนเตะมาให้ก่อนจะเลี้ยงมันเข้าไปวิ่งเล่นกับเด็กๆ หลายคน
ร่างเพรียวยังนั่งอยู่ที่เดิม ภาพความเป็นอยู่เบื้องหน้าสะท้อนใจของเธอเป็นอย่างมาก คิ้วงามจึงขมวดมุ่นดวงตาสีน้ำตาลมองภาพร่างสูงแกร่งซึ่งวิ่งเลี้ยงลูกบอลเล่นกับเด็กๆ ทั้งหญิงและชาย บุรุษหนุ่มมีรูปร่างที่สง่าทว่าไม่เทอะทะ เขาปราดเปรียว เคลื่อนไหวได้งดงาม สง่างามอย่างที่บรุษเพศควรจะมี แม้ในยามที่เจนนาห์กำลังหดหู่กับสภาพของชาวทะเลทรายทั้งหลายนั้น รอยหยักยิ้มมุมปากของเขาก็ทำให้เธออดยิ้มตามด้วยไม่ได้และคงจะมองอีกเนิ่นนานหากเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ไม่ล้มลงเสียก่อน
“แงๆๆๆ”
“เป็นอะไรหรือเปล่า”
เจ้าชายไฟซารห์หยุดวิ่งทันที ทรงโผเข้ามาอุ้มร่างเล็กๆ นั่นขึ้นอย่างอ่อนโยน ภาพที่เห็นทำให้เจนนาห์ลุกขึ้นยืน ในสายตาของเธอนั้นกลายเป็นภาพของเด็กชายวัยประมาณ 9 ขวบตัวสูงเปรียวกำลังอุ้มเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ไว้พร้อมหันไปมองเด็กคนอื่นด้วยดวงตาที่ดุดัน ‘พวกนายทำเธอเจ็บ’
“เจนนาห์”
เสียงเรียกของเขาทำให้หญิงสาวออกจากภวังค์ ใจของเธอยังเต้นดังเหมือนตนได้กลายเป็นเด็กผู้หญิงคนนั้นเสียเอง
“คะ” หญิงสาวสะบัดศีรษะและตอบเขา ดวงตาสีน้ำตาลมองอีกฝ่ายเนิ่นนานจนบุรุษหนุ่มหรี่ตาลงอย่างสงสัยแต่ก็สั่ง
“รับยาสิ จะได้ทำแผลให้ละตีฟา”
“ค่ะ” เจนนาห์ตอบอีกครั้งและรับกระเป๋ายาสะอาดสะอ้านจากเด็กผู้ชายที่ชื่ออาหมัดก่อนลงมือทำความสะอาดแผลถลอกให้เด็กหญิงละตีฟาโดยใช้สำลีชุบน้ำเกลือเช็ดและป้ายสำลีชุบยาทาลงบนเข่าคนที่ยังร้องไห้จ้า สะอึกสะอื้นราวกับเป็นเรื่องที่น่าเสียใจเหลือเกิน และร่างเล็กๆ นั้นยังอยู่บนตักของบุรุษหนุ่ม
“อย่าร้องเลยจ๊ะ แผลแค่นี้เองเดี๋ยวก็หาย รับรองว่าถ้าทายาทุกวันเดี๋ยวขาก็สวยเหมือนเดิมแล้ว”
หญิงสาวปลอบ และไม่น่าเชื่อว่าเสียงร้องจ้านั้นจะหยุดลงแทบจะทันใด เจ้าชายไฟซารห์และเด็กๆ ที่ยืนมุงยังมองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ เจนนาห์เลยกระแอมเล็กน้อย ยังไงๆ ก็อดภูมิใจเล็กๆ ไม่ได้
“ขาหนูจะหาย อึกๆ แน่ๆ นะ อึกๆ”
ละตีฟาถามพร้อมเสียงสะอื้นที่ตัวเองพยายามหยุดมัน เจนนาห์จึงยิ้มและเล่าให้ฟังขณะที่เอาผ้าก๊อซใหม่เอี่ยมแปะลงบนเข่าอีกฝ่าย
“แน่นอนสิ ตอนเด็กๆ ฉันก็เคยหกล้มบ่อยๆ” ใบหน้าสวยชะงักเล็กน้อยก่อนชี้บริเวณขาตัวเอง “แต่ตอนนี้ไม่มีแม้แต่รอยแมวข่วน”
“งั้นตอนนี้พี่ก็เป็นเจ้าสาวได้แล้วน่ะสิ” คำถามของเด็กน้อยทำเอาคนฟังงง
“หมายความว่าไงจ๊ะ”
“ก็ถ้าขาเป็นแผลเดี๋ยวไม่สวยเป็นเจ้าสาวไม่ได้ แล้วหนูก็ตั้งใจจะเป็นเจ้าสาวของพี่ชายนี่คะ” เด็กหญิงมองคนที่อุ้มตนเองอยู่ ทำให้เจ้าชายไฟซารห์ชะงักเล็กน้อยก่อนหัวเราะในลำคอเมื่อเห็นเจนนาห์ทำหน้างงๆ อย่างไม่อยากเชื่อ
ทั้งสองคนออกจากชุมชนนั้นในตอนเย็นและเจนนาห์ก็นั่งนิ่งคิดวกวนกับภาพความทรงจำที่เธอเห็น หญิงสาวไม่เคยนึกถึงเรื่องของตัวเองในวัยเด็กเลย เกือบยี่สิบปีแล้ว เมื่อจำความได้ตนเองก็อยู่ในอัลคาซานมาตลอด เธอไม่เคยคิดเป็นอื่นเลย
“พวกเขาไม่มีแม้แต่เงินจะซื้อยารักษาโรค”
เสียงของเจ้าชายไฟซารห์ทำให้หญิงสาวออกจากภวังค์ เธอหันไปมองชายหนุ่มที่ขับรถก่อนนึกถึงกล่องยาสะอาดสะอ้านใหม่เอี่ยมกล่องนั้น เมื่อหยิบอุปกรณ์ชั้นดีข้างใน เจนนาห์ยังนึกแปลกใจอยู่เลย
“คุณซื้อให้พวกเขาใช่ไหม”
“ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ามีที่แบบนี้ในซาราเวีย”
คนขับรถไม่ตอบแต่คนถามพอจะเดาออก เป็นอีกครั้งที่เธอรู้สึกดีๆ กับชายหนุ่ม ณ ตอนนี้ใบหน้าของเขาดูเคร่งเครียด ดูใส่ใจ และห่วงใยความรู้สึกของคนที่ต้องอดทนใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะแร้นแค้นลำบากเช่นนั้น มันเป็นความรู้สึกซึ่งไม่ต่างไปจากตัวเธอเลย
เจนนาห์อดไม่ได้ที่จะนึกถึงเรื่องราวของเผ่าตนเอง สิ่งที่เธอได้ยินพวกผู้ใหญ่คุยกันก็ไม่ต่างไปจากสิ่งที่บุรุษผู้นี้ได้รู้มาจากชาวบ้านในชุมชนแออัด หญิงสาวหวังแค่ว่าการแต่งงานของพี่นีสรีนกับเจ้าชายคาซาลคงจะทำให้พี่น้องชาวอัลคาซานไม่ต้องตกอยู่ใสภาพแบบนี้
“ว่าไงเจนนาห์...”
