มนต์สีมุก
เรื่องราวของหญิงสาวที่เพิ่งจะมีอายุครบ 22 ปี ผู้ซึ่งได้เจอกับเหตุการณ์ประหลาดและค้นพบว่าเธอมีความพิเศษบางอย่างในตัว และความพิเศษที่ว่าก็มาพร้อมกับความรับผิดชอบและอันตรายที่เธอหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไหนจะยังเรื่องหัวใจที่ทำให้เธอต้องกลุ้มอีกล่ะ
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 4

คุลิกาหยุดยืนอยู่หน้าร้านกาแฟแฟรนไชส์ที่เธอเพิ่งจะซื้อกาแฟไปทำหกเมื่อเช้า ปพนธีร์นั่งรอเธออยู่ในร้านแล้ว เขากำลังนั่งอ่านอะไรบางอย่างจากหน้าจอแทบเล็ท ยกกาแฟร้อนขึ้นจิบอย่างเย็นใจ กิริยาอาการของชายหนุ่มดึงสายตาของคุลิกาให้จับจ้องนิ่งอยู่เนิ่นนานกว่าเธอจะนึกขึ้นได้ว่านัดหมายมาพบเขาเรื่องอะไร สืบเท้าเดินเข้าไปภายในร้านหยุดยืนอยู่ข้างโต๊ะ ทันทีที่รับรู้การมาถึงของเธอ ชายหนุ่มก็ลุกขึ้นยืน

“นั่งก่อนสิครับคุณคุลิกา จะดื่มอะไรไหมครับ ผมไปให้”

“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันแค่มารับกุญแจบ้านคืน...เรียกแคทก็ได้ค่ะ”

เธอตอบอย่างนั้นหากกลับหย่อนตัวแหมะลงนั่งกับเก้าอี้ เพราะรู้สึกถึงการถูกสะกิดด้วยอุ้งเท้าของสัตว์ชนิดหนึ่ง แม้ก้มลงไปมองแล้วไม่เห็นอะไร แต่คุลิกาก็รู้ได้ว่าสิ่งที่สะกิดเธอคืออุ้งเท้าแมว

แมวบ้าตัวนั้นดูอยากจะให้เธอสานสัมพันธ์กับชายหนุ่มคนนี้เสียแล้ว คุลิกายิ้มแห้งเมื่อเงยเห็นรอยยิ้มกระจ่างบนใบหน้าของปพนธีร์ เธอคงดูประหลาดในสายตาเขาอยู่หรอก ปากก็บอกไม่แต่กลับนั่งจุ้มปุ๊กลงต่อหน้าเขาเสียอย่างนั้น

“ปกติฉันไม่ค่อยดื่มกาแฟค่ะ” ...ยิ่งกาแฟแพง ๆ ราคาหลักร้อยแบบนี้ด้วย ต่อให้ชายหนุ่มคนตรงหน้าจะเสนอตัวจ่ายให้ เธอก็ยังอดรู้สึกเสียดายเงินแทนไม่ได้

เขาพับปิดปกของแทบเล็ทที่คุลิกาแอบเห็นแวบ ๆ ว่าหน้าที่ชายหนุ่มเปิดดูอยู่เป็นหน้าข่าวเศรษฐกิจเว็บไซต์ของสำนักข่าวต่างประเทศ หญิงสาวได้พิจารณาปพนธีร์อย่างละเอียดถี่ถ้วนอีกครั้งทั้งการแต่งกาย รูปร่างหน้าตา บุคลิก...เขาคงไม่ใช่พนักงานทั่วไปของบริษัท แต่น่าจะเป็นระดับผู้บริหาร

“อ้อ...จริงสิครับ กุญแจบ้านของคุณ อีกอย่าง...เรียกผมว่าป๊อบก็ได้ครับ”

ชายหนุ่มหยิบเอาพวงกุญแจที่คุลิกาแน่ใจว่าไม่ได้ทำหล่น แต่ในเมื่อปพนธีร์เก็บได้และนำมาคืน เธอก็ไม่รู้จะเอาความมั่นใจที่ไหนมาเถียงกับตัวเอง

หญิงสาวกล่าวคำขอบคุณขณะเอื้อมมือไปรับกุญแจบ้าน กำลังจะขยับตัวลุกขึ้นเมื่อคนที่นั่งตรงหน้าเอ่ยถาม

“คุณขับรถมาทำงานรึเปล่าครับ”

คุลิกาขยับจะอ้าปากตอบว่าเธอจะขอติดรถเพื่อนร่วมงานให้ไปส่งที่บ้าน ทว่าเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นเสียก่อน หญิงสาวเห็นเป็นเบอร์โทรศัพท์ของคนที่น่าจะรอเธออยู่ที่ลานจอดรถจึงกดรับ

“เสร็จธุระแล้ว กำลังจะไป”

“เอ่อ...แคท สงสัยวันนี้จะไปส่งไม่ได้แล้วล่ะ แม่เพิ่งโทรมาบอกว่าน้องชายประสบอุบัติเหตุตอนเล่นบาสฯ ที่มหาลัย ตอนนี้แม่กำลังจะไปโรงพยาบาล คงต้องไปรีบไปแล้ว”

“งั้นไม่เป็นไร เดี๋ยวกลับเองก็ได้ ขอให้น้องชายไม่เป็นอะไรมากนะ”

หญิงสาวกดวางสายโทรศัพท์ไม่ทันจะตอบคำถามที่ติดค้างปพนธีร์ไว้ ชายหนุ่มก็ยกถ้วยกาแฟขึ้นดื่มจนหมดก่อนจะเอ่ยขึ้น

“ให้ผมไปส่งคุณที่บ้านนะครับ ดูเหมือนเพื่อนที่คุณจะกลับด้วยคงจะไม่สะดวกไปส่งแล้ว”

“เอ่อ...”

