ไฟรักทรายเสน่หา
'ทะเลทรายมักแอบซ่อนความรักและมนตร์ขลังเอาไว้เสมอ' ‘เจน’ สาวน้อยลูกครึ่งไทย-อาหรับ รับรู้มาตลอดว่าตนเองเป็นชาวทะเลทราย ทว่าวันหนึ่ง ‘ไฟซารห์’ เจ้าชายหนุ่มรูปงามกลับเข้ามาทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลง...หญิงสาวจะทำเช่นไรเมื่ออดีตถูกเปิดเผยและความรักก็เร่งเร้ารุนแรงจนเธอไม่อาจสั่งการหัวใจตนเองได้
Tags: ทะเลทราย ความรักหวานซึ้ง เข้มข้น

ตอน: 9

Siang - ใกล้จะรู้แล้ว? ^^

แว่นใส - เจ้าชายคาซาลเป็นรัชทายาทก็เลยถูกปลูกฝังนิสัยแบบนั้นค่ะ ^^


ตอนที่ 9



เพราะเรื่องคืนนั้นทำให้ท่านซารานตัดสินใจเรียกเจนนาห์มาพบ ชายมีอายุอยู่ในชุดของชาวทะเลทราย โครงร่างของเขาดูใหญ่แม้จะผอมไม่ได้มีเนื้อหนังมากมายแบบชายฉกรรจ์และเมื่อหญิงสาวมาถึงเขาก็ถามเธอว่ารู้เรื่องความเปลี่ยนแปลงของทะเลทรายคาร์นัคหรือไม่

“ลูกทราบค่ะรวมทั้งเรื่องที่พี่นีสรีนจะเป็นคนผสานความเข้าใจระหว่างพวกเรากับพวกมัสตาฟาด้วย”

“อย่างนั้นเหรอ คงรู้มาจากบีดันสินะ” ท่านซารานเดานิสัยน้องสาวออก เขารู้ดีว่าบีดันไม่ชอบเจนนาห์และชอบนำหลานสาวคนโปรดมาเปรียบเทียบหรือมาอวดกับอีกฝ่ายเสมอ สาเหตุนี้สินะนางจึงเป็นทุกข์เป็นร้อนถ้าทุกอย่างไม่ได้เป็นอย่างที่คิด

เจนนาห์ไม่ตอบเพราะการฟ้องเพื่อเอาดีเข้าตัวเอาชั่วให้คนอื่นไม่ใช่นิสัยที่น่าพิศสมัยสำหรับเธอ หญิงสาวยินดีตัดสินปัญหาทุกอย่างด้วยตนเองเสมอ และท่านซารานก็รู้ดีว่าเจนนาห์มีความฉลาดพอที่จะคิดเรื่องพวกนี้เพียงแต่ความเป็นหญิงจึงมักถูกกีดกัน

“แล้วลูกคิดยังไง”

“ท่านพ่อถามลูก?”

“ใช่สิ พูดออกมาได้เลย ตอนนี้ไม่มีใครอยู่นอกจากเราสองคน” ท่านซารานเปิดโอกาสให้หญิงสาวแสดงความคิด

“ถ้าให้พูดในฐานะชาวบ้านคนหนึ่งลูกคงดีใจที่เห็นเราสองเผ่าเข้าใจกัน การอภิเษกถือว่าไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบ ตำแหน่งชายาหรือรานีองค์ต่อไปก็น่าจะทำให้พี่นีสรีนมีความสุขและชาวอัลคซานก็มีที่อยู่อาศัย เจ้าชายคาซาลก็ดูจะเป็นสุลต่านที่ดี ส่วนคนอื่นลูกยังไม่เคยเจอเหมือนกัน”

“งั้นถ้าพ่อเปลี่ยนตัวจากนีสรีนเป็นลูกล่ะ ลูกจะยินดีไหม” คำถามจากท่านชีคซารานทำเอาเจนนาห์นิ่งอึ้งไปก่อนที่จะหยักมุมปากน้อยๆ

“ท่านพ่อล้อเล่นแน่ๆ พี่นีสรีนเหมาะสมกับการเป็นแม่ศรีเรือน เหมาะสมกับการเป็นชายา เป็นรานีของเจ้าชายคาซาลที่สุดแล้ว”

“ถ้านีสรีนไม่ยอมแล้วก็คิดจะให้ลูกแต่งงานแทนล่ะ”

“ก็ยังมีพี่สาวหรือว่าญาติคนอื่นๆ ที่ดีพร้อมกว่าลูก...ราชวงศ์มัสตาฟาคงไม่อยากได้ชายาที่เก่งแต่เที่ยวเล่นแบบลูกหรอกค่ะ” เจนนาห์ยืนยัน เธอไม่เคยคิดเรื่องพวกนี้เลยจริงๆ ไม่เคยคิดว่าเลยว่าตัวเองควรเป็นแม่ศรีเรือนของใคร การสนทนาในวันนั้นจึงจบลงด้วยการที่ท่านซารานเปรยๆ เรื่องความเปลี่ยนแปลงของทะเลทรายและความเป็นห่วงเรื่องการเข้ามาอยู่ในซาราเวีย นั่นทำให้เจนนาห์อดนึกแหล่งชุมชนแออัดที่ตนไปกับไฟซารห์ไม่ได้ ทว่าหญิงสาวก็ไม่ได้เล่าให้บิดาฟังเพราะเกรงว่าเขาจะไม่สบายใจเพิ่มขึ้นอีก