เสียงที่คนขับเรียกทำให้หญิงสาวออกจากภวังค์ ตอนนั้นเขาขับรถจนใกล้จะเข้าเมืองซาบัคแล้วแต่ข้างๆ ทางก็ยังเป็นชานเมืองที่เงียบสงบอยู่
“คะ” เพราะความคิดที่หลากหลายจึงไม่รู้เลยว่าเขาพูดอะไรก่อนหน้านั้น คนถามจึงหรี่ตาลง
“คิดอะไรอยู่”
“อะไรนะคะ”
“ฉันเห็นเธอเงียบมาตลอดทางเลย คิดอะไรอยู่”
“ก็...เปล่านี่คะ” เจนนาห์ตอบไม่ถูก เธอคิดว่าคงต้องใช้เวลาหรือข้อมูลในการที่จะคิดหรือพูดอะไรออกไปสักอย่าง เจ้าชายหนุ่มมองดวงหน้านวลซึ่งกลายเป็นสีชมพูขึ้นเล็กน้อยยามเกิดเหตุการณ์ที่ไม่ทันตั้งตัว ริมโอษฐ์เหยียดออกน้อยๆ ก่อนถามขึ้น
“งั้นพรุ่งนี้จะไปด้วยกันไหม”
“ไปด้วยกัน หมายถึงอะไรคะ” คนถูกถามมองหน้าชายหนุ่มอย่างขอโทษ เธอไม่ได้ฟังเขาเลยจริงๆ คนถามจึงจอดรถที่ข้างทางและหันมามอง
“ก่อนหน้านี้ฉันบอกว่าพรุ่งนี้จะไปที่วิหารร้างนั่นและถามเธอว่าอยากไปด้วยกันไหม” ทรงขยับเข้ามาใกล้หญิงสาวและดวงเนตรสีไพลินจ้องอย่างจับผิด
“เธอโกหกเรื่องที่บอกว่าไม่ได้คิดอะไรอย่างนั้นใช่หรือเปล่า”
“เปล่านะ”
เจนนาห์รีบปฏิเสธพร้อมมองใบหน้าหล่อเหลา คิ้วเข้มนั้นขมวดน้อย นัยน์ตาสีไพลินจ้องเหมือนกำลังค้นหาอะไรสักอย่างบนใบหน้าหรือบนร่างของเธอ นี่มันความรู้สึกแบบไหนกันแน่ หญิงสาวถามตัวเอง แล้วนี่ก็ไม่ใช่สาเหตุที่เขาจอดรถใช่ไหม เขาโกรธกะแค่เรื่องที่เธอตอบว่าไม่ได้คิดอะไรงั้นเหรอหรือว่าเธอพูดอะไรผิด ‘ให้ตายเถอะเจนนาห์’ หญิงสาวร้องในใจเพราะตอนนี้เธอเริ่มรู้สึกว่าบุรุษตรงหน้ามีความสามารถในการทำให้ใจของเธอสับสนและเต้นดังโครมครามได้โดยไม่รู้ตัวเลย
“แปลก” ที่สุดเสียงทุ้มก็ดังขึ้นพร้อมหรี่ตาลงเหมือนกำลังสงสัยอะไรสักอย่าง ดวงพักตร์คมนั้นอยู่ห่างใบหน้าหญิงสาวแค่คืบ ใกล้จนลมหายใจเบาๆ ผ่าวมากระทบใบหน้านวล
“หมาย...ถึง...อะไรคะ” หญิงสาวถามขึ้นตะกุกตะกัก
“ฉันสงสัยว่าผู้หญิงที่อยู่ในทะเลทรายคานัคเค้าใช้อะไรดูแลรักษาผิวกัน” ขณะถามดวงเนตรสีสวยก็จ้องแก้มนวลผ่องไม่วางตาทำให้เจนนาห์รู้สึกร้อนวาบไปทั่วร่างและถามเสียงเบาหวิว
“คุณจะอยากรู้ไปทำไม”
“เพราะฉันไม่เคยรู้สึกอยากสัมผัสใครมากขนาดนี้มาก่อนเลย” เอ่ยจบคำพระหัตถ์ที่วางอยู่ด้านหลังหญิงสาวก็ขยับมาไล้แก้มเนียนเบาๆ และก้มพระพักตร์ลงแตะริมฝีปากอุ่นๆ บนที่เรียวปากนุ่มสีชมพูของเจนนาห์ราวครึ่งนาที ก่อนจะหันกลับไปบิดกุญแจสตาร์ทรถขับออกไปจากจุดนั้น
ช่วงเวลาที่ผ่านไป...ทำให้หญิงสาวแทบจะหยุดหายใจ ถึงตอนนี้เธอจึงรู้สึกตัวเองว่ากำลังกลายร่างเป็นหุ่นขี้ผึ้งหรือะไรสักอย่างที่พร้อมจะละลายได้ไม่ยากยามถูกเขาสัมผัส ‘ให้ตายเถอะเจนนาห์ รีบรู้สึกตัวเดี๋ยวนี้นะ’ หญิงสาวเรียกตัวเองไปตลอดทางจนรถจอดลงในขอบรั้วพระราชวังซาบัค
“เจนนาห์”
เมื่อก้าวเท้าเข้าสู่ตำหนักรับรองเสียงเรียกนั้นก็ดังขึ้นจากปากของท่านชีคซาราน เขาคอยลูกสาวคนเล็กอยู่ที่ห้องโถงของตึกรับรองจนค่ำ และเมื่ออีกฝ่ายเดินเข้ามาก็ถามขึ้นทันที
“ไปไหนมา รู้ไหมว่าเจ้าชายคาซาลเสด็จมาที่นี่”
“ค่ะ” เจนนาห์สะดุ้งเล็กน้อยเพราะไม่คิดว่าจะมีใครรออยู่ คำพูดของบิดาทำให้นึกได้ว่าตนบอกให้เจ้าชายคาซาลเข้าตำหนักมาก่อนโดยตนจะตามมาทีหลัง ใบหน้านวลเหลือบมองประมุขของอัลคาซานด้วยสีหน้าเจื่อนๆ และเมื่อนั้นจึงเห็นว่ารีฮานยืนอยู่ด้านหลังด้วย
“เหลวไหลจริงๆ”
ท่านซารานรู้สึกโมโหขึ้นมาจริงๆ เจนนาห์นั้นไม่เคยคิดว่าพิธีหรือกฎการปฏิบัติต่างๆ มีความหมาย นั่นอาจเป็นเพราะเขาตามใจอีกฝ่ายมากเกินไปจริงๆ อย่างที่บีดันว่า
“อีกหน่อยต้องมาอยู่ที่นี่แล้วลูกต้องทำตัวเสียใหม่นะเจนนาห์”
“มาอยู่ที่นี่หมายความว่ายังไงคะ พ่อคงหมายถึงพี่นีสรีนที่ต้องอยู่ที่นี่ คงไม่ได้หมายความว่าเจนต้องอยู่ด้วยหรอกนะคะ” เจนนาห์ถามอย่างไม่เข้าใจ ท่านซารานจึงอึกอักเพราะยังพูดอะไรมากไม่ได้ สุดท้ายเขาจึงบอกบุตรีคนเล็ก
“ไปนอนเถอะ”
“เอ่อ...เดี๋ยวค่ะท่านพ่อ” เจนนาห์เรียกขึ้น
“มีอะไร”
“คือว่า” เจนนาห์รู้สึกถึงความอึดอัดซึ่งเริ่มก่อตัวขึ้นเรื่อยๆ ทุกอย่างเริ่มต้นตั้งแต่ครั้งเดินทางเข้าใกล้ซาราเวีย ตั้งแต่ไปวิหารร้าง รวมถึงผู้ชายที่มาส่งตนเองด้วย และคนที่จะให้คำตอบได้ดีที่สุดก็คงมีเพียง...
“ท่านพ่อคะ เจนมีเรื่องจะถาม...ตอนเด็กๆ เจนเคยมาที่ซาราเวียใช่ไหมคะ และเคยไปที่วิหารอะไรอย่างหนึ่งที่นอกเมือง ตอนเด็กๆ เจนจำได้ลางๆ ว่าเคยมีเพื่อน เคยมีอดีตที่นี่ใช่ไหมคะ”
“เจนนาห์!” ท่านซารานเรียกเสียงเครียด “เธอเป็นลูกสาวของฉัน แม่ของเธอเป็นผู้หญิงไทยชื่อจันทรา จำไว้นะเจนนาห์ ไม่ว่าใครจะพูดอะไรก็บอกไปแค่นั้น ไปนอนได้แล้ว!”
