ร่ายรัก ลำนำเสน่หา
อดีตอันพลั้งพลาดได้ติดแน่นฝังตรึงจนกลายเป็นตราบาปที่ต่อให้ทั้งชาติไม่อาจไถ่ถอน มีเพียงประกายแห่งความหวังที่ผุดขึ้นที่กลางใจ สัมผัสลึกซึ้งของหัวใจดวงน้อยๆ ถึงสองดวงที่กำลังเต้นถี่ๆ อยู่ในกายเธอ

ภูวิช – มัณฑนากรหนุ่มหล่อ เลือดใหม่ ไฟแรง เจ้าของบริษัทรับเหมาก่อสร้างและออกแบบตกแต่งภายใน เป็นที่หมายปองของบรรดาหญิงสาวแทบจะทุกคนที่เฉียดเข้าใกล้ ทว่าหนุ่มโสดเนื้อหอมเช่นเขากลับครองตนเป็นโสด จนผู้คนรอบข้างเริ่มจะกังขาว่าแท้ที่จริงแล้ว เขาคือพวกชอบไม้ป่าเดียวกัน แท้ที่จริงแล้ว ภาพเงาของเหตุการณ์ในอดีตนั่นต่างหากเล่า ที่ติดค้างฝังลึกอยู่ในจิตใจ ความไม่แน่ใจในสิ่งที่เคยทำผิดพลาดถูกซุกซ่อนเก็บไว้เนิ่นนาน คอยเป็นหอกทิ่มแทง จนไม่อาจเปิดรับใครใหม่เข้ามาในชีวิตอย่างสมบูรณ์ จวบจนวันเวลาผ่าน อาจเป็นเพราะชะตาฟ้าลิขิตชักนำให้เขามีโอกาสที่จะกลับไปแก้ไขความผิดพลาดในอดีตนั้นได้อีกครั้ง

ณิชญาฎา – สถาปนิกสาวสวย มาดมั่น เสน่ห์แรง ผู้มีสถานภาพคุณแม่ยังโสด ทว่าก็หาได้ลดทอนความสนใจของบรรดาหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ที่เฝ้าวนเวียนอยู่รอบกายเธอลงไปแม้แต่น้อย ผลพวงของความพลั้งพลาดในอดีตกลายกลับมาเป็นเงาดำทาบทับไม่อาจล้างจากกลางใจเธอ เพียงสิ่งเดียวที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยว คอยฉุดรั้งเป็นกำลังใจให้ก้าวต่อ นั่นก็คือสองเด็กน้อยผู้เป็นยอดดวงใจแห่งเธอผู้เป็นมารดา นับแต่วันแรกที่ได้รู้ว่าชีวิตน้อย ๆ ได้ก่อกำเนิดขึ้นในกาย การตัดสินใจอันแน่วแน่ ของเธอได้ส่งผลให้วิถีชีวิตอันเป็นปกติต้องเปลี่ยนไปตลอดกาล

ตัวไหม + ใบหม่อน เด็กคู่แฝด ชาย - หญิง วัยสี่ขวบครึ่ง ผู้เป็นห่วงโซ่คล้องชีวิตของมารดา ไม่ให้ต้องแตกหักพิณพัง ลงไปนับแต่วันแห่งความสูญเสีย ความน่ารักบริสุทธิ์สดใสของเด็กน้อย สัมผัสแห่งความรักแตะแต้มชีวิต เสมือนหนึ่งน้ำทิพย์ชโลมใจ เป็นที่หมายหลักและที่พึ่งสุดท้ายของการมีชีวิตอยู่เพื่อใครซักคน ก่อเกิดกำลังใจให้ลุกขึ้นและหันหน้ามาเผชิญกับความจริงอันปวดร้าว ผลลัพธ์สุดท้าย ที่สุดแห่งความอดทน นั้นคือความอิ่มเอม เปรมปรีอันหาที่สุดมิได้

พฤทธิ์ – บุรุษหนุ่มทายาทตระกูลดัง มหาเศรษฐีชื่อก้อง ที่ไม่ว่าจะหันไปทางไหน ก็มักจะมีบรรดาหญิงสาวมาคอยห้อมล้อม คอยตามหว่านเสน่ห์ หวังพิชิตใจหนุ่มผู้มั่งคั่ง ทว่าชั่วชีวิตของเขา กลับเทใจวางไว้แทบเท้าเพียงหญิงสาวนางเดียว นับตั้งแต่วันแรกเจอ จวบจนเหตุการณ์พลิกผัน แม้หญิงสาวผู้เป็นที่รักจะไม่บริสุทธิ์ดุจดั่งน้ำค้างยามรุ่งอรุณอีกต่อไป แต่เขาก็ยังคงมั่นรัก เฝ้าติดตามดูแลเอาใจใส่ และหวังให้เป็นเช่นนั้นตลอดไป ขอเพียงแค่สักวัน “เธอ” ผู้นั้น จะหันมามอง และรับ “เขา” ไว้ในใจเธอบ้างก็พอ

รินรตี – เลขาสาว ผู้มีอดีตอันขมขื่นจากครอบครัวที่แตกแยกไม่มีชิ้นดีกับการทอดทิ้งของบุพการี กลับกลายเป็นหล่อหลอมให้เธอมีความเข้มแข็ง และแกร่งเกินที่ใครจะคาดคิด กับทางที่เธอเลือกเดิน บางครั้งหลายคนอาจมองว่ามันไม่ถูกไม่ควร แต่สำหรับชีวิตที่มีทางเลือกไม่มานัก เธอจึงจำเป็นต้องทำ เพื่อความอยู่รอดของตัวเธอเอง

ฤา ความรัก ความเข้าใจ และการให้อภัยจะมีอำนาจเหนือความเจ็บช้ำของรอยแผลในอดีต

ฤา ความบริสุทธิ์ ไร้เดียงสา ของผู้เป็นสายเลือด จะสามารถเป็นกาวใจ เอาชนะแรงทิฐิ ของผู้เป็นบิดา-มารดาลงได้

เรื่องราวทั้งหมดจะลงเอยอย่างไร ก็คง สุดแท้แต่การนำพาของโชคชะตาใน “ร่ายรัก ลำนำเสน่หา”

Tags: ซึ้งกินใจ

ตอน: ตอนที่ 6 : นกน้อยในหมู่มาร

ใจกลางสวนสาธารณะแห่งใหญ่ที่ได้ชื่อว่าเป็นปอดของกรุงเทพฯ ยามบ่ายจัดๆ แบบนี้ แม้ว่าจะมีไม้ยืนต้นเรียงรายอยู่โดยรอบ แต่ก็หาได้ช่วยบรรเทาความร้อนระอุจากไอแดดลงไปได้เลย ม้านั่งตัวยาวซึ่งจัดวางกระจายอยู่ทั่วทั้งสวนถูกจับจองด้วยผู้คนอันหลากหลายจนไม่เหลือที่ว่าง อันเนื่องมาจากว่าวันนี้เป็นวันอาทิตย์ จึงย่อมเป็นธรรมดาอยู่เองที่ใครต่อใครจะพากันมาใช้บริการในสถานที่ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการเปิดให้บริการเพื่อเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของคนกรุง ดังเช่นที่กำลังเป็นอยู่ในเวลานี้

รินรดาหอบข้าวของที่เพิ่งจะจับจ่ายซื้อหามาเอาไว้จนเต็มทั้งสองมือ มุ่งตรงมายังบริเวณนี้ด้วยหวังใจว่าน่าจะพอหาที่นั่งพักสักครู่ ระหว่างรอแม่น้องสาวตัวดีที่กำลังสนุกสนานกับการวิ่งวุ่นเข้าร้านโน้นออกร้านนี้อย่างเพลิดเพลิน นานๆ ทีหรอก ที่เธอและรินรดาจะมีโอกาสไปไหนมาไหนด้วยกันสามประสาพี่ๆ น้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันหยุดแบบนี้ สองตาคู่คมกวาดมองไปรอบๆ อย่างพยายามจะสำรวจ ทว่าก็ต้องผิดหวัง เมื่อบริเวณนั้นกลับไม่มีที่ว่างเลยแม้แต่เพียงที่เดียว ทำเอาเธอถึงกับต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

ร่างสมส่วนกลมกลึงอยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์ง่ายๆ ทว่ากลับดูเย้ายวนใจได้อย่างประหลาดมิหนำซ้ำยังกำลังหอบข้าวของพะรุงพะรังที่อยู่ตรงหน้าเขาเวลานี้ สร้างความรู้สึกคุ้นตาให้กับเขาขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ กิตติคุณอดไม่ได้ที่จะพยายามนึก นึกว่าเขาจะต้องเคยเห็นหญิงสาวผู้นี้มาก่อนแน่ๆ