คุลิกาลังเล คิดคำนวณการกลับบ้านด้วยตนเองในช่วงเวลาที่การจราจรติดขัดหนักอย่างนี้ กับการเสี่ยงโดยสารรถไปกับชายหนุ่มที่เธอเพิ่งได้รู้จัก

ดู ๆ ก็ไม่น่าจะอันตรายอะไร สุภาพออก...แต่ก็ไม่แน่นะ พวกจิ้งจอกเนี่ย...ซ่อนหางเก่งนักเชียว จากสุภาพบุรุษอาจจะกลายสภาพเป็นซาตานตอนไหนก็ได้ ถ้าเกิดมีเหตุคับขันขึ้นมาจริง ๆ จะปล่อยแสงอะไรได้อย่างวันก่อนรึเปล่าล่ะเรา

เขาดูใจเย็นรอคอยคำตอบ ไม่คะยั้นคะยอ

อุ๊ย!!!

คุลิกาตกใจเล็กน้อยเมื่อสัมผัสถึงบางอย่างที่น่อง เธอกดสายตามองลงไปที่พื้น แมวสีขาวกำลังยกขาข้างหนึ่งขึ้นสะกิดที่น่องเธออย่างจะกระตุ้นให้ตอบตกลง

แมวบ้านี่อยากจะทำตัวเป็นสื่อรักให้เธอกับผู้ชายคนนี้เสียกระมัง...โธ่...ทำไมไม่บอกกันดี ๆ นี่ถ้ารู้ว่ามาป้วนเปี้ยน กวนใจเพื่อล่อให้มาเจอกับผู้ชายเฟอร์เฟคท์ขนาดนี้ก็เดินตามดี ๆ ไม่ออกแรงวิ่งเหนื่อยแล้ว

หญิงสาวเลื่อนสายตาไปจับที่ใบหน้าของชายหนุ่มที่นั่งนิ่งรอคำตอบ ส่งยิ้มกว้างให้ก่อนจะเอ่ยตอบรับคำแบบพยายามแสดงออกว่าเกรงใจเขามากที่ต้องรบกวนให้ไปส่ง



ปพนธีร์จอดรถส่งคุลิกาหน้าบ้านหลังจากใช้เวลากว่าชั่วโมงฝ่าการจราจรหลังเลิกงาน หญิงสาวเหลือบมองเขาอย่างประเมิน ตลอดทางเขาชวนคุย ซักถามเรื่องทั่วไปของเธอเป็นระยะ คำถามไม่ยาวมากนักแต่คนตอบกลับตอบได้เป็นคุ้งเป็นแคว กระทั่งถึงเวลากล่าวคำขอบคุณคนที่พูดจ้อมาตลอดทางจึงนึกขึ้นได้

“นี่...ฉันพูดมากไปไหมคะเนี่ย”

คำถามของเธอเรียกรอยยิ้มอ่อนจากผู้ที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัย ทำเอาคนถามชะงัก

“ไม่น่าถามเลยเนอะ คุณถามนิดเดียว ฉันตอบน้ำไหลไฟดับ...กลายเป็นฉันเล่าเรื่องของฉันให้คุณฟังอยู่ฝ่ายเดียว”

จะว่าไปแล้วคุลิกาก็ไม่ได้เล่าเรื่องของตัวเองให้ปพนธีร์ฟังทุกอย่างเสียทีเดียว ขืนเธอเล่าเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นในช่วงหลายวันที่ผ่านมาให้เขาฟัง มีหวังเขาได้คิดว่าเธอเสียสติ แต่เรื่องประวัติการทำงานการเรียน ปพนธีร์คงฟังไปมากโขส่วนจะจับใจความได้แค่ไหนหญิงสาวก็สุดจะคาดเดา

แต่...เขาเสนอตัวมาส่งทั้งที่เพิ่งเจอกันครั้งเดียวแบบนี้ แสดงว่าต้องสนใจเธอบ้างล่ะ

“ถ้าคุณอยากฟังข้อมูลของผมบ้าง ไว้โอกาสหน้านะครับ”

“คะ” คุลิกาหลุดออกไปอย่างแปลกใจ “คือไม่ใช่ว่าไม่ได้ยินนะคะ แค่ไม่เชื่อหูตัวเอง”

“โอกาสหน้า เราคงได้รู้จักกันมากขึ้น...ผมหมายถึงคุณคงได้รู้จักผมมากขึ้นน่ะครับ เพราะวันนี้ผมก็รู้เรื่องของคุณมากพอควรแล้ว”

ถ้าไม่ใช่เพราะน้ำเสียงและท่าทางที่สุภาพของปพนธีร์ คุลิกาคงคิดว่าเขาหลอกด่าว่าเธอพูดมาก แต่พอฟังรื่นหูหญิงสาวก็เลยได้แต่ตอบรับคำสั้น ๆ ก่อนกล่าวขอบคุณที่เขามาส่ง

“ฉันขอตัวก่อนนะคะ คุณแม่น่าจะรอกินข้าวเย็น”