“แต่ว่า...” เจนนาห์รู้สึกงงกับคำตอบที่ได้ฟังนักแต่อีกฝ่ายก็ไม่รอให้เธอถามหรือสงสัยอะไรทั้งนั้น
“กลับห้องไปเดี๋ยวนี้!”
หัวหน้าเผ่าอัลคาซานส่งเสียงลั่นและเริ่มไออีกครั้งหลังจากไม่มีอาการเช่นนี้มาหลายวันแล้ว รีฮานเดินออกมาจากมุมหนึ่งและช่วยประคอง แต่พอเจนนาห์จะช่วยบ้างท่านซารานกลับชี้มือสั่งให้หญิงสาวกลับไปบนห้อง จนเมื่อลับร่างเพรียวแล้ว ชายมีอายุจึงกลับไปห้องของตนเองบ้างและสั่งรีฮาน
“กลับไปที่โอเอซิสใหญ่ กำชับทุกคน อย่าให้ใครพูดเรื่องเมื่อสิบเก้าปีที่แล้วเป็นอันขาด ถ้าเรื่องนี้รั่วไหลออกจากปากใครล่ะก็ฉันจะไม่อภัยเลย!”
และบังเอิญว่าตอนนั้นชีคก้านาบีร่าอยู่ในห้องของท่านชีค หญิงมีอายุมองสามีและขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ “เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ”
“เธออยู่ก็ดี! ได้ยินแล้วใช่ไหมว่าฉันพูดว่ายังไง”
“ค่ะ ท่านพี่พูดว่าเรื่องเมื่อสิบเก้าปีที่แล้ว อย่าให้ใครพูดเรื่องแม่ของเจนนาห์”
“ได้ยินก็ดี งั้นอย่าลืมไปสั่งลูกสาวของเธอและก็บอกบีดันด้วย ถ้าใครปากโป้งละก็ อย่าหาว่าฉันใจร้าย” ชีคซารานปรายตามองภรรยา ทำให้ชีคก้านาบีร่าเม้มปากน้อยๆ นางคิดมาเสมอว่าเรื่องแม่ของเจนนาห์กับเรื่องของเด็กผู้หญิงคนนี้มักเป็นเรื่องใหญ่ในสายตาของท่านซารานแต่ไม่นึกว่าผ่านมาหลายปีแล้วแต่เค้าก็ยังไม่ลืม...
“ฉันจะบอกทุกคนค่ะ”
“งั้นก็ออกไปเถอะ” ท่านซารานพูดพร้อมหยิบยาขึ้นจิบ นัยน์ตามองด้านหลังของรีฮานกับชีคก้านาบีร่าซึ่งกำลังเดินออกไป มือหนาหยิบจดหมายเล็กๆ ที่สอดไว้ในเสื้อออกมาอ่านอีกครั้งอย่างชั่งใจ
ข้อความในจดหมายนั้นคือ
‘ท่านซาราน...อย่าลืมสัญญาของเราเมื่อสิบเก้าปีที่แล้ว ท่านต้องส่งลูกสาวของนางมาเพื่อเป็นรานีของสุลต่านแห่งซาราเวีย นั่นคือสิ่งเดียวที่เราจะทำให้นางได้เพื่อเป็นการไถ่โทษ...ไม่เช่นนั้นเราคงรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต แต่สำหรับเรื่องในอดีตได้โปรดเก็บมันไว้เป็นความลับตลอดไป เพราะการเปิดเผยของมันอาจทำให้ซาราเวียสั่นคลอนได้ กรุณาทำให้มันจมหายลงไปในผืนทราย...
สุลต่านอัสตาฟา’
*************************************************************
แว่นใส พี่ก็เชียร์สองคนนี้อยู่จ้า อิอิ
Zephyr คุณน้าบีดันทำเป็นเยอะกะสาวๆ แต่แบบนางไม่ชอบเจนาห์ค่ะเลยอยากให้หลานตัวเองได้แทนจนออกนอกหน้าเนอะ ^^
ตอนที่ 8
ด้านหลังพระราชวังซาบัคเป็นพื้นที่ซึ่งไม่มีใครมาวุ่นวายนัก ทว่าสวนเขตร้อนแบบโปร่งที่ถูกจัดไว้ใกล้กับตำหนักรับรองก็มีคนมาดูแลตกแต่งอยู่เสมอ ที่นั่งซึ่งเป็นซุ้มเหล็กดัดจึงสะอาดสะอ้านจนเจนนาห์มักถือกระดาษกับปากกามาขีดๆ เขียนๆ แอบนั่งเล่นอยู่คนเดียวหลายครั้งเพราะเมื่อขึ้นไปดูแลบิดาก็มักถูกบีดันซึ่งเพิ่งตามมากีดกันอยู่เสมอ ความจริงเธอก็อยากจะไปหาผู้ชายที่ชื่อไฟซารห์และถามเรื่องที่เขาพูดวันนั้นแต่ไม่รู้เลยว่าจะออกไปจากพระราชวังแห่งนี้ยังไง เพราะที่นี่มันไม่เหมือนทะเลทรายกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตอันเป็นสถานที่ที่ตนเองคุ้นเคย
“แต่คุณก็รู้นี่ว่าฉันอยู่ที่ไหน ทำไมถึงไม่ยอมมาหากันบ้าง”
ริมฝีปากสีชมพูพึมพำ นึกโกรธอีกฝ่ายขึ้นมาครามครัน มือที่ขีดเขียนอยู่นั้นจึงวาดเป็นตัวการ์ตูนเด็กผู้ชายแต่งชุดอาลาดินและมีเขาโง้งเหมือนซาตาน แถมมีตาโตที่ระบายสีฟ้าของปากกาลงไปจนทึบน่ากลัว เสร็จเรียบร้อยก็เขียนชื่อต้นแบบของภาพและลายเซ็นต์ของตนเองกำกับ
“นี่คือไฟซารห์...เจนนาห์วาด”
พอได้ระบายอารมณ์กับกระดาษและปากกา หญิงสาวก็วางมันลงบนเก้าอี้ ดวงตาสีน้ำตาลมองไปรอบๆ อย่างเบื่อๆ ก่อนที่ร่างระหงในชุดสีฟ้าผ้าคลุมสีเดียวกันอันเป็นชุดประจำเผ่าอัลคาซานจะลุกขึ้นยืนและออกเดินตามทางซึ่งปูด้วยอิฐสีส้มไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเจอกับร่างสูงใหญ่ของชายคนหนึ่ง
“เอ๊ะ” เจนนาห์อุทานพร้อมหยุดชะงัก เธอมองคนตัวใหญ่ในชุดสีขาวยาวกรอมข้อเท้าซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าและกำลังมองกลับมาด้วยความแปลกใจ ก่อนนึกได้ว่าตนเองไม่ได้อยู่ในทะเลทรายคาร์นัค ‘ฉันต่างหากที่เป็นคนแปลกหน้าสำหรับที่นี่’ หญิงสาวคิดในใจก่อนถอยหลังหลบให้เขา
“เธอคือ?” เสียงชายหนุ่มวัยประมาณ 29 ถามขึ้น หญิงสาวจึงตอบพร้อมถามกลับบ้าง