“รตี! รตีใช่หรือเปล่า” และในทันทีที่นึกออก เขาจึงตัดสินใจที่จะขานเรียกชื่อเธอออกไป ซึ่งมันก็ได้ผล รินรตีหันมาตามเสียงเรียกที่ห่างออกไปเพียงสองเมตรในทันที

“หือ? คุณเรียกฉันหรือคะ.... อ๊ะ! กิต กิตใช่ไหม”

“ก็ใช่นะสิ ไม่เจอกันเสียนาน รตีเป็นอย่างไรบ้าง นี่มาซื้อของหรือ เยอะแยะเชียว มา กิตช่วย” กิตติคุณพูดพลางช่วยปลดสัมภาระจากมือหนึ่งของเธอมาถือไว้ในมือตน

“ขอบใจจ้ะ รตีสบายดี แล้วกิตล่ะเป็นอย่างไรบ้าง ตอนนี้ทำอะไรอยู่ที่ไหน”

“ก็เหมือนเดิมแหละ อย่างกิต จะไปทำอะไรได้ นอกจากเล่นดนตรี”

“พูดอะไรอย่างนั้น กิตน่ะเล่นดนตรีเก่งออก”

“ถึงเก่งก็เท่านั้น รตีก็รู้อาชีพนักดนตรี มันจะทำเงินได้สักเท่าไหร่กัน”

“รตีว่าเราไปหาที่เย็นๆ นั่งคุยกันดีกว่า ตรงนี้แดดร้อน ไม่มีที่นั่งด้วย”

“เอาสิ เดี๋ยวกิตเลี้ยงเอง โน่นแน่ะ ตรงนั้นมีร้านกาแฟ เราไปหาอะไรดื่มแล้วค่อยนั่งคุยกัน นึกไม่ถึงเลยเลยว่าจะเจอรตีที่นี่” กิตติคุณบอกพลางชี้ ก่อนจะพากันออกเดินไปยังร้านเครื่องดื่มที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากตรงนั้น

ภายในร้านกาแฟที่มีเนื้อที่ไม่ได้ใหญ่มากนักหากแต่ว่าใช้เทคนิคในการตกแต่งทำให้สามารถจัดวางโต๊ะเก้าอี้ไว้ได้หลายตัวพอควร ด้วยสภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าว บวกกับวันนี้เป็นวันอาทิตย์ ทำให้มีผู้มาใช้บริการในร้านค่อนข้างจะหนาแน่นอยู่บ้างจนคนทั้งสองต้องยืนรอที่นั่งอยู่เป็นครู่ และในที่สุดก็ได้ที่นั่งตรงมุมในสุดของร้าน ซึ่งเหมาะเป็นอย่างยิ่งสำหรับการนั่งคุย

สายสนทนาจากน้องสาวของเธอถูกวางลงไปพร้อมกับการนัดหมายที่เพิ่งจะเสร็จสิ้น รินรตีหันกลับมาหาคนตรงหน้า ที่เวลานี้เอาแต่นั่งจ้องหน้าเธออย่างไม่วางตา จนแม้แต่คนที่เคยชินกับการจ้องมองอย่างเธอยังอดไม่ได้เลยที่จะเขินต่อสายตาของเขา เอ่ยแซวกลบเกลื่อนอาการเคอะเขินของตนเอง

“มองอยู่นั่นแหละ มีอะไรติดหน้ารตีหรือไง”

“อะไรกัน นักร้องเสียงทองอย่างรตี ยังไม่ชินอีกหรือ กับอีแค่โดนจ้อง” คนถูกแซวถามเธอกลับ รอยยิ้มขันๆ แตะแต้มใบหน้าขาวๆ ของเขาอย่างคนอารมณ์ดีอยู่เป็นนิจ

“เหมือนกันที่ไหนเล่า มองจากไกลๆ กับมาจ้องหน้ากันใกล้ๆ แบบนี้” มือบางสีน้ำตาลอ่อนยกแก้วเครื่องดื่มขึ้นแตะริมฝีปากเป็นการแก้เขิน หลังอธิบายกับเขาไปตามความรู้สึกแท้ๆ

“เอาน่ะ! คิดมากไปได้ กิตก็แค่กำลังคิดว่า รตีดูสวยขึ้น ขนาดว่าเมื่อก่อนก็สวยแล้วนะ” บทจะชมเขาก็ชมเธอขึ้นมาออกมาเสียดื้อๆ อย่างนั้น

“นึกยังไงถึงมาชมกันซึ่งๆ หน้าแบบนี้ รตีก็เหมือนเดิมนั่นแหละ จะมาสวยอะไรกันป่านนี้”

กลับกลายเป็นว่าคำชมขอบเขา ทำให้รินรตียิ่งเขินหนักกว่าเดิมไป กิตติคุณเห็นหน้าแดงๆ ของเธอแล้วก็ให้ต้องอมยิ้ม รินรตีหาได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเลยแม้แต่น้อย เธอยังคงขี้อายเหมือนเดิมไม่มีผิด เขายังจำได้อยู่หรอกว่าลีลายามที่อยู่บนเวทีของเจ้าหล่อนนั้นช่างแตกต่างจากตัวจริงของเธอราวกับว่าเป็นคนละคนก็ไม่ปาน

“จริงๆ นะ กิตไม่โกหกหรอก ว่าแต่ว่ารตียังร้องเพลงอยู่เหมือนเดิมหรือเปล่า” คนชมยืนยันแล้วหันมาเปลี่ยนเรื่องคุยเพราะไม่อยากทำให้คนตรงหน้าต้องตกอยู่ในอาการเขินมากไปกว่าที่เป็นอยู่

“ร้องสิ ร้องอยู่ที่เดิมนั่นล่ะ” เธอตอบพร้อมกับเงยหน้าขึ้นหลังจากที่เขาเปลี่ยนหัวข้อเป็นเรื่องไกลตัวกว่าเดิม

“เรียนจบมาตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมยังร้องเพลงอยู่อีก กิตนึกว่ารตีจะเลิกหลังจากที่เรียนจบเสียอีก” ชายหนุ่มถามไปตามสิ่งที่เขาเคยรับรู้มาจากเธอตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน ซึ่งก็นับว่านานมากแล้ว

“เลิกร้องเพลงมีหวังอดตายพอดีสิ งานประจำได้เดือนสักเท่าไหร่กันเชียว รตียังเลิกไม่ได้หรอกกิต” เธอให้คำอธิบายที่มาพร้อมกับสีหน้าเบื่อหน่ายเต็มที่

“อื้ม! ก็จริงนะ แล้วนี่แม่กับน้องรตีสบายดีหรือเปล่า” กิตติคุณรับคำอย่างเข้าใจ ชีวิตส่วนตัวตามปกติของรินรตีเป็นอย่างไรนั้น มีหรือที่คนเคยสนิทกันมากถึงขั้นไปกินไปนอนที่บ้านกันมาก่อนอย่างเขาจะไม่รู้

“ก็... สบายดี นี่รตีก็มากับยายรดา ส่วนแม่ก็อยู่โรงพยาบาลเหมือนเดิม” รินรตีตอบเขาไปตามตรง

“รตีนี่เก่งนะ ตัวนิดเดียว แต่ต้องรับผิดชอบทั้งครอบครัวแบบนี้มาตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ กิตละนับถือจริงๆ” เขาบอกกับเธออย่างชื่นชม ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปสักกี่ปี แต่สิ่งที่คงเดิม ก็คือความรับผิดชอบต่อหน้าที่ และครอบครัวของเพื่อนสาวคนนี้

“ทำไงได้ล่ะ ก็เรามันจนนี่นา แล้วกิตล่ะ มีแฟนหรือยัง หรือว่าแต่งงานไปแล้ว” หญิงสาววกเข้าสู่เรื่องส่วนตัวของเขา ยังจำได้อยู่หรอก ว่าเมื่อสมัยก่อนตอนที่ยังอยู่ร่วมวงดนตรีเดียวกันนั้น ชายหนุ่มตรงหน้าเธอคนนี้มีบรรดาสาวๆ มาห้อมล้อม รุมคลั่งไคล้มากมายขนาดไหน

“โห... อย่างกิตเนี่ยนะจะแต่งงาน แค่แฟนล่ะพอได้ เรื่องแต่งานมันคงยังอีกไกล แต่ก็ไม่แน่นะ ถ้าเป็นรตี บางทีกิตอาจจะยอมสละโสดก็ได้” คนถูกถามโยนกลองกลับไป รินรตีแทบจะสำลักกาแฟที่ตนเพิ่งจะยกขึ้นจิบไปเสียเดี๋ยวนั้น