หลายวันต่อมาเจนนาห์นั่งอยู่ที่ซุ้มเหล็กดัดสีขาวในใจคิดถึงไฟซารห์ผู้ชายที่ทำให้หลายสิ่งหลายอย่างในจิตใจว้าวุ่นอย่างบอกไม่ถูก เมื่อคิดได้เช่นนี้จึงนึกได้ว่าตั้งแต่เดินมาเหยียบซาราเวียเธอก็มีเรื่องให้คิดมากมายเหลือเกิน

“ทำอะไรอยู่ เจนนาห์” เสียงที่ดังขึ้นนั้นเป็นเสียงของนีสรีน หญิงสาวปรากฏตัวขึ้นและนั่งลงในฝั่งตรงข้าม

“ก็นิดหน่อยค่ะ...” เจนนาห์ตอบตามจริงเพราะเธอก็แค่นั่งอะไรไปเรื่อยๆ เท่านั้นเอง พี่สาวต่างมารดาจึงยกมุมปากน้อยๆ ก่อนเปรย

“นึกว่ารอใครอยู่”

“รอใคร...พี่นีสรีนหมายความว่ายังไงคะ เจนไม่ได้รอใครสักหน่อย”

“ก็ไม่รู้สิ...เห็นเมื่อวันก่อนก็มีใครมาส่งเธอ น่าสงสัยเหมือนกันนะว่าทำไมถึงไม่มาจอดรถตรงหน้าตำหนัก”

“เขาเป็นเพื่อนของเจนค่ะ....” เจนนาห์ตอบพี่สาวก่อนคิดตาม หลายครั้งที่ผ่านมาไฟซารห์มักจะจอดรถใกล้ๆ ตำหนักแต่ไม่เคยจอดที่ด้านหน้าโดยตรงเลยสักครั้งจริงๆ อย่างที่พี่สาวบอก

“เพื่อนงั้นเหรอชื่ออะไร ใช่คนที่เธอบอกว่าพาเธอมาหาหมอหรือเปล่า เธอยังไม่เคยบอกพวกเราเลยนะว่าเขาชื่ออะไร” นีสรีนถามน้องสาวอย่างจับผิด ความจริงเธอไม่เห็นน้องสาวหรอกแต่บีดันเป็นคนบอกเรื่องนี้กับตนเอง และหญิงสาวก็ไม่อยากให้เจนนาห์ไปไหนมาไหนกับคนแปลกหน้าเพราะจะนำความเสื่อมเสียมายังเผ่าและท่านซารานด้วย

“ใช่ค่ะ เขาเป็นคนที่พาเจนไปหาหมอ เขาชื่อไฟซารห์”

“ไฟซารห์งั้นเหรอ” เสียงของนีสรีนดูตกใจระคนโล่งใจและถามอีกครั้ง “เธอเจอกับเจ้าชายไฟซารห์...พระโอรสของสุลต่านอัสตาฟา รัชทายาทลำดับที่ 2 แล้วงั้นเหรอ พวกเราที่ตำหนักยังไม่เคยมีใครเจอฝ่าบาทเลยนะแล้วเธอไปเจอพระองค์ได้ยังไงกัน”

“เจ้าชาย...ไม่ใช่มั๊งคะ เค้าเป็นแค่...สามัญชนธรรมดาๆ ไม่ได้เป็นเจ้าชายอะไรหรอกค่ะ ตอนที่เจนเข้ามาหาหมอก็เคยไปพักบ้านของเขาแล้วไม่เห็นมีใครเรียกเขาว่าเจ้าชายเลย” เจนนาห์งงๆ คำกับเรียกของพี่สาว เธอนึกถึงบ้านของอีกฝ่ายที่ตนเองไปในวันนั้น ถึงมันจะดูสะดวกสบายแต่ก็ไม่ได้อะไรแสดงถึงยศถาบรรศักดิ์

“จริงเหรอ” นีสรีนขมวดคิ้ว น้องสาวจึงยืนยันและถามอย่างแปลกใจ

“แต่พี่ไม่เคยเห็นเขาสักหน่อย แล้วทำไมถึงคิดว่าเค้าเป็นเจ้าชายล่ะคะ”

“เพราะเขาชื่อนั้นน่ะสิ ตั้งแต่เราอยู่ที่นี่ ฉันเคยได้ยินคนอื่นพูดชื่อของพระองค์หลายครั้ง แถมยังเคยได้ยินพวกนางกำนัลพูดว่าทรงเสด็จมาแถวนี้บ่อยๆ ด้วย...” นีสรีนทำท่าคิดก็พูดขึ้นมาอย่างนึกได้ “ที่จริงสมัยเด็กฉันก็เคยเจอกับเจ้าชายไฟซาร์ห์นะแต่ก็จำหน้าพระองค์ไม่ได้แล้ว...แต่ก็เอาเถอะถ้าคนที่เธอไปพบไม่ใช่เจ้าชายไฟซารห์ก็แล้วไป”