“ฉัน...เป็นลูกสาวของชีคซาราน...แล้วคุณล่ะคะ”
“เจ้าชายคาซาล” คำแนะนำเรียบๆ พร้อมเชิดพระพักตร์เล็กน้อยนั้นทำให้เจนนาห์ตาโตและรีบทำความเคารพ
“เจ้าชายคาซาล...ขออภัยเพคะ ฝ่าบาทคงมาเยี่ยมพ่อ”
“อืม...ถ้าเธอเป็นลูกสาวท่านซารานทำไมเมื่อวันก่อน...วันที่ท่านซารานมาที่นี่ทำไมฉันไม่เห็นเธอ”
เจ้าชายคาซาลยังไม่ยอมเดินต่อ พระองค์ยกพระหัตถ์ขึ้นประสานกันที่พระอุระและมองสาวสวยเบื้องหน้าอย่างแปลกใจ เพราะคิดว่าหญิงสาวผมและนัตย์ตาสีน้ำตาลหวานราวน้ำผึ้งอีกทั้งมีรูปร่างเพรียวระหงคนนี้ไม่มีทางที่ใครได้เจอแล้วจะจำไม่ได้
“วันนั้น...หม่อมฉันไม่ได้อยู่ที่โอเอซิสใหญ่และเพิ่งตามมาทีหลังเพคะ” เจนนาห์ตอบและยังก้มหน้า คนที่ยืนอยู่จึงเงียบไปชั่วนาทีก่อนพูดขึ้นช้าๆ
“ถ้าอย่างนั้นฉันขอเดาว่าเธอชื่อ...เจนนาห์”
เจ้าของชื่อจึงเงยมองดวงพักตร์ของอีกฝ่ายอย่างแปลกใจเนื่องจากไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะรู้จักตนเอง และเมื่อเห็นเจ้าชายคาซาลแย้มสรวลอย่างคนที่แน่ใจว่าตนเองถูก เจนนาห์จึงพูดพร้อมหยักมุมปาก
“น่าตกใจจัง ทรงเดาแม่นยังกับแม่หมอยิปซีในอียิปต์”
“แม่หมอยิปซีในอียิปต์งั้นเหรอ” เจ้าชายคาซาลขมวดขนงเล็กน้อยก่อนหัวเราะในลำคอ เพิ่งรู้ว่าพวกผู้หญิงก็มีอารมณ์ขันเช่นกัน คราวนี้ทรงก้าวช้าๆ และชวน “เดินไปด้วยกันสิ ฉันจะไปเยี่ยมท่านซาราน เธอก็คงไม่ได้มีธุระสำคัญที่อื่นใช่ไหม”
“ค่ะ ไม่มีค่ะ” เจนนาห์ตอบรับพร้อมก้าวตามวรองค์สูงใหญ่
“เธอเป็นน้องสาวของนีสรีน?” เจ้าชายคาซาลถามอีกครั้ง
“ใช่เพคะ” เจนนาห์ตอบและนึกถึงเรื่องที่ได้ยินจากบีดัน นีสรีนกำลังจะได้อภิเษกสมรสกับเจ้าชายคาซาล และถึงมันจะเป็นข้อตกลงทางการเมืองแต่เธอก็อยากจะสร้างเครดิตให้พี่สาวเหมือนกัน “พี่นีสรีนเป็นผู้หญิงที่สวยแล้วก็เก่งการบ้านการเรือนที่สุดในอัลคาซาน"
“รองลงมาล่ะ”
“ก็พี่โซฟีล่า พี่ลาดียา...” คนโดนถามไล่ชื่อพี่สาวและญาติๆ หลายคน
“ไม่มีชื่อของเธอเลยนี่ ถ้างั้นหมายความว่าเธอไม่เก่งงั้นเหรอ หรือว่าทำได้แต่ไม่อยากอวด” เจ้าชายคาซาลเหยียดมุมโอษฐ์เท่าที่ทรงเรียนรู้จากมารดาและอาลีซ่า มีผู้หญิงน้อยคนนักที่จะบอกว่าคนอื่นเก่งกว่าตัวเอง แต่เจนนาห์กลับยอมรับอย่างไม่ขัดเขิน
“ไม่เก่งเลยเพคะ บีดันบอกว่าหม่อมฉันเก่งแต่เรื่องไม่เป็นเรื่อง แม่ชีคก้ายังเคยดุเป็นประจำว่าหม่อมฉันเป็นแค่เด็กไม่รู้จักโต”
“คนเราต้องมีสักอย่างสิ...ที่เราคิดว่าเก่งกว่าคนอื่น แม้แต่คนที่ถ่อมตัวที่สุด ก็ต้องคิดเข้าข้างตัวเองอยู่ในใจ...สวยกว่า ดีกว่า หรืออย่างน้อยก็ไม่น้อยหน้าใคร” เจ้าชายคาซาลหันมาถามเจนนาห์ หญิงสาวจึงหยุดเดิน ดวงตาสีน้ำตาลมองว่าที่องค์รัชทายาทแห่งซาราเวีย อดคิดไม่ได้ว่าความเห็นของเขานั้นแตกต่างจากเธอเหลือเกิน
“นั่นอาจจะเป็นความคิดของคนอื่นๆ แต่สำหรับหม่อมฉัน...หม่อมฉันไม่เคยคิดว่าตัวเองเก่งกว่าหรือดีกว่าใคร เพราะถ้าเราคิดแบบนั้นเราก็จะหยุดพัฒนาตัวเอง และก็คิดเสมอว่าตนเองเลิศเลอ สูงส่ง ทำถูกอยู่เสมอ หม่อมฉันชอบมองสิ่งที่อยู่สูงๆ อย่างชื่นชม มากกว่าการขึ้นไปยืนอยู่บนที่สูงๆ แล้วก็มองคนอื่นอย่างสมเพชเวทนา เพราะความรู้สึกมันจะต่างกันโดยสิ้นเชิง”
ดวงเนตรสีน้ำตาลเข้มมองเจนนาห์อย่างนึกไม่ถึงก่อนที่หญิงสาวจะร้องขึ้นอย่างนึกได้
“ตายล่ะ ฝ่าบาทเสด็จไปก่อนเถอะเพคะ หม่อมฉันลืมของ”
“ลืมของงั้นเหรอ” เจ้าชายคาซาลขมวดขนงเล็กน้อยก่อนถามขึ้น “แต่เธอจะตามเข้าไปในตำหนักใช่ไหม”
“ค่ะ แน่นอนค่ะ หม่อมฉันจะตามเข้าไป” คนตอบหยักมุมปากน้อยๆ และก้มศีรษะทำความเคารพก่อนเดินกลับไปทางที่เพิ่งจากมาอย่างรวดเร็ว
ภายในซุ้มเหล็กดัดทาสีขาวเจนนาห์รีบเดินตรงเข้าไปหมายจะหยิบปากกาและสมุดโน้ตของตนเอง ทว่าเมื่อมาถึงสองสิ่งนั้นกลับไม่อยู่เสียแล้ว หญิงสาวย่อตัวลงกับพื้น ก้มๆ เงยๆ หาอยู่สักครู่จนกระทั่งมีคนยื่นมันมาตรงหน้า
“หานี่อยู่หรือไง”
“ใช่ค่ะ” สาวสวยวัย 23 คว้าสมุดเล่นนั้นไว้ทันที เธอมองภาพซาตานน้อยตาสีฟ้าก่อนหายใจออกอย่างโล่งใจ จนกระทั่งใครคนนั้นถามขึ้น
“เธอวาดรูปใคร?”
“ก็...” เจนนาห์กำลังจะตอบแต่ก็นึกเอะใจเงยหน้ามอง และภาพบุรุษที่มองเห็นก็ทำให้ร่างเพรียวรีบลุกจนสะดุดเท้าตนเองกระทั่งล้มนั่งลงกับพื้นอีกครั้ง
“โอ๊ย!”