“จะหาเรื่องลงนรกหรืออย่างไรกันจ๊ะ อย่างรตีน่ะใครเขาจะอยากแต่งงานด้วยกันล่ะ”

“น้อยไปละสิ แต่ไหนแต่ไร พอใครมาขายขนมจีบรตีเข้าให้หน่อย ก็มีแต่รตีนั่นแหละที่เอาแต่วิ่งหนีจนขาแทบขวิด”

“เหอะ! พูดเกินไปรึเปล่า ไม่ถึงขนาดนั้นสักหน่อย”

“ก็หรือไม่จริง ลองพูดอีหร่อบนี้ก็แปลว่ายังโสดเหมือนเดิม เฮ้อ! รตีเอ๋ยรตี ไม่รู้ว่าจะเลือกมากไปถึงไหน ระวังจะปีนขึ้นคานโดยไม่รู้ตัว” กิตติคุณค่อนเธอเข้าให้ สำหรับตัวเขาแล้ว รินรตีเป็นสาวที่ช่างเลือกมากกว่าจะเล่นตัว

“ช่างรตีเถอะน่า... ว่าแต่กิตเถอะ มาทำอะไรที่นี่ อย่าบอกนะว่ามาซื้อของ เพราะว่ารตีไม่เชื่อ” รินรตีลอยหน้าลอยตาพูดถามเขาหลังจากที่รีบชิงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา เหมือนๆ กับกับทุกครั้งที่มีใครเผลอมาแตะเข้าถึงเรื่องที่เธอไม่เต็มใจเอ่ยถึง

“เบื่อจริงๆ เลย คนรู้ทัน กิตนัดเพื่อนไว้น่ะ เขาอยากให้มาเดินเป็นเพื่อนซื้อของ นัดไว้ตั้งแต่บ่ายต้นๆ จนป่านนี้แล้วยังไม่มาเลย” เขาบอกกับเธอเป็นเชิงบ่นไปในตัว

“แฟนละสิท่า ไม่งั้นมีหวังป่านนี้กิตคงเผ่นแน่บกลับไปตั้งนานแล้ว” จะว่าไปแล้ว ระยะเวลาสองปีที่ผ่านมา ทั้งเขาและเธอต่างก็ไม่เคยจะได้เจอะเจอกันเลย จึงแทบไม่น่าเชื่อเลยว่าเธอจะยังจำอุปนิสัยบางอย่างของเขาได้เป็นอย่างดี

“ไม่ต้องมาทำเป็นรู้ดี อ๊ะ! เดี๋ยวนะ” บทสนทนาของคนทั้งคู่เป็นอันต้องสะดุดลงเพราะเสียงโทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้นของกิตติคุณ และชื่อที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอนั้นก็เป็นสัญญาณที่บอกว่า เวลาพูดคุยระหว่างเขาและเธอได้หมดลงแล้ว จึงได้บอกลากับเธอ หลังจากที่ตัดสายสนทนานั้นลงไป

“กิตต้องไปแล้วล่ะรตี เพื่อนมาแล้ว เอาไว้วันหลังแล้วกิตจะโทรหา ยังใช้เบอร์เดิมใช่หรือเปล่า”

“อื้ม! เบอร์เดิม แล้วค่อยคุยกัน อย่าลืมโทรมาล่ะ”

“ไม่ลืมหรอก กิตไปล่ะ” เขาบอกแล้วลุกขึ้นเดินออกไปจากร้าน ทว่าก็ทันได้สวนกับรินรดา แต่เพราะมีคนรอเขาอยู่ สิ่งที่ทำจึงเป็นแค่เพียงการพยักหน้าทักทายเท่านั้น

“นั่นมันพี่กิตนี่นา ใช่หรือเปล่าคะพี่รตี” รินรดาร้องถามพี่สาว พลางหันไปมองทันได้เห็นหลังเขาไวๆ แล้วหันกลับมาถามพี่สาวต่อ “แล้วทำไมถึงได้ต้องรีบเดินขนาดนั้นละคะ ไม่ได้เจอกันตั้งนาน ยังไม่ทันได้ทักทายกันเลย”

“คงรีบน่ะ เห็นบอกว่านัดเพื่อนไว้ เมื่อกี้ก็โทรตามกันอยู่”

“เพื่อนหรือว่าแฟนคะ ถ้าเป็นอย่างหลังละน่าเสียดายแย่เลย”

“เดี๋ยวเถอะนะยายรดา ชักจะแก่แดดไปกันใหญ่” รินรตีทำทีเป็นดุน้อง น้ำเสียงนั้นหาความจริงจังแทบไม่ได้เลย “เลิกคุยเรื่องของคนอื่นได้แล้ว จะกินอะไรหรือเปล่า กาแฟที่นี่ก็ใช้ได้นะ หอมดีเหมือนกัน”

“ไม่ดีกว่าค่ะ วันนี้ซัดไปตั้งหลายขนาน เรากลับบ้านเลยดีกว่า คืนนี้พี่รตีต้องไปร้องเพลงไม่ใช่หรือคะ”

“จ้ะ งั้นไปกันเถอะ ดีเหมือนกัน จะได้มีเวลางีบสักสองสามชั่วโมง”

สองสาวชักชวนกับกลับบ้าน ตกลงกันเสร็จสรรพก็ช่วยกันจัดการรวบรวมข้าวของที่หาซื้อกันมาตลอดหลายชั่วโมงที่ผ่านแล้วพากันเดินออกไปจากร้าน หาได้รู้เลยว่าตลอดการพูดคุยของพวกตนภายในร้านนั้น ได้ตกอยู่ในการรับฟังของใครคนหนึ่งโดยตลอด

“ออกไปแล้วครับเห็นคุยกันว่าจะพากันกลับบ้าน คืนนี้คุณรินรตีมีงานที่ไนท์คลับครับท่าน” คำรายงานที่ถูกถ่ายทอดไป นั้นสร้างรอยยิ้มพึงพอใจให้กับคนทางปลายสายที่เต็มไปด้วยความหมายมาดในใจอย่างเต็มที่

“แต่เมื่อกี้ดูเหมือนว่าเธอจะเจอเพื่อน พูดคุยกันอยู่สักครู่ ก่อนที่ฝ่ายชายจะแยกตัวไปครับท่าน” ทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับรินรตียังคงหลั่งไหลไปสู่คนฟังดังเช่นที่เป็นมาเกือบจะทั้งวันอีกระลอก

“อ้อ! แล้วหนูรตีมีท่าทางอะไรกับไอ้หมอนั่นเป็นพิเศษหรือเปล่า” คนฟังถามกลับมา บอกให้รู้ว่าเขากำลังสนใจประเด็นนี้อย่างเต็มที่

“เท่าที่ฟังดูไม่น่าจะมีอะไรนะครับ แต่เห็นนัดกันว่าจะโทรหากันอีกที ท่านจะให้ตามดูเธอต่อไปหรือเปล่าครับ ตอนนี้เธอกำลังเดินกลับไปที่รถแล้ว” คำตอบที่ให้ไปน่าจะทำให้ผู้เป็นนายของเขาคลายใจลงไม่มากก็น้อย เขาจึงตัดสินใจถามต่อถึงแผนการขั้นถัดไป

“ไม่ต้องแล้ว คืนนี้ฉันจะไปที่ไนท์คลับ แกกลับมารอรับฉันที่บ้านเถอะ”

“ครับท่าน” ผู้รับคำสั่งตัดสายแล้วเดินกลับไปยังรถของตนที่จอดอยู่ไม่ห่างจากรถของรินรตีเลย

และในระหว่างทางที่เขากำลังจะเดินผ่านไปนั่นเอง สายตาของใครคนหนึ่งพลันเหลือบมาปะทะกับร่างหนาอันคุ้นตาของเขาเข้าโดยบังเอิญ อิงฟ้ามองตามร่างของชายวัยกลางที่กำลังจะลับหายไปตรงเหลี่ยมตึกแล้วนิ่งลงไปอย่างใช้ความคิด

‘นั่นมันนายพงษ์คนขับรถของคุณอานี่นา ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ มาทำอะไรของเขากันนะ’
------------------------------------------------------

เด็กน้อยทั้งสองคนพากันวิ่งไล่เล่นกันอยู่บนสนามหญ้าหน้าบ้านอย่างสนุกสนานกับคนตัวโตๆ ที่ยอมลดอายุของตนเองลงไปเล่นกับพวกเด็กๆ โดยไม่สนใจถึงสายตาของคนเฝ้ามองมาอยู่ห่างๆ อย่างอดที่จะหมั่นไส้เขาคนนั้นขึ้นมาเสียไม่ได้ บ่ายวันอาทิตย์แบบนี้ แทนที่จะเป็นเวลาของครอบครัวดังเช่นปกติ แต่กลับต้องมาโดนก่อกวนโดยผู้ไม่พึงประสงค์แบบนี้ มันน่าโมโหน้อยอยู่หรอกหรือ