พี่สาวถอนหายใจก่อนเปลี่ยนมานั่งตัวตรงตั้งท่าดุน้องสาว

“ทีนี้มาพูดเรื่องของเรา พี่กำลังจะบอกเธอว่าก็ไม่ควรหายไปไหนมาไหนกับใครโดยไม่จำเป็น แล้วการพาคนธรรมดาๆ เข้าๆ ออกพระราชวังซาบัคแบบนี้ คนอื่นเขาจะว่าเอาได้ โดยเฉพาะถ้ามีคนของรานีเห็น พวกนั้นอาจจะเก็บเอาไปนินทาหรือพูดให้เข้าหูพระองค์ เธอก็รู้ใช่ไหมว่าเรากับเค้ากำลังจะเป็นอะไรกัน หรือเธอคิดว่ายังไงๆ ท่านพ่อก็เข้าข้างตัวเองก็เลยไม่ฟังคำเตือนของพี่”

“เจนไม่เคยคิดอะไรแบบนั้นเลยนะ ที่เจนออกไปข้างนอกก็เพราะ...ก็เพราะมีธุระจำเป็น...เอาเป็นว่าเจนจะระวังตัวก็แล้วกัน” เจนนาห์รีบบอกพี่สาวพร้อมคิดในใจว่าตัวเองจำเป็นจริงๆ แต่เพราะไฟซารห์แอบจูบเธอในวันนั้นนั่นแหละ หญิงสาวจึงยังไม่อยากพบเขาอีก

“งั้นก็ดี แล้วก็อยู่ให้ติดที่บ้างล่ะ พี่อยากให้เธอได้พบแล้วก็ได้พูดคุยกับเจ้าชายคาซาลบ้าง ถามจริงๆ เถอะตั้งแต่อยู่วังซาบัคเธอได้เจอเจ้าของวังบ้างหรือยัง” สิ้นเสียงพี่สาว เจนนาห์ก็ทำหน้าเจื่อนๆ จริงของอีกฝ่ายเธอยังไม่เคยเจอสุลต่านอัสตาฟาเจ้าของพระราชวังซาบัคเลย แต่ถ้าเป็นเจ้าชายคาซาลล่ะก็เพิ่งเจอได้หนเดียว ทว่าคงไม่จำเป็นต้องอธิบายให้อีกฝ่ายฟังละมัง เพราะพูดจบนีสรีนก็เดินจากไปทันที

“พี่ไม่เข้าใจหรอก ตอนนี้เจนกำลังสับสนขนาดไหน เจนอยากไปที่วิหารนั่นอีกครั้ง แต่เจนก็ไม่อยากเจอเขาสักเท่าไหร่”

เจนนาห์พึมพำกับตัวเองพร้อมหลับตาลง แต่เมื่อทำเช่นนี้คราใด ภาพใบหน้าคมโน้มตัวลงจนลมหายใจอุ่นๆ สัมผัสริมฝีปากของเธอก็ผุดขึ้นในความทรงจำทุกครั้งไป หญิงสาวจึงส่งเสียงทั้งยังไม่ลืมตา

“ออกไปนะไฟซารห์”

“ฉันเพิ่งมาถึงนะเจนนาห์ จะไล่กันแล้วเหรอ” เสียงของชายหนุ่มดังขึ้นพร้อมความรู้สึกว่ามีใครสักคนนั่งลงใกล้ๆ ทำให้เจนนาห์รีบลืมตาขึ้นทันที และเมื่อเห็นคนตรงหน้า แก้มนวลก็สาดสีชมพูขึ้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ

“คุณ...คุณมาตั้งแต่เมื่อไหร่”

“มาตั้งแต่เมื่อไหร่...” คนถูกถามทวนคำและแม้จะทำท่าคิดแต่กลับไม่ได้คิดถึงสิ่งที่โดนถามเลย

ดวงเนตรสีไพลินหรี่ลงก่อนจ้องดวงหน้าหวานและไพล่คิดไปถึงเรื่องเมื่อครั้งที่บ้านของอาหมัดและละตีฟา หลังจากส่งเจนนาห์แล้วพอกลับถึงวัง พระองค์ก็เรียกซากีร์มาพบอีกครั้ง ซึ่งสิ่งที่พระองค์ได้ฟังจากอีกฝ่ายก็ยิ่งเพิ่มความมั่นใจขึ้นอีก

‘หญิงชาวอัลคาซานที่กระหม่อมได้รู้จักบอกว่าเรื่องของเจนนาห์กับมารดาเป็นเรื่องต้องห้ามสำหรับคนในเผ่า ท่านชีคซารานสั่งห้ามไม่ให้ใครพูดถึงเรื่องนี้ สิ่งที่เธอสามารถบอกได้ก็มีเพียงเจนนาห์มีแม่เป็นคนไทยและแม่ของเธอตายไปแล้วเท่านั้น พอกระหม่อมถามว่าคุณเจนนาห์เป็นลูกสาวของท่านซารานจริงๆ หรือเปล่าเธอก็มองอย่างตกใจและไม่ยอมตอบอะไรอีกเลย’

ดวงพักตร์คมในปัจจุบันทอดพระเนตรหญิงสาวที่ยืนอยู่ด้วยความรู้สึกซึ่งบอกไม่ถูก เจนนาห์เองก็คงไม่รู้เหมือนกันว่าอดีตของตัวเองนั้นเป็นนเช่นไร ริมโอษฐ์ได้รูปจึงหยักมุมปากน้อยๆ ก่อนหวนกลับมาเรื่องที่โดนถาม

“ก็ทันเห็นตอนเธอโดนพี่สาวดุ”