หญิงสาวลงจากรถเดินไปไขประตูรั้วเดินเข้าไปในตัวบ้าน หันหลังกลับมามองก็เห็นว่าปพนธีร์เปิดกระจกรถรอดูจนแน่ใจว่าเธอเข้าบ้านแล้ว จึงยิ้มให้ก่อนจะขับรถออกไป คุลิกาถอนใจออกมาเบา ๆ กับรอยยิ้มนั้น

ผู้ชายอะไร ยิ้มสวยเป็นบ้า



หลังจากใช้เวลาร่วมโต๊ะมื้อเย็นกับมารดา และพูดคุยกันช่วงที่นั่งดูข่าวจากช่องฟรีทีวีจนถึงเวลาละครของจิตรา คุลิกาก็กล่าวราตรีสวัสดิ์กับผู้ให้กำเนิด หอบร่างที่เริ่มเหนื่อยล้าจากการทำงานมาทั้งวันขึ้นบันไดกลับเข้าห้องนอน

ทันทีที่หลอดไฟในห้องติดสว่าง หญิงสาวก็เดินตรงไปที่โต๊ะอ่านหนังสือ ดึงลิ้นชักหยิบเอาหนังสือปกหนังปริศนามาเปิดดูซ้ำ ทั้งหน้าปกหนังและหน้ากระดาษยังคงไร้ข้อความใดเช่นเดิม

คุลิกาชะงักเมื่อรู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง สัมผัสที่บ่งบอกว่าเธอไม่ได้อยู่ในห้องนอนเพียงคนเดียว มีใคร...หรืออะไรบางอย่าง ที่เพิ่งจะหย่อนตัวลงบนเตียงนอน

“นี่...ไม่ต้องมาทำลึกลับเลยนะ ฉันเจอเรื่องพิลึกพิลั่นมามากพอละ...อยากจะให้ทำอะไร อยากบอกอะไรก็บอกกันมาเลยตรง ๆ”

เมี้ยว...ววว

เสียงร้องยาวนั้นดังขึ้นพร้อมกับจังหวะที่คุลิกาหันขวับไปมองที่เตียง หนังสือปกหนังนั้นแทบจะหลุดจากมือเมื่อสิ่งที่เห็นครั้งนี้ไม่ใช่สัตว์สี่เท้าสีขาวเช่นทุกครั้งหากแต่เป็นเด็กหญิงซึ่งดูจากรูปลักษณ์แล้วน่าจะอายุอานามราวสิบปีนั่งอยู่ที่ปลายเตียง

เด็กคนนั้นสวมชุดคลุมกระโปรงสีขาวทับด้วยเสื้อคลุมสีเดียวกัน ถึงตอนนี้เด็กหญิงจะยิ้มอยู่ก็ตามหากคุลิกาก็รู้สึกอดหวั่นใจ ใครจะไม่ตกใจเล่า จู่ ๆ ก็มี...เด็กที่ไหนก็ไม่รู้มานั่งจุ้มปุ๊กอยู่บนเตียงในห้องนอนของตัวเอง มาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ไม่มีใครเชื้อเชิญเสียด้วย...จะว่าไปเธอแน่ใจด้วยซ้ำว่าที่เห็นอยู่ตรงหน้าตอนนี้ไม่ใช่เป็นเด็กธรรมดา

เด็กคนนั้นยกมือขึ้นดึงหมวกคลุมลงไปด้านหลัง เผยให้เห็นผมดำหยักศกยาวประบ่า ดวงตาดำกลมนั้นมีแววยั่วล้อ ปากเล็กบางคลี่ออก ร่างเล็กท่อนบนโน้มลงขณะที่ศอกซ้ายเลื่อนไปวางบนหน้าขา มือซ้ายกลายเป็นที่สำหรับเท้าคางกลม

“ไหนบอกว่าอยากให้ทำอะไร อยากบอกอะไรก็บอกไง แค่เห็นหน้ากันก็ทำเหมือนเห็นผีแล้ว”

คุลิกาอ้าปากค้าง พูดอะไรไม่ออกแต่เมื่อนึกได้ว่าคน...หรืออะไรก็ตามที่นั่งอยู่ปลายเตียงของเธอนั้นมีรูปลักษณ์เป็นแค่เด็กสิบขวบ หญิงสาวก็เกิดแรงฮึด จะให้ยอมแพ้กับเด็กสิบขวบ รู้ไปถึงไหนอายเขาถึงนั่น

“แล้วไม่ใช่ผีหรือไงล่ะ ผลุบโน่นโผล่นี่ ตอนแรก ๆ ก็มาเป็นแมว ตอนนี้เป็น...อะไรก็ไม่รู้...เหมือนคน”

“ถ้าเลือกได้ก็ไม่อยากปรากฏตัวมาแบบนี้หรอก แต่ภูตินำทางจะมีรูปลักษณ์ตามนิสัยของเจ้าของ ถ้าเธอมีความเป็นผู้ใหญ่กว่านี้สักหน่อย ฉันก็อาจจะมีร่างเป็นสาวสวยเซ็กซี่ก็ได้” เด็กหญิงยังคงท้าวคางทำหน้าเบื่อหน่าย

“นี่!” คนที่ควรมีความเป็นผู้ใหญ่มากกว่านี้ขัดหูขึ้นมาทันที “หมายความว่ายังไง เป็นเด็กเป็นเล็กมาพูดกับผู้ใหญ่แบบนี้ได้เหรอ”