ภูวิชปรากฏตัวขึ้นที่บ้านของเธออีกครั้งเมื่อก่อนเวลาเที่ยงวัน เหมือนๆ กับที่เขาปฏิบัติมาจนเกือบจะทุกอาทิตย์ หลังจากได้รับอนุญาตให้แวะเวียนมาเยี่ยมเยียนเด็กน้อยทั้งสองได้ โดยที่เขาต้องรับปากรับเงื่อนไขว่าจะไม่บอกกับพวกเด็กๆ ว่าตัวเขาเองเกี่ยวพันอันใดกับพวกแก ซึ่งในเบื้องต้นชายหนุ่มก็ยินยอมแต่โดยดี แม้ว่าภายในใจออกจะคัดค้านอยู่บ้าง แต่เพื่อให้มีโอกาสได้ใกล้ชิดกับสองหนูน้อยตัวไหม และใบหม่อน เขาจึงจำต้องยอมตามเธอไปก่อน ระหว่างนี้ก็ถือโอกาสทำความคุ้นเคยกับพวกแก รอเวลาที่จะสามารถพิสูจน์ตัว เพื่อให้ณิชญาฎาใจอ่อน ยอมบอกความจริงกับเด็กๆ ด้วยตัวของเธอเองตามที่ยื่นได้เงื่อนไขกับเขาเอาไว้

“ดูๆ ไป เธอก็น่ารัก และใจดีกับคุณหนูทั้งสองมากอยู่นะคะ คุณหนู”

พี่เลี้ยงผู้สูงวัยมองภาพตรงหน้าแล้วให้ต้องอมยิ้ม พร้อมกับเอ่ยชื่นชมชายหนุ่มออกมาตรงๆ เสียมิได้

“น่ารักอะไรกันละคะป้า น่าเกลียดละสิไม่ว่า คนอะไรไม่รู้จักเกรงใจคนอื่นเสียบ้าง วันหยุดแท้ๆ ยังไม่วายจะมาก่อก่วน”

ณิชญาฎา ออกจะพาลไม่น้อย นับตั้งแต่แรกที่ภูวิชพาตัวเองเข้ามาพัวพันกับพวกเด็กๆ ดูเหมือนว่าน้ำหนักของความสนใจที่พวกแกเคยมีให้กับเธอจะลดทอนน้อยลงไปอย่างเห็นได้ชัด ไม่เว้นแม้แต่พี่เลี้ยงผู้มากวัยที่กำลังยืนอยู่ข้างๆ ตัวเธอในเวลานี้

“คุณหนูละก็ ทิฐิมากมายนักมันไม่ได้ก่อประโยชน์ อะไรให้เราเลยนะคะ”

นางออกปากวิจารณ์เจ้านายสาวไปตรงๆ อย่างไม่เกรงกลัวว่าเจ้าตัวจะโกรธ มิใช่ว่านางถือสนิท แต่เพราะความที่ดูแลกันมาเนิ่นนานกว่ายี่สิบปีนั่นต่างหาก ที่ทำให้นางอดไม่ได้จนต้องพูดบอกเตือนสติกันตรงๆ

“แพรไม่ได้ทิฐินะคะป้า แต่ว่าที่กำลังรู้สึกอยู่ตอนนี้ มันคือความเกลียดต่างหากล่ะ”

คนถูกเตือนสติยังไม่วายดื้อดึง พลางคิดอยู่ในใจว่า หากใครไม่ลองมาเป็นเธอก็คงจะไม่มีทางรู้ ว่าความทรมานใจสิ่งเธอได้รับมานานห้าปีนั้น มันยากเย็น ชวนให้ย่ำแย่ขนาดไหน

“หลอกใครก็หลอกได้นะคะคุณหนู แต่หลอกตัวเองนี่ ป้าเกรงว่ามันจะเสียเวลาเปล่า”

นางบัวยังคงยืนยันในสิ่งที่ตนคิด ใช่ว่าจะไม่เข้าใจความรู้สึกของหญิงสาวตรงหน้า แต่ในเมื่อเรื่องมันก็ผ่านมานาน จนคุณหนูแฝดของนางเติบโตมาถึงป่านนี้แล้ว คนเป็นพ่อเป็นแม่ควรจะคิดถึงความรู้สึก และอนาคตของพวกเด็กๆ มากกว่าความรู้สึกของตนเองมิใช่หรือ

“ตกลงแล้วนี่ป้าจะอยู่ข้างใครกันแน่คะ เขาหรือว่าแพร”

ผู้เป็นนายถอนสายตากลับมาจ้องมองนางเขม็งอย่างรอคำตอบ

“ป้าอยู่ข้างความถูกต้องค่ะ จะว่าไป คุณแกเองก็ไม่เคยจะมีโอกาสรู้เสียหน่อย เมื่อตอนคุณหนูตั้งท้อง”

คนถูกจ้องตอบคำหาได้หวั่นเกรงในแววตาดุๆ ที่ส่งมาแม้แต่น้อย

“คนอย่างหมอนั่นไม่สมควรจะได้รู้หรอกค่ะ อีกอย่าง ตัวเขาเองต่างหากที่ไม่เคยคิดจะสนใจ แล้วตอนนี้จะมาเรียกร้องอะไรกันละคะ”

ณิชญาฎาพยายามกลั้นความรู้สึกน้อยใจเอาไว้ในอก ทำไมนะ ใครๆ รอบตัวเธอถึงได้พากันเขาข้างหมอนั่นไปเสียหมด นึกแล้วมันน่าน้อยใจจริงๆ

“แน่ใจหรือคะว่าเขาไม่สนใจ ป้าว่าคุณหนูคิดเอาเองเสียมากกว่า จงใจหลบหน้าปกปิดเขา หนีไปอยู่เสียไกลแสนไกลขนาดนั้น แล้วใครมันจะไปนึก คิดทันเล่าคะคุณหนู”

นางสรุปเอาเองอย่างรู้ทัน ก็แล้วใครเล่าจะรู้จักหญิงสาวคนนี้ดีไปกว่านาง เลี้ยงกันมาตั้งแต่อ้อนแต่ออกขนาดนั้น มีหรือที่เธอคิดทำอะไรแล้วนางจะเดาไม่ออก

“ตกลงว่าเป็นความผิดของแพรหรือคะนี่ เฮ้อ! ดีจริง ใครต่อใครก็พากันเข้าข้างตาบ้านั่นไปเสียหมด อีกหน่อยแพรคงไม่เหลือใครไว้เป็นพวก”

เจ้านายสาวเริ่มจะพาลหนักกว่าเดิม คราวนี้ไม่พูดเปล่า แถมยังส่งค้อนวงงามไปให้กับพี่เลี้ยงผู้รู้ใจเสียเข้าให้อีกหนึ่งวงใหญ่

“พวกเพิกอะไรกันละคะ ชักจะเหลวไหลไปกันใหญ่ เอานิสัยเถียงข้างๆ คูๆ แบบนั้นมาจากไหนกันคะคุณหนู”

อาการที่ฉิวน้อยๆ ที่แสดงออกมาของเจ้านายสาวที่เลี้ยงมากับมือ อยู่ในสายตาของนางโดยตลอด รู้อยู่หรอกว่า ต่อให้ณิชญาฎาจะไม่พอใจในสิ่งที่นางพูดออกไปแค่ไหน แต่เธอก็จะไม่มีวันโกรธนาง เพราะคุณหนูแพรนั้นจิตใจดี และอ่อนโยน มากมายแค่ไหนอดีตพี่เลี้ยงอย่างนางย่อมจะรู้ดีเป็นที่สุด

“ก็ป้าอยากไปเข้าข้างเขาทำไมกันล่ะคะ มีอย่างที่ไหน อยู่ด้วยกันมาตั้งนาน คราวนี้กลับเห็นคนอื่นดีกว่าเรา”

ถกเถียงกันอยู่เป็นาน ลงท้ายก็จบลงตรงที่ความน้อยใจ ที่เจ้าตัวแสดงออกมาอย่างเปิดเผย เรียกรอยสงสารจากอดีตพี่เลี้ยงอย่างนาง ต้องยินยอมเลิกเจรจาไปในที่สุด