“เธอล้มอีกแล้ว” เจ้าชายไฟซารห์หัวเราะเบาๆ คนที่ล้มจึงนึกโมโห
“ก็เพราะคุณนั่นแหละ เจอกันทีไรคุณต้องทำฉันล้มทุกทีเลย”
“ฉันเป็นคนทำงั้นเหรอ โอเค” ราชนิกุลหนุ่มตรัสยิ้มๆ พร้อมยื่นมือให้ “ลุกขึ้นมาสิ”
“ไม่ต้องหรอก ฉันลุกเองได้” ร่างเพรียววางสมุดลงก่อนค่อยๆ ลุกขึ้นปัดฝุ่นดินตามตัว คนที่ยืนมองจึงถามอีกครั้ง
“ตกลงบอกได้หรือยังว่ารูปใคร ใช่รูปฉันหรือเปล่า”
“รูปอะไร?” คนวาดปิดสมุดลงพรึ่บ! ซ่อนรูปภาพนั้นอย่างไม่ยอมรับ
“ฉันเพิ่งรู้นะว่าตัวเองน่ารักขนาดนั้น” เจ้าชายไฟซารห์ยิ้มกริ่มพร้อมนั่งลงที่เก้าอี้สีขาวภายในซุ้ม คนที่ถือสมุดอยู่จึงขมวดคิ้วน้อยๆ
“คุณแอบหยิบสมุดของคนอื่นไปดู ไม่รู้สึกผิดบ้างหรือไง”
“รู้สึกผิด?...เธอต้องขอบคุณฉันถึงจะถูกที่เก็บสมุดไว้ให้ เพราะถ้ามีคนเก็บได้...” เจ้าชายไฟซารห์เงียบไปทรงจะบอกว่าถ้ามีคนเก็บได้คงตำหนิเธอแน่ๆ ที่เอารูปพระองค์มาล้อเล่นแบบนี้
“ใครเก็บได้ก็ช่างสิ แล้วคุณมาที่นี่ทำไม” เจนนาห์กอดสมุดเล่นนั้นไว้ก่อนถามเขา อีกฝ่ายจึงนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนชี้ที่เก้าอี้ตรงหน้า
“นั่งสิ”
“มีอะไรหรือเปล่าคะ” เจนนาห์ถามพลางนั่งลงตามที่อีกฝ่ายบอก
“ฉันมีเรื่องจะเล่าให้เธอฟัง...”
เจ้าชายหนุ่มมองคนที่อยู่ตรงหน้าพลางคิดทบทวนไปมาหลายรอบ เมื่อวันก่อนพอทรงรู้ว่าซากีร์จะไปรับบีดันที่โอเอซิสใหญ่ พระองค์ก็สั่งให้ทหารองครักษ์ใช้ความสามารถในการพูดชวนบีดันคุยเรื่องของเจนนาห์ในระหว่างการเดินทางกลับมาที่เมืองซาบัค
‘กระหม่อมทำตามที่ฝ่าบาทสั่งแล้ว แต่สังเกตจากการพูดและสีหน้าท่าทางบีดันจะไม่ชอบหลานสาวคนเล็กสักเท่าไหร่ครับ พอกระหม่อมถามถึงแม่ของเจนนาห์นางก็ทำปากขมุบขมิบและหยุดคุยไปเฉยๆ แม้ว่ากระหม่อมจะลองถามอีกเธอก็ทำท่าอึดอัดเหมือนคนที่อยากจะพูดแต่พูดไม่ได้ แถมทำหน้าเหมือนไม่ชอบใจเอามากๆ ด้วย...กระหม่อมไม่รู้ว่าสิ่งที่ทราบมาจะเป็นประโยชน์ต่อฝ่าบาทหรือเปล่า...แต่ถ้าฝ่าบาทยังติดใจสงสัยละก็ ตอนที่ไปส่งบีดันกระหม่อมเพิ่งจะรู้จักกับผู้หญิงชาวบ้านคนหนึ่งซึ่งเป็นชาวอัลคาซาน คิดว่าเธอคงต้องรู้อะไรบ้าง...’
เมื่อซากีร์ลงท้ายเช่นนั้นพระองค์จึงเอ่ยปากอนุญาต ต่อจากนั้นก็เข้าไปพบพระมารดาเพื่อถามเกี่ยวกับเรื่องเมื่อเกือบยี่สิบปีที่แล้วด้วย
‘จะรื้อฟื้นอีกทำไมไฟซารห์ ไม่มีใครอยากพูดถึงเรื่องนั้นหรอก’
‘แต่จนถึงตอนนี้ก็ไม่ใครเคยเจอสองคนนั้นเลยนะครับผมไม่เข้าใจว่าทำไมเสด็จพ่อถึงปิดเรื่องนี้ ทุกๆ คนก็ทำเฉยเมยเหมือนมันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทั้งๆ ที่มีคนตาย มีคนหายสาปสูญ’
‘ลูกไม่เคยลืมเรื่องนั้นเลยเหรอไฟซารห์ ตั้งเกือบยี่สิบปีแล้วนะ...อ้อ ถ้าอย่างนั้น...นี่ใช่ไหมสาเหตุที่ทำให้ลูกขอไปเรียนต่อที่สวีเดนแล้วก็ไม่อยากจะกลับมา’
‘ถ้าแม่รู้สึกเอ็นดูใครสักคน...มีความสุขเวลาได้อยู่ใกล้ ได้ดูแล ได้ปกป้อง แล้วจู่ๆ วันหนึ่งสิ่งเหล่านั้นก็หายไปราวกับไม่เคยมีตัวตน แม่จะรู้ว่าผมรู้สึกยังไง’
“ว่าไงล่ะ คุณจะเล่าเรื่องอะไรกันแน่”
เสียงของเจนนาห์ทำให้ราชนิกุลหนุ่มออกจากภวังค์ ดวงเนตรสีไพลินจ้องหญิงสาวตรงหน้าก่อนผ่อนลมหายใจออกมาเล็กน้อย ทรงมีหลายอย่างอยากจะถามเจนนาห์แต่เมื่อถึงเวลาจริงๆ กลับไม่รู้จะเริ่มอย่างไร
“...จำเด็กผู้ชายกับเด็กผู้หญิงที่เราเจอเมื่ออาทิตย์ที่แล้วได้ไหม” ในที่สุดก็ทรงเท้าความ อีกฝ่ายจึงพยักหน้าดวงตาสีน้ำตาลแวววาวเหมือนเข้าสู่ความทรงจำ ความรู้สึกบางอย่างที่เกิดขึ้นในวันนั้นยังอบอวลอยู่ในใจ
“จำได้สิคะ เด็กผู้ชายที่ปกป้องเด็กผู้หญิงคนหนึ่งอย่างกล้าหาญ โตขึ้นเขาจะต้องกลายเป็นชายหนุ่มที่อบอุ่นที่สุดแน่ๆ เลย”
“งั้นเราไปเยี่ยมพวกเขาไหม” จู่ๆ ก็ทรงยืนขึ้นและเอื้อมคว้าแขนหญิงสาว เจนนาห์พยายามชักแขนกลับก็ทำไม่ได้จึงได้รีบเดินตามอีกฝ่ายและลืมเรื่องที่รับปากเจ้าชายคาซาลว่าจะตามเข้าไปเสียสนิท
นอกเขตเมืองซาบัคเป็นเส้นทางลาดยางกลางเก่ากลางใหม่ สองข้างทางเป็นที่อยู่อาศัยสลับกับที่โล่งกว้าง บริเวณชุมชมนั้นมีตึกเก่าๆ สองชั้นซึ่งเป็นร้านขายของหรือบ้านเรือนตั้งอยู่ ซึ่งพอถึงจุดหมายเจ้าชายหนุ่มก็จอดรถขับเคลื่อน 4 ล้อสีบอร์นเงินและพาเจนนาห์เดินเข้าไปตามซอกตึก
“ท่าทางคล่องแคล่วจัง”
เจนนาห์แซว อีกฝ่ายจึงหันมามองหน้าหญิงสาวและหยักมุมปากน้อยๆ แต่ไม่พูดว่าอะไร จนกระทั่งทางแคบๆ นั้นขยายเป็นที่ดินกว้างและเต็มไปด้วยสิ่งปลูกสร้างซึ่งแออัดกันอยู่ ภาพที่เห็นนั้นจะเรียกว่าบ้านก็น่าใช่แต่แทนที่ฝาผนังเหล่านั้นจะเป็นปูนโบกหนาแน่นกลับกลายเป็นสิ่งของที่สามารถหยิบมาใช้ได้โดยไม่เสียเงิน เช่นผ้าพลาสติกเก่าๆ เศษป้าย เศษกระดาษ หรือวัสดุแข็งๆ
“พี่ชาย”
เสียงนั้นดังขึ้นเกือบจะทันทีที่ทั้งสองโผล่พ้นซอกตึก เจนจิรามองเด็กผู้หญิงวัย 4 ขวบซึ่งเธอเคยเจอเมื่อวันก่อน แม้ตอนนั้นคิ้วเรียวยังขมวดน้อยๆ กับสภาพเบื้องหน้าทว่าก็ยังคลี่ยิ้มให้เด็กน้อย ถ้าจะให้คำจำกัดความกับสิ่งที่เธอเห็นก็คงต้องใช้คำว่า ‘ชุมชนแออัด’ หรือ ‘สลัม’ ดีๆ นี่เอง
“อาหมัด พี่ชายมา”