“ได้...ในเมื่ออยู่ในร่างแบบนี้จะยอมถือว่าตัวเองเป็นเด็กก็ได้” เด็กในชุดขาวเบ้ปาก ถอนใจหนักหน่วง “ตกลงหายกลัวรึยังล่ะ จะได้คุยกัน”

“ใครกลัว...ยังไม่ได้พูดสักคำว่ากลัว” ตอนนี้ความหวั่นกลัวมลายหายไปหมด เหลือแต่ความขุ่นเคืองที่โดนเด็กลูบคม คุลิกาจึงเชิดหน้าโต้ตอบอย่างไม่ลดละ “มีอะไรน่ากลัว แค่เด็กตัวกระเปี๊ยก”

“ก็บอกแล้วว่าภูตินำทางจะมีรูปลักษณ์ตามนิสัยของเจ้าของ”

“ภูตินำทางอะไร พูดมาสองหนแล้ว แล้วเจ้าของเนี่ย...คือใคร...ฉันเหรอ?”

ดวงหน้าเล็กขยับขึ้นลงต่อเนื่องแทนคำตอบรับ

“แล้วเรื่องทั้งหมดนี่มันอะไรกันแน่ หลายวันมานี้เกิดอะไรขึ้นกับฉัน”

คราวนี้คำตอบเป็นการพยักเพยิดคล้ายจะบอกคุลิกาให้หาคำตอบจากสิ่งที่อยู่ในมือ คุลิกายกหนังสือปกหนังขึ้นมาดูแล้วส่ายหน้าเมื่อเห็นความว่างเปล่าบนปกนั้น

“ไม่เห็นจะมีอะไร”

“ตั้งใจหน่อยสิ เดี๋ยวก็เห็นเอง”

คุลิกาก้มลงมองหน้าปกหนังสืออีกครั้งแต่ก็ไม่พบว่ามีข้อความอะไรเช่นเดิม เมื่อเงยหน้าขึ้นจะบอกกับเด็กหญิงปริศนาก็เห็นเพียงเตียงนอนว่างเปล่า

ให้มันได้อย่างนี้สิ!



หญิงสาวอาบน้ำอาบท่าเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอนเสื้อกางเกงสีฟ้าลายกราฟฟิคลูกโป่งหลากสี ใจหนึ่งก็อยากเตรียมตัวนอนพักผ่อนเพื่อให้มีพลังในการทำงานวันรุ่งขึ้นแต่อีกใจก็ยังสงสัยเรื่องหนังสือไร้ข้อความและคำพูดของเด็กหญิงในชุดคลุมสีขาวจึงอดไม่ได้ที่จะคว้าหนังสือปกหนังนั้นขึ้นไปนั่งพิงหลังกับหัวเตียง วางหนังสือไว้บนตัก

ต้องตั้งใจถึงจะเห็น...เด็กนั่นบอกอย่างนี้นี่นา ตั้งใจ ๆ ๆ

ปกติคุลิกาไม่ค่อยถูกโรคกับการนั่งสมาธินัก เวลาอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องมีการฝึกนั่งสมาธิกับคนหมู่มาก เธอสูดลมหายใจเข้าออกได้ไม่กี่ครั้งจิตใจก็คอยคิดโน่นนี่ไปเรื่อยเปื่อย ดีที่ยังสามารถบังคับตัวเองให้นั่งนิ่งอยู่ได้โดยไม่รบกวนคนอื่น ดังนั้นพอท่องคำว่า ตั้งใจ ซ้ำ ๆ อยู่ได้ไม่ถึงสามนาทีบนปกหนังก็ไม่มีอะไรปรากฏ หญิงสาวก็ถอนใจ

อะไรกันไหนบอกว่าตั้งใจแล้วจะเห็นไง

“หมายถึงให้ตั้งใจมั่นว่าอยากรู้อะไรต่างหากล่ะ ท่องแต่ตั้งใจ ๆ ๆ ก็ไม่ได้ผลน่ะสิ”

เสียงหนึ่งดังแว่วขึ้นมาโดยไม่มีต้นเสียง คนที่นั่งบนเตียงกรอกตามองเพดาน โต้ตอบโดยรู้ว่าแม้อีกฝ่ายจะไม่ปรากฏตัวให้เห็นแต่ก็จะรับรู้สิ่งที่เธอพูด

“แล้วก็ไม่บอกให้ชัด ใครจะไปรู้ล่ะ ยายเด็กบ้า”

คุลิกาก้มลงมองหน้าปกหนังสืออีกครั้ง หนนี้เธอวางมือลงบนแผ่นหนัง หลับตาสูดลมหายใจยาวลึกก่อนจะตั้งใจอธิษฐาน...เรื่องแปลกที่เกิดขึ้นหลายวันนี้มันคืออะไรกันแน่ มีที่มาที่ไปยังไง ขอให้ได้รับรู้ด้วยเถอะ

หญิงสาวลืมตาขึ้น ดวงตาคู่นั้นเบิกกว้างขึ้นอีกเมื่อได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นบนปกหนังสือ อักษรสีทองเลือนรางค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ



หน้าร้านอาหารหรูหรากลางกรุงในเวลานั้นปพนธีร์เดินออกมาจากร้านหลังจากที่ขอตัวจากกลุ่มเพื่อนสนิทที่เรียนจบจากอเมริกามาด้วยกัน ชายหนุ่มไม่นิยมการท่องราตรีนักจึงแยกจากกลุ่มเพื่อนเสียก่อนที่จะถูกลากไปต่อที่ผับสักแห่งตามแต่ที่จะมีคนริเริ่มชักชวนขึ้นอย่างที่เคยเป็นโดยอ้างเหตุผลว่ารู้สึกไม่ค่อยสบาย แม้จะมีคนต่อว่าต่อขานบ้างหากสุดท้ายก็ไม่มีใครรั้งชายหนุ่มเอาไว้

รถยนต์ยุโรปคันหรูแล่นไปบนท้องถนน เปลี่ยนช่องทางการจราจรไปมา แม้ที่บอกเพื่อนว่าตนไม่สบายจะเป็นเพียงข้ออ้างหากชายหนุ่มก็รู้สึกอ่อนล้าจากการทำงานมาทั้งวันจริง ปพนธีร์จึงอยากกลับถึงบ้านให้เร็วกระนั้นเขาก็ใช้ระมัดระวังในการขับขี่ คำนึงความปลอดภัยของตนเองและเพื่อนร่วมท้องถนนเป็นหลัก แต่ดูเหมือนคนขับรถเอสยูวีสีเงินคันโตที่ขับรถตามหลังเขามาจะไม่คิดอย่างเดียวกัน จึงตบไฟสูงใส่เมื่อเห็นว่าปพนธีร์ไม่ยอมทำความเร็วแซงซ้ายรถคันข้างหน้า

ถนนเส้นนี้ชายหนุ่มใช้สัญจรบ่อยจึงพอรู้ว่าจะมีรถเลี้ยวออกมาจากซอยเป็นระยะ ทำให้การวิ่งรถในช่องซ้ายสุดนั้นค่อนข้างช้าและดูเหมือนผู้ขับขี่ยวดยานคันอื่นก็คิดเช่นเดียวกัน

ปพนธีร์ระบายลมหายใจยาวอย่างระอากับพฤติกรรมขับขี่อันไร้มารยาทนั้น ด้วยความที่ไม่อยากมีเรื่องมีราว เขาจึงตบก้านไฟเลี้ยวส่งสัญญาณบอกว่ากำลังพยายามหลบเข้าช่องจราจรด้านซ้ายสุดหวังจะหลบทางให้รถยนต์คันข้างหลัง แต่จังหวะนั้นมีรถคันหนึ่งเลี้ยวออกมาจากซอยเล็ก ๆ ด้านซ้ายมือพอดีทำให้เขาไม่สามารถเปลี่ยนช่องการจราจรได้ทันที

ชายหนุ่มต้องหรี่ตาลงเล็กน้อยขณะที่หักพวงมาลัยเปลี่ยนช่องจราจรเพราะคนขับรถคันที่จี้หลังมานั้นกระพริบไฟใส่ เมื่อปรับสภาพสายตาได้ ปพนธีร์ก็ต้องเหยียบเบรกรถอย่างแรง เมื่อเห็นร่างร่างหนึ่งกำลังจะก้าวลงมาจากบาทวิถี

โชคดีที่ไม่มีรถวิ่งมาในช่องจราจรซ้ายในขณะนั้น หากดูเหมือนระยะเบรกจะกระชั้นเกินไป กระโปรงหน้ารถจึงกระแทกกับร่างนั้นไม่เบานัก

หนุ่มร่างสูงตั้งสติอยู่ครู่หนึ่งเหลียวซ้ายแลขวาแล้วไม่พบสิ่งผิดปกติจึงยกโทรศัพท์ขึ้นกดแจ้งเหตุก่อนจะเปิดประตูก้าวลงจากรถไปสำรวจร่างที่นอนแน่นิ่งอยู่นั้น

เขาค่อยพลิกร่างนั้นอย่างระมัดระวัง หญิงชราใบหน้าเหี่ยวย่นสวมเสื้อผ้าเก่ามอซอค่อยลืมตาขึ้นมอง ดวงตาคู่นั้นเบิกกว้างขึ้นราวกับได้เห็นสิ่งมหัศจรรย์อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะปิดลงพร้อมกับร่างนั้นหมดสติไปทันที

“คุณยายครับ คุณยาย ทำใจดี ๆ ไว้นะครับ เดี๋ยวรถพยาบาลคงมาถึง”

ปพนธีร์มองสำรวจร่างของหญิงชรา ไม่กล้าขยับร่างกายของคนที่นอนหมดสติมากไปกว่านี้เพราะไม่แน่ใจว่ามีกระดูกส่วนใดของร่างกายหักหรือไม่ ชายหนุ่มถอนใจมองหาความช่วยเหลือที่เขาโทรแจ้งไว้ก่อนหน้า



หลังจากเรียนจบคุลิกาใช้เวลาในการอ่านหนังสือได้น้อยลง เธอจับหนังสือไม่ค่อยติดมือ แม้หนังสือแปลเรื่องฮิตที่ซื้อมาอ่านตามกระแสจะสนุกแค่ไหนแต่เธอก็อ่านได้เพียงแค่วันละไม่กี่หน้า ความง่วงงันและเหนื่อยล้าจากการทำงานก็ดึงเปลือกตาให้ปิดลงเสียก่อน กว่าจะอ่านหนังสือจบสักเล่มบางทีก็ใช้เวลาร่วมเดือน แต่การอ่านหนังสือครั้งนี้ดูจะแปลกแตกต่างออกไปจากทุกครั้ง