“เฮ้อ! ป้าละเหนื่อยใจจริงๆ เชียว ไม่เอาล่ะค่ะ ป้าไปเตรียมของว่างให้คุณๆ เธอดีกว่า วิ่งเล่นกันนาน ประเดี๋ยวคงจะหิวกันล่ะ” นางบอกพลางทำท่าว่าจะหันหลังเดินเข้าไปในครัว ทว่ายังไม่วายชำเลืองมองเจ้านายสาวอย่างต้องการจะจับสังเกต

“เอาอกเอาใจกันเสียจริงเชียว รู้งี้พาเด็กๆ ไปข้างนอกดีกว่า”

แม่สาวขี้โมโหเอ่ยลอยๆ สะบัดหน้าพรืดกลับเข้าบ้านไป ยอมละสายตาจากภาพความสนุกสนานของคนทั้งหมด ที่ตนเฝ้ายืนมองอยู่นานด้วยความรู้สึกอันหลากหลาย จนแม้แต่ตัวเองยังไม่กล้าหาคำตอบ

เสียงวิ่งตึงๆ พากันกลับเข้ามาในบ้าน บอกให้ณิชญาฎาได้รู้ว่าลูกๆ ของเธอ รวมทั้งเขาคนนั้นได้เสร็จสิ้นการเล่นที่นอกสนามลงไปแล้ว เสียงเล็กๆ สอดประสานดังขึ้นจากทางหน้าประตูห้องรับแขก พร้อมกับร่างเล็กทั้งสองต่างพากันโถมทับกอดปล้ำ ร่างแบบบางที่ฝังนิ่งอยู่บนโซฟามาได้พักใหญ่ของมารดา จนณิชญาฎาอดที่จะนึกสังหรณ์อยู่ในใจไม่ได้ เพราะดูจากกิริยาท่าทางของเจ้าสองแสบของเธอแล้ว ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังดีใจจากอะไรบางอย่างแน่นอน ถึงได้พากันมากอดมาหอม รุมกอดเธอกันอยู่แบบนี้

“มีอะไรกันหรือคะลูก วิ่งหน้าตื่นกันมาขนาดนี้ ดูสิตัวเปียกเหงื่อไปหมดเลย” ณิชญาฎาโอบเจ้าตัวน้อยทั้งสองที่พากันวิ่งโถมทับเธอมาไว้แนบอก

“แม่แพรขา ตัวไหมอยากไปเที่ยวน้ำตกจังเลย น้ำตกอยู่ไกลหรือเปล่าคะ” แม่หนูน้อยตัวไหมทำเสียงออดอ้อนสองมือน้อยโอบรอบคอมารดา เจรจาด้วยคำที่ถูกสอนมาเป็นอย่างดีจากบุรุษร่างสูงที่ทำเป็นยืนนิ่งตีหน้าเซ่อไม่รู้เรื่องรู้ราว หยิบโน่นดูนี่ไปเรื่อยเปื่อย ทว่าสองหูกลับกลางผึ่งรอฟังคำเจรจาของสามแม่ลูกอย่างใจจดใจจ่อ

“ใช่ฮะ ใบหม่อนก็อยากไปเที่ยวน้ำตกเหมือนกัน แม่แพรพาเราไปเที่ยวน้ำตกนะฮะ” หนุ่มน้อยแฝดผู้น้องประสานเสียงขึ้นต่อจากพี่สาว ณิชญาฎาได้แต่ทำหน้างง มองสลับไปมาระหว่างใบหน้าที่ยื่นมาเสียใกล้จนเกือบจะชิด

“น้ำตก? น้ำตกอะไรกัน ไปเอามาจากไหนกันลูก” ผู้เป็นมารดาเอ่ยถามด้วยนึกแปลกใจ ที่จู่ๆ สองหนูน้อยต่างพากันมารบเร้าให้เธอพาพวกเขาไปสถานที่แปลกๆ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยเป็น

“ลุงภูบอกว่า น้ำตกมีน้ำเยอะแยะ มีปลา มีภูเขาสูงๆ แล้วก็มีต้นไม้ แต่ต้องขับรถไปไกลๆ ใบหม่อนอยากไปเล่นน้ำตกฮะ แม่แพร”

หนุ่มน้อยใบหม่อนตอบมารดาอย่างพาซื่อ ทว่านั่นเป็นการนอกบทเสียจนภูวิชต้องหันกลับมามองแล้วคิด

‘เอาแล้วไง ที่เขาว่าคบเด็กสร้างบ้าน ที่แท้มันคืออย่างนี้นี่เอง’

คำตอบของบุตรชายทำเอาณิชญาฎาหันควับไปมองคนต้นเรื่องเป็นเชิงถาม สองคิ้วขมวดมุ่น ดวงตาขุ่นเขียวเพ่งเล็งมาทางเขาชนิดที่หากว่าดวงตาของเธอเป็นมีดแล้ว เนื้อตัวเขาคงจะแหว่งวิ่นไม่มีชิ้นดีไปเสียตั้งแต่วินาทีแรกที่เธอหันมามองเขานั่นเลย

“เหรอคะลูก เอ..แล้วจะทำอย่างไรกันดีล่ะนี่ แม่แพรไม่รู้จักเสียด้วยสิ” ปากก็พูดตอบบุตรทั้งสองไป ส่วนตาของเธอนี่สิที่ยังคงจ้องมองเขาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะละวางสายตาดังเดิม

“ให้ลุงภูพาไปสิคะแม่ ลุงภูบอกว่า รู้จักน้ำตกเยอะแยะเลย”

“จ้ะงั้นเดี๋ยวให้แม่แพรตกลงกับลุงภูก่อนดีไหมคะลูก แต่ว่าตอนนี้หนูสองคนไปล้างหน้าล้างตา แล้วก็ล้างมือให้สะอาดกันก่อนดีกว่า คุณยายบัวเตรียมขนมเอาไว้เยอะแยะเลย เดี๋ยวจะได้มาทานกันไงคะลูก”

“เย้... รักคุณยายบัวที่สุดเลย”

เด็กก็คือเด็ก จะมีอะไรสำคัญไปกว่า เรื่องกินกับเรื่องนอน เห็นจะไม่มีเป็นแน่ ใบหม่อนโห่ร้องแล้ววิ่งนำหน้าพี่สาวเข้าไปในห้องน้ำ ตามติดมาด้วยซุ่มเสียงที่ถกเถียงกันอย่างจ้าละหวั่นของเด็กทั้งสอง เพ่อช่วงชิงกันว่าใครจะทำภารกิจที่มารดาสั่งเสร็จก่อนกัน

“พี่ภูทำแบบนี้หมายความว่าอย่างไรคะ” ลับร่างของเด็กน้อย ณิชญาฎาก็เปิดฉากโจมตีคนตัวสูงที่ทำเป็นขลุม ไม่รู้ไม่ชี้ เดินเข้ามาใกล้จนตอนนี้เขายืนห่างจากเธอออกไปเพียงไม่กี่ก้าว

“หือ? อะไรหรือ พี่ทำอะไรหรือครับแพร” ภูวิชยังคงตีหน้าขรึมไม่รู้เรื่องรู้ราว เข้ามานั่งลงยังข้างๆ ใกล้เสียจนเธอต้องเขยิบตัวถอยห่าง

“ก็ที่พี่ภูวางแผน เอาเรื่องน้ำตกบ้าๆ นั่นมาหลอกล่อลูกแพรอย่างไรล่ะ” หญิงสาวพยายามจะตั้งหลัก พอๆ กับที่กำลังพยายามจะตั้งสติ ทว่าใจของเธอนี่สิ กับอีแค่เขามาป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ ทำไมมันถึงได้เอาแต่เต้นไม่เป็นส่ำไม่เลิกราอยู่แบบนนี้ มันน่าเจ็บใจตัวเองนัก

“ลูกแพร ก็ลูกพี่เหมือนกัน ก็แล้วทำไมพี่จะพาแกไปเที่ยวบ้างไม่ได้” ภูวิชยืนยันสิทธิ์ของตน รู้อยู่หรอกว่าจุดอ่อนของณิชญาฎาในตอนนี้คงไม่มีเรื่องอื่นใดไหนอีก นอกจากเรื่องลูก ลูกที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจของเธอเอง

“แต่ว่าเราตกลงกันแล้วนะคะ” เสียงหวานร้องจนเสียงหลง นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าเขาจะเป็นคนประเภทได้คืบจะเอาศอกแบบนี้ ถ้ารู้แต่เสียแต่แรก เธอจะไม่มีวันรับข้อเสนอที่จะทำให้เขามีโอกาสได้เข้ามาใกล้ชิดกับลูกๆ ของเธอเป็นอันขาด