“โดนดุเหรอ นี่คุณแอบฟังเราสองคนคุยกันงั้นเหรอ เจนชักสงสัยซะแล้วว่าพระราชวังซาบัคมีระบบรักษาความปลอดภัยยังไงกันถึงได้ให้คุณวิ่งเข้าวิ่งออกที่นี่ราวกับเป็นสนามส่วนตัว”

เจนนาห์ขมวดคิ้วใส่ นึกโกรธตนเองขึ้นมาไม่น้อยเพราะเมื่ออยู่ใกล้ๆ ผู้ชายคนนี้ เธอก็กลายเป็นคนที่คิดน้อย ขาดความระมัดระวัง ระบบสติสัมปัญชัญญะช้าลงจนเกือบครึ่งโดยไม่รู้สาเหตุ ดูอย่างเรื่องที่พี่สาวพูดสิ ทำไมตนเองถึงไม่ได้สงสัยมาก่อนหน้านี้นะ

“หรือว่าคุณคือเจ้าชายไฟซารห์จริงๆ อย่างที่พี่นีสรีนบอก?”

คำถามของเธอทำให้ชายหนุ่มอึ้งไป เขามองดวงหน้าหวานก่อนพูดช้า ๆ ด้วยน้ำเสียงแน่นหนัก “จะสนใจทำไม...ถึงฉันจะเป็นใคร ฉันก็ยังยืนอยู่ตรงนี้เหมือนเดิม”

“ก็คงเหมือนตอนที่คุณถามว่าทำไมฉันไม่บอกว่าเป็นลูกสาวท่านชีคซารานมั๊ง ยังไงฉันก็ควรจะรู้ไม่ใช่เหรอว่าผู้ชายที่...เอ่อ...หมายถึงผู้ชายที่ฉันรู้จักเขามีตัวตนยังไงเป็นใครกันแน่”

“งั้นพี่สาวของเธอก็พูดถูก...”

คนตรงหน้ายอมรับ และคำพูดของเขาก็ทำให้เจนนาห์ชะงักและมองอีกฝ่ายอย่างจริงจัง ดวงเนตรสีไพลินของพระองค์ดูเข้มขรึมขึ้น พระพักตร์คมแสดงถึงผิวพรรณที่ละเอียดอ่อนยามต้องแสงอรุณ นาสิกโด่งได้รูปรับกับริมฝีปากสีสด ไรหนวดเคราครึ้มเริ่มปรากฏทั้งๆ ที่เจ้าตัวโกนเอาไว้แล้ว รวมถึงเสื้อผ้าซึ่งแม้จะไม่ใช่ชุดตามประเพณีอย่างเจ้าชายคาซาลใส่แต่ก็ดูออกว่าเนื้อผ้าหรูตัดเย็บอย่างประณีต

“หม่อมฉันมีตาแต่ไม่มีแววเลยสักนิด”

เจนนาห์แค่นเสียงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเจ็บใจ มันคล้ายกับถูกหลอกและกลายเป็นของเล่นสนุกๆ สักชิ้น แต่ที่โกรธมากที่สุดก็คือโกรธตัวเอง เธอไว้ใจเขา...เผลอใจไปกับผู้ชายที่ตนเองยังไม่รู้จักดีเลยได้ยังไงกัน! คนนั่งข้างๆ จึงรีบดึงมือไว้

“เจนนาห์ อย่าบอกนะว่าเธอโกรธ”

“อะไรนะคะ” นี่เขาคิดว่าเธอไม่ควรโกรธงั้นเหรอ “อ๋อ! เจนไม่ควรโกรธงั้นสิ นี่คุณคิดว่าเจนควรดีใจ ควรจะหัวเราะต่อกระซิกที่มีโอกาสได้สัมผัส...เอ่อ...ได้รู้จักกับเจ้าชายรัชทายาทลำดับที่ 2 ของซาราเวียอย่างงั้นใช่ไหม”

“มันไม่ใช่แบบนั้นนะเจนนาห์”

เจ้าชายไฟซารห์ถอนพระปัสสาสะ ที่จริงพระองค์ก็อยากจะโทษตัวเองอยู่เหมือนกันที่ไม่บอกควาจริงกับอีกฝ่ายซักที หนำซ้ำยังเผลอไผลทำอะไรหลายๆ อย่างกับเธออีก ล่าสุดก็เรื่องบนรถเมื่อไม่กี่วันที่แล้ว...แต่ราชนิกุลหนุ่มก็ต้องยอมรับความจริงกับตัวเองเป็นพันครั้งว่าทรงอดใจไม่ได้กับความงามของหญิงสาวตรงหน้า เธอทำให้ทรงควบคุมตนเองไม่ได้อยู่เสมอ และเมื่อทรงเริ่มแน่ใจในบางสิ่งบางอย่าง ความรู้สึกแบบนั้นก็ยิ่งก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว

“เจนนาห์...เรื่องที่เกิดขึ้น...”

“เรื่องที่เกิดขึ้นคืออะไรคะ เจนควรจะรู้สึกแบบไหน ควรจะรู้สึกยังไงกับสิ่งที่ฝ่าบาท...”

เจนนาห์ขมวดคิ้วดึงมือออกจากการเกาะกุมและทำท่าจะเดินกลับเข้าไปในตำหนัก คนที่นั่งเลยรีบลุกขึ้นและคว้ามือเธออีกครั้ง

“ปล่อยนะ!” หญิงสาวจึงพลิกตัวกลับกะจะทุ่มอีกฝ่าย ดีที่วรองค์สูงตั้งหลักทัน ยิ่งกว่านั้นทรงก้มลงรวบขาเรียวอุ้มขึ้นทันใด

“ฝ่าบาท!”