หนังสือเล่มที่อยู่ในมือนั้นไม่ใช่หนังสือที่มีตัวอักษรตั้งแต่หน้าแรกจนหน้าสุดท้ายเหมือนอย่างหนังสือทั่วไป หากแต่ค่อยเล่าเรื่องราวผ่านตัวหนังสือที่ปรากฏขึ้นทีละตัว หนังสือที่มีชื่อว่า “ดินแดนแห่งเวทมนต์และเรื่องเล่าชาวเวท” ตามชื่อที่ปรากฏบนหน้าปกนั้นค่อยเผยเรื่องราวที่เธอสงสัยมาตลอดนับตั้งแต่วันเกิดอายุครบรอบยี่สิบสองปีของตนเอง

หญิงสาวได้รู้จักดินแดนที่ไม่มีในแผนที่โลก ไม่มีคนบนโลกมนุษย์เคยได้ไปเห็น ดินแดนที่ผู้คนมีเวทมนต์เรียกตัวเองว่าชาวเวท ฝ่ายชายเรียกกันว่า บุรุษเวท ส่วนฝ่ายหญิงถูกเรียกว่านรีเวท มีวิวัฒนาการที่แทบไม่ต่างจากมนุษย์บนโลก หากเพราะมีเวทมนต์ในการเคลื่อนย้ายสิ่งของและตนเอง ยวดยานพาหนะจึงไม่ใช่สิ่งจำเป็น

สิ่งของที่เสกขึ้นจากเวทมนต์ไม่อาจใช้ดื่มกินได้ ชาวเวทจึงมีระบบการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ไม่ต่างจากมนุษย์ มีความแตกต่างทางด้านเชื้อชาติ สีผิว มีการปกครองในรูปแบบที่ต่างกันในแต่ละดินแดน

คุลิกายกมือขึ้นปิดปากหาวเมื่อตัวอักษรในหน้าสุดท้ายของบทการปกครองในดินแดนเวทมนต์จบลง หญิงสาวชั่งใจที่จะเปิดหน้าต่อไป ตัวหนังสือที่ค่อยปรากฏขึ้นทีละหน้าคงจะปรากฏให้เธอเห็นอีกเช่นเดิมหากแต่ตอนนี้เธอรู้สึกง่วงเกินกว่าจะอ่านต่อได้ เธอจึงวางหนังสือลงข้างตัวผุดลุกขึ้น

หญิงสาวบิดตัวไปมาข้างเตียงนอนไล่ความง่วง แต่ดูจะไม่เป็นผลเท่าใดนัก เธอจึงเดินออกจากห้อง ลงไปที่ห้องครัวชงกาแฟดำเข้มจัดดื่มอึกใหญ่ก่อนจะรีบกลับไปที่ห้องนอนของตนกระโจนขึ้นเตียงหยิบหนังสือมาเปิดอ่านต่อหน้าที่ค้างเอาไว้

หน้ากระดาษว่างค่อยปรากฏตัวอักษรชื่อบท “การข้ามดินแดน”

คุลิการีบกวาดตาอ่านทันทีที่หมึกสีดำปรากฏขึ้นราวกับมีใครสักคนจรดปากกาเขียนขึ้นทีละตัวอักษร บทการเดินทางข้ามดินแดนบอกเล่าเรื่องราวของชาวเวทที่เดินทางข้ามดินแดนมายังดินแดนของมนุษย์เพื่อท่องเที่ยว เวทบุรุษและเวทนรีที่เดินทางมายังดินแดนมนุษย์ส่วนหนึ่งเกิดพบรักกับมนุษย์ จึงไม่ยอมกลับไปยังดินแดนเวทมนต์

เวทบุรุษและเวทนรีที่ใช้ชีวิตในดินแดนมนุษย์จะมีพลังเวทมนต์ลดลงหากยังสามารถที่จะสืบทอดพลังในตัวจากรุ่นสู่รุ่นได้ พลังเวทมนต์นั้นเกิดขึ้นตามธรรมชาติและไม่ได้เกิดขึ้นกับทายาทของเวทบุรุษและเวทนรีทุกคน

คุลิการะบายลมหายใจยาวเมื่อเห็นว่าอ่านไปได้ยังไม่ถึงครึ่งเล่มแต่เวลาบนหน้าปัดนาฬิกาแขวนผนังบอกเวลาใกล้ตีสอง แต่เพียงเท่านี้หญิงสาวก็พอจะเข้าใจอะไรขึ้นมาได้บ้าง

ตอนแรกก็นึกว่าเราเป็นเด็กเก็บมาเลี้ยงซะอีก ที่จริงเราอาจจะเป็นทายาทของเวทบุรุษหรือเวทนรีที่มาอยู่กินกับคนธรรมดา แล้วเกิดจับพลัดจับผลูได้พลังที่สืบทอดมาทางสายเลือด

แม้จะยังมีคำถามที่ไม่ได้รับคำตอบกระนั้นหญิงสาวก็ได้รู้ในสิ่งที่ค้างคาใจส่วนหนึ่งแล้วจึงตัดใจวางหนังสือลงบนตู้หัวเตียง ปิดสวิตซ์โคมไฟอ่านหนังสือแล้วล้มตัวลงนอน