“ตกลงอะไรเหรอ พี่ไม่เคยบอกแพรสักหน ว่าจะไม่พาลูกไปเที่ยว” เขายื่นหน้าเข้ามาใกล้ มิหนำซ้ำยังลอยหน้าลอยตาตอบเธอเสียจนน่าหมั่นไส้ ทำตาเจ้าเล่ห์วิบวับ มันน่าตบเสียให้ลูกตาหลุดออกมานัก ทว่าด้วยระยะห่างของที่นั่งระหว่างเขานั้นมันน่าจะเรียกว่าใกล้จนเกือบจะชิดกันละมากกว่า ดังนั้นเพียงสิ่งเดียวที่ณิชญาฎาทำได้ในตอนนี้ก็คือการเข่นเขี้ยว ค่อนด่าเขาอยู่แต่เพียงในใจ

“นี่! พี่ภู” ณิชญาฎากระถดตัวหนี ดวงหน้าขาวๆ ที่จู่ๆ ก็ ยื่นพรวดเข้ามาใกล้กว่าเดิมจนเธอแทบอย่างไม่ทัน ไปจนจดที่เท้าแขนสุดขอบโซฟาตัวหนา

“อย่าบอกนะว่าแพรกำลังกลัวพี่” ภูวิชจงใจพูดเป็นสองมุม ชวนให้คนฟังต้องคิดต่อไปเอง ว่าเขากำลังจะบอกว่าเธอกำลังกลัวอะไร

“กลัว? กลัวอะไรไม่ทราบ” คนไม่รู้ว่าตัวเองกำลังกลัวอะไร ไม่วายเบียดตัวเสียจนชิดติดขอบ ทั้งที่เป็นอยู่ก็แนบสนิทจนแทบจะเป็นเนื้อเดียวกันกับโซฟาตัวหนานั่นเข้าไปทุกทีแล้ว

“นั่นสิ! กลัวอะไร อย่างแพร... คงจะไม่มีอะไรที่จะต้องกลัวอีกแล้ว จริงไหม?”

มือเรียวขาว ทว่าคงความหนาตามลักษณะของบุรุษ ยกขึ้นไล้พวงแก้มเนียนสีชมพูปลั่งแผ่วเบาราวกับขนนกทาบผ่าน สองตาคมนิ่งมองลึกลงไปบนดวงหน้างามเก๋ปราศจากเครื่องสำอางค์แต่งแต้ม วงหน้าเข้มโน้มต่ำหมายจะแตะริมฝีปากสีชาดบางราวสตรีลงบนแก้มผ่องนวลอย่างเผลอไผลอดใจเอาไว้ไม่อยู่ หากว่าเจ้าของดวงหน้าสวยกลับชิงได้สติขึ้นมาเสียก่อน สองมือบางทั้งผลักทั้งดันร่างหนาให้ออกห่าง ทว่าก็ดูเหมือนจะยากเย็นเต็มที

“พี่ภู หยุดนะ จะทำอะไรน่ะ ถอยออกไปเดี๋ยวนี้ นี่มันในบ้านแพรนะ อย่ามาทำอะไรบ้าๆ แถวนี้ บอกว่าถอยไปไงเล่า” ร่างบอบบางราวนางแบบดิ้นขลุกขลักอยู่ในวงแขนแกร่ง ที่ทั้งโอบทั้งรัดเสียจนเธออึดอัดแทบจะหายใจไม่ออก

“ไม่หยุด แล้วก็ไม่ปล่อยด้วย ทำไม? ทีพี่จะแตะนิดแตะหน่อย แค่นี้ทำเป็นหวง ทีกับไอ้พีทละก็ แทบจะลากมันขึ้นไปถึงเตียง”

ภูวิชแค่นเสียงตอบเธอไปตามสิ่งที่เห็น ตลอดหลายสัปดาห์ที่เขาเฝ้าแวะเวียนมาที่นี่ หลายต่อหลายครั้งที่ต้องนิ่ง มองดูณิชญาฎาแสดงออกต่อพฤทธิ์ราวกับว่าเธอและไอ้หมอนั่นเป็นคู่รักที่รักกันนักหนา ภาพหวานของคนสองคนที่เขาเองแทบจะทนดูไม่ไหวหมดความอดทนลงไปเสียก็หลายหน ทว่าก็ทำได้แต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่เพียงในใจ จนกระทั่งวันนี้ที่เขาเพิ่งจะสบโอกาส วันที่เขาเองก็ตอบตัวเองไม่ถูก ว่าอะไรที่ทำให้เขาหลุดการควบคุมตัวเองไปได้ถึงเพียงนี้ ยิ่งกายอ่อนนุ่มนิ่มของเธอพยายามจะดิ้นหนี กลับยิ่งกลายเป็นปลุกเร้าให้เขารัดเธอแน่นขึ้นไปกว่าเดิม

“อ๊าย... หยาบคาย คนจิตใจสกปรก อย่ามาพูดอะไรทุเรศๆ แบบนี้กับแพรนะ ปล่อยสิ บอกว่าให้ปล่อย” ณิชญาฎาออกแรงดิ้นรน ผลักไสดันกายหนาให้ออกห่าง แต่กลับกลายเป็นว่าเธอเสียเปรียบตกเป็นเบี้ยล่างเขายิ่งไปกว่าเดิม

“เอ้า! ร้องเข้า ร้องให้ดังๆ ไปเลย ลูกจะได้ออกมาเห็นกันจะๆ รู้กันให้ชัดๆ ไปเลย ว่าพ่อกำลังจะปล้ำแม่” เขาฉวยโอกาสรั้งร่างของเธอเข้ามาแนบกาย ชิดเสียรู้สึกได้ถึงความนุ่มหยุ่นที่เซมาปะทะอกกว้าง ฉกจมูกโด่งลงบนซอกคอขาวหอมกรุ่นราว

“อี๋... คนบ้า คนทุเรศ ลามก น่าเกลียดที่สุด” หญิงสาวทั้งกร่นด่า ทั้งดิ้นรนผลักไสเสียให้วุ่นวายอุตลุดไปหมด

“เอ้า! ด่าเข้า ทีกับพี่ผัวละด่าจัง พี่ละแปลกใจนัก เมื่อก่อนไม่เห็นจะเคยรู้ว่าแพรปากจัดขนาดนี้” เสียงพูดเบาราวกระซิบดังขึ้นตรงริมหู ลมเบาๆ แผ่วปะทะกับผิวเนื้ออ่อนบางจนณิชญาฎาขนลุกเกรียวกราว เบี่ยงหน้าหนีต่อปากต่อคำเขาเป็นพัลวัน

“หยุดนะ อย่ามาพูดพล่อยๆ แถวนี้ ฉันไม่ได้เป็นอะไรกับคุณ ได้ยินไหม ฉันไม่ได้เป็นอะไรกับคุณ”

“แน่ใจหรือว่าไม่ได้เป็น หรือแพรจะเถียง ว่าคืนนั้นเราไม่ได้มีอะไรกัน” มีหรือที่เขาจะไม่ยอมแพ้ กระซิบบอกตอกย้ำถึงเรื่องราวในค่ำคืน ที่ต่อให้ชาตินี้ทั้งชาติ เธอคงไม่อาจจะลืมเลือนมันไปได้เลย

“อ....อ๊าย... พี่ภู ไอ้คนบ้า คนเลว คนฉวยโอกาส ทำกับเขาแล้วยังจะมาพูดแบบนี้อีก” ณิชญาฎาแทบจะกรี๊ดลั่น ใจน้อยๆ พลันสั่นไหว นึกไม่ถึงว่าจะเขาจะกล้าพูดออกมาตรงๆ แบบนั้น

“ฉวยโอกาส พี่น่ะหรือฉวยโอกาส แพรเองต่างหาก ที่ขึ้นไปนอนรอพี่ถึงบนห้องนั่นน่ะ” ผู้ถูกกล่าวหาพูดแก้ต่างไปตามมุมมองที่ตนรับรู้ และรู้สึกมาตลอด

“ไม่จริง แพรไม่ได้ขึ้นไป พี่อย่ามาพูดมั่วๆ แบบนี้นะ” เธอปฏิเสธลั่น ในเมื่อเรื่องที่เขากล่าวหามันไม่มีมูลความจริงก็แล้วทำไมเธอจะต้องไปยอมรับกันเล่า

“ทำไม จะไม่จริง อย่าบอกนะว่าแพรเองก็เมาเสียจนจำไม่ได้น่ะ” ภูวิชยังคงพูดต่อ เป็นคำพูดที่คล้ายกับว่าจะเตือนให้ณิชญาฎาได้คิด ทวนย้อนไปถึงคืนวันเกิดเหตุนั่นอีกครั้ง