เจนนาห์ร้องลั่น “นี่มันในวัง ทรงทำแบบนี้ได้ยังไงกัน”

“นี่เป็นวิธีเดียวที่จะพาเธอไปกับฉันได้” เจ้าชายไฟซารห์ตรัสเรียบๆ ก่อนอุ้มหญิงสาวไปขึ้นรถคันสีบอร์นที่จอดแอบอยู่มุมหนึ่งและขับออกไปจากพระราชวังซาบัคทันที

“จอดรถ!” เจนนาห์บอกคนขับ แต่เจ้าชายหนุ่มไม่สนใจอีกทั้งยังเหยียบรถคันนั้นด้วยความเร็วที่สูงขึ้นอีก ด้วยเหตุนี้พอถึงเขตชุมชนรถจึงต้องฉวัดเฉวียนหลบหลีกผู้คนที่เดินถนนและคนที่นั่งข้างๆ ก็ถูกเหวี่ยงไปเหวี่ยงมา

“โอ๊ย! กระดูกฉันจะหักหมดแล้ว ทรงเป็นเจ้าชายหรือเป็นนักซิ่งกันแน่เนี่ย”

คนขับได้ยินก็คว้าแขนเรียวกระชากเข้ามาหาตัวทันทีและใช้มือหนึ่งกอดร่างบางไว้แนบอกก่อนใช้อีกมือบังคับพวงมาลัยขับไปตามถนนเช่นเดิม

“ทำแบบนี้เธอก็ไม่เจ็บแล้ว”

เสียงทุ้มบอกเบาๆ และสำหรับหญิงสาวมันคือการฟังเสียงของเขาผ่านจากอกอุ่นๆ เสียงหัวใจที่เต้นดัง สลับกับเสียงลมหายใจเข้าออก ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสิ่งนั้นทำให้เธออยู่นิ่งได้ไม่มากก็น้อย ซึ่งเมื่อเป็นแบบนั้นคนขับจึงพูดขึ้น

“ฟังนะเจนนาห์ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะโกหก”

“ทรงจัดฉาก ไม่มีใครที่หม่อมฉันพบเรียกฝ่าบาทตามศักดิ์ของพระองค์เลย จะบอกว่าไม่ได้เจตนา...”

“ที่บ้านของฉัน” เจ้าชายไฟซารห์สวนขึ้นทันควัน “ไม่มีการใช้คำราชาศัพท์ น้านาร่าห์กับฉัน เราอยู่กันอย่างสามัญชน ตอนอยู่สวีเดนฉันก็เป็นแค่ผู้ชายคนหนึ่ง การเป็นรัชทายาทลำดับที่ 2 มันไม่ได้สำคัญกับฉันเลย ยังไงซะพี่คาซาลก็ต้องได้รับตำแหน่งสุลต่านต่อจากเสด็จพ่ออยู่แล้ว”

ร่างนุ่มที่ทรงกอดอยู่นั้นสงบลงเหมือนรับฟังและทำให้คนขับจอดรถลงข้างทางซึ่งไร้ผู้คนสัญจร ทรงละพระหัตถ์จากพวงมาลัยและกอดร่างตรงหน้าไว้ทั้งสองมือ ซอกแคบๆ นั้นพอที่จะให้ร่างบางขึ้นไปอยู่บนร่างแกร่งจนทั้งตัว

“เจนนาห์”

“...ฝ่า...บาท...” คนโดนกอดรู้สึกใจเต้นไม่เป็นส่ำ เธออยากจะฝืนกายหรือดึงตัวออกห่างเขาแต่ก็ไม่สามารถทำได้ในรถแคบๆ นี้

“เธอมีบางสิ่งบางอย่าง” นิ้วพระหัตถ์ไล้ดวงหน้าหวานที่เงยขึ้นสบพระเนตร “ที่ทำให้ฉันกลายเป็นผู้ชายที่ไม่รู้จักห้ามใจตัวเอง”

เอ่ยจบนาสิกโด่งก็จรดลงที่ซอกแก้ม ลมหายใจอุ่นรินรดจนกายสาวร้อนฉ่า เจนนาห์กำมือแน่น สัมผัสจากร่างแกร่งนั้นทำให้เธอพรึงพรืดได้ตลอดเวลาแต่ว่าสมควรแล้วหรือ?

“ทรงห้ามได้แต่ไม่คิดจะทำต่างหาก”

เจนนาห์กัดฟันบอกเขาพร้อมพยายามหยัดตัวขึ้น ทำให้พระหัตถ์ได้รูปชะงักในขณะที่หญิงสาวรีบผละออกจากเขา “มันก็แค่อารมณ์ที่ผู้ชายทุกคนจะมีต่อผู้หญิง...ผู้หญิงที่เขาต้องการ...แล้วก็จะไม่หยุดถ้าผู้หญิงคนนั้นเป็นแค่ผู้หญิงข้างถนน เป็นคนง่ายๆ เหมือนอย่างที่เขาคิด”

วาจาจากริมฝีปากสีชมพูทำให้เจ้าชายไฟซารห์หายใจเข้าลึกๆ ตลอดทางที่ขับรถผ่านไปนั้นไม่มีใครพูดอะไรกัน ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ จนกระทั่งราชนิกุลขับรถออกนอกเขตชายแดนและจอดตรงหน้าวิหารซอฟัร