เสียงหัวเราะคิกคักดังขึ้นหลังจากคุลิกาเข้าสู่ห้วงนิทราได้เพียงแค่ชั่วอึดใจ เสียงหัวเราะของเด็กหญิง ก้มลงมองชุดนอนลายของตัวเองแล้วหญิงสาวก็รู้ว่าตัวเองอยู่ในห้วงความฝัน รอบตัวมีเพียงกลุ่มหมอก มองไปทางไหนก็เห็นสีขาวโพลนไปทั่ว เจ้าของความฝันยืนเท้าเอวเมื่อเสียงหัวเราะนั้นเหมือนจะยังดังมาเป็นระยะจากที่ไกลตัว

“ไม่วิ่งตามแล้วนะยะ ฉันวิ่งตามเธอมาตั้งแต่เช้า นี่นอนหลับแล้วยังต้องฝันว่าวิ่งตามอีกเหรอ” คุลิกาสูดลมหายใจยาวอย่างระงับอารมณ์ “มีอะไรก็ออกมาคุยกันดี ๆ ไม่มีอารมณ์จะวิ่งตาม”

หมอกสีขาวค่อยจางลงเผยให้เห็นสภาพรอบตัวในขณะนี้ ที่จริงแล้วเธอไม่ได้อยู่ที่ไหนแต่ยืนอยู่กลางห้องนอนของตัวเอง เด็กหญิงหน้าตาซุกซนในชุดคลุมสีขาวยิ้มนั่งยิ้มแต้อยู่ปลายเตียง

“แค่นี้ก็ต้องหงุดหงิดด้วย”

“ยายเด็กบ้า นี่ใจคอจะกวนฉันทั้งในความจริง ความฝันเลยหรือไงเนี่ย”

“แค่ช่วงนี้เท่านั้นแหละน่า ใจเย็น ๆ สิ” เด็กหญิงทำหน้าเบื่อหน่าย “แล้วก็บอกแล้วว่าจริง ๆ ถ้านับอายุกันล่ะก็...เราอ่อนแก่กว่ากันไม่เท่าไหร่หรอก แต่ที่ฉันต้องมีร่างกายแบบนี้ก็เพราะนิสัยของเธอนั่นแหละ”

“จะยังไงก็ช่าง” คุลิกาแหว “ขอย้ำอีกครั้งว่าเธอมีรูปลักษณ์เป็นเด็กก็ต้องเคารพผู้ใหญ่ เข้าใจมั้ย”

เจ้าของร่างเล็กในชุดคลุมสีขาวถอนใจ “แล้วต้องให้เรียกว่าพี่ด้วยไหมคะ พี่แคทขา”

“ก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว” หญิงสาวก้าวไปหย่อนตัวลงนั่งปลายเตียงข้างร่างเล็กนั้น “แล้วมีชื่อรึเปล่าล่ะ”

“ภูตินำทางไม่มีชื่อ ถ้าจะมีก็ต้องให้เวทนรีหรือเวทบุรุษที่เป็นเจ้านายตั้งให้”

“จริงสินะ ฉันเป็นเจ้านายเธอ” คุลิกากรอกตามองเพดาน บ่นอย่างหงุดหงิด “นี่ขนาดเป็นเจ้านายยังต้องวิ่งตามต้อย ๆ ถ้าเธอเป็นเจ้านายฉัน ฉันไม่ตายเหรอเนี่ย”

“ตกลงจะให้ชื่อว่าอะไรล่ะ”

“อืม...” หญิงสาวพิจารณาร่างเล็กที่นั่งข้างตัว “เธอเป็นแมว...แล้วก็เป็นเด็ก เรียกคิตตี้ก็แล้วกัน น่ารักดี”

คิตตี้เหมือนจะยินดีกับชื่อนั้นจึงคลี่ยิ้มกว้าง

“ตกลงจะให้อ่านหนังสือจนจบเหรอถึงจะรู้เรื่องกัน”

คิตตี้ส่ายหน้า “เปล่า แค่หลอกให้อ่าน จะได้สนใจไง ตกลงพี่เชื่อเรื่องที่อ่านใช่ไหมล่ะ”

“โอ๊ย! เจอเข้าขนาดนี้แล้วจะไม่ให้เชื่อหรือไงล่ะ ทั้งเรื่องแสงอะไรก็ไม่รู้นั่น แมวกลายเป็นคน คนกลายเป็นแมว มันมหัศจรรย์เกินจะเชื่อ แต่ก็ต้องเชื่อเพราะเกิดกับตัวเองนี่แหละ”

“วิธีหลอกให้เจอเองได้ผลเห็นไหมล่ะ ไม่ต้องมาเรียกความเชื่อถือให้มากความ ขืนมาในร่างเด็กเล็ก ๆ แบบนี้แล้วพูดให้ฟังแต่แรกว่าอะไรเป็นอะไรใครจะเชื่อ”

“เรื่องที่หลอกให้เจออะไรแปลก ๆ น่ะเข้าใจ แต่ไอ้ที่วิ่งพาไปโน่นไปนี่ จนไปเจอเรื่องแปลก ๆ เข้าที่โรงแรม แล้วก็เรื่องเมื่อเช้าวันนี้ ต้องการอะไร ทำไมต้องให้ไปเจอผู้ชายสองคนนั้นด้วย เกี่ยวอะไรกัน”

“โห...สนใจเรื่องผู้ชายก่อนเลยเหรอ ถามเรื่องสำคัญอื่นก่อนดีกว่ามั้ย”