“เมา? จริงสิ อ๊ะ! พี่ภู ถอยไปได้แล้ว แพรอึดอัด เด็กๆ กำลังลงมา” เสียงวิ่งตึงๆ ดังแว่วมาจากทางบันได เรียกสติของณิชญาฎาให้กลับคืนมาอีกครั้ง

“ไม่ถอย จนกว่าแพรจะยอม” ในทันทีที่สบโอกาสมีหรือที่คนอย่างเขาจะยอมละ ไล่ต้อนเธออย่างรู้ว่านาทีแบบนี้ ไม่ว่าจะร้องขอสิ่งใด อย่างไรเสียหญิงสาวย่อมไม่มีทางที่จะปฏิเสธเขาเป็นแน่

“ยอม? ยอมอะไรกัน” ณิชญาฏาย้อนถาม นึกหวั่นใจในท่าทีกับดวงตาวิบวับของเขาขึ้นมาครามครัน

“ก็ยอมให้ลูกๆ ไปเที่ยวกับพี่” ข้อเสนอที่เขาเพิ่งจะบอกออกมาทำเอาณิชญาฎาแทบเต้น

“ฝันไปเถอะ แพรไม่มีวันยอมปล่อยให้พวกแก ไปกับพี่ภูแน่” คนกำลังเดือดปฏิเสธให้ลั่นๆ เสียงอึงไปหมด

“หรือว่าแพรกลัวพี่ กลัวว่าลูกจะรักพี่มากกว่าแพร” ภูวิชยังคงยั่วยุเธออย่างเป็นต่อ

“ไม่มีทาง ลูกไม่มีทางรักพี่ภูมากไปกว่าแพรหรอก อย่าได้ฝันเฟื่องให้มันมากไปนักเลย” คนถูกยั่ว เชิดหน้าตอบคำอย่างมั่นใจเต็มที่

“ถ้างั้นก็ยอมปล่อยให้แกไปสิ แล้วถ้าแพรจะไปด้วยพี่ก็ไม่ว่า ดีเสียอีก จะได้เห็นกันจะๆ ไปเลย” เมื่อเห็นว่าคำยั่วยุของตนเริ่มจะส่งผล มีหรือที่เขาจะละทิ้งไม่ยอมเดินหน้าต่อ

“หึ... ก็ได้ งั้นเรามาดูกัน ว่าพี่จะทำได้อย่างปากว่าหรือเปล่า” ในที่สุดร่างบางในอ้อมแขนแข็งแกร่งก็หลงกลเขาในที่สุด เรียกรอยยิ้มออกมาจากดวงหน้าเข้ม ขาวนวลอย่างเต็มที่

“เป็นอันว่าตกลง ถ้างั้นก็เตรียมตัวไว้ อาทิตย์หน้ามีวันหยุดสามวัน พี่จะมารับ แพรกับลูกแต่เช้า แล้วก็อย่าได้คิดเบี้ยวพี่เป็นอันขาด ไม่งั้นละก็ อย่ามาหาว่าพี่ใจร้าย” เขาสรุปนัดหมาย พร้อมกับข่มขู่ทิ้งท้ายไว้ให้เธอคิด ว่าอะไรจะเกิดขึ้นหากว่าเธอคิดเกิดคิดเบี้ยวเขาขึ้นมาจริงๆ ทว่าก็ไม่มีเวลาได้คิดต่อ เมื่อร่างเล็กๆ สองร่างปรากฏขึ้นที่ตรงหน้าประตูห้องเรียบร้อยแล้ว

“ปล่อยแพรได้แล้ว ลูกลงมาแล้วเห็นไหม?” ณิชญาฎาออกแรงดันตัวเองออกห่างอ้อมอกกว้าง ซึ่งเขาก็ยอมปล่อยเธอแต่โดยดี แม้ว่าจะมีอาการเสียดายอยู่บ้างก็ตาม

“ปล่อยก็ปล่อย สิ” ภูวิชไม่วายตอบอย่างจงใจกวนโมโห

“เสร็จแล้วฮะ” “เสร็จแล้วค่ะ”

สองเสียงประสานกันขึ้นพร้อมกับร่างเล็กๆ สองร่างที่รีบวิ่งแข่งกันไปนั่งแทรกกลางระหว่างผู้ใหญ่ทั้งสอง มองดูแล้วชวนให้นึกว่าเป็นภาพของครอบครัวแสนสุข พร้อมพรั่งไปด้วยความรักความอบอุ่นของพ่อแม่ลูกเสียยิ่ง จนคนที่แอบยืนมองอยู่นานอดที่จะคิดแทนไม่ได้ ว่าอีกนานเท่าไหร่กัน ที่เรื่องวุ่นๆ ทั้งหมดจะลงเอย แล้วคุณหนูน้อยๆ ทั้งสองของนางจะได้มีคุณพ่อที่บ่อยครั้งพวกแกแอบบ่นถามหา เมื่อไหร่กันที่ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้ จะเริ่มต้นอยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาเสียที
------------------------------------------

ความวุ่นวายเกิดขึ้นยังเบื้องหน้าเวทีที่นานๆ ทีจะมีให้เห็นสักครั้ง สืบเนื่องมาจากนักเที่ยวคนหนึ่งซึ่งกำลังอยู่ในอาการเมามายเต็มที่ปีนป่ายขึ้นไปบนเวทีและทำท่าว่าจะล่วงเกินนักร้องสาว ‘รุ่งรวี’ ที่กำลังขับขานบทเพลงไปตามหน้าที่ สร้างความหมั่นไส้ของนักเที่ยวคนอื่นกระทั่งเกิดการทะเลาะวิวาทรุมสกรัมกันขึ้น สร้างความโกลาหลปั่นป่วนไปทั่ว จนทางคลับต้องประกาศหยุดพักการแสดงลงเพื่อจัดการสะสางบริเวณหน้าเวทีให้กลับมาสงบราบเรียบดังเดิม เตรียมพร้อมให้บริการต่อไปด้วยว่าราตรีนี้ยังเยาว์นัก

อันที่จริงบรรดานักเที่ยวทั้งหลายที่เป็นขาประจำของที่นี่ต่างก็รู้กันดีอยู่ว่ากฏเหล็กของสถานบันเทิงแห่งนี้ก็คือห้ามก่อการทะเลาะวิวาท แม้ว่าบทลงโทษนั้นจะไม่ใครทราบชัดเจนว่าคืออะไร แต่ด้วยกิตติศัพท์ของบุรุษหนุ่มผู้เป็นเจ้าของก็ทำให้ใครต่อใครต่างก็พากันขยาดยินดีปฏิบัติตามกฏกันถ้วนหน้า ทว่าก็ยังพอมีให้เห็นอยู่บ้างนานๆ ครั้ง ดังเช่นที่เพิ่งจะเกิดขึ้นในค่ำคืนนี้ รินรตีก้าวลงจากเวทีด้วยใบหน้าเซ็งๆ ทว่าก็ยังนับเป็นเรื่องดีอยู่ ที่คืนนี้เธอคงไม่ต้องขึ้นแสดงอีก เพราะตามกฏแล้ว หากว่าเหตุทะเลาะวิวาทเกิดขึ้นในช่วงระหว่างคิวเพลงของใคร เพื่อหลีกเลี่ยงการกระทบกระทั่งของบรรดาแขกที่อาจจะเกิดขึ้นมาอีกครั้ง จึงถือว่านักร้องคนนั้นหมดหน้าที่สำหรับคืนนั้นๆ ไปโดยปริยาย

แก้วโคมใสบรรจุน้ำสีอำพันบอกถึงดีกรีอันเข้มข้นเกือบค่อนแก้วถูกยื่นส่งมาตรงหน้านักร้องสาวดาวเด่นประจำไนท์คลับอีกคราด้วยมือของบริกรหนุ่มซึ่งเธอรู้จัก คุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดี ติดตามมาด้วยเศษกระดาษแผ่นเล็กๆ เหมือนกับทุกๆ ครั้งที่เธอเคยได้รับจากบรรดาแขกทั้งหลายที่มาใช้บริการไนท์คลับแห่งนี้อยู่เป็นนิจ เธอรับมันไว้พร้อมกับคำขอบคุณที่พูดออกไปตามความเคยชินอันเป็นปกติ จะมีก็แต่เพียงสีหน้าเท่านั้น ที่มันแสดงออกถึงความเบื่อหน่ายเป็นที่สุดกับความซ้ำซากจำเจ ที่เกิดขึ้นอยู่เป็นประจำแบบนี้