ละตีฟาตะโกนเรียกเด็กผู้ชายซึ่งไม่นานก็เดินตามออกมาจากบ้านซึ่งสร้างจากโครงไม้และผ้าพลาสติกกั้นเป็นฝา
“ว่าไงสาวน้อยละตีฟา”
เจ้าชายไฟซารห์เรียกพร้อมอุ้มเด็กผู้หญิงคนนั้นขึ้นและยกมือทักทายเด็กผู้ชายที่เดินเข้ามาหา ภาพที่เห็นทำให้เจนนาห์แน่ใจว่าเขาเคยมาที่นี่แล้วก่อนหน้าที่จะพาเธอมาในวันนี้ ทั้งหมดเดินผ่านเพิงพักต่างๆ ไปนั่งที่เศษปูนหักๆ ด้านหลังซึ่งปรับที่ร้างให้เป็นสนามดินทรายเรียบ มีของเล่นเก่าๆ วางอยู่เกลื่อนกลาด
“พวกเขาเคยอยู่ในทะเลทราย” บุรุษหนุ่มเปรยขึ้นก่อนเล่าต่อ “แต่ทุกวันนี้โลกร้อนขึ้นแหล่งน้ำใต้ดินกลายเป็นน้ำเค็มที่ใช้การอะไรไม่ได้ พวกเขาก็เลยอพยพกันเข้ามาอยู่ในซาราเวีย มาอย่างคนที่ไร้ที่ทำกิน มาตายเอาดาบหน้าเพราะอยู่ในทะเลทรายก็ตายเหมือนกัน”
“ชาวทะเลทรายงั้นเหรอ” เจนนาห์พึมพำ ในขณะที่ร่างสูงลุกขึ้นยืนใช้เท้าหยุดลูกบอลซึ่งมีคนเตะมาให้ก่อนจะเลี้ยงมันเข้าไปวิ่งเล่นกับเด็กๆ หลายคน
ร่างเพรียวยังนั่งอยู่ที่เดิม ภาพความเป็นอยู่เบื้องหน้าสะท้อนใจของเธอเป็นอย่างมาก คิ้วงามจึงขมวดมุ่นดวงตาสีน้ำตาลมองภาพร่างสูงแกร่งซึ่งวิ่งเลี้ยงลูกบอลเล่นกับเด็กๆ ทั้งหญิงและชาย บุรุษหนุ่มมีรูปร่างที่สง่าทว่าไม่เทอะทะ เขาปราดเปรียว เคลื่อนไหวได้งดงาม สง่างามอย่างที่บรุษเพศควรจะมี แม้ในยามที่เจนนาห์กำลังหดหู่กับสภาพของชาวทะเลทรายทั้งหลายนั้น รอยหยักยิ้มมุมปากของเขาก็ทำให้เธออดยิ้มตามด้วยไม่ได้และคงจะมองอีกเนิ่นนานหากเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ไม่ล้มลงเสียก่อน
“แงๆๆๆ”
“เป็นอะไรหรือเปล่า”
เจ้าชายไฟซารห์หยุดวิ่งทันที ทรงโผเข้ามาอุ้มร่างเล็กๆ นั่นขึ้นอย่างอ่อนโยน ภาพที่เห็นทำให้เจนนาห์ลุกขึ้นยืน ในสายตาของเธอนั้นกลายเป็นภาพของเด็กชายวัยประมาณ 9 ขวบตัวสูงเปรียวกำลังอุ้มเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ไว้พร้อมหันไปมองเด็กคนอื่นด้วยดวงตาที่ดุดัน ‘พวกนายทำเธอเจ็บ’
“เจนนาห์”
เสียงเรียกของเขาทำให้หญิงสาวออกจากภวังค์ ใจของเธอยังเต้นดังเหมือนตนได้กลายเป็นเด็กผู้หญิงคนนั้นเสียเอง
“คะ” หญิงสาวสะบัดศีรษะและตอบเขา ดวงตาสีน้ำตาลมองอีกฝ่ายเนิ่นนานจนบุรุษหนุ่มหรี่ตาลงอย่างสงสัยแต่ก็สั่ง
“รับยาสิ จะได้ทำแผลให้ละตีฟา”
“ค่ะ” เจนนาห์ตอบอีกครั้งและรับกระเป๋ายาสะอาดสะอ้านจากเด็กผู้ชายที่ชื่ออาหมัดก่อนลงมือทำความสะอาดแผลถลอกให้เด็กหญิงละตีฟาโดยใช้สำลีชุบน้ำเกลือเช็ดและป้ายสำลีชุบยาทาลงบนเข่าคนที่ยังร้องไห้จ้า สะอึกสะอื้นราวกับเป็นเรื่องที่น่าเสียใจเหลือเกิน และร่างเล็กๆ นั้นยังอยู่บนตักของบุรุษหนุ่ม
“อย่าร้องเลยจ๊ะ แผลแค่นี้เองเดี๋ยวก็หาย รับรองว่าถ้าทายาทุกวันเดี๋ยวขาก็สวยเหมือนเดิมแล้ว”
หญิงสาวปลอบ และไม่น่าเชื่อว่าเสียงร้องจ้านั้นจะหยุดลงแทบจะทันใด เจ้าชายไฟซารห์และเด็กๆ ที่ยืนมุงยังมองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ เจนนาห์เลยกระแอมเล็กน้อย ยังไงๆ ก็อดภูมิใจเล็กๆ ไม่ได้
“ขาหนูจะหาย อึกๆ แน่ๆ นะ อึกๆ”
ละตีฟาถามพร้อมเสียงสะอื้นที่ตัวเองพยายามหยุดมัน เจนนาห์จึงยิ้มและเล่าให้ฟังขณะที่เอาผ้าก๊อซใหม่เอี่ยมแปะลงบนเข่าอีกฝ่าย
“แน่นอนสิ ตอนเด็กๆ ฉันก็เคยหกล้มบ่อยๆ” ใบหน้าสวยชะงักเล็กน้อยก่อนชี้บริเวณขาตัวเอง “แต่ตอนนี้ไม่มีแม้แต่รอยแมวข่วน”
“งั้นตอนนี้พี่ก็เป็นเจ้าสาวได้แล้วน่ะสิ” คำถามของเด็กน้อยทำเอาคนฟังงง
“หมายความว่าไงจ๊ะ”
“ก็ถ้าขาเป็นแผลเดี๋ยวไม่สวยเป็นเจ้าสาวไม่ได้ แล้วหนูก็ตั้งใจจะเป็นเจ้าสาวของพี่ชายนี่คะ” เด็กหญิงมองคนที่อุ้มตนเองอยู่ ทำให้เจ้าชายไฟซารห์ชะงักเล็กน้อยก่อนหัวเราะในลำคอเมื่อเห็นเจนนาห์ทำหน้างงๆ อย่างไม่อยากเชื่อ
ทั้งสองคนออกจากชุมชนนั้นในตอนเย็นและเจนนาห์ก็นั่งนิ่งคิดวกวนกับภาพความทรงจำที่เธอเห็น หญิงสาวไม่เคยนึกถึงเรื่องของตัวเองในวัยเด็กเลย เกือบยี่สิบปีแล้ว เมื่อจำความได้ตนเองก็อยู่ในอัลคาซานมาตลอด เธอไม่เคยคิดเป็นอื่นเลย
“พวกเขาไม่มีแม้แต่เงินจะซื้อยารักษาโรค”
เสียงของเจ้าชายไฟซารห์ทำให้หญิงสาวออกจากภวังค์ เธอหันไปมองชายหนุ่มที่ขับรถก่อนนึกถึงกล่องยาสะอาดสะอ้านใหม่เอี่ยมกล่องนั้น เมื่อหยิบอุปกรณ์ชั้นดีข้างใน เจนนาห์ยังนึกแปลกใจอยู่เลย
“คุณซื้อให้พวกเขาใช่ไหม”
“ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ามีที่แบบนี้ในซาราเวีย”
คนขับรถไม่ตอบแต่คนถามพอจะเดาออก เป็นอีกครั้งที่เธอรู้สึกดีๆ กับชายหนุ่ม ณ ตอนนี้ใบหน้าของเขาดูเคร่งเครียด ดูใส่ใจ และห่วงใยความรู้สึกของคนที่ต้องอดทนใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะแร้นแค้นลำบากเช่นนั้น มันเป็นความรู้สึกซึ่งไม่ต่างไปจากตัวเธอเลย
เจนนาห์อดไม่ได้ที่จะนึกถึงเรื่องราวของเผ่าตนเอง สิ่งที่เธอได้ยินพวกผู้ใหญ่คุยกันก็ไม่ต่างไปจากสิ่งที่บุรุษผู้นี้ได้รู้มาจากชาวบ้านในชุมชนแออัด หญิงสาวหวังแค่ว่าการแต่งงานของพี่นีสรีนกับเจ้าชายคาซาลคงจะทำให้พี่น้องชาวอัลคาซานไม่ต้องตกอยู่ใสภาพแบบนี้
“ว่าไงเจนนาห์...”