คุลิกาอ้าปากค้างรู้สึกเหมือนถูกตำหนิ แต่แล้วกลับเชิดหน้าใส่เมื่อนึกได้อีกครั้งว่าคนหรือจะพูดให้ถูกคือภูตินำทางตรงหน้าอยู่ในร่างของเด็ก

“เป็นเด็กเป็นเล็กจะไปรู้อะไร” หญิงสาวโต้ “ที่โน่นจะเป็นยังไงฉันไม่รู้หรอกนะ แต่สำหรับโลกมนุษย์เนี่ย เรื่องผู้ชายก็ไม่ใช่เรื่องเล็กสำหรับผู้หญิง แล้วอีกอย่างถ้ามันไม่เกี่ยวข้องอะไรเธอคงไม่ให้ฉันไปเจอใช่ไหมยายแมวเหมียว”

“จะว่าอย่างนั้นก็ได้นะคุณพี่แคท” น้ำเสียงเวลาพูดคำแสดงอาวุโสติดประชดประชันเล็กน้อย “ถูกครึ่งนึง...ผู้ชายคนที่เจอที่โรงแรมนั่น ก็พอดีฉัน...”

“เป็นเด็กน่ะ แทนตัวว่าฉันกับผู้ใหญ่ไม่ได้นะ”

“แล้วจะให้แทนตัวเองว่าไงล่ะ หนูเหรอ?” เด็กหญิงที่เพิ่งได้ชื่อหมาด ๆ เถียง “ก็เป็นแมว ไม่ใช่หนูนี่นา”

“ก็เรียกแทนตัวเองด้วยชื่อก็ได้”

คุลิกาเหมือนเห็นภาพสะท้อนตัวเองเมื่อคิตตี้สูดลมหายใจลึกจนไหล่ยกอกเคลื่อนอย่างคนที่พยายามจะสะกดอารมณ์

"คิตตี้สัมผัสได้ว่าจะมีเหตุการณ์ไม่ดี ก็เลยเรียกให้พี่แคทไปช่วยอีตานั่น ใครก็ไม่รู้ไม่สำคัญอะไรหรอกแต่อย่างน้อยคุณพี่แคทก็ได้รู้ถึงพลังของตัวเองไงเจ้าคะ”

“งั้นแสดงว่าคนวันนี้...”

“ใช่” เด็กหญิงคิตตี้รับหนักแน่น เอ่ยย้ำทุกคำ “ผู้ชายคนที่พี่เจอวันนี้แหละเป็นคนที่สำคัญที่สุดสำหรับความอยู่รอดของชาวเวท”



กมลภัทร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 30 มี.ค. 2557, 22:54:36 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 11 เม.ย. 2557, 12:54:56 น.

จำนวนการเข้าชม : 1708





<< ตอนที่ 3   ตอนที่ 5 >>
กมลภัทร 30 มี.ค. 2557, 23:00:50 น.
เรื่องนี้อัพช้ามาก แต่จะพยายามมาเร็วขึ้นนะครับ ถ้าเป็นไปได้จะให้เจอกันทุกวันอาทิตย์ครับ

lovemuay >>>> เป็นน้องเหมียวประจำตัวครับ ต่อไปจะปรากฏในร่างเด็กบ่อยกว่าแมว อิอิ

yimyum >>>> มีร่างคนครับ ^_^

นักอ่านเหนียวหนึบ >>>> ต้องรอดูครับว่าจะมีอะไรขี่รึเปล่า

nasa >>>> ไม่น่ากลัวนะครับ แต่ก็มีฝ่ายร้ายเหมือนกัน

Sukhumvitุ66 >>>> คงต้องตามลุ้นต่อนะครับ ว่าใครจะเป็นพระเอก

เพียงพลอย >>>> นิสัยเหมือนนางเอกนะ แมวตัวนี้ 555

Zephyr >>>> 555 จะไหวเหรอครับมีตัวป่วนแบบนี้

ของขวัญ >>>> มาเป็นเด็กน้อยสิบขวบแบบนี้ยังหลอนอยู่ไหมอ่ะ


นักอ่านเหนียวหนึบ 31 มี.ค. 2557, 00:31:52 น.
อ๊ายยยย เค้าอยากให้ชือ คิตตี้ ดีดดิ้นๆๆๆๆ
เอาละ มาต่อๆๆ


yimyum 31 มี.ค. 2557, 01:13:39 น.
น่ารักจะง


lovemuay 31 มี.ค. 2557, 07:04:35 น.
เป็นพ่อมด แล้วจะเป็นพระเอกด้วยรึป่าวน้าา


Sukhumvit66 1 เม.ย. 2557, 00:08:40 น.
เชียร์ใครดีละนี่


nasa 2 เม.ย. 2557, 21:46:14 น.
น้องแมวเหมียวเป็นเด็กผู้หญิง ขำที่ว่าจะมีรูปแบบเป็นไปตามเจ้าของ


Zephyr 3 เม.ย. 2557, 09:14:35 น.
หนูแมวเหมียวน่ารักนะนี่
ขโมยซีนพี่สาวเต็มๆ
ตอนแรกนึกว่าจะให้ชื่อคิตี้ซะอีก ฮ่าๆๆ เฮลโล คิตตี้ อิอิ


ของขวัญ 12 เม.ย. 2557, 23:33:39 น.
ไม่หลอนละค่ะ แต่ท่าทางจะแสบซ่าไม่เบา


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account