“มาที่นี่ทำไม” เจนนาห์ถามอีกฝ่ายเป็นครั้งแรก

“คิดว่ามีคนอยากมา” เจ้าชายไฟซารห์ตรัสสั้นๆ อารมณ์ในตอนนั้นมันมีทั้งโกรธ ทั้งไม่ได้ดั่งใจ ไม่สบอารมณ์ผสมปนเปกันจนยากที่จะสงบ

คนฟังจึงค้อนขวับและเดินนำหน้าเข้าไปในวิหาร นึกหมั่นไส้ที่อีกฝ่ายรู้ทันว่าใจจริงแล้วเธออยากมาที่นี่ตั้งแต่วันที่เขาชวน ติดแต่เรื่องที่เกิดขึ้นในรถวันนั้นทำให้หญิงสาวหลีกเลี่ยงจะเจอเขา

พอเข้ามาถึงด้านในวิหาร เจนนาห์ก็เดินสำรวจตามที่ต่างๆ ในขณะที่เจ้าชายไฟซารห์เดินไปยังด้านหน้าซึ่งมีหน้าต่างโล่งๆ ขนาดใหญ่รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า วรองค์สูงทรุดตัวนั่งรอเงียบๆ พระปฤษฏางค์พิงผนัง ยกพระเพลาขึ้นวางตามความยาวของขอบหน้าต่าง และหลับพระเนตรลงเหมือนกำลังสงบจิตใจ

“ที่นี่ไม่ร้อนเลย” เจนนาห์พึมพำกับตัวเอง “คงเพราะสร้างจากหินก้อนใหญ่แล้วก็หนา ลมตะวันออกก็พัดเข้ามาได้ตลอดเวลาเลยไม่ร้อนเท่าไหร่แม้จะเป็นเวลากลางวัน...”

ร่างเพรียวหายไปทางด้านหลังของเทพีแห่งแสงจันทร์และอ่านกลอนบทนั้นอีกครั้ง “แสงสุริยาโรยรา ฟากฟ้าคลายความเจิดจ้า จันทราจึ่งเริ่มทอแสง รัตติกาลไม่อาจทนความร้อนแรง...มีต่ออีกนี่นาเขียนว่าอะไรนะ”

“ดั่งแสงอาทิตย์ไม่เคยลิ้มรสดวงจันทร์”

เสียงทุ้มที่พูดขึ้นนั้นทำให้หญิงสาวกลับออกมาจากด้านหลังของเทพีแห่งแสงจันทร์ทันที เธอเดินเข้าไปหาเขาและร้องขึ้นอย่างอัศจรรย์ใจ ลืมเรื่องที่โกรธอีกฝ่ายไปชั่วขณะ

“คุณท่องได้!”

“อืม” คนหลับตาส่งเสียงในลำคอ

“ทำไมคุณถึงท่องได้ล่ะ หรือว่ามันเป็นโคลงกลอนประกอบบทเรียนสำหรับเด็กๆ ในซาราเวีย” เสียงเดาของเธอทำให้อีกฝ่ายอดขำไม่ได้ ทรงทำเสียงหึๆ ก่อนลืมตาขึ้น

“จำได้ไหม ฉันเคยบอกว่า...มีเรื่องจะเล่าให้เธอฟัง”

“...ค่ะ...วันนั้น...หมายถึงวันที่ไปหาอาหมัดกับละตีฟา เจนนึกว่าเป็นเรื่องของสองคนนั่นซะอีก” เจนนาห์นึกเล็กน้อยก่อนจะตอบแต่คนซึ่งนั่งพิงอยู่ขอบหน้ากลับส่ายพระพักตร์

“ไม่ใช่”

“ถ้างั้น...”

“มันเป็นเรื่องของฉันกับ....กับเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง” คนที่นั่งอยู่ขอบหน้าต่างพูดขึ้นและทอดสายตาออกไปยังทะเลทราย “ตอนเด็กๆ ฉันเคยมาที่นี่”

“คุณเคยมาที่นี่!” อีกครั้งที่ดวงตาสีน้ำตาลโตขึ้น หญิงสาวขยับไปใกล้เขา มองพระพักตร์คมอย่างมีความหวังว่าบุรุษผู้นี้อาจจะทำให้ความฝันหรืออะไรต่างๆ ที่อยู่ในความทรงจำของเธอกระจ่างขึ้น

“มีคนเคยบอกว่าในอดีตที่นี่เคยสวยงาม มันสร้างไว้สำหรับผู้หญิงคนหนึ่ง เจนอยากรู้อะไรตั้งหลายอย่างแต่ไม่มีใครยอมเล่าให้ฟังเลย ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยสิคะ”

“...เมื่อ 19 ปีที่แล้วที่นี่เคยเป็นโอเอซิสที่อุดมสมบูรณ์” เจ้าชายไฟซารห์ยังทอดสายพระเนตรไปยังผืนทรายเบื้องนอกก่อนตรัสช้าๆ “มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งอาศัยอยู่กับแม่ของเธอแล้วก็คนรับใช้ มันชื่อวิหารซอฟัรเป็นอาณาจักรเล็กๆ สำหรับเทพีแห่งแสงจันทร์”