เสียงที่คนขับเรียกทำให้หญิงสาวออกจากภวังค์ ตอนนั้นเขาขับรถจนใกล้จะเข้าเมืองซาบัคแล้วแต่ข้างๆ ทางก็ยังเป็นชานเมืองที่เงียบสงบอยู่
“คะ” เพราะความคิดที่หลากหลายจึงไม่รู้เลยว่าเขาพูดอะไรก่อนหน้านั้น คนถามจึงหรี่ตาลง
“คิดอะไรอยู่”
“อะไรนะคะ”
“ฉันเห็นเธอเงียบมาตลอดทางเลย คิดอะไรอยู่”
“ก็...เปล่านี่คะ” เจนนาห์ตอบไม่ถูก เธอคิดว่าคงต้องใช้เวลาหรือข้อมูลในการที่จะคิดหรือพูดอะไรออกไปสักอย่าง เจ้าชายหนุ่มมองดวงหน้านวลซึ่งกลายเป็นสีชมพูขึ้นเล็กน้อยยามเกิดเหตุการณ์ที่ไม่ทันตั้งตัว ริมโอษฐ์เหยียดออกน้อยๆ ก่อนถามขึ้น
“งั้นพรุ่งนี้จะไปด้วยกันไหม”
“ไปด้วยกัน หมายถึงอะไรคะ” คนถูกถามมองหน้าชายหนุ่มอย่างขอโทษ เธอไม่ได้ฟังเขาเลยจริงๆ คนถามจึงจอดรถที่ข้างทางและหันมามอง
“ก่อนหน้านี้ฉันบอกว่าพรุ่งนี้จะไปที่วิหารร้างนั่นและถามเธอว่าอยากไปด้วยกันไหม” ทรงขยับเข้ามาใกล้หญิงสาวและดวงเนตรสีไพลินจ้องอย่างจับผิด
“เธอโกหกเรื่องที่บอกว่าไม่ได้คิดอะไรอย่างนั้นใช่หรือเปล่า”
“เปล่านะ”
เจนนาห์รีบปฏิเสธพร้อมมองใบหน้าหล่อเหลา คิ้วเข้มนั้นขมวดน้อย นัยน์ตาสีไพลินจ้องเหมือนกำลังค้นหาอะไรสักอย่างบนใบหน้าหรือบนร่างของเธอ นี่มันความรู้สึกแบบไหนกันแน่ หญิงสาวถามตัวเอง แล้วนี่ก็ไม่ใช่สาเหตุที่เขาจอดรถใช่ไหม เขาโกรธกะแค่เรื่องที่เธอตอบว่าไม่ได้คิดอะไรงั้นเหรอหรือว่าเธอพูดอะไรผิด ‘ให้ตายเถอะเจนนาห์’ หญิงสาวร้องในใจเพราะตอนนี้เธอเริ่มรู้สึกว่าบุรุษตรงหน้ามีความสามารถในการทำให้ใจของเธอสับสนและเต้นดังโครมครามได้โดยไม่รู้ตัวเลย
“แปลก” ที่สุดเสียงทุ้มก็ดังขึ้นพร้อมหรี่ตาลงเหมือนกำลังสงสัยอะไรสักอย่าง ดวงพักตร์คมนั้นอยู่ห่างใบหน้าหญิงสาวแค่คืบ ใกล้จนลมหายใจเบาๆ ผ่าวมากระทบใบหน้านวล
“หมาย...ถึง...อะไรคะ” หญิงสาวถามขึ้นตะกุกตะกัก
“ฉันสงสัยว่าผู้หญิงที่อยู่ในทะเลทรายคานัคเค้าใช้อะไรดูแลรักษาผิวกัน” ขณะถามดวงเนตรสีสวยก็จ้องแก้มนวลผ่องไม่วางตาทำให้เจนนาห์รู้สึกร้อนวาบไปทั่วร่างและถามเสียงเบาหวิว
“คุณจะอยากรู้ไปทำไม”
“เพราะฉันไม่เคยรู้สึกอยากสัมผัสใครมากขนาดนี้มาก่อนเลย” เอ่ยจบคำพระหัตถ์ที่วางอยู่ด้านหลังหญิงสาวก็ขยับมาไล้แก้มเนียนเบาๆ และก้มพระพักตร์ลงแตะริมฝีปากอุ่นๆ บนที่เรียวปากนุ่มสีชมพูของเจนนาห์ราวครึ่งนาที ก่อนจะหันกลับไปบิดกุญแจสตาร์ทรถขับออกไปจากจุดนั้น
ช่วงเวลาที่ผ่านไป...ทำให้หญิงสาวแทบจะหยุดหายใจ ถึงตอนนี้เธอจึงรู้สึกตัวเองว่ากำลังกลายร่างเป็นหุ่นขี้ผึ้งหรือะไรสักอย่างที่พร้อมจะละลายได้ไม่ยากยามถูกเขาสัมผัส ‘ให้ตายเถอะเจนนาห์ รีบรู้สึกตัวเดี๋ยวนี้นะ’ หญิงสาวเรียกตัวเองไปตลอดทางจนรถจอดลงในขอบรั้วพระราชวังซาบัค
“เจนนาห์”
เมื่อก้าวเท้าเข้าสู่ตำหนักรับรองเสียงเรียกนั้นก็ดังขึ้นจากปากของท่านชีคซาราน เขาคอยลูกสาวคนเล็กอยู่ที่ห้องโถงของตึกรับรองจนค่ำ และเมื่ออีกฝ่ายเดินเข้ามาก็ถามขึ้นทันที
“ไปไหนมา รู้ไหมว่าเจ้าชายคาซาลเสด็จมาที่นี่”
“ค่ะ” เจนนาห์สะดุ้งเล็กน้อยเพราะไม่คิดว่าจะมีใครรออยู่ คำพูดของบิดาทำให้นึกได้ว่าตนบอกให้เจ้าชายคาซาลเข้าตำหนักมาก่อนโดยตนจะตามมาทีหลัง ใบหน้านวลเหลือบมองประมุขของอัลคาซานด้วยสีหน้าเจื่อนๆ และเมื่อนั้นจึงเห็นว่ารีฮานยืนอยู่ด้านหลังด้วย
“เหลวไหลจริงๆ”
ท่านซารานรู้สึกโมโหขึ้นมาจริงๆ เจนนาห์นั้นไม่เคยคิดว่าพิธีหรือกฎการปฏิบัติต่างๆ มีความหมาย นั่นอาจเป็นเพราะเขาตามใจอีกฝ่ายมากเกินไปจริงๆ อย่างที่บีดันว่า
“อีกหน่อยต้องมาอยู่ที่นี่แล้วลูกต้องทำตัวเสียใหม่นะเจนนาห์”
“มาอยู่ที่นี่หมายความว่ายังไงคะ พ่อคงหมายถึงพี่นีสรีนที่ต้องอยู่ที่นี่ คงไม่ได้หมายความว่าเจนต้องอยู่ด้วยหรอกนะคะ” เจนนาห์ถามอย่างไม่เข้าใจ ท่านซารานจึงอึกอักเพราะยังพูดอะไรมากไม่ได้ สุดท้ายเขาจึงบอกบุตรีคนเล็ก
“ไปนอนเถอะ”
“เอ่อ...เดี๋ยวค่ะท่านพ่อ” เจนนาห์เรียกขึ้น
“มีอะไร”
“คือว่า” เจนนาห์รู้สึกถึงความอึดอัดซึ่งเริ่มก่อตัวขึ้นเรื่อยๆ ทุกอย่างเริ่มต้นตั้งแต่ครั้งเดินทางเข้าใกล้ซาราเวีย ตั้งแต่ไปวิหารร้าง รวมถึงผู้ชายที่มาส่งตนเองด้วย และคนที่จะให้คำตอบได้ดีที่สุดก็คงมีเพียง...