รินรตีเอื้อมคว้ากระเป๋าของตนเองมาไว้บนตักแล้วหยิบสมุดโน๊ตเล็กๆ ออกมาพร้อมปากกา ทำท่าว่ากำลังจะเขียนอะไรสักอย่าง ทว่ากลับมีเสียงทักถามของบริกรหนุ่มที่ยังยืนรออยู่ตรงหน้าเธอขึ้นมาเสียก่อน

“พี่รตี จะไม่อ่านมันสักหน่อยหรือครับ”

“ไม่ล่ะ มันก็เดิมๆ ไม่มีอะไรแปลกใหม่หรอก”

รินรตีปฏิเสธ เพราะรู้อยู่แล้วว่าจดหมายไม่เป็นทางการซึ่งถูกส่งมายังเธอในลักษณะนี้ คงไม่พ้นข้อเสนอเงินทองข้าวของสารพัดอย่างเพื่อแลกกับการไปเป็นเมียน้อยเมียเก็บ หรือไม่ก็คู่นอนชั่วคราวของบรรดาเสี่ยๆ กลัดมันไม่คนใดก็คนหนึ่งข้างนอกนั่นอย่างแน่นอน และที่เธอถึงกับต้องทำหน้าเบื่อหน่ายนั่นก็เป็นเพราะไม่ว่าเธอจะตอบปฏิเสธไปกี่ครั้งกี่หน แต่ก็ดูเหมือนว่าคนพวกนั้นจะไม่ยอมลดละ จะถูกส่งมาสักกี่ครั้งกี่หน ก็มักจะได้รับคำปฏิเสธจากเธออยู่เป็นประจำ

“แต่ผมว่าพี่รตีน่าจะอ่าน จะได้รู้ว่าควรตอบแบบไหน”

“รู้ดีจริงนะเรา” รินรตีให้นึกขันกับคำคะยั้นคะยอของบริกรหนุ่มรุ่นน้อง ทว่าสุดท้ายก็ยินยอมเปิดมันขึ้นมาอ่านตามคำแนะนำของเขา “ก็ได้ อ่านก็อ่าน”

ตัวหนังสือที่ปรากฏอยู่บนกระดาษแผ่นน้อยแผ่นนั้นทำให้สองคิ้วของนักร้องสาวคนงามถึงกับขมวดมุ่นหันไปถามกับเด็กหนุ่มผู้นำสารเกือบจะทันที

“ใครส่งมันมา”

“แขกครับพี่รตี ทำไมทำหน้าเครียดแบบนั้นมีอะไรหรือเปล่าครับพี่”

“ไม่มีอะไรหรอก แล้วนี่เต้พอจะรู้ไหมว่า เขากลับไปหรือยัง”

“เอ... ไม่แน่ใจเหมือนกัน งั้นเดี๋ยวผมออกไปดูให้นะครับ”

“เต้! อย่างเพิ่งไป รอเดี๋ยวนะ” เธอเขียนอะไรขยุกขยิกลงบนกระดาษแผ่นเดิมแล้วยื่นส่งกลับไปให้ “ถ้าเขายังอยู่ เต้ช่วยเอานี่ส่งให้เขาที แล้วก็ฝากบอกกับพี่จิระด้วย ว่าพี่หมดคิวแล้ว จะขอกลับก่อน”

บริกรหนุ่มรับคำพร้อมกับรับเศษกระดาษมาถือไว้ในมืออย่างงงๆ ทว่าก็ทำตามที่เธอสั่งทุกประการ

“ขอโทษครับ คุณรุ่งรวีฝากให้มาเรียนท่านว่า เธอไม่ค่อยสบาย คืนนี้คงต้องขอตัว แล้วก็นี่... เธอฝากให้นำมาคืนท่านครับ”เขาบอกพร้อมยื่นส่งเศษกระดาษในมือกลับไปให้บุรุษวัยเลยกลางคน คนเดียวกับที่ยื่นส่งมันให้กับเขา เพื่อนำไปส่งต่อให้กับรินรตี หรือ รุ่งรวี แล้วจึงถอยออกมายืนดูท่าทีของชายผู้นั้นอยู่ห่างๆ

ชายสูงวัยคลี่กระดาษใบเดิมแล้วกวาดตามอง แต่เดิมเขาก็ไม่คิดหรอก ว่ามันจะมีสิ่งใดอยู่ในนั้น ทว่าเมื่อสำรวจไปแล้วจึงพบว่าข้อความสุดท้ายที่เพิ่มมาบนกระดาษหาใช่ลายมือของเขาไม่ รอยยิ้มหยันระบายทั่วใบหน้าซึ่งยังคงเขาของความหล่อเหลาในวัยหนุ่มไว้ให้เห็นอยู่บ้าง ด้วยวัยที่ล่วงเลยมาจนถึงเกือบจะหกสิบปีเข้านี่แล้ว จึงเป็นธรรมดาที่ร่องรอยแห่งประสบการณ์ย่อมปรากฏอยู่จนทั่ว บดบังเคล้าความดูดีในอดีตให้ลดน้อยถอยลงไปมากโข

‘ร้ายเหมือนกันนี่ รินรตี เล่นตัวให้ตลอดเถอะ สักวันฉันจะทำให้เธอต้องกรานมากราบอยู่แทบเท้าฉันให้ได้ คอยดูไปเถอะ’

ร่างสมส่วนของหญิงสาวในชุดเสื้อยืดขาวกางเกงยีนส์เก่าๆ ตัวเก่ง ปรากฏขึ้นทางประตูด้านหลังของไนท์คลับที่ดูราวกับว่าจะร้างผู้คน ด้วยว่ายังมิใช่เป็นเวลาเลิกงานของผู้คนที่ดำรงค์ชีพอยู่ด้วยการทำงาน ณ สถานบริการแห่งนี้ และก็เป็นเพราะยังไม่ใช่เวลาเลิกงาน ประตูเข้าออกทางด้านหน้าจึงยังคงพลุกพล่านอยู่มาก แม้ว่ารินรตีจะมิได้อยู่ในคราบของรักร้องสาวแสนสวยสุดเซ็กซี่แล้วก็ตาม แต่เพื่อความไม่ประมาทเธอจึงเลือกที่จะใช้ทางออกทางด้านหลัง เพื่อหลบเลี่ยงจากบรรดานักเที่ยวซึ่งอาจจะยังจดจำเธอได้ เป็นวิธีการหลีกเลี่ยงปัญหาของเธอนั่นเอง

หญิงสาวเดินลัดเลาะมาตามทางเลี่ยงด้านข้างสถานบันเทิงออกมาจนเกือบจะพ้นมุมตึกอันเป็นจุดที่ค่อนข้างจะลับจากสายตาผู้คน โดยมิรู้เลยว่าตนกำลังตกเป็นเป้าสายตาของใครบางคนที่แฝงกายอยู่ภายในรถเก่งสีดำคันใหญ่ซึ่งจอดเยื้องห่างออกไปไม่ไกลนับตั้งแต่ก้าวแรกที่เธอพ้นจากประตูด้านหลังของไนท์คลับออกมา เขาก้าวลงจากรถแล้วค่อยๆ ตามเธอไปอย่างเงียบๆ ก่อนที่ มือหนาเอื้อมคว้าข้อมือบางของเธอเอาไว้

รินรตีหันกลับไปมองมือหนาด้วยความตกใจมิใช่น้อย ทว่าเมื่อเงยขึ้นไปมองใบหน้าของคนผู้นั้น กลับกลายเป็นว่าเธอต้องตระหนกเสียยิ่งกว่า เพราะไม่เคยคิดว่าเธอจะมาเจอกับเขาในสถานที่นี้ และในเวลาเช่นนี้

“คุณ!”
--------------------------------------------------------
คุยกันท้ายตอน

ไม่เจอกันนานหน่อยนะคะ ช่วงนี้ภาระกิจด้านการงานค่อนข้างเยอะ ทำให้ห่างหายไปจากหน้านิยายไปพอสมควร หวังว่าคุณผู้อ่านคงจะให้อภัย แล้วจะหมั่นเข้ามาโพสต์บ่อยๆ นะคะ

คิดถึงเสมอค่ะ

นิลวนา



นิลวนา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 22 มิ.ย. 2554, 12:58:28 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 22 มิ.ย. 2554, 13:02:05 น.

จำนวนการเข้าชม : 2003





<< ตอนที่ 5 : เสน่หากับราคะ   ตอนที่ 7 : ไปน้ำตกกันไหม??? >>
saralun 22 มิ.ย. 2554, 20:04:11 น.
แล้วจะคอยนะคะ


หมู้หมู 22 มิ.ย. 2554, 21:31:02 น.
อืม... ทำให้ ต้องรออีกละ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account