ความทรงจำที่ตรงตรึงนั้นหลั่งไหลออกมาจากโอษฐ์ของพระองค์

‘เจ้าชายไฟซารห์ดูอะไรอยู่เหรอเพคะ’

น้านาร่าห์ในวัย 27 เรียกพระโอรสวัย 8 ขวบ ซึ่งกำลังมองออกไปนอกหน้าต่าง คนถูกเรียกจึงหันกลับมามองก่อนทำเช่นเดิมอีกครั้ง เบื้องหน้าของหนุ่มน้อยนั้นคือเด็กหญิงลูกครึ่งไทย-อาหรับอายุราว 3-4 ขวบซึ่งกำลังเล่นอยู่กับพี่เลี้ยง

‘ดูสินารี ท่าทางไฟซารห์จะอยากรู้จักกับลูกสาวของเธอนะ’ นาร่าห์บอกกับหญิงสาวชาวไทยวัยใกล้เคียงกัน ซึ่งยืนอยู่ข้างๆ เธอคนนั้นมีผมสีเข้มเกือบจะดำสนิทและดวงตาสีเดียวกัน เธอเอ่ยขึ้นอย่างนอบน้อมและเจียมตัว

‘น้องชื่ออารียาเพคะ ถ้าเจ้าชายทรงไม่ถือสา...จะเสด็จลงไปเล่นด้วยกันก็ได้นะเพคะ’

เสียงบอกนั้นทำให้เด็กชายวัย 8 ขวบยิ้มออกมาได้เพราะในความคิดของเขาเด็กหญิงข้างหน้าช่างเหมือนเทพธิดาตัวน้อยๆ ที่มองแล้วก็อยากที่จะมองซ้ำหลายๆ รอบ

ในอดีตนั้น เป็นช่วงเวลาเกือบ 1 ปีทีเดียวที่เจ้าชายไฟซารห์เสด็จมาที่นี่กับน้าสาวบ่อยๆ และมีหลายครั้งพระบิดาก็เสด็จมาด้วย แต่สำหรับรานีฟารินาห์กับพระเชษฐาทรงไม่เคยมาเหยียบที่นี่เลย เจ้าชายน้อยเคยถามมารดาว่าทำไมอารียากับแม่ถึงได้มาอยู่กลางทะเลทรายแบบนี้ทว่าพระองค์กลับไม่ยอมตอบ

จนกระทั่งวันหนึ่งที่ชาวอัลคาซานเดินทางมาถึงที่นี่ โอเอซิสแห่งนี้ก็คลาคล่ำไปด้วยผู้คนไม่ได้เงียบสงบเหมือนที่เคยเป็น เด็กชายหญิงหลายคนวิ่งเล่นรอบโอเอซิสและมักจะมายืนออดูเด็กหญิงลูกครึ่งอย่างแปลกตา

และวันหนึ่งที่เจ้าชายไฟซารห์เสด็จมาพร้อมพระบิดา ทรงถามหาอารียาเหมือนเคยแต่พี่เลี้ยงกับวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาบอกว่า ‘คุณหนูรียาหายไปค่ะ’

ทุกคนจึงเที่ยวออกตามหา เจ้าชายน้อยเองก็เหมือน พระองค์ตามหาจนพบว่าอารียาถูกเด็กๆ ชาวอัลคาซานชักชวนให้ออกมาเล่นอยู่ที่สนามหลังกระโจมที่พัก ทรงรีบก้าวเข้าไปหาพร้อมสังเกตไปด้วยว่าทีนั่นมีใครอยู่บ้าง นั่นทำให้ทรงเห็นเด็กชายวัย 11 ขวบ มีแผลเป็นยาวน่ากลัวบนใบหน้ายืนแอบมองเด็กหญิงอยู่หลังต้นไม้ จึงตั้งใจจะชวนอารียากลับเข้าตำหนักเพราะไม่ไว้ใจ

‘แงๆๆๆ’

แต่ไม่ทันไรเด็กหญิงตัวเล็กก็ถูกชนจนล้ม ศีรษะกระแทกเป็นรอยถลอกเลือดไหลซิบๆ เจ้าชายวัย 8 ขวบจึงปราดเข้าไปหาพร้อมประคองเธอขึ้นทันที

‘พวกนายทำเธอเจ็บ’

เสียงเข้มตรัสอย่างกริ้วจัด จักษุสีไพลินเจิดจ้า จนคนอื่นๆ หลบตาตัวลีบด้วยความเกรงกลัว บ้างก็วิ่งหายไปเฉยๆ รวมถึงเด็กผู้ชายที่มีแผลเป็นคนนั้นด้วย



เจ้าชายไฟซารห์ในปัจจุบันถอยหายใจน้อยๆ ก่อนตรัสถึงสาเหตุที่ยังจำเรื่องนี้ได้อย่างแม่นยำ “ชาวอัลคาซานทั้งหมดมาพักอยู่ที่นี่เพราะท่านชีคซารานเข้ามาเจรจาเรื่องดินแดนกับเสด็จพ่อ พวกเขาแต่งตัวด้วยชุดสีฟ้าจากการย้อมผ้าแบบโบราณและมีลวดลายปักที่เป็นเอกลักษณ์ ตกค่ำพวกเขาจะเล่นรอบกองไฟ และเล่นกีฬาต่อสู้กัน มันทำให้ฉันตื่นเต้นและจำพวกเขาได้ดี”

ราชนิกุลหนุ่มละสายพระเนตรจากทะเลทราย เบือนพระพักตร์มาทางหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างๆ

“พอเกิดเรื่องกับอารียาฉันก็ไม่ยอมกลับเมืองหลวงดื้อรั้นพักอยู่ที่นี่เกือบอาทิตย์ เพราะฉะนั้นถ้าเธอเป็นลูกสาวของท่านชีคทำไมฉันถึงไม่เคยเจอเธอมาก่อน เด็กหญิงลูกครึ่งไทย-อาหรับที่ฉันเคยเจอตอนนั้นก็มีแค่อารียาคนเดียว...แล้วถ้าเธอบอกว่าแม่ของเธอชื่อจันทราเป็นภรรยาคนหนึ่งของท่านชีคซาราน ทำไมถึงไม่มีใครพูดถึงนาง ทำไมเธอถึงหน้าคล้ายเทพีแห่งแสงจันทร์...เธอทำให้ฉันอยากมองเธอซ้ำๆ อยู่อย่างนี้เหมือนตอนที่เจอกับอารียาไม่มีผิด”

“ถ้าที่ฝ่าบาทเล่าเป็นเรื่องจริง...ไม่อยากเชื่อเลย...ทุกอย่าง...เหมือนความฝันเลย” เจนนาห์ครางและนึกถึงความฝันของตนเอง “หม่อมฉันเคยได้ยินสิ่งเหล่านั้น เหตุการณ์เหล่านั้นมันอยู่ในหัวสมองมันเหมือนฉากเหตุการณ์ที่เคยผ่านเข้ามาชีวิต แต่มันเลือนรางเต็มที...หม่อมฉันเคยฝันถึงวิหารแห่งนี้ ฝันว่ามีคนเรียกหม่อมฉันว่ารียา ฝันว่าเห็นผู้หญิงคนหนึ่งและเรียกเธอว่า...แม่นารี หรือแม้กระทั่งเด็กผู้ชายที่อุ้มหม่อมฉันตอนเด็กๆ...จะเป็นไปได้ยังไงกัน”

“แต่ฉันมั่นใจว่าเธอคืออารียา”

เจ้าชายหนุ่มยืนยัน ถึงมันจะผ่านมานานมากแต่เด็กผู้หญิงคนนั้นก็ตราตรึงเหมือนเป็นเรื่องที่ประทับใจและค้างคาใจ วันที่ทราบเรื่องราวของสองแม่ลูกต่างเชื้อชาติเจ้าชายน้อยวัย 8 ขวบเสียพระทัยยิ่งกว่าอะไรทั้งปวงเสียอีก

“ผ่านมา 19 ปีแล้ว...ฝ่าบาทยังจำเด็กผู้หญิงคนนั้นได้?”

เสียงที่ถามนั้นแผ่วเบาจนเจนนาห์แทบไม่รู้ว่าตัวเองพูดอะไรออกไป คนฟังหยักมุมปากน้อยๆ และมองตอบดวงตาสีน้ำตาลหวาน พระหัตถ์แกร่งยกขึ้นแตะหางตาอีกฝ่าย

“ฉันยังจำเด็กผู้หญิงคนนั้นได้ รียาอยู่ในความทรงจำของฉันเสมอ เธอมีดวงตาสีน้ำตาลหวาน ขนตางอนยาวเป็นแพ...เจนนาห์...นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมฉันถึงรู้สึกบางอย่างกับเธอ มันเป็นเรื่องที่อธิบายไม่ถูก และฉันก็ไม่เคยคิดว่าเธอเป็นแค่ผู้หญิง...อย่างที่เธอพูด เราสองคนไม่ใช่แค่บังเอิญมาเจอกัน”

“...ทรงคิดแบบนั้นเหรอเพคะ?” เจนนาห์ทวนคำเหมือนอยากจะย้ำความคิดทั้งของตนเองและอีกฝ่าย เจ้าชายหนุ่มจึงพยักพระพักตร์ เลื่อนมือมาแตะแก้มนวลเปล่งปลั่ง

“เธอไม่รู้สึกแบบนั้นกับฉันบ้างหรือไง...”

วรองค์สูงขยับขึ้นจากหน้าต่างและประทับริมฝีปากลงบนปากอิ่มเบาๆ เกือบจะเหมือนวันที่ทรงจูบเธอบนรถวันนั้น หากคราวนี้ไม่ได้เนิ่นนานกว่า ลำแขนแกร่งนั้นโอบรัดร่างบองบาง ราวกลับจะทำให้เธอกลายเป็นคนๆ เดียวกับเขา ชิวหาอุ่นสำรวจไล้เรียวปากนุ่มจนหญิงสาวคิดว่าตัวเองกลายเป็นขี้ผึ้งอ่อนๆ ไปอีกครั้งแล้ว



********************************************



แพรพริมา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 26 มี.ค. 2557, 09:37:11 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 26 มี.ค. 2557, 09:37:11 น.

จำนวนการเข้าชม : 1317





<< 8   10 >>
Siang 26 มี.ค. 2557, 11:08:05 น.
ไฟซาร์ รักเจนตั้งแต่เด็กเลยรึ


แว่นใส 26 มี.ค. 2557, 13:06:16 น.
แล้วทำไมต้องปิดบังด้วยนะ ถามท่านน้าได้ไหม


Zephyr 2 เม.ย. 2557, 09:52:38 น.
โดนร่ายมนต์จนเคลิ้มอีกละ อุอุ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account