“ท่านพ่อคะ เจนมีเรื่องจะถาม...ตอนเด็กๆ เจนเคยมาที่ซาราเวียใช่ไหมคะ และเคยไปที่วิหารอะไรอย่างหนึ่งที่นอกเมือง ตอนเด็กๆ เจนจำได้ลางๆ ว่าเคยมีเพื่อน เคยมีอดีตที่นี่ใช่ไหมคะ”
“เจนนาห์!” ท่านซารานเรียกเสียงเครียด “เธอเป็นลูกสาวของฉัน แม่ของเธอเป็นผู้หญิงไทยชื่อจันทรา จำไว้นะเจนนาห์ ไม่ว่าใครจะพูดอะไรก็บอกไปแค่นั้น ไปนอนได้แล้ว!”
“แต่ว่า...” เจนนาห์รู้สึกงงกับคำตอบที่ได้ฟังนักแต่อีกฝ่ายก็ไม่รอให้เธอถามหรือสงสัยอะไรทั้งนั้น
“กลับห้องไปเดี๋ยวนี้!”
หัวหน้าเผ่าอัลคาซานส่งเสียงลั่นและเริ่มไออีกครั้งหลังจากไม่มีอาการเช่นนี้มาหลายวันแล้ว รีฮานเดินออกมาจากมุมหนึ่งและช่วยประคอง แต่พอเจนนาห์จะช่วยบ้างท่านซารานกลับชี้มือสั่งให้หญิงสาวกลับไปบนห้อง จนเมื่อลับร่างเพรียวแล้ว ชายมีอายุจึงกลับไปห้องของตนเองบ้างและสั่งรีฮาน
“กลับไปที่โอเอซิสใหญ่ กำชับทุกคน อย่าให้ใครพูดเรื่องเมื่อสิบเก้าปีที่แล้วเป็นอันขาด ถ้าเรื่องนี้รั่วไหลออกจากปากใครล่ะก็ฉันจะไม่อภัยเลย!”
และบังเอิญว่าตอนนั้นชีคก้านาบีร่าอยู่ในห้องของท่านชีค หญิงมีอายุมองสามีและขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ “เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ”
“เธออยู่ก็ดี! ได้ยินแล้วใช่ไหมว่าฉันพูดว่ายังไง”
“ค่ะ ท่านพี่พูดว่าเรื่องเมื่อสิบเก้าปีที่แล้ว อย่าให้ใครพูดเรื่องแม่ของเจนนาห์”
“ได้ยินก็ดี งั้นอย่าลืมไปสั่งลูกสาวของเธอและก็บอกบีดันด้วย ถ้าใครปากโป้งละก็ อย่าหาว่าฉันใจร้าย” ชีคซารานปรายตามองภรรยา ทำให้ชีคก้านาบีร่าเม้มปากน้อยๆ นางคิดมาเสมอว่าเรื่องแม่ของเจนนาห์กับเรื่องของเด็กผู้หญิงคนนี้มักเป็นเรื่องใหญ่ในสายตาของท่านซารานแต่ไม่นึกว่าผ่านมาหลายปีแล้วแต่เค้าก็ยังไม่ลืม...
“ฉันจะบอกทุกคนค่ะ”
“งั้นก็ออกไปเถอะ” ท่านซารานพูดพร้อมหยิบยาขึ้นจิบ นัยน์ตามองด้านหลังของรีฮานกับชีคก้านาบีร่าซึ่งกำลังเดินออกไป มือหนาหยิบจดหมายเล็กๆ ที่สอดไว้ในเสื้อออกมาอ่านอีกครั้งอย่างชั่งใจ
ข้อความในจดหมายนั้นคือ
‘ท่านซาราน...อย่าลืมสัญญาของเราเมื่อสิบเก้าปีที่แล้ว ท่านต้องส่งลูกสาวของนางมาเพื่อเป็นรานีของสุลต่านแห่งซาราเวีย นั่นคือสิ่งเดียวที่เราจะทำให้นางได้เพื่อเป็นการไถ่โทษ...ไม่เช่นนั้นเราคงรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต แต่สำหรับเรื่องในอดีตได้โปรดเก็บมันไว้เป็นความลับตลอดไป เพราะการเปิดเผยของมันอาจทำให้ซาราเวียสั่นคลอนได้ กรุณาทำให้มันจมหายลงไปในผืนทราย...
สุลต่านอัสตาฟา’
*************************************************************

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 22 มี.ค. 2557, 09:12:32 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 22 มี.ค. 2557, 09:12:32 น.
จำนวนการเข้าชม : 1376
<< 7 | 9 >> |

Siang 22 มี.ค. 2557, 10:43:06 น.
แม่นางเอกเป็นใครกันแน่
แม่นางเอกเป็นใครกันแน่

แว่นใส 22 มี.ค. 2557, 15:41:50 น.
แต่พี่ชายพระเอกดูเป็นคนทะเยอทะทาน นิสัยไม่ดีนะ
แต่พี่ชายพระเอกดูเป็นคนทะเยอทะทาน นิสัยไม่ดีนะ

Zephyr 2 เม.ย. 2557, 09:37:40 น.
อ้าวววว ตกลงเจจนาห์เกี่ยวกับราชวงศ์รึป่าว ถ้าเกี่ยวกัน แล้วทำไงละ จะคู่กับไฟซารห์ยังไง
เจ้าชายคาซาลดูนิสัยไม่ดีนะ ทะเยอทะยาน เห็นแก่ตัวไงไม่รู้ค่ะ
อ้าวววว ตกลงเจจนาห์เกี่ยวกับราชวงศ์รึป่าว ถ้าเกี่ยวกัน แล้วทำไงละ จะคู่กับไฟซารห์ยังไง
เจ้าชายคาซาลดูนิสัยไม่ดีนะ ทะเยอทะยาน เห็นแก่ตัวไงไม่รู้ค่